ตอนที่ 14 ได้มีการเพิ่มเติมเพื่อความสมบูรณ์ตรงตามบทโทรทัศน์ทางช่อง 7 สี ตัวหนังสือสีแดงคือเรื่องราวที่เพิ่มเติมใหม่
มาหยารัศมี ตอนที่ 14
ตากล่ำ กับละเอียด เดินคุยกันมาตามทางในวัด
“ทำไมคนบ้านนั้นมันวุ่นวายอย่างนี้วะละเอียด?” กล่ำว่า
“นั่นน่ะสิขนาดยังไม่เป็นเขยนะเนี่ย ถ้าเป็นเขยแล้ว ชีวิตคุณชายอยู่ไม่สุขแน่” ละเอียดเหนื่อยใจแทนนาย
ระหว่างนั้นเจ๊กอไก่ที่จะมาทำบุญ เห็นสองคน จำได้ว่าอยู่ในวังศิลาลายของคุณชายธิติรัตน์ จึงแอบย่องมาข้างหลัง ได้ยินที่กล่ำกับละเอียดคุยกัน
“ฮั่นแน่!!มาวัดเค้าห้ามนินทากันนะคร้า”
สองคนสะดุ้ง ร้องพร้อมกัน “ว้ายผี!”
“ผีที่ไหนจะหน้าตาดีขนาดนี้คะตากล่ำ ป้าละเอียดมากันสองคนเหรอคะเนี่ย?”
“คุณชายมาด้วยค่ะ แต่กลับไปก่อนเพราะคุณมาหยารัศมีหนีออกจากบ้าน” ละเอียดบอก
เจ๊กอไก่พูดเสียงดัง “ยัยสวยไม่เสร็จ อุ๊ปส์! คุณมาหยารัศมีหนีออกจากบ้าน”
“ครับ” / “ค่ะ” สองคนยืนยัน
“โอ๊ย!!ไม่ต้องห่วงหรอก หน้าตาอย่างนั้น หนีไปไหนก็ปลอดภัย ไม่มีใครเอาไปทำอะไรหรอก”
“แต่คุณจันทราน่ะสิคะไม่ยอม โทร.มาบอกให้คุณชายรีบไปตาม”
เจ๊กอไก่ยกมือกุมขมับ “งั้นสนุกล่ะ” เอาเครื่องสังฆทานที่จะมาทำบุญยื่นให้กล่ำกับละเอียด
สองคนงง “อะไรครับ” / “อะไรคะ”
“ฝากทำบุญด้วยนะคะ หนูจะไปทำบาป”
เจ๊กอไก่พูดแค่นั้นก็รีบวิ่งแจ้นออกไป ละเอียดกับกล่ำได้แต่มองของในมือ ยินเสียงเจ๊กอไก่บ่นดังมา
“หน็อยแน่ะ! ยังกับไม่รู้ว่าจะทำอะไรกัน? เจ้าเล่ห์ขนาดนั้น ต้องเจอเจ๊กอไก่!”
ธิติรัตน์มาถึงบ้านเมินแล้วถามจันทราที่แกล้งทำท่าทางตกใจ อกสั่นขวัญหายอยู่
“คุณชายขา..มาหยารัศมี...มาหยารัศมี โอ๊ย...ดิฉันจะเป็นลม”
จันทราแกล้งเซทำท่าจะเป็นลม แต่ไม่ได้นัดคิวกันไว้ แป้นรับแทบไม่ทัน
“มีเรื่องอะไรกันครับ ทำไมเธอถึงได้หนีออกจากบ้าน?”
จันทราสะอึกสะอื้น “ก็....ก็” ทำท่าจะเป็นลมขาดใจ “แป้น...เอายาดมมา”
“ค่ะๆๆๆ” แป้นรีบเอายาดมมาให้
ระหว่างนั้นเดือนแรมเดินผ่านมาได้ยิน จึงเดินเข้ามา และได้ยินที่ธิติรัตน์กำลังถาม
“ว่ายังไงกันครับ มีเรื่องอะไร?”
จันทราสูดยาดม “ก็...หนูมาหยารู้สึกเป็นตัวปัญหา ระหว่างคุณชายกับแรม..หนูมาหยา...จึง...ตัดสินใจ เสียสละ...” จันทราออกท่าเหมือนจะขาดใจ “ด้วยการ...ด้วยการ...จากไปค่ะ...”
เดือนแรมหน้าซีดเผือด นักแสดงสมทบดีเด่นหญิงชื่อแป้นแกล้งบีบน้ำตาร้องไห้ผสมโรง
“โถ! คุณมาหยาผู้น่าสงสาร คุณมาหยาผู้เสียสละไม่น่าเลย...”
จันทราจับมือคุณชาย “คุณชาย ต้องไปตามมาหยากลับมาให้ได้นะคะ...แล้ว คุณชายต้องบอกกับเธอ ว่าคุณชายไม่ได้มีอะไรกับแรม..คุณชายพร้อมจะแต่งงานกับมาหยารัศมี เจ้าสาวของคุณชาย”
ธิติรัตน์ปวดหัว มึนตึ๊บ “แล้วคุณมาหยาหนีไปไหนครับ? คุณจันทรา จะให้ผมไปตามเธอยังไง?”
“ก็...”
“ผมว่าแจ้งตำรวจดีกว่า” ธิติรัตน์ออกไอเดีย
จันทราตกใจ กลัวแผนแตก “ไม่ๆๆไม่ได้นะคะ เราทำอย่างนั้นไม่ได้ คุณชายจะเสีย หนูมาหยาก็จะเสีย แรมก็จะเสีย ดิฉันว่าเป็นเรื่องภายในครอบครัว คุณชายรีบไปตามดีกว่าค่ะ ไม่งั้น ถ้าหนูมาหยาเป็นอะไรไป คุณชายต้องรับผิดชอบ”
จู่ๆ เพ็ญประกายเดินเข้ามาตามบทที่แม่เขียนให้เล่น “ไม่ต้องรับผิดชอบหรอกค่ะ มาหยาอยู่ที่นี่”
“คุณมาหยารัศมี”
จันทราครางครวญแกล้งตกใจ “ลูกมาหยา!!”
“ถึงมาหยาจะหนีไปไหน คุณชายก็ไม่ต้องตาม...เพราะคุณชายไม่ได้สนใจมาหยา ไปอยู่กับแรมให้พอใจเถอะค่ะ เราจบกันแค่นี้”
พูดจบเพ็ญประกายก็วิ่งออกไปทันควัน
จันทรารีบบอก “คุณชาย..ตามหนูมาหยาไปสิคะ..เร็ว...”
ธิติรัตน์ตามไปแบบงงๆ จันทรายิ้ม ก่อนหันมาด่าโยนความผิดให้เดือนแรม
เพราะแกคนเดียว ที่เป็นต้นเหตุ แกจะไปตายไหนก็ไปเลย ไป๊”
เดือนแรมหน้าสลด ตกใจมาก วิ่งตามธิติรัตน์ออกไป จันทราหัวเราะพอใจที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผน ก่อนเดินออกไปแกล้วร้องโวยวายเสียงดังมาก
“คุณชายจะพามาหยาหนีไปไหนคะ? อย่าค่ะคุณชายอย่า!!”
เวลาเดียวกันมะลิอยู่กับพิม สองคนนั่งงงตกใจกันอยู่เรื่องเจิมจับชุติมาไปขังไว้ที่บ้านต่างจังหวัด
“นี่ฉันยังไม่เข้าใจเลย จันทราเป็นบ้าอะไร ถึงได้ให้พี่ชาย จับตัวชุติมาไป”
“นั่นน่ะสิคะ พิมก็ไม่เข้าใจ หรือคุณจันทรา ต้องการปกปิดความจริงบางอย่าง”
“อะไร?” มะลิสงสัย
พิมลดเสียงพูดเบาลง “ก็ที่ว่าคุณชุติมาแท้จริงแล้วคือลูกของเธอน่ะสิคะ”
“ความลับไม่มีในโลกหรอก คอยดูเถ๊อะ นายเมินกลับมาเมื่อไหร่ ฉันจะลากตัวชุติมา บอกพร้อมกันต่อหน้าทั้งจันทรา ทั้งนายเมินเลย ดูซิแม่จันทราจะว่ายังไง?”
ระหว่างนั้นเสียงเอะอะโวยวายจันทราดังลอดเข้ามา
พิมจำได้ “เสียงคุณจันทรา”
โวยวายอะไรอีก ไปดูเร็วพิม”
สองคนรีบเดินออกไปดู
มะลิกับพิม เดินออกมา ตรงเข้าไปหาจันทราที่ยืนโวยวายอยู่ มะลิถามขึ้นทันที
“เอะอะเสียงดังโวยวายอะไรกันแม่จันทรา?”
“คุณชายค่ะ คุณชายมาฉุดยัยเพ็ญไป”
“อะไรนะ...คุณชายน่ะเหรอมาฉุดยัยเพ็ญ”
มะลิมองหน้าพิมสองคนไม่เชื่อ สมทบหญิงแป้นรีบเสริม
“ใช่ค่ะคุณชายมาฉุดกระชากลากถูคุณเพ็ญ...ยังกับในละครเลยล่ะค่ะคุณนาย”
มะลิกับพิมมองหน้ากัน งงจริงอะไรจริง
เพ็ญประกายวิ่งออกมา สีหน้าเต็มไปด้วยความสับสน คิดอยู่ในใจ
“เอาไงดีเพ็ญ? เอาไงดี?”
พอเพ็ญประกายเหลียวมองไปด้านหลัง เห็นธิติรัตน์จับมือเดือนแรมวิ่งตามมา เพ็ญประกายเห็นภาพนั้นชัดเจน ยิ่งสะท้อนใจ จนน้ำตาไหลอาบแก้ม
“คุณชาย แรม!!”
