สาวน้อย ตอนที่ ๑๙
ภายในห้องแต่งตัวในโรงละคร แก้วมองนิดอย่างชื่นชม
“โอ้โฮนิด สวยจังเลยยังกะนางเอกหนังฝรั่ง”
“คุณว่าอย่างนั้นหรือคะ คุณดนัยที่รัก”
นิดกรายมาใกล้จนตัวชิดแก้ว ใบหน้าแหงนเงยสบตาแก้วอย่างหยาดเยิ้ม แก้วมองตอบอย่างลุ่มหลง แล้วแก้วก็หัวเราะกิ๊กผละออกมา นิดขยับถอยอย่างมีท่วงท่าก่อนปรายตามองแล้วถาม
“นั่นคุณเป็นอะไรไปแล้วคะ”
“พอเถอะนิด เลิกทำท่าแบบนี้ซะทีเถอะ ดูยังไงก็ไม่ใช่แก”
นิดหัวเราะ วางทำท่าปกติแล้วถาม
“ทำไมล่ะ ฉันเล่นไม่ดีหรือ”
“เปล่า แกเล่นดีเกินไปต่างหาก... อื๋อ เร็ว รีบลงไปได้แล้ว เดี๋ยวพี่พลับอาละวาดตาย” แก้วทำท่าขนลุกพลางพูดต่อ
โรงละครจันทร์กระจ่าง สามแยก ๓๑ มีนาคม ๒๔๘๑
โรงละครจันทร์กระจ่างตั้งอยู่ริมถนนเป็นอาคาร ๒ ชั้น สถาปัตยกรรมงดงาม ย่านนี้ในเวลากลางวันจะไม่คึกคักเท่ากับกลางคืน
ภายในห้องเสื้อผ้า ชั้นบนของโรงละคร ในเวลากลางวัน
ชายร่างท้วมกลมร่างหนึ่งเดินเข้าไปในหมู่นักแสดงละครหญิงที่แต่งตัวเป็นชายในชุดสูท และหญิง ในชุดราตรี ในกลุ่มนั้นยังมีนักแสดงชายเล่นบทตลกอีก ๒ คน ภายในห้องเห็นราวเสื้อผ้าที่แขวนแน่นอยู่หลายราว มีหุ่นวิกหลายหัวตั้งอยู่ ร่างท้วมนั้นส่งเสียงแหลมแปร๋แปร๋นบอก
“เอ้าแม่คุณทูนหัวทั้งหลาย ใส่ชุดเข้าไปแล้วก็ลองนวยนาดวาดกร โก้งโค้งขวิดดูว่าชุดน่ะมันมีปัญหาไหม”
พลับ ผู้ชายร่างท้วม ใบหน้าขาวเปล่งปลั่ง สวมเสื้อกางเกงแต่กลับมีเสื้อคลุมคล้ายปิจามาสวมทับยาวลากระพื้น ขณะพูดก็กรายมือไขว่ไปด้วย
“ถ้ามีปัญหาก็หันมาบอกฉัน คับไป หลวมไป ตะเข็บไม่ดีจะได้แก้ได้ไขก่อนซ้อมใหญ่พรุ่งนี้”
พลับเดินกรายกลับมาพลางชี้นิ้วบัญชาการ
“ช้องผมน่ะก็เก็บก็งำให้ดี เอ้า แม่คู้ณ สร้อยน่ะถึงจะเพชรรัสเซียแต่ก็หลายบาทอยู่นะ อย่ามาวางเลเพลาดพาดอยู่”
บรรดานักแสดงต่างเหน็ดเหนื่อยใจไปตามๆ กัน ทุกคนมองไปเห็นนิดกับแก้วเดินมาพอดีก็ฮือฮาตกตะลึงมองนิดเป็นตาเดียว พลับเห็นทุกคนมองไปทางเดียวกันก็มองบ้าง
“โอ้โห”
พลับมองแล้วยิ้มมีแววเจ้าชู้เกิดขึ้นก่อนเดินช้าๆ เข้าไปหานิดและแก้ว
“ไม่อยากจะเชื่อสายตาเลย งาม งามจริงๆ งามยังกะวิหยาสะกำ” (๑)
พลับแทบจะปาดนิดไปให้พ้นทางเข้าไปยืนมองความหล่อของแก้วอย่างดื่มด่ำ แก้วกลืนไม่เข้าคายไม่ออก นิดกลั้นหัวเราะไว้เป็นสามารถ
“อ้าว ฉันหรอกเหรอ”
“ก็ใช่ซีจ้ะน้องแก้ว รูปหล่อยังกะไทโรน เพาเวอร์ (๒) มาพี่ผูกโบว์ให้” พลับว่า
พลับผูกโบว์ไทให้แก้วใหม่ด้วยแววตาลวนลาม
“ห่างๆ หน่อยก็ได้พี่ เดี๋ยวโดนนมฉัน”
“โถ น้องแก้ว”
“ไอ้พลับ!”
เสียงชดตวาดแหวกอากาศมาดังลั่น พลับถึงกับสะดุ้งเฮือกถอยจากแก้วในทันที ชดก้าวเข้ามาในชุดสูทติดหนวดเฟิ้ม
“แกทำอะไรนังแก้ว” ชดถาม
“โธ่ แม่ชด พี่ก็แค่ผูกโบว์ไทให้”
“พอ ให้มันผูกเองเผลอไม่ได้เชียว”
พลับปรายตาค้อนกรายไป ชดมองแก้วตาขวาง
“นังแก้ว นิดไปห้องซ้อมได้แล้ว”
ชดเดินนำไป แก้วถอยไปหานิดแล้วแอบนินทา
“นี่พี่ชดหึงฉันหรือนี่ เวร”
ประภา ผู้รับบทเป็นนางรองสะสวยพอสมควร คนอารมณ์ดีเข้ามากับทมสาวหล่อที่รับบทพระเอกของคณะ สลับกับชด แต่ทมเมื่อไม่แสดงก็เป็นผู้หญิงธรรมดาไม่ได้ดูผู้ชายเหมือนชด
“ว่าไงแก้วโดนเข้าแล้ว” ทมว่า
“เรื่องเข้าใจผิดกันน่ะแก้ว นิดหน่อย อย่าไปถือสาเลย” นิดว่า
“อย่างว่าล่ะนะ ผัวใคร ใครก็หวง” ทมบอก
แก้ว หันไปมองพลับที่ระทวยไปทั้งตัวแล้วบอก
“ก็ใช่ แต่มันสงสัย ใครเป็นผัว ใครเป็นเมียกันแน่”
“บ้า แก้ว พูดอะไร”
นิดหยิกแก้วจนสะดุ้งโหยง ทมกับประภาหัวเราะคิกคักชอบใจ
ภายในห้องรับแขกของโรงละคร ในเวลาต่อมา มีการประชุมหุ้นส่วนคณะละครอันได้แก่ ชด มารศรี และหลวงจันทรซึ่งมีเชื้อจีนท่าทางดูเป็นอาเฮียวัยราว ๕๐ ปี ท่าทางเจ้าชู้ซึ่งเป็นเจ้าของโรงละครที่ใช้ในการแสดง ส่วนพระยาธรรมนูญไม่ได้มาด้วย
มารศรีแต่งตัวโชว์เนินอกเหมือนเช่นเคย หลวงจันทรมองดูแล้วถึงกับคอแห้งต้องจิบน้ำ ชดเข้ามานั่งด้วยท่าทางหัวเสีย
“ว่าไงคะ คุณชด อีกไม่กี่วันก็จะซ้อมใหญ่แล้ว” มารศรีว่า
“ก็เรียบร้อยดี ยังห่วงอยู่เรื่องเดียว .. เรื่องพิศมัย” ชดบอก
“ต้องไปห่วงอะไร หนูพิศมัยน่ะทั้งสวย ทั้งคล่อง ร้อง เต้น เล่นละครดีไปหมด” หลวงจันทรว่า
“ไอ้เก่งก็เก่งอยู่นะคุณหลวง แต่ไม่ท่องบท ซ้อมก็ไม่มาซ้อมละครจะเล่นอยู่วันมะรืนนี้แล้ว แม่คุณมาซ้อมแค่ 3 หน” ชดบอก
“หนูพิศมัยเป็นมืออาชีพ ยังไงก็เอาตัวรอดได้น่า” หลวงจันทรแก้ตัวแทน
“เอาตัวเองรอดได้ แต่จะทำคนอื่นตายน่ะซีคะ” มารศรีพูดด้วยน้ำเสียงหมั่นไส้
เสียงหวานเจื้อยแจ้วดังขึ้น
“ใครทำใครตายกันคะ”
ประตูเปิดออก พิศมัยสาวสวยวัยยี่สิบปลายๆ ดูสะสวย แต่แต่งตัวแต่งหน้าดูราคาถูก ก้าวเข้ามา หลวงจันทรรีบลุกขึ้นรับจนท่าทางเหมือนอยากเข้าไปกอด
“แม่หนูพิศมัยมาแล้ว”
หลวงจันทรประคองพามาจะให้นั่งลง แต่พิศมัยไม่นั่งยืนกอดอกปรายตามองมารศรีกับชดอย่างเหนือกว่า
“ขอประทานโทษนะคะ พิศมัยเข้ามาช้าไปหน่อย”
ชดกับมารศรีลุกขึ้นบ้างด้วยหน้าตาไม่พอใจ
“ไม่หน่อยหรอก มาช้าไปชั่วโมงนึงพอดี”
“พิศมัยก็มีธุระปะปังบ้างซีคะ”
“แต่ธุระหลักของเธอ น่าจะเป็นละครเรื่องนี้มากกว่านะ” ชดบอก
“จะอบรมฉันอีกนานไหมคะ เดี๋ยวฉันต้องลองแต่งหน้าแต่งผมด้วย คงอีกชั่วโมงสองชั่วโมงมังคะ กว่าจะซ้อมได้”
พิศมัยมีท่าทางท้าทาย ชดโกรธจนพูดไม่ออก มารศรีมองตาวาว พิศมัยมองมารศรีอย่างท้าทาย
ในเวลาต่อมา ภายในห้องซ้อมซึ่งเป็นห้องโถงกว้าง มีอุปกรณ์ประกอบฉากชั่วคราวเช่น โต๊ะ เก้าอี้ ตู้ไซด์บอร์ดวางไว้พอเป็นพิธี ในฉาก พิศมัย นิด ทม แก้วอยู่ในฉาก ส่วนชด ประภาซึ่งเป็นดับเบิลแคสนางรองกับนิด พลับ มารศรี หลวงจันทร และตัวเบ็ดเตล็ดยืนดูการซ้อม
พิศมัยแต่งชุดราตรี ทำผม แต่งหน้าหนาหนักจนดูหมองกว่านิด ในเนื้อเรื่อง พิศมัยและนิดเล่นเป็นพี่น้องซึ่งยืนอยู่กลางห้อง ส่วนทมกับแก้วยืนจิบเครื่องดื่มคุยกันอยู่ด้านหนึ่ง
“นั่นไงคะคุณพี่ คุณชายประวัติวงศ์ รูปก็งามนามก็เพราะ เพิ่งย้ายมาอยู่ที่บ้านบนเนิน” นิดพูดตามบทบาท
พิศมัยปรายตาดูทม ทมกับแก้วหันมาดู พิศมัยหันมาหานิดแล้วนึกบทไม่ออก
“เอ้อ...”
ชด มารศรี ประภามองอย่างรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่หลวงจันทรอยู่ในภวังค์รัก นิดตัดสินใจบอกบทให้
“นี่ ฉันไม่ได้เห่อผู้ลากมากดีถึงนาดนั้นหรอก”
พิศมัยมองนิดหัวจรดเท้า ท่านางเอกหายไปกลายเป็นนางร้ายในทันที
“นี่หล่อน บทของฉัน ฉันจำได้ หล่อนไม่ต้องสาระแนมาจำบทนางเอก เป็นแค่นางรองก็เจียมเนื้อเจียมตัวเอาไว้บ้าง”
นิดตกใจเล็กน้อยนิ่งอึ้งไป ชดก้าวมาบอก
“พอเถอะแม่พิศมัย นิดแค่หวังดี”
“หวังดีหรืออวดดีกันแน่คะ”
ทมกับแก้วถึงกับเหนื่อยใจก้าวเข้ามา พลับยืนเท้าสะเอว ประภาส่ายหน้า มารศรีก้าวมาฉะอย่างไม่ไว้หน้า
“ตัวเธอเองจำบทไม่ได้ นิดช่วยบอกบทให้”
“ใครว่าฉันจำบทไม่ได้ (โมโหกลบ) ระดับฉันเนี่ยเหรอ จำบทไม่ได้”
พิศมัยแสดงอาการโมโหกลบเกลื่อน หลวงจันทรก้าวมาปกป้อง
“ใช่ ใช่ ระดับหนูพิศมัยจะจำบทไม่ได้ได้อย่างไร”
หลวงจันทรหันไปพูดกับนิด
“ขอโทษคุณพิศมัยซี”
นิดถอนใจอย่างเหนื่อยหน่าย
“คุณพิศมัยคะ ฉันขอโทษ”
พิศมัยเมินแล้วตัดบท
“ฉันหมดอารมณ์ ไม่อยากซ้อมแล้ว พอแค่นี้ก่อนนะคะ”
พิศมัยเดินออกไปโดยมีหลวงจันทรก้าวตามออกไป แก้วกับทมก้าวมาหานิด ชดกับมารศรีมองหน้ากัน ทั้งโกรธและหนักใจ
ภายในห้องรับแขก มารศรีและนิดนั่งอ่อนใจกันอยู่ ชดปาบทลงบนโต๊ะอย่างขัดใจ
“จองหอง อวดดี ฉันไม่น่าหลงเชื่อหลวงจันทร เอามันมาเป็นนางเอกเลย” ชดว่า
“หลวงจันทรเป็นเจ้าของวิก เขาก็มีสิทธิ์จะเลือกนางเอกของเขาเอง เราจะทำอะไรได้ล่ะคะ” มารศรีว่า
“อวดดีว่ามีชื่อมีเสียง แต่ทำตัวแบบนี้ ละครเรามีหวังได้ล่มกันหมด” ชดบอก
“คงไม่ถึงอย่างนั้นหรอกค่ะ พี่ชด” นิดปลอบ
ชดมองดูนิดแล้วแววตาก็อ่อนลง
“ขอโทษนะ นิด ฉันเคยบอกว่าจะปั้นนิดเป็นนางเอก แต่เธอกลับได้เป็นแค่นางรองแบบนี้” ชดบอก
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แค่นี้ก็เกินความสามารถของฉันแล้ว”
“ไม่จริงหรอก เธออย่าสบประมาทตัวเองไปเลย ฉันกำกับเธอฉันรู้ดี ถ้าเธอได้เล่นบทนางเอกอย่างที่เราตั้งใจไว้ เธอต้องทำได้ดีอาจจะดีกว่าแม่พิศมัยนี่ด้วยซ้ำ”
มาศรีจัดปอยผมให้นิดพลางแตะแก้มราวพิศดูงานฝีมือของตัวเอง
“แถมเธอยังสวยกว่าแม่พิศมัยนั่นตั้งหลายเท่า” มารศรีบอก
“เป็นเพราะฝีมือคุณกับพี่ชดต่างหากคะ ที่ทำให้นิดมาได้ถึงขนาดนี้” นิดบอก
