นางสิงห์สะบัดช่อ ตอนที่ 14
ท้องฟ้าเหนือบ้านไม้งามมืดมิด แถมลมโหมพัดแรงจนฝุ่นคละคลุ้ง ข้าวของปลิวกระจุยกระจาย เถ้าแก่ตงรีบลนลานออกจากร้านมาเก็บของหน้าร้าน
“ไอ๊หยา ลมบ้าหมูมาจากไหนกันวะ ข้าวของอั้วพังหมดเลี้ยว” แหงนหน้าไปเห็นท้องฟ้า “เง้อออ อาหมู่อาจ่าพวกลื้อออกมาดูนี่ ออกมาดูเร็วๆ”
“มีอะไรเถ้าแก่ ไฟไหม้เหรอ” ไชโยถาม
เถ้าแก่ตงร้องโวยวาย ชี้ไปบนท้องฟ้า “ไฟไหม้อ่ะใช่ แต่มันเปล่าไหม้แถวนี้ มันไหม้อยู่บนโน้น”
โอฬารเดินออกมามองไปแล้วต้องตกใจ “เย้ย... อะไรกันวะเนี่ย”
บนท้องฟ้าที่ห่อคลุมบ้านไม้งามในยามนั้น กลุ่มเมฆสีดำก่อนหน้านี้กลายเป็นสีแดงหมุนวนบนท้องฟ้า มีแสงประกายแลบแปลบปลาบราวกับจะมีพายุใหญ่
“ฟ้าพิโรธ หรือว่าจะเกิดอาเพศ” ไชโยปรารภ
ที่วัดบ้านไม้งามยามนั้น ตาคงปีนขึ้นมาบนหอระฆัง แล้วลงมือรัวไม้เคาะระฆังส่งสัญญาณเรียกประชุมชาวบ้าน ในขณะที่ตาคงระฆังอยู่ บนท้องฟ้ามีเกลียวเมฆสีแดงหมุนวนราวกับกองเพลิง
ไม่นานต่อมาเถ้าแก่ตง ไชโย โอฬาร และบรรดาชาวบ้านต่างพากันมาชุมนุมที่โบสถ์ด้วยอาการแตกตื่น ต่างคนต่างโจษจันเรื่องเมฆประหลาดกันไปต่างๆ นานา
เก่งกับครูเพิ่มนั่งด้วยกันอยู่ที่มุมหนึ่งแล้ว สักครู่หนึ่งเก่งหันไปเห็นธัมโมที่เดินมาพร้อมกับเพ็ญพร เพ็ญพรเห็นเก่งก็ส่งยิ้มให้ทันที เก่งยิ้มรับพอเป็นพิธี เพราะยังขัดๆ เขินๆ เรื่องท่าทีของเพ็ญพรก่อนหน้านี้
“ผู้หมวด ผู้กอง มานั่งด้วยกันสิครับ” ครูเพิ่มเรียก
ธัมโมไหว้ “สวัสดีครับครู มานานแล้วเหรอครับ”
“สักครู่นี้เองครับ พอได้ยินเสียงระฆังก็เลยเดาว่าคงมีเรื่องด่วน” ครูเพิ่มบอก
ธัมโมพยักหน้ารับ ก่อนจะหันไปยิ้มให้เก่ง ซึ่งเก่งยิ้มรับด้วยความเต็มใจ
จังหวะนั้นธัมโมอดที่จะนึกถึงคำพูดของนางสิงห์ขึ้นมาไม่ได้ ในตอนที่นางสิงห์เห็นธัมโมทำหน้างงๆ “เอ่อนี่ ถ้าผู้กองชอบเค้าก็ลองบอกเค้าไปสิ ไม่แน่เค้าอาจจะคิดเหมือนผู้กองก็ได้นะ”
ธัมโมกับเก่งสบตากัน มันทำให้เพ็ญพรรู้สึกไม่ชอบใจนัก ขณะนั้นเองที่ตาคงกับหลวงพ่อชุ่มก็มาถึง
“อ้าวๆ ญาติโยมทั้งหลายขอความกรุณาหยุดโต้วาทีกันก่อนหลวงพ่อมาแล้ว” ตาคงป่าวประกาศ
ชาวบ้านทั้งหลายต่างพากันยกมือไหว้หลวงพ่อชุ่มเป็นแถว หลวงพ่อเดินไปนั่งประจำที่ก่อนจะกล่าวชึ้น
“เจริญพรญาติโยมทุกท่าน คิดว่าทุกคนคงทราบกันแล้ว ว่าเหตุใดอาตมาถึงได้เรียกให้มาพร้อมหน้ากันวันนี้”
โอฬารรีบบอก “เรื่องเมฆประหลาดใช่รึเปล่าครับหลวงพ่อ”
เถ้าแก่ตงแทรก “อั้วว่าเข้าเรื่องเลยดีกว่าครับอาหลวงพ่อ งวดหน้าออกเลขอะไรครับ”
ชาวบ้านต่างลุกฮือรีบขอหวยกันใหญ่ เสียงเซ็งแซ่เหมือนนกกระจอกแตกรัง
หลวงพ่อชูมือห้ามทั้ง 5 นิ้ว “ไม่ใช่อย่างนั้นโยม”
“ห้าเหรอครับหลวงพ่อ” ชาวบ้านคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
“เปล่า” หลวงพ่อบอก
ชาวบ้านคนนั้นป้องหู “อะไรนะ เก้าเหรอหลวงพ่อ”
“เปล่าๆ คือประเด็นอยู่ที่เรื่องเมฆ ไม่ใช่เลขเด็ด”
บรรดาชาวบ้านต่างตีความเป็นเลขเด็ดกันดังเซ็งแซ่ “เจ็ดโว้ยเจ็ด ห้าเก้าเจ็ด”
หลวงพ่อชุ่มเหลืออด “โว้ย จะอดตายกันอยู่แล้ว บ้าหวยอยู่ได้ไอ้ที่เรียกมาประชุมเนี่ย ก็เพราะไม่อยากให้แตกตื่นงมงายไม่ใช่ให้มาเพ้อเรื่องหวย”
ไชโยสอดขึ้น “แหม แต่มันประหลาดเหลือเกินนี่ครับหลวงพ่อ”
“นั่นสิครับ ไอ้เมฆแบบนี้ ไม่เคยพบเคยเห็น” โอฬารเสริม
หลวงพ่อชุ่มพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะมองไปที่ครูเพิ่ม “เอ้าครู เรื่องนี้ในมุมมองของครูพอจะมีคำอธิบายรึเปล่า”
ครูเพิ่มคิดสักครู่ หันไปบอกกับทุกคนเปิดคอร์สติวเข้มเรื่องเมฆฝน “เมฆที่เราเห็นเป็นเมฆฝนครับ มีชื่อภาษาฝรั่งว่า Shelf Clouds มันเกิดจากความดันอากาศที่กำลังก่อตัวเป็นพายุ ส่วนสีของเมฆก็เกิดจากแสงแดดที่ทำปฏิกิริยากับฝุ่นละอองในอากาศ แต่คิดว่าอุณหภูมิคงเปลี่ยนแปลงกะทันหันก็เลยไม่มีฝนตกลงมา”
ชาวบ้านพูดคุยกันในทำนองเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
“ที่ครูเพิ่มพูดมาเป็นความจริงครับ ผมยืนยันได้ เรื่องนี้ผมเคยอ่านเจอในหนังสือเหมือนกัน” ธัมโมว่า
“อาผู้กอง ไม่ใช่ว่าอั้วไม่เชื่อนะ แต่ร้อยวันพันปีบ้านไม้งามไม่เคยมีเมฆแบบนี้ อั้วว่ามันอาจเป็นลางบอกเหตุก็ได้”
ชาวบ้านฮือฮาสนับสนุนเถ้าแก่ตงกันใหญ่ ทีเรื่องแบบนี้ล่ะเชื่อสนิท
หลวงพ่อชุ่มเอ่ยขึ้น “เอาล่ะๆ ถ้ามันเป็นแบบนั้นจริง ก็ขอให้พวกโยมพึงจำไว้ว่า บ้านไหนเมืองไหน ถ้าประชาชนและผู้บริหารตั้งอยู่ในสัตย์ในศีลแล้วไซร้ จะไม่มีเหตุร้ายเกิดขึ้นเด็ดขาดอย่าตื่นตระหนกกันไปเลย”
เสียงกำนันศรแหลมเข้ามา “อ้าวหลวงพ่อ พูดแบบนี้มันปาขี้ใส่กันนี่หว่า”
ทุกคนตกใจเมื่อเห็นกำนันศร เดินนำยอด เบิ้มและสมุนเข้ามาในโบสถ์
“ใจเย็นๆพ่อกำนัน หลวงพ่อไปว่าพ่อกำนันที่ไหน” ตาคงว่า
“ก็ชงอยู่แหมบๆนี่ไง หลวงพ่อจะบอกว่า ต่อไปถ้ามีเหตุร้ายเกิดขึ้นก็เป็นเพราะชาวบ้านหรือไม่ก็ผู้บริหารมันเลวใช่มั้ย แล้วชาวบ้านที่ไหนจะยอมรับว่ามันเลว มันก็มีแต่โทษผู้บริหารทั้งนั้น” กำนันศรเหมือนจะเดือดดาลเอามากๆ
“แหม ผู้บริหารก็มีตั้งหลายคนนี่ครับกำนัน ข้าราชการทุกคนก็ถือเป็นผู้บริหาร” ไชโยพูดสอด
“อย่ามาไก๋น่าจ่า ชั้นรู้นะว่าหลวงพ่อ หมายถึงชั้น” กำนันศรเถียง
“กำนัน…ที่พวกเรามาชุมนุมกันก็เพื่อแก้ปัญหาไม่ได้มีใครคิดร้ายกับกำนันหรอก เชื่อชั้นเถอะ” ครูเพิ่มพยายามประณีประนอม
กำนันศรสวนคำออกมา “ทำไมต้องเชื่อ ในเมื่อสายตาครูกับชาวบ้านก็มีแต่ผู้ใหญ่ทองคนเดียว
เท่านั้น” พร้อมกับพูดจาแดกดัน “ผู้ใหญ่ทองพ่อพระ ผู้ใหญ่แสนดี แต่ตอนนี้มันกลายเป็นผีไปแล้วโว้ย บ้านไม้งามตอนนี้เป็นของกู”
เพ็ญพรกับเก่งสบตากันด้วยความไม่พอใจ ที่กำนันศรเอ่ยถึงผู้ใหญ่ทองอย่างจาบจ้วง
“จำไว้ ถ้าคราวหลังจะสุมหัวกันอีกล่ะก็ ต้องให้คนไปแจ้งชั้นที่บ้านไม่ใช่ดอดมาเงียบๆ แบบนี้”
เก่งสุดจะทนไหวส่งเสียงพูดลอยๆ “ไอ้วัวสันหลังหวะ”
ครูเพิ่ม เพ็ญพร และธัมโมต่างตกใจ
กำนันศรชะงัก “ใครวะ ใครพูด”
ยอดชี้ ฟ้อง “พ่อกำนัน ไอ้เด็กขายกาแฟนั่น”
“อ้อ นี่เอ็งอีกแล้วเหรอวะไอ้ตัวแสบ เอ็งอยากตายใช่มั้ย” กำนันคำราม
“คำก็ตาย สองคำก็ตาย ใหญ่มาจากไหนกันวะ” เก่งฮึดฮัดไม่หวาดหวั่น
กำนันศรยกไม้เท้าปืนขึ้นชี้หน้าเก่ง “เอ็ง”
ครูเพิ่มเห็นไม้เท้าก็รีบคว้าไว้พลางพูดขอร้อง “กำนันชั้นขอล่ะ ไอ้เก่งมันยังหนุ่มมันก็เลือดร้อนไปตามประสา”
ยอดขัดขึ้นมา “ประสาอะไรวะครู หลานครูมันเป็นกะเทย คนเค้ารู้กันทั้งหมู่บ้าน” บุ้ยใบ้หน้าทางธัมโม “ไม่เชื่อก็ถามผู้กองยอดรักของมันก็ได้”
ทุกคนพากันมองมาที่ธัมโมเป็นตาเดียว เล่นเอาเจ้าตัวปั้นหน้าไม่ถูก
“อ้าวเฮ้ย ไอ้คุณยอด พูดอย่างนี้มันดูหมิ่นเจ้าพนักงานนะเว้ยเฮ้ย” โอฬารไม่พอใจ
“แล้วทำไมเหรอหมู่ ทำไมจะหมิ่นไม่ได้” เบิ้มปากเปราะ
“อ้าว พูดเหมียวๆนี่หว่า ชกปากกันดีกว่ามั้ง” ไชโยของขึ้น
“ก็เอาสิโว้ย” ยอดท้า
“เอาก็เอาสิวะ” เก่งไม่กลัว
ไชโย โอฬาร และเก่ง ต่างทำท่าจะชกต่อยกับยอด เบิ้ม และสมุนของกำนันศร ธัมโมรีบห้ามทัพประกาศกร้าว
“อย่า นี่มันในวัดนะ หยุดก่อน พอได้แล้ว” เห็นเก่งยังฮึดฮัดก็คว้าคอเสื้อ “ชั้นบอกให้พอ”
เก่งกระเหี้ยนกระหือรือ มองธัมโมอย่างยับยั้งสติ ธัมโมหันไปบอกกับทุกคน
ธัมโมประกาศ “เอาล่ะ ถ้าเมฆนั่นมันเป็นลางร้ายล่ะก็ ขอให้ทุกคนรู้ไว้เลยว่านี่คือสิ่งที่มันพูดถึง เพราะไม่มีพิบัติภัยไหนจะเลวร้ายกว่าการที่คนในหมู่บ้านแตกแยกกันเอง” หันไปพูดกับกำนันศร “กำนัน วันนี้ทุกคนมาพร้อมหน้ากัน ก็เพราะได้ยินเสียงระฆัง ไม่มีใครได้รับอภิสิทธิ์ต้องไปเชื้อเชิญถึงที่บ้าน ซึ่งผมหวังกำนันก็คงวางตัวเหมือนคนอื่น” แล้วหันมาทางเก่ง “ส่วนนายเก่ง นายมากับชั้น”