“อย่าไปครับคุณเพ็ญ” ธิติรัตน์ตะโกนเรียก
เดือนแรมสะบัดมือคุณชายออก ตะโกนเรียกไว้ “อย่าไปไหนนะคะพี่เพ็ญ”
เพ็ญประกายมองหน้าสองคนสายตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
“เพ็ญอยากอยู่คนเดียวซักพัก กรุณาให้เพ็ญไปเถอะค่ะ”
“คุณเพ็ญจะไปไหน?”
“อยู่กับเพื่อนสนิทค่ะ ไม่ต้องห่วง แล้วก็ไม่ต้องตาม” เพ็ญประกายวิ่งออกไปเร็วรี่
ธิติรัตน์กับเดือนแรมมองหน้ากัน เดือนแรมรีบบอก
“พี่เพ็ญกำลังน้อยใจ รีบตามไปเถอะค่ะคุณชาย”
ธิติรัตน์พยักหน้า วิ่งตามไปพร้อมกับเดือนแรม
เพ็ญประกายวิ่งร้องไห้ออกมานอกรั้วบ้านแล้ว ศรัณย์ขับรถมาจอดเทียบแล้วรีบวิ่งลงมาท่าทางห่วงใยและตื่นตระหนก
“คุณเพ็ญ”
เพ็ญประกายหน้าตาตื่น “คุณศรัณย์”
“อย่าหนีไปไหนนะครับคุณเพ็ญ”
“เพ็ญไม่อยากอยู่ที่นี่”
เพ็ญประกายเหลียวมองไปข้างหลัง เห็นธิติรัตน์กับเดือนแรมวิ่งตามมา เพ็ญประกายตัดสินใจเด็ดขาด
“ช่วยพาเพ็ญไปจากที่นี่ก่อนนะคะ”
ศรัณย์ลังเล และสับสน มองธิติรัตน์ที มองเพ็ญประกายที เพ็ญประกายจับมือศรัณย์เป็นเชิงอ้อนวอน
“ได้โปรดพาเพ็ญไปจากที่นี่เถอะค่ะ”
ศรัณย์ตัดสินใจพาเพ็ญประกายขึ้นรถแล้วขับออกไปทันที ธิติรัตน์วิ่งออกมากับเดือนแรมไม่เห็นเพ็ญประกายแล้ว
“คุณเพ็ญไปแล้ว...เพื่อนสนิทคุณเพ็ญคือใคร อยู่ที่ไหน แรมรู้มั้ย?” ธิติรัตน์หันมาถาม
“รู้ค่ะ หมอก้อย อัญชลีพร บ้านอยู่แถวสุวินทวงศ์” เดือนแรมจำแม่น
“งั้นเราไปกัน”
สองคนไม่รู้ว่าที่ด้านหลัง เจ๊กอไก่ลงจากแท็กซี่ ทันเห็นเดือนแรมขึ้นรถไปกับคุณชายพอดี
“แรมน้อแรม...รู้ว่าเค้าเกลียด ยังอุตส่าห์เป็นห่วงไปตามเค้าอีก”
ธิติรัตน์ขับรถมากับเดือนแรม ขับรถวนหาบ้านเพื่อนเพ็ญประกายตามที่เดือนแรมบอก หาอยู่นานแล้วแต่ก็ไม่เจอ
“ขอโทษนะคะคุณชาย แรมเคยมากับพี่เพ็ญนานมาก แถวนี้เปลี่ยนไปเยอะ แรมจำไม่ได้ โทรฯหาพี่เพ็ญ พี่เพ็ญก็ไม่รับสาย”
“ไม่เป็นไร เราค่อยๆ หาไปก็ได้”
ธิติรัตน์บอกแต่แล้วจู่ๆ รถมีอาการกระตุกและดับลง สองคนมองหน้ากันก่อนที่
ธิติรัตน์จะลงมาดูรถ เดือนแรมมองใจเสีย ในขณะที่พระอาทิตย์คล้อยต่ำลงไปทุกที
พระอาทิตย์กำลังจะตกดินแล้ว แม้นเทพจอดรถถามชาวบ้าน
“ป้าพอจะรู้จักบ้านของคุณนายจันทราบ้างหรือเปล่าครับ?”
“จันทรา ที่ได้ผัวรวยๆ พี่สาวของไอ้เจิมใช่มั้ย?”
“ใช่ครับใช่”
“อยู่ไม่ไกลหรอก ตรงไปนี่ เลี้ยวซ้ายหลังที่สาม” ป้าบอก
“ขอบคุณครับป้า ขอบคุณ”
แม้นเทพดีใจมาก รีบขึ้นรถขับไปอย่างรวดเร็ว
เย็นนั้น ชุติมานั่งหมดอาลัยตายอยากอยู่ในบ้าน ปากบ่นไม่หยุด
“โอ๊ย! แล้วถ้ายัยเพ็ญไม่ได้แต่งงานกับคุณชาย ฉันไม่ต้องนอนตายอยู่นี่หรอกเหรอ? แม่นะแม่ ทำไม ทำกันได้ขนาดนี้?”
ที่บริเวณด้านนอก แม้นเทพขับรถมาจอดในมุมลับตา มองไป เห็นเจิมเดินเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง มั่นใจว่าใช่แน่ แม้นเทพรีบฉากหลบรอจังหวะ
เจิมเดินเข้ามาในบ้านถามชุติมา
“จะกินอะไร?”
“พิซซ่า สปาเก็ตตี้ สเต็ก” ชุติมาบอกกวนๆ
เจิมฉุนกึก “นังบ้า แถวนี้จะมีที่ไหน พิซซ่า สปาเก็ตตี้ สเต็กน่ะ”
“ก็โทร.สั่งสิ”
“เงินไม่มี” เจิมบอก
“ก็รู้ว่าเงินไม่มี จะถามทำไม สุดท้ายลุงก็ซื้อบะหมี่มาต้มให้ฉันกินอยู่ดี”
“เออ...รอให้ได้เงินจากแม่แกก่อน อยากกินอะไรลุงจะเลี้ยงเอง แหม! ถามแค่นี้พูดซะปากยืดปากยาว เดี๋ยวมา!”
เจิมล็อกลูกบิดประตูแล้วเดินออกไป ชุติมาทำหน้าเซ็งชีวิต
แม้นเทพอดทนรอ และเพ่งมองประตูบ้านอยู่เห็นเจิมเดินออกไปพ้นบ้านแล้ว แม้นเทพค่อยๆ ย่องมา ขณะที่พระอาทิตย์ลับฟ้าพอดิบพอดี
แม้นเทพมองซ้ายแลขวา แน่ใจว่าไม่มีใครมาเห็น แม้นเทพก็เปิดประตู เสียงประตูดังแกร๊กชุติมาสะดุ้ง นั่งตัวแข็ง
ชุติมาพูดเสียงเบาๆ “มีคนมา อย่าบอกนะว่าเพื่อนลุง!”
ชุติมามองรอบตัวเพื่อหาอาวุธ เห็นไม้กวาดอยู่ใกล้ก็คว้ามาถือเป็นอาวุธ
แม้นเทพ ชักปืนออกมา แล้วคิดในใจ “อย่าเลย เดี๋ยวชาวบ้านจะแตกตื่น”
แม้นเทพกวาดตามอง แล้วก็เห็นราวตากผ้า ที่ทำจากลวด นายทหารยศร้อยโทหยิบมาหักออกให้เป็นเส้นตรง แล้วสะเดาะลูกบิด ชุติมายืนตัวแข็งมองไปที่ประตูไม่กระพริบตาคิดในใจ
“มีแต่คนเลวๆ ทั้งนั้น ทำอะไรฉันล่ะ จะฟาดให้หัวแบะเลย”
ชุติมาเงื้อไม้กวาดรอแล้ว ขณะที่แม้นเทพสะเดาะลูกบิด เปิดเข้ามา ส่งเสียงเรียก
“ชุ!!”
เสียงเรียกนี้ชุติมาคุ้นหูนัก “พี่ต้อม”
“พี่มาช่วยแล้ว”
แม้นเทพตรงเข้ามาหา ใช้วิชาทหารที่เรียนมาสะเดาะกุญแจที่ล่ามโซ่เอาไว้
ทันทีที่เป็นอิสระชุติมาผวาตัวโผเข้ากอดแม้นเทพด้วยความดีใจ
“ขอบคุณพี่ต้อมค่ะ ขอบคุณจริงๆ”
แม้นเทพยิ้มให้อย่างอ่อนโยนพลางพูดเย้า “หน้าสิ่วหน้าขวาน ยังฉวยโอกาสกับพี่นะเรา”
ชุติมาเขินสุดขีด “พี่ต้อมบ้า”
“ไป”
แม้นเทพคว้ามือชุติมาพาออกไป ชุติมายิ้มแก้มแตก สุดจะปลื้ม
เวลาต่อมาแม้นเทพพาชุติมาขึ้นรถชุติมายิ้มดีใจมาก
“ชุรอดแล้ว ขอบคุณอีกครั้งนะพี่ต้อม”
“ทุกคนเป็นห่วงชุมากนะ โดยเฉพาะแม่พี่” แม้นเทพบอก
สายตาชุติมาฉายชัดบ่งบอกว่าดีใจอย่างที่สุด
ค่ำนั้นมะลิเดินวนไปเวียนมาอยู่ในบ้านบ่นกับพิม
“เธอเชื่อมั้ยพิม ชีวิตฉันไม่เคยอยู่สงบซักวันตั้งแต่รู้จักแม่จันทรา”
“เชื่อค่ะ และก็เชื่อว่า คุณเมินต้องรู้สึกอย่างคุณแน่ๆ ถึงได้ลี้หนีหน้าไปอย่างนี้”
เสียงโทรศัพท์ดัง มะลิมอง “ใครโทร.มา” มะลิเห็นชื่อแล้วกดรับ “ว่าไงต้อม?”