มารศรียิ้มปลาบปลื้มแววตามีประกายลึกล้ำเหมือนกำลังคิดแผนการณ์อะไรอยู่
“ฉันจะทำให้เธอไปไกลยิ่งกว่านี้อีก เชื่อฉันสิ แม่นิด”
ร้านสรรค์ศิลป์ ถนนเฟื่องนคร
ร้านสรรค์ศิลป์ เป็นตึกแถวงดงาม ๓ คูหาตั้งอยู่ริมถนนเฟื่องนคร ร้านตกแต่งเรียบหรู มีรสนิยม ชั้นล่างราว ๒ คูหาทำเป็นแกลเลอรี่ มีภาพวาดฝีมือสรรค์แขวนโชว์อยู่ อีกคูหาหนึ่งทำเป็นที่ช็อปขายขนม เครื่องดื่ม ชา กาแฟ มีโต๊ะ เก้าอี้ตั้งอยู่อย่างงดงาม และจัดโต๊ะกางร่มไว้ที่ริมทางเท้าอีกหลายโต๊ะ มีผู้คน รถราขวักไขว่ แต่ร้านว่างดาย
ในส่วนแกลเลอรี่มีรูปวาดของสรรค์มากมายเช่น ภาพสาวฟิลิปปินส์ ภาพคน ภาพวิวทิวทัศน์ เช่น วิวทะเลหัวหิน ภาพวิวภูเขา ภาพนาข้าว บึงบัว ฯลฯ สรรค์ เสวก บุญมายืนคุยกันอยู่หน้ารูปสาวฟิลิปปินส์ซึ่งคู่ควงเก่าของเสวก
“รูปอิสซาเบลล่าของฉันนี่ นายแค่เอามาโชว์หรือว่าจะขาย” เสวกถาม
“เอามาโชว์ แต่ถ้านายจะซื้อฉันก็ขาย” สรรค์พูดล้อ
“ใจจริงฉันก็อยากอุดหนุนนายหรอกนะ แต่ตอนนี้เจ้าคุณพ่อไม่ได้ร่วมรัฐบาล ฉันก็เลยไม่กล้าขอเงินว่ะ”
เสวกพูดอย่างไม่เดือดร้อนใจนัก บุญมามองด้วยอารมณ์เซ็งๆ
“นายก็ทำงานซะทีซีจะได้ไม่ต้องแบมือขอเป็นเด็กนักเรียนอยู่” บุญมาว่า
“ฉันตั้งปณิธานไว้ว่า ฉันจะกลับเนื้อกลับตัว ทำงานทำการซักที”
“แกเอาจริงไหมล่ะ ฉันจะได้ช่วยหางานให้” สรรค์บอก
“ยังก่อนๆ อย่าเพิ่งซีเรียส วันนี้เราสามคนไปฉลองกันก่อนดีกว่า”
“งานปาร์ตี้ที่บ้านนายเมื่อคืนยังฉลองไม่พออีกหรือ คิดจะไปไหนอีก” สรรค์พูดอย่างเอือมๆ
พูดเรื่องเที่ยว เสวกก็คึกคัก หูตาแวววาวขึ้นมาทันที
“ไปดูละครไหมเรื่องสาวทรงเสน่ห์ พิศมัยเป็นนางเอกเชียวนะนายสรรค์ สวยก็สวย แสดงก็เก่ง ร้องเพลงก็เพราะ”
“นายเหวกมันคลั่งเอามาก คลั่งจนลืมไปว่า ละครเขายังไม่ลงโรงเลยต้องวันพรุ่งนี้ต่างหาก” บุญมาพูดประชด
“เออ จริง งั้นไปเบียร์ฮอลล์ก็ได้”
“ว่าไงสรรค์ สนใจไหม”
“นายสองคนไปเถอะ ฉันยังไม่มีกระจิตกระใจไปไหน”
“ทำไมวะ” เสวกถาม
ความจริงสรรค์กังวลเรื่องร้านแต่ไม่อยากให้เสวกรู้ เลยพูดบ่ายเบี่ยงตอบว่า
“ฉันยังเหนื่อยจากงานเมื่อคืนอยู่น่ะซี”
เสวกหัวเราะพลางตบไหล่สรรค์ แต่บุญมาเห็นแววอึดอัดบางอย่าง
“เออ จริง เมื่อคืนยายน้องเต้นรำกับแกซักร้อยเพลงได้”
เสวกว่าพลางเดินเลยไปที่รูปผู้หญิงอีกคนแล้วถาม
“หือ นั่นรูปใครวะ สวยจัง มีตัวจริงหรือเปล่า”
เสวกเดินแยกไปดูโน่นนี่ตามประสาหนุ่มเจ้าสำราญ สรรค์หน้าขรึมลง บุญมามองอย่างห่วงใย
บริเวณมุมน้ำชา มีตู้กระจกวางขนมอบหลายอย่างทั้งคาวหวาน ตามโต๊ะตกแต่งงดงาม แต่ไม่มีคนนั่ง ที่หลังตู้ บัวและสมพงษ์มาช่วยดูแลร้านนั่งคุยกันอย่างเหงาๆ สรรค์และบุญมานั่งลงที่โต๊ะตัวหนึ่ง ส่วนเสวกยังคงเดินดูรูปอยู่
“มีอะไรหรือนายสรรค์” บุญมาถาม
สรรค์ตอบเสียงเบาไม่อยากให้เสวกได้ยิน
“นายก็ดูเอาเองก็แล้วกัน ร้านไม่มีลูกค้าเลย เมื่อวานว่าแย่แล้ว วันนี้ยิ่งหนักขึ้นไปอีก”
“คนคงยังไม่ชินกับร้านแบบนี้น่ะ” บุญมาพูดปลอบ
“ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปอีกซักเดือน สองเดือน ฉันคงต้องเลิก ใครต่อใครคงพากันสมน้ำหน้าฉัน”
“อย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้น่า นายสรรค์”
บุญมาพูดแล้วก็ลุกขึ้นพูดเสียงดังทำเป็นร่าเริง
“เสวกพูดถูก นายเคร่งเครียดเกินไปแล้ว พรุ่งนี้ไปดูละครให้สบายใจดีกว่า”
เสวกหันมาถาม
“ว่าไง นายสรรค์”
สรรค์พยักหน้าอย่างขอไปที เสวกดีใจ
โรงละครจันทร์กระจ่างเป็นโรงละครสร้างใหม่ ตกแต่งงดงาม มีกรอบเวทีเป็นรูปกระบังหน้านางละคร เพดานตกแต่งเป็นดาวดารดาษระยิบระยับ
บนเวทีในโรงละคร มีหลุมสำหรับนักดนตรี ถัดมาเป็นชั้นบอกซ์ราคาแพง
ฉากบนเวทีจัดเป็นบ้านผู้ดีของชนชั้นกลางที่ไม่ร่ำรวยนัก มีชุดรับแขก ชั้นวางเครื่องกระเบื้อง ตู้หนังสือและกระจกเงาบานใหญ่ใกล้ประตู
บนเก้าอี้รับแขก พิสมัยแต่งชุดราตรีมีอาการอึดอัดใจ นิดในชุดราตรีส่องกระจกอยู่อย่างเพ้อฝัน ทางด้านหลังชดในชุดสูทรับบทพ่อ นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ มีสาวใหญ่ตัวอ้วนรับบทแม่กำลังเก็บโต๊ะกินข้าวอยู่กับจิตราเด็กสาวที่เล่นเป็นน้องคนเล็ก
ด้านล่างของเวที หลวงจันทร มารศรี แก้ว ทม ประภา พลับและตัวเบ็ดเตล็ดอื่นๆ รวมทั้งเจ้าหน้าที่เวที เจ้าหน้าที่โรงละคร บ้างนั่งบ้างยืนดูการซ้อมใหญ่อยู่ วันนี้มีการซ้อมเหมือนจริงทั้งแสง เสียง อุปกรณ์ทุกอย่าง
นิดในอารมณ์เพ้อฝัน
“คืนนี้คุณชายดนัยเทพคงเต้นรำกับน้องทั้งคืนเลย”
พิสมัยปรายตามองนิดด้วยความหมั่นไส้ แก้วกับทมซึ่งนั่งอยู่ข้างล่างมองหน้ากันแล้วกระซิบนินทา
“ทำไมพี่สาวมองน้องสาวอย่างนั้น” ทมว่า
“นั่นสิ มองยังกะน้องจะมาแย่งผัว” แก้วบอก
บนเวที นิดหันมาหาพิสมัย
“ดีไม่ดี คุณชายอาจจะมีเรื่องอะไรบอกน้องก็ได้นะคะ คุณพี่”
พิสมัยลุกขึ้นก้าวไปใกล้พูดอย่างดูแคลน
“เธออย่าเพิ่งวาดฝันให้มากนักเลย ทุกอย่างอาจไม่เป็นเหมือนฝันไว้ก็ได้”
ชดมองดูแล้วขมวดคิ้ว ประภากับพลับมองหน้ากัน นิดเลิกคิ้วขยับมาใกล้พิสมัย
“คุณพี่พูดหมายความว่าอะไรคะ หรือว่าคุณพี่ไปทราบอะไรมา”
พิศมัยเชิดใส่แล้วบอก
“เปล่า ไม่มีอะไร”
นิดก้าวมาประจันหน้ากับพิสมัย ผู้เป็นพี่สาวตามบทแล้วพูดถามอย่างคาดคั้น
“ไม่จริงค่ะ คุณพี่ต้องไปทราบอะไรมาแน่เทียว”
“ปล่อยฉันนะ”
นิดแปลกใจกับท่าทีร้ายกาจของพิสมัย แต่พยายามยิ้ม เล่นเซ้าซี้ไปตามบทของตัวเอง
“น้องไม่ปล่อย คุณพี่บอกน้องมา”
“ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้” พิศมัยน้ำเสียงกราดเกรี้ยว
มารศรีชักรู้สึกไม่ค่อยดี หลวงจันทรยังอยู่ในภวังค์รัก
“ทำไมทำท่าอย่างนั้น” มารศรีพูดอย่างพึมพำ
“แม่คุณเอ๊ย เล่นสมบทสมบาท” หลวงจันทรว่า
นิดคว้าข้อมือไว้พิศมัยมองอย่างวิงวอนคาดคั้น พิสมัยผลักและเหวี่ยงนิดสุดแรงจนถลาไปชนกระจก แตกเสียงดัง นิดล้มลงกับพื้นพร้อมเศษกระจก
ชดลุกพรวด แก้ว ทมร้อง “เฮ้ย” มารศรีร้อง “ว้าย” ประภาเบิกตากว้าง พลับกางมือผวาพลางอุทานด้วยความตกใจ
“ว้ายยยยยย แหก!”
หลวงจันทรปรบมือชอบใจ
“เจ้าบทบาทจริงๆ แม่พิศมัย”
นิดหน้าซีดนั่งกับพื้น แขนข้างหนึ่งถูกเศษกระจกบาดยาวเลือดไหลริน ชด ทมและแก้วมาถึงตัว
พิศมัยยิ้มเยาะ ชดมองอย่างเดือดดาล
“นี่...นี่เธอเล่นอะไรแบบนี้”
“อ้าว คุณชดบอกให้เล่นให้มีอารมณ์จริงๆ ไงคะ”
นิดมองพิศมัยอย่างรู้ทัน ขยับลุก แก้วและทมเข้าไปประคับประคองนิด
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันไม่ได้เป็นอะไรมาก”
“นั่นซี เล่นกันมันก็มีพลาดบ้าง ใช่ว่ามีใครแกล้งซะเมื่อไหร่” หลวงจันทรว่า
พิศมัยทำไม่แยแสหมุนตัวเดินไปนั่งพัก หลวงจันทรตามเข้าไปประคับประคองอย่างเอาใจ ชดอ่อนใจ เข้าไปหานิด
“พรุ่งนี้ก็ถึงวันเล่นจริงแล้ว แขนเจ็บอย่างนี้จะเล่นได้ยังไง”
นิดเจ็บใจแค้นจนพูดไม่ออก มองไปที่พิสมัยที่ยิ้มเย้ยอยู่ มารศรีมองพิศมัยนิ่งด้วยดวงตาเอาเรื่อง
โรงละครจันทร์กระจ่างในเวลากลางคืนซึ่งยังไม่มีการประดับไฟ แต่บริเวณถนนมีรถรา ของกิน คนเดินถนน นักท่องราตรีเริ่มคึกคัก
บนเวทีปิดไฟมืด เชตไฟสว่างเพียง 2 จุด จุดหนึ่งที่เปียโน ทมในชุดสูทราตรีหรูนั่งเล่นเปียโน
อีกจุดหนึ่งที่กึ่งกลางเวที พิศมัยยืนร้องเพลงซึ่งมีท่วงท่ากรายมือพลางชม้ายชายตาอย่างเต็มที่ พิศมัยร้องบีบเสียงให้แหลมสูง
ชด มารศรี หลวงจันทรนั่งดูอยู่บริเวณชั้นบอกซ์หน้าเวที ชดมองดูพิสมัยอย่างพอยอมรับได้บ้าง แต่อีกใจก็เสียดายแทนนิด ชดถอนใจน้อยๆ
“ว่าไงคะ คุณชด” มารศรีถาม
“ร้องเพราะ แต่ไม่ยักกะมีอารมณ์ซักนิด”
พิศมัยร้องเพลงท่อนสุดท้าย สายตามองไปยังมุมที่นิดซึ่งทำแผลแล้วกำลังร้องเพลงคลอเบาๆ ขณะที่แก้วขยับเท้าเป็นจังหวะตาม พิศมัยตาวาวไม่พอใจอย่างยิ่งยวด
เมื่อการซ้อมเสร็จสิ้นลง ชดกับมารศรีและหลวงจันทรยังอยู่ที่ชั้นบอกซ์ บรรดาผู้แสดงอื่นๆ เจ้าหน้าที่กำลังลงมารวมตัวกันเพื่อฟังสรุปงานของชด พิสมัยเดินฉับๆมาหาชด ชดลุกขึ้นต้อนรับ มารศรีนั่งเมิน หลวงจันทรแทบจะเข้าไปประคอง
“ว่ายังไงคะ คุณชด”
“ก็ดี วันนี้เธอแสดงได้ดีทีเดียว” ชดว่า
“ไม่ใช่แค่ดี แต่ยอดเยี่ยมวิเศษสุด” หลวงจันทรเอ่ยปากชม
“ฉันก็แปลกใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไม ทั้งๆ ที่เมื่อครึ่งเช้าอะไรต่ออะไรมันไม่เข้าท่าไปทุกอย่าง แล้วก็มานึกได้ว่า...”