ตรงมุมเปลี่ยวลับตาคนในบริเวณวัด ธัมโมเหวี่ยงเก่งหลบมุมมา เปิดฉากโต้เถียงกัน
“นายอยากฆ่าตัวตายมากหรือไง นายก่อเรื่องแบบนี้มากี่ครั้งแล้ว จำได้รึเปล่า”
“แล้วผู้กองก็ให้ผมขอโทษคนอื่นทุกที”
“ชั้นพยายามปกป้องนายอยู่นะนายเก่ง”
เก่งบอกอย่างอวดดี “ไม่ต้อง หน้าที่ของผู้กองคือปกป้องความชอบธรรมต่างหาก กำนันศรมันไม่สิทธิ์มาวางอำนาจใส่ชาวบ้านไม่มีสิทธิ์มาพูดจาดูถูกผู้ใหญ่ทอง”
“ผู้ใหญ่ทองตายไปตั้งนานแล้วนะนายเก่ง นายจะเดือดร้อนทำไมถึงเค้าจะดีแสนดีแค่ไหน แต่ว่าตอนนี้เค้ากลายเป็นศพไปแล้ว”
เก่งฉุนขาดพลั้งมือตบหน้าธัมโมเข้าฉาดใหญ่ ธัมโมอึ้งไป..มองเก่งด้วยสีหน้าถมึงทึงก่อนจะคว้าตัวอีกฝ่ายมากอดและจูบเป็นการตอบโต้
เก่งได้สติตกตะลึง “ผู้กอง…เดี๋ยว…ผู้กอง…ฮืม”
ธัมโมจูบเก่งจนหนำใจถึงได้สติ ว่าจูบกับผู้ชายนี่หว่า
ธัมโมสับสน “นี่มันเกิดอะไรขึ้น ชั้นทำอะไรลงไป”
“เราทำแบบนี้ไม่ได้นะครับผู้กอง มัน…มันไม่ถูก”
ธัมโมพยักหน้าเห็นด้วย แต่พอมองหน้าเก่งอีกที เขาก็ลากมาบรรจงจูบต่อ เหมือนห้ามใจไม่ไหว
เก่งพยายามพูดทั้งๆ ที่โดนจูบอยู่ “ผู้กอง ก็บอกว่าไม่ถูก เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า…ฮืม
ธัมโมถอนปากออกหยุดจูบ แต่งกอดหนูเก่งเอาไว้และพยายามสะกดกลั้นความปั่นป่วนในใจของตนเอง อาการเหมือนนักมวยกอดคู่ต่อสู้บนสังเวียน
“ชั้นรู้ว่ามันผิด แต่ชั้นไม่เคยเห็นนายเป็นผู้ชายเลยนะนายเก่งที่ชั้นรู้สึกกับนาย” สบตาซึ้ง “ชั้นห้ามมันไม่อยู่จริงๆ”
เก่งอึ้งไปด้วยความสับสน พอคิดได้เธอก็ผลักธัมโมออกแล้ววิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว
สองคนไม่รู้ว่าเพ็ญพรแอบมองเห็นเหตุการณ์โดยตลอด จดสายตามองจ้องตามเก่งจนลับตาไป ก่อนจะมองกลับมาที่ธัมโมอย่างไม่พอใจ
เก่งกลับมาถึงบ้านครูเพิ่มก็เปิดประตูหนีเข้าบ้านไปอย่างรวดเร็ว
พอเข้าห้องแล้วก็รีบถอดวิกลงไปนั่งซุกตัวอยู่ที่มุมห้องด้วยความตื่นเต้น ครู่หนึ่งเก่งเหลือบมองใบหน้าตัวเองในกระจกเงา ซึ่งยามนี้ปล่อยผมยาวสยายเคลียบ่า หญิงสาวสางผมตัวเองให้เข้าที่ ก่อนจะอมยิ้มแล้วแตะที่ริมฝีปากของตัวเองเขินๆ
“เป็นตำรวจภาษาอะไร ขโมยจูบน้องเฉยเลย บ้าที่สุด”
ธัมโมนั่งอยู่บนรถสับสนอย่างหนัก จนกำลังเอาหัวโขกพวงมาลัยด้วยความกลัดกลุ้ม
“โธ่เอ๊ยธัมโม ตกลงไอ้ที่ท้องฟ้ามันวิปริตนี่ก็เป็นเพราะแกเหรอวะเนี่ยหมดกัน ชอบผู้ชายยังไม่พอ แถมดันเป็นน้องชายร่วมสาบานนี่ถ้าใครรู้เข้าจะเอาหน้าไปไว้ไหนวะ”
ไชโยโผล่มาข้างๆ “ก็ไว้ที่เดิมแหละครับผู้กอง”
ธัมโมสะดุ้งโหยง “เย้ย จ่า มาแอบฟังตั้งแต่เมื่อไหร่”
โอฬารโผล่มาข้างหลัง “ตั้งแต่ต้นเลยครับ”
ธัมโมชะงัก “หมู่”
ไชโยเอ่ยขึ้นอีก “เอาเถอะครับผู้กอง ของแบบนี้ลางเนื้อชอบลางยา”
โอฬารผสมโรง “สงสัยผู้กองกับไอ้เก่งคงเป็นเนื้อคู่กันมาแต่ชาติปางก่อนชาตินี้ถึงหนีกันไม่เคยพ้น”
“พวกผมรับได้ครับ แค่อย่าให้ประเจิดประเจ้อก็พอ” ไชโยว่า
“พวกเรานับถือผู้กองก็เพราะความดีครับ ไม่ใช่รสนิยมทางเพศ” โอฬารบอก
ธัมโมอึ้งไป
เวลาเดียวกันตรงทางเดินหน้าห้องน้ำบ้านกำนันศร เชิด ผาดำ ถอดวิญญาณ ล่องลอยเข้ามาในบ้านกำนันศร เพื่อสังเกตการณ์ และเห็นลิ้นจี่ที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จเดินออกมาจากห้องน้ำ
เชิดผาดำจึงตามลิ้นจี่ไปยังห้องพัก ยินเสียง เชิด ผาดำ หายใจอย่างหื่นกระหาย
กำนันศรเพิ่งกลับมาถึงบ้านและกำลังเดินขึ้นเรือน
“ไอ้เด็กขายกาแฟนั่นมันถือว่ามีผู้กองธัมโมคอยให้ท้าย ถึงได้กำแหงเราน่าสั่งสอนมันซะบ้าง”
กำนันศรปรามยอด “ไม่ใช่ตอนนี้ไอ้ยอด เอ็งอย่าลืมว่าผู้กองธัมโมเพิ่งช่วยวาสนาลูกสาวข้าเอาไว้ ถ้าทำแบบนั้นชาวบ้านจะนินทาเอาได้”
ระหว่างนั้นวิญญาณ เชิด ผาดำ อยู่ในห้องนอนกำนันศร กำลังเฝ้ามองดูลิ้นจี่ที่กำลังแต่งตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยสายหื่นโหย มันเข้าไปใกล้มากขึ้นจนลิ้นจี่รู้สึกผิดสังเกตและหันกลับมา มอง แต่ไม่เห็นใครในห้อง
เสียงกำนันศรแหลมเข้ามา “นังลิ้นจี่ มุดหัวอยู่ที่ไหนวะ เอาน้ำมากินหน่อย”
“จ้าพี่กำนัน ไปเดี๋ยวนี้จ้ะ”
ลิ้นจี่รีบออกไปจากห้องด้วยความรู้สึกหวาดกลัว
กำนันศรกำลังนั่งกระพือเสื้อไล่ลมร้อนอยู่ในห้องรับแขก ขณะที่ลิ้นจี่ถือน้ำมาเสิร์ฟให้
“น้ำเย็นๆ มาแล้วจ้ะพี่กำนัน”
พอกำนันศรมองไปที่ลิ้นจี่แล้วต้องตกใจ เมื่อเห็นเงาดำที่ลอยล่องอยู่ด้านหลัง
“ลิ้นจี่หลบไป”
กำนันศรว่าแล้วก็ยกไม้เท้าปืนขึ้นเล็งทันที ลิ้นจี่กรี๊ดลั่นรีบโยนขันน้ำทิ้งไป กำนันศรลั่นไกขณะที่เงาดำนั้นก็สลายตัวไปในชั่วพริบตา กระสุนยิงแฉลบไปโดนแจกันใกล้กับบริเวณที่เบิ้มยืนอยู่พอดี
เบิ้มแหกปากร้องลั่น “เย้ย พ่อกำนัน พ่อกำนันจะยิงชั้นเหรอ”
ยอดเองก็งง “พ่อกำนัน”
กำนันศรมองหา “คนหรือผีกันแน่วะ”
ลิ้นจี่ชักเริ่มเอะใจ พลางนึกไปถึงสิ่งที่ตามถ้ำมองตนเองก่อนหน้านี้
ในเวลาต่อมา เชิด ผาดำ ลืมตาตื่นขึ้นเพราะเสียงเรียกของใครบางคน และเห็นเป็นช่างตัดผมกำลังยิ้มให้
“คุณ คุณครับ โกนหนวดเสร็จแล้วครับ”
ช่างตัดผมว่าพลางปรับเก้าอี้ให้ เชิดผาดำซึ่งนอนอยู่ลุกขึ้นมานั่ง เชิดที่ตัดผมเผ้าโกนหนวดเคราออกแล้วกำลังสำรวจความหล่อของตนจากกระจกเงา
“ฝีมือไม่เลว หล่อขึ้นตั้งเยอะ”
“ขอบคุณครับ”
ตรงถนนละแวกร้านตัดผม เพลินตากำลังยืนรออยู่ที่รถ ขณะที่ เชิด ผาดำ เดินกลับมา
เพลินตาฉุนกึก “สารวัตรไปซื้อของให้นาย เดี๋ยวมา”
เชิดมองเพลินตาอย่างแทะโลม
“เอาโน่นนี่เยอะเหลือเกินนะ ตอนทำงานให้มันได้แบบนี้บ้างละกัน” เพลินตาหงุดหงิด
“ไม่มีปัญหา เรื่องงานข้าไม่เคยพลาด” เชิดโอ่
“นี่ ชั้นไม่ใช่เพื่อนสนิทแกนะ พูดจาให้มันสุภาพหน่อยพูดครับพูดผมน่ะเป็นรึเปล่า”
เชิดมองหน้ากวนๆ “ครับผม”
เพลินตาเบือนหน้าหนีอย่างขัดใจ ดนัยโผล่มาพร้อมกับส่งถุงมือที่ซื้อมาใหม่ให้
“เอ้า ของที่แกอยากได้”
เชิดรับมา แล้วโยนถุงมือข้างซ้ายทิ้งไป “ขอบคุณ แต่ผมใช้แค่ข้างเดียว”
ว่าแล้ว เชิด ผาดำ ก็สวมถุงมือปิดบังรอยสักที่หลังฝ่ามือข้างขวาอย่างใจเย็น
“ทีนี้จะไปดูหน้าไอ้กำนันศรกันได้รึยัง”
“ไม่จำเป็น ผมเห็นหน้ามันแล้ว”
เชิดผาดำขึ้นรถไป ทิ้งให้เพลินตากับดนัยมองหน้ากันงงๆ ว่ามันไปเห็นตอนไหนวะ
ครูเพิ่มเปิดประตูบ้านออกมา เจอธัมโมยืนยิ้มเขินๆ อยู่
“เอ่อคือผมมา…”
ครูเพิ่มรู้ทัน “อยู่ที่หลังบ้าน”
“คือผมยังไม่ได้บอกเลยนะครับ ว่าผมมาทำไม” ธัมโมงวยงง
ครูเพิ่มตบบ่า “เอาเหอะ เชิญตามสบายผมว่าจะแวะไปหาอะไรดื่มซะหน่อย”
ครูเพิ่มออกจากบ้านไป ธัมโมมองตามครูเพิ่มก่อนจะชะเง้อไปที่หลังบ้าน
เก่งยืนเอ้อระเหยทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อยู่ที่หลังบ้าน ก่อนที่ธัมโมจะเดินมายืนเคียง
“ไอ้…เอ้ย นายเก่ง”
“ครับ”
“นายหายโกรธชั้นรึยัง”
“เรื่องอะไรเหรอครับ”
“ก็เรื่องที่ชั้น…จูบนาย”
“ทำไมผมต้องโกรธด้วยล่ะครับ ก็ในเมื่อ…”
ธัมโมรอฟัง เก่งพูดไม่ออกไปพักหนึ่ง
“ช่างเถอะครับ เอาเป็นว่าผมไม่ถือก็แล้วกัน”
“ชั้นไม่รู้ว่าผิดหรือถูก แต่ที่แน่ๆ ชั้นไม่ได้เบี่ยงเบนสิ่งที่เกิดขึ้นมันคือความซื่อสัตย์ที่ชั้นมีต่อหัวใจของชั้นเอง” ธัมโมรอจนเก่งหันมาจึงพูดต่อ “ชั้นไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครมานานมาแล้วจนกระทั่ง…มีนายที่มาอยู่เคียงข้างชั้น”
เก่งพยักหน้าหงึกๆ คิดในใจ ...เออๆ บอกรักเร็วๆ รอฟังจะแย่แล้ว
“นายเก่ง ชั้นรู้ว่าเรื่องระหว่างเรามันคงเป็นไม่ได้ แต่ชั้นก็ยังอยากบอกคำพูดนี้กับนาย” จับบ่าหมับ “ชั้นรักแก พี่ชายคนนี้ไม่เคยเห็นแกเป็นน้องร่วมสาบาน แต่พี่ชายคนนี้อยากกอดแกทุกครั้งที่เห็นหน้า ฝันถึงแกทุกคืนที่เราไปเที่ยวด้วยกัน ถ้านี่เป็นความผิดล่ะก็ พี่ชายคนนี้ขอยอมรับผิดตามข้อกล่าวหา ส่วนหลักฐาน...” ธัมโมค้างคำแล้วคว้ามือเก่งมาจับที่หัวใจตัวเอง “มันอยู่ในนี้”