ข้างทาง แม้นเทพขับรถอยู่นั่งมากับชุติมา แม้นเทพบอก
“ผมช่วยชุติมาได้แล้วนะครับแม่”
“งั้นรีบกลับมาเลยลูก ตอนนี้แม่กำลังปวดหัว”
“มีเรื่องอะไรอีกเหรอครับ?”
“แม่จันทรามาโวยวาย บอกว่าคุณชายมาฉุดแม่เพ็ญ”
“คุณชายน่ะเหรอครับฉุดเพ็ญ?”
ชุติมา มึนงง ตกใจ และสงสัย
มะลิวางสายลูกชาย หันมาพูดกลั้วหัวเราะกับพิม
“อย่าว่าแต่ตาต้อมจะไม่เชื่อเลยฉันก็ไม่เชื่อและก็เห็นเป็นเรื่องตลกด้วย
“คุณชายน่ะเร๊อะจะฉุดแม่เพ็ญ ขนาดใส่พานเอาไปยกให้เค้ายังไม่อยากได้เลย”
“ไม่รู้คุณจันทราคิดอะไรนะคะ..พูดแต่ละอย่าง”
“กะเอาฮามั้ง?”
มะลิพูดกลั้วหัวเราะ แต่สีหน้ากลับเหนื่อยใจเหลือหลาย
ศรัณย์ขับรถพาเพ็ญประกายมาจนถึงรีสอร์ทแห่งหนึ่ง ในเวลาค่ำมืดพอดี ศรัณย์จอดรถมองไปเห็นแม่น้ำ บรรยากาศสวยงามร่มรื่น ชายหนุ่มจึงหันมาบอกเพ็ญประกาย
“คุณเพ็ญคงหิวแล้ว พักทานข้าวก่อนนะครับ”
“ค่ะ”
สองคนลงรถ ศรัณย์พาเพ็ญประกายเดินเข้าไปด้านใน
รีสอร์ทแพริมน้ำแห่งนั้น มีส่วนที่เป็นร้านอาหารด้วย สองคนทานข้าวด้วยกัน ศรัณย์คอยตักอาหารให้เพ็ญประกาย เอาใจใส่ ด้วยท่าทีอาทรมาก เพ็ญประกายมองอย่างซาบซึ้งใจ
“ขอบคุณค่ะ”
“ทานเยอะๆ นะครับ หน้าคุณเพ็ญซีดมาก เดี๋ยวจะไม่สบาย อิ่มแล้วเดี๋ยวผมพากลับ”
เพ็ญประกายนิ่งไปนิด “เพ็ญไม่อยากกลับบ้านจริงๆ นะคะ”
ศรัณย์มองจ้องหน้า เพ็ญประกายพูดเสียงอ่อยๆ
“คุณศรัณย์ก็รู้ดี ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเพ็ญ...อย่าให้เพ็ญต้องประจานตัวเองอีกเลยนะคะ”
“ครับ..ผมเข้าใจ”
“ขอบคุณอีกครั้งค่ะ คุณศรัณย์ไม่ต้องห่วงเพ็ญนะคะ เพ็ญอยู่คนเดียวได้”
“ผมอยากอยู่เป็นเพื่อนคุณเพ็ญ”
ศรัณย์มองเพ็ญประกายแล้วยิ้มให้อย่างอาทร เพ็ญประกายมองจ้องศรัณย์น้ำตาคลอตื้นตันใจ
ไม่เคยมีผู้ชายคนไหนแสนดีกับตัวเองเท่ากับศรัณย์
ทางด้านธิติรัตน์กับเดือนแรมยืนอยู่ข้างรถที่ดันเสียตอนมืดค่ำ สองข้างทางทั้งมืดและเปลี่ยว แถมไม่ใช่ถนนสาย
เวลานั้นเสียงฟ้าคำรามดังก้อง คุณชายเอ่ยขึ้น
“ท่าทางฝนจะตกหนัก เราคงรอศูนย์มารับไม่ได้แล้วล่ะแรม หาที่หลบฝนก่อนดีกว่า”
ธิติรัตน์คว้ามือเดือนแรมวิ่งออกไป เป้าหมายคือบ้านชาวบ้านที่เห็นอยู่ไกลๆ เบื้องหน้า
สองคนเดินตรงเข้ามายังบ้านหลังหนึ่ง เป็นบ้านไม้หลังเล็กๆ เจ้าของบ้านผู้ชายบอกอย่างเอื้ออารี
“ได้ๆ พ่อหนุ่ม มาหลบฝนกันก่อน”
“แต่ที่นี่ไม่ได้แล้วล่ะ” ผู้หญิงชาวบ้านว่า
ธิติรัตน์กับเดือนแรมกวาดตามอง ก็เห็น เห็นพ่อ แม่ ลูก ปู่ ย่าตายยายนั่งยิ้มกันสลอน
“พ่อหนุ่มพาเมียไปอยู่กระท่อมกลางนาไป ของฉันเอง” ฝ่ายผู้หญิงบอก
“น้ำไฟอาจจะไม่สะดวก แต่หลบฝนได้แน่นอน เอ้า! นี่ตะเกียง”
“ขอบคุณมากครับ..ไปแรม”
ธิติรัตน์จับมือเดือนแรมพากันเดินออกไป
พายุฝนเริ่มโหมพัดกระหน่ำ ธิติรัตน์เดินนำมือข้างหนึ่งถือตะเกียง อีกข้างจูงเดือนแรมวิ่งหลบเข้ามายังกระท่อมหลังน้อยที่ตั้งอยู่
สภาพกระท่อมหลังนั้นทั้งเก่าและทรุดโทรม แถมยังมาตั้งอยู่ท่ามกลางความมืดมิด เวิ้งว้าง บรรยากาศก็เลยยิ่งดูวังเวงและน่ากลัวเข้าไปใหญ่
เดือนแรมกับธิติรัตน์มองหน้ากัน สายตาเดือนแรมหวาดหวั่น
“เข้าไปเถอะ อย่างน้อยก็มีที่หลบฝน”
คุณชายเดินนำพาเดือนแรมเข้าไป ไม่ทันที่สองคนจะทำอะไร ประตูกระท่อมก็ปิดเองดังปัง สองคนสะดุ้ง ธิติรัตน์รีบบอก
“ไม่มีอะไรหรอก แค่ลมพัด”
เดือนแรมมองไปที่ประตู ท่าทางหวาดกลัว พอมองกลับเข้ามาในห้อง แล้วก็สะดุ้ง
เมื่อเห็นดอกลั่นทมหลายดอกวางอยู่ในห้อง ท่ามกลางความมืด ดอกลั่นทมสีขาวดูกระจ่างแต่น่ากลัว
“กลัวเหรอ? ผีคุณดารารุ่ง คงไม่ตามมาถึงที่นี่หรอกมั้ง?”
“คุณชายคะ..โบราณว่าเข้าป่าอย่าพูดถึงเสือ กลางคืนอย่าพูดถึงผี!”
คุณชายพูดกลั้วหัวเราะ “เธอต่างหากเป็นคนพูด ฉันไม่ได้พูดซักหน่อย”
ธิติรัตน์เดินไปที่หน้าต่าง เห็นก้อนเมฆสีดำทะมึนลอยตัวอยู่เหนือกระท่อม
“ที่อื่นเป็นไงไม่รู้ แต่ที่นี่คืนนี้ฝนคงตกหนัก”
ทั้งเสียงลมเสียงฝนดังครืนโครมสนั่นหวั่นไหว เดือนแรมมองผ่านแสงตะเกียง ลมที่พัดผ่านเข้าในกระท่อมเห็นเป็นแสงเงาพะเยิบพะยาบน่ากลัวนัก
เวลาเดียวกัน แม้นเทพขับรถมาส่งชุติมาที่หน้าแฟลต สองคนลงจากรถ ชุติมาไหว้ขอบคุณ
“ขอบคุณพี่ต้อมอีกครั้งนะคะที่มาช่วยชุ”
“ใจคอชุจะไม่บอกพี่จริงๆ เหรอ มันเรื่องอะไร คุณจันทราถึงได้ให้นายเจิมจับชุไปขัง”
ชุติมาทำหน้าหนักใจ ก่อนกลบเกลื่อนด้วยรอยยิ้ม
“แม่ก็คงโกรธที่ชุดื้อเท่านั้นล่ะค่ะ ไม่มีอะไรหรอก แล้วเจอกัน ชุจะตำส้มตำให้พี่ต้อมทานเป็นการตอบแทนนะคะ”
“เอาแบบธรรมดา ไม่เอาแบบที่ทำให้ยัยเพ็ญนะ” แม้นเทพสัพยอก
“อันนี้ก็ต้องแล้วแต่ความประพฤติพี่ต้อมค่ะ แล้วเจอกันค่ะ”
ชุติมายิ้ม แต่พอหันหลังเดินขึ้นบันไดแฟลต สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นหนักใจเหมือนเดิม แม้นเทพมองตามครุ่นคิดในใจ
“ชุตั้งใจปกปิดเรา....แสดงว่ามันต้องมีเรื่องใหญ่แน่”
สุดใจนั่งเครียดมองมือถือที่ถ่ายรูปตอนเจิมโปะยาสลบชุติมาไว้
“คุณแม้นเทพ ได้โปรดมาหาฉันเถอะ ฉันไม่กล้าไปหาคุณแล้ว ฉันกลัวเจอจันทรา”
ระหว่างนั้นเสียงเคาะประตูดังขึ้น สุดใจสะดุ้งเฮือก มีท่าทีหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด
“อย่าบอกนะ ว่าจันทรารู้แล้วว่าเราอยู่ที่นี่” สุดใจถอยกรูดด้วยความกลัว
“น้าวันดี อยู่มั้ย ชุเองค่ะ”
“ชุ!”
