บ่วง ตอนที่ 7
คุณหญิงอบเชยนั่งหน้าขรึมอยู่ยังโมโหไม่หาย เพ็ญนั่งพัดให้ใกล้ๆ ชื่นกลิ่นและบัวสวรรค์เดินเข้ามา
“คุณแม่ขา คุณแม่...คุณแม่โกรธอะไรนางแพงนักหนาคะ”
คุณหญิงส่งเสียงดุ
“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น คุณหลวงเพิ่งกลับมาจากที่ทำงานทำไมไม่ไปดูแล”
ชื่นกลิ่นจ๋อย ไม่รู้เรื่องกับใครเขาเหมือนเดิมมองบัวสวรรค์ที่พยักหน้าให้เข้าไป ไม่ต้องถามแล้ว
“เจ้าค่ะ”
ชื่นกลิ่นเดินไป บัวสวรรค์ครุ่นคิด
หลวงภักดีบทมาลย์ ยังนั่งคิดเรื่องแพงอยู่ในห้อง ชื่นกลิ่นเดินเข้ามาหา
“กลับมาเหนื่อยๆ หิวไหมคะ”
“ก็หิว”
“จริงสิ คงหิวน้ำ”
คุณหลวงยิ้ม ดึงชื่นกลิ่นเข้ามานั่งกอด
“มานี่ ไม่ใช่หิวน้ำหรอก หิวเมียต่างหาก”
“คุณหลวง”
คุณหลวงมองนิ่งๆ ชื่นกลิ่นอาย
“เป็นอะไรไปคะ มองทำไม”
“เฮ้อ...ผู้ชาย...รักษาความมั่นคงในจิตใจยากนัก”
คุณหลวงหมายถึงที่แพงให้ท่าตน แล้วตนไม่เอา รอดไปอย่างหวุดหวิด ชื่นกลิ่นไม่เข้าใจ
“หมายความว่าไงคะ”
“แต่เมื่อรักษาได้ ก็ดีใจ ภูมิใจ และรักเมียคนนี้ยิ่งกว่าเดิม พี่จะไม่ทำให้น้องชื่นต้องเสียใจ”
ชื่นกลิ่นเอนหัวไปชิดกับสามี นั่งกอดกันอย่างรักใคร่
รัมภาฟังช่วงเล่าเรื่องราวอย่างอึ้งๆ
“คุณทวดอบเชยเกลียดนางแพงขนาดนี้เลยหรือคะ”
“เปล่า...ท่านเหมือนแม่ทุกคน ถ้ามียุงจะมากัดลูก มีทางเดียว ตียุงตัวนั้นให้ตาย...ท่านรู้นิสัยคนอย่างนางแพง และรู้ด้วยว่าลูกสาวของท่านอ่อนแอเกินกว่าจะรู้ทันนางแพง”
“น่าจะไล่นางแพงออกไปเสีย” พัชนีออกความเห็น
“ท่านก็กลัวอีก นางแพงจะไปพูดเรื่องมันเป็นลูกท่านเจ้าคุณ ท่านไม่อยากให้ ชื่อเสียงตัวเอง ชื่อเสียงลูก และวงศ์ตระกูลด่างพร้อยเพราะบ่าวอย่างอีแพง...ใกล้เพลแล้ว จะขอตัวไปจัดการเรื่องอาหารถวายพระสักหน่อย”
รัมภาหน้าเหวอรีบถาม
“อ้าว... แล้ว ตกลงยังไงเจ้าคะ...คุณหลวงกับนางแพง เอ้อ...คุณหลวงได้แพงเป็นเมียน้อยไหมคะ”
พัชนีอยากรู้เหมือนกันถามด้วย
“แล้วนางแพงเป็นลูกคนละแม่กับคุณชื่นกลิ่นจริงไหมคะ”
“ไปทานข้าวกันก่อน ตอนบ่ายมาเจอกัน”
ช่วงลุกเดินไป อย่างเคร่งขรึม รัมภากับพัชนีเซ็งไป
ศามนขับรถอยู่ เพิ่งเสร็จงานกำลังจะกลับเข้าบ้าน มือถือดังขึ้น เขากดรับสาย ใส่สมอลทอล์กคุย...รัมภาโทรศัพท์ ยิ่งฟังเรื่องอดีตยิ่งคิดถึงศามน พยายามที่จะคืนดีกัน
“คุณเป็นยังไงบ้าง”
ศามนจอดรถเข้าข้างทางทันที ดีใจมาก
“ดีใจจัง ที่คุณโทรมา”
“ทานข้าวหรือยัง”
“กำลังขับรถกลับบ้านน่ะ วันนี้ได้หยุดครึ่งวัน นายฝรั่งเขาไปชอปปิงเขาบอกว่าอยากขอเวลาส่วนตัว ลูกเป็นไงบ้าง”
“เล่นน้ำเพลินไปค่ะ แกชอบทะเลจริงๆ ที่โน่นทะเลไม่สวยไม่น่าเล่นเหมือนเมืองไทย”
ศามนรู้สึกคิดถึงเมียและลูกจับใจ
“ให้ผมขับรถไปหาไหม แค่สองสามชั่วโมงก็ถึง ผมเอ้อ คิดถึงคุณน่ะ”
รัมภาดีใจ เมฆหมอกความขัดแย้งค่อยคลายลง
“พรุ่งนี้คุณต้องไปทำงานอีก เดี๋ยวฉันก็กลับแล้ว พรุ่งนี้เย็นๆน่ะค่ะ”
“ผมขอโทษอีกครั้ง...เรื่องที่ผ่านมา”
“ที่นี่ เหมือนชะตาชีวิตส่งฉันมา ฉันได้คิดอะไรหลายอย่าง บางทีภาก็ใจ
ร้อนไปหน่อย”
“ตกลงกลับมานี่ เราทั้งสองจะใจเย็นลงให้มากกว่านี้ ผมจะรอคุณนะ”
รัมภายิ้มดีใจ
“ค่ะ...”
รัมภาจะวางหูเสียงศามนเรียกดังมา
“เอ้อ เดี๋ยว...ผมรักคุณนะภา คุณเป็นรักแรกและเป็นรักเดียวในชีวิตผม”
รัมภาได้คิดว่า ทั้งสองคนเคยรักข้ามภพชาติมาอย่างไร ก็ซาบซึ้งขึ้นดีใจจนน้ำตาคลอ
“ค่ะ...คุณก็เป็นรักแรกและรักเดียว ในชีวิตของภาเหมือนกัน”
ศามนยิ้ม โล่งใจ ที่ดีกันได้เสียที ทั้งสองรู้สึกสบายใจขึ้น ดีดี้ขี่มอไซค์มาทำธุระผ่านมาแถวนี้จอดดู
”คุณศามนนี่หว่า”
ดีดี้รีบกลับไปที่บ้านทันที
ดีดี้รีบเข้ามาบอกเดือนแรมที่นั่งดูละครทีวี กินถั่วอยู่ นั่งชันเข่าดูท่าทางชาวบ้านมาก
“คุณนายๆ คุณศามนกลับบ้านแล้ว”
“เฮ้ย...ทำไมกลับเร็วนักล่ะ”
“จะไปรู้หรือ ฉันเห็นจอดคุยโทรศัพท์อยู่ตรงถนนทางเข้าน่ะ คุณนายจะทิ้งโอกาสนี้ไปเฉยๆหรือ!”
เดือนแรมยิ้มร้าย
ช่วงกลับมานั่ง รัมภากับพัชนีตั้งตารออยู่แล้ว พัชนีหันมาบอกรัมภา
“คุณลุงมาแล้วค่ะ”
“ทานข้าวเที่ยงกันแล้วใช่ไหม”
“ทานไม่ค่อยลงค่ะ”
ช่วงมองอย่างเข้าใจ รัมภายังงงๆกับสิ่งต่างๆเรื่องชาติภพ
“โดนไปขนาดนั้น นางแพง ยอมรามือแล้วใช่ไหมคะ”
ช่วงส่ายหน้า
“ไม่มีความรุนแรงใด จบลงด้วยความรุนแรง จุดจบของความรุนแรงทุกชนิดคือความรุนแรงที่มากกว่าเดิม”
รัมภาตกใจ แปลกใจ...ช่วงเล่าเรื่องในอดีตต่อ
พึ่งกับแพงนั่งทานอาหารกันอยู่ในเรือนคนใช้ แพงได้แต่ขยับช้อนจิ้มๆ กินไม่ลง นวลกับบ่าวหญิงอีกคนแต่งตัวสวย เดินออกมา พึ่งหันไปถาม
“นี่พวกเอ็งจะไปไหนกัน”
“มียี่เกมาแสดงที่ตลาด พระเอกหล่ออย่างงี้”
“อีแพง เอ็งก็ออกไปกับเขาบ้างสิ มัวแต่นั่งหน้าเศร้าเจ่าจุกอย่างนี้เห็นแล้วมัน รำคาญ”
“ไม่เห็นอยากจะไป ฮึ...กะอีแค่จะไปดูผู้ชาย”
นวลเบ้หน้า
“เฮอะ...ทำปากดี ที่เอ็งนั่งหน้าบูดอยู่อย่างนี้ไม่ใช่เพราะผู้ชายหรือไง”
พึ่งมองหน้าแพง จับสังเกต แพงเกรงใจแม่อยู่บ้าง
“อีนวล ปากมากนักนะมึง จะไปก็รีบไปเลย ขอให้คืนนี้มึงได้พระเอกสมใจ”
“ฮึ...ได้ง่ายๆก็ดีน่ะสิ ไอ้พระเอกคนเนี้ยมันเป็นผัวเจ้าของคณะ ทั้งอ้วนทั้งดำ มันรักหลงเมียอย่างกับอะไร เคยชายตามองใครที่ไหน ไม่รู้นังอ้วนดำนั่นมีอะไรดี ไปกันเถอะ”
นวลพูดเสร็จก็เดินออกไปกับเพื่อนบ่าว พึ่งเริ่มเก็บจาน หันกลับมาอีกที แพงหายไปแล้ว
“ถ้าไม่ไป ก็มาช่วยแม่เก็บล้าง จะได้รีบนอน พรุ่งนี้ยังมีงานอีกเยอะ เอ๊า อีแพงหายไปไหนแล้ว”
แพงตามนวลไปในที่สุด
ลิเกกำลังเล่น แพง นวล และบ่าวเดินมาดู นวลชี้ชวนให้แพงดู
“นั่นไง ที่อยู่บนเวที”
พระเอกลิเกรำเสร็จพอดี แม่ยกกลุ่มหนึ่ง กรูกันเข้าไป ที่มือมีพวงมาลัยร้อยติดกับเงิน ป้ากลางคนกับน้า เอาขนมมาด้วยยกให้พระเอก
“พ่อแหวงมาเร้ว แม่ให้รางวัล”
แสวงยิ้มแย้มรับพวงมาลัยและข้าวของ
“ขอบใจจ้ะ ขอบใจ”
น้าคนนี้แต่งตัวดี ท่าทางเป็นคุณนาย ใส่ทองเส้นโต มีสตางค์
“นี่แกงคั่วที่พ่อแหวงชอบ ฉันทำมาให้”
“นี่จ้ะนี่ ขนมที่ร้าน อร่อยมากนะ แม่ยกให้”
แสวงยิ้ม รับมาทั้งหมดแล้วเข้าเวที นางเอกออกมารำแทน แพงมองดูอยู่รีบตามเข้าไปดูหลังเวที...แพงเดินมาแอบดูที่หลังเวที ในขณะที่หน้าเวทียังมีการแสดง แสวงเข้ามาถึงก็โยนขนมอารมณ์หงุดหงิด เดินเข้ามานั่งข้างเจ้าของคณะ
“ฮึ่ย ขนมบ้าอะไรวะ พี่สมัย...เอ้านี่เงิน”
แสวงถอดพวงมาลัยให้
“เขาให้มา ก็กินเสียหน่อยสิ เดี๋ยวเขามาดูจะได้ชื่นใจ”
“ไม่เอากินไม่ลง เดี๋ยวเสร็จแล้วไปกินข้าวต้มกันนะพี่ไหมนะ”
แสวงเข้ามากอด ทำท่าจะหอมแก้ม
“มามา หอมที จะได้มีแรง”
สมัยยิ้มๆ ผลักออก หยอกล้อตามประสาผัวเมีย
“นี่ยังต้องออกไปเล่นอีกหลายฉาก เดี๋ยวหน้าเลอะไม่เอา”
“คืนนี้ ไปนอนโรงแรมในเมืองกัน อย่านอนมันเลยแถวนี้...นะๆ”
“เออ...ตามใจ ตั้งใจทำงานแล้วกัน”
“ตามใจแบบนี้ คืนนี้จะได้นอนหรือเปล่า ผัวไม่รับประกันนะเมียจ๋า”
ทั้งสองหยอกล้อกันอีก
“บ้า ตาแหวงนี่...”