เก่งมองมือของธัมโม ก่อนจะยิ้มให้เขาด้วยน้ำตาที่เอ่อล้น
เก่งน้ำตาซึมตัวสั่นเทา “ครับ ผมก็ยอมรับผิดเหมือนกัน”
เก่งร้องไห้ก่อนจะสวมกอดธัมโมเอาไว้
“ตอนแรกพี่อยากให้แกเป็นผู้หญิงนะ แต่ว่าตอนนี้มันคงไม่จำเป็นอีกแล้ว”
เก่งนึกขึ้นได้ “เอ่อ..แล้วถ้าผมเป็นขึ้นมาจริงๆ ล่ะครับ”
“ก็ดีสิ ทำง่ายขึ้นเยอะเลย” ธัมโมสัพยอก
เก่งอึ้ง “หา”
“หมายถึงทำให้เรื่องยากกลายเป็นเรื่องง่ายน่ะ”
เก่งร้อง “อ๋อ”
ธัมโมกุมมือเก่งไว้พลางเอ่ยขึ้น “ช่างเถอะ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ขอให้มีเราอยู่ข้างๆ พี่ก็พอใจแล้ว”
เก่งพยักหน้าเห็นด้วยกับธัมโม ทั้งสองกอดกันท่ามกลางแสงจันทร์
กลางดึกคืนหนึ่งกำนันศรถือไม้เท้าปืน กำลังเผชิญหน้ากับวิญญาณร้ายของเชิดผาดำที่เคลื่อนไปรอบตัว
“ไอ้ปีศาจ เอ็งเป็นใครกันแน่วะเก่งจริงก็โผล่หัวออกมาสิโว้ยโผล่มา”
วิญญาณเชิดผาดำหัวเราะเสียงดังกึกก้อง เคลื่อนไหวโฉบไปมารอบตัวกำนันศร
“คนอย่างข้า กำนันศรไม่กลัวเอ็งหรอก ข้ามีวิชาอาคมยิงฟันไม่เข้า ถ้าไม่เชื่อก็เข้ามาลองได้เลย
วิญญาณเชิดผาดำพุ่งเข้าหากำนันศร
กำนันศรยิงปืนไม้เท้าใส่แต่กระสุนพลาดเป้าหมาย วิญญาณร้ายนั้นพุ่งใส่หน้ากำนันศรอีกจนกำนันศรร้องเสียงหลง
กำนันศรตกใจตื่น ผุดลุกขึ้นมานั่งนึกทบทวน ที่แท้กำนันชราฝันไป
“ไอ้ปีศาจร้าย เสียงมันน่ากลัวจริงๆ”
ระหว่างนั้นยินเสียงกรนดังขึ้นจากข้างๆ กำนันศรเหลียวไปมองเห็นลิ้นจี่นอนกลับหัวกลับหางอยู่ข้างๆ
“มิน่ากูถึงฝันร้าย กรนอย่างกับเรือหางยาวแล้วดันมาว่าผัวกรนเสียงดัง ถุย”
เวลานั้นที่หน้าเรือนบ้านกำนันศร วาสนาห่มผ้าคลุมไหล่ เดินออกมาดูที่บันไดหน้าเรือน พอมองไปเห็นกำนันศรกำลังนั่งกุมไม้เท้าปืนในมือเหมือนกำลังใช้ความคิด วาสนายิ้มก่อนจะเดินลงไปนั่งข้างเอียงหัวซบลงตรงบ่า
“วันนี้ไม่เกลียดพ่อแล้วหรือไง” กำนันศรเอ่ยขึ้นน้อยใจนิดๆ
“พ่อช่วยวาสนาเอาไว้ วาสนาไม่คิดแบบนั้นหรอก”
“นี่จะอ้อนขออะไรรึเปล่า”
วาสนาส่ายหน้ายิ้มๆ
กำนันศรยิ้มรับเหมือนกับทำใจได้แล้วเรื่องย้ง “เรื่องไอ้ย้งพ่อมาคิดๆ ดูแล้วนะ คิดมาคิดไปทั้งหมู่บ้านไม้งามตอนนี้ก็เหลือแต่มันนี่ล่ะที่ไว้ใจได้มันทำเพื่อลูกสาวพ่อได้ทุกอย่าง ขนาดไปปล้นเงินเค้ามันก็ยอม”
“แปลว่าพ่อจะเลิกกีดกันนายย้ง”
“มันก็ขึ้นอยู่กับลูก ว่ารักมันรึเปล่า หรือว่ายังเห็นมันเป็นแค่ไม้กันหมาอยู่เหมือนเดิม”
วาสนาอมยิ้ม แทนคำตอบ
ด้านย้งนอนพักฟื้นจากอาการบาดเจ็บจนสายโด่ง ทั้งที่ความจริงก็ไม่ได้เจ็บอะไรมากขนาดนั้น สภาพห้องนอนรกเลอะเทอะ เพราะไม่ได้ดูแล สักครู่หนึ่งย้งก็ตื่นขึ้นมาบิดขี้เกียจ หาวคำโต
“นอนเต็มอิ่มสดชื่นจังโว้ย ออกไปเที่ยวยืดเส้นยืดสายดีกว่า”
ย้งลุกขึ้นก่อนจะชะงักเมื่อเห็นฝาครอบถาดอาหารวางอยู่บนโต๊ะตัวเล็กๆ โดยมีโน้ตลายมือเถ้าแก่ตงแปะไว้
“อาย้ง กินข้าวแล้วกินยาด้วย อาป๊า”
ย้งเปิดฝาชีดูอาหารหน้าตาน่าทาน
สักครู่หนึ่งย้งเดินมาดูที่หน้าร้าน เห็นเถ้าแก่ตงทำงานอย่างขยันขันแข็งไม่เห็นแก่เหน็ดแก่เหนื่อย ยกโน่นหยิบนี่ไม่หยุด แถมยังพูดคุยทักทายกับลูกค้าด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
จังหวะหนึ่งเถ้าแก่ตงกำลังยกของขึ้น แต่ย้งก็ยื่นมือมาเข้ามาช่วย
“ให้อั้วช่วยนะอาป๊า”
“อาย้งลื้อยังไม่หายดีนา ลื้อไม่ต้องทำก็ได้ เดี๋ยวป๊าจัดการเอง”
“ไม่เป็นไรหรอกป๊า ไหนๆ อั้วก็รับปากแล้วว่าจะปรับปรุงตัวแล้วที่สำคัญ” มองหน้าพ่อแววตาสำนึกผิด “ลื้อเหนื่อยเพราะอั้วมาพอแล้ว ให้อั้วตอบแทนบ้างเถอะ”
เถ้าแก่ตงอึ้งปนซึ้ง “อาย้ง”
เถ้าแก่ตงตื้นตัน เห็นย้งยกของไปวางเสร็จก็ไปรับลูกค้าที่หน้าร้านต่อ
“อาหมวยใหญ่เอ้ย นี่ถ้าลื้อยังอยู่นะ ลื้อคงไม่เชื่อแน่ๆ ว่าน้องลื้อจะกลับตัวได้ขนาดนี้” นิ่งคิด “แล้วเมื่อไหร่ลื้อจะกลับมาซะทีวะ”
เถ้าแก่ตงจดสายตาจ้องมองรูปถ่ายของหมวยใหญ่เขม็ง
ขณะเดียวกันเพลินตาเปิดประตูห้องนอนออกมาแล้วต้องสะดุ้งเมื่อเห็นเชิดผาดำยืนอยู่หน้าห้อง
“ไอ้บ้า ตกใจหมด นี่แกมายืนทำอะไรหน้าห้องชั้น” เพลินตาตวาดแว๊ด
“ขอโทษครับ พอดีผมจำห้องผิด”
“ลงไปได้แล้ว สารวัตรรอแกอยู่ข้างล่าง”
เชิดผาดำผายมือเชื้อเชิญให้เพลินตานำไปก่อน เพลินตารีบเดินหนีด้วยท่าทีรังเกียจ
ดนัยกำลังคุยธุระอยู่กับมิ่งที่หน้าเรือนบ้านเสี่ย เรื่องวางแผนฆ่ากำนันศร จู่ๆ เห็นเพลินตาเดินจ้ำออกมาฟ้อง
“ตาเกลียดมัน!”
ดนัยฉงน “ใครเหรอเพลินตา”
“ก็ไอ้เชิดผาดำน่ะสิ มันน่ากลัว น่าขยะแขยง ไปไหนมาไหนก็เงียบเชียบเหมือนผีไม่ผิด”
ดนัยรีบปลอบ “อดทนไว้เพลินตา รอให้เสร็จงานแล้วผมจะจัดการเค้าเอง”
“สารวัตรจัดการมันไหวเหรอครับ ในเมื่อมันมีวิชาอาคมขนาดนั้น” มิ่งวิตก
“ทุกคนย่อมมีจุดอ่อนนายมิ่ง เชื่อชั้นเถอะเสร็จงานเมื่อไหร่ ชั้นจะพิสูจน์ให้ดู” ดนัยบอก
จังหวะนั้นเชิดผาดำเดินออกมาสมทบพอดี ทุกคนปรับสีหน้าเป็นปกติ
นางสิงห์สะบัดช่อ ตอนที่ 14 (ต่อ)
ย้งขับรถมอเตอร์ไซค์แวะมาที่หน้าอนามัย จอดรถแล้วเอากาแฟกับขนมปังวางทิ้งไว้ก่อนจะรีบเผ่นขึ้นรถ แต่วาสนายินเสียงรถรีบโผล่หน้ามาเรียกทางหน้าต่าง
วาสนาเรียกเสียงเข้ม “นายย้ง”
ย้งตกใจจนเสียหลัก “อุ้ย คุ...คุณวาสนา”
“จะไปไหน” วาสนาถาม
“เอ่อ จะรีบไปส่งของครับ”
“ยังไม่ต้องไป ขึ้นมาบนนี้ก่อนชั้นจะทำแผลให้”
ย้งไม่ทันตอบรับวาสนาก็ผลุบหน้ากลับเข้าไปด้านในซะก่อน
วาสนาทำแผลให้ย้ง เป็นแผลเล็กๆ น้อยๆ ที่ได้จากการต่อสู้กับพวกของจำเริญ
ย้งเข้าหน้าวาสนาไม่ติดเพราะเป็นต้นเหตุให้ถูกจับตัวไป และยังมีท่าทีเกรงใจสุดขีด “อันที่จริงคุณวาสนาไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้นะครับ”
“ทั้งๆ ที่นายเจ็บตัวเพราะชั้นเหรอ”
“แต่คุณวาสนาถูกลักพาตัวไปก็เพราะผมเหมือนกัน”
“ตกลงนายไปปล้นเงินเค้ามาจริงๆ รึเปล่า”
ย้งยอมรับ “ครับ”
วาสนาถามต่อ “เพราะอยากแต่งงานกับชั้น”
ย้งเริ่มอึดอัด “ครับ”
“แต่ว่าตอนนี้นายไม่มีเงินแล้วนะ”
ย้งสลดพยักหน้าแทนคำตอบ
“แล้วนายจะไปปล้นอีกรึเปล่า”
“ผมสัญญากับพ่อไว้แล้วครับว่าต่อไปจะตั้งใจทำงานถ้าเป็นไปได้ก็จะเรียนต่อให้สูง” ย้งบอกมาดมั่น
“แล้วหลังจากนั้นล่ะ” วาสนาซักต่อ
“สมัครเป็นตำรวจครับ ผมอยากเป็นเหมือนผู้กองธัมโม คุณวาสนาจะได้ปลื้มผมบ้าง” ย้งพูดพาซื่อ
วาสนาแซวขำๆ “ฟังดูเหมือนประชดนะเนี่ย”
ย้งเบือนหน้าไปเศร้าลงอีก “ก็จริงนี่ครับ ผู้กองธัมโมทั้งหล่อ ทั้งเก่ง แถมมีตำแหน่งใหญ่โต ส่วนผมเป็นแค่อาตี๋ขายกาแฟ”
วาสนายิ้ม “ใช่ ผู้กองธัมโมดีที่สุด มีพร้อมทุกอย่าง” จับหน้าย้งให้หันมา “แต่ไม่เคยมีใจให้ชั้นเหมือนนายนอกจากพ่อแล้ว ไม่เคยผู้ชายคนไหนในบ้านไม้งามรักชั้นได้เท่ากับนายนายคือเพื่อนที่ดีที่สุดของชั้นนายย้ง ชีวิตของชั้นก็คงอยู่ไม่ได้ ถ้าไม่มีนาย”
ย้งตื่นเต้นแกมตื้นตัน “คุณวาสนา ที่พูดนี้แปลว่าคุณวาสนาชอบผมแล้วเหรอครับคุณวาสนาชอบผม ชอบผมจริงๆ เหรอครับ!”
วาสนายิ้มเขินตอบเลี่ยงๆ “ฮืม มั๊ง”
ย้งดี๊ด๊า “อ๊าา... รอเดี๋ยวนะครับคุณวาสนา รอผมแป๊บนึง”
แล้วย้งก็ผลุนผลันออกไปจากห้องตรวจโรค จนวาสนาตกใจรีบยืนขึ้นมองตามไป
“นายย้ง”
ย้งเนื้อเต้นสุดขีด วิ่งปุเลงๆ ลงบันได ไปในทุ่งหญ้าหน้าสถานีอนามัยแล้วระเบิดอารมณ์ออกมา
“มีความสุขโว้ย ไอ้ย้งเป็นผู้ชายที่โชคดีที่สุดในบ้านไม้งามไอ้ย้งมีความสุขโว้ย คุณวาสนารักไอ้ย้ง
ไอ้ย้งจะมีเมียแล้ว...”
วาสนาตามออกมาดูอย่างตกใจ “นายย้ง นายจะบ้าเหรอ กลับมาเดี๋ยวนี้”
ย้งไม่ฟังร้องตะโกนก้อง “คุณวาสนา คุณวาสนาครับ! ผมรักคุณ.....”