สุดใจเปิดประตูให้ชุติมาก้าวเข้ามาท่าทางอ่อนแรง สุดใจกอดชุติมาด้วยความดีใจ
“น้าดีใจจังที่ชุกลับมา...แล้วทำไม เค้าถึงยอมปล่อยชุ”
“พี่ต้อมไปช่วยชุค่ะ” ชุติมานึกได้ งง สงสัย “ว่าแต่ทำไมน้าวันดีรู้ว่าชุถูกจับตัวไป”
“น้าเห็น” สุดใจยื่นมือถือให้ดู เห็นเป็นภาพตอนที่เจิมโปะยาสลบ “เค้าเป็นใคร?”
“ลุงหนูเองค่ะ”
สุดใจหน้าซีดเผือด
ด้านเจิมเมาปลิ้น เดินเป๋กลับมาหน้าบ้าน ในมือถือบะหมี่ซอง พลางส่งเสียงตะโกน
“ชุ...ลุงกลับมาแล้ว โทษทีเพลินไปหน่อย ..คงจะหิวตาลายแล้วล่ะสิ” เจิมเห็นประตูเปิด “เอ๊อ! สงสัยลุงจะตาลายเอง ประตูเปิดได้ยังไง?”
เจิมเอามือควานเปิด แต่ต้องสะดุ้งเมื่อร่างทั้งร่างถลาเสียหลักเข้าไปตามช่องว่างประตู เจิมแทบสร่างเมา
“ประตูเปิดจริงๆนี่หว่า” มองเข้าไปไม่มีชุติมาอยู่แล้ว “ชุ..ชุไม่อยู่” มองดูเห็นกุญแจคล้องโซ่ถูกสะเดาะ ก็ตกใจ หายเมาเป็นปลิดทิ้ง บ่นอุบ
“มีคนมาช่วยนังชุ ตายๆๆ จันทราเอาเราตายแน่ โอ๊ย! แค่คุณชายคนเดียว ทำไมวุ่นวายอย่างนี้วะ?”
ท่ามกลางแสงตะเกียงวับแวมภายในกระท่อมเวลานั้น ธิติรัตน์กับเดือนแรมนั่งจับเจ่ากันอยู่คนละมุม
เสียงสายฝนด้านนอกเทกระหน่ำ สลับกับเสียงฟ้าคะนองเป็นระยะ ฟังดูดังน่ากลัว เดือนแรมพยายามกดโทรศัพท์หาเพ็ญประกายตลอดเวลา
“พี่เพ็ญไม่ยอมรับสายเลย”
“คุณเพ็ญคงอยากอยู่คนเดียวจริงๆ”
“แรมเป็นห่วงพี่เพ็ญจังค่ะ ป่านนี้พี่เพ็ญจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้”
ที่บ้านพักสไตล์รีสอร์ทริมน้ำเวลานั้น เพ็ญประกายนั่งอยู่โซฟาในห้องคาราโอเกะ ศรัณย์ยืนมองอยู่อีกมุม
“คุณเพ็ญง่วงก็หลับได้นะครับ ผมจะอยู่ตรงนี้ ดูแลคุณเพ็ญเอง”
เพ็ญประกายมอง สีหน้ากังวล ศรัณย์รีบบอก
“ไม่ต้องกลัวนะครับ ผมไม่ทำอะไร”
“เพ็ญไม่ได้กลัวคุณศรัณย์จะทำอะไรหรอกค่ะ ต้องขอบคุณด้วยซ้ำที่มาเป็นเพื่อน แต่เพ็ญไม่ง่วง”
“คุณเพ็ญคงกลุ้มใจเรื่องนายชาย?”
“เพ็ญเหนื่อยที่จะต้องวิ่งไล่ล่าคุณชายมากกว่าค่ะ เหมือนคนวิ่งตามเงาตัวเอง ไม่เคยจับได้ซักที เหมือนคนบ้า คุณชายไม่ได้รักเพ็ญ”
“แต่ที่บ้านคุณเพ็ญ...รักและห่วงคุณเพ็ญนะครับ ผมว่าป่านนี้เค้าคงเป็นห่วงคุณเพ็ญมาก”
เพ็ญประกายก้มหน้า หลบตาศรัณย์ รู้ในสิ่งที่ศรัณย์ไม่รู้
ขณะที่นอกบ้านเมินฝนกำลังตกหนัก ส่วนในบ้านจันทราหัวเราะลั้นล้าแข่งสายฝน มีความสุขสุดขีด
“ขอให้ฝนตกทั่วฟ้าเถ๊อะ บรรยากาศเป็นใจอย่างนี้ ยัยเพ็ญกับคุณชายจะได้ร่วมหอลงโรงกันซักที”
“แล้วถ้าคุณชายตามคุณเพ็ญไม่เจอล่ะคะ?” แป้นอดกังวลไม่ได้
“เจอสิ....ก็ฉันกำชับยัยเพ็ญให้จับคุณชายไม่ปล่อย ยังไงคืนนี้คุณชายต้องอยู่กับยัยเพ็ญแน่แกนั่นแหละ อย่าปากพล่อยไปบอกใครล่ะว่ามันเป็นแผนฉัน หน้าที่ของแกมีอย่างเดียวคือบอกว่าคุณชายฉุดยัยเพ็ญไปเข้าใจมั้ย?”
“ค่ะ ถ้าใครถาม แป้นจะนั่งยันนอนยัน บอกว่าคุณชายฉุดคุณเพ็ญไป” แป้นว่า
“ดีมาก!!”
จันทรายิ้มอย่างพอใจ ควักเงินในกระเป๋าแบงค์พันหลายใบส่งให้เป็นรางวัลแห่งความสอพลอ แป้นยิ้มกริ่ม
โปรดติดตามอ่าน ตอนต่อไป
ตอนที่ 14 ได้มีการเพิ่มเติมเพื่อความสมบูรณ์ตรงตามบทโทรทัศน์ทางช่อง 7 สี ตัวหนังสือสีแดงคือเรื่องราวที่เพิ่มเติมใหม่
มาหยารัศมี ตอนที่ 14 (ต่อ)
เดือนแรมทอดสายตา มองฝ่าสายฝนออกไปด้านนอก
“คุณชาย...แรมอยากกลับบ้าน”
“จะกลับยังไง ฝนตกหนักออกอย่างนี้”
“ไปยืมร่มชาวบ้านไงคะ?”
“ข้างนอกมันอันตราย ถ้าเธอกลัวป้ามะลิ เป็นห่วง ก็โทร.บอกแล้วกัน เดี๋ยวฉันโทร.เอง
ว่าพลางธิติรัตน์คว้ามือถือเดือนแรมมากดโทร.ออก
มะลิเองก็ชะเง้อคอย มองไปที่ประตูรั้วตลอดเวลา
“ป่านนี้แล้วทำไมแรมยังไม่กลับมาอีก พิมโทร.ตามแรมสิ”
“ค่ะคุณ” ขณะที่พิมกำลังหยิบมือถือ เสียงโทรศัพท์ดังพอดี พิมดูชื่อ “คุณแรมโทร.มาพอดีค่ะคุณ”
มะลิรับโทรศัพท์ “ว่าไงแรม?อยู่ไหนลูก? ทำอะไรอยู่?”
เดือนแรมทำหน้าอึ้งๆ “แรมออกมาตามหาพี่เพ็ญ กับคุณชายค่ะ”
มะลิอึ้งกว่า “หา? แรมออกไปกับคุณชาย”
เดือนแรมหน้าแหย “ค่ะ”
ธิติรัตน์เห็นเดือนแรมหน้าแหย จึงเอามือถือมาคุยเอง “สวัสดีครับป้ามะลิ”
มะลิตกใจ “คุณชาย”
“ตอนนี้แรมอยู่กับผมครับ..พอดีรถเสีย ผมเลยพาแรมกลับไม่ได้ แต่ผมให้สัญญาด้วยเกียรติของลูกผู้ชาย ผมจะไม่ทำให้แรมเสื่อมเสียเกียรติอย่างเด็ดขาด เพราะผมรักแรม”
เดือนแรมตกตะลึง ได้ยินธิติรัตน์บอกว่ารักตัวเองเป็นครั้งแรก “คุณชาย”
มะลิเองก็อึ้ง “คุณชาย”
“ผมรักแรมจริงๆ ครับ และผมจะทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเพื่อแรม”
มะลิวางสายแบบงงๆ เบลอๆ พิมเห็นก็รีบถาม
“มีอะไรคะคุณ?”
“คุณชายบอกฉันว่ารักแรม” มะลิว่า
“คุณชายรักคุณแรม”
พิมอุทาน แล้วยิ้มออกมาทันที
เดือนแรมมองหน้าธิติรัตน์ตาค้างด้วยความตกใจ
“ทำไม? อยากฟังซ้ำใช่มั้ย? ฉันรักเธอ”
เดือนแรมยิ้มกว้างอย่างดีใจ “คุณชาย”
ธิติรัตน์กอดเดือนแรม “เมียทั้งคน ใครจะไม่รัก”
“คุณชาย แรม.. ไม่ได้เป็น...”
“เป็นสิ...ชาวบ้านเค้าว่าอย่างนั้น เธอก็ได้ยินหนิที่เค้าบอก...พ่อหนุ่มพาเมียไปอยู่กระท่อมกลางนาไป๊...”
“คุณชาย…”
ธิติรัตน์จ้องหน้าพูดเสียงจริงจัง “แรม...ฉันรักเธอจริงๆ นะ ที่ฉันไปด้อมๆ มองๆ บ้านเธอวันนั้น ฉันไปกับนักสืบ ฉันกำลังให้เค้า ตามสืบเรื่องคุณจันทรา ไม่ใช่แค่ตอนนี้แต่รวมถึงอดีตของคุณจันทราด้วย...”