สมัยหันมาเจอแพงแอบมองอยู่ก็ตกใจส่งเสียงดุ
“นี่ มาแอบดูอะไร...หลังเวทีนี่ ห้ามเข้ามานะ”
แพงสงสัย ยิ้มแห้งๆให้ ยอมเดินจากไป หลังกลับมาจากดูลิเก แพงเข้านอนกับพึ่งในมุ้ง พึ่งหลับแล้ว แพงนอนกระสับกระส่ายครุ่นคิดเรื่องของแสวงและเมีย
“ฉันจะไม่ยอมแพ้นังชื่นง่ายๆ คุณหลวงต้องเป็นของฉัน”
แพงหมายมั่น มีแผนการ
วันใหม่...แพงนั่งรอหน้าโรงลิเกที่ไม่มีการแสดงเพราะเป็นเวลากลางวัน สมัยเดินออกมาหา เพราะมีคนไปตาม
“เอ๊า...ที่มาเมื่อคืนใช่ไหม มาหาฉันมีเรื่องอะไร” สมัยถามเสียงขุ่น
“อย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะ ฉันไม่ได้สนใจพ่อแสวงหรอก ฉันแค่อยากมาถามพี่”
“ถามอะไร”
“พูดตรงๆเลยนะ ผัวฉันมันไปมีเมียน้อย ฉันกินไม่ได้นอนไม่หลับมาหลายวันแล้ว ฉันเห็นพี่กับผัว รักกันดี ก็เลยจะมาถามว่า พี่ทำยังไง ผัวถึงรักถึงหลงขนาดนั้น”
สมัยโมโห โวย
“ทำไม คนอย่างข้า ผัวจะรักจะหลงไม่ได้หรือ มันผิดตรงไหนหา”
สมัยร้องฮึ่ยแล้วลุกหนี แพงอึ้งงง
“เอ๊า เป็นงั้นไป”
วันต่อมา สมัยเดินไปจัดการเรื่องเครื่องแต่งตัวชุดลิเก เก็บมาทำความสะอาดกับชาวลิเกหญิง แพงรีบเข้ามาช่วย
“มาจ้ะฉันช่วย มือเบาๆ ใช่ไหมจ๊ะ ฉันทำได้จ้ะ”
แพงนั่งลงทำข้างๆสมัยกับคนงาน สมัยมองหน้า มันจะเอายังไงของมัน แต่ก็ปล่อยให้แพงทำ
หลายวันต่อมา แพงถือถาดเอาข้าวมาแจกชาวลิเก มองไปเห็นแสวงป้อนข้าวสมัยรักใคร่กันดีก็พึมพำออกมาเบาๆ
“อี๊...เหมือนพระอภัยกับนางผีเสื้อสมุทรเลยว่ะ”
แพงงุนงง มีเมียหน้าเหมือนยักษ์ รักกันขนาดนี้ได้ไง พอสมัยหันมาเห็น แพงรีบหลบตา
กลางคืน แพงช่วยกันเก็บเก้าอี้ เก็บเวทีกับชาวลิเกหญิงชาย สมัยแอบมองแพงคิดว่ามันเอาจริงแฮะ แสวงล้างหน้าเสร็จเดินมาหอมแก้มสมัย แล้วเดินออกไปด้วยกัน กอดกันหอมกันไปตามทาง แพงมองตามแล้วทำงานต่อ
วันใหม่...แสวงนอนเล่นอยู่หลังเวที คุณน้าแม่ยก ท่าทางคุณนายเดินมาหา ยิ้มยั่วยวนให้ท่าตลอดเวลา
“พ่อแสวง...นี่ๆ พี่เอาของมาฝาก”
คุณน้ายื่นขนมให้ แสวงรับมา
“ขอบคุณครับคุณน้า เอ้อ...คุณพี่”
“พี่เพิ่งออกรถใหม่ กะว่าจะไปเที่ยวบางปู ไปกับพี่ไหมล่ะ”
“ไปบางปูหรือ”
“เต้นรำ ดูนก แบบคนมีกะตังค์เขาน่ะ พี่ไม่ชวนใครไปหรอก ไปกันแค่สองคน เอ้อ...” คุณน้าเขินอายพูดเบาๆ “ค้างสักคืนหนึ่ง เดี๋ยวก็กลับ”
สมัยยืนแอบมองอยู่
“นังคุณนายนี่ หนอย เอาเงินมาล่อ”
แพงมาจากไหนไม่รู้ เดินผ่านหน้าสมัยไปจัดการคุณนายคนนั้นทันที เข้าไปผลักคุณนาย
“นี่ นังคุณนาย พ่อแสวงเขามีเมียอยู่แล้ว โน่นไง พี่สมัยเจ้าของคณะเศษเงินของหล่อนน่ะ พ่อแสวงเขาไม่สนใจหรอก แก่แล้วก็ไปเข้าวัดโน่นไป๊”
“เอ๊ะ อีไพร่ เอ็งเป็นใคร รู้ไหมฉันเป็นใคร”
“พรากผัวพรากเมียคนอื่น ไม่รู้จักละอายแก่ใจ แก่ไม่รู้จักอยู่ส่วนแก่ จะชอบพอพ่อแสวงก็ให้มันพอเหมาะพอควร นี่อะไร้ มาให้ท่าชวนเขาไปค้างคืน ถามจริงๆ รุ่นนี้แล้ว ปีนขึ้นเตียงไหวหรือ”
“อี๊...ไหวไม่ไหว ตบมึงได้แล้วกัน”
คุณน้าเข้าไปจิกหัวแพงมาตบ แพงงงอยู่ครู่ พอคุณน้าเข้ามา แพงถีบ ทั้งสองตบกันไปมา ชาวลิเกออกมาดูกันหัวเราะกันใหญ่
“เอาโว้ย ลุยๆๆ”
แพงฝีมือดีกว่า เอาหัวของคุณน้าโขกเสาเปรี้ยงๆ
แพงหน้าตายับเยินเขียวเป็นจ้ำ เดินมาเอาผ้าเช็ด โอดโอยเจ็บไปทั้งตัว
“โฮ้ยเจ็บๆๆ...อีแก่ เจอกันคราวหน้า จะไม่เอาแค่ตบ จะถลกหนังหัวออกมาทั้งแผงเลย หนอย”
“เอ้านี่ยา”
สมัยเดินเอาหลอดยามาให้
“ขอบใจจ้ะ พี่สมัยไม่ต้องกลัวนะ แม่ยกคนไหน มันล้ำเส้น อีแพงคนนี้จัดการให้เอง นี่ถ้ามันไม่ขู่จะตามตำรวจมา ฉันเอามันถึงตายแน่”
“ช่างมันเถอะ อีคุณนายหัวโนไปสองลูก มันคงไม่กล้าแล้วล่ะ เออ...ขอบใจโว้ย”
สมัยมองหน้า ชั่งใจว่าจะบอกหรือไม่บอก
“โอ๊ย เจ็บๆ”
แพงหันไปทายา สมัยมองๆก่อนจะถาม
“ผัวเอ็งหายไปจากบ้านกี่วันแล้วล่ะ”
“ผัวไหน...” แพงเพิ่งนึกออก “เอ้อ...ก็หลายวันแล้วจ้ะ เขาไม่สนใจฉันเลย”
แพงแกล้งเศร้า สมัยมองหน้า
“ถ้าข้าพูดอะไร เอ็งต้องสัญญานะว่าจะไม่บอกคนอื่น ไม่งั้น ข้าเอาเอ็งตายแน่”
แพงพยักหน้ารับ
“สัญญาจ้ะ สัญญา”
สมัยมองซ้ายมองขวา
“พ่อแสวงเนี่ย ตอนได้กันใหม่ๆ มันก็แค่คิดจะปอกลอกฉัน เมื่อก่อนมันเจ้าชู้ คลำไม่มีหาง มันก็เอาทั้งนั้น แต่อย่างว่านะของพรรค์นี้ คนเป็นเมีย มันต้องมีวิธีมัดใจ”
“เห็นไหม ฉันนึกอยู่แล้ว คนฉลาดอย่างพี่น่ะ ต้องมีของดี”
สมัยพยักหน้าให้ว่ามีจะพาไป
ค่ำคืนนั้น ทั้งสองนั่งเรือจ้างมาที่บ้านหลังใหญ่ที่แฝงกายอยู่ในสวนริมน้ำดูวังเวงหน้ากลัว แพงรู้สึกหวาดๆ
“แถวนี้มันเย็นๆนะ”
“อาจารย์ชูท่านเลี้ยงผีไว้เฝ้า มันก็เย็นๆอย่างนี้แหล่ะ”
แพงหน้าตื่น
“หา !”