ระหว่างนั้นยอดขับรถมาจอดตรงหน้าย้งพอดี มีกำนันศรนั่งมาด้วย
ย้งลากเสียงต่อเนื่องแบบไฟตก “ฮูนนนนนนๆๆๆๆ”
กำนันศรเรียก “ไอ้ย้ง!”
“ครับพ่อกำนัน”
“ต่อไปนี้ ข้าจะเลิกส่งคนมาเฝ้าลูกสาวข้า ดังนั้นเอ็งต้องไปรับไปส่งวาสนาทุกเช้าทุกเย็น เข้าใจรึเปล่า”
ย้งตื้นตันหนักขึ้นไปอีก “ครับพ่อกำนัน ขอบคุณครับพ่อกำนัน”
“ตอนนี้เอ็งไม่กระจอกแล้วไอ้ย้ง เอ็งเจ๋งว่ะ”
ยอดชมจากใจย้งยิ้มให้กัน ก่อนที่ยอดจะออกรถไป ย้งรีบวิ่งไปหาวาสนาบนสถานีอนามัย วาสนายืนรอ…ย้งยืนเก้ๆ กังๆ ทำตัวไม่ถูก
“ม…ม..มือ มือวางไว้ไหนดี”
วาสนาสอน เสียงดุๆ “ก็กอดสิ”
ย้งเอามือแปะ ตรงบ่าวาสนา มองจ้องตา “คุณวาสนา”
วาสนาสอนเสียงดุอีก “น้องวาสนา”
ย้งยิ้มแก้มแทบแตก “น้องวาสนา”
วาสนายิ้ม “พี่ย้ง”
ย้งเรียกอีก “น้องวาสนา”
วาสนาเรียกตอบ “พี่ย้ง”
ย้งรวบตัววาสนามากอดไว้อย่างมีความสุข…ล้นใจ ที่สุดความดีบนความซื่อของย้งก็ชนะใจทุกคน และคนที่มันรักยิ่งชีพอย่างหมอวาสนา
ทางด้านลิ้นจี่นั่งรถรับจ้างมาที่บ่อนเสี่ยเล้งเช่นเคย โดยไม่รู้ว่าวันนี้มีเบิ้มสะกดรอยตามมา
“คุณลิ้นจี่มาเที่ยวบ่อนเสี่ยเล้ง จะเอายังไงดีวะเข้าไปก็ไม่ได้ แต่กำนันบอกว่าอย่าให้คลาดสายตานี่หว่า” เบิ้มเกาหัวคิดไม่ตก “ฮึ่ย คิดไม่ออกโว้ย รอมันตรงนี้ละกัน”
เบิ้มหาที่นั่งซุ่มดูต่อ
เสี่ยเล้งกับทุกคนนั่งรออยู่ก่อนแล้ว มิ่งพาลิ้นจี่มาส่งในห้องรับแขก
“สวัสดีค่ะเสี่ย สวัสดีค่ะสารวัตร สวัสดีค่ะคุณเพลินตา” มองเชิดผาดำ “เอ่อ..แล้วนี่”
เสี่ยเล้งแนะนำ “นายเชิด เป็นผู้ช่วยของชั้นเอง รู้จักกันซะสิ” หันมาทางเชิด “นายเชิด นี่ลิ้นจี่เมียกำนันศร”
เชิดมองลิ้นจี่ด้วยสายตาแทะโลม ก่อนจะถอดถุงมือออก
“สวัสดีค่ะ อุ๊ย” ลิ้นจี่ไหว้ แต่ต้องชะงักเมื่อเห็นเชิดยื่นมือขวามาตรงหน้า “อ๋อ จับมือแบบฝรั่งได้ค่ะได้ ลิ้นจี่ถนัด ฝรั่งลิ้นจี่เคยผ่าน เอ๊ย! เคยพบมาแล้วค่า ฮัลโหล ฮาว ดู ยู ดู๋?”
ลิ้นจี่ใสจริตเต็มที่ เชิดผาดำแสะยิ้มก่อนจะกำมือลิ้นจี่แน่น จังหวะนั้นลิ้นจี่มีอาการกระตุกแล้วนิ่งไปเหมือนโดนไฟช๊อต!
พอลิ้นจี่จับมือกับเชิดผาดำเธอก็ตกอยู่ในมนต์สะกดของมันทันทีทันใด โดยที่รอยสักบนหลังมือของเชิดระเหิดเป็นไอหมอกสีทะมึนก่อนจะไหลไปปรากฏอยู่บนหลังมือขวาของลิ้นจี่ ราวกับเป็นพิมพ์เดียวกัน
“นับจากนี้ไป ร่างกายของเอ็งเป็นของข้า วิญญาณของเอ็งเป็นของข้าไม่ว่าอยู่หรือตาย เอ็งต้องทำตามคำสั่งของข้าคนเดียวเท่านั้น” เชิดพูดเหมือนท่องบทสวด
เสี่ยเล้ง มิ่ง ดนัย และเพลินตา ต่างพากันตกตะลึง เมื่อเห็นคาตาว่าลิ้นจี่ยืนตัวแข็งทื่อราวกับไร้วิญญาณ
ด้านธัมโมกับเก่งกำลังช่วยกันตากผ้าอยู่ที่บ้านพัก
“อุตส่าห์มาช่วยซักผ้าทั้งทีก็อยากขอบใจอยู่หรอกนะนายเก่ง แต่คราวหลังมาตอนเช้าจะดีกว่ามั้ง”
“แหม ก็ผมต้องขายกาแฟนี่ครับผู้กอง ไม่ต้องซีเรียสหรอกครับ มาเช้ามาสายก็ซักสะอาดเหมือนกัน” เก่งว่า
“แต่ว่าตอนเย็นเค้าห้ามตากผ้านะ นายไม่เคยได้ยินหรือไง ตากผ้าตอนกลางคืน ผีมันจะมา...”
เก่งเอาผ้าที่จะตากมาคลุมหัวเป็นผีร้อง “แฮ่”
ธัมโมสะดุ้งโหยง “เฮ้ย”
เก่งขำก๊าก “ฮ่าๆๆๆ ผู้กองกลัวผีเหรอครับเนี่ย ไม่อยากจะเชื่อ เป็นตำรวจภาษาอะไร ดันกลัวผี”
“ชั้นตกใจต่างหาก นี่เลิกหัวเราะได้แล้วนะนายเก่ง”
“ร่อแร่ ร่อแร่ ตำรวจกลัวผี ตำรวจกลัวผี” เก่งล้อ
“ไม่ยอมเลิกใช่มั้ย แบบนี้ต้องโดนทำโทษ”
ธัมโมเดินไปคว้าสายยางแล้วเปิดก๊อกน้ำ
“อ้าวอย่าพาลสิครับผู้กอง ผมล้อเล่นหน่อยเดียวเอง” เก่ง
“เหรอ ชั้นก็ล้อเล่นเหมือนกัน”
เก่งหนี “ผู้กอง อย่าครับ เดี๋ยวเปียก โอ้ย”
เก่งวิ่งหนีไปได้ไม่กี่ก้าวก็ขาพลิกทรุดลงไป ธัมโมตกใจรีบทิ้งสายยาง แล้วเข้าไปดูอาการ
“นายเก่ง นายเป็นยังไงบ้าง”
“ไม่เป็นไรครับ ผมแค่เจ็บข้อเท้านิดหน่อย”
ธัมโมขยับดูข้อเท้าเก่งอย่างห่วงใย และพบว่ามันมีรอยช้ำมาจากก่อนหน้านี้ ตอนที่นางสิงห์ถูกยิงตกเหว
“ข้อเท้านายไปโดนอะไรมาทำไมถึงเป็นแบบนี้”
“เอ่อคือว่า…”
ขณะที่เก่งอึกอักๆ อยู่นั้นเอง เสียงแตรรถมอเตอร์ไซค์ดังขึ้น ธัมโมกับเก่งเหลียวมองไป เห็นย้งขับมอเตอร์ไซค์เข้ามาจอด หน้าตายิ้มแย้ม
“ผู้กอง เย็นนี้ว่างรึเปล่าครับ”
“มีอะไรเหรอนายย้ง” ธัมโมสงสัย
คืนนั้นหมู่มวลต่างมารวมตัวกันที่ร้านเถ้าแต่ตงกันพร้อมเพรียง เบียร์ถูกรินใส่แก้วเสิร์ฟ ธัมโม เก่ง เพ็ญพร ย้ง เถ้าแก่ตง และวาสนากำลังล้อมวงสังสรรค์กันอยู่ เถ้าแก่ตงรินเบียร์หรือคีบกับข้าวให้ธัมโมอย่างเอาใจ
“แหะๆ ก็ไม่มีอะไรหรอกครับผู้กอง คืออั้ว เอ้ย กระผมแค่อยากเลี้ยงตอบแทนผู้กองที่ช่วยอาย้งลูกชายของอั๊ว เอ้ย กระผมเอาไว้”
ธัมโมยิ้มเยื้อนด้วยไมตรี “ไม่ต้องเกรงใจหรอกเถ้าแก่ ผมแค่ทำไปตามหน้าที่”
“นั่นสิคะเถ้าแก่ งานนี้ต้องถือว่านายย้งโชคดี ที่ท่านนำชัยไม่ได้แจ้งความเรื่องเงินที่ถูกปล้น ไม่อย่างนั้นป่านนี้คงติดคุกหัวโตแน่” เพ็ญพรเหน็บแนม
ย้งมองเพ็ญพรอย่างไม่พอใจที่ทำให้เสียบรรยากาศ
เก่งตัดบทกู้สถานการณ์ “เอ่อ เรื่องนั้นมันก็ผ่านไปแล้วนะครับผู้หมวดผมว่าพวกเรามาดื่มฉลองกันดีกว่าครับ”
วาสนาเห็นด้วย “นั่นสิคะผู้หมวด ตอนนี้พี่ย้งเค้ากลับตัวแล้ว แถมยังมีแผนจะเรียนต่อด้วยนะคะ”
“จริงเหรอนายย้ง” ธัมโมดีใจ
“ครับผู้กอง ผมสาบานกับตัวเองแล้วว่าต่อไปจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ผมจะไม่ทำให้อาป๊า ผู้กอง และน้องวาสนาผิดหวังเด็ดขาด” ย้งบอกจริงจัง
“เยี่ยมมาก ถ้างั้นแก้วนี้ ชั้นขอดื่มให้นายก็แล้วกัน” ธัมโมนำร่อง
“ดื่มให้ไอ้ย้ง”เก่งยิ้มชูแก้ว
“ดื่มให้ลูกชายอั้ว”
ทุกคนชนแก้วมีความสุข เก่งกับธัมโมนั่งพูดจาหัวร่อต่อกระซิกกัน โดยไม่รู้ว่าเพ็ญพรกำลังนั่งมองอยู่อย่างไม่พอใจ
เวลาต่อมาเก่งปลีกตัวยกจานชามกับแกล้มมาช่วยล้างให้ทางหลังบ้าน เพ็ญพรเก็บจานจากข้างนอกเดินตามเข้ามา
“วางไว้เลยครับผู้หมวด เดี๋ยวผมล้างเอง”
เพ็ญพรวางจาน แล้วตั้งหลักสักครู่ เริ่มพูดจากเหน็บแนม “ท่าทางมีความสุขเหลือเกินนะแก้ว”
“อะไรเหรอครับ”
“เธอคิดว่าจะบอกความจริงผู้กองธัมโมเค้าเมื่อไหร่ เรื่องที่เธอเป็นนางสิงห์ชุดดำ”
เก่งเหลียวหันไปมองให้แน่ใจว่าปลอดคน พูดเบาแทบเป็นกระซิบอย่างหงุดหงิด “คุณบัว นี่เราต้องพูดกันตอนนี้ด้วยเหรอครับ”
“ชั้นแค่หวังดีนะแก้ว แค่ไม่อยากให้เธอทำเสียแผน แล้วอีกอย่าง…เรื่องของเธอกับผู้กองธัมโมน่ะ มันไม่มีวันเป็นไปได้ เธอก็รู้นี่”
เก่งมองเพ็ญพรอย่างหนักใจและไม่พอใจนิดๆ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายหวังดีหรือประสงค์ร้ายกันแน่
ส่วนในร้าน ธัมโม ย้ง วาสนา และเถ้าแก่ตงยังดื่มกินกันอยู่
“ตกลงนางสิงห์ชุดดำเป็นใคร นายจะไม่บอกชั้นจริงๆ เหรอนายย้ง” จู่ๆ ธัมโมถามขึ้นมา
วาสนากับเถ้าแก่ตงหันมามองอย่างสนใจ ย้งอึกอักไปครู่หนึ่ง
“โธ่ผู้กอง ไอ้ผมมันตกบันไดพลอยโจนนะครับ ไม่ใช่ผู้ร้ายมืออาชีพซะหน่อย แล้วอีกอย่างนางสิงห์เค้าพรางตัวเก่งจะตาย ตัวจริงเค้าเป็นใครผมไม่รู้หรอกครับ”
ธัมโมพูดเหน็บเหมือนน้อยใจที่ย้งไม่ยอมบอก “ก็ได้ ถึงไงตอนนี้นายก็เป็นพลเมืองดีไปแล้วนี่ ถ้าไม่ใช่เพราะนาย คุณวาสนาก็คงไม่ปลอดภัยกลับมา”
วาสนาแหลมขัดขึ้น “แหมใช่พี่ย้งคนเดียวซะที่ไหนคะผู้กอง ยังมีผู้กองกับคนอื่นแล้วก็ยังมีนายเก่งอีกด้วย”
ย้งตกใจ ขณะที่ธัมโมชะงักมองวาสนา
“นายเก่ง? งานนี้นายเก่งมีเอี่ยวด้วยเหรอ” ธัมโมฉงน
“อ้าว ก็ตอนที่ชั้นสลบไป ชั้นรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงพี่ย้งเรียกชื่อนายเก่งนี่คะ”
ย้งตกใจหนักเริ่มหน้าเสีย คิดข้อแก้ตัว “เอ่อ สงสัยน้องวาสนาจะหูฝาดละมั้ง ตอนนั้นไอ้เก่งมันอยู่ในหมู่บ้าน ไม่ได้ไปด้วยซะหน่อย”
วาสนาอึ้งไป ขณะที่ธัมโมมองย้งอย่างจับผิด ตอนนั้นเองที่เก่งกับเพ็ญพรเดินออกมาพอดี
เก่งชะงักอย่างแปลกใจที่เห็นธัมโมจ้องมาที่ตน
จากนั้นไม่นานธัมโมกับเก่งเดินกลับบ้านด้วยกัน บรรยากาศยามค่ำคืนช่างดูงดงามจับตาจับใจ
“คืนนี้พระจันทร์สวยนะ นายว่ามั้ยนายเก่ง” พอมองมาเห็นเก่งเอาแต่มองเหม่อ “นายเก่ง” ธัมโมเรียกรอจนได้สติ “มัวคิดอะไรอยู่”
เก่งส่ายหน้า “ผมแค่นึกว่า ต่อไปเราจะมีโอกาสเดินด้วยกันแบบนี้อีกรึเปล่า”
ธัมโมฉงน “ทำไมล่ะ”
“ผู้กองคิดว่า เราจะไปกันรอดเหรอครับ ผมว่าแค่เริ่มขึ้นมา มันก็ยากแล้ว ถึงตอนนี้เพื่อนๆ ของเราจะยอมรับได้แต่ชาวบ้านอีกล่ะครับ พวกเค้าจะยอมรับรึเปล่า ที่สำคัญตอนนี้ผู้กองบอกว่ารักผม แล้วต่อไปล่ะครับ ผู้กองจะรู้สึกเหมือนเดิมมั้ย” เก่งมีสีหน้าหวาดหวั่น