เดือนแรมอึ้ง มองคุณชายอย่างคาดไม่ถึง ธิติรัตน์อธิบายต่อ
“ฉันทำทุกอย่างเพื่อเธอจริงๆ”
“ขอบคุณค่ะคุณชาย”
ธิติรัตน์ก้มลงจูบประทับที่หน้าผากของเดือนแรมอย่างละมุนละไม
จู่ๆ เสียงหมาก็หอนโหยหวนรับกันเป็นทอดๆ ลมพัดแรง ดอกลั่นทมสีขาวถูกลมพัดเข้ามาในห้อง หล่นอยู่ตรงหน้า สองคนสะดุ้ง โดยเฉพาะเดือนแรม
“คุณชาย..ดอกลั่นทม”
ธิติรัตน์กอดเดือนแรมแน่นขึ้น “ก็แค่ลมพัดเข้ามา ไม่มีอะไรหรอก”
ว่าพลางธิติรัตน์หยิบดอกลั่นทมขึ้นมามอง จังหวะเดียวกับที่หมาส่งเสียงหอนโหยหวนขึ้นมาอีก และยิ่งหอนแข่งกันอย่างน่ากลัว
“นอนเถอะ ไม่มีอะไรหรอก”
ธิติรัตน์ปลอบ พร้อมกับประคองร่างเดือนแรมให้นอนลงบนแคร่....ก่อนที่ตัวเองจะเอนตัวลงนอนที่พื้น ซึ่งมีผ้าขาวม้าปูรองอยู่ เดือนแรมกวาดสายตามองรอบๆ กระท่อมแบบหวาดๆ ธิติรัตน์เห็นจึงเอื้อมมือขึ้นไปจับมือเดือนแรมกอบกุมไว้แน่น มองเป็นเชิงปลอบใจว่าไม่ต้องกลัว
พระจันทร์คืนเดือนมืดดูน่ากลัว ส่งให้บรรยากาศกลางดึกยิ่งวังเวง ธิติรัตน์รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ข้างกายไม่มีเดือนแรมแล้ว ธิติรัตน์ตกใจ ผุดลุกขึ้นตะโกนเรียกหาทันที
“แรม...แรม”
เงียบไม่มีเสียงตอบ ธิติรัตน์จะเดินไปตาม เห็นดอกลั่นทมสีขาว วางอยู่เป็นจุดๆ บนพื้นหญ้า เป็นระยะๆ เสียงของลุงเจ้าของกระท่อมดังก้องมา
“แถวนี้ยังมีวิญญาณคุณดารารุ่ง ผู้ที่ชีวิตไม่เคยมีความสุขกับความรัก อยู่ด้วย เธอมาพร้อมดอกลั่นทม”
ธิติรัตน์กวาดสายตามองไปรอบบริเวณ แล้วตัดสินใจเดินตามดอกลั่นทมไป
ธิติรัตน์เดินมาตามทางที่มืดมิด ลมพัดแรงมาก ธิติรัตน์เขม้นมองไปเบื้องหน้าบริเวณใต้ต้นลั่นทม เห็นเหมือนมีผู้หญิงคนหนึ่งผมยาวสลวยใส่ชุดสีขาวสะอ้าน นั่งอยู่บนเก้าอี้โยก
“คุณดารารุ่ง?” ธิติรัตน์อุทาน
เสียงเก้าอี้ดังโยกเยกเป็นจังหวะตามแรงลม ธิติรัตน์ยืนนิ่งมองภาพตรงหน้าตาไม่
กระพริบ
“คุณชายคะ...” เสียงเดือนแรมเรียก
ธิติรัตน์ยังยืนมองภาพเก้าอี้โยกนิ่งงัน เดือนแรมมองธิติรัตน์อย่างงุนงงๆ พลางร้องร้องเรียกอีก
“คุณชายคะ?”
ธิติรัตน์สะดุ้งหันกลับมา “แรม”
“อะไรคะ?”
“คุณดารารุ่ง” ธิติรัตน์ดึงร่างเดือนแรมมากอด
เดือนแรมตกใจ “ไหนคะคุณดารารุ่ง??
ธิติรัตน์กอดเดือนแรมไว้ ชี้ไปใต้ต้นลั่นทม ที่เห็นเหมือนร่างผู้หญิงนั่งอยู่ เดือนแรมมองงงๆ
“ไหนคะ?”
“ก็นั่นไง ใส่ชุดขาวนั่งอยู่นั่น บนเก้าอี้โยก”
เดือนแรมแกะมือคุณชายออก “ใช่ที่ไหนล่ะคะ?” พลางเดินไปที่เก้าอี้โยก ดึงผ้าขนหนูสีดำ และชุดเสื้อสีขาวที่วางพาดบนเก้าอี้ตามแนวยาวออกมา “ผ้าขนหนูกับเสื้อแรมมาซักตากเอาไว้” เดือนแรมบอกยิ้มๆ “คุณชายกลัวผีกว่าแรมอีก”
ธิติรัตน์รู้สึกเสียฟอร์ม ส่วนเดือนแรมยิ้มขำ ยื่นหน้ามาล้อ
“คุณชายกลัวผีกว่าแรมจริงๆ ด้วย ดูสิ..หน้าซีดเลย”
ธิติรัตน์มองไปที่ต้นลั่นทมอีกครั้ง ทำเสียงยานคาง “เปล่า..ไม่ใช่ผ้าขนหนูกับเสื้อ แต่...เป็นผู้หญิง ยืนอยู่ใต้ต้นลั่นทมที่กำลังยิ้มมาให้เราต่างหาก”
“คุณชาย” เดือนแรมกรี๊ดลั่นผวากอดธิติรัตน์ คุณชายอมยิ้มกอดเดือนแรมแน่นปลอบโยน แล้วทำเสียงยานคางน่ากลัวๆ
“ผีคุณดารารุ่งแน่ๆ แรม”
เดือนแรมเนื้อตัวสั่น กอดคุณชายแน่น “ผะ...ผีคุณดารารุ่ง”
“ฮื่อ!!”
ธิติรัตน์กอดเดือนแรมแน่นขึ้นอีก ถ่ายทอดความรักและความอบอุ่นจากหัวใจให้
เดือนแรมเริ่มรู้ตัวว่าถูกหลอก เงยหน้าขึ้นมองเห็นคุณชายอมยิ้ม
“คุณชาย”
ธิติรัตน์กดหัวเดือนแรมลงและโอบกอดอีก “อย่าเสียงดังสิ เดี๋ยวผีได้ยิน”
“คุณชาย...”
“บอกแล้วไงว่าอย่าส่งเสียงดัง เดี๋ยวผีได้ยิน”
“ก็คุณชาย....แกล้งแรม”
เดือนแรมพูดไม่ทันจบ ธิติรัตน์ก็ก้มลงจูบทันที....เดือนแรมตัวแข็งทื่อ ธิติรัตน์มองหน้าเดือนแรมกระซิบเสียงแผ่ว “ฉันกลัวผีจะได้ยิน”
เดือนแรมเงื้อหมัดชกใบหน้าธิติรัตน์จังๆ คุณชายร้องลั่น
“โอ๊ยยย!”
ธิติรัตน์ล้มลงแล้วดึงเดือนแรมลงไปด้วย ร่างของเดือนแรมทาบทับบนตัวคุณชายพอดี
ธิติรัตน์ยิ้ม “รู้มั้ย..ถ้าได้อยู่กับเธออย่างนี้ ฉันพร้อมให้ผีหลอกทุกวัน”
เดือนแรมเขินอายสุดชีวิต “คุณชาย”
ธิติรัตน์หยิบดอกลั่นทม ที่ตกอยู่บนพื้นมาทัดหูให้เดือนแรม สองคนมองสบตากัน
หวานฉ่ำ ธิติรัตน์บอกต่อ
“รู้มั้ย....ฉันอยากให้เธอมีฉันแค่คนเดียว อยากให้เธอมีสายตาไว้มองฉันเพียงคนเดียว อย่ามีใครอื่น อย่ามองคนอื่นนอกจากฉันนะแรม”
“ค่ะ”
สองคนยิ้มให้กันอย่างสุขใจ ธิติรัตน์ก้มลงจูบที่หน้าผากของเดือนแรมอย่างแผ่วเบา
แสงอาทิตย์ยามเช้าสาดส่องเข้ามาในกระท่อม เดือนแรมสะดุ้งตื่นเห็นตัวเองนอนอยู่ในอ้อมกอดของธิติรัตน์
เดือนแรมมอง เห็นธิติรัตน์ไม่ได้หลับนอนลืมตาโพลงอยู่
“นี่คุณชายไม่หลับทั้งคืนเลยเหรอคะ? คิดอะไรอยู่”
“คิดเรื่องเธอ”
“ทำไมคะ?” เดือนแรมสงสัย
“กลับไปนี่...ฉันจะให้คุณแม่ไปขอร้องคุณเมินให้ตรวจดีเอ็นเอ พิสูจน์ความจริงให้กับเธอ เพราะยังไง มาหยารัศมีก็ไม่ใช่คุณเพ็ญ”
ทางด้านเพ็ญประกาย นั่งทอดสายตามองแผ่นน้ำเบื้องหน้าอยู่บนแพ สีหน้าครุ่นคิด ศรัณย์เดินเข้ามา นั่งข้างๆ เอ่ยถาม
“สบายใจหรือยังครับ?” เพ็ญประกายหันมามอง ศรัณย์พูดต่อ “ถ้าคุณเพ็ญสบายใจแล้ว ผมอยากให้คุณเพ็ญกลับบ้าน”
“เพ็ญไม่อยากกลับ”
ศรัณย์ปลอบและถือโอกาสพูดกล่อม “ผมว่าการหนี ไม่ใช่การแก้ปัญหานะครับ...มีอะไร เปิดอกคุยกันดีกว่าถ้าคุณเพ็ญยอมพูด คุณแม่น่าจะยอมรับฟัง”
“ตั้งแต่เพ็ญจำความได้ เพ็ญต้องทำตามคำสั่งของแม่ ครั้งนี้ถึงเพ็ญจะพูด เพ็ญก็รู้ ว่าผลจะออกมายังไง?”