สมัยเดินนำไป แพงเดินตามหวาดๆ
สมัยพาแพงมาในสำนัก อาจารย์ชูที่แผ่นหลังสักลายเสือเต็มหลัง กำลังเข้าทรงปู่ฤาษี ทีท่าและเสียงจึงเหมือนคนแก่ ตัวสั่นเป็นจังหวะ ตาปรือ สวดภาษาเขมร รอบข้างมีกระโหลกผี มีกุมารทอง มีของเร้นลับต่างๆ ในบ้านล้อมรอบด้วยคนที่มาขอให้ช่วยมากมาย ทุกคนพนมมือกลัวๆ แพงรำพึงในใจ
‘พี่สมัยเล่นของจริงๆด้วย น่ากลัวจัง’
“นั่นไง อาจารย์ชูกำลังทำพิธีอยู่เลย” สมัยบอก
อาจารย์ชูสวดคาถาไป มือก็ผูกหุ่นดินสองตัวไปด้วย พออาจารย์พ่นพรวด หญิงกลางคนที่นั่งอยู่ข้างหน้าตัวสั่นขึ้นมาทันที ถูกมนต์ไปด้วยเพราะคือหุ่นหญิงที่ผูกอยู่นั่นเอง โดนของไปด้วยแล้ว
“ไม่ต้องตกใจเอ็งกับผัวเอ็งจะหนาวๆร้อนๆอยู่อย่างนี้สองสามวัน เอ้า เอาหุ่นนี้ไปซ่อนไว้ใต้เตียง กลับบ้านได้ ไม่เกินพรุ่งนี้เช้า ผัวเอ็งจะต้องซมซานกลับมาหาเอ็ง ฮะฮะฮ่า”
สมัยกระซิบแพง
“เมื่อคราวพ่อแสวง ข้ากลับไปถึงบ้าน มันมานั่งตัวสั่นรออยู่แล้ว คืนนั้นข้าเกือบตาย”
แพงหน้าตื่น
“เกือบตาย”
“ไอ้แหวงมันสะกิดเรียกทั้งคืนน่ะสิ” สมัยหัวเราะเขินๆ
“ของท่านดีขนาดนี้เชียวหรือ”
“ว่าแต่เอ็งจะมาขอให้ท่านช่วย เอ็งมีเงินมาเท่าไหร่”
“ต้องใช้เงินเยอะหรือจ๊ะ”
“เอ๊า...ได้ผัวคืนมาทั้งคน ต้องลงทุนกันหน่อยสิวะ”
แพงกลุ้ม เพราะไม่มีเงิน
อ่านต่อ หน้า 2
บ่วง ตอนที่ 7 (ต่อ)
วันต่อมา...พึ่งกำลังจะเอาผลไม้มาแกะ มาหั่น นับๆ คิดๆกองผลไม้ที่กองอยู่
“ผลไม้ของคุณหญิงหายไปไหนตั้งครึ่งวะ”
พึ่งมองอย่างแปลกใจ
ช่วงเวลาสำนักอาจารย์ชู ตอนกลางวันไม่รับแขก อาจารย์ชูตอนกลางวันจึงดูเป็นคนหนุ่มปกติ เดินออกมาเจอกองผลไม้ที่หิ้วมาเป็นเครือ เป็นกระบุงใส่ชะลอมมาบ้าง
“เฮ้ย...ข้าวของอะไรของใครวะ”
แพงที่นั่งกับพื้นรออยู่รีบเข้ามายกมือไหว้บอก นอบน้อม
“ของฉันเองจ้ะ ฉันเอามาให้อาจารย์ ฉันไม่มีเงิน แต่อยากให้อาจารย์ช่วยจ้ะ”
“ไม่มีเงิน ข้าก็ช่วยเอ็งไม่ได้ ของพวกนี้ข้าไม่ต้องการ”
อาจารย์ชูมองเมินแล้วเดินกลับเข้าบ้าน แพงเซ็งๆ
อาจารย์ชูกำลังนั่งสมาธิ ที่ต้องทำเป็นประจำทุกวัน วันละนานๆ เพื่อให้อาคมเก่งกล้า แพงเข้ามากวาดบ้าน...ถูบ้านให้...ทำสวน...เพื่อให้อาจารย์ชูเห็นใจยอมทำพิธีให้ อาจารย์ชูลืมตาจากสมาธิ มองออกไป เห็นแพงกวาดพื้นอยู่มุมหนึ่ง ส่ายหน้าแล้วนั่งสมาธิต่อ ไม่สนใจ ไม่ใจอ่อนกับแพง
วันต่อมา แพงกวาดพื้นเข้ามาในห้องของอาจารย์ชู เจอกุญแจอันหนึ่งตกอยู่ที่พื้น เธอมองซ้ายมองขวาเห็นไม่มีใคร มองกำปั่นแล้วหยิบกุญแจมาไขดู เปิดได้จริงๆ ในกำปั่นมีกองหนังสือ แพงยิ้มหยิบหนังสือออกมาอ่าน
“ตำราไสยเวทย์...ฮึ ไม่ช่วยเรา ทำเองก็ได้วะ”
แพงซ่อนหนังสือไว้ในผ้าขี้ริ้ว ที่หยิบมาจากแถวนั้น แพงได้ยินเสียงคนเดินมามองกุญแจแล้วคิดแล้วรีบวางไว้ที่พื้นที่เดิมแล้วหลบเข้าหลืบ อาจารย์ชูเดินมาถึง ก้มลงมองหาเจอกุญแจ
“อยู่นี่เอง”
อาจารย์ชูโล่งใจเก็บกุญแจไปมองกำปั่น มองสำรวจอย่างหวงแหนเล็กน้อย แต่ไม่เฉลียวใจเปิดดู เดินออกไป แพงยิ้ม รอดแล้ว มองหนังสือในห่อผ้า
ค่ำคืนนั้น พึ่งนอนหลับไปแล้ว แพงนอนอ่านตำราในมุ้ง ไม่ค่อยเข้าใจนัก อ่านแล้วหยุดไว้ กลุ้ม อยากจะทำเองก็ไม่เข้าใจ
“ฮึ่ย...แปลว่าอะไรวะ”
ค่ำคืนของอีกวัน คนมาขอให้อาจารย์ชูช่วยนั่งเต็มพื้นห้อง รอคิว แพงแอบอยู่ห่างๆมองอาจารย์ชูทำพิธีให้ชายคนหนึ่ง อาจารย์ชูเวลานี้ เสียงแก่ ทำท่าเหมือนคนแก่ เวลาทำพิธีจะเหมือนมีปู่ฤาษีมาเข้าทรง อาจารย์กำลังลนเทียนให้เกิดน้ำตาเทียนในขัน แล้วหยิบน้ำตาเทียนใส่ปากชายผู้ทำพิธี ที่โดนของมา
“เอ้า...เคี้ยวซะ เคี้ยวไปเรื่อยๆ”
อาจารย์ชูจับหัวชายคนนั้นแล้วท่องมนต์ ชายคนนั้นเคี้ยวสักพัก ก็กระอักกระอ่วนแล้วคายเทียนก้อนนั้นออกมาใส่ในกระโถน ชายคนนั้นมือสั่นชี้ไปในกระโถน สิ่งที่คายออกมา มีของบางอย่างปนอยู่ด้วย
“เส้นผม มาได้ยังไงครับ อี๊...มีน้ำมันดำๆด้วย”
แพงแอบเปิดตำราดูตรวจสอบ เพราะกำลังศึกษาวิชาด้วยตนเองจากการลักจำสิ่งที่อาจารย์ชูกำลังทำ
“เวลาคนเขาทำของใส่กัน เขาเอาเส้นผม กระดูกน้ำเหลืองคนตาย ยังไม่นับของต่ำอย่างพวกของเสียที่ออกมาจากร่างกายคน ก็ไอ้พวกนี้แหล่ะ”
ชายคนนั้นและคนที่มาล้อมอยู่ในห้อง ตื่นเต้นปนขยะแขยง บางคนชะโงกหน้ามาดู ส่งกระโถนให้กันดู เพื่อดูความศักดิ์สิทธิ์ของอาจารย์ชู
“นี่ผมโดนของจริงหรือครับ...ไอ้เที่ยงต้องเป็นไอ้เที่ยงแน่ ผมจะเสกของใส่มันบ้าง อาจารย์ช่วยผมนะครับ ผมจะเสกของใส่มัน เอาให้มันโดนหนักกว่าผม”
อาจารย์ชูยิ้มว่าเดี๋ยวจะจัดการให้
วันใหม่...คุณหญิงอบเชยต้องเดินทางไปบ้านสวนอีก เพ็ญกับคนขับรถกำลังขนกระเป๋าเดินทางใส่ในรถ ชื่นกลิ่นเดินหน้าบูดออกมาส่งแม่
“แม่ไปก่อนนะลูก ถ้าคุณยายหายดีเมื่อไหร่ แม่จะรีบมา”
“ฝากบอกคุณยายนะคะ ขอให้หายเร็วๆ เฮ้อ...อยากไปกับคุณแม่จัง ช่วงนี้น้องบัวกลับไปบ้านที่พระนครอีก บ้านนี้เหงาจัง”
“เราน่ะแต่งงานแล้วนะ ต้องดูแลคุณหลวง ดูแลบ้าน จะไปไหนมาไหนเอาแต่ใจตัวเองได้ยังไง”
ชื่นกลิ่นพยักหน้า จำใจ
“ถ้ามีอะไร โทรเลขไปบอกแม่ทันทีนะลูก”
คุณหญิงอบเชยหันมาเห็นเพ็ญกับคนขับรถพร้อมแล้ว เธอหันมองลูกสาว มองบ้านมีทีท่าอาลัยอาวรณ์ เพ็ญสงสัยถามเสียงเบา
“มีอะไรคะคุณหญิง”
“แค่รู้สึก...ไม่สบายใจน่ะ”
เพ็ญกระซิบ
“อีแพงมันโดนไปขนาดนั้นแล้ว มันไม่กล้าหรอกเจ้าค่ะ”
อบเชยพยักหน้าว่าคงจริง ขึ้นรถไป เพ็ญขึ้นตาม รถออกไป ชื่นกลิ่นไม่รู้อะไรเหมือนเดิม
อาจารย์ชูนั่งสมาธิอยู่ในห้องคนเดียว คนร้าย 3-4คน เอางูออกมาปล่อยเป็นถุงๆ ตามมุมต่างๆของบ้าน งูเลื้อยเต็มพื้นไปหมด คนงานหญิง หิ้วสำรับอาหารมา โยนโครมเพราะเห็นงูเต็มพื้นเลยวิ่งหนี คนงานชายคนหนึ่ง เอาไม้ไล่ตี พอเห็นงูเยอะขึ้นก็ตีไม่ไหวจึงวิ่งหนีไปอีกคน แพงเดินมา เจองูหลายตัวที่พื้นเข้าก็ตกใจมาก
“ว้าย งูๆ”
แพงจะหนีแต่นึกได้
“อาจารย์ชู”
แพงเอาไม้ไล่ๆ เขี่ยๆ เดินกระย่องกระแย่งเข้าไปในบ้าน ผ่านงูหลายตัว เสี่ยงตายเข้าไปในห้อง รีบไปเรียก
“อาจารย์! งูๆ งูเต็มบ้านเลย”
อาจารย์ชูลืมตาหันหน้ามา งูตัวหนึ่งอยู่ข้างตัว ชูหัวและแผ่แม่เบี้ยออกแล้ว ใกล้กับอาจารย์ชูมาก แพงเอาไม้ตีไปที่หัวงู อาจารย์ชูมองไปรอบๆ งูยังอยู่ตามมุมต่างๆนอกห้อง แพงรีบไปปิดประตูห้อง ถือไม้ มองไปรอบๆ ระแวดระวัง
“ไอ้อีหน้าไหนวะ มันกล้าส่งของพวกนี้มาให้ข้า”
“อาจารย์ไปทำคนไว้ตั้งเยอะแยะ คงโดนเขาล้างแค้นเอา แล้วคราวนี้จะรู้ไหมเนี่ยว่าใครทำ”
อาจารย์ชูหันมาด่าแพง
“อีนี่...ปากเสีย”
“เห็นนั่งสมาธิทุกวัน ท่องคาถากันไม่ให้ของเข้าตัว กลัวคนเขาแก้แค้นใช่ไหมล่ะ ได้เงินมาตั้งเยอะตั้งแยะ แต่มีชีวิตอยู่ยากนะเนี่ย”
อาจารย์ชูมองอย่างสงสัย
“เอ็งรู้คาถาด้วยหรือ ทำไมรู้ว่าข้าท่องคาถาอะไร”
แพงชะงัก
“ก็...ก็...เดาเอา ฉันช่วยอาจารย์ไว้ อาจารย์จะช่วยฉันบ้างได้หรือยัง”
“ข้ามีของดีมากมาย ฟันแทงไม่เข้า งูพวกนี้ต่อให้กัด ก็ทำอะไรข้าไม่ได้”
“อ้าว...เฮ้อ”
แพงเซ็งจะเดินออกไป อาจารย์ชูคิดๆ แล้วพูดขึ้น
“เอ็งมาช่วยข้าเพราะอยากให้ข้าช่วยเอ็งใช่ไหม”
แพงรีบพยักหน้า ยิ้มกว้าง ถลามาประจบ
“ใช่จ้ะ”
อาจารย์ชูนิ่งคิด แล้วเล่าให้แพงฟังว่าคนที่นำงูมาต้องเป็นเที่ยงแน่ๆ เพราะที่บ้านของเที่ยงมีงูอยู่ในบ่อปูนเอาไว้ขาย
“ไอ้คนที่มันเอางูมาปล่อยเป็นหมองูชื่อไอ้เที่ยง ไอ้นี่มันมีคาถาอาคมจับงูบังคับงู ไม่ว่างูดุแค่ไหนก็ไม่กัด คราวที่แล้วข้าเสกหนังควายใส่ท้องมัน มันนอนป่วยไปหลายวันต้องไปให้อาจารย์เส็งแก้ให้ ไอ้เส็งเอาหนังควายออกมาได้ คืนนั้น ข้ากับไอ้เส็งสู้กันทั้งคืน”
ค่ำคืนหนึ่งที่เรือนอาจารย์เส็ง...เพื่อนสองคนประคองเที่ยงที่ปวดท้องจนเดินไม่ไหว ให้เข้ามานอนในห้องพิธี อาจารย์เส็งมองเที่ยง แล้วเสกคาถา จับหัวเที่ยงสักครู่ เที่ยงก็อ้วกออกมา เพื่อนเอากระโถนไปรับ เป็นเลือด และมีก้อนดำๆคือหนังควาย เที่ยงหายปวด มองในกระโถน...อาจารย์เส็งยิ้ม
อาจารย์เส็งนั่งสมาธิเสกวัวธนูที่อยู่ตรงหน้า วัวตรงหน้าเกิดเรืองแสงขึ้น แสงจากวัวลอยขึ้นไปในอากาศ...อาจารย์ชูนั่งสมาธิตัวสั่น กำลังเสกของสู้กับอาจารย์เส็งมีแสงลอยเข้ามา เสือที่กลางหลังของอาจารย์ชูเรืองแสงขึ้น แล้วแสงจากเสือ ก็ลอยขึ้นไปสู้กับแสงจากวัวนั้นในอากาศ เปรี้ยง !...อาจารย์เส็งแพ้ หลุดจากสมาธิเหมือนโดนถีบยอดอก เลือดเป็นก้อนกระอักออกมา สะบักสะบอม นั่งไม่ติด...อาจารย์ชูคลายสมาธิ ยิ้มพอใจ สะใจ
อาจารย์ชูหัวเราะเบาๆ
“ฮึๆ สุดท้ายไอ้เส็งก็สู้ข้าไม่ได้ ไอ้เที่ยงมันคงแค้นที่ข้าไปทำมัน ทำอาจารย์มัน ก็เลยเอางูมาปล่อย”
แพงเข้าใจเรื่องราว
“อย่างนี้นี่เอง”
อาจารย์ชูคิดเล็กน้อย
“เอ็งอยากให้ข้าช่วย ก็ไปจัดการไอ้เที่ยงให้ข้าสิ”
“จัดการยังไง”
“ไม่รู้...ฮึๆๆ”
อาจารย์ชูหัวเราะแล้วเดินไป ตั้งใจสั่งงานเล่นๆ เลยไม่บอกรายละเอียด
“เอ๊าไม่บอกอะไรเลยหรือ”
แพงกลุ้มมาก
วันต่อมา เที่ยงพายเรือมา หลังจากจับงูมาจากในสวนได้อยู่ในกระสอบ กำลังจะกลับบ้าน พอพายผ่านใต้สะพาน จู่ๆผ้าถุงหล่นลงมาครอบหัว
“เฮ้ยๆๆ”
เที่ยงดึงผ้าถุงที่คลุมมิดหัวออก แพงที่อยู่บนสะพาน ร้องออกมาเธอเป็นคนปล่อยผ้าถุงลงมา
“ขอโทษจ้ะขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจ พอดีผ้ามันเปียกเลยเอามาสะบัดๆ”
เที่ยงมองผ้าก็หน้าตื่นตกใจ
“ผ้าถุง...ฮึ่ย ซวยบรรลัย...ฮึ่ย”
เที่ยงมองแพงอย่างโกรธจัดเขวี้ยงผ้าทิ้งน้ำ แล้วพายต่อ
“เอ๊า...เอาทิ้งน้ำทำไม ฉันเพิ่งใส่ไปหนสองหนเอง เก็บไว้ให้หน่อยไม่ได้หรือไง แหม...ฮิฮิฮิ”
เที่ยงพายเรือผ่านไป แพงมองตามเจ้าเล่ห์
เที่ยงมาถึงบ้าน หยิบกระสอบออกมาวางข้างบ่อดินพนมมือเสกคาถา แล้วเอามือล้วงไปในกระสอบงูหลายตัวกัดเขาพร้อมกัน เที่ยงร้องลั่น
“จ้าก!”