ธัมโมอึ้งไปและหยุดเดิน ขณะที่เก่งเดินต่อไปเรื่อยๆ ระบดระบายเรื่องเก็บกดในใจออกมาหน้าเศร้าสลด
“วันนี้ผู้กองไม่มีใคร ผู้กองถึงได้รู้สึกดีกับผม และก็ไม่สนใจว่าผมจะมีข้อเสียอะไรบ้าง แต่ถ้าต่อไป…ผู้กองรู้ความจริงมากขึ้น รู้เรื่องไม่ดีเกี่ยวกับตัวผมเพิ่มขึ้นผู้กองจะทำยังไงครับ”
ธัมโมนิ่งสักพัก “นายกลัวงั้นเหรอ”
เก่งพยักหน้า
“ชั้นก็กลัว กลัวว่ามันจะไม่ใช่ความจริง กลัวว่าความสัมพันธ์ของเราจะเป็นแค่เรื่องตลกในสายตาชาวบ้าน ชั้นกลัวตั้งหลายอย่างก่อนที่จะมาถึงจุดนี้ กลัวถึงขนาดต้องมานั่งเรียบเรียงกับตัวเอง
ว่าเรื่องไหนที่น่ากลัวมากที่สุด แล้วชั้นก็ได้คำตอบ”
ธัมโมจับบ่าเก่ง แล้วพูดอย่างหนักแน่น
“ชั้นกลัวว่านายจะหายตัวไป ชั้นกลัวว่าจะมีชีวิตอยู่โดยปราศจากนายมันไม่ใช่แค่ความเป็นเพื่อน ไม่ใช่เพราะนายทำดีกับชั้นแต่มันเป็นเพราะชั้นเอง ชั้นรู้สึกว่าหัวใจที่เปล่าของชั้นมันไม่เคยถูกเติมเต็มแบบนี้มาก่อน จนกระทั่งได้มาเจอกับนาย”
เก่งอึ้งไปด้วยความตื้นตัน
ธัมโมยิ้มเยื้อน “ชั้นพูดความจริง นายไม่เชื่อเหรอ”
เก่งตื้นตันมากขึ้น “ผู้กองต้องสัญญากับผมก่อน ว่าต่อไปถ้าผู้กองรู้ความจริงเกี่ยวกับตัวผม แล้วยอมรับไม่ได้ขึ้นมา ผู้กองจะต้องไม่เกลียดผม ถึงเรารักกันไม่ได้ เราก็จะเป็นพี่น้องกัน ถึงเป็นพี่น้องกันไม่ได้ เราก็จะเป็นเพื่อนกัน เราจะไม่เป็นศัตรูกันเด็ดขาด”
ธัมโมแซว “ขอแบบย่อๆ ซิ”
เก่งบอกท่าทีจริงจัง “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผู้กองห้ามเกลียดผม ห้ามโกรธผมนะครับ ผู้กองจะต้องรู้สึกดีกับผม ดีแบบที่ผู้กองเป็นอยู่ตอนนี้เป็นผู้กองธัมโมของผมไปตลอดชีวิต”
ธัมโมยื่นนิ้วก้อยออกมาชูกลางแสงจันทร์ ย้ำน้ำคำตามเก่ง “ตลอดชีวิต จนกว่าจะความตายจะมาพรากเราจากกัน”
เก่งเกี่ยวก้อยกับธัมโม ธัมโมลูบหัวแล้วขยี้เบาๆ ปลอบใจ
“ไอ้เด็กขี้แย”
เก่งยิ้มทั้งน้ำตา ก่อนที่ธัมโมจะรั้งร่างเธอเข้ามากอดเอาไว้อย่างแนบแน่น ท่ามกลางแสงจันทร์สวยนวลตา
เวลาเดียวกัน เพ็ญพรเดินมาหยุดยืนพิงขอบหน้าต่างห้องนอน พลางเหลียวมองพระจันทร์ด้วยความเดียวดาย
เพ็ญพรหวนนึกถึงวัยเด็กตอนที่เธอกับแก้วหรือเก่งในวันนี้เคยใกล้ชิดสนิทสนมกัน นึกไปถึงเหตุการณ์ที่แก้วเคยปกป้องด้วยชีวิต ก่อนที่ภาพนั้นจะถูกแทนด้วยภาพของเก่งในปัจจุบันที่มีความรักหวานชื่นกับผู้กองธัมโม
เพ็ญพรรำพึงรำพัน “แก้ว เธอคือเพื่อนรักของชั้น ของชั้นคนเดียวเท่านั้น” ยิ่งคิดยิ่งแค้น “ชั้นจะไม่ยอมให้เธอเป็นของคนอื่นเด็ดขาด”
แววตาของเพ็ญพรฉายแววอาฆาตแค้นออกมาให้เห็นเด่นชัด
นางสิงห์สะบัดช่อ ตอนที่ 14 (ต่อ)
ในคืนเดียวกัน ลิ้นจี่เดินกลับออกมาจากห้องรับรองออฟฟิศบ่อนเสี่ยเล้งในสภาพตัวแข็งทื่อเพราะโดนอาคมสะกดของเชิดผาดำ ผู้คนในบ่อนมองสาวทรงโตเมียกำนันศรอย่างประหลาดใจ
สีหน้าลิ้นจี่นิ่งเฉย เดินตัวแข็งทื่อไปโดยไม่ได้สนใจชาวบ้านแม้แต่น้อย มีแต่ภาพเชิดผาดำขณะละมือออก และยกนิ้วมือขวาแตะที่ขมับของตัวเองสั่งการ
“ไป…เอ็งจงไปฆ่ากำนันศร เดี๋ยวนี้” ลิ้นจี่พึมพำเสียงเหี้ยมตาม “ฆ่ากำนันศร ฆ่ากำนันศร”
ลิ้นจี่ยังคงพึมพำตามคำสั่งเชิดฝาดำซ้ำไปซ้ำมา “ฆ่ากำนันศร ฆ่ากำนันศร” หยุดมองหาประตูทางออก
เสี่ยเล้ง มิ่ง ดนัย เพลินตา และเชิดผาดำ ยังอยู่รวมกันให้ห้องรับรองของออฟฟิศ
ในกรอบสายตาของเชิดผาดำยามนี้ มองเห็นทุกอย่างที่ลิ้นจี่ได้เห็นภาพแลดูบิดเบี้ยวไป
เชิดผาดำกำลังนั่งเอานิ้วมือข้างขวาจิ้มที่ขมับตลอดเวลา
“มันจะได้ผลเหรอนายเชิด กะอีแค่ผู้หญิงคนเดียว จะฆ่ากำนันศรได้ยังไง” เสี่ยเล้งคาใจ
“นังนี่ไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดา เสี่ยคอยดูละกัน” เชิดผาดำบอกอย่างมั่นใจ
เสี่ยเล้งกับเพลินตามองหน้ากันอย่างประหลาดใจในวิชาของเชิดผาดำ ขณะที่ดนัยจับตามองเชิดผาดำอย่างนึกระแวงว่าหมอนี่อันตรายกว่าที่เขาคาดไว้ซะอีก
ลิ้นจี่เดินออกมาจากบ่อน เบิ้มที่ซ่อนตัวอยู่ก็รีบโผล่เข้ามาทักลิ้นจี่
“ฮั่นแน่คุณลิ้นจี่ จับได้คาหนังคาเขาเลยนะครับ พ่อกำนันบอกแล้วใช่มั้ย ว่าห้ามมาที่บ่อนเสี่ยเล้ง”
ลิ้นจี่หันมามองเบิ้ม ถามด้วยเสียงแปร่งหู “เอ็งเป็นใคร”
เบิ้มขำก๊าก “อ่ะแน่ะ อ่ะแน๊ ทำเป็นมั่วนิ่มไม่รู้จัก อ่านนิยายมากไปรึเปล่าครับคุณลิ้นจี่ อย่าบอกนะครับว่านี่ไม่ใช่คุณ แต่เป็นฝาแฝดที่พลัดพรากกันไปตั้งแต่เมื่อยี่สิบปีก่อน ฮ่าๆๆๆ มุกเน่าดีอ่ะ
ผมช๊อบ”
ลิ้นจี่เอียงคอมองเบิ้มแบบงงๆ ว่าขำอะไรนักหนา
“นี่ ถ้าคุณไม่อยากให้ผมฟ้องพ่อกำนันล่ะก็” เบิ้มแบมือ “จ่ายมาซะดีๆ ค่าปิดปาก ไม่อย่างนั้นเรื่องนี้ถึงครูอังคณาเอ๊ย ถึงกำนันศรแน่นอน คอนเฟิร์ม ฮ่าๆๆๆ”
เชิดผาดำแสยะปากหมดความอดทน “ไอ้ลูกหมา หลีกไปให้พ้น”
ลิ้นจี่ตะคอกเบิ้มถ้อยความเดียวกัน “ไอ้ลูกหมา หลีกไปให้พ้น”
เบิ้มอึ้งไป จู่ๆ ถูกลิ้นจี่ตะปบคอเสื้อเบิ้มตกใจ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นฉุน “คุณลิ้นจี่ นี่คุณจะทำอะไร ใช้กำลังแบบนี้เดี๋ยวผมเอาบ้างนะ ผมสู้น๊า”
“เรื่องของเอ็ง”
ขาดคำลิ้นจี่กระชากคอเบิ้มเหวี่ยงไปข้างทาง ร่างของเบิ้มลอยละลิ่วข้ามพุ่มไม้ไป
“เย้ย”
ร่างเบิ้มร่วงลงกระแทกพื้น ขณะที่ลิ้นจี่เดินหนีไป กว่าเบิ้มจะตั้งหลักได้ลิ้นจี่ก็เดินไปลิบแล้ว
“อะไรกันวะเนี่ย คุณลิ้นจี่ ทำไมแรงเยอะขนาดนี้วะ อูยจุก
เบิ้มมองตามลิ้นจี่ที่เดินจากไปลิบตาแล้ว
ลิ้นจี่เดินกลับมาถึงบ้าน ยอดกับสมุนที่เข้าเวรยาม และตั้งวงเหล้ารีบมาทักทาย
“กลับมาแล้วเหรอครับคุณลิ้นจี่ พ่อกำนันถามถึงอยู่พอดี”
ลิ้นจี่เดินผ่านยอดไป โดยไม่ยอมทักทายตอบ ยอดนึกแปลกใจ
“อะไรของเค้าวะ สงสัยเสียไพ่มาอีกแหงๆ”
ยอดปลีกตัวไปดูแลสมุน ขณะที่ลิ้นจี่เดินมาถึงตีนบันไดแล้วเหลือบเห็นเครื่องมือทำสวนที่วางกองอยู่ ลิ้นจี่หยิบพลั่วมาดูอย่างสนใจ
ในห้องรับแขกบ้านกำนันศรยามนั้น กำนันศรนั่งฟังเพลงจากวิทยุ พลางอ่านตำราการปกครองตามหลักประชาธิปไตยที่ครูเพิ่มเอามาให้อยู่ที่เก้าอี้ตัวเก่ง พูดโดยไม่ได้สนใจมองลิ้นจี่ที่เดินมายืนข้างหลัง
“กลับมาซะดึกเชียวนะนังลิ้นจี่ มีอะไรจะแก้ตัวอีกวะ”
“ได้ข่าวว่าเอ็งหนังเหนียวใช่มั้ย ไอ้ศร”
กำนันศรชะงัก ก่อนจะหันไปมองลิ้นจี่ เห็นลิ้นจี่ยกพลั่วขึ้นสุดแขนฟาดเข้าเต็มแรง เสียงพลั่วดังกึกก้อง
ยอดและสมุนได้ยินเสียงโครมครามแว่วมาจากบนบ้านก็ลุกขึ้นมองอย่างสนใจ
“เสียงอะไรน่ะพี่ยอด ต้องขึ้นไปดูรึเปล่า” สมุนบอก
“เฮ้ย ผัวเมียทะเลาะกัน ไม่ต้องสนใจหรอก
ยอดเบือนหน้าไปกินเหล้า ตักกับแกล้มเข้าปากต่อ
กำนันศรโดนลิ้นจี่ฟาดด้วยพลั่วจนสะบักสบอม ข้าวของแตกหล่นกระจุยกระจาย
“นังลิ้นจี่ เอ็งจะบ้าหรือไงวะ นี่ข้าผัวเอ็งนะ”
“ไอ้แก่เอ๊ย ไม่เจียมสังขาร หน้าเหี่ยวยังอยากจะมีเมียเด็ก”
กำนันศรโกรธ “อ้าวนังนี่ ว่าแก่ทนได้ ว่าเหี่ยวข้าไม่ยอมนะเว๊ย”
ลิ้นจี่ขยับพลั่วในมือ พูดท้า “ก็เข้ามาสิวะ เข้ามาเลย”
กำนันศรเอะใจ “นี่เอ็ง เอ็งเป็นใครกันแน่วะ”
“ฮ่าๆๆ ข้าก็เป็นนังลิ้นจี่เมียเอ็งไงไอ้ศร”
ลิ้นจี่เปิดโชว์หัวไหล่ ระริกระรี้ใส่ “เข้ามาสิคะ ผัวขา มาให้เมียชื่นใจหน่อยเร๊ว”
กำนันศรมองพลั่วในมือลิ้นจี่อย่างหวาดหวั่น เหลือบมองไปที่ปืนไม้เท้าคู่ใจแล้วโผจะไปคว้ามาจัดการ กำนันศรเกือบจะคว้าไม้เท้าได้แล้ว แต่ก็โดนลิ้นจี่เหวี่ยงพลั่วใส่สุดแรงเกิด จนเสียหลักไปชนแผงควบคุมเครื่องกระจายเสียง กลายเป็นว่าเปิดเสียงเพลงกระจายไปตามสายซะงั้น
ที่ร้านกาแฟเถ้าแก่ตง ยินเสียงเพลงแว่วหวานมาจากบ้านกำนันศรกระจายไปทั่ว จังหวะที่เถ้าแก่ตงเก็บกวาดพื้น ขณะที่วาสนากับย้งกำลังช่วยกันเช็ดโต๊ะ ต่างเงี่ยหูฟังหรือมองไปที่ลำโพงโทรโข่งอย่างงุนงง
“ไอ๊หย่า รายการกำนันศรพบประชาชน เดี๋ยวนี้มีออกอากาศภาคดึกด้วยอ่ะ”
“พ่อนะพ่อ สงสัยคงเมาอีกตามเคย” วาสนาว่า
ย้งเอะใจ “เอ แต่ผมว่าเสียงเพลงมันแปลกๆ นะครับ เหมือนมีเสียงอื่นแทรกมาด้วย”
ทุกคนต่างพากันตั้งใจฟัง และจริงอย่างที่ย้งว่า เพราะได้ยินเสียงการต่อสู้โครมครามดังแทรกเข้ามา
กำนันศรกำลังเสียท่าหนัก โดนฟาดหลังจนทรุด ถึงขั้นกระอักเลือด ส่วนลิ้นจี่ถือพลั่วย่างสามขุมเข้ามาหาช้าๆ
“เสร็จข้าละไอ้แก่”
กำนันศรเหลือบไปเห็นไม้เท้าใกล้ๆ ก็ตะเกียกตะกายไปคว้ามา ก่อนจะท่องคาถา
“พยัคฆา พยัคโฆ นะ โม พุท ธา ยะ”
ลิ้นจี่เงื้อพลั่วสุดแขนหมายจะเผด็จศึก แต่กำนันศรพลิกตัวหันมาเล็งปืนไม้เท้าปืนใส่
“เอาสิวะ ถ้าเอ็งอยากตายก็ลองดู”
ลิ้นจี่ท้าทายไม่หวาดหวั่น “เอ็งไม่กล้ายิงข้าหรอกไอ้แก่ เพราะข้าคือเมียของเอ็งฮ่าๆๆๆ ฆ่าเมียได้ลงคอเหรอคะ ผัวขา...”