สีหน้าเพ็ญประกายยามนี้ดูออกว่าหนักใจมาก
เพ็ญประกายเดินเข้าไปในบ้าน จันทราดี๊ด๊าที่เห็นลูกสาวกลับมา คิดไปไกลว่าแผนการลุล่วง
“เพ็ญ...กลับมาแล้วเหรอลูก?” ลดเสียงลง แต่ตื่นเต้น และลุ้นสุดๆ “เมื่อคืนเป็นยังไงบ้างลูก คุณชายตกลงโอเคกับลูกแล้วใช่มั้ย?”
“เมื่อคืนเพ็ญไม่ได้ไปกับคุณชายค่ะ”
จันทราตกใจปนงง “แล้วแกไปไหน?”
“ไปในที่ที่เพ็ญอยากไปค่ะ”
จันทราตาเหลือก โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ตวาดแว้ด “นังเพ็ญ!”
เพ็ญประกายตกใจมาก ที่แม่เรียกจิกว่านัง “คุณแม่...ทำไมเรียกเพ็ญอย่างนี้”
“มากกว่านี้ฉันก็เรียกได้” จันทราโมโหทั้งหยิกทั้งตีลูกสาว “ทำไมแกกล้าขัดคำสั่งฉัน ทำไม๊?”
เพ็ญประกายดิ้นหนี “ก็คุณชายไม่ได้รักเพ็ญ....คุณชายรังเกียจเพ็ญ”
“ยังไงก็ช่าง....แกต้องบอกทุกคนว่าไปกับคุณชาย อยู่กับคุณชายและแกก็เป็นของคุณชาย”
เพ็ญประกายตกใจมากยิ่งขึ้น “คุณแม่!”
จันทราปรี๊ดเต็มที่ขยุ้มผมเพ็ญประกาย ขู่ซ้ำ “ถ้าแกไม่ทำตามที่ฉันบอก แกเจอดีแน่เพ็ญประกาย”
สีหน้าแววตาของจันทรากร้าวและดุดันจนน่ากลัวมาก เพ็ญประกายผวากลัวจนตัวสั่น แป้นแอบมองอยู่ รู้สึกสงสารเพ็ญประกาย แต่ไม่รู้จะช่วยยังไง
คืนนั้นธิติรัตน์ขับรถมาส่งเดือนแรมที่บ้าน สองคนลงมาจากรถแล้ว
“ขอโทษนะ กว่ารถจะซ่อมเสร็จ ดึกเลย แต่ฉันโทร.มาเรียนคุณป้าแล้วเธอไม่ต้องห่วง”
เดือนแรมพยักหน้ารับ “แล้วเดี๋ยวแรมจะโทร.บอกคุณชายเรื่องพี่เพ็ญค่ะ”
“เข้าบ้านเถอะ”
เดือนแรมเดินเข้าบ้านไป ธิติรัตน์เป็นห่วงแอบเดินตามไปดู พอเห็นว่าเดือนแรมเดินเข้าบ้านมะลิแล้ว ธิติรัตน์ก็ถอนหายใจ โล่งอก หันตัวจะกลับ แต่ต้องชะงักเมื่อเห็นจันทรายืนหน้าบึ้งอยู่ หน้าตาเอาเรื่อง
“เรามีเรื่องต้องคุยกันค่ะคุณชาย”
เพ็ญประกายนั่งก้มหน้ารออยู่ในห้องรับแขก จันทราบอกคุณชายเสียงเขียว
“คุณชายต้องรับผิดชอบมาหยารัศมี”
ธิติรัตน์งง “ทำไมครับ?”
“คุณชายทำอะไรหนูมาหยาย่อมรู้อยู่แก่ใจ จะมาพูดแบบปัดความรับผิดชอบไม่ได้” จันทราว่า
“ผมทำอะไร?”
“ก็คุณชายพาหนูมาหยา ไปพักค้างอ้างแรมกันมาทั้งคืน ทั้งกระทำย่ำยี ข่มเหงจิตใจสารพัด จนหนูมาหยาทนไม่ได้ ต้องหนีออกมา”
ธิติรัตน์สะอึก มองหน้าเพ็ญประกาย แต่เพ็ญประกายก้มตัวซ่อนหน้า ธิติรัตน์ย้อนถาม
“ผมน่ะเหรอทำอย่างนั้น?”
“คุณชายต้องให้มาหยาพูดเรื่องน่าอับอายซ้ำเหรอคะ?” เพ็ญประกายบอก
จันทราเชียร์อัพ “พูดไปเลยมาหยา..พูดไปเลย”
“ได้ค่ะ...ถ้าคุณชายอยากฟัง...มาหยาจะพูดอีก คุณชายฉุดมาหยาไปค้างคืนแล้วก็ทำร้ายทั้งร่างกาย จิตใจมาหยา”
ธิติรัตน์อึ้ง ตะลึง “คุณเอาอะไรมาพูด?”
“เอาเรื่องที่มันเกิดขึ้นมาพูดไงคะ?”
จันทราขัดขึ้น “ไม่ต้องถ่วงเวลา หาหลักฐานการเป็นมาหยารัศมี คุณชายต้องแต่งงานกับยัยเพ็ญสถานเดียว”
ธิติรัตน์ยืนเซ่อ นึกไม่ถึงว่าสองแม่ลูกจะเป็นไปได้ขนาดนี้
ธิติรัตน์มองเพ็ญประกายด้วยสีหน้าผิดหวัง “ผมไม่คิดจริงๆ” เน้นเสียงช้าชัด “เพ็ญประกาย...ว่าคุณจะเป็นไปได้ถึงขนาดนี้”
เพ็ญประกายสวนออกมา “ทำไมคะ? เพ็ญทำไม?”
“อยากแต่งงาน จนกล้าปรักปรำผม ผมขอบอกไว้ตรงนี้เลย ถึงผมจะต้องแต่งงานกับคุณ ผมก็ไม่มีวันรักคุณ” ธิติรัตน์เดินออกไปด้วยท่าทีรังเกียจมาก
“คุณชาย” เพ็ญประกายครวญคราง
จันทราเสี้ยมทันที “แกเห็นมั้ยยัยเพ็ญ...มันทำกับแกขนาดนี้ แกยังจะยอมแพ้มันเหรอ?”
“ไม่ค่ะ เพ็ญไม่ยอม!”
ดวงตาเพ็ญประกายแข็งกร้าวขึ้นมาอีก โกรธมากที่ธิติรัตน์แสดงท่าทางรังเกียจตนขนาดนี้อีกครั้ง
เช้าวันต่อมาคุณชายมีสีหน้าหนักใจ ไม่ต่างจากหม่อมรัตนา
“ชายก็บอกไปสิลูก ว่าคืนนั้นชายไม่ได้อยู่กับเพ็ญประกาย แต่อยู่กับแรม”
“ถ้าจะพูดอย่างนั้น คนที่เสียหายก็คือแรมอีก และถ้าจะดึงพยานมาพยานทุกคนก็เป็นคนของเค้า ผมก็จะถูกว่าไม่ใช่ลูกผู้ชายอีก”
“แม่ไม่ยอม”
ดุจแขเดินเข้ามา “แขก็ไม่ยอมค่ะ”
“ดุจแข” ธิติรัตน์อึ้งๆ งงๆ ว่าโผล่มาได้ไง
ดุจแขบอกแผนกับธิติรัตน์ พร้อมกับผุดยิ้มร้ายๆ ออกมา สองคนคุยกันอยู่อีกมุมในวัง
“บอกไปเลยค่ะว่าคุณชายอยู่กับแข”
“ไม่ได้หรอก คุณเสียหาย”
“แขไม่มีอะไรต้องเสียอยู่แล้ว อีกอย่างเราก็รู้กันเองว่าอะไรเป็นอะไร เพราะฉะนั้นคุณชายไม่ต้องห่วง ห่วงอย่างเดียวดีกว่า ว่าจะเอาตัวให้รอดจากสองแม่ลูกมหาภัยนั่นได้ยังไง?”
เห็นธิติรัตน์ยังมีทีท่าหนักใจอยู่ ดุจแขปลุกปลอบ
“คุณชายไม่ต้องกลัวหรอกค่ะว่าจะไม่เป็นลูกผู้ชายกับพวกแผนสูง อย่าไปยอมมัน ทำตามที่แขบอก เรื่องนี้แขจะจัดการเอง กับคนแบบนี้ต้องถึงลูกถึงคนถึงจะเอาอยู่”
ดุจแขยิ้มอย่างมั่นใจ
เวลาเดียวกันจันทรายิ้มให้กับเพ็ญประกาย สองแม่ลูกระรื่นกันอยู่สองคนที่บ้าน
“ยังไงครั้งนี้ลูกของแม่ต้องได้แต่งงานกับคุณชายแน่นอน เพราะคุณชายหน้าบาง ก็ไม่กล้า...” จันทราทอดคำ “...กับเราหรอก”
เพ็ญประกายยิ้มย่องอย่างพอใจ “ขอบคุณค่ะคุณแม่ คุณชายจะได้รู้ซักที ถึงจะหนีเพ็ญยังไง ก็หนีไม่พ้นหรอก”
เสียงมือถือของเพ็ญประกายดังขึ้น เพ็ญประกายมอง
“เบอร์ใครเนี่ย?” แล้วกดรับ “สวัสดีค่ะ”
ดุจแขอยู่ที่วังคุณชาย ยิ้มเย้ยเพ็ญประกายบอกในสาย
“คงกำลังดีใจล่ะสิท่า ที่จะได้แต่งงานกับคุณชาย แต่อย่าหวังเลย”
เพ็ญประกายปรี๊ด “ทำไมแกจะทำไม?”