“ว่าอะไร” ชดเริ่มระแวง
“พอแม่นิดไปพัก ประภามาเล่นบทแม่นิดแทน จะต่อบทรับส่งอะไรมันราบรื่นไปหมด”
ประภาหน้าเหรอมองหน้านิด นิดเม้มปาก แก้วกับทมเริ่มมองหน้ากัน
“นี่เธอกำลังจะพูดอะไร” ชดถาม
“ฉันกำลังจะพูดว่า ตอนแสดงจริง ฉันขอแสดงกับประภาคนเดียวก็พอ...ฉันไม่อยากให้พวกมือใหม่มาทำให้การแสดงของฉันตกต่ำลง”
พิศมัยปรายตามองนิดอย่างเยาะเย้ย นิดยืนอึ้ง แก้วกำมือนิดแน่น
มารศรีลุกพรวดขึ้นก้าวมาประจันหน้ากับพิศมัยทันที
“ไม่ได้ ฉันเป็นเจ้าของคณะนี้ ฉันต้องการให้นิดเล่น”
นิดมองมารศรีอย่างซาบซึ้ง พิศมัยตอบโต้ทันที
“คุณก็แค่หุ้นส่วนคนนึงเท่านั้นใช่ไหมคะคุณชด คุณหลวง คุณหลวงเป็นเจ้าของโรงละคร ฉันยอมมาเล่นกับคณะละครเล็กๆ นี่ก็เพราะเห็นแก่คุณหลวง ทีนี้คุณหลวงก็ตัดสินใจเองว่าจะเห็นแก่ฉัน หรือว่าเห็นแก่นางละครฝึกหัดไร้ค่าอย่างมัน”
“เธอต่างหากที่ไร้ค่า ฝีมือว่าเลวแล้ว นิสัยยังเลวกว่า” มารศรีบอก
“แต่ยังไงฉันก็ดีกว่านักร้องตกอับ ที่ต้องจับคุณพระแก่ๆ มาเป็นผัว แต่ลงท้าย ก็เป็นได้แค่เมียเก็บที่เขาซุกไว้หลังครัว”
“แก!” มารศรีโกรธจัด
บรรดาคนอื่นๆ ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างร้องอุทาน นิดขยับก้าวมามองมารศรีอย่างเป็นห่วง ชดกับหลวงจันทรพยายามไกล่เกลี่ยพูดขึ้นพร้อมกัน
“หยุดนะ พิสมัย / อย่าเถียงกันเลย”
มารศรีโกรธตาวาว พิศมัยเห็นมารศรีเงียบก็ยิ่งท้าทาย
“ฉันขอยื่นคำขาด ละครเรื่องนี้ถ้ามีฉัน ต้องไม่มีนังนิด”
“ได้ๆ หนูอยากได้อะไรฉันตามใจหมดทุกอย่าง” หลวงจันทรบอก
“ไม่ได้นะ” ชดว่า
“คุณหลวงไม่มีสิทธิ์มาตัดสินแทนฉันกับคุณชดนะ”
“แต่นี่โรงละครของฉัน”
ชดกับมารศรีก้าวมาประจันหน้า พิศมัยและหลวงจันทรต่างมีท่าทีไม่มีใครยอมใคร นิดก้าวมา
“พี่ชด คุณมารศรีคะ อย่าทะเลาะกันเลยค่ะ เพื่อเห็นแก่ละครเรื่องนี้...นิดขอถอนตัวเองดีกว่า”
พิศมัยหัวเราะฮึๆ ก่อนเดินเชิดออกไป หลวงจันทรเดินตามไปทันที มารศรีโอบกอดปลอบนิดแล้วมองตามพิศมัย
บริเวณกระจกเงาภายในห้องแต่งตัว นิดในชุดราตรีก้าวเข้ามาอย่างช้าๆ และนั่งลงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง พลางถอดเครื่องประดับแล้วถอนใจอย่างเหนื่อยอ่อน แก้วหน้าบึ้งเดินตามเข้ามากระแทกตัวนั่งโครมบนเตียง
“กี่ครั้งแล้วนะนิด ที่แกต้องมาเจอเรื่องอิจฉาริษยาอะไรแบบนี้”
นิดพลิกดูรูปสุวลีกับสรรค์ในนิตยสารและพยายามข่มความเสียใจ
“ไม่รู้ซี”
“แล้วนี่แกจะทำยังไงต่อไป นี่มันโรงละครของอีตาคุณหลวงชีกอนี่ แกต้องไม่ได้เล่นละครอีกแน่ นังอุตพิดต้องกันท่าแกทุกทาง”
นิดอึ้งแล้วพูดอย่างใจสู้
“แต่ฉันยังไม่หมดหวังง่ายๆ หรอก มันต้องมีทาง”
“คนดี...พระต้องคุ้มครองเหรอ เฮอะ ฉันไม่เชื่อหรอก ดูอย่างแก ดูอย่างฉัน ดูอย่างแม่ฉันซี ไม่ได้ทำผิดคิดร้ายอะไรซักหน่อย ทำไมต้องมาเจอเรื่องร้ายไม่จบไม่สิ้น”
นิดกุมมือแก้วเอาขึ้นมากุมอย่างปลอบใจ
“อย่าคิดอย่างนั้นซีแก้ว พระท่านไม่ทอดทิ้งเราหรอก แกจำไม่ได้เหรอ ทุกครั้งที่มีเรื่องคับขันเราก็รอดมาได้ทุกครั้ง”
“ฮึ คราวนี้ แกจะหวังให้มีนางฟ้าแม่ทูนหัว ขี่ราชรถฟักทองมาช่วยแกเหมือนในนิทานฝรั่งหรือยังไง”
ถนนหลังโรงละครยามดึก ค่อนข้างมืด รถพระชาญชลาศัยจอดอยู่แต่ไม่ได้เปิดไฟ ภายในรถ มารศรีนั่งดวงตาแข็งกร้าวกำพวงมาลัยนิ่งแน่น
อีกมุมหนึ่งที่ริมถนน พิศมัยยังคงใส่ชุดราตรีเดินกรีดกรายออกมายืนริมถนนเพื่อรอรถ รถคันหนึ่งวิ่งตะบึงมาก่อนพุ่งมาจอดลง พิศมัยสะดุ้ง บนรถมีชายหนุ่ม ๓-๔ คน โผล่หน้าออกมาพูดเซ็งแซ่
“วู้ พิศมัย คุณพิศมัยจริงๆ ด้วย” ชายคนแรกพูด
“สวยจริงๆ” คนที่สองบอก
“พวกเราเป็นแฟนละครคุณครับ” คนที่สามพูดสำทับ
“นี่จะไปไหนครับ จะกลับบ้านหรือให้พวกเราไปส่งไหม” คนที่สี่บอก
พิสมัยพูดด้วยน้ำเสียงและท่าทางไว้ตัวแต่หว่านเสน่ห์
“ ไม่เป็นไรมิได้ค่ะ ดิฉันจะรอแท็กซี่”
รถคันนั้นแล่นจากไป บรรดาหนุ่มๆ ยังหันชะโงกมาโบกมือลา บ้างมองตาละห้อยอย่างอาลัยอาวรณ์
พิศมัยยิ้มพอใจ
แสงไฟหน้าสว่างจ้าพุ่งมาด้วยความเร็ว พิศมัยมองด้วยหวังใจว่าจะเป็นรถแท็กซี่ พิสมัยโบกมือเรียก
รถคันนั้นไม่ลดความเร็วแต่กลับแฉลบขึ้นทางเท้าแคบ พิศมัยกรีดร้องสุดเสียง รถเฉี่ยวร่างพิศมัยกระเด็นไปปะทะเสาไฟฟ้า ร่างพิศมัยล้มคว่ำลงสิ้นสติเลือดไหลปรี่จากศรีษะ นิ่งไม่ไหวติง
ภายในรถ มารศรียิ้มสะใจก่อนหักพวงมาลัยกลับรถสู่ถนน รถพุ่งไปข้างหน้า พริบตาเดียวก็หายไปในความมืด
สาวน้อย ตอนที่ ๑๙ (ต่อ)
วันใหม่ในเวลากลางวัน ที่ห้องรับแขกเล็กๆ ทางด้านหลังเวทีของโรงละครจันทร์กระจ่างที่ใช้เป็นห้องประชุมหรือห้องพักของนักแสดง ชด นิด แก้ว ทม ซึ่งนั่งอยู่บนโซฟาออกอาการอึ้งหลังรู้ข่าว ฝ่ายหลวงจันทรนั่งตาแดง จมูกแดง ร้องไห้ฮือๆ ชดเดินพล่านด้วยความเครียด
“พอก่อน คุณหลวงนี่ไม่ใช่เวลามาร่ำรำพัน เราต้องมาคุยกันว่าละครเราจะทำยังไงต่อไป” ชดว่า
“ก็จะทำอะไรได้เล่าก็คงต้องงด โธ่ๆ ลงแจ้งความโฆษณาไปตั้งไม่รู้เท่าไหร่ ผู้คนคงแห่มาดูกัน แล้วละครต้องงด ชื่อเสียงฉัน ชื่อเสียงโรงละครป่นปี้หมด”
ชดหันไปมองนิดแล้วหันไปพูด
“ถ้าคนเขาแห่มาดูกัน เราจะงดซะทำไมล่ะคุณหลวง”
“คุณชดพูดอะไร ไม่มีหนูพิศมัยไม่มีนางเอกแล้วละครจะเล่นได้ยังไง”
“ไม่มีพิศมัย แต่ก็ยังมีนิด...ก็ให้นิดเล่นบทนางเอกแทน”
แก้วบีบมือนิด ทมยิ้มให้นิด
“คุณชดเป็นบ้าหรือเปล่า แม่นิดจะมาเล่นแทนได้ยังไง”
“ทำไมจะไม่ได้ บทนี้ฉันเขียนให้นิดเล่นตั้งแต่แรก เคยซ้อมกันมาเป็นสิบครั้งจนคุณหลวงมายัดเยียดพิศมัยให้ นิดถึงต้องไปเล่นบทรองสลับกับประภา...ฉันแน่ใจว่าแม่นิดเล่นได้แน่ๆ”
นิดมองชดอย่างขอบคุณ
“แต่คนเขาจะมาดูแม่พิศมัยกัน เราทำอย่างนี้ก็เท่ากับต้มคนดู ใครเขาจะมายอมดูเด็กใหม่ เป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้”
“แต่ไม่ลองก็ไม่รู้ใช่ไหมคะ” เสียงมารศรีดังขึ้น
ทุกคนหันไปเห็นมารศรีที่แต่งตัวงดงาม สีหน้าเปล่งปลั่งราวได้เป็นนางเอก มารศรียิ้ม ปรายตามองนิด
“อโทษนะที่ฉันมาสาย เมื่อคืนฉันไปจัดการธุระ...ดึกไปนิด”
ไม่มีใครจับคำพูดมารศรีได้เว้นแต่นิด นิดมองมารศรีอย่างไม่เห็นด้วย มารศรียิ้มตอบอย่างไม่แคร์
“แปลว่าคุณมารศรีเห็นด้วยใช่ไหมที่จะให้นิดเล่น”
“ก็ดีกว่าปิดโรงละครไว้เฉยๆ เดือนสองเดือน จนกว่าแม่นางเอกของคุณหลวงจะเดินได้อีกหน จริงไหมคะ”
หลวงจันทรอึ้งหันไปมองดูนิดอย่างไม่เชื่อมือแล้วถอนใจ
“เอาก็เอา ตอนนี้อนาคตของโรงละครฉันอยู่ในกำมือเธอแล้ว”
“ขอบพระคุณค่ะ คุณหลวง ฉันต้องทำได้ค่ะ”
นิดพูดอย่างหนักแน่นตาเป็นประกายแล้วหันมองชดและมารศรีอย่างขอบคุณ
บริเวณมุมน้ำชาของร้านสรรค์ศิลป์ บัวและสมพงษ์เอาน้ำชากับขนมมาวาง สรรค์และบุญจิบชาแล้วคุยกัน
“ตอนนี้นิยายเรื่องใหม่นายไปถึงไหนแล้ว”
“เขียนไปได้เยอะแล้ว พอคิดบุคลิกนางเอกออก เรื่องก็ไหลมาเป็นฉากๆ เลย”
“นายไปหาแรงดลใจมาจากไหน”
บุญมาอมยิ้มและคิดถึงแก้ว
“ไม่ต้องหา ขับรถอยู่จู่ๆ แรงดลใจก็วิ่งมาชนเอง”
“ผิดกับฉัน ดูเหมือนเทวีแห่งแรงดลใจจะทอดทิ้งฉันจริงๆ แล้ว”
เสวกแต่งตัวโก้เปิดประตูเข้ามาแล้วร้องทักอย่างร่าเริง
“เฮ้ ว่าไง”
บุญมาโบกมือเรียกเสวกมานั่ง
“มานี่ มานั่งกินอะไรกันก่อน”
เสวกเดินมา สรรค์มองบุญมาแล้วลดเสียงลง
“เฮ้ย เรื่องร้านฉันย่ำแย่ไม่ต้องให้นายเหวกรู้นะ”
บุญมาถอนใจแล้วบอก
“ได้ เฮ้อ แต่ว่านายจะปิดสุวลีไปได้ซักกี่มื้อกี่คราวกัน”
สรรค์ถอนใจ เสวกลงเข้ามานั่งพอดี ทั้งสองยิ้มให้กันอย่างร่าเริง
ภายในห้องนอนของสุวลี เวลากลางวัน สุวลีแต่งชุดกรุยกรายมานั่งอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้ง พลางพิศดูเงาสะท้อนของตนเองในกระจกที่งดงามไปทั้งตัว สุวลีกรายมือมองดูแหวนของสรรค์ที่นิ้ว จวนมองสุวลี ทั้งชื่นชมและกลัวเกรง
เสียงรถวิ่งเข้ามาในบ้าน
“ไปดูสิจวน ใครมา”
“เจ้าค่ะ”
จวนลุกขึ้นเดินย่อตัวไปมองที่หน้าต่าง แล้วเดินย่อตัวมาคุกเข่าลง
“ว่ายังไง”
“คุณธนามาเจ้าค่ะ”
“แปลกจริง มาทำไมกันนะ”
สุวลีมองดูเงาตัวเองในกระจก พลันคิดเข้าข้างตนเองว่า ยังมีอีกชายหนึ่งคอยจงรักภักดี สุวลียิ้มพอใจ แล้วถอดแหวนสรรค์จากนิ้ววางลง
คุณเฟื่องเดินนำธนาเข้ามาในบ้าน ธนามองกระเป๋าเอกสารในมือด้วยแววตายิ้มกริ่มเจือโหดร้าย คล้ายสาสมใจอะไรบางอย่าง
ถายในห้องรับแขกใหญ่ พระยากีรติยืนเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง มีคนรับใช้คนสนิทยืนรับใช้อยู่ห่างๆ คุณเฟื่องก้าวเข้ามาในห้องรับแขก
“คุณธนามาแล้ว เจ้าค่ะ”
พระยากีรติหันมาด้วยแววกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ธนายิ้มนิดๆ มีท่าทางผยองวูบหนึ่งแล้วพนมมือไหว้พระยากีรติ
“อ้อ มาแล้วหรือ”
“ขอรับใต้เท้า” ธนาพูดอย่างนอบน้อม
“เชิญนั่ง เชิญนั่ง”
พระยากีรติผายมือเชิญธนาให้นั่งลง สาวใช้เดือนและวาดเอาน้ำมาคุกเข่าเสิร์ฟ แล้วออกไป พระยากีรติมองดูคุณเฟื่องและคนรับใช้คนสนิท
“แม่เฟื่อง แกด้วย ออกไปก่อน”
เฟื่องแปลกใจเล็กน้อยก่อนเดินออกไปกับคนรับใช้ แล้วปิดประตูลง พระยากีรติมองดูธนาด้วยอาการละอาย ธนายิ้มละไมกุมมือพูดอย่างนอบน้อม
“ใต้เท้ามีอะไรให้ผมรับใช้ พูดมาเถอะครับ”
พระยากีรติใจชื้นขึ้นไม่ได้สังเกตว่าภายใต้ความนอบน้อม ธนามีแววสาสมใจและเหี้ยมเกรียมบางอย่างปรากฏขึ้น
ภายในห้องนอน สุวลีเปลี่ยนเครื่องแต่งกายแต่งหน้าใหม่และจัดผมให้เข้ารูป จวนคอยรับใช้อยู่ข้างๆ สุวลีหยิบสร้อยข้อมือเพชรที่ธนาซื้อให้มาสวม
“ฉีดน้ำอบซิ จวน”
จวนยกขวดน้ำอบหนึ่งในชุดน้ำอบ 3 สี 3 ขวดขึ้นมาฉีดน้ำอบให้สุวลีห่างๆ สุวลีหันมาสั่ง
“แล้วแกไปหยิบร้องเท้า .. ว้าย”
สุวลีโดนละอองน้ำหอมเข้าตานิดหนึ่ง สุวลีโกรธ จวนก้มหน้าตัวงอ
“คุณเจ้าขา จวนขอประทานโทษเจ้าค่ะ”
สุวลีตบจวนอย่างแรงจนล้มตะแคงลงไปที่พื้น ขวดน้ำอบตกลงกระแทกพื้นดังเปรี๊ยะ จวนกลัวถึงขีดสุด น้ำตาไหลคุกเข่ามือพนมไหว้ สุวลีมองอย่างเย็นชา
“เก็บขวดขึ้นมา”
จวนลนลานเก็บขวดน้ำอบมาส่งให้
“แกเห็นรอยร้าวนี่ไหม”
จวนมองดูรอยร้าวที่เป็นทางนิดหนึ่งราวขนแมว
“แทบมองไม่เห็นนะเจ้าคะ”
สุวลีตวาดอีก
“ใครมองไม่เห็นแต่ฉันเห็น เอาขวดไปทิ้งเดี๋ยวนี้”
“เจ้าค่ะ”
สุวลีลุกขึ้น จวนหยิบขวดมา
“ไม่ใช่แค่ขวดนั้น อีกสองขวดนี้ด้วยทิ้งมันไปให้หมด แล้วก็จำใส่กระโหลกไว้ว่า ความโง่เง่าซุ่มซ่ามของแกทำให้ฉันเสียหายขนาดไหน”
สุวลีเดินกรายออกไปจากห้อง จวนปาดน้ำตาแล้วหยิบขวดน้ำอบอีก 2 ขวดออกมาด้วยความรู้สึกเลวร้ายสาหัส มิได้นึกซักนิดว่า ตนไม่ได้ทำผิดอะไรเลย”
พระยากีรติจรดปากกาลงเซ็นชื่อสัญญาซื้อขายหลายแผ่น ธนานั่งอยู่ด้วยคอยชี้ให้เซ็นชื่อตามแผ่นต่างๆ พระยากีรติดูคลายความกระอักกระอ่วนลงบ้าง
“ลงนามตรงนี้อีกทีนึงครับ”
“เรียบร้อยแล้วนะ”
“เรียบร้อยแล้วครับใต้เท้า”
เสียงเคาะประตู พระยากีรติสะดุ้งหน้าเผือดลง
“ใคร”
“เจ้าคุณพ่อคะ ลูกเองค่ะ ขออนุญาตเข้าไปนะคะ”