กำนันศรคำราม “เมียโว้ย ไม่ใช่แม่”
ลิ้นจี่ผงะตกใจ กำนันศรเหนี่ยวไกยิงแสกหน้าเปรี้ยง!ทันที
ยอดและสมุนพากันตกใจเสียงปืนที่ดังเปรี้ยงท่ามกลางความเงียบสงัดยามคำคืน
“พี่ยอด เสียงปืน” สมุนคนหนึ่งร้องบอก
สมุนอีกคนแหลมตอบ “เฮ้ย ผัวเมียตีกัน ไม่ต้องไปยุ่ง”
ยอดครุ่นคิด “ข้าว่าไม่ใช่แล้วว่ะ รีบไปดูเร็ว”
จังหวะที่ยอดจะพาสมุนขึ้นเรือน เบิ้มก็วิ่งซมซานมาถึงพอดี
“พี่ยอด พี่ยอด”
“ไอ้เบิ้ม เอ็งหายไปไหนมาวะ แล้วทำไมถึงได้เยินแบบนี้”
“นังลิ้นจี่มันเล่นงานชั้นจ้ะพี่ แรงมันเยอะเป็นบ้าเลย สงสัยต้องถูกผีเข้าแหงๆ”
ยอดเอะใจมองไปบนเรือน “เวรแล้วพ่อกำนัน”
กำนันศรตกตะลึงอ้าปากค้าง เมื่อลิ้นจี่ที่ถูกยิงแสกหน้าจนล้มตึงไป ผุดลุกขึ้นมาอีกครั้ง
“เฮ้ย…นี่เอ็ง”
ลิ้นจี่เช็ดรอยเปื้อนกระสุนที่หน้าผาก หัวเราะหึๆๆ “ไอ้คาถากิ๊กก๊อกของเอ็ง มันทำอะไรข้าไม่ได้หรอกโว้ย ไอ้กำนันศร”
กำนันศรหวดไม้เท้าใส่ลิ้นจี่แต่ลิ้นจี่กลับแย่งไม้เท้าไป ก่อนจะบีบคอกำนันศรแน่น
“ตายซะเถอะมึง
ยอด เบิ้มและพวกพากันขึ้นมาบนเรือนพอดี
“พ่อกำนัน” เบิ้มตวาดใส่ลิ้นจี่ “นังลิ้นจี่ นี่เอ็งบีบคอพ่อกำนันทำไม”
ลิ้นจี่ที่ถูกเชิดสะกดจิตยิงมุก “เปล่า ข้าตรวจชีพจรให้มันอยู่ ฮ่าๆๆ”
กำนันศรฉุน “ไอ้เบิ้ม ข้าจะตายแล้ว รีบจัดการมันเร็ว”
เบิ้มอ้ำอึ้ง “แต่ว่า…นี่เมียพ่อกำนันนะ”
คราวนี้กำนันศรตะโกนก้อง “เออ กูหาใหม่ได้ มึงฆ่ามันเลย”
เบิ้มสั่งลูกกระจ๊อกต่อ “เฮ้ย จัดการ”
พอลิ้นจี่เห็นเบิ้มและสมุนกรูกันเข้ามา ก็เหวี่ยงกำนันศรทิ้งไป หันมาเล่นงานพวกเบิ้มทันที ซึ่งสมุนแต่ละคนโดนซัดโดนเหวี่ยงไปคนละทิศละทาง
เบิ้มของขึ้น “มา! ข้าเอง ย๊าก”
เบิ้มแหกปากบิ้วท์อารมณ์แล้วปรี่เข้าไปชกหน้าลิ้นจี่ แต่ลิ้นจี่ไม่สะเทือนแม้แต่น้อย เบิ้มอ้าปากหวอ ก่อนจะซู๊ดปากด้วยความเจ็บ
ลิ้นจี่คว้าคอเบิ้มจำหน้าได้ “นี่เอ็งอีกแล้วเหรอวะ ไอ้ลูกหมา”
เบิ้มรีบยกมือไหว้ “จ้ะ เบาๆ นะจ๊ะ”
ลิ้นจี่คำรามแล้วจับร่างเบิ้มโยนออกไปนอกหน้าต่าง ยอดเพิ่งตามขึ้นมาเห็นเข้าพอดี
“ไอ้เบิ้ม” ยอดแค้นจัด “นังผีบ้า เอ็งอย่าอยู่เลย”
ลิ้นจี่ย่ามใจ “ขนาดนายเอ็งยังเอาข้าไม่อยู่ แล้วอย่างเอ็งจะทำอะไรข้าได้ไอ้หนู ฮ่าๆๆ”
ยอดแค่นยิ้มก่อนจะหยิบบางสิ่งออกมาจากห่อผ้า นั่นคือมีดอาคม 7 ป่าช้า ที่กำนันศรเคยให้มันนั่นเอง
“มีดเจ็ดป่าช้า” ลิ้นจี่ตกตะลึง
กำนันศรสั่งเหี้ยม “ไอ้ยอด จัดการมัน”
ลิ้นจี่คำรามจะชิงพุ่งเข้าไปเล่นงานยอดก่อน แต่ยอดระวังตัวอยู่รีบชักมีดออกมาจ้วงแทงใส่ ลิ้นจี่คว้ามีดยั้งเอาไว้
ทันทีที่มือของลิ้นจี่สัมผัสถูกมีด ก็ปรากฏไอร้อนพวยพุ่งราวกับโดนไฟลวก ลิ้นจี่กรี๊ดลั่นเสียงร้อยโหยหวนด้วยความเจ็บปวด
เหตุการณ์ที่ห้องรับรองในออฟฟิศบ่อนเสี่ยเล้ง จู่ๆ เชิดผาดำลืมตาโพลง ร้องคำรามด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะทรุดไปกองที่พื้นกุมมือเอง
“เป็นยังไงบ้างนายเชิด ฆ่าไอ้กำนันศรได้รึเปล่า”
“มีคนช่วยมันเอาไว้ ไอ้หมอนั่น มันมีมีดเจ็ดป่าช้า”
“มีดเจ็ดป่าช้า” เสี่ยเล้งพึมพำ
เชิดผาดำคลายมือออก ทุกคนเห็นชัดว่ามือขวาของมันเป็นรอยแดงคล้ายกับโดนนาบด้วยของร้อนๆ
วันต่อมาเสียงเคาะประตูของครูเพิ่ม สักครู่ก็เห็นเก่งงัวเงียมาเปิดประตู
“ปลุกทำไมแต่เช้าครับครู ยังไม่ถึงเวลาเปิดร้านซะหน่อย”
“เมื่อคืนมีคนลอบฆ่ากำนันศร”
คำพูดของครูเพิ่ม ทำเอาเก่งตาสว่างทันที
เวลาเดียวกัน ธัมโมขับรถมาจอดและรีบเดินขึ้นโรงพัก เจอไชโยกับโอฬารที่กำลังหารือกันอยู่พอดี
“ผู้กอง” ไชโยหันมาเห็น
โอฬารทำความเคารพ “อรุณสวัสดิ์ครับผู้กอง”
ธัมโมถามไวๆ “ผู้ต้องหาให้การรึยัง”
ไชโยพูดไม่เต็มปากนัก “เอ่อ...น่าจะยังนะครับ”
ธัมโมฉงน “น่าจะ?”
“สารวัตรดนัยมีคำสั่งห้ามเยี่ยมผู้ต้องหาครับ” โอฬารรายงาน
“และนอกจากสารวัตรแล้ว ห้ามใครพูดจากับผู้ต้องหาเด็ดขาด” ไชโยบอก
ธัมโมมองไปบนโรงพักอย่างสงสัย
หน้าห้องขังบนโรงพักเวลานั้น สารวัตรดนัยกำลังพูดคุยกับลิ้นจี่ตามลำพัง ลิ้นจี่ยังอยู่ในอาการตื่นกลัว
“ฟังผมให้ดีนะคุณลิ้นจี่ ผมจะลงบันทึกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพราะคุณถูกมอมยา และจะให้คนมาประกันตัวคุณออกไป”
“ช..ชั้นไม่ได้ถูกมอมยานะสารวัตร ชั้นโดนของ ไอ้ผู้ชายที่หลังมือมีรอยสัก มันทำของใส่ชั้น” ลิ้นจี่เถียงละล่ำละลัก
ดนัยชี้หน้าพูดจาข่มขู่ “ห้ามพูดถึงเชิดผาดำ กับพวกของเสี่ยเล็งเด็ดขาดไม่อย่างนั้นคุณโดนขังลืมแน่”
ลิ้นจี่หัวหด มีท่าทีกลัวๆ อย่างเห็นได้ชัด “สารวัตร”
“เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด เป็นฝีมือของนางสิงห์ชุดดำ มันเป็นคนสั่งให้คุณฆ่ากำนันศร”
ฟังที่สารวัตรย้ำให้พูด ลิ้นจี่มองหน้าดนัยอย่างตกตะลึง
ตรงห้องโถงบนโรงพัก ธัมโมพอเห็นดนัยสอบปากคำผู้ต้องหาเสร็จก็รีบเข้ามาดักหน้า
“สารวัตร”
“มีอะไร”
“ผมอยากจะสอบปากคำผู้ต้องหา ถ้าสารวัตรไม่ขัดข้อง”
“ไม่จำเป็นหรอกมั้ง เพราะตอนนี้คุณลิ้นจี่สารภาพแล้ว เธอให้การว่าที่คลุ้มคลั่งเมื่อคืน ก็เพราะถูกนางสิงห์ชุดดำวางยา”
“นางสิงห์ชุดดำ? เป็นไปไม่ได้หรอกครับสารวัตร” ธัมโมท้วง รู้ว่าไม่จริง
“แต่มันเป็นไปแล้ว หรือคุณจะว่าผมโกหก” เห็นธัมโมลังเล ก็ยื่นหน้ามาพูดข่ม “ไม่เอาน่าธัมโม รายงานเรื่องของคุณไปถึงมือผู้ใหญ่แล้วนะ เบื้องบนอนุญาตให้ผมสั่งย้ายคุณได้ทันทีถ้าเห็นว่าคุณมีปัญหา”
ธัมโมสบตาดนัย และเห็นอีกฝ่ายยิ้มให้ตนอย่างเย้ยหยัน
ที่ห้องพักคนไข้ในสถานีอนามัย กำนันศรฟื้นขึ้นมา วาสนากับย้งรีบรุดเข้ามาดูอาการข้างเตียง
“พ่อ พ่อรู้สึกตัวแล้ว”
“วาสนา ไอ้ย้ง”
ย้งรีบบอก “พ่อกำนัน น้องวาสนาบอกว่าพ่อกำนันบาดเจ็บมาก ต้องรีบไปรักษาที่ในเมืองนะครับ”
“ไม่ ข้าไม่ไป” กำนันชราบอกด้วยเสียงหนักแน่น
วาสนาคราง “โธ่พ่อ”
กำนันศรนึกขึ้นได้ “วาสนา ไอ้คนที่คิดร้ายกับพ่อ มันต้องหาทางเล่นงานพ่ออีกแน่ถ้าขืนเดินทางตอนนี้ มีหวังต้องกลายเป็นเป้านิ่งให้พวกมัน”
วาสนาท้วง “แต่อาการพ่อหนักมากนะ พ่อต้องรีบรักษา”
กำนันศรยืนกรานคำเดิม “รออีกสักวันสองวันเถอะ พ่อยังทนไหว” ก่อนจะหันมาทางว่าที่ลูกเขย “ไอ้ย้ง”
“ครับพ่อกำนัน”
“ข้ามีเรื่องจะให้เอ็งช่วย” กำนันศรบอก หน้าตาเครียดขรึม
นางสิงห์สะบัดช่อ ตอนที่ 14 (ต่อ)
ยินเสียงตีตีระฆังบอกเวลาดังไปทั่วบริเวณวัดบ้านไม้งามยามนั้น
ย้งกับเถ้าแก่ตงกำลังนั่งพนมมือแต้อยู่ต่อหน้าหลวงพ่อชุ่มในโบสถ์ โดยมีตาคงนั่งรับใช้อยู่ข้าง
“สายสิญจน์ จะเอาสายสิญจน์ไปทำไมวะไอ้ย้ง” หลวงพ่อถาม ตาคงแหลมขึ้นมา แล้วก็ต่อคำหลวงพ่อชุ่มทุกประโยค
“นั่นสิ สายสิญจน์ใหม่ๆ ที่ร้านชำก็มีขาย ทำไมไม่ซื้อวะ” ตาคงว่า
ย้งอธิบาย “คือพ่อกำนันเค้าสั่งมาแบบนี้นี่ลุง เค้าบอกว่าต้องเป็นสายสิญจน์ที่ใช้ทำบุญแล้วด้วยนะ”
“อ้อ ข้าเข้าใจล่ะ จะเอาไปกันภัยว่างั้นเถอะ” หลวงพ่อนึกออกทันที พูดต่อเป็นเชิงประชดแต่เทศนากลายๆ “ฮึ ทีเดือดร้อนละนึกถึงพระถึงเจ้า แล้วไอ้ทีตอนทำบาปทำกรรมน่ะ มันเคยนึกถึงบ้างมั้ย!”