“ทำไมน่ะเหรอ? กรุณารอซักครู่นะจ้ะ....ฉันจะส่งอะไรดีๆ ไปให้ดู”
ดุจแขยิ้มเหยียด เพ็ญประกายงง ครู่ต่อมาเสียงมือถือเพ็ญประกายมีสัญญาณข้อความภาพดังขึ้น เพ็ญประกายงง
“อะไรลูก?” จันทราสงสัย
“ยัยดุจแขส่งคลิปอะไรมาให้ดูก็ไม่รู้”
จันทราสนใจ “เปิดดูเลยลูก เปิดดูเลย”
เพ็ญประกายกดเปิดดู เห็นเป็นภาพเคลื่อนไหว ฉากเลิฟซีนระหว่างคุณชายกับดุจแข เพ็ญประกายกับจันทราตาเหลือก
สองคนอุทานพร้อมกัน “นังดุจแข”
พริบตานั้นเองเสียงมือถือดังอีก เพ็ญประกายรีบรับ กรอกเสียงด่าทันควัน
“แกนังหน้าด้าน”
ถูกดุจแขสวนกลับมา
“แกสิหน้าด้าน กล้าพูดว่าคุณชายอยู่กับเธอ ทั้งๆ ที่คืนนั้นคุณชายอยู่กับฉัน อยากดูมากกว่านี้มั้ยล่ะ ฉันจะส่งให้ดู อ๊ะ!!ไม่ให้ดูดีกว่า...แต่ฉันจะพาคุณชาย ไปแสดงความรักต่อหน้าเธอเลย” ดุจแขส่งเสียงร้องเรียก “คุณชายขา..
เพ็ญประกายจ้องมองโทรศัพท์เขม็ง เห็นเหมือนเป็นธิติรัตน์เคลื่อนตัวมาทางด้านหลังโอบกอดดุจแขอาการอินเลิฟเต็มที่
ดุจแขหัวเราะเย้ยหยันเพ็ญประกาย “ฉันไม่อยากให้คุณชายรอ...แค่นี้ก่อนนะจ๊ะ....”
พลางหันไปหาคุณชายธิติรัตน์ ทำกิริยาระริกระรี้ สีหน้าระรื่น ยั่วใส่เพ็ญประกาย “คุณชายขา...ใจร้อนจัง รอแขแค่นี้ก็ไม่ไหวเหรอค้า?”
เพ็ญประกายร้องกรี๊ดๆๆๆๆๆๆ
จันทราแค้นจนแทบอยากจะฆ่าดุจแขให้ตาย “นังดุจแข นัง...โอ๊ยยย! ฉันจะด่าแกว่ายังไงดี?”
แป้นโผล่หน้าออกมา พูดอยู่คนเดียว
“นาทีนี้ด่าว่าเพ็ญประกาย แซบสุด” แป้นว่า
ดุจแขเดินออกมาจากตึกใหญ่วังศิลาลาย ตรงมาที่รถ หญิงสาวยิ้มอย่างพอใจ
“ป่านนี้สองแม่ลูกนั่นชักตาตั้งไปแล้ว”
ธิติรัตน์พ่นลมหายใจออกมาเสียงดังฟู่ “โอ…แต่ตะกี้ผมหัวใจจะวาย”
ดุจแขหยุดเดิน แกล้งหันกลับมาโอบรอบคอธิติรัตน์ “กลัวถ่านไฟเก่าจะคุเหรอคะ?”
ธิติรัตน์ยิ้มให้ท่าทีเป็นมิตร “แน่ใจอยู่เหรอว่ามันจะคุ?”
“ทำไมล่ะคะ?”
ธิติรัตน์มองจ้องเข้าไปในดวงตาดุจแข
“ก็...ผมมองตาแข และสายตาของแขก็บอกว่าตอนนี้ไม่มีผมแล้วน่ะสิ”
ดุจแขชะงักไป ธิติรัตน์ยิ้มเยื้อนจับมือดุจแขไว้ฉันท์เพื่อน
“แต่คุณมีคนอื่น.....ผมคงไม่ต้องบอกใช่มั้ยว่าเขาคนนั้นเป็นใคร?”
ดุจแขยิ้มเขิน “คุณชายรู้ใจแขทุกเรื่อง”
“ขอบคุณมากนะแขที่คุณช่วยผมทุกอย่าง”
“ก็เราเป็นเพื่อนกันนี่คะ....”
ธิติรัตน์ยิ้มขอบคุณ “ขอบคุณมาก..ขอบคุณจริงๆ”
ธิติรัตน์โอบกอดดุจแขสไตล์ฝรั่งกอดกันดุจแขก็กอดตอบพลางบอก
“ไม่ต้องห่วงนะคะ...ถ้ายัยแอ๊บแตกนั่นไม่เลิกตอแยกับคุณ แขจะไปจัดการหล่อนเองคนอย่างเพ็ญประกาย ต้องเจอกับแขค่ะถึงจะสมน้ำสมเนื้อกัน”
ธิติรัตน์หัวเราะขำๆพูดเย้า “มวยถูกคู่ว่างั้นเถอะ!!”
สองคนยิ้มให้กัน
เป็นรอยยิ้มของมิตรภาพโดยแท้ ที่เข้ามาปิดทับรอยรักรอยอาลัยจนมิด
โปรดติดตามอ่านตอนต่อไป
มาหยารัศมี ตอนที่ 14 (ต่อ)
ภายในบ้านเวลานั้นร้อนเป็นไฟ จันทรากับเพ็ญประกายโกรธดุจแขและธิติรัตน์สุดๆ โดยเฉพาะเพ็ญประกายโกรธจัด
“ดุจแขมันหน้าด้าน มากเลยค่ะคุณแม่ ที่ทำแบบนี้”
“คุณชายก็ใช่ย่อยเหมือนกัน ถึงได้ร่วมมือกับนังดุจแขทำกับลูกแบบนี้”
“ยิ่งคุณชายทำกับเพ็ญอย่างนี้ เพ็ญยิ่งไม่ยอม”
จันทราดีใจมากที่ลูกสาวได้อย่างใจ “นี่แกคิดอย่างนี้จริงๆ เหรอเพ็ญ?”
“ค่ะ...ตอนแรกเพ็ญก็ถอดใจไปแล้ว แต่พอคุณชายทำแบบนี้ มันจงใจฉีกหน้าเพ็ญชัดๆ ยังไงคุณชายก็ต้องรับผิดชอบเพ็ญ”
จันทราดี๊ด๊าบอกเสียงสูง “ดีมากลูก อย่างนี้ค่อยสมกับเป็นลูกของแม่หน่อย เราลงทุนลงแรงมาตั้งเยอะแยะมากมายจะยอมแพ้ง่ายๆ ได้ยังไง”
แต่พอคิดไปคิดมา เพ็ญประกายเกิดความกังวลขึ้นมา
“แต่เพ็ญกลัว กลัวว่าคุณชายจะย้อนศรเรา เรื่องอะไรเค้าจะยอมรับง่ายๆ ในเมื่อเค้าไม่ได้ทำอะไรเพ็ญ”
จันทราเสี้ยมส่ง “ไม่ต้องกลัวลูก บีบน้ำตาเข้าไว้ เวลาผู้หญิงมีข่าวเสียหายกับผู้ชาย ยังไงผู้ชายก็ต้องโดนด่าก่อน ยิ่งปฏิเสธก็ยิ่งโดนด่า หน้าบางๆอย่างคุณชายรับ ไม่ได้หรอก”
“เพ็ญจะบีบน้ำตาให้น่าสงสารเลยค่ะคุณแม่ ผู้หญิงที่ไม่มีเรื่องเสียหายอย่างเพ็ญ ถ้าเป็นข่าว คนก็ต้องสงสารเพ็ญ”
จันทรา “ถึงตอนนั้น ยังไงคุณชายก็ต้องแต่งงานกับแก”
สองแม่ลูกหัวเราะอย่างมีความสุข เดือนแรมถือดอกไม้เพื่อจะไปไหว้พระถึงกับยืนอึ้งได้ยินเต็มสองหู และก่อนที่เดือนแรมจะเดินผ่านไป จันทราเหลือบมาเห็นพอดี
“นังแรม!”
เดือนแรมพยายามเดินเลี่ยงไป ไม่อยากมีเรื่อง แต่จันทราเดินตามออกมา มีเพ็ญประกายตามติด จันทราตะโกนเรียกดังลั่น
“นังแรม!”
เดือนแรมหันมามองด้วยความระอาใจ คนอะไรจะร้ายกาจขนาดนี้ จันทรายิ้มเยาะ
“คงได้ยินแล้วสินะว่าคุณชายจะแต่งงานกับลูกมาหยารัศมี”
“ได้ยินค่ะ ได้ยินด้วยว่าคุณน้าสอนให้พี่เพ็ญบีบน้ำตา สร้างเรื่องจับคุณชาย”
สองแม่ลูกมองหน้ากันด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าแรมจะได้ยินประโยคก่อนหน้า
เพ็ญประกายกับจันทราอุทานพร้อมกัน “คุณแม่” / “นังแรม”
จันทราโมโหเดินมาผลักอกแรมหาเรื่อง “ใคร? ใครสร้างเรื่อง อย่ามาหาเรื่องฉันนะ” เดือนแรมมองสู้สายตา “แน่ะ!ยังมามองฉันอีก เดี๋ยวฉันตบตาหลุด”
เพ็ญประกายรีบยุเป็นการใหญ่ “จัดการเลยค่ะแม่..เดี๋ยวเพ็ญล็อกให้”
เดือนแรมมองเพ็ญประกายอย่างเหนื่อยอกเหนื่อยใจมาก “พี่เพ็ญสูงเท่าไหร่คะ?”
เพ็ญประกายงง “แล้วมันเกี่ยวอะไร?”
“พี่เพ็ญตัวเล็กกว่าแรมตั้งเยอะ พี่เพ็ญทำอะไรแรมไม่ได้หรอก อย่ามาหาเรื่องกันเลยค่ะ ยังไงเราก็เป็นพี่น้องกัน”
“ใครเป็นพี่เป็นน้องแก นังเด็กเก็บมาเลี้ยง” จันทราด่า
“คำก็เด็กเก็บมาเลี้ยง สองคำก็เด็กเก็บมาเลี้ยง ไว้คุณพ่อกลับมาเมื่อไหร่ แรมจะร้องต่อศาล ขอตรวจดีเอ็นเอค่ะ”
“ตรวจเล้ย...จะได้รู้กันไปชัดๆว่าแกไม่ได้เป็นอะไรกับมณีกุล”
“ถ้าแรมไม่ได้เป็นอะไรกับมณีกุล คุณพ่อก็คงต้องสืบต่อแล้วล่ะค่ะ ว่าลูกที่แท้จริงของคุณพ่อหายไปไหน?”