สุวลีผลักประตูเข้ามาโดยไม่รอให้พระยากีรติอนุญาต ธนาเก็บเอกสารซ้อนเป็นตั้งลงกระเป๋าเอกสารด้วยท่าทางเป็นปรกติ สุวลียิ้มให้ ธนายืนขึ้นรับ สุวลีนั่งลงข้างพ่อ
“ทำอะไรกันอยู่คะ”
กีรติอึกอักเล็กน้อยแล้วบอก
“ไม่ ไม่มีอะไรหรอกลูก”
ธนารีบแก้แทนให้
“ใต้เท้าเรียกผมมาปรึกษาเรื่องธุรกิจนิดหน่อยน่ะครับ”
สุวลีไม่ได้สังเกตท่าทางกระอักกระอ่วนของพระยากีรติ
“เจ้าคุณพ่อจะลงทุนอะไรอีกหรือคะ”
“เอ่อ . .แค่ซื้อขายอะไรเล็กๆ น้อยๆ น่ะลูก”
“ซื้อตึกแถวอีกแล้วหรือคะ”
กีรติพูดไม่ออก ธนาพรายยิ้มตอบเสียงสดใส
“คุณสุทายแม่นเหมือนตาเห็นเลยครับ”
พระยากีรติมองธนาอย่างขอร้องว่า ขอให้เงียบๆ ไว้ ธนายิ้มค้อมศีรษะรับ สุวลีค้อนพ่อ
“ตึกแถวที่ทางเราก็มีมากมายอยู่แล้ว ซื้อมาทำไมอีกกันคะ”
พระยากีรติพูดไม่ออก
“ในโลกธุรกิจหรือโลกไหนๆ หว่านพืชก็ต้องหวังผลซีครับ”
สุวลียิ้มพรายสบตาธนา ธนามองตอบด้วยแววตามาดหมาย
บริเวณเทอเรซข้างบ้านเนาวรัตน์ในเวลาต่อมา สุวลีรินน้ำชาจากกากระเบื้องขลิบทองลงถ้วยชาให้ธนาเห็นสร้อยข้อมือเพชรไหวไปมาพลางยิ้มนิดๆ
“งานปาร์ตี้เมื่อคืนก่อนครึกครื้นมากค่ะ สุเต้นรำทั้งคืนจนขาระบมไปหมด แต่ทำไมคุณไม่มาคะ”
“จะให้ผมตอบเป็นทางการ หรือตอบจากใจจริงละครับ”
สุวลีเลิกคิ้วรู้ว่า ธนาจะเลี้ยวลดเกี้ยวพา แต่กลับยิ้มตวัดสายตาค้อน
“สุขอฟังคำตอบเป็นทางการก่อนก็แลวกัน”
“ผมติดธุระที่ธนาคารจนดึกดื่น แต่คุณสุจะไม่ฟังคำตอบจากใจจริงของผมด้วยหรือครับ”
สุวลียิ้มอย่างรู้ทันแล้วบอก
“สุชักไม่อยากฟังแล้วค่ะ”
ธนาเลื่อนมือมาแล้วเอานิ้วแตะนิ้วสุวลี
“เมื่อคืนก่อนผมอยากมาใจจะขาด ผมอยากเห็นรอยยิ้มของคุณสุ อยากได้ยินเสียงหัวเราะ อยากได้กลิ่นน้ำอบที่คุณสุใส่”
สุวลีหว่านเสน่ห์เป็นทีเล่นทีจริง
“แล้วทำไมถึงไม่มาล่ะคะ”
“เพราะผมอยากเต้นรำกับคุณสุคนเดียวตลอดคืน แต่ผมรู้ดีว่ามันเป็นไปไม่ได้”
“คุณธนา อย่าพูดอย่างนี้เลยค่ะ”
“ผมขอโทษ ถ้าผมทำให้คุณสุลำบากใจ”
“คุณทำให้สุลำบากใจและปลื้มใจไปพร้อมๆ กันค่ะ”
“คุณสุ”
ธนายกมือสุวลีมาแตะริมฝีปาก สุวลีดึงมือกลับช้าๆ ยิ้มนิดๆ อย่างไว้ตัว
ด้านหน้าโรงละครจันทร์กระจ่างประดับไฟสว่างไสวในเวลากลางคืน ที่ฟุตบาธเริ่มมีหาบเร่ของกินต่างๆ มาวางขายกันอย่างครึกครื้น ทุกคนมีใบหน้ารื่นเริงแจ่มใส แตรวงบรรเลงเพลงอยู่หน้าโรงเป็นการเชิญชวน
บริเวณทางเข้า คนดูละครทั้งหญิงและชายแต่งกายกันอย่างงดงามต่างทยอยกันมาไม่ขาดสาย
เสวกเดินเข้ามาพร้อมกับบุญมา เสวกแต่งสูทหรูถือช่อบูเก้ ต่างจากบุญมาที่แต่งตัวตามสบายเช่นเคย บุญมามีกล้องติดไปแฟลชห้อยคอมาด้วย
“เสียดายที่เจ้าสรรค์ไม่ยอมมา”
“ช่างมันเถอะน่ะ”
ทั้งสองคนเดินมาหยุดดูที่ป้ายแสงไฟมาร์ควี มีตัวอักษรบอกชื่อเรื่องละครว่า “สาวทรงเสน่ห์”
ที่บริเวณทางเข้าโรงละครมีใบปิดรูปพิศมัยขนาดใหญ่ ส่วนรูปนักแสดงคนอื่นเป็นเพียงรูปขนาดเล็ก
“งามไหมล่ะ แม่พิสมัยของฉัน”
“ก็งามพอใช้ แต่เสียดายไม่ใช่แบบที่ฉันชอบ”
“แล้วแบบที่แกชอบมันเป็นยังไง”
บุญมาอมยิ้ม ไม่ตอบว่าอะไร
ล้อบบี้ภายในโรงละครจันทร์กระจ่างตกแต่งด้วยกระเบื้องลวดลายประณีต ทางด้านหนึ่งเป็นห้องขายตั๋วซึ่งพลับนั่งหน้าขาวคิ้วโก่งขายตั๋วอยู่โดยมีลูกน้องผู้ช่วย ๑ คน ส่วนอีกด้านหนึ่งติดใบปิดรูปพิศมัยขนาดใหญ่กับนักแสดงอื่นๆ อีกทั้งรูปซึ่งถ่ายจากวันซ้อมใหญ่ที่นำมาติดไว้สดๆ ร้อนๆ อีกด้านหนึ่งมีโต๊ะวางบทละครเรื่อง “สาวทรงเสน่ห์” ขาย รวมทั้งบทละครเก่าๆ อีกหลายเรื่อง แก้วในชุดเสื้อเชิ้ต กางเกง ผมหวีเรียบมาช่วยขายด้วยอาการตื่นเต้นยินดี สุดล็อบบี้มีบันไดใหญ่สำหรับขึ้นไปชั้นสอง โคมระย้าดวงมหึมาอยู่เหนือบันได บันไดนั้นปูพรมทอดยาวไว้ตรงกลาง
บุญมาและเสวกเดินเข้ามาเห็นคนซื้อตั๋วต่อคิวยาว ผู้คนขวักไขว่ บ้างดูโชว์การ์ด บ้างพูดคุย บ้างมองหาคนที่นัดกันไว้ บ้างก็เข้าไปพลิกดูบทละคร บ้างถูกใจก็ซื้อหา
“เฮ้ย นายเหวกไปซื้อตั๋ว”
“คิวยาวเป็นบ้าเลย” เสวกบอก
เสวกแยกไป บุญมายกกล้องขึ้นถ่ายภาพบรรยากาศ ใบปิดเพื่อนำไปทำสกู๊ป
ที่ชั้นสอง หลวงจันทรยืนดูผู้คนอย่างพอใจ มารศรีในชุดราตรีก้าวมาหาด้วยหน้าตาเอาเรื่อง
“คุณมารศรี” หลวงจันทรตกใจเล็กน้อยที่เห็นมารศรี
“นี่คุณหลวงยังไม่ประกาศอีกหรือคะว่าแม่พิศมัยมาเล่นไม่ได้”
“ยัง ขืนบอกไปคนดูก็กลับกันหมดน่ะซี”
มารศรีโมโหบอก
“ตายจริง แล้วจะไปบอกตอนไหนคะ”
“ไว้รอให้ตั๋วขายหมดก่อน” หลวงจันทรบอก
มารศรีโกรธจนพูดไม่ออก
อีกมุมหนึ่ง ชดยืนคุยด้วยสีหน้าเครียดกับมารศรี
“ทำอย่างงี้ได้ยังไง เดี๋ยวก็ได้วุ่นวายตายหรอก”
“ความงกไม่เข้าใครออกใครหรอกค่ะ” มารศรีบอก
ด้านหน้า แก้วยิ้มหวานกับคนดูที่พลิกดูบทละคร พนักงานขายตั๋วยืนอยู่ข้างๆ
“บทละครเรื่องที่จะเล่นนี่แหละค่ะ เรื่องอื่นๆ ก็มี บาทเดียวค่ะ” แก้วบอก
บุญมาถ่ายรูปตามมุมต่างๆ จนมาถึงโต๊ะขายบทละคร แก้วมองไป แสงแฟลชสว่างวาบ แก้วหยีตาเห็นบุญมายืนถ่ายรูปอยู่
“เฮ้ย”
บุญมามองมาเห็นแก้วพอดีก็รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาพลางยกมือก้าวไปจะเข้าไปทัก แต่เสวกก้าวมาตบไหล่พอดี
“ได้ตั๋วแล้วว่ะ นายถ่ายรูปเสร็จหรือยัง”
บุญมาหันมามองเสวกแล้วมองกลับไปที่โต๊ะขายบทละคร แต่แก้วล่องหนไปแล้วคงเหลือแค่พนักงานเท่านั้น
“ขึ้นไปข้างบนกัน กรึ๊บอะไรซักหน่อยแล้วค่อยเข้าโรง”
ล็อบบี้ชั้นบนตกแต่งอลังการยิ่งกว่าชั้นล่าง มีชุดโซฟาขลิบทองตั้งตามมุมโน้น มุมนี้มากมายหลายตัว ด้านหนึ่งเป็นบาร์เหล้าและเครื่องดื่มซึ่งมีพนักงานเสิร์ฟและบาร์เทนเดอร์แต่งเครื่องแบบประจำอยู่ คนดูหลายคนมานั่งจิบเครื่องดื่มรอเวลา แต่หลายคนก็ตรงเข้าโรงละครเลย
“ผู้คนมืดฟ้ามัวดินเลยนะนี่” บุญมาว่า
“ทุกคนเขาอยากมาดูพิศมัยกัน แน่ะ เกือบได้เวลาแล้ว”
ทางด้านล่าง แตรวงย้ายมาเล่นในล็อบบี้ซึ่งแสดงว่าละครใกล้จะเล่น
ภายในห้องแต่งตัวนักแสดงหลังเวที นิดนั่งอยู่หน้ากระจกเงา แต่งหน้าทำผมอย่างประณีต ตาและคิ้วเขียนลากหางทำให้โตขึ้นและดูเพริศพรายไปหมด ข้างกายนิดยังมีทม ประภา จิตรา สาวใหญ่รับบท แม่นั่งเรียงรายเติมหน้าครั้งสุดท้าย แก้วก้าวพรวดเข้ามานั่งข้างๆ
“แก้ว ทำไมทำท่ายังกะหนีใครมา” นิดว่า
“เปล่าซะหน่อย”
“ทำไมยังไม่แต่งหน้าอีก เดี๋ยวพี่พลับก็ดุเอาหรอก”
ขาดคำ พลับเดินหน้าบานเข้ามาเพราะตั๋วขายหมดแล้วก็สวมบทประจำทันที
“ยังไม่ทันชั่วโมงก็เกลี้ยงฉาดแล้ว เอ้า แม่คู้ณ เสื้อผ้าหน้าผมนมต้มดูดีๆ อย่าให้ไปหลุดไปหล่นบนเวที”
“อะไรหรือพี่พลับที่มันจะหลุดจะหล่นบนเวที” ทมถาม
“เอ้า ก็ทั้งช้องผม ทั้งหนวดปลอม มันหลุดได้ทั้งนั้นแหละ พูดมากอยู่ได้ เร็วเข้าเร็ว ละครจะเล่นแล้ว”
คนดูเข้ามานั่งกันจนเต็มโรงละครไปหมด ทั้งชั้นบอกซ์ด้านหน้าที่มีราคาแพงสุด บรรดาคนรวยนั่งกันอยู่เต็ม บุญมาและเสวกก็อยู่ในชั้นบอกซ์ด้วย ถัดมาไปเป็นที่นั่งธรรมดาอีกหลายแถว แยกออกเป็นอีก 3 ระยะ 3 ราคาลดหลั่นกันไปคนดูเต็มหมดทุกที่นั่ง
มีบรรดาเหล่าแม่ค้าทั้งสาวใหญ่ สาวน้อย ไปจนเด็กเอากระบะคล้องคอ ขายของขบเคี้ยว เช่น ยาอม ท็อฟฟี่ บ๊วยเค็ม ยาหม่อง ยาดม ยาหอม อ้อยขวั้น ฝรั่งดอง น้ำส้ม น้ำหวาน มีแม้กระทั่งหมากพกและพัดใบลาน
“อ้อยจ้าอ้อย , เน็ดจ้าเน็ด (๓), หมากไหมค้า , พัดจ้าพัด ฯลฯ”
บริเวณหลืบข้างเวที นิดแต่งตัวเสร็จก่อนดูงดงามไปทั้งเนื้อทั้งตัวพลางแง้มม่านดูผู้คนอย่างตื่นเต้น มารศรีก้าวมาดูด้วย
“คนเยอะจังเลยค่ะ คุณ”
“ต้องเยอะซี ตั๋วขายหมดทุกที่นั่งนี่ ตื่นเต้นไหมนิด”
“ตื่นเต้นซีคะ มือเย็นเฉียบเลย”
“ตอนฉันขึ้นเวทีร้องเพลงครั้งแรกก็ตื่นเต้นแทบตายเหมือนกัน แต่ฉันก็ผ่านมันมาได้ด้วยดี เธอเองก็เหมือนกัน ขอให้เธอมั่นใจเถอะ เธอต้องทำได้”
“เพราะคุณ...หนูถึงมีวันนี้ได้” นิดพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“อย่ามาโยนให้ฉันหมดเลย ยังมีคุณชด มีแก้ว เพื่อนๆ ทุกคนที่คอยช่วยเธอ แต่อย่าลืมว่าคนสำคัญที่สุดที่จะช่วยเธอได้ก็คือตัวเธอเอง”
นิดลังเลนิดหนึ่งแล้วตัดสินใจพูด
“หนูหมายถึง...ที่หนูได้มายืนตรงนี้...อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับคุณพิศมัย”
มารศรีชะงักแล้วยิ้มพูดหน้าตาเฉย
“มันเป็นอุบัติเหตุจริงๆ นะ เธอก็รู้ สวมส้นสูงขับรถมันพลาดได้ง่ายๆ จะเหยียบห้ามล้อก็กลายเป็นเหยียบคันเร่ง”
“แต่ขออย่าให้มีอุบัติเหตุอีกเลยจะดีกว่านะคะ”
นิดพูดพลางมองอย่างวิงวอน
“ฉันก็ไม่ใช่คนใจยักษ์ใจมาร แต่ฉันทนเห็นใครถูกรังแกไม่ได้ แต่เอาเถอะ ฉันรับปากเธอ จะไม่ทำอะไรแย่ๆ อีก”
นิดมองมารศรีอย่างซาบซึ้งแล้วยกมือไหว้ มารศรีกางมือออก นิดกอดมารศรีไว้ มารศรีกอดตอบ
ภายในโรงละคร เสียงดนตรีฟันฟาร์ (๔) ดังขึ้น คนดูพากันเงียบเสียงลง พวกแม่ค้าหลบทางเข้าด้านข้าง ทุกคนมองไปยังเวทีที่ทำกรอบเวทีงดงามเหมือนกระบังหน้านางละคร หลวงจันทรเดินมายังไมโครโฟน
“ท่านสุภาพบุรุษสุภาพสตรีที่เคารพ ขอต้อนรับทุกท่านสู่โรงละครจันทร์กระจ่าง ในคืนนี้โรงละครของเราขอเสนอละครเรื่อง สาวทรงเสน่ห์”
ขณะนั้นเองมีคนของหลวงจันทรที่เตี๊ยมกันไว้เดินมาส่งจดหมายให้ หลวงจันทรคลี่ดูทำท่าตกใจ เอามือปิดไมค์ถามซุบซิบกับคนส่งข่าวที่หลืบเวที ชด มารศรียืนดูบทบาทแล้วพูดกับมารศรี
“ให้ตาย เล่นสมบทบาทกว่าฉันอีก”
คนดูเริ่มซุบซิบ เสวกมองหน้าบุญมา หลวงจันทรหน้าซีดเผือด
“ขอประทานโทษ กระผมมีข่าวไม่สู้ดีมาเรียนท่านผู้ชมทุกท่าน นางเอกของเรา หนูพิศมัยประสบอุบัติเหตุตอนนี้รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล”
เสียงคนดูร้องฮือกัน มีคนพูดว่า มีเรื่องจริงหรือ เกิดอะไรขึ้น ละครไม่มีนางเอก
“อ้าว เฮ้ย แล้วละครจะทำยังไงใครจะเล่น” เสวกลุกขึ้นถาม
“ใจเย็นๆ ขอรับ ทางเราได้มีแผนสำรองไว้แล้ว เราขอเสนอนางเอกใหม่ของเรา หนู...”
ผู้ชมคนหนึ่งปาลูกฝรั่งลูไปใส่หัวหลวงจันทรดังป็อก เสียงคนดูบอก
“เราไม่ดู / เราจะดูพิศมัย / ยังงี้มัดมือชกกันนี่หว่า”
หลวงจันทรเริ่มหน้าซีดจริงไม่ใช่การแสดงอย่างเมื่อครู่ พลางโบกมือไว้ว่อน
“หนูพิศมัยออกจากโรงพยาบาลเมื่อไหร่ท่านได้ดูแน่ อาทิตย์หน้าก็ได้ดูแล้ว”
“งั้นพวกเราค่อยมาดูอาทิตย์หน้า คืนเงินค่าตั๋วมา” เสวกบอก
บรรดาคนดูทั้งหลายเริ่มลุกขึ้นแล้วพูดว่า
“ใช่คืนเงินมา / ขอสาปส่งจะไม่มาดูอีกแล้ว / ต่อให้พิศมัยมาก็ไม่ดู”
“อย่ามามัดมือชก นางเอกใหม่เป็นใคร ร้องเพลงเป็นหรือเปล่าก็ไม่รู้ เราไม่ดู” เสวกบอก
บุญมารู้สึกสนุกลุกขึ้นถ่ายภาพความวุ่นวายไว้ ผู้คนลุกขึ้นปาของใส่หลวงจันทรเป็นห่าฝน
หลังเวที ทั้งชด นิด ทม แก้ว ประภา จิตรา ตัวประกอบอื่นๆ กังวลไปหมด พลับทำท่าจะเป็นลมจนต้องกระพือพัด มารศรีวิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าตื่น
“คนดูคลั่งกันใหญ่แล้วค่ะ หลวงจันทรหัวโนเป็นลูกมะกรูดแล้ว”
“เราจะทำยังไงกันดีคะ” นิดถาม
ชดเริ่มกลุ้มใจบอก
“คนดูโวยวายเพราะกลัวนางเอกใหม่ร้องเพลงไม่ได้ เราต้องทำให้เค้าเชื่อ...”