ตาคงแหลมขึ้นมาอีก “ไม่เคย! เห็นพระเป็นหัวหลักหัวตอ!”
“งานบุญไม่เคยทำ ข้าวสักช้อนแกงสักถ้วยยังไม่เคยใส่บาตร”
“เลวมาก พระก็คนนะโว้ย หิวเป็นเหมือนกัน มีความรู้สึกเป็นเหมือนกัน รู้ร้อนรู้หนาว ต้องการความสนใจห่วงใยอาลัยอาวรณ์กันบ้าง”
“เครียดแล้วโว๊ย”
“เพราะมัน”
หลวงพ่อชักเหลืออด “เพราะเอ็งแหละไอ้คง จะใส่ไฟไปถึงไหนวะ ผ้าเหลืองข้าร้อนหมดแล้ว”
ตาคงได้สติไหว้ขอโทษปลกๆ “โทษครับหลวงพ่อ”
“เอ่อ...หลวงพ่อครับ ช่วยชีวิตคนได้กุศลกว่าสร้างเจดีย์นะครับหลวงพ่อ คราวนี้ถือว่าทำบุญเถอะครับ” ย้งว่า
หลวงพ่อชุ่มมองหน้ากันกับตาคงก่อนจะตัดสินใจ
“โปรดสัตว์เป็นหน้าที่ของผู้ทรงศีล เรื่องช่วยน่ะช่วยแน่ แต่ข้ามีคำพูดนึงจะฝากเอ็งไปบอกกำนันศร”
ย้งเดินกลับออกมาจากวัดแล้ว และเหลียวมองกลับไปมองหลังคาโบสถ์อย่างใช้ความคิด
ยินเสียงหลวงพ่อชุ่มก้องในหัว “คนเราต่อให้ยิ่งใหญ่แค่ไหนก็หนีความตาย หนีบาปเคราะห์ไม่เคยพ้นถ้าหากวาระสุดท้ายจะมาเยือนแล้วจริงๆ อาตมาก็อยากให้กำนันศรสำนึกผิดซะบ้าง กรรมเก่าจะได้ไม่ติดตามไปยังภพหน้า”
ย้งนิ่งคิดมองดูม้วนสายสิญจน์ในมือรำพึงออกมา
“ยิ่งใหญ่แค่ไหนก็หนีความตายไม่พ้น เหลือไว้แต่คุณงามความดีที่เคยสร้าง”
ที่ย้งพยักหน้าอย่างเห็นด้วยกับคำเทศนาของหลวงพ่อชุ่ม ไม่ไกลจากจุดที่ย้งยืนอยู่ เป็นกำแพงวัดบริเวณที่ฝังโกศของผู้ใหญ่ทองนั่นเอง
ไชโยกับโอฬารช่วยกันติดประกาศจับที่กระดานข่าวหน้าโรงพัก
ไชโยอ่านเสียงดัง “ประกาศจับนางสิงห์ชุดดำผู้ใดให้เบาะแสมีรางวัลนำจับห้าหมื่นบาท”
“เฮ่อ มันจะได้ผลเหรอจ่า” โฮฬารหนักใจ
“เอ๊า ทำไมล่ะหมู่ ผู้ร้ายกี่ร้ายกี่ร้ายเราก็ติดประกาศแบบนี้”
“แต่รายนี้ไม่เหมือนรายอื่น”
“ไม่เหมือนตรงไหน”
โอฬารมองจ้องที่ประกาศจับนางสิงห์ ซึ่งเป็นภาพเสก็ตช์รูปหน้านางสิงห์ที่สวมหน้ากากอำพรางโฉมหน้าที่แท้จริงแล้วเอ่ยขึ้น
“ก็ตรงที่เราไม่เคยเห็นหน้ามัน เลยไม่รู้ว่ามันเป็นใคร”
“นั่นสิ แล้วใครจะรู้ แล้วใครจะให้เบาะแสเราได้วะ”
เพ็ญพรเดินเข้ามาสมทบ “มีอะไรเหรอหมู่จ่า”
“อ๋อผู้หมวด คือสารวัตรให้เราติดประกาศจับนางสิงห์ครับ” ไชโยบอก
“เที่ยวนี้มีรางวัลนำจับด้วยครับ เห็นว่าเสี่ยเล้งเป็นคนออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด”
เพ็ญพรประชดส่ง “ฮึ เพิ่งมาเอาจริงตอนนี้ มันจะได้ผลเหรอ”
“ได้ไม่ได้ก็ไม่รู้ล่ะครับ แต่เค้าลือกันว่างานนี้สารวัตรดนัยยื่นคำขาดให้ผู้กองธัมโมรับผิดชอบเต็มๆ” ไชโยว่า โอฬารแหลมต่อ “ถ้ามีตุกติกรู้เห็นเป็นใจกับนางสิงห์อีกล่ะก็ โดนย้ายสถานเดียวครับ”
เพ็ญพรนึกหวั่นใจ
ธัมโมกำลังนั่งกุมขมับอย่างใช้ความคิดหนัก
“เฮ่อ ธัมโมเอ๊ยธัมโม ไม่น่าเป็นเพื่อนกับโจรเล๊ยงานนี้เราจะบอกนางสิงห์ว่ายังไงดีวะ เดี๋ยวจับเดี๋ยวดีกันทำไมสถานการณ์มันพลิกผันแบบนี้วะเนี่ย”
ธัมโมยกมือปิดหน้าเหมือนไม่อยากจะคิด ระหว่างนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
ธัมโมไม่สนใจมอง “เข้ามา”
เพ็ญพรเปิดประตูเข้ามา “กลุ้มใจอยู่เหรอคะผู้กอง”
ธัมโมเงยหน้ามอง “ผู้หมวด”
จู่ๆ เพ็ญพรก็เอ่ยขึ้น “ถ้าเป็นเรื่องนางสิงห์ละก็ ลองปรึกษาชั้นได้นะคะ เผื่อว่าจะมีทางช่วย”
ธัมโมมองเพ็ญพรอย่างสนใจ
บ่ายวันนั้น ข่าวการประกาศจับนางสิงห์กระจายไปทั่วหมู่บ้าน เก่งขุ่นเคืองใจหยิบขลุ่ยสัญญาณจะมาเป่าเรียกธัมโม แต่ครูเพิ่มรีบดึงข้อมือไว้
“เดี๋ยว จะทำอะไรไอ้เก่ง”
“ผมจะนัดผู้กองธัมโมออกมาคุยกันครับ จะได้ถามเรื่องคดี”
“ตอนนี้มีคนกำลังจับตานางสิงห์อยู่ ทางที่ดีแกไปพบด้วยตัวเองเถอะ”
เก่งพุ่งทะยานมาชะเง้อมองหาธัมโมที่หน้าโรงพัก ก่อนจะตัดสินใจเดินขึ้นไปแต่แล้วก็เจอกับจ่าไชโยที่เดินออกมาเห็นเข้าพอดี
“เฮ้ย ยอๆๆ จะรีบร้อนไปไหนของเอ็งวะไอ้เก่ง แจ้งความคดีอะไร”
“ผมจะมาหาผู้กองธัมโมครับ”
“ผู้กองธัมโมไม่อยู่ ออกไปแล้ว” ไชโยบอก
“ไปไหนครับ” เก่งสงสัย
“ไม่รู้สิ เห็นไปกับผู้หมวดเพ็ญพร สงสัยไปสืบเรื่องนางสิงห์ละมั้ง”
เก่งนึกเอะใจ “ผู้หมวดเพ็ญพร”
เพ็ญพรขับรถพาธัมโมมาที่บ้านร้างของผู้ใหญ่ทอง
ธัมโมงงๆ อยู่ “คุณพาผมมาที่นี่ทำไมเหรอครับผู้หมวด”
“ปกติผู้กองนัดเจอกับนางสิงห์ที่นี่ไม่ใช่เหรอคะ”
เพ็ญพรพูดจบก็คว้ากระเป๋าสะพายลงจากรถไปธัมโมมองตามด้วยความแปลกใจ
“ความเป็นมาของนางสิงห์เริ่มต้นขึ้นที่บ้านหลังนี้ถ้าผู้กองอยากรู้ก็ตามมาสิคะ แล้วชั้นจะเล่าให้ฟัง”
ว่าแล้วเพ็ญพรก็เดินนำขึ้นบันไดบ้านไป ธัมโมลงจากรถแล้วร้องถามตามหลัง
“คุณรู้เรื่องนางสิงห์ได้ยังไงผู้หมวดผมสืบมาก่อนคุณ ยังไม่เห็นรู้อะไรสักอย่าง”
เพ็ญพรหันกลับมาหาพูด “รู้สิคะ เพียงแต่ว่าผู้กองไม่สังเกต” ยิ้มเป็นนัย “บางเรื่อง ผู้กองอาจรู้มากเกินไปด้วยซ้ำ”
เพ็ญพรหิ้วกระเป๋าเดินเข้าบ้านไป ธัมโมมองตามอย่างนึกหวั่นก่อนจะตัดสินใจเดินตามเข้าไปอีกคน
ทั้งที่เป็นตอนกลางวัน แต่บรรยากาศรายรอบยามนั้นวังเวงเหมือนกำลังเดินเข้าบ้านผีสิง
ภายห้องพักฟื้นคนไข้บนสถานีอนามัย กำนันศรยื่นสายสิญจน์ที่ได้จากย้งไปส่งให้ยอด
“ไอ้ยอด เอ็งเอาสายสิญจน์นี่ไปแจกทุกคนให้พวกมันผูกข้อมือเอาไว้ ห้ามถอดเด็ดขาด”
“ครับพ่อกำนัน”
ยอดรีบถือสายสิญจน์ปลีกตัวไป กำนันศรจึงหันมาคุยกับย้งและวาสนา
“ขอบใจเอ็งมากนะไอ้ย้ง นี่ถ้าไม่ได้เอ็งหลวงพ่อคงไม่ใจดีกับข้าเออจริงสิ…แล้วท่านถามอะไรรึเปล่า”
ยอดลังเลจะพูดก็เกรงใจว่าที่พ่อตา แต่ก็ตัดสินใจบอก “หลวงพ่อฝากคำพูดมาบอกพ่อกำนันด้วยครับ”
“ท่านว่ายังไง”
ย้งมองวาสนาอย่างเกรงใจ “เอ่อท่านว่า คนเราต่อให้ใหญ่แค่ไหนก็หนีความตายไม่พ้น ท่านอยากให้พ่อกำนันสำนึกผิดจะได้ไม่มีกรรมติดตัวไปชาติหน้า”
วาสนาอึ้งไป ขณะที่กำนันศรแค่นหัวเราะออกมา พูดประชดตัวเอง
“ฮึ พูดแบบนี้สงสัยข้าคงถึงฆาตแล้วล่ะมั้ง”
วาสนาตกใจ “ไม่จริงหรอกพ่อ พ่อต้องไม่เป็นอะไรนะ ชั้นไม่ยอมให้ใครทำร้ายพ่อเด็ดขาด”
กำนันศรพูดเหมือนปลงๆ “เจ้ากรรมนายเวรของพ่อมันเยอะวาสนา ไม่ช้าก็เร็วคงต้องมีวันนี้จนได้” หันมาหาย้ง “ไอ้ย้ง ถ้าเกิดอะไรขึ้น เอ็งต้องดูแลลูกข้าให้ดีนะอย่าเหลวไหลเด็ดขาด”
ย้งรับปากแข็งขัน “จ้ะพ่อกำนัน ชั้นรับรองจ้ะ”
ขณะที่วาสนากำลังกังวลอยู่นั้น เบิ้มก็โผล่มา
“คุณวาสนา มีคนมาขอพบครับ”
วาสนากำลังคุยกับเก่งอยู่ในห้องตรวจโรค
“ผู้หมวดเพ็ญพร? ก็เข้าเวรอยู่ไม่ใช่เหรอ” วาสนางง
เก่งอึ้งซักกลับ “ไม่ได้กลับมาที่นี่เหรอครับ”
วาสนาส่ายหน้า
“นี่เอ็งจะหาผู้หมวดไปทำไมวะไอ้เก่ง” ย้งนึกสงสัย
“ก็ข้าได้ยินว่าผู้หมวดเค้าอยู่กับผู้กอง ข้าก็เลย…”
วาสนาคิดว่าเป็นเรื่องหวงหึงเชิงชู้สาว ก็ยิ้มขำ “โธ่เอ๊ย นึกว่าอะไร ที่แท้ก็หวงผู้กองนี่เอง รักกันจริงนะคู่เนี้ย”
เก่งปฏิเสธ “ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับคุณวาสนา พอดีผมมีธุระด่วนจะคุยกับผู้กอง”