แพงแอบดูมุมหนึ่ง เบ้หน้า สยดสยอง เที่ยงชักตาตั้งแล้วล้มลงตาย งูหลายตัวเลื้อยออกมาจากกระสอบเข้าไปตามตัวของนายเที่ยง แพงถือไม้ป้องกันตัว แล้วเข้าไปดูใกล้ๆ แล้วเธอก็ต้องตกใจที่เห็นเที่ยงตาเหลือกตายตรงหน้า
แพงเล่าเรื่องให้ฟัง อาจารย์ชูตกใจอยู่ เพราะคาดไม่ถึง ว่าแพงจะทำได้
“มันตายเลยหรือ”
“ฉันไปถามคนแถวนั้นแล้ว มันตายจริงๆ”
“เอ็งฆ่ามันตายหรือ”
“เอ๊าก็อาจารย์สั่งให้ไปจัดการ ฉันก็ไม่รู้จะทำยังไงนี่”
“แล้วเอ็งรู้ได้ยังไง ว่าใช้ผ้าถุงคลุมมันแล้วคาถามันจะเสื่อม”
แพงอึกอักเพราะจริงๆเธออ่านตำรามา
“ก็...ก็ลองดู”
“เอ็งเคยฆ่าคนหรือเปล่า”
“ฉันไม่ได้ฆ่า งูมันฆ่า ฉันไม่เกี่ยว”
อาจารย์ชูมองหน้าแพงทึ่งๆ
“สันดานเอ็งนี่มันชั่วช้านัก ฆ่าคนตายทั้งคนยังทำหน้าเฉยๆ ไม่เดือดร้อน”
“อาจารย์ก็มีสันดานแบบฉันไม่ใช่รึ”
อาจารย์ชูหน้าขรึม สักครู่ก็หัวเราะออกมา
“ฮะฮะฮ่า เอ็งอยากให้ข้าช่วยอะไร”
“ฉันอยากให้ท่านทำเสน่ห์ให้ผู้ชายที่ฉันหมายปอง”
“เอานี่ไป”
อาจารย์ชูยื่นกระปุกเล็กๆให้ แพงรับมา
“ขี้ผึ้งน้ำมันพราย แค่ให้รักให้หลง รดน้ำมนต์ธรณีสารเดี๋ยวเดียวก็สิ้นความขลังแล้ว”
อาจารย์ชูมองหน้า
“เอ็งรู้วิธีแก้ได้ยังไง”
แพงมีพิรุธเพราะขโมยของเขามาอ่านมาศึกษา จนมีความรู้อยู่บ้าง
“ก็...ก็ดูเอา ฉันมาหาอาจารย์ทุกคืน ก็มาแอบดูทุกคืนแหล่ะ ฉันอยากให้อาจารย์ฝังรูปฝังรอยให้หน่อย”
“ถึงกับฝังรูปฝังรอย คิดจะเล่นของหนักเลยนะ ผู้ชายที่ไหน มันเป็นใคร”
“คุณหลวงภักดีบทมาลย์”
อาจารย์ชูตะลึง
“อีนี่ ...ทะเยอทะยานนัก หมายปองของสูงจนเกิดศักดิ์ เป็นแค่บ่าวไม่ใช่รึ”
“ฉันเป็นลูกท่านเจ้าคุณ เป็นน้องสาวของเมียคุณหลวง แล้วฉันก็เจอคุณหลวงมาก่อน”
“เอ็งนี่มันบ้าดีเดือดแท้ๆ เขามีเมียอยู่แล้ว เวรกรรมถึงตกนรก”
“อาจารย์รู้จักเวรกรรมจริงหรือเจ้าคะ”
อาจารย์ชูยกกระโถนขึ้นเตรียมฟาด
“หนอย...”
แพงรีบหลบ ยิ้มแห้งๆ
“กลัวแล้วๆ ขอโทษจ้ะ”
“ไปเอาของประจำตัวมันมา”
แพงรีบนั่งลงกราบแล้วกราบอีก
“ฉันกราบขอบคุณ ฉันจะขอเป็นศิษย์รับใช้อาจารย์ชูไปจนตาย”
แพงลุกขึ้นแล้วรีบไป
“เดี๋ยวๆเอ็งรู้เรอะ ว่าให้ไปเอาอะไร”
“รู้จ้ะ”
อาจารย์ชูงง ส่ายหน้าไม่สนใจอีก
หลวงภักดีบทมาลย์ อ่านหนังสืออยู่ในห้องนั่งเล่นโดยมี ชื่นกลิ่นนั่งปอกผลไม้ ปรนนิบัติอยู่ ชื่นกลิ่นป้อน หลวงภักดีหันมาแต่ไม่กินผลไม้ หันมาจูบมือแทน
“อุ๊ย ไม่เอาค่ะ กลางวันแสกๆ เดี๋ยวคนมาเห็น”
ทั้งสองคนหัวเราะจู๋จี๋กัน แพงเดินเข้ามาในบ้าน ด้านหลัง แอบๆอยู่มุมหนึ่ง
“ฮึ รักกันดีนัก เดี๋ยวเถอะ”
แพงแอบอยู่ ข้างหลังเดินต่อไป จะขึ้นไปบนห้อง
แพงแอบเข้ามาในห้องนอนคุณหลวง มองซ้ายมองขวา ปิดประตูเดินเข้ามามองๆ แล้วไปที่เตียง มองหาได้เส้นผมมาจากหมอนของคุณหลวง ก็หยิบเอาใส่ถุงผ้าไว้ยิ้มพอใจ
ค่ำคืนนั้น...อาจารย์ชูกำลังทำพิธีให้แพง หยิบขี้ผึ้งมาปั้นเป็นคนแล้วเอาเส้มผมจากถุงผ้ากดลงไป ก่อนจะลงอักขระวันเดือนปีเกิด แพงอ่านตำรามารู้บ้างแล้วก็ครุ่นคิดในใจ จดจำการทำพิธี
‘ขี้ผึ้งคนตายผสมดินเจ็ดป่าช้า ปั้นขึ้นมาเป็นหุ่นคน ที่มีเส้นผมของคนคนนั้นลงอักขระวันเดือนปีเกิด คาถาต้องคอยหมั่นท่องไว้กำกับ’
อาจารย์ชูหยิบหุ่นมาอีกตัว แพงเด็ดผมของตนให้ อาจารย์ชูรับมากดลงบนหุ่นตัวที่สอง ลงอักขระวันเดือนปีเกิด เอาหุ่นทั้งสองตัวมาประกบหน้ากับหน้า พันด้วยใบดอกรัก แล้วผูกด้วยสายสิญจณ์ เริ่มท่องมนต์
“โอม หลวงปู่ฤษี ผู้มีฤทธิ์ โอม ผีป่า ผีป่วง ผีห่า ขอจงมาดื่มกินของเซ่นไหว้”
ด้านนอก ลมพัดแรง หมาหอนไปรอบๆ สักพักมีควันดำลอยเข้ามาเหนือโต๊ะของเซ่นที่มี ของสด เลือด เหล้า เสียงน่ากลัว เหมือนมีวิญญาณร้ายเข้ามากัดกินของพวกนี้ แพงเริ่มหนาวสั่นรำพึงในใจ
‘จู่ๆหนาวขึ้นมาเหมือนตำราเขียนเปี๊ยบ’
อาจารย์ชูส่งเสียงขึ้น
“โอม ให้ช้างลืมโขลง โอม ให้โขลงก็ลืมไพร โอมให้มันร้อนเร่า โอมให้มันรักใคร่ โอมให้มันอยู่มิได้”
จากนั้นอาจารย์ชู ก็บริกรรมคาถาภาษาเขมร แพงรีบยกมือไหว้ ปากพึมพำตาม
‘คาถานี้ข้าจะจดจำ ข้าจะท่องมันทุกคืนทุกวัน คุณหลวงต้องหลงรักข้าทุกกลางวัน ทุกกลางคืน แม้ภพนี้ ภพหน้าข้าก็จะจดจำนำคาถานี้ไปกำกับ ให้คุณหลวงหลงรักข้าไม่เสื่อมคลาย’
เสียงสวดของอาจารย์ชู ดังขึ้นๆ ดูน่ากลัว
หลวงภักดีนอนหลับอยู่ ข้างๆชื่นกลิ่น เขากระสับกระส่าย เสียงสวดภาษาเขมรดังเข้ามาอย่างต่อเนื่อง น่ากลัว !