“ทำอะไรก็ทำซักอย่างเถอะคุณชด ไม่งั้นโรงแตกแน่” มารศรีบอก
ชดหันมองหน้านิดแล้วตัดสินใจทันที
“เอาอย่างนี้...”
ภายในโรงละคร เสวกยังคงยืนนำก่อม็อบอยู่ บุญมาถ่ายรูปเหตุการณ์ความชุลมุน คนดูยังคงลุกขึ้นวุ่นวาย มีส่วนน้อยที่เดินออกจากโรงละคร ทันใดไฟก็ดับลง เพลงขึ้นอินโทร คนดูยิ่งร้องฮืออย่างไม่พอใจ ทันใดนั้น เสียงนิดก็ดังขึ้น เสียงกังวานใสไพเราะของบทเพลง “ลมหวน” ดังก้องไปทั่วโรงละคร
เสวกถึงกับอ้าปากค้าง คนดูคนอื่นๆ ร้องฮือ ทุกคนเลิกโวยวายเข้าสู่ความสงบราวกับถูกสะกดด้วยเสียง
ม่านเวทีเปิดออก ทมในชุดสูทดีดเปียโนเป็นเงา นิดยืนอยู่ด้านหน้าแสงสาดส่องเฉพาะตัวนิด ม่านบางๆทำให้นิดเหมือนเป็นภาพฝัน
เสวกนั่งลง บุญมาฟังอย่างทึ่ง คนดูนั่งฟังราวไม่หายใจ นิดร้องไปได้ครึ่งท่อนก็ก้าวจากม่านบาง แสงส่องจากด้านหน้าเผยให้เห็นนิดในชุดราตรีที่สวมเครื่องเพชรวับวาว ทรงผมและการแต่งหน้าราวเทพธิดาลงมาจากสวรรค์ นิดร้องเพลงอย่างมั่นใจและเปี่ยมไปด้วยอารมณ์
เสวกถึงกับอ้าปากค้างอีกครั้งราวคนปัญญาอ่อน บุญมาตะลึง
ที่หลืบ มารศรีปลาบปลื้มจนน้ำตาคลอ ชดยิ้มพยัก หลวงจันทรหัวโน เสื้อเปื้อนน้ำขวดหลากสี อ้าปากค้างมองนิดอย่างตกตะลึงและหลงรักทันที
บรรดาคนอื่นๆ หลังเวทีไม่ว่าจะแก้ว ประภา จิตรา ฯลฯ ดีอกดีใจ
นิดร้องครึ่งหลังของท่อนเพลงพลางกรายมือยื่นมาราววิงวอนก่อนเพลงจะจบลง
เสวกตบมือนำ เสียงปรบมือ เป่าปาก กระทืบเท้าดังกึกก้องกัมปนาทราวโรงละครจะถล่ม
นิดยืนนิ่งยิ้มงดงาม เย้ายวนและทรงเสน่ห์ ดาราดวงใหม่ได้กำเนิดแล้ว!!
จบตอนที่ ๑๙
หมายเหตุ -- ผู้เรียบเรียง
๑ วิหยาสะกำ - โอรสของท้าวกะหมังกุหนิง ซึ่งเกิดจากประไหมสุหรี เป็นหนุ่มรูปงาม ผิวพรรณผุดผ่อง จิตใจอ่อนไหว มีฝีมือในการใช้ทวนเป็นอาวุธ ได้คุมทัพไปรบกรุงดาหาเพื่อแย่งระเด่นบุษบา และถูกระเด่นสังคามาระตา (น้องบุญธรรมของอิเหนา) ฆ่าตาย
๒. ไทโรน เพาเวอร์ - เริ่มต้นชีวิตการแสดงด้วยละครเวที จากนั้นมาเล่นเป็นตัวประกอบในหนังเรื่อง Tom Brown of Culver ในปี ๒๔๗๕ แต่ไม่ดัง ต่อมาได้เซ็นสัญญากับบริษัท Foxในปี ๒๔๗๙ และได้รับบทนำในเรื่อง Ladies in Love และถัดมาในเรื่องอื่นๆ อีกมากมาย นับได้กว่า ๕๐ เรื่อง หนังส่วนใหญ่จะเป็นหนังรักๆ ใคร่ๆ ที่มีเครื่องแต่งตัวแบบอลังการ หรือหนังในแนวผจญภัย ยุคทองของเขาอยู่ก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง
๓. เน็ดจ้าเน็ด - น้ำมะเน็ด หรือ lemonnade
๔. ฟันฟาร์ (Funfare) หมายถึง การบรรเลงเพลงสากลแบบหนึ่ง
สาวน้อย ตอนที่ ๒o
บนเวทีการแสดง “สาวทรงเสน่ห์” (๑)
เพลงบรรเลงด้วยท่วงทำนองร่าเริง นิด - นางเอกในชุดราตรีเต้นรำกับทม - พระเอกในชุดทักซีโด ฝ่ายนางเอกเชิดหยิ่ง ส่วนพระเอกดูเย็นชาแต่ดูสง่า แก้วกับประภาเต้นรำกันอยู่อีกมุมหนึ่
ผู้ชมดูการแสดงอย่างใจจดใจจ่อ เสวกจ้องมองนิดตาเป๋งด้วยความชื่นชม บุญมาคลับคล้ายคลับคลาว่าจำแก้วได้
ฉากสวนบ้านผู้ดี นิดในชุดกลางวันพูดจาตัดรอนทม แล้วสะบัดหน้าเดินหนีไป ทมยืนนิ่งขึง เจ็บปวด คนดูอึ้ง เสวกน้ำตาคลอจนบุญมาต้องเอาศอกกระทุ้งพลางมองเสวกอย่างอ่อนใจ
ต่อมาประภาเอาจดหมายให้นิดอ่าน และรู้ความจริงว่า ทมเป็นคนคอยช่วยอยู่เบื้องหลัง นิดทิ้งจดหมายหล่นจากมือ วิ่งผลุนผลันไป ทมยืนเหม่อในสวน นิดเข้ามาทางด้านหลังแล้วโอบกอดทมนิ่งอึ้ง ทมหันมานิดขอโทษและขอบคุณ ทมให้สัญญารัก ทั้งสองกอดกัน
ผู้ชมร้องเสียงฮือฮา หญิงสาวบางคนขวยอายบิดผ้าเช็ดหน้าขาด เสวกกับบุญมาเผลอกอดกัน
บนเวที ทมเล่นเปียโน นิดร้องเพลงจบอย่างมีความสุข
ผู้ชมมีความสุขอย่างเคลิบเคลิ้ม … ม่านเคลื่อนปิด...
ผู้ชม “สาวทรงเสน่ห์” ต่างพอใจ ทั้งปรบมือ เป่าปาก กระทืบเท้า จนโรงแทบจะถล่ม
ช่วงเคอร์เทนคอลล์ (๒) นิด ทม แก้ว ประภา ชด จิตรา นักแสดงทั้งหมดออกมาโค้งคำนับผู้ชม คนดูลุกขึ้นยืนปรบมือโดยมิได้นัดหมาย เสวกปรบมือดังอย่างเอาเป็นเอาตายกว่าใคร แก้วมองมาเห็นบุญมาปรบมือ ยักคิ้วให้และมองแก้วอย่างเอาเรื่อง คนดูยังคงยืนปรบมือยาวนาน
นิดใบหน้ากระจ่างใส ดวงตาสุกใสราวดวงดาว คลี่ยิ้มงดงาม
ปฏิกิริยาของผู้ชม “สาวทรงเสน่ห์” ในค่ำคืนนั้นสร้างความโด่งดังให้นิดเพียงชั่วข้ามคืน
วันรุ่งขึ้น เวลากลางวัน ภายในห้องนั่งเล่นบ้านเนาวรัตน์ สุวลีนั่งปักผ้า ฝีเข็มลายปักงดงามประณีต พระยากีรติกับคุณหญิงบัวผันนั่งบนโซฟาอีกตัวหนึ่ง พระยากีรติอ่านหนังสือพิมพ์ คุณหญิงบัวผันอ่านหนังสืออ่านเล่นเล่มเล็ก จวนนั่งกับพื้น เฟื่องยืนอยู่ที่มุมหนึ่ง
ทุกคนวางมือจากสิ่งที่ทำฟังเสวกเล่าอย่างตื่นเต้น
“คุณน้อง คุณน้องต้องไปดูนะ ละครเรื่องนี้ดีจริงๆ คนเล่นก็เล่นดี สมบทสมบาท ตัวนางเอกนะสวยเหมือนนางฟ้า พอร้องเพลงเสียงยังกะระฆังแก้ว .. เจ้าคุณพ่อกับคุณแม่จะไปดูวันศุกร์นี้แหละ”
สุวลีหันมองเป็นเชิงถาม พระยากีรติและคุณหญิงบัวผันทำหน้าเบื่อ
“ไม่ไปได้ยังไง มันรบเร้าอยู่ทั้งวัน” พระยากีรติว่า
“ลูกเอ๊ย เพิ่งคลั่งไคล้แม่พิศมัยอยู่แป๊บๆ นี่เปลี่ยนใจมาคลั่งแม่วนิดานี่อีกแล้ว"
เสวกเข้ามาออดอ้อนสุวลี
“น่า นะ คุณน้องไปดูด้วยกัน”
“สุไม่ชอบดูละครหรอกค่ะ คร่ำครึจะตาย”
“โธ่ นี่ไม่ใช่ละครปราโมทัยร้องเอิงเงยนะ เค้าเป็นละครสมัยใหม่ เนื้อเรื่องก็แปลงมาจากนอฟเวิล (๓) ฝรั่ง เพลงประกอบก็เป็นดนตรีฝรั่ง ไพเราะทั้งทำนองทั้งเนื้อร้อง”
“แหม ถ้าทันสมัยจริงก็ต้องเป็นชายจริงหญิงแท้ซีคะ” สุวลีแย้งอย่างไม่ศรัทธา
คุณหญิงบัวผันตบอกผางบอก
“ว้าย ถ้าชายจริงหญิงแท้น่ะ แม่ไม่ดูนะลูก”
เสวกยังรบเร้าสุวลีไม่เลิก
“โธ่ ถึงเขาจะใช้ผู้หญิงเล่นเป็นผู้ชาย แต่ก็ดูดี เล่นกันไม่เคอะเขินนะคุณน้อง”
สุวลีสีหน้าเอือมระอาแล้วบอก
“พี่เสวกหายใจเข้าออกเป็นละครเรื่องนี้จริงๆ นะคะ”
“พี่ยอมรับ พี่ติดใจนางเอกคนนี้จริงๆ ไม่ใช่แค่พี่นะ ตอนนี้ ใครๆ เค้าก็คลั่งวนิดากันทั้งเมือง"
หน้าโรงละคร รูปพิศมัยถูกปลดออก รูปนิดถูกติดแทน หลวงจันทรเข้าไปติดรูปอย่างทะนุถนอม
หน้าโรงละคร ป้ายมาร์ควี ชื่อ “วนิดา” ถูกติดแทน คนดูต่อแถวซื้อตั๋วคิวยาวไปถึงถนน
บนเวที นิดโค้งรับเสียงปรบมือ ด้านล่างคนดูปรบมือไม่ขาดสาย
ในหนังสิอพิมพ์หน้าบันเทิง มีรูปนิดไม่ชัดนัก มีพาดหัว ดาวดวงใหม่เกิดแล้ว!
ภายในโรงพยาบาล หนังสือพิมพ์ถูกขยำปาทิ้ง พิศมัยนอนขาเข้าเฝือกทั้ง ๒ ข้างแขวนลอย พิศมัยกรีดเสียงร้องดังกึกก้อง
นิดยิ้มสมใจอยู่บนเวที แววตามีแววมุ่งมั่นท้าทาย เธอพร้อมแล้วที่จะก้าวต่อไปตามแผนที่เธอวางเอาไว้
วันใหม่ในเวลากลางวัน ภายในร้านสรรค์ศิลป์ มีเพียงสรรค์ สุวลี และบุญมานั่งดื่มชากัน สมพงษ์กับบัวนั่งเฝ้าตู้ขนมอย่างเหงาๆ เหมือนเคย
สุวลีวางหนังสือพิมพ์ที่มีข่าว “วนิดาปฏิเสธไม่ยอมให้สัมภาษณ์” ลงกับโต๊ะ แล้วพูดกับบุญมาอย่างหมั่นไส้
“แม่วนิดาของคุณถึงกับไม่ยอมให้หนังสือพิมพ์สัมภาษณ์ นึกว่าตัวเองเป็นเกรต้า การ์โบ(๔)หรือยังไง"
บุญมาไม่สนคำประชดของสุวลีกลับพูดถึงวนิดาอย่างปลื้มมาก
"วนิดาคนนี้ จะว่าไปสวยกว่าการ์โบเสียอีก”
สรรค์ถึงกับขำบุญมา
“ตอนนี้ฉันว่าแกอาการหนักกว่านายเสวกเสียอีก...สุเชื่อไหม เจ้าบุญมาไปดูละครเรื่องนี้มา ๔ รอบ เขียนเชียร์ไปตั้ง ๒ หน ไม่รู้ว่าติดใจอะไร”
“ก็คุณวนิดาน่าสนใจจริงๆ นี่ ยิ่งเก็บเนื้อเก็บตัว ไม่ยอมให้สัมภาษณ์แบบนี้ยิ่งน่าสนใจเข้าไปใหญ่” บุญมาว่า
"มันเป็นวิธีการเรียกร้องความสนใจของเธอต่างหาก" สุวลีบอก
สรรค์หันไปพูดกับสุวลี
"แล้วก็สำเร็จเสียด้วย เพราะเจ้าบุญมาถึงกับปวารณาตัวว่า จะต้องเป็นคนแรกที่สัมภาษณ์วนิดาให้ได้"
“แล้วฉันก็มีวิธีแล้วด้วย” บุญมาพูดด้วยความมั่นใจก่อนยิ้มเจ้าเล่ห์
ภายในห้องแต่งตัวของโรงละครจันทร์กระจ่างในเวลาเย็น นักแสดงและทีมงานเพิ่งทะยอยกันมา แก้วแต่งชุดผู้ชายหวีผมเรียบ หน้าตาดูสวยเก๋ กำลังส่องกระจกแต่งหน้า ประภานั่งอยู่ข้างๆ แต่ยังไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดละคร จิตราที่เล่นเป็นน้องคนเล็กเปิดประตูเดินนำชายคนหนึ่งเข้ามา
"มีคนมาส่งดอกไม้จ้ะ" จิตราบอก
ทุกคนรวมทั้งแก้วหันไปมอง คนมาส่งดอกไม้ถือแจกันดอกไม้เป็นพุ่มใหญ่บังหน้า ประภาชี้ไปตรงที่ว่างแล้วบอก
“วางไว้หน้ากระจกโน่นก็ได้ค่ะ แหมสวยจัง ของใครนะ”
แก้วหันกลับไปตั้งใจเขียนหนวดต่อ ชายนั้นลดแจกันลง ปรากฏว่าเป็นบุญมาที่ถือแจกันดอกไม้ไปวางหน้ากระจก แล้วหันหลังทำเป็นดูนั่นดูนี่
ประภาเดินไปหยิบการ์ดมาดู เสียงแก้วพูดขึ้นลอยๆขณะเขียนหนวด
“ไม่ใช่ของวนิดา ก็ของพี่ทมหรือไม่ก็ของเธอ”
“ใครว่า ของคุณแก้วกิริยาต่างหาก” ประภาบอก
แก้วเขียนหนวดไปได้ครึ่งหนึ่งก็ชะงักมองดูแจกันดอกไม้ ประภาส่งการ์ดให้แก้วอ่าน
แก้วเดินมาหาบุญมาที่ยืนหันหลังดูนั่นดูนี่อยู่
“นี่ ใครส่งดอกไม้นี่มาให้ฉัน”
บุญมาหันมา แก้วสะดุ้งโหยง
“คุณ!”