ย้งพูดสวนออกมา แถมมองจับกิริยาเพื่อนเลิฟ พูดแหย่ “ธุระด่วน อ๋อ จะแต่งงานกัน หรือว่าเอ็งท้องวะไอ้เก่ง”
“ไอ้บ้า” เก่งด่าเอา
วาสนายิ้มขำก่อนจะชะงักไปเมื่อมองไป “เอ๊ะ”
เก่งมองตาม “มีอะไรเหรอครับ”
วาสนาเดินไปดูที่ตู้ยาตรงหน้า “ยาในตู้หายไป ต้องมีคนหยิบไปแน่ๆ”
ย้งแปลกใจ “แน่ใจเหรอ”
“ชั้นเพิ่งจัดตู้เมื่อเช้า ชั้นจำได้” วาสนามั่นใจ นิ่งคิด “รู้สึกว่าจะเป็นยา…ยานอนหลับ”
ยอดกับเบิ้มกำลังแจกสายสิญจน์ที่ตัดแล้วให้พวกสมุนผูกข้อมือ ระหว่างนั้นวาสนาก็เดินนำย้งกับเก่งเข้ามาถาม
“นายยอด วันนี้มีใครเข้าไปในห้องตรวจโรครึเปล่า” วาสนาถาม
“ไม่นี่ครับ นอกจากผมกับไอ้เบิ้มแล้ว กำนันสั่งห้ามคนอื่นขึ้นไปยุ่มย่ามข้างบน
“ไม่มีคนอื่นแน่นะ” เก่งคาดคั้น
ยอดคิดสักครู่ “ก็มีผู้หมวดเพ็ญพรอีกคนครับ เมื่อช่วงสายเธอกลับมาเอาของผมนึกว่าคุณวาสนาเห็นแล้วซะอีก”
วาสนากับย้งมองมาที่เก่ง ในเวลานั้นเก่งเริ่มมั่นใจว่าต้องมีเหตุร้ายเกิดขึ้นกับธัมโมแน่นอน
เก่งสะพายเป้ใส่ชุดนางสิงห์กำลังสตาร์ทรถมอเตอร์ไซด์อย่างเร่งรีบ ครูเพิ่มรีบตามออกมาดู
“จะรีบไปไหนอีกวะไอ้เก่ง แล้วนี่เอ็งเจอผู้กองธัมโมรึยัง”
“เกิดเรื่องแล้วล่ะครู มากับชั้นเถอะ”
ครูเพิ่มอึ้งไป
ด้านเพ็ญพรรินน้ำหวานจากกระติกใส่แก้วที่เตรียมมาแล้วยื่นให้ธัมโม สองคนอยู่ในห้องนั่งเล่นแล้ว
“น้ำหวานค่ะ ชั้นชอบดื่มตอนอากาศร้อนๆ ผู้กองชิมหน่อยสิคะ”
ธัมโมไม่อยากดื่มแต่เกรงใจ “ขอบคุณครับ”
“เรื่องที่มาของนางสิงห์ความจริงชั้นรู้มานานแล้ว แต่ก็ไม่ได้เล่าให้ใครฟัง เพราะไม่คิดว่าจะมีผลต่อรูปคดี”
ธัมโมตื่นเต้น “ผู้หมวดทราบเหรอครับ ว่านางสิงห์เป็นใคร”
“แน่นอนค่ะ นางสิงห์ชุดดำเป็นเด็กกำพร้าที่เติบโตมาในบ้านหลังนี้เธอกับคุณบัวลูกสาวของผู้ใหญ่ทองสนิทกันมาก มากจนตายแทนกันได้ และมากจนไม่ยอมให้มีใครมาแทนที่”
เพ็ญพรทิ้งจังหวะนิดนึง แล้วมองไปที่แก้วน้ำหวานในมือของธัมโมเป็นเชิงเตือน
“เดี๋ยวจะหายเย็นนะคะ”
“อ๋อครับ”
ธัมโมดื่มน้ำหวานของเพ็ญพรเข้าไป แล้วชะงักกึก...รู้สึกได้ว่ารสชาติของมันเฝื่อนๆพิกล
เก่งควบรถบึ่งทะยานไปอย่างรวดเร็วโดยมีครูเพิ่มซ้อนท้ายมาด้วย
ครูเพิ่มสงสัยเต็มแก่ “นี่เอ็งจะไปหาผู้กองที่ไหนวะไอ้เก่ง”
เก่งหันมาหา “เดาไม่ยากหรอกครู ถ้าคุณบัวมีแผนร้ายจริงๆก็คงต้องหาที่ลับตาคนเพื่อลงมือแน่”
เก่งหันกลับมาเร่งเครื่องมอเตอร์ไซค์พึมพำกับตัวเอง
“อย่าทำอะไรบ้าๆ อีกนะคุณบัว คราวนี้ชั้นไม่ยอมจริงๆ ด้วย”
ภายในห้องนั่งเล่นบ้านผู้ใหญ่ทองตอนนั้น เพ็ญพรเดินไปรอบๆห้อง ขณะเล่าเรื่องให้ฟัง ธัมโมมองตามแล้วชักรู้สึกตาลาย
“นางสิงห์หรือเด็กที่ชื่อแก้ว กับลูกสาวของผู้ใหญ่ทอง หายสาบสูญไปตอนที่บ้านผู้ใหญ่ทองถูกปล้น ซึ่งความจริงแล้วคนที่ลงมือก็คือกำนันศร มันจงใจสร้างสถานการณ์ขึ้นเพื่อเก็บผู้ใหญ่ทอง”
“ตอนนี้ลูกสาวของผู้ใหญ่ทองอยู่ที่ไหนเหรอครับ แล้วเธอมีส่วนรู้เห็นกับนางสิงห์ด้วยรึเปล่า”
เพ็ญพรยิ้มเย็นยะเยือก ยื่นหน้ามาใกล้ๆ “คุณลองทายดูสิคะผู้กอง ว่าคุณบัวลูกสาวของผู้ใหญ่ทองอยู่แถวนี้รึเปล่า”
สายตาธัมโมที่จ้องหน้าเพ็ญพร เริ่มพร่าเลือนมากขึ้นจนในที่สุดธัมโมก็ล้มฟุบลงไปกับโซฟาอย่างสิ้นเรี่ยวแรง เพ็ญพรยิ้มร้ายภายใต้ใบหน้าสวยเยือกเย็น พลางย่อตัวลงริบปืนพกของธัมโมออกมา
“พักผ่อนให้สบายนะคะผู้กอง คดีนางสิงห์ชั้นจะรับผิดชอบเองส่วนคุณ…”
เพ็ญพรยกปืนเล็งที่หน้าธัมโม แล้วง้างนกปืนเสียงดังแกร๊ก
นางสิงห์กระโจนเข้ามาในบ้าน ก่อนจะชักพลองศอกฟาดปืนหลุดจากมือของเพ็ญพร
“แก้ว”
เก่งในคราบนางสิงห์ควงพลองก่อนจะเก็บเข้าที่อย่างคล่องแคล่ว “นี่มันเกินไปแล้วนะ ผู้กองธัมโมเป็นตำรวจ เค้าเป็นพวกเดียวกับคุณ คุณจะฆ่าเค้าทำไม”
“เค้าได้รับคำสั่งให้จับเธอนะแก้ว ชั้นต้องปกป้องเธอ” เพ็ญพรอ้าง
เก่งเถียงออกไปอย่างมีอารมณ์ “ไม่จริง ถ้าเป็นแบบนั้น คุณบัวต้องฆ่าสารวัตรดนัยเป็นคนแรกแต่นี่คุณบัวทำเพราะเหตุผลอื่น คุณบัวจงใจฆ่าผู้กองธัมโม”
เพ็ญพรนิ่งฟังด้วยความสะเทือนใจอยู่สักพัก “แล้วไง…ทำไมชั้นจะฆ่ามันไม่ได้ ในเมื่อมันพยายามจะแย่งเธอไปจากชั้น”
เก่งอึ้ง “คุณบัว”
“ระหว่างเรา ไม่เคยมีคนอื่น นอกจากเธอแล้ว ชั้นไม่เคยมีใครตอนที่เราพลัดพรากกัน ชั้นต้องใช้ชีวิตอยู่ในบ้านเด็กกำพร้าชั้นไม่มีเพื่อน ไม่มีคนรู้จัก เด็กคนอื่นเห็นชั้นอ่อนแอก็รุมแกล้งชั้นทำกับชั้นเหมือนเป็นสัตว์เลี้ยงของพวกมัน” พูดถึงตอนนี้เพ็ญพรร้องไห้ออกมาด้วยความขมขื่น “ชั้นคิดถึงเธอนะแก้ว มีแต่เธอคนเดียวที่ยอมเสียสละเพื่อชั้นมีแต่เธอที่คอยปกป้องชั้น”
เก่งอึ้งไป ขณะที่เพ็ญพรสืบเท้าเดินเข้ามาหา
“ตอนนี้เสี่ยเล้งแตกคอกับกำนันศรแล้ว อีกไม่นานกำนันศรต้องตายแน่งานของเราเสร็จสิ้นแล้วล่ะแก้ว” คว้ามือ “พวกเราไปจากที่นี่กันเถอะ ไปใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน เหมือนตอนที่เรายังเด็ก ไปที่ที่ไม่มีคนอื่น”
นางสิงห์ร้องไห้จนน้ำตาซึมออกมา ตัดสินใจปลดหน้ากากออกเพื่อพูดกับเพ็ญพรด้วยความสงสาร “คุณบัว คุณบัวของแก้ว…แก้วรักคุณบัวยิ่งกว่าชีวิตของตัวเอง รักคุณบัวเหมือนเป็นพี่น้องแท้ๆ แต่ว่าแก้ว…แก้วไปกับคุณบัวไม่ได้”
เพ็ญพรอึ้งไปสายตาเต็มไปด้วยความผิดหวัง
ธัมโมฟื้นตื่น แต่อยู่ในอาการสะลึมสะลือ และเห็นเพ็ญพรที่โต้เถียงกับนางสิงห์อยู่
ธัมโมเห็นใบหน้านางสิงห์ที่ปราศจากหน้ากาก จากทางด้านหลังเพียงเสี้ยวหนึ่ง
“ครูเพิ่มเคยบอกไว้ ว่าอุดมการณ์ของพ่อผู้ใหญ่ คือทำให้บ้านเมืองอยู่เย็นเป็นสุข ไม่ใช่การทำลายล้าง ถ้าชั้นอยากฆ่ากำนันศร ชั้นคงฆ่ามันไปนานแล้ว ชั้นต้องอยู่ที่นี่เพื่อปกป้องชาวบ้านไม้งาม” นางสิงห์บอก
“เธอโกหก เธออยากอยู่ที่นี่เพราะเธอรักไอ้ธัมโมต่างหาก มันแย่งเธอไปจากชั้น ชั้นจะฆ่ามัน”
เพ็ญพรผลักเก่งออกไปแล้วหันไปคว้าปืน ก่อนจะหันมาเล็งใส่ธัมโม แต่แล้วเก่งก็ปราดออกมาขวาง
“หลีกไป”
“ไม่”
“ชั้นบอกให้หลีก” เพ็ญพรขึ้นเสียง
แทนคำตอบเก่งหลับตาลง แล้วรอให้เพ็ญพรยิงใส่เธอ
เพ็ญพรมือไม้สั่น เมื่อมองหน้าเก่งก็เห็นแต่ชีวิตวัยเด็กที่เคยรักเคยผูกพัน เห็นแต่วันที่เก่งคอยปกป้องเธอด้วยชีวิต
“แก้วรักผู้ชายคนนี้ ถ้าคุณบัวจะฆ่าเค้า…ก็ข้ามศพแก้วไปเถอะ” เก่งบอกอย่างมั่นใจ
เพ็ญพรรับไม่ได้กรีดร้องเสียงโหยหวน “ไม่ ม๊าย.....”
เพ็ญพรลั่นไกสาดกระสุนไปซัดพื้นตรงหน้าเก่งจนพรุน ก่อนจะปาปืนทิ้งก่อนจะวิ่งออกไปจากบ้านอย่างเสียสติ
ครูเพิ่มชะเง้อรออยู่หน้าบ้านด้วยความวิตก ก่อนจะเห็นเพ็ญพรวิ่งร้องไห้ออกมา
“คุณบัว คุณบัว”
เพ็ญพรวิ่งจากไป ครูเพิ่มได้แต่สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นในบ้าน
นางสิงห์ทรุดเข่าลงร้องไห้หลั่งน้ำตาออกมาด้วยความเสียใจ
“คุณบัว แก้วขอโทษ แก้วขอโทษ”
นางสิงห์ร้องไห้อยู่ท่ามกลางเงามืดสลัวในบ้าน ขณะที่ธัมโมก็ค่อยๆ ปิดเปลือกตาลงหมดสติไปอีกครั้ง