รัมภาฟังเรื่องราวที่ช่วงเล่าอย่างอึ้งๆ
“ของพวกนี้ ใช้ได้จริง มีอยู่จริงหรือเจ้าคะ”
“อาคมของขลัง เหมือนความรู้ทั่วไป อยู่ที่ผู้ใช้จะนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์หรือ เป็นโทษ ผู้มีปัญญาแต่ไม่มีคุณธรรม กลายเป็นทรราชย์เข่นฆ่ามนุษย์เป็นล้านๆคน เราก็เคยเห็นมาแล้ว คนเล่นของพวกนี้ก็เช่นกัน มีปัญญาสูงแต่ไร้คุณธรรม”
พัชนีสงสัยและไม่เข้าใจ
“คนดีๆ ไม่เคยทำร้ายใคร จะพ่ายแพ้ต่อของต่ำๆพวกนี้ได้ยังไงกัน”
“เรื่องเป็นยังไงต่อคะ เล่าต่อสิคะ”
รัมภาอยากรู้เรื่องต่อ ช่วงจึงเริ่มเล่าอีกครั้ง
หลวงภักดีบทมาลย์กระสับกระส่ายจนตื่น ปัดผ้าห่มออก มองชื่นกลิ่นหงุดหงิด เดินออกไป หน้าตาของเขา ร้อนรุ่ม หงุดหงิดเดินมา กล้าออกมามองแล้วออกมาคุย
“คุณหลวง ดึกป่านนี้ ลงมาที่เรือนคนใช้ทำไมขอรับ”
“ฉันมาหาคน”
“มาหาใคร มาหาผมหรือครับ”
“เปล่าๆ ช่างเถอะ”
คุณหลวงไม่เจอแพงก็เซ็งๆเดินกลับ ลมพัดแรง ใบไม้ปลิวเล็กน้อย คุณหลวงเดินหนาวไปตามทาง เพราะฤทธิ์ของคุณไสย
อ่านต่อหน้า 3
บ่วง ตอนที่ 7 (ต่อ)
หลวงภักดีบทมาลย์ เดินกลับมาจะนอน มองชื่นกลิ่นแล้วหงุดหงิด ไม่อยากนอนด้วย เดินออกไป เนื่องจากเรือนเล็กไม่มีใครอยู่ เพราะบัวสวรรค์ไปกรุงเทพ คุณหลวงเดินไปเอนนอนที่ห้องในเรือนหลังเล็ก แต่นอนไม่หลับคิดถึงแพง
ลมพัดแรงสักครู่ฝนก็ตกลงมา ทันใดนั้นประตูเรือนเล็กเปิดออก แพงเดินเข้ามายืนที่ประตูคุณหลวงหันไปมอง เสียงสวดยังดังควบคุมจิตใจของคุณหลวง เขาพุ่งเข้าไปกอดจูบแพงอย่างหื่นกระหาย
เมื่อได้ฟังเรื่องราวจากช่วงถึงตอนนี้ รัมภาตะลึงรับไม่ได้ ลุกขึ้นยืน ส่งเสียงดัง
“ไม่...เป็นไปไม่ได้ ไม่จริง”
“คุณรัมภา” พัชนีตกใจ
รัมภาโวยช่วง ดูสติแตก
“คุณเป็นใครฉันไม่รู้จัก เรื่องที่เล่าก็เป็นแค่นิทาน เรื่องชาติภพ มันไม่มีอยู่จริงหรอก คุณลุงโกหก”
พัชนีรีบแย้ง
“คุณลุงไม่เคยโกหกนะคะ”
ช่วงมองรัมภาไม่โกรธ เมตตาเหมือนเดิม ใจเย็นอ่อนโยนต่อเธอ
“หายใจเข้าออก ลึกๆ...ตั้งสติเอาไว้ พร้อมยอมรับทุกอย่างที่เกิดขึ้น”
“ไม่...ฉันไม่ยินดีรับอะไรทั้งนั้น คนอย่างฉัน ไม่เคยทำบาปทำกรรมกับใคร ไม่เคยแย่งของๆใคร ไม่เคยทำผิดจารีตประเพณี ไหนคุณลุงบอกไงคะว่านี่คือ กฎแห่งความยุติธรรม แล้วนี่มันยุติธรรมตรงไหนไม่ทราบ”
รัมภาพูดเสร็จก็หันออกเดินหนีไป โมโหมาก พัชนีมองอย่างไม่เข้าใจ
“เขาโกรธอะไรคะ ทำไมต้องมาว่าคุณลุง”
“เขาไม่ได้ว่า เขากำลังช็อก ยอมรับความจริงไม่ได้ เพื่อรักษาชีวิตและจิตใจของตัวเอง เขาก็เลยเลือกที่จะปฎิเสธความจริง...หนูพัชฟังนะ ตามคุณรัมภาไป อย่าให้ห่างจากสายตา ดูแลเธอให้ดีที่สุด”
พัชนีพยักหน้ารีบตามรัมภาไปทันที รัมภาหน้าเครียดเร่งรีบขึ้นรถจะไปไหนสักแห่ง พัชนีรีบกระโดดขึ้นรถตามไป
“คุณภาจะไปไหนคะ พัชไปด้วยค่ะ”
รัมภาขับรถออกไปกับพัชนีอย่างรวดเร็ว
อนุกูล วรรณศิกาและเด็กแฝด นั่งทานอาหารกลางวันเสร็จแล้วกำลังทานของหวาน รัมภาเดินเร็วมาที่เด็กทั้งสอง หน้าเครียด พัชนีตามมาติดๆ อนกูลหันไปทัก
“เอ้ามากันแล้ว ทานอะไรมาหรือยังครับ”
“กลับบ้านกับแม่เดี๋ยวนี้”
รัมภาดึงมือลูกทั้งสองจะเอาตัวกลับโดยเร็วที่สุด รัสตี้งงๆ
“ผมยังทานไอศกรีมไม่หมดเลย”
อนุกูลกับวรรณศิกาอึ้งงง กับท่าทางเคร่งเครียดรีบเร่งไร้เหตุผลของรัมภา
“นี่จะรีบไปไหนกันคะ”
“ฉันจะกลับกรุงเทพเดี๋ยวนี้เลย”
อนุกูลแปลกใจ
“กลับกรุงเทพตอนนี้เลยหรือ”
“ค่ะ ขอกุญแจบ้านด้วย ฉันจะไปเก็บของ”
“เอ้อ...ทำไมรีบร้อนจัง นั่งลงคุยกันก่อนดีไหมครับ”
“ไม่ ฉันไม่มีเวลาแล้ว นี่ใช่ไหมคะ กุญแจ” รัมภาหยิบจากโต๊ะข้างตัวอนุกูล ”เร็วเข้าค่ะไลล่า”
รัมภาลากลูกทั้งสองไป พัชนีหันไปบอกอนุกูลกับวรรณศิกา
“เอ้อ...งั้นพัชไปเก็บของด้วยนะคะ”
“เอ้า เธอจะกลับเหมือนกันหรือ” วรรณศิกาถามอย่างแปลกใจ
“ลุงช่วงสั่งว่าให้อยู่เป็นเพื่อนคุณภาค่ะ”
พัชนีรีบไปอีกคน อนุกูลหน้าเหวอ
“เฮ้ยอะไรของเขาวะเนี่ย จู่ๆ เป็นอะไรขึ้นมา”
“เอ...ท่าจะไม่ดี รีบจ่ายเงินแล้วตามเขากลับกรุงเทพเถอะ”
อนุกูลพยักหน้าเห็นด้วย
ศามนนั่งลงที่โซฟาปวดหัวมาก ร้อนกระสับกระส่าย ภาพของเดือนแรมสวยเซ็กซี่ยั่วยวนที่อยู่ในหัวเข้ามาอีกแล้ว เขาพยายามสลัดภาพเหล่านอกออกจากหัวแต่ก็ไม่สำเร็จ ทันใดนั้น เดือนแรมก็เปิดประตูผางเข้ามาด้วยท่าทางยั่วยวน ศามนไม่สามารถจะทนทานต่ออารมณ์ใคร่ได้อีกเขาเข้าไปกอดจูบเดือนแรมอย่างหื่นกระหาย
รัมภาขับรถมาตามทาง แท้จริงรัมภาเกิดลางสังหรณ์ของผู้หญิงลึกๆในใจ การทิ้งศามนไว้คนเดียวไม่ดีแน่ มันต้องมีอะไรเกิดขึ้น ในเมื่อชะตาของศามนกับแพงวุ่นวายกันขนาดนั้น รัมภาไม่สามารถอธิบายได้ เลยขับรถไปเงียบๆ ลูกทั้งสองนั่งอยู่ข้างหลัง พัชนีก็ไม่กล้าถาม นั่งอยู่ข้างๆ เหลือบดูเกวัดความเร็วที่มันเร็วขึ้นอย่างกังวลใจ เพราะรัมภาขับเร็วมากกว่าปกติ
เมื่อถึงบ้าน รัมภาจอดรถแล้วเดินลงมา อยากเห็นหน้าศามนก่อนอย่างอื่นเพื่อให้แน่ใจว่า ทุกอย่างเรียบร้อย
“ฉันขึ้นบ้านก่อนนะคะ ฝากเด็กๆหน่อย”
“เอ้อ ค่ะ !”
พัชนีงงๆ จะรีบไปไหน เลยหันไปดูแลเด็กๆให้ลงจากรถ รัมภามองไปรอบๆ ไม่เห็นใครในห้องนั่งเล่น เธอรีบขึ้นไปที่ห้องนอน รัมภามองที่ประตูมองที่ลูกบิด ใจเต้น ตึกตัก บอกไม่ถูกว่ากลัวอะไร ตัดสินใจเปิดเข้าไป ศามนเดินมาหาหน้าตาปกติ เดาไม่ออกว่าซ่อนอะไรไว้ไหม
“เอ้า ภากลับมาแล้วหรือ”
สายตารัมภามองไปรอบๆห้อง ไม่พบสิ่งผิดปกติ
“ไม่เห็นโทรบอกว่าจะกลับวันนี้...มองหาอะไร”
“เอ้อ...เปล่าค่ะ”
ศามนดูเป็นปกติมากไม่มีพิรุธเลย
“เด็กๆอยู่ข้างล่างหรือ ผมคิดถึงลูก ไปหาเขากัน”
รัมภาพยักหน้า ศามนจูงมือไป ผ่านมุมหนึ่งที่เธอเคยแขวนเสื้อไว้แล้วนึกได้
“เสื้อคลุมของฉันหายไปไหน”
ศามนชะงักกึก
“อะไรนะ”
“ก่อนออกจากบ้าน ฉันแขวนไว้ตรงนี้”
ศามนตกใจหน้าซีด รัมภาเริ่มมองละเอียดขึ้นเห็นชายเสื้อออกมาจากใต้เตียงเลยเปิดออกดู เห็นเสื้อผ้าชุดชั้นในของเดือนแรมซุกอยู่ ศามนยืนนิ่ง รัมภาเปิดผ้าคลุมเตียงออกดูเห็นเสื้อผ้าเดือนแรม
“เสื้อผ้าผู้หญิง !”
รัมภามองไปที่ห้องน้ำแล้วพุ่งไปทันที ศามนหน้าตื่น
“ไม่ นะภา !”
รัมภาเปิดประตูห้องน้ำออก เดือนแรมยืนอยู่ในชุดเสื้อคลุมหน้าตามั่นใจไม่สะทกสท้าน
“ชุดเสื้อคลุมที่ว่า อยู่นี่ค่ะ!”
เดือนแรมยักไหล่ ชี้ตัวเอง เพราะเป็นคนเอามาใส่เอง สีหน้าเฉยๆ เหมือนเป็นเรื่องธรรมดามาก รัมภาร้องกรี๊ดยาว ดังลั่น ด้วยความช็อกสุดขีด !
พัชนีอยู่กับเด็กแฝด ได้ยินเสียงแล้ว รีบวิ่งขึ้นไป
“คุณภา !”
รัมภาช็อกไม่มีคำพูด มองคนทั้งสองคนตรงหน้า มองไปมองมา ศามนเดินเข้าไปหา จะอธิบาย
“ผมเอ้อ...”