“ก็ฉันน่ะซี มาขอพบตั้งหลายหนไม่ยอมให้พบ เดี๋ยวนี้ชักจะเล่นตัวใหญ่นะ”
ประภามองดูแล้วอมยิ้ม จิตราหันมาซุบซิบคึกคักด้วย พลับหันมามองตาขวางตวาดแว๊ดๆทันที
“นั่นใครน่ะเข้ามาทำไม”
“ออกไปคุยกันข้างนอก” แก้วบอก
“อุ๊ย น้องแก้วไม่ได้นะ พวกผู้ชายพายเรือน่ะได้คืบจะเอาศอก” พลับว่า
ชดเข้ามาอีกทางหนึ่งพอดีพลางกระแอมก่อนบอกแก้วกับบุญมา
“พี่พลับ พอได้แล้ว... จะไปก็รีบไป”
พลับชะงักกึก ชดพยักหน้าให้ บุญมาลากแก้วออกไปจากห้องแต่งตัว
บุญมาคว้าข้อมือแก้วเดินลากออกมาที่ล๊อบบี้ แก้วสะบัดจนหลุดพลางเท้าสะเอวแสดงอาการห้าว
"ปล่อยได้แล้ว... มีอะไรว่ามา"
“ฉันมาดูละครของเธอ ๒-๓ หนแล้ว ละครสนุกดี ฉันเอาไปเขียนเชียร์ในหนังสือพิมพ์ด้วยนะ”
“อือ ขอบใจ”
บุญมาทำเสียงหวานประจบ
“เธอเองก็แสดงได้ดีนะ แล้วก็ไม่กระปุกกระปุยเหมือนเมื่อก่อนแล้ว สวยขึ้นตั้งแยะ”
“นี่คุณจะเกี้ยวฉันเหรอ”
แก้วพูดด้วยความตกใจ แต่บุญมาตาเบิกโพลง ตกใจกว่า
“บ้า ไม่ใช่โว้ย ฉันมาติดต่อเธอ เพราะอยากให้เธอช่วยฉัน ฉันอยากขอสัมภาษณ์วนิดาเธอช่วยติดต่อให้ฉันหน่อยนะ”
แก้วอารมณ์เสีย ผิดคาดที่บุญมาไม่ได้สนใจ
“เชอะ เรื่องอะไร ธุระไม่ใช่ ฮึ ฉันไปล่ะ”
แก้วเดินกระทืบเท้ากลับไปยังห้องแต่งตัว บุญมาเกิดอาการเซ็ง
ภายในโถงบ้านโพธิ์ธารา เวลาเย็น สรรค์,พระชาญชลาศัย และมารศรีร่วมกินอาหารเย็นอยู่ที่โต๊ะอาหาร บัวและสมพงษ์แต่งตัวสวยพิเศษคอยรับใช้อยู่ แม่ผินกวาดตามองแล้วทำท่าฮึดฮัดอารมณ์เสีย จนคุณพระต้องออกปากทัก
“นี่ตกลงว่าจะไปดูละครกันหมดเรือนเลยรึ”
“เจ้าค่ะ” บัวบอก
“ขาดเจ้ากุ๊กกับเจ้ารามซิงค์ขอรับ นอกนั้นจะไปกันหมด” สมพงษ์บอก
มารศรียิ้มเย้ยใส่ผิน ผินสะบัดหน้า สรรค์ถามขึ้น
“แล้วทำไมแม่ผินไม่ไปด้วยล่ะ” สรรค์ถาม
“วุ้ย เรื่องประโลมโลกย์จะไปสนุกสักแค่ไหนเชียว”
“แต่ฉันได้ข่าวว่า ละครคณะนี้น่ะดัดแปลงมาจากนิยายฝรั่งนะ มีคติสอนใจ ไม่ใช่เรื่องประโลมโลกย์หรอก" มารศรีว่า
แม่ผินค้อนขวับทันที
“ไม่น่าเชื่อนะครับคุณพ่อ ละครเสื่อมความนิยมไปตั้งสิบปีแล้ว คนหันมาดูหนังกันทั้งนั้น จู่ๆ ก็มีละครโด่งดังเปรี้ยง ปร้างขึ้นมา" สรรค์ว่า
“ก็เขาทำให้ทันสมัยน่ะซี เล่นกันแบบสากล ใช้ดนตรีฝรั่งประกอบฉากเฉิก เสื้อผ้างามวิจิตรไปหมด” พระชาญชลาศัยบอก
“อุ๊ยตาย คุณพระพูดอย่างกับไปดูมาแล้ว” มารศรีบอก
“เปล่า เจ้าบุญมามันพูดกรอกหูซะจนจะท่องได้อยู่แล้วต่างหาก”
สรรค์ยิ้มแล้วพูดขึ้น
“นี่คุณพ่อก็โดนเหมือนกันหรือครับ”
มารศรียิ้มอย่างสุขใจ พระชาญชลาศัยหันมาถาม
“อ้อ ละครเรื่องนี้หรือเปล่ามารศรี ที่เธอไปลงทุนทำกับเขา”
มารศรีไม่ตอบแต่หันไปหาสรรค์ พลางผลักหนังสือพิมพ์ที่มีข่าวละคร “สาวทรงเสน่ห์” ไปตรงหน้าสรรค์
“แล้วคุณสรรค์ล่ะคะ ไม่สนใจไปดูกับเขาบ้างหรือ...นางเอกเขาสวยมากนะคะ"
สรรค์มองตามอย่างไม่ใสใจมากนัก เห็นรูปขาวดำของวนิดาในคอลัมน์ที่ถ่ายจากด้านล่างขึ้นไปบนเวทีระหว่างแสดงแต่ไม่ชัดนัก สรรค์มีท่าทางประหลาดใจ มารศรีลุ้น...
สรรค์เงยหน้าแล้วยิ้ม
“ไม่น่าเชื่อเลย เจ้าบุญมาเขียนชมละครเรื่องนี้เป็นครั้งที่สามแล้ว...นางเอกท่าจะสวยจริงๆ” สรรค์ ไม่มีวี่แววจะจำนิดได้ มารศรีได้แต่แอบถอนใจ
วันใหม่ในเวลากลางวัน ภายในห้องโถงบ้าน พระยาธรรมนูญภักดีดูภาพวนิดาในข่าวจากหนังสือพิพม์อีกเล่มหนึ่ง แล้วหนังสือพิมพ์ก็ลดลง เห็นนิดแต่งหน้าแต่งผมงดงดงาม แต่งตัวทันสมัยยืนระหงอยู่ ทางด้านหลังชื่นกับถวิลมาคุกเข่าดูอย่างชื่นชม พระยาธรรมนูญยิ้มอย่างชอบใจ พูดสัพยอก
“นึกว่าใคร คุณวนิดานี่เอง”
“ใต้เท้าอย่าล้อดิฉันเลยค่ะ” นิดว่า
นิดทรุดลงกราบพระยาธรรมนูญภักดีกับพื้น แล้วทำท่าจะนั่งตรงนั้น
“ไม่เอา มานั่งนี่”
นิดลุกขึ้นมานั่งบนโซฟา มือประสาน เท้าไขว้ เบี่ยงกายท่าทางงดงาม
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ”
“เราน่ะดังใหญ่แล้วนะ”
“ก็เพราะความกรุณาของท่านนั่นแหละค่ะ”
“นี่แม่ชดเป็นยังไงบ้าง”
“ช่วงนี้พี่ชดอารมณ์ดี แต่ก็ทะเลาะกับพี่พลับอยู่ทุกวันเจ้าค่ะ”
ธรรมนูญขำแล้วบอก
“ฉันก็ไม่เคยเห็นผัวเมียคู่ไหนที่เป็นแบบนี้ อ้อ...แล้วแม่มารศรีเล่า"
“ก็สบายดีเจ้าค่ะ แต่เธอไม่ยอมออกหน้าว่าเป็นเจ้าของคณะละครร่วมด้วย"
“ก็เป็นหุ้นส่วนเงียบ ไซเลนต์พาร์ตเนอร์เหมือนฉันไง”
นิดยิ้มอย่างเจียมตัว
“เจ้าค่ะ ใต้เท้าเรียกดิฉันมา มีอะไรจะให้ดิฉันรับใช้หรือคะ”
พระยาธรรมนูญภักดีหัวเราะแล้วบอก
“ก่อนอื่นเลิกเรียกฉันว่า ใต้เท้าเสียที ตามมาสิ ฉันมีอะไรจะให้เธอทำ"
พระยาธรรมนูญภักดีลุกขึ้น นิดลุกตามไป
ภายในห้องสมุด พระยาธรรมนูญนั่งตรงข้ามกับนิดแล้วกางหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษลงตรงหน้านิด ในหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษลงข่าวเกี่ยวกับอักษะโจมตียุโรป นิดอ่านให้พระยาธรรมนุญฟัง
บริเวณห้องโถงชั้นล่าง บนโต๊ะอาหาร พระยาธรรมนูญนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ นิดนั่งถัดมา บนโต๊ะจัดด้วยชาม ช้อน ส้อม มีด แก้วน้ำ แก้วไวน์ วางเรียงตามอัตราศึก อาจารย์สอนการเรือนรูปร่างผอม เกล้ามวยตึงเปรี๊ยะ สีหน้าเย็นชาสอนนิด นิดตั้งใจจำแต่ก็ผิด อาจารย์เฮี้ยบ เอาไม้เรียวเคาะนิ้วนิดทันที
ภายในห้องนั่งเล่น : ที่แกรนด์เปียโน นิดนั่งอยู่เคียงข้างกับครูผู้ชายวัยกลางคน ครูสอนให้นิดเล่นเปียโน
มุมหนึ่งในบ้านพระยาธรรมนูญอีกหลายวันต่อมา
มารศรียืนกับพระยาธรรมนูญยืนมองดูนิดที่เล่นเปียโนเพลงง่ายๆ ได้แล้ว มารศรียิ้มปลื้มใจ
"หนูนิดเป็นนักเรียนที่ดี หัวไวมาก สอนอะไรเพียงนิดหน่อยก็ทำได้ดีทุกอย่าง" พระยาธรรมนูญบอก
“ดีแล้วค่ะ ดิฉันอยากให้วนิดาเป็นสุภาพสตรีที่เพียบพร้อมเลิศเลอในทุกๆ ด้าน”
พระยาธรรมนูญมองมารศรีอย่างรู้ทันว่า เธอคงมีแผนอะไรในใจ
“ออกจะเพียบพร้อมเลิศเลอเกินไปเสียด้วยซ้ำสำหรับนางเอกละครคนหนึ่ง”
"ยังหรอกค่ะท่าน ยังไม่พอ แม่นิดเขาต้องการจะดีกว่านี้ เขาต้องการเป็นสุภาพสตรีที่สวยที่สุด มีเสน่ห์เพียบพร้อมที่สุด ชนิดที่หาใครเปรียบไม่ได้"
“ฉันไม่เข้าใจจริงๆ ทั้งเธอ ทั้งแม่นิดที่อุตส่าห์ทำกันถึงขนาดนี้ ทำราวกับจะเตรียมตัวไปแข่งขันใครไม่ทราบ”
มารศรีอมยิ้มแต่ไม่ตอบ
นิดหันมามองมารศรี พลางไล่นิ้วพรมลงบนคีย์อย่างอวดๆ ภูมิใจ ยิ้มด้วยตาแวววับแบบรู้กันว่าทั้งหมดที่ทำนี้เพื่ออะไร
เทอเรซข้างบ้านเนาวรัตน์ในเวลากลางวัน สุวลีนั่งปักผ้าด้วยท่วงท่าสวยงามอยู่บนเก้าอี้หวาย สร้อยข้อมือเพชรของธนาสั่นไหวเป็นประกายระยับ สรรค์นั่งมองสุวลีอย่างครุ่นคิด ความรักใคร่ลุ่มหลงจางลงไปมาก มีแต่หน้าที่และความผูกพันอยู่ สรรค์เปรยขึ้นมา
“ เราหมั้นกันมานานแค่ไหนแล้วนะ สุ”
สุวลีชะงักฝีเข็ม นึกไม่สบายใจขึ้นมา
“สรรค์พูดแบบนี้หมายความว่ายังไงคะ”
“ผมคิดว่าเราหมั้นกันมานานแล้ว เราควรจะแต่งงานกันเสียทีดีไหม"
สรรค์พูดอย่างไตร่ตรองเหมือนวางแผนชีวิต ไม่มีอารมณ์เสน่หาเร่าร้อนในคำพูดนั้น สุวลีวางผ้าปักลงบนตัก ตอบนิ่งๆ
“ยังไม่จำเป็นหรอกค่ะ”
“ทำไมหรือสุ หรือว่าสุลังเลอะไร” สรรค์ถามเรียบๆ
สุวลียกมือขึ้นมองสร้อยข้อมืออันแพรวพราว แล้วเลื่อนไปมองที่นิ้ว สุวลีใช้นิ้วแตะที่แหวนวงน้อย
“สุไม่ได้ลังเลหรอกค่ะ แต่ว่า...”
“หรือว่าสุไม่อยากแต่งงานกับเจ้าของร้านวาดรูปธรรมดาๆ คนหนึ่ง” สรรค์พูดทีเล่นทีจริง
สุวลีอึ้งที่สรรค์พูดแทงใจดำ แต่ฝืนยิ้มกลบเกลื่อน
“ใครว่าคะ แต่ตอนนี้แกลเลอรี่ของคุณเพิ่งเปิด คุณควรทุ่มเทกับเรื่องงานให้เต็มที่ อย่ากังวลเรื่องอื่นเลยค่ะ เอาไว้ร้านของคุณเรียบร้อยไปได้ด้วยดี แล้วเราค่อยมาคุยกันก็ได้”
สรรค์นึกถึงร้านก็ท้อใจ แต่ก็ไม่กล้าพูดถึงภาวะขาดทุนอย่างหนักที่ประสบอยู่
“ตกลงจ้ะสุ พูดถึงเรื่องงาน นี่ผมกะว่าจะไปหาที่เขียนรูปชุดใหม่”
"ไปหัวเมืองหรือคะ"
"จ้ะ ว่าจะไปซัก 2 สัปดาห์ สุคงไม่ว่าอะไรใช่ไหม"
สุวลียิ้มอย่างอ่อนหวานดูเข้าใจอกใจ
วันใหม่ เวลากลางวันในภัตตาคารหรู สุวลีแต่งกายงดงามนั่งอยู่กับธนา ธนามองสุวลีแล้วยิ้มๆ
“โธ่ ผมก็ยินดีไปเท่านั้นเอง ที่มีโอกาสได้รับใช้คุณสุ แต่กลัวว่าจะมีโอกาสแค่ 2สัปดาห์นี้เท่านั้น”
สุวลีชะงัก ยิ้มแล้วค้อนธนาอย่างใส่จริต
“แหม การข่าวของคุณนี่ไม่เคยพลาดเลยนะคะ”
“นักธุรกิจก็ต้องหูไวตาไวกว่าคนอื่นหน่อยซีครับ”
“ความจริงเรื่องสุจะไปไหนกับใคร ไม่มีใครมาหวงห้ามได้หรอกค่ะ แต่คุณก็ทราบว่าเราอยู่ในสังคมที่คร่ำครึ และไม่เข้าใจเรื่องพลาโตนิกเฟรนด์ชิป (๕) อะไรทั้งนั้น”
ธนายิ้ม มองสุวลีเหมือนจะกินเข้าไปทั้งตัวพลางพูดยอกย้อนกินนัย
“ผมเองก็ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องพลาโตนิกเฟรนด์ชิปนี่เหมือนกัน”
สุวลี มองค้อนแต่ยิ้มตาพราว
“แหม สุชักไม่ค่อยอยากคุยกับคุณแล้วซี”
นพเดินมาเข้ามาพอดีพลางทักทายอย่างแจ่มใส
“ฮัลโหล คุณสุ นายธนา”
นพถือวิสาสะลงนั่ง ธนากับสุวลีไม่ชอบใจนักแต่ยิ้มรับด้วยมารยาท
“มีนัดกับใครที่นี่หรือคะ คุณนพ”
นพไม่ตอบ กลับเปลี่ยนเรื่องคุย
“นี่คุณสุไปดูละครที่โรงละครจันทร์กระจ่างมาหรือยังครับ ผมเพิ่งไปดูมาเมื่อคืนนี้ วิเศษไปเลย”
สุวลีทำหน้าเบื่อแต่ยังไม่ทันตอบ เสียงรตีก็ดังขึ้น
“คุณนพ! อุ๊ยตาย ยายสุ คุณธนา”
ธนากับนพลุกขึ้นยืนให้ รตีพุ่งเข้ามา มองสุวลีอย่างล้อเลียน
“ฉันนัดมารับประทานอาหารกลางวันกับคุณนพ” รตีพูดกึ่งล้อกึ่งกัด“แล้วนี่ยังไงกันจ๊ะ คุณสรรค์ไม่อยู่แค่วันสองวัน เธอก็ควงคุณธนาไปไหนมาไหนเป็นว่าเล่น”
สุวลีหน้าตึงขึ้นทันที
“แล้วมันผิดแปลกอย่างไรหรือ”
“มันคงไม่ผิดแปลกหรอกถ้าเป็นที่ฝรั่งเศสไม่ใช่ที่สยามแบบนี้ อ้อ จริงสิ แล้วหมู่นี้ คุณธนาก็เข้านอกออกในบ้านยัยสุอยู่บ่อยๆ ไม่ใช่หรือคะ” รตีว่า
“ผมทำธุรกิจกับเจ้าคุณพ่อของคุณสุวลีน่ะครับ”
“ธุรกิจอะไรคะ”
“ก็เรื่องตึกแถวที่ดินอะไรทำนองนั้น” ธนาบอก
หมายเหตุ - - ผู้เรียบเรียง
๑ สาวทรงเสน่ห์ ดัดแปลงมาจากนิยายฝรั่ง เรื่อง Pride and Prejudice ของ Jane Austin (เจน ออสเตน) นับตั้งแต่ปี ค.ศ. ๑๘๑๓ เอามาทำเป็นหนังและละครบ่อยครั้ง ฉบับล่าสุดคือปี ๒๐๐๕ ซึ่งมี Keira Knightley เป็นนางเอก ใช้พล็อตยอดนิยมตลอดกาลคือ นางเอกหัวดื้อกับพระเอกขี้เก๊ก
๒ เคอร์เทนคอล์ (curtain call) เป็นศัพท์ที่ใช้ในวงการละครเวที หมายถึง การที่นักแสดงละครเวทีจะออกมาโค้งให้คนดูหน้าเวทีตามธรรมเนียมนิยมหลังการแสดงจบ เพื่อแสดงความขอบคุณผู้ชม, เพื่อแสดงตน, เพื่อรับความชมเชยด้วยเสียงปรบมือ จะออกมาพร้อมกันทั้งหมดหรือออกมาเป็นชุด ๆ ก็ได้ (ส่วนมากนิยมอย่างหลัง) เป็นอันเสร็จสิ้นสมบูรณ์ และถ้าคนดูพอใจก็จะตบมือดังและยาวนานไม่หยุด ก็แสดงว่า คนดูยังไม่อิ่มใจ ต้องการชมอีก ศัพท์ที่ใช้คือ อองกอร์ (Encore) หมายถึง “เอาอีก ๆ” นักแสดงก็จะออกมา curtain call เพื่อรับเสียงตบมือใหม่อีกครั้ง หรือถ้าเป็นคอนสิร์ตก็จะออกมาร้องเพลงปิดท้ายให้ผู้ชมอีกครั้ง
๓ นอฟเวิล (novel) แปลว่า นวนิยาย
๔ เกรตา การ์โบ (Greta Garbo) ออกจากโรงเรียนเมื่ออายุ ๑๔ เนื่องจากพ่อซึ่งเป็นเสาหลักเสียชีวิตลง เธอเริ่มต้นทำงานในห้างสรรพสินค้า และทางห้างได้ใช้เธอเป็นนางแบบโฆษณาทั้งทางหน้าหนังสือพิมพ์และในหนังโฆษณา จนได้รับการทาบทามให้เข้าสู่วงการภาพยนตร์ และได้รับทุนเรียนด้านการแสดงที่ Royal Dramatic Theater ในกรุงสตอกโฮล์ม ช่วงที่เรียนอยู่ เธอได้แสดงภาพยนตร์อยู่ ๒-๓ เรื่อง โดยเรื่องที่ทำให้เธอเป็นที่ต้องตาของ MGM ก็คือ “ The Legend of Gosta Berling” หนังเรื่องสำคัญๆ ของการ์โบ อาทิ The Torrent, Flesh and the Devil, The Divine Woman, Anna Christie, Mata Hari, Queen Christina, Anna Karenina, Two-Faced Woman, Camille รวมทั้ง Ninotchka หนังตลกเรื่องแรกของเธอ และเธอเคยได้รับการโหวตจาก Guinness Book of World Records ให้เป็น “ผู้หญิงที่สวยที่สุด.”