รัมภา พยายามนึกว่าเกิดอะไรขึ้น เธอยิ่งคิด ยิ่งเจ็บปวด ร้องกรี๊ดออกมาอีกครั้งแล้วเป็นลมไป ศามนพุ่งเข้าไปรับไว้ทัน แพงโผล่ออกมาอย่างน่ากลัวที่มุมหนึ่ง หัวเราะสะใจ
“ฮะฮะฮ่า ฮะฮะฮ่า”
พัชนีวิ่งเข้าห้องมา ศามนอุ้มรัมภาไป พร้อมบอกพัชนี
“หยิบกระเป๋า เอากุญแจรถ ผมจะพารัมภาไปโรงพยาบาล”
พัชนีรีบทำตามคำสั่ง วิ่งตามศามนไป เหลือแต่ แพงที่หัวเราะสะใจข้างๆเดือนแรม...ศามนอุ้มรัมภามา ผ่านลูกทั้งสองที่ยืนมองงงๆ
“หม่ามี้...หม่ามี้ เป็นอะไรคะ”
“คุณแม่ไม่สบาย ไม่มีอะไร อยู่บ้าน ไม่ต้องตามพ่อมา”
พัชนีวิ่งตามศามนออกไปข้างนอก เพื่อไปเปิดประตูรถให้ หล้า คำ บุญสืบเพิ่งมาถึง บุญสืบมองงงๆ
“คุณหนูมาแล้วหรือครับ เอ้าแล้วคุณผู้หญิงเป็นอะไรครับ”
เด็กแฝดได้แต่ยืนงงกับพวกคนใช้
คุณหญิงอบเชยได้แต่ยืนร้องไห้ ยื่นมือออกไป หัวใจสลาย ห่วงลูกรัก แต่ไม่สามารถทำอะไรได้
“ลูกแม่ ฮือลูกแม่ เข้มแข็งไว้ลูก อย่าเจ็บปวดไปมากกว่านี้ เพราะทุกๆหยดน้ำตาของคนเป็นลูก คนเป็นแม่จะร้องไห้ยิ่งกว่า ฮือ”
คุณหญิงทรุดตัวลงนั่งไม่สามารถทำอะไรได้ดีไปกว่านั้น
เดือนแรมเอาเสื้อผ้าของตนเองมาแต่งตัวหน้ากระจกออย่างมีความสุข
“ฮึ...ยิ่งช็อกยิ่งดี หย่าๆไปเลย ฉันจะได้มีผัวดีๆกับเขาเสียที”
แพงโผล่มาอย่างน่ากลัว แต่เดือนแรมมองไม่เห็น
“ไม่ใช่ของเอ็ง แต่เขาเป็นของข้า เป็นของข้าคนเดียว”
“ยิ่งคิดยิ่งแปลก เรามาที่นี่ได้ยังไงวะ มีผัวกี่คน กี่คนก็ไม่เหมือนคนนี้”
เดือนแรมครุ่นคิดถึงอดีต ที่ตนยังงงงวย...เธอไม่รู้เหมือนกันว่ามาได้อย่างไร ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะอำนาจของแพงทั้งสิ้น...ขณะที่กอดจูบกับศามน เดือนแรมรู้ตัวไม่เต็มที่ แต่รู้สึกได้ เพราะ ร่างของแพงซ้อนอยู่ในตัวของเดือนแรม ทำให้ศามนนอนกับผู้หญิงสองคน...เวลาผ่านไป ศามนเคลิบเคลิ้มหลับมีความสุข เคียงข้างด้วยผู้หญิงสองคน
เดือนแรมรู้สึกประหลาดเหมือนมีอีกคนในห้องมานอนด้วยกัน แต่ไม่อยากสนใจ
“อืม เหมือนไม่ใช่แค่เราสองคน ฮึ่ย...ช่างเถอะ”
อนุกูลกับวรรณศิกาเพิ่งมาถึง เดินเข้ามาหาพัชนีที่กอดเด็กแฝด อยู่กับพวกของบุญสืบ
“นี่มันเรื่องอะไรกัน คุณพัช ในโทรศัพท์พูดจาอะไรก็พูดไม่รู้เรื่อง ตกลง คุณรัมภาเป็นอะไร”
เดือนแรมเดินลงมาจากบนห้อง ทุกคนตกตะลึง หล้าเข้าไปถาม
“นี่คุณนายมาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“นานแล้ว” เดือนแรมตอบนิ่งๆ
คำสงสัยมาก
“ไปอยู่ไหนมา ทำไมเราไม่เห็น”
เดือนแรมเชิดหน้าตอบออกมาหน้าตาเฉย
“อยู่ห้องนอน กับคุณศามน”
ทุกคนช็อก เดือนแรมยิ้มร้าย
“สวัสดีจ้ะ รัสตี้ไลล่า ไปเล่นน้ำมาล่ะสิ ตัวดำเชียว วันนี้น้าไปก่อนนะ แล้ววันหลังจะมาคุยด้วย”
“คุณน้าไปทำอะไรบนห้องนอนครับ” รัสตี้ถามอย่างอยากรู้
เดือนแรมหน้าระรื่นกำลังจะพูด
“ก็ไป...”
อนุกูลรีบตัดบทกระแอมเสียงดุ เตือนให้มีมโนสำนึกบ้าง สายตาตำหนิ เดือนแรมเลยหยุด หัวเราะร่าแล้วออกไป บุญสืบโกรธจี๊ด
“หนอยอีคุณนายชาติชั่ว กูทนไม่ไหวแล้ว”
บุญสืบจะลุกไปตามตบ คำกับหล้ารีบกระซิบ
“อย่าพูด...อย่าทำอะไรทั้งนั้น เดี๋ยวคุณหนูรู้เรื่อง”
บุญสืบมองเด็กแฝดอย่างสงสาร
“โธ่คุณหนู ของบุญสืบ”
เด็กทั้งสองงงๆ มองไปมา ทุกคนในที่นั้นเครียด เกิดเรื่องใหญ่แล้ว
เดือนแรมเดินมาตามทางจะกลับบ้าน คุณหญิงอบเชยโผล่มายืนด่า
“อีหน้าด้าน คิดจะพรากผัวพรากเมียคนอื่น ไม่มีคำว่าละอาย คนอย่างมึงร่างกายเป็นคน แต่จิตใจคือสัตว์ดิรัจฉาน ทำตัวเหมือนหมูหมากาไก่ เสพไม่เลือก”
คุณหญิงอบเชยมองไปที่กระถางต้นไม้ ใช้กำลังจิตบังคับมัน ให้มันลอยขึ้นจะให้ไปโดนหัวเดือนแรม กระถางต้นไม้ลอยหวือไป แต่เป็นแพงที่ปรากฎตัวขึ้นเช้ง ปัดมันทิ้งไป ตกแตกเพล้งที่พื้นข้างๆ เดือนแรมหันมามองงงๆ
“หล่นมาได้ไงวะ ไม่ได้ชนสักหน่อย”
เดือนแรมส่ายหน้าแล้วเดินต่อไป
“ฮึ...กับอีแค่กระถางต้นไม้ น่าสมเพช มีเรี่ยวแรงแค่นี้ จะไปทำอะไรได้”
“เอ็งมันวิญญาณนรกแท้ๆ ตอนมีชีวิตอยู่ก็เลว ตายไปแล้วยังชักนำคนให้เลวอีก”
“ตัวแกดีนักหรือ ถ้าข้าอยู่ในนรก แล้วแกล่ะมาอยู่ที่เดียวกับข้าทำไม แกก็ลงนรกอยู่เหมือนกันนั่นแหล่ะ”
“ข้าอยู่เพื่อจองเวรจองกรรมคนอย่างเอ็ง”
“เอาเลย...ไม่กลัวหรอก ตอนมีชีวิตอยู่ แกเป็นนายข้า แต่ความตายมันยุติธรรมโว้ย จะต่ำสูงรวยจน ทุกคนก็ต้องตายกลายเป็นผีเท่าๆกัน ฮะฮะฮ่า ฮะฮะฮ่า แถมเป็นผีบ้านผีเรือน ที่ปกป้องลูกหลานไม่ได้! ฮะฮะฮ่า ฮะฮะฮ่า”
คุณหญิงโกรธจนตัวสั่น ร้องไห้ออกมา
“อีผีแพง กูจะฆ่ามึง กูจะฆ่ามึง ฮือ...เมื่อไหร่นรกจะมาเอาตัวคนอย่างมึงไปเสียที ก่อกรรมทำเข็ญตั้งแต่ยังมีลมหายใจจนตายไปแล้ว ฮือ...ปล่อยลูกข้าไป อย่ามายุ่งกับลูกข้า ฮือ...”
“เรื่องทั้งหมดนี้ มันเคยเกิดขึ้นแล้ว แล้วมันก็เกิดขึ้นอีก และมันจะเกิดขึ้นต่อไป ซ้ำซากวนเวียนอยู่อย่างนี้ ไม่มีวันจบสิ้น...”
แพงนึกถึงอดีต...เช้าวันใหม่ แพงยังนอนอยู่กับคุณหลวงที่ยังไม่ตื่น ชื่นกลิ่นเดินมามองหา มาเจอกล้า
“นายกล้า เห็นคุณหลวงไหม”
“ไม่เห็นนี่ครับ”
“เมื่อคืนเหมือนท่านจะลุกไปเข้าห้องน้ำแล้วเดินหายไป ไปไหนก็ไม่รู้”
กล้าตกใจ
พึ่งเดินตามหาลูกเปิดประตูห้องเข้ามาเห็น แพงนอนบนเตียงเดียวกับคุณหลวง ยังไม่ตื่นทั้งคู่
“คุณพระช่วย...” พึ่งเดินเข้ามาปลุก “อีแพง อีแพง อีแพงตื่นเร็วตื่น บัดสีจริงๆ”
กล้าที่เดินตามหาอยู่ เดินเข้ามาอีกคน รีบไปปลุกคุณหลวง
“อยู่ที่นี่เอง คุณหลวงครับคุณหลวง”
“อีแพงนี่แน่ะ” พึ่งฟาดเข้าให้ “ข้าทนไม่ไหวแล้วนะ ตื่นเดี๋ยวนี้”
แพงงัวเงียตื่น
“โฮ้ยแม่ เจ็บนะ มาตีฉันทำไม”
“เอ็งก่อเรื่องใหญ่แล้ว จะไม่มีเงาหัวก็คราวนี้แหล่ะ ลงมานี่เลย มานั่งตรงนี้ ลงมาจากเตียงมานั่งกับพื้นเดี๋ยวนี้”
พึ่งลากแพงลงมา แพงสะบัดไม่ยอม
“ก็ฉันนอนตรงนี้ จะให้ลงไปทำไมเล่า”
“คุณหลวง ตื่นเถอะขอรับ ก่อนที่ใครจะมาเห็นเข้า ออกไปจากห้องนี้ให้เร็วที่สุดครับ ไปเร็ว”
กล้าพยุงคุณหลวงขึ้นนั่ง แพงหันไปมองที่หน้าประตูยิ้มทันที
“อุ๊ย คุณชื่น...ตายจริงมาถึงนี่”
ชื่นกลิ่นมายืนตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เธอเห็นสภาพแพงนอนกับคุณหลวงบนเตียงเดียวกันเต็มๆสองตา พึ่งและกล้าตกใจ ไม่ทันเสียแล้ว พึ่งนั่งลงไหว้ปะหลกๆ
“คุณชื่นกลิ่น อีพึ่งขอโทษ พึ่งกราบล่ะเจ้าค่ะ อย่าทำอะไรนางแพงเลยนะเจ้าคะ”
ชื่นกลิ่นช็อกๆ เหวอๆ ไปไม่ถูก พูดอะไรออกไปก็ไม่รู้ตัว
“ฉันแค่ห่วงคุณหลวง เห็นหายมากลางดึก กลัวว่าจะเป็นอะไรไป”
ชื่นกลิ่นไม่รู้จะทำหรือพูดอะไรดีกว่านั้น คนอื่นก็ทำอะไรไม่ถูก ชื่นกลิ่นหันหลังกำลังจะกลับ
“เอ๊า...จะเดินไปเฉยๆ แค่นี้หรือคะ”
แพงรีบเดินไปหาไม่ให้คุณชื่นกลิ่นกลับไปง่ายๆ ชื่นกลิ่นน้ำตาร่วงลงมาในที่สุด รีบซ่อนหน้า
“อ๋อ...คงตกใจ ทำอะไรไม่ถูก...เอ๊า ร้องไห้ออกมาแล้ว”
“อีแพง...หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
พึ่งเข้าไปดึงแพงออกมา
“หยุดทำไม ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ความจริงก็คือความจริง คุณชื่นเจ้าขาต่อไปนี้อีแพงเป็นเมียอีกคนหนึ่งของคุณหลวงแล้วนะเจ้าคะ”
ชื่นกลิ่นน้ำตารินหันไปหาที่พึ่งเดียวของตน หวังว่าจะพูดคำว่าปฏิเสธ หวังว่าจะแค่เข้าใจผิด
“คุณหลวง จะไม่พูดอะไรหน่อยหรือคะ”
ชื่นกลิ่นสายตาอ้อนวอน กล้ากระซิบคุณหลวง
“ตอบปฏิเสธ บอกว่าไม่รู้เรื่อง”
“ฉัน...ฉันปวดหัว !”
ชื่นกลิ่นช็อกอีก แพงยิ้มสะใจ วางมาดผู้ชนะ
“เห็นไหม คุณหลวงไม่ได้ปฎิเสธ ตกลงเป็นอันรู้กันแล้วนะ รู้แล้วก็ช่วยบอกคนในบ้านทุกคนด้วย”
พึ่งโกรธจนตัวสั่น
“อีแพง ถ้ามึงไม่หยุด กูที่เป็นแม่มึงจะตบมึงให้ตายคามือ”
“เอ๊ะแม่นี่ จะมาตบฉันทำไม แทนที่จะดีใจ ฉันเป็นเมียของคุณหลวง แม่ก็ไม่ต้องไปเป็นคนใช้แล้วไง...ได้ยินไหม คุณชื่น ไม่สิ ต่อไปนี้ไม่ต้องเรียกคุณแล้ว พี่ชื่นขา เมตตาน้องคนนี้ด้วยนะคะ เราถือเป็นคนในครอบครัวเดียวกันแล้ว”
ชื่นกลิ่นร้องไห้ แล้วในที่สุดก็เป็นลมล้มพับไป พึ่งร้องวี้ด รีบพุ่งเข้าไปรับไว้ทันเวลาพอดี
“คุณชื่น !”
กล้าเข้าไปช่วยพึ่งประคอง
“พาไปที่เรือนใหญ่”
คุณหลวงได้แต่มองๆ เหวอๆ ตามประสาคนถูกของ สติสัมปชัญญะไม่สมบูรณ์ แพงเหยียดปากหมั่นไส้
“เฮอะ เป็นลม...โถแม่คุ้น น่าสงสารจริ๊ง!”
แพงหิ้วตะกร้าเสื้อผ้า กล่องใส่ของของบัวสวรรค์ที่อยู่ในห้องนอน ออกมาวางหน้าบ้าน บัวสรรค์เพิ่งมาจากพระนครพอดี ลงจากรถมองอย่างแปลกใจ
“เสื้อผ้า ข้าวของของฉัน ขนออกมาทำไม”
“เอ๊ามาพอดี คุณหลวงให้เอาออกมาวางเจ้าค่ะ ท่านจะใช้ห้องใหญ่ที่เป็นห้องเดิมของคุณ คุณจะอยู่ห้องเล็กของเรือนนี้หรือจะอยู่ที่เรือนใหญ่ ก็ตามใจนะคะ”
“ใช้ห้องใหญ่ ใช้ทำไม”
“ก็ใช้อยู่กับเมียท่าน ก็คือฉันนี่ไง”
บัวสวรรค์ตะลึง
“อะไรนะ”
กล้าเดินมาหา โวยวายใส่แพง
“มากไปแล้วนะนังแพง เรือนเล็กนี้เป็นเรือนที่คุณหญิงสร้างให้คุณบัวสวรรค์นะ”
“แล้วไง จะให้ฉันอยู่เรือนใหญ่หรือ เวลาฉันอยู่กับคุณหลวงตามประสาผัวเมียน่ะ คุณชื่นทนดูไม่ไหวหรอก เมื่อเช้ายังเป็นลม พี่ก็เห็น ที่ฉันหนีมาอยู่เรือนเล็กเนี่ยน่ะ เพื่อช่วยคุณชื่นกลิ่นหรอกนะ”
“นังแพง !” กล้าส่งเสียงดุ
“พี่ชื่น”
บัวสวรรค์นึกได้ห่วงมาก รีบไป แพงสะใจทิ้งข้าวของไว้เดินเข้าบ้านไปอย่างภาคภูมิใจมีความสุข
“เฮ้อ บ้านนี้จะได้เป็นของเราเสียที ยังมีอะไรต้องทำอีกนะ”
แพงครุ่นคิดต่อ
อ่านต่อหน้า 4
บ่วง ตอนที่ 7 (ต่อ)
ชื่นกลิ่นนอนร้องไห้อยู่บนเตียง บัวสวรรค์รีบเดินเข้ามากอด
“พี่ชื่น”
“น้องบัว ช่วยพี่ด้วย ฮือๆๆ”
“เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาได้ยังไง”
ชื่นกลิ่นได้แต่ตรอมใจ จะเล่าอะไรก็เล่าไม่ถูก
“พี่คิดถึงแม่ คิดถึงน้องบัว ฮือๆๆ คุณหลวง คุณหลวง ฮือ...”
บัวสวรรค์หันไปมองกล้าที่อยู่หน้าห้อง กล้าถอนใจ เรื่องครั้งนี้ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน
หลวงภักดีบทมาลย์นอนอยู่บนเตียงหน้าตาไม่ทุกข์ร้อน แพงเดินเข้ามาหา
“คุณบัวสวรรค์มาแล้วเจ้าค่ะคุณหลวง”
“งั้นหรือ”
“เธอบอกว่า เธอยินดียกบ้านนี้ให้ คุณหลวงอยู่ที่นี่นะคะ อยู่ห้องนี้อยู่กับแพง”
คุณหลวงมองหน้าและรูปร่างของแพงอย่างหลงใหล ในหัวมีแต่เรื่องที่จะนอนกับแพง
“ฉันจะไม่ไปไหนทั้งนั้น ฉันจะอยู่กับเธอ”
“แพงเห็นว่าคุณบัวน่าจะไปอยู่ดูแลคุณชื่นกลิ่นที่เรือนใหญ่ ให้เธอไปอยู่ที่เรือนใหญ่ดีไหมคะ”
“ดีจ้ะ ดี”
คุณหลวงดึงตัวแพงเข้ามาจะจูบ
“เดี๋ยวสิคะ งั้นแพงไม่ต้องเป็นคนใช้แล้วนะคะ เป็นเมียคุณหลวงยังต้องเป็นคนใช้ อายเขาเจ้าค่ะ”
“เธอไม่ต้องทำงานแล้ว อยู่กับฉันดูแลฉัน”
คุณหลวงจะจูบอีก
“เดี๋ยวค่ะอย่าเพิ่ง ยังคุยไม่จบ แล้วแม่แพงล่ะคะ มาอยู่ที่เรือนเล็กนี่ด้วยได้ไหม”
“อื้อ ได้สิจ๊ะ...ได้เลย”
แพงยิ้มพอใจ คุณหลวงกอดแพงลงไปที่เตียง เริ่มกิจกามกันอีกรอบ
พึ่งเดินเข้ามาที่ห้องนอน เห็นแพงเก็บเสื้อผ้าลงตะกร้าอยู่
“เอ็งจะทำอะไร”
“ก็เก็บเสื้อผ้า ฉันขอคุณหลวงแล้ว ท่านอนุญาตให้แม่ไปนอนที่ห้องเล็กที่เรือนเล็กเป็นเพื่อนฉัน โฮ้ย...เสื้อผ้าฉันมีแต่เก่าๆไม่เอาไปดีกว่า ไว้ขอเงินคุณหลวงไปตัดใหม่ เอาร้านเดียวกับคุณชื่นเลย”
พึ่งเข้ามาแย่งตะกร้าใส่เสื้อตัวเองคืน
“กูไม่ไป”
“เอ๊ะแม่ ฉันได้ดิบได้ดี มีวันนี้ได้ ก็เพื่อให้แม่มีความสุขนะ อยากเป็นคนใช้ไปตลอดชาติหรือไง”
“เออ...กูจะเป็นคนใช้ กูจะอยู่ที่นี่ไปจนตาย กูไม่ใช่คนหน้าด้าน คนเอาแต่ได้เหมือนมึง”
“นี่แม่ เมื่อก่อน ตอนท่านเจ้าคุณได้แม่เป็นเมีย แม่ก็โง่มาทีหนึ่งแล้วนะ หอบลูกในท้องหนีไป ไม่เรียกร้องอะไรสักคำ รู้ไหม ทำฉันลำบากขนาดไหน ตอนนี้ ฉันเป็นเมียคุณหลวงแล้ว ขอร้องเถอะ ช่วยฉลาดขึ้นมาหน่อย ได้ไหม”
“เออ...ชั่วให้มันเต็มที่ แย่งผัวคนอื่น ด่าพ่อด่าแม่ กลัวไม่ตกนรกใช่ไหมหาอีแพง”
“นรกที่เขาพูดๆกันอยู่ตรงไหน ฉันไม่รู้ ฉันรู้แต่ โตมาอดๆอยากๆเป็นคนใช้เขานี่แหล่ะนรก คนอย่างอีแพง ไม่มีวันทำท่าเจียมตัว เพื่อรักษาความดีเอาไว้ไปเกิดชาติหน้า คนอย่างอีแพง รู้จักแต่จะเอาในชาตินี้ จะสู้ จะหน้าด้าน จะเอาให้ได้ ตอนนี้ ชาตินี้เท่านั้น”
“สิ่งที่เอ็งจะเอาคืออะไรนางแพง ไหนบอกข้าซิ”
“บ้าน...เงิน เกียรติยศ อำนาจ ผู้ชายดีๆอย่างคุณหลวง ฉันจะเอาทั้งหมด”
“ของที่ได้มาอย่างผิดศีลธรรม มันอยู่ไม่นาน เดี๋ยวก็ถูกแย่งคืนไป ชีวิตที่แย่ง ของเขามา แล้วให้คนอื่นมาแย่ง ชีวิตอย่างนี้เอ็งเรียกว่าความสุขหรือ”
“แล้วเป็นคนใช้เขามันมีความสุขตรงไหนแม่”
“จะเป็นคนใช้หรือเป็นเจ้านาย กูไม่รู้ กูแค่ทำหน้าที่ที่ต้องทำ กูกินดีแค่ไหนกูไม่รู้ แต่กูก็กินอิ่ม กูมีเตียงใหญ่แค่ไหน กูไม่รู้ แต่กูก็นอนหลับทุกคืน ไอ้ชีวิตอย่างเอ็งที่ต่อสู้ดิ้นรนด้วยการเหยียบหัวใจคนอื่น มีแต่ถูกเขาสาปแช่ง กูไม่เอาเด็ดขาด”
“เออดี ไม่เอาก็ไม่เอา ตามใจ อยากอยู่ดักดานอย่างนี้ก็ตามใจ”
แพงสะบัดหน้าเดินหนีถือตะกร้าของตนเองเดินออกไป ไม่สนใจแม่อีก พึ่งนั่งลงแค้นใจนัก
นวลกำลังจับกลุ่มกินข้าวกลางวันกันอยู่ แพงเดินยกตะกร้าเสื้อผ้าของตนมาให้
“นี่เสื้อผ้าของข้า ซักให้ด้วย”
นวลอึ้ง
“อะไรของเอ็งเนี่ย”
“โฮ้ย...เบื่อจริงยังไม่รู้กันอีก ฉันไม่ใช่คนใช้แล้ว ฉันเป็นเมียอีกคนของคุณหลวง ต่อไปนี้ทำงานให้ฉันด้วย ไม่งั้นก็ไสหัวออกไป”
“นังคางคกขึ้นวอ ข้าไม่ทำ และยังจะสั่งสอนความสะเออะของเอ็งด้วย”
นวลถีบยอดอกแพงทันที แพงล้มไป ลุกขึ้นมาถีบกลับ
“ข้าก็มีสองตีนเหมือนกัน ของแบบนี้อีแพงไม่แพ้ใครเหมือนกันโว้ย นี่แน่ะ นี่นี่”
วงแตก ทั้งสองคนลงไปตบกัน เอาข้าว เอาอาหารมายีหัวกัน ข้าวของในครัวเริ่มเละ
“เฮ้ย ข้าวข้า...หมด...หมดกัน” ติ่งโวยวาย
“นี่ทำอะไรกันน่ะ”
คุณหลวงโผล่เข้ามา นวลรีบไปคุกเข่าฟ้อง
“คุณหลวงเจ้าขา นังแพงมันมาใช้งานนวล คุณหลวงต้องให้ความยุติธรรมกับ เรานะเจ้าคะ”
แพงฟ้องบ้าง
“คุณหลวง นังนวลมันถีบแพง ถ้านังนวลมันไม่ทำงานให้แพง ก็ไล่มันออกไปเลยเจ้าค่ะ”
“คุณหลวงจะเอามันเป็นเมียก็ได้ แต่ยังไงมันก็บ่าว มันต้องทำงานเหมือนเราสิเจ้าคะ”
“คุณหลวง ถ้าคุณหลวงไม่ทำตามใจแพง คุณหลวงจะไม่ได้เห็นหน้าแพงอีก”
แพงหันหนีจะออกไป เจอไม้นี้คุณหลวงหน้าเสียทันที รีบจับมือแพงไว้
“โธ่แพง...ใจเย็นหน่อยสิ จะไปไหนทำไมเล่า นวล...เธอคิดเอาเองแล้วกัน ถ้าอยู่ต่อ ก็ไปทำงานให้เขา ถ้าไม่อยู่ก็ตามใจเธอ”
คุณหลวงพูดเสร็จก็เดินออกไป ทุกคนตกใจ แพงหัวเราะร่า
“ฮะฮะฮ่า ฮะฮะฮ่า ได้ยินกันแล้วใช่ไหมทุกคน ต่อไปนี้ ต้องเรียกฉันว่า คุณแพง แล้วก็ทำงานให้ฉันเหมือนกับที่ทำงานให้นายทุกคนในบ้านนี้ ฮะฮะฮ่า”
แพงยิ้มเยาะทุกคนแล้วเดินจากไป นวลแค้นมาก หันมาอาละวาด เอาตะกร้ามาเทลงพื้นแล้วเริ่มเหยียบๆ กระทืบๆลงบนผ้าพวกนั้น
“หนอย ได้...อยากให้ข้าทำงานให้งั้นหรือ ได้สิคุณแพง ข้าจะทำเหมือนที่เอ็งเคยทำกับคุณชื่นยังไงอย่างนั้นเลย นี่แน่ะนี่นี่”
ค่ำนั้น แพงอาบน้ำแล้วเดินมานั่งกับพื้น กราบตักคุณหลวงที่นั่งรออยู่
“ขอบคุณนะคะคุณหลวงที่เมตตาแพง จริงสิ จะค่ำแล้ว เดี๋ยวแพงจัดสำรับมาให้”
“ไม่เอา ฉันยังไม่หิว ฉันอยากทำอย่างอื่นมากกว่า”
“นี่ยังไม่เหน็ดไม่เหนื่อยอีกหรือคะ เมื่อตอนกลางวันก็...”