๕ พลาโตนิกเฟรนด์ชิป (Platonic Friendship) ความหมายคือ ความสัมพันธ์ระหว่างหญิงชายที่บริสุทธิ์ ไม่มีความรู้สึกเรื่องเพศมาเกี่ยวข้อง
สาวน้อย ตอนที่ ๒o (ต่อ)
นพหันหน้าไปทางประตูพลางตาเบิกโพลงด้วยความตกใจ
“คุณพระช่วย นั่นมันอะไรกัน”
ทุกคนหันมองตาม เห็นอนงค์ก็เดินระเหิดระหงเข้ามา
“ฮัลโหล ทุกๆ คน”
อนงค์เข้ามาหยุดวางท่าโชว์ผมดัดเป็นคลื่นลอนลึก ชุดบางพลิ้วปักเลื่อม และตาที่เขียนลากหางอายไลน์เนอร์ เปลือกตาทาสีเหลือบระยิบระยับน่าชัง
“ว้าย นี่มันตัวอะไรยะเนี่ย” รตีถาม
“ต๊าย ตาต่ำ ไม่รู้จัก อะเวิร์คออฟอาร์ต”
“อาร์ตอะไรยะ นี่หล่อนทำหมึกหกรดเปลือกตามาหรือ?”
“ชิท! นี่ฉันแต่งตาแบบวนิดาต่างหากย่ะ นี่ชุดแบบวนิดา ผมทรงวนิดา...ฟรอมเฮดทูโท ไอ‘ม วนิดา” อนงค์พูดไทยคำ ฝรั่งคำไปเรื่อยเปื่อย สำเนียงนอกไม่เป๊ะ
“เหรอ แต่ไม่ยักเหมือนวนิดา แต่ไพล่ไปคล้ายวณิพก” รตีบอก
อนงค์ร้องกรี๊ด นพกับธนาหัวเราะอย่างขำๆ สุวลีขมวดคิ้วแล้วเมินหน้าอย่างเบื่อหน่าย
“ตายจริง นี่ฉันต้องหลบไปไหนนะถึงจะพ้นจากชื่อนี้ได้”
ภายในห้องรับแขก บ้านบันเทิงไทยในเวลากลางวัน ชดยิ้มย่องผ่องใสพลางส่งซองจดหมายให้นิดกับแก้วที่นั่งอยู่บนโซฟา ทั้งคู่เปิดซองดูเห็นธนบัตรเป็นปึก
“นี่เป็นเงินค่าเหนื่อยของเธอ” ชดบอก
“ทำไมถึงได้มากมายขนาดนี้คะ พี่ชด” นิดถาม
ชดยิ้มกริ่ม แต่แก้วเสียงดังถาม
“แล้วของฉัน ทำไมถึงได้น้อยนิดขนาดนี้ล่ะ พี่ชด”
แก้วมองดูซองของตัวเองแล้วแกล้งพูด ชดตาเขียว นิดหยิกแก้วจนร้องโอดโอย
ชดพูดอย่างเอ็นดู
“แม่นิดรู้ไหมว่า แม่นิดทำเงินทำทองให้โรงละครนี้เท่าไร ฉันเองไม่เคยเห็นใครทุ่มเททั้งกายทั้งใจ
ไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อยเหมือนนิดมาก่อน เธอน่ะเป็นลูกศิษย์ที่ดีที่สุดที่ฉันเคยมีมา”
ชดพูดแล้วก็ตวัดสายตามองแก้วแล้วพูดต่อ
“ไม่เหมือนอีบางคน”
แก้วแกล้งทำสะดุ้งคล้ายจะตกเก้าอี้แล้วทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ มองซ้ายมองขวา
“อีคนไหนหรือจ๊ะ ประภาหรือจิตรา” แก้วถาม
ชดไม่ต่อความด้วย หันมาพูดกับนิดต่อด้วยน้ำเสียงเอาอกเอาใจ
“อีกอย่าง ห้องหับที่เธออยู่ตอนนี้มันก็คับแคบเต็มทน ฉันว่าจะเช่าบ้านหลังที่ติดๆ กันนี่ให้เธอกับนังแก้วอยู่จะได้เป็นสัดเป็นส่วนไป”
ชดพานิดกับแก้วไปดูบ้านเช่าหลังข้างๆบ้านบันเทิงไทย ภายในบ้านถูกตกแต่งอย่างอ่อนหวาน มีกระถางดอกไม้สีสวยสมกับเป็นบ้านผู้หญิง ภายในโถงบ้านมีเครื่องเรือนไม่กี่ชิ้นและยังไม่ได้ติดม่านบังตาและเครื่องตกแต่งอื่นๆ
“โอโห ห้องกว้างขวางดีจัง” นิดว่า
แก้วมองดูนาฬิกามีลูกตุ้มในกรอบไม้ที่ประณีตบรรจง ชดอธิบาย
“เขาเรียกนาฬิกาแมงดา”
“หา...แล้วมีนาฬิกาแม่เล้าไหมพี่” แก้วพูดแทรกขึ้น
“อีนังแก้ว นี่เอ็งจะยั่วโทสะข้าไปถึงไหนฮะ”
แก้วทำหน้าทะเล้นแต่ยกมือไหว้ปะหลกๆ นิดหันมาถาม
“แก้วชอบไหม”
“โธ่ มาถามฉันทำไม ชอบซี ดีกว่าบ้านรูหนูของฉันที่สีชังตั้งเยอะ”
“แต่ก็ยังไม่สวยเท่าบ้านบนเกาะวิมานน้อย” นิดพูดน้ำเสียงเศร้า
“โธ่ จะเป็นไรไป แกกับฉันก็ช่วยกันแต่งบ้านนี้ให้สวยเหมือนเรือนหอแกก็แล้วกัน” แก้วพูดอย่างเห็นใจ
นิดยิ้มออก
ในเวลากลางคืน ห้องนอนนิดตกแต่งใหม่อย่างประณีต เตียงลูกกรงทองเหลืองอ่อนช้อยมีสี่เสากางมุ้งโปร่ง โต๊ะเครื่องแป้งรูปทรงบอบบาง ตู้เสื้อผ้า ตู้เตี้ย โต๊ะเขียนหนังสือ ชั้นหนังสือเข้าชุดกันดูงดงามแบบอ่อนช้อยบอบบาง มีของประกอบ กระจุกกระจิกซึ่งได้กลิ่นอายของทะเล เช่น กล่องทรงเปลือกหอย ม่านลายปลา , ปลาดาว , ปะการัง เป็นต้น
นิดสวมชุดนอนบางมีเสื้อคลุมยาวกรอมพื้นดูเรียบหวานงดงามนั่งเขียนจดหมายอยูที่โต๊ะ
“ถึงแม่นิ่มที่รักและเคารพกับพี่เนื่องที่คิดถึง”
นิดมีแววสะอึกละอายที่จะต้องโกหกแม่และพี่ชายในลำดับต่อไป
“นิดกับพี่เสียมกลับมาจากปากใต้ขึ้นมากรุงเทพได้สองเดือนแล้ว นิดและพี่เสียมสบายดี”
บริเวณตลาดด่านสีชังในตอนสาย นางนิ่มสีหน้าซีดเซียวนั่งขายผักอยู่ เนื่องกำลังเทปลาลาจากข้องลงอ่างดินเพิ่ม ทับทิมมาคอยตอแยเนื่องตามเคย คนซื้อไม่คึกคักนัก
“เอ้าผักแม่เอ๊ย ไข่ไก่สดๆ จ้า”
นางแสเดินมาเท้าสะเอวแล้วว่า
“อีทับทิม นี่ใจคอมึงจะมาจ่อมตูดประจำอยู่ที่นี่แล้วใช่ไหม กูจะได้เอาของในแผงมึงมาเทลงอ่างปลาสลิดให้”
“ต๊ายแม่ นั่นปากเหรอ ฉันแค่เห็นแม่นิ่มไม่ค่อยสบายก็เลยมาช่วย คนเราน่ะต้องมิตรจิต มิตรใจ”
นางแสหันไปดูแม่นิ่มแล้วแขวะ
“อ้าวแม่นิ่มยังไง หน้าซีดหน้าเซียว .. เวรกรรมจริ๊งๆ ได้ลูกเขยเป็นคนกรุง เป็นผู้ลากมากดี คิดว่ามันจะรู้คุณมารับแม่ยายไปอยู่ด้วย ปู้โธ่ กลับต้องมานั่งขายผักจนเหี่ยวจนแห้ง”
นางนิ่มฝืนยิ้ม เนื่องมายืนข้างแม่มองยายแสตาเขียว
“ผักของแม่ฉันสดจะตายไป ผักแม่แสต่างหากที่เหี่ยว”
“แต่ที่แม่ฉันพูดก็จริงนะพี่เนื่อง ถ้านังนิดมันไปได้ดิบได้ดีจริง มันก็น่าจะมารับแม่นิ่ม พี่เนื่องไปอยู่ด้วย ต๊าย หรือว่ามันไปเกิดเรื่องตกระกำลำบากอยู่ ดีไม่ดี ถูกนายเสียมทิ้งขว้างแล้วก็ไม่รู้” ทับทิมบอก
“เฮ้ย นี่เอ็งพูดดีๆ นะนังทับทิม นิดมันไปตกระกำอะไรที่ไหน มันส่งเงินมาให้แม่เดือนละห้าสิบบาททุกเดือน”
ทับทิมและนางแสหดไปนิดหนึ่งเพราะห้าสิบบาทถือว่าไม่น้อย แต่ก็ต้องทำเชิ่ดใส่ นางนิ่มแก้ตัวแทนนิดจึงต้องแกล้งโกหก
“นิดมันก็ชวนฉันไปอยู่บางกอกเหมือนกันแหละ แต่ฉันเองน่ะแหละที่ไม่อยากไป คนเราอยู่กับทะเล อยู่เรือนฝากระดานมาจนชิน จะให้ไปอยู่ตึก นั่งบนอาร์มแชร์ เดินบนแพรต่วนกระไรได้ มันทุเรศตัวเอง”
“ต๊ายไม่เหมือนฉัน ถ้าฉันได้ผัวผู้ดีล่ะก็ ฉันจะแต่งชุดยาวนั่งชี้นิ้วสั่งงานบ่าวไพร่ทั้งวันเลย” ทับทิมว่า
“มิน่า เอ็งถึงหาผัวไม่ได้” เนื่องบอก
“เออจริง กูก็ว่าอย่างงั้น” นางแสเห็นด้วย
“แม่อ่ะ!”