คุณหลวงก้มลงจูบแพงเริ่มบรรเลงเพลงรักกันอีก ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
ชื่นกลิ่นเหมือนคนป่วย วันๆนั่งร้องไห้อยู่บนเตียง ซึมเซาไม่พูดไม่จา บัวสวรรค์คอยดูแลป้อนอาหาร
“ทานข้าวหน่อยนะคะพี่ชื่น”
ชื่นกลิ่นเมินหน้าหนี ร้องไห้ตรอมใจ
“โธ่คุณพี่ ถ้าขืนเป็นอย่างนี้ จะไม่สบายเอานะคะ”
ชื่นกลิ่นส่ายหน้า ไม่กินอยู่ดี บัวสวรรค์กลุ้มใจ
ปัจจุบัน...แพงยืนอยู่ตรงหน้าคุณหญิงอบเชยที่ทางเดินไปเรือนเล็ก แพงหัวเราะร่า
“ฮะฮะฮ่า ไม่ว่าจะเป็นชาตินี้หรือชาติที่แล้ว นางชื่นกลิ่นมันก็ดีแต่ร้องไห้เหมือนเดิม”
“อีแพง ข้าจะจองเวรจองกรรมกับเอ็ง อีผีร้าย อีนังบาปหนา”
“ร้องไห้เข้าไป คุณหญิงอบเชย ยิ่งร้อง ข้าก็ยิ่งมีความสุข ฮะฮะฮ่า ฮะฮะฮ่า”
ศามนนั่งกลุ้มอยู่ในโรงพยาบาล อนุกูลแวะมาดูที่โรงพยาบาล เดินเข้าไปหา
“หมอบอกว่าเครียด ให้ยาคลายเครียดไปแล้ว คงนอนถึงเช้า”
อนุกูลมองอย่างเห็นใจ นั่งลงคุยด้วย
“คุณดื่ม”
ศามนส่ายหน้า อนุกูลถามต่อ
“ทำเพราะประชด”
ศามนส่ายหน้า อนุกูลจ้องมอง
“จะบอกว่ารักผู้หญิงคนนั้นหรือไง”
ศามนไม่รู้ว่าจะตอบอะไรหน้าดูมึนงงในเรื่องที่เกิดขึ้น
“ไม่ใช่…ที่จริงคือ…ผมไม่รู้”
อนุกูลอึ้ง
“หา...”
ศามนนึกถึงตอนที่เดือนแรมเข้ามาในบ้านแล้วเขาพุ่งเข้าไปกอดจูบเธอ
“เวลานั้น ผมเหมือนไม่ใช่ตัวเอง...ยิ่งคิด ก็ยิ่งไม่รู้ ผมทำแบบนั้นไปทำไม”
“โห...พูดแบบเพื่อนเลยนะ เป็นคำอธิบายที่ เฮงซวย มาก ถ้าตอบแบบนี้ คุณตายแน่ เตรียมรับไว้ได้เลย” อนุกูลบอกอย่างหงุดหงิด
วันใหม่...รัสตีกับไลล่ากำลังจะไปโรงเรียนนั่งรออยู่ วรรณศิกากับพัชนีมารับ คำดูแลเด็กอยู่ รัสตี้ดีใจที่เจอ
“ป้าวรรณ น้าพัช”
ไลล่าเข้ามาถาม
“คุณแม่เป็นยังไงบ้าง คุณพ่อออกไปแต่เช้า จะไปรับคุณแม่เลยไหมคะ”
“คุณแม่ไม่เป็นไรแล้ว เดี๋ยวก็กลับบ้านค่ะ” พัชนียิ้มแย้มบอก
“คุณพ่อกับคุณแม่ เอ...มีอะไรหรือเปล่าครับ” รัสตี้ถามอย่างสงสัย
ผู้ใหญ่สงสารเด็กมากแต่ลำบากใจที่จะบอก
“หนูเป็นเด็ก มีหน้าที่เรียน มีหน้าที่เล่นแค่นั้น เรื่องอื่นอย่ารู้เลยนะ มาค่ะป้ากับน้าพัชจะพาหนูไปโรงเรียนเอง พร้อมแล้วใช่ไหม ไปกันเถอะ”
วรรณศิกากับพัชนีพาเด็กทั้งสองไปขึ้นรถ
รัมภานอนหน้าเศร้าอยู่บนเตียงในห้องพักไข้ ศามนเดินเข้ามาหา
“คุณเป็นยังไงบ้าง”
“ในหัวของฉัน มันมีภาพ บางภาพลืมไปแล้ว แต่กลับแจ่มชัดในเวลานี้...ภาพ...ภาพเข้ามามากมาย”
ภาพความทรงจำอันสวยงามที่รัมภานึกถึง และปัจจุบันกลับมาตามทำร้ายตนเอง...ย้อนไปเมื่อสมัยทั้งคู่เป็นคู่รักกันที่เมืองนอก รัมภารับจ็อบแสดงดนตรีในร้านอาหารไทย เธอกำลังเล่นกีตาร์คลาสสิก ข้างหลังเป็นวงแบ็คอัพชาวไทย มีแขกเหรื่อเพื่อนฝูงชาวไทยและฝรั่งนั่งกันอยู่ในร้าน ทุกคนปรบมือเมื่อเพลงจบ
“The next…I proudly present the thai song…เดือนเพ็ญ”
นักดนตรีที่เล่นคีย์บอร์ดเล่นเป็นเพลงแต่งงาน รัมภางงหันไปถาม
“ผิดคิวแล้ว เพลงนี้มาจากไหน”
ศามนเดินมาขึ้นเวที คุกเข่ายื่นแหวนไปตรงหน้ารัมภา
“แต่งงานกับผมนะครับ”
“คุณมน !”
นักดนตรีไทยและแขก ยิ้มกันใหญ่ มีร้องโอ้ว...มีเป่าปาก
“เรามาสร้างครอบครัวที่มีความสุขด้วยกันนะ”
รัมภาดีใจมาก พยักหน้าเขินๆ ศามนดีใจ โล่งอก หยิบแหวนสวมให้เธอ แขกในร้านและนักดนตรีปรบมือ ร้องเย้
งานแต่งงานของรัมภากับศามนจัดขึ้นในวัดไทย ทั้งสองนั่งบนตั่ง มีแขกเหรื่อรดน้ำให้ หลังจากนั้นไม่นานรัมภามีลูกแฝด ซึ่งการเลี้ยงดูเป็นไปอย่างลำบาก แต่ศามนก็ช่วยเลี้ยงลูกเต็มที่
เมื่อมาอยู่เมืองไทย ศามนสัญญากับเธอไว้ว่า...
‘ภา...ถึงเวลาที่ครอบครัวเราจะมีความสุขเสียที ผมสัญญานะภา ต่อไปนี้ ผมจะทำให้คุณและลูกมีความสุข’
รัมภาอยู่ในห้องพักฟื้นไข้ ศามนรู้สึกผิด พยายามเข้าไปอธิบาย
“เรื่องที่เกิดขึ้น คือว่า...”
ยังไม่ทันพูดจบ รัมภาก็ตบหน้าเขาทันที ศามนพยักหน้ายอมรับ
“ได้เลย...อยากตบอยากตีผมยังไงก็ได้…คุณทำได้เลย”
“ทำแบบนี้กับฉันทำไม เมื่อคืน คุณรู้ไหม มันเกิดอะไรขึ้น ฉันแทบจะผ่าหัวตัวเอง...ภาพอดีตที่เคยเป็นความสุขที่สุดในชีวิตของฉัน มันกำลังเป็นภาพแห่งความทุกข์ที่สุด…คำรัก คำสัญญา มันวนเวียนอยู่ในหัว ฉันนอนไม่หลับ ทุกครั้งที่หลับตา ภาพพวกนั้น มันจะต้องตามหลอกหลอนฉัน มันคอยย้ำเตือนกับฉันว่า คำรักคำสัญญาพวกนั้น มันไม่มีอยู่จริง”
“ผมไม่ได้ตั้งใจ...ผมไม่รู้ มันเกิดขึ้นได้ยังไง”
“ทำไมเขาถึงไม่ให้ยาฉัน ยาที่ทำให้ฉันไม่ต้องตื่นขึ้นมาพบหน้าคนหลอกลวง”
“ภา...อย่าพูดแบบนี้ คุณยังมีรัสตี้ไลล่านะ”
“แล้วคุณไม่มีหรือ ไม่อายลูกหรือ คุณจะตอบพวกเขาว่ายังไง”
“ผม...เอาเป็นว่า ผมจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นอีก”
“แค่ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว มันเกินพอที่จะทำลายทุกอย่างระหว่างเราแล้ว มันพอแล้ว”
รัมภาเสียงดัง โวยวาย ศามนเครียดหนัก
อนุกูล พัชนีและวรรณศิกา นั่งทานอาหารเสร็จแล้วนั่งคุยกัน โต๊ะใกล้ๆกันเป็นพนักงานที่รู้จักกันดีอยู่ หลายๆคนในที่นั้น คอยยื่นหน้ามาฟังติดตามเรื่องศามนกับรัมภาอย่างใกล้ชิด
“แล้วคุณรัมภาเขารู้ได้ยังไงว่าคุณศามนนัดยายผู้หญิงคนนั้นมาเจอ” วรรณศิกาถามอย่างสงสัย
อนุกูลหันไปมองหน้าพัชนี
“นั่นสิที่หายไปในวัดนานสองนาน พาคุณรัมภาไปทำอะไรบอกมานะ”
พัชนีจงใจไม่บอกเรื่องลุงช่วง
“เอ้อ...เหมือนเป็นเซ็นส์ สัญชาติญาณอะไรสักอย่างน่ะค่ะพี่วรรณ”
“คนอย่างคุณศามนนอกใจได้ยังไง รักเมียออกอย่างนั้น แล้วไอ้แก่ของฉันจะไว้ใจได้หรือ”
พนักงานหญิงคนหนึ่งพูดจบก็หันไปหาพนักงานชายที่เป็นสามี พนักงานชายคนนั้นสะดุ้งหันหน้าทำไม่รู้ไม่ชี้ทันที เรื่องของศามนสั่นสะเทือนใจหญิงที่เป็นเมียในโรงงานหลายคน ต่างพยักหน้าหงึกหงัก
วันต่อมา...ศามนขับรถพารัมภากลับมาจากโรงพยาบาลมาถึงบ้าน หล้ากับบุญสืบ วิ่งมาต้อนรับ รัมภาลงมายืนมองบ้าน
“ฉันอยู่บ้านนี้ไม่ได้ เตียงนอนสกปรก ห้องนอนสกปรก ฉันอยู่ไม่ได้”
ศามนเข้าไปแตะแขน
“ภา...นี่บ้านของเรานะ”
“ตัวคุณก็เหมือนกัน สกปรก ไม่ต้องมาแตะต้องตัวฉันอีก”
รัมภาเดินไป
“ภา...คุณจะไปไหน”
รัมภาหันมาบอกหล้าและบุญสืบ
“ฉันจะย้ายกลับไปอยู่ที่เรือนใหญ่ ไปช่วยย้ายของ ทำความสะอาดที”
“แล้วเด็กๆล่ะครับ” หล้าถาม
“ย้ายมาที่เรือนใหญ่ด้วย ใครอยากอยู่บ้านหลังนี้ ก็ตามใจเขา แต่ฉันไม่อยู่ ฉันจะเอาลูกกลับมาอยู่ที่เรือนใหญ่”
รัมภามองโลงศพที่ตั้งตระหง่านอยู่ เดินเข้ามานั่งมองน้ำตาคลอ
“คุณแม่ คุณแม่ขา เขาทำแบบนี้กับหนูอีกแล้ว เขาทำอีกแล้วค่ะ”
วิญญาณคุณหญิงอบเชยกอดลูกรักเอาไว้ ทั้งสองร้องไห้กัน
“แม่ผิดเอง แม่เสียใจ ที่ปกป้องลูกไม่ได้ แม่ขอโทษ...ฮือๆๆ”
จบตอนที่ 7
อ่านต่อตอนที่ 8 พรุ่งนี้