หลวงพิจารณ์สันติราษฎร์และลูกน้องเดินแหวกคนมาด้วยอาการตื่นเต้น
“แม่นิ่ม”
“คะ คุณหลวง”
“แม่นิ่มมีหนังสือมาแล้วก็ส่งตั๋วเงินมาด้วย เงินมันมากมายฉันก็เลยคิดว่า แม่นิ่มน่าจะเอาฝากหลวงกินดอกเบี้ยก่อน”
“ที่ว่ามากมายน่ะมันเท่าไรรึคุณหลวง” นางนิ่มถาม
“หนึ่งพันบาท”
บรรดาไทยมุงร้องฮือ นางนิ่มเลือดสูบฉีดหน้าเปล่งปลั่งจนลืมไข้ เนื่องยิ้มร่าประกาศก้อง
“ตั้งพันบาท นิดมันส่งมาให้แม่”
นางแสมองตาค้าง
“พันบาท...เอิ๊ก”
นางแสเป็นลมร่างร่วงลงไปทันที
ในเวลากลางคืน ภายในโรงละครจันทร์กระจ่าง คนดูยืนปรบมืออย่างปลาบปลื้มในช่วงเคอร์เทนคอล ที่นั่งวีไอพีด้านหน้ามีพระยาธรรมนูญภักดีอยู่ในกลุ่มนั้นมองนิดอย่างชื่นชม
บรรดานักแสดงเดินขวักไขว่จอแจผ่านไปห้องแต่งตัว นิดอยู่ในกลุ่มนั้นด้วยแต่เดินแยกตรงเข้าไปหาพระยาธรรมนูญที่นั่งรออยู่กับชดและมารศรีในห้องรับแขก นิดไหว้อย่างนอบน้อม
“นิดดีใจเหลือเกินค่ะที่ท่านมา”
“เธอเก่งจริงสมคำร่ำลือ ฉันปลื้มใจนะที่มาได้ถึงขนาดนี้” พระยาธรรมนูญว่า
“ถ้าไม่ใช่เพราะท่านก็จะไม่มีวนิดา มีแต่นิดหญิงคนโทษในเรือนจำ”
“ฉันช่วยเธอเพราะเห็นเธอเหมือนลูกสาวที่ฉันไม่เคยมี”
นิดยิ้ม พระยาธรรมนูญพูดขันๆ
“จริงๆ นะ ตลอดเวลาที่ผ่านมา ฉันไม่เคยทำใจเชื่อได้สักทีว่า แม่ช่อผกาเป็นลูกสาวของฉัน แต่ก็ช่างเถอะ เรื่องมันแล้วไปแล้ว ว่าแต่เธอเถอะ เมื่อไหร่จะเลิกทำตัวลึกลับเสียที”
นิดยิ้มอีก
“จริงค่ะท่าน มีคนขอให้นิดไปพูดชมสินค้า ไปร้องเพลงอัดจานเสียง ไปออกงานสมาคม แต่แม่นิดปฏิเสธหมด” ชดพูดเสริม
มารศรียิ้มพรายแล้วตอบแทน
“ก็ตอนนั้นมันยังไม่ถึงเวลาน่ะซีคะ”
“แล้วตอนนี้เล่า” พระยาธรรมนูญถามอย่างอยากรู้
“ตอนนี้ดิฉันพร้อมแล้วเจ้าค่ะ”
นิดบอกพลางยืดตัวตรงอย่างมั่นใจ ดวงตาเปล่งประกายเจิดจ้า
ภายในร้านสรรค์ศิลป์ เวลากลางวัน ในมุมแกเลอรี ข้างๆที่สรรค์ยืนอยู่มีรูปภาพในกรอบราว 4-5 รูป พิงซ้อนอยู่ สรรค์ส่งรูปหนึ่งให้สมพงษ์ที่ยืนบนเก้าอี้ขึ้นแขวนกับขอ
“คุณหนูกลับมาคราวนี้ได้งานเยอะเทียวนะครับ”
“รูปวิวทิวทัศน์ดาดๆ น่ะ ไม่มีอะไรน่าภูมิใจเลย”
“ปู้โธ่ คุณหนู รูปงามทุกรูปขนาดนี้”
“แกไม่เข้าใจหรอก เฮ้อ...หรือว่าเทวีแห่งแรงดลใจจะทอดทิ้งฉันตลอดไป”
สมพงษ์แขวนรูปเสร็จหันไปทางหน้าร้านแล้วถึงกับอ้าปากค้างบอก
“นางฟ้าหรือนั่น”
“ก็ใช่น่ะซี เทวีแห่งแรงดลใจก็คือนางฟ้า”
สรรค์พูดไปแล้วก็รู้ขึ้นมาเองว่า พูดกันคนละเรื่องกับสมพงษ์ จึงหันไปทางหน้าร้านบ้าง นิดในชุดเดรสทันสมัยมีผ้าพันคอทิ้งชายยาว ผมดัดเป็นคลื่นลอนลึก รองเท้าส้นสูงปรี๊ด กระเป๋าถือเข้าชุด เสื้อผ้าเครื่องประดับรับกันไปทั้งตัว ใบหน้าสวมแว่นตาดำเข้าสมัย นิดก้าวเข้ามาอย่างช้าๆ
สรรค์ก้าวไปต้อนรับ สมพงษ์ลงจากเก้าอี้มองตาไม่กระพริบ สรรค์มองนิ่งรู้สึกเลื่อนลอยอย่างแปลกๆ เสียงเพลงเทวีแห่งแรงดลใจแว่วมาในภวังค์
นิดดึงแว่นตาออกเผยดวงหน้าที่งดงามเหมาะเจาะที่ถูกตกแต่งอย่างประณีตงดงามเนียนละมุนราวมีรัศมีออกจากกาย สรรค์อึ้งไปแวบหนึ่งแล้วยิ้มกล่าวต้อนรับ
“เชิญครับ ร้านสรรค์ศิลป์ยินดีต้อนรับครับ”
นิดมองสรรค์จนแทบจะซ่อนความรู้สึกภายในใจเอาไว้ไม่ได้ นิดยิ้มตอบเล็กน้อยแล้วทำเป็นมองดูรูปภาพ เมื่อข่มความรู้สึกได้แล้วก็หันกลับมาถาม
“รูปพวกนี้คุณเขียนเองหรือคะ”
“ครับ ผมชื่อสรรค์ เป็นเจ้าของร้าน .. ผมเขียนเองทุกรูป”
สมพงษ์มองนิดอย่างคลับคล้ายคลับคลาแล้วยิ้มเรี่ยๆพลางยืนกุมมืออยู่ นิดกรายดูรูปนั้นรูปนี้ สรรค์เดินตาม
“เห็นจะไปเขียนมาจากที่จริงกระมังคะ”
“ครับ นี่ผมเพิ่งกลับมาจากต่างจังหวัด รูป ๕-๖ ภาพนี่เพิ่งเขียนขึ้นสดๆ ร้อนๆ นี่เอง บางรูปก็ยังติดไม่เสร็จเลย”
“งั้นก็ติดให้เสร็จซีคะ ดิฉันจะรอดู”
“ครับ เฮ้ย....สมพงษ์”
สมพงษ์เอียงอายมาปีนขึ้นเก้าอี้ติดรูปต่อ สรรค์ส่งรูปให้แล้วช่วยจับให้สมพงษ์ติด นิดถอยไปมองดูสรรค์อย่างจิตใจเต็มตื้น ตื้นตัน น้ำตาเอ่อขึ้นคลอตา
“พี่เสียม พี่เสียมของนิด”
สรรค์เดินหานิดซึ่งยืนมองรูปวิวทะเลรูปหนึ่งอยู่มุมหนึ่งของแกเลอรี
“ชอบรูปนี้หรือครับ”
“ค่ะ”
“รูปนี้วาดที่หัวหินครับ ผมวาดเมื่อครึ่งปีก่อนนี่เอง...ท่าทางคุณจะชอบทะเล”
นิดหันมามองสรรค์
“ค่ะ จริงๆ แล้วฉันเป็นลูกทะเล เกิดมาโตขึ้นมากับทะเล จนเห็นเป็นของธรรมดา ไม่เคยเห็นความงามของมัน จนกระทั่ง...”
“ยังไงครับ”
“จนกระทั่งมีใครคนหนึ่งที่เหมือนคุณ”
“เหมือนผม?” สรรค์มองแล้วถามอย่างแปลกใจ
“เขาเป็นศิลปินเหมือนคุณน่ะค่ะ เขามีดวงตาที่มองเห็นความงามของทุกสิ่ง และถ่ายทอดมันออกมาเป็นความงามที่ไม่มีวันตาย เขาสอนให้ฉันรู้ว่าทะเลนั้นงดงาม ล้ำลึก มหัศจรรย์ขนาดไหน”
นิดพูดด้วยดวงตาวาววามเต็มไปด้วยความรู้สึกที่แปรเปลี่ยนไป สรรค์นิ่งฟัง เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินสาวสวยพูดถึงงานศิลปะอย่างดื่มด่ำจนสรรค์รู้สึกประทับใจ
ส่วนของเบเกอรี่ทีเฮาส์ของร้านสรรค์ศิลป์ มีเพียงหนุ่มสาวคู่เดียวที่มานั่งกิน บัวและสมพงษ์ดูนิดกันตาเขม็งพลางซุบซิบ
“แกว่าใช่ไหม”
“มันละม้าย ละม้ายนะ”
สรรค์ถือรูปทะเลหัวหินตามนิดมาจนถึงส่วนเคาน์เตอร์คิดเงิน สมพงษ์วิ่งมา สรรค์ส่งรูปให้
“แกจัดการห่อให้คุณผู้หญิงที”
“ครับคุณหนู”
สมพงษ์มองดูนิดแล้วอาย รีบคว้ารูปไปห่อ
“เชิญนั่งรอที่ทีช็อปก่อนไหมครับ .. คุณ เอ่อ”
“เรียกฉันว่าน้อยก็ได้ค่ะ”
“ผมขออนุญาตเลี้ยงน้ำชาคุณน้อย ในฐานะที่คุณเป็นลูกค้าคนแรกของ...วันนี้”
สรรค์เกือบพูดว่าเดือนนี้ออกไปแล้ว นิดยิ้มรับ
“ฉันยินดีค่ะ”
สรรค์ผายมือ นิดเดินกรายไป
ภายในร้านน้ำชาว่าง ลูกค้าสองคนออกไปแล้ว นิดและสรรค์นั่งที่โต๊ะหนึ่งซึ่งมีขนมและน้ำชาบนโต๊ะ นิดชวนคุยไปด้วย
“ฉันเห็นคุณเขียนภาพพอร์เทรทด้วยใช่ไหมคะ” สรรค์ทึ่งที่นิดใช้คำพอร์เทรท
“ครับ”
“ฉันอยากให้คุณเขียนรูปดิฉันซักรูปหนึ่งค่ะ”
“ได้ซีครับ คุณจะใช้รูปถ่ายเป็นตัวเองแบบ หรือว่าคุณจะมาเป็นแบบเอง”
“ฉันจะมาเป็นแบบเองค่ะ ที่นี่มีที่เขียนรูปหรือเปล่าคะ”
“มีครับ อยู่ชั้นบน ถ้าคุณไม่รังเกียจ”
“ดิฉันไม่รังเกียจหรอกค่ะ ฉันจะมาให้คุณวาดรูปที่นี่”
นิดมีแววสมใจ สมพงษ์เดินเข้ามา
“คุณหนู โทรศัพท์ขอรับ”
“ผมขอตัวเดี๋ยวนะครับ”
“เชิญค่ะ”
สรรค์ลุกขึ้นเดินไปยังเคาน์เตอร์แกลเลอรี่
สมพงษ์กับบัวแอบมองนิดตาแป๋ว นิดหันไปเห็นพลางยิ้มให้ แล้วยกนิ้วชี้จ่อปากเป็นเชิงว่าให้เงียบๆ ไว้
สมพงษ์และบัวตื่นเต้นพยักหน้ารับคำ นิดหลิ่วตาข้างหนึ่งให้ สมพงษ์และบัวดีใจถึงขีดสุดกุมมือกันพยักเพยิดจะเก็บความลับ สรรค์เดินกลับมา
“ขอโทษนะครับที่ทิ้งคุณไว้คนเดียว”
นิดแทบสะอึกกับคำนั้นน้ำตารื้นขึ้น สรรค์มองอย่างประหลาดใจ นิดได้สติแล้วพลิกเป็นยิ้มให้สรรค์
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ .. เพราะตอนนี้ คุณกลับมาแล้ว”
นิดมองสรรค์นิ่งพลางคิดในใจ
“แล้วนิดจะไม่มียอมให้พี่เสียมจากนิดไปไหนอีก”
รูปทะเลหัวหินถูกแขวนเด่นที่ผนังด้านหนึ่งภายในโถงบ้านเช่า แก้วกับนิดยืนอยู่หน้าภาพ แก้วร้องถามเสียงดัง
“นี่แกไปหานายเสียมมาแล้วหรือ”
“ใช่ ฉันไปที่ร้านพี่เสียมมา”
แก้วดึงจับนิดมานั่งที่โซฟาแล้วขึ้นมานั่งคุกเข่าบนโซฟา ซักนิดระล่ำระลัก
“เล่า เล่า เล่ามาเดี๋ยวนี้ เล่ามาให้หมด”
“ฉันก็ไปซื้อรูปแล้วก็ว่าจ้างเขาวาดรูปเหมือน แล้วก็กลับ”
นิดแกล้งย่นย่อเรื่อง แก้วรู้สึกขัดใจ
“อะไรเล่าแค่นี้ จะไปรู้เรื่องอะไร เล่าให้ละเอียดซีเอาให้เห็นภาพ”
“อ้าว ก็เหมือนกับที่แก้วเล่าเรื่องคุณบุญมาไง รวดรัดตัดความ ฉันรู้เรื่องเสียที่ไหน”
แก้วเพิ่งรู้ตัวว่าถูกนิดเอาคืน
“ก็มันไม่เหมือนกัน นายบุญมากับฉันไม่ได้มีอะไรกันสักนิด เขาแค่มาตีสนิทฉันให้เป็นสะพานทอดไปหาแกมากกว่า”
แก้วค้อนลมค้อนแล้งแสดงว่า ในใจเริ่มมีอะไรบางอย่าง นิดมองอย่างรู้เท่า
“ไม่มีอะไร แล้วทำไมแก้วต้องโกรธเขาด้วยล่ะ”
แก้วอายแล้งตีนิดเผียะ
“นี่ แกอย่ามาเฉไฉ เล่ามาเดี๋ยวนี้ เล่าตั้งแต่วินาทีแรกที่แกก้าวเข้าไป นายเสียมเป็นยังไงบ้าง แล้วพอนายเสียมเห็นแกเขาทำท่ายังไงบ้าง”
นิดยิ้ม ดวงตาสุกใสราวดาวประกายพรึก เริ่มต้นเล่าความอย่างละเอียด เหมือนทุกภาพทุกคำจารจารึกลงกลางใจ แก้วนิ่งฟังแล้วดีใจกับเพื่อน แต่ก็รู้ว่ายังมีอุปสรรคอีกมากมายนัก
เวลากลางวัน ที่ตลาดหน้าด่าน เกาะสีชีง เชิดเดินทางมาจากเมืองจันทบุรี ในมือถือกระเป๋าเดินทางใบเล็กๆ ผ่านแผงของนางแสกับทับทิม เสียงทับทิมแหลมปรี๊ดแหวกอากาศมา
“ว้าย พี่เชิดมาได้ยังไง กลับมาจากเมืองจันท์แล้วหรือจ๊ะ”
ทับทิมโถมเข้ามากอดแขนเชิดพูดรัวเป็นชุด
“พี่ ไปทำไร่พริกไทยเป็นยังไงบ้าง แล้วนี่มีลูกมีเมียหรือยัง อุ๊ย คงยังหรอก แล้วพี่ว่าฉันสวยขึ้นบ้างไหม พี่เชิด”
“เอ็งจะให้ข้าตอบตามจริงหรือโกหกล่ะ”
“ตอบมาเถอะจ๊ะ ถ้าพี่ตอบไม่ดีก็แปลว่าพี่โกหก ถ้าตอบดีก็แปลว่าพูดจริง”
นางแสได้ยินที่ทับทิมพูดก็อ่อนใจ โพล่งขึ้น
“ต๊าย อีหยำฉ่า หน้าไม่อาย”
เชิดยิ้ม ตอบด้วยสีหน้าเอือมๆ
“เอ็งก็สะสวยเหมือนเดิมนั่นแหละ”
ทันใดก็มีมือมาดึงทับทิมเหวี่ยงไปชนเข้ากับนางแสจนหกล้มจมอ่างกะปิ
“แม่มึง / แหก” ทับทิมกับนางแสร้องเสียงดัง
แม้นยืนมองหน้าเชิด เชิดกำหมัดมองตอบ เตรียมตัวพร้อมเผื่อต้องมีเรื่อง ทันใดแม้นก็เอียงคอ ยิ้มเผล่ เข้าจับมือเชิดแล้วบอก
“เล่นกัน เล่นกัน”
เชิดตกใจพลางสะบัดมือออกบอก
“เฮ้ย อะไรวะ”
“ไม่เล่นเหรอ” แม้นทำหน้าเสียใจ
เชิดอึ้งไป มองอย่างงงสุดๆ แม้นหันไปหาทับทิม นางแสหน้าหงิกลุกขึ้นมาปาดกะปิออกจากหน้า แม้นมาดึงมือทับทิม
“ทับทิมเล่นกัน เล่นกัน”
“เดี๋ยวค่อยเล่น วู้ย ปล่อยมือกู” ทับทิมพูดขึ้นเสียงสูง
“นี่เกิดอะไรขึ้น ไอ้แม้นเป็นอะไร”
“ก็ตั้งตอนแต่งงานนังนิดนั่นแหละ มันเมาตกเขาคราวนั้น เข้าโรงหมอตั้งครึ่งค่อนปี ออกมาก็กลายเป็นคนปัญญาอ่อน” เชิดสะอึก
“เขาว่ามันเมาไปเยี่ยวรดข้างศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ เจ้าพ่อเลยถีบมันลงมา”
“ไม่น่าเลย” เชิดพูดอย่างเสียใจ
“อุ๊ย ดีแล้วล่ะพี่ แผ่นดินสีชังสูงขึ้นเป็นกองสองกอง ตอนนี้มันไม่เกะกะเกเรแล้ว ว้าย”
แม้นดึงผ้าโสร่งจนชายผ้าพกหลุด ทับทิมคว้าไว้ทัน นางแสเข้ามาดึงลูกสาว ทั้งสามคนพูดพร้อมกัน
“ไปเล่น ไปเล่น / ปล่อยนะ ว้าย / ไอ้บ้า ปล่อยลูกกู”
แม้นปล่อยทับทิมมาดึงนางแสแทน นางแสวิ่งหนี แม้นวิ่งตามหัวเราะเหมือนเด็กๆ เชิดยืนนิ่งมีท่าทางสำนึกผิดบางอย่าง
เนื่องกำลังตากปลาอยู่หน้าบ้าน หันไปเห็นเชิดวิ่งเข้ามาอย่างยินดี เชิดยืนยิ้มรอ เนื่องเข้าถึงตัวตบหลังตบไหล่อย่างชิดเชื้อ
“ไอ้เชิดกว่าจะมาได้นะมึง ข้าคิดว่าเอ็งจะไม่กลับมาสีชังแล้ว”
“เลือดสีชัง ยังไงก็ต้องกลับมาตายสีชัง” เชิดบอก
“พูดเข้านั่น ถ้าข้าไม่ทิ้งจดหมายไป เอ็งหรือจะมา”
เชิดหน้าขรึมลง
“เอ็งบอกว่า เอ็งเป็นห่วงนิด มันเรื่องอะไรกัน นิดเป็นอะไร”
เนื่องหน้าขรึมลงไปอีกคน
่
จบตอนที่ ๒o
ติดตามอ่านตอนต่อไป วันอังคารที่ ๔ กันยายน