จันทราหน้าซีดเผือด เดือนแรมพูดต่อ
“ถึงตอนนั้น คุณน้าต้องให้คำตอบแล้วล่ะค่ะ เพราะคุณน้าดูเหมือนจะรู้ดีและย้ำอยู่เสมอ ว่าแรมคือเด็กเก็บมาเลี้ยง” จะเดินไป
จันทราโกรธจนบันดาลโทสะ “นังแรม” ตามไปกระชากขยุ้มหัว “แกคิดว่ามันจะง่ายอย่างนั้นเหรอ? มีแต่แกจะตายก่อนนั่นแหละนังแรม”
จันทราตบผลัวะจนเดือนแรมหน้าหัน เพ็ญประกายรีบมาจับตัวล็อกเอาไว้ แต่เดือนแรมสะบัดตัวเพ็ญออกสุดแรงเกิด จนร่างเพ็ญประกายล้มลง ก่อนที่เดือนแรมจะหันขวับไปหาจันทรา
“แรมยอมมามากพอแล้ว วันนี้แรมไม่ยอม!”
เดือนแรมตบหน้าจันทราเต็มแรง แล้วกระชากผมเหวี่ยงร่างจันทราเหวี่ยงกระเด็นออกไปอย่าง
แรง จันทราล้มลง เดือนแรมตรงเข้าไปกระชากจันทราขึ้นมาตบอีกฉาดใหญ่ จันทราร้องกรี๊ดๆ คาดไม่ถึง
“นังแรม นังบ้า เพ็ญช่วยด้วย”
เพ็ญประกายจะเข้ามาช่วย แบบกล้าๆ กลัวๆ ทำท่าดึงเดือนแรมออก
“หยุดนะแรม หยุด”
เดือนแรมเหลียวขวับมา เพ็ญประกายสะดุ้ง เดือนแรมลุกขึ้นมาแล้วคว้าตัวเพ็ญประกายเอาไว้ จันทราลุกขึ้นหมายจะเอาคืน เดือนแรมผลักเพ็ญใส่จันทรา จนสองแม่ลูกล้มลงทับกัน จันทราจะลุกขึ้นมาอีก เดือนแรมชี้หน้า
“หยุดอยู่ตรงนั้นเลยนะคะ” มองเสียใจ “แรมไม่อยากมีเรื่อง ที่แรมสู้เพื่อปกป้องตัวเอง กรุณาอย่าทำให้แรมหมดความเกรงใจมากไปกว่านี้เลย โดยเฉพาะเรื่องที่จะไปปรักปรำคุณชาย เพราะคืนนั้นพี่เพ็ญไม่ได้ อยู่กับคุณชาย” เดือนแรมเดินหนีไปไม่แยแส
“คุณแม่”
จันทราตะโกนด่าตามไล่หลัง “ยังไงก็ไม่ใช่เรื่องของแก ยังไงคุณชายต้องรับผิดชอบเพ็ญประกาย”
เดือนแรมหันกลับมาด่า “คุณน้าหน้าไม่อาย แล้วยังสอนให้พี่เพ็ญหน้าไม่อายอีก แรมอายแทนจริงๆ” แล้วเดินไป
สองแม่ลูกร้องกรี๊ด จันทราตาเขียว
“อ๋อที่มันกล้าหือ และเอาเรื่องเรา เพราะมันอยากแต่งงานกับคุณชายเองน่ะสิ ลูกอย่ายอมนะเพ็ญประกาย อย่าแพ้มันลูกต้องทำให้คุณชายแต่งงานกับลูกให้ได้”
จันทรากับเพ็ญประกายมองตามเดือนแรมในอาการเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
วันต่อมามะลิ คุยอยู่กับพิม หน้าตาไม่สบอารมณ์นัก
“ไม่รู้แม่จันทราจะหน้าด้านหน้าทนไปถึงไหน รู้ทั้งรู้ว่ายัยเพ็ญไม่ได้พักค้างอ้างแรมกับคุณชาย ยังจะบังคับให้คุณชายรับผิดชอบอีก”
“ก็คุณเพ็ญบอกเองนี่คะ ว่าไปค้างคืนมากับคุณชาย” พิมเองก็เหนื่อยใจ
มะลิถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ยัยเพ็ญก็อีกคน พูดออกมาได้ หน้าไม่อาย ถูกแม่เสี้ยมจนไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี”
แม้นเทพเดินเข้ามาทันได้ยินพอดี “ผมว่าคุณชายเองก็กำลังอึดอัดใจครับคุณแม่...ถ้าพูดความจริง แรมก็เสียหาย และยังไงคุณจันทราก็คงไม่ยอม”
“งั้นถ้าจะให้คุณชายรับผิดชอบคุณเพ็ญ ก็ต้องให้คุณชายรับผิดชอบคุณแรมด้วยสิคะ” พิมออกความเห็น
“พูดถึงแรมแล้วฉันก็โมโห ยังไงก็น่าจะหาวิธีกลับบ้าน ไม่ใช่ไปพักค้างอ้างแรมกับเค้า ถึงผู้ชายคนนั้นจะเป็นคุณชายก็ตามทีเถอะ”
เดือนแรมเดินเข้ามาได้ยินเข้าก็หน้าจ๋อย
แม้นเทพหันไปเห็น “แรม”
“มาก็ดีแล้ว มาคุยกับป้าเลยแรม” มะลินเดินนำออกไป
มะลิเดินออกมาที่บริเวณสวน มีเดือนแรมเดินตามมาหน้าจ๋อยๆ แม้นเทพเดินตามมาหยุดยืนฟังที่ด้านหลัง แต่ไม่ร่วมวงสนทนาด้วย มะลิเอ่ยขึ้น
“ยังไงคืนนั้นแรมก็ทำไม่ถูก”
“แรมขอโทษจริงๆ ค่ะคุณป้า แต่มันเป็นเหตุสุดวิสัยจริงๆ ค่ะ”
มะลิกลุ้มใจหนัก “คุณชายน่าจะคิดแก้ปัญหาที่มันดีกว่านั้น นี่อะไร..ไปพักค้างอ้างแรมกัน ยังไงแรมก็เป็นฝ่ายเสียหาย แล้วนี่ป้าจะมีน้ำหน้าไปเถียงไปด่าแม่จันทราได้ยังไง ว่าคืนนั้นแรมต่างหากที่อยู่กับคุณชาย”
เดือนแรมหน้าเสีย ทุกข์ใจจนน้ำตาคลอ แม้นเทพหน้าบึ้ง กำมือแน่น สงสารเดือนแรมจับใจ มะลิพูดต่อ
“เฮ้อ!!แรมนะแรม ...ไว้ใจเค้า แต่ไม่ไว้เกียรติตัวเองบ้างเลย นี่ถ้าแม่จันทรารู้ ป้าจะทำยังไง? หรือป้าต้องเป็นฝ่ายไปบอกว่าคุณชายต้องรับผิดชอบแรม ไม่ใช่เพ็ญ”
เดือนแรมเอาแต่ก้มหน้าร้องไห้ มะลิว่าต่อด้วยท่าทางเหนื่อยใจ
“เฮ้อ!!ลูกหลานบ้านนี้มันเป็นยังไงกัน ทำแต่เรื่องน่าอับอาย อย่างอื่นป้าจะไม่ว่าเท่านี้หรอก นี่มันเรื่องผู้ชาย รู้ไปถึงไหน อายเค้าไปถึงนั่น”
มะลิเดินเข้าบ้านไป เดือนแรมยังยืนร้องไห้อยู่อย่างนั้น แม้นเทพนึกโกรธธิติรัตน์ขึ้นมา
ในระหว่างที่ธิติรัตน์ วีระและศรัณย์กำลังประชุมกันอยู่ในห้อง แม้นเทพก็เดินพรวดเข้ามาหน้าตาเอาเรื่อง เลขาวิ่งตามมา ธิติรัตน์โบกมือให้เลขาออกไป แม้นเทพปรี่เข้ามากระชากคอเสื้อธิติรัตน์ทันที
“ผมเคยขอคุณชายแล้วใช่มั้ย ว่าไม่ให้ไปยุ่งกับแรมอีก แล้วนี่คุณชายทำอะไร?” แม้นเทพเงื้อหมัดซัดเข้าที่ใบหน้าคุณชายเต็มแรง จนร่างธิติรัตน์เซถลา
เพื่อนสองคนตกใจมาก แม้นเทพเดินตรงเข้าไปกระชากคอเสื้ออีก
“คุณเห็นแก่ตัว เอาแต่ความต้องการของตัวเองเป็นที่ตั้ง”
ธิติรัตน์ทำท่าจะพูดแม้นเทพชกเข้าที่ปากอีกหมัด
“ไม่ต้องมาแก้ตัว เพราะทุกคำที่คุณพูด มีแต่ทำให้แรมเสียหาย” แม้นเทพชี้หน้าด่า “ถ้าคุณชายรักแรม แสดงความเป็นลูกผู้ชายให้ผมเห็นอย่ายุ่งกับแรมอีก”
แม้นเทพเดินออกไปอย่างมีอารมณ์ ธิติรัตน์ยกมือปาดเลือดที่มุมปาก เพื่อนสองคนมองงงงวย
ธิติรัตน์ยืนนิ่ง น้ำท่วมปาก พูดไม่ออก วีระถามด้วยความงุนงงไม่หาย
“เฮ้ย!!นี่มันเรื่องอะไรวะชาย? เดี๋ยวนายสรรชัยก็มาต่อย แล้วนี่ก็พี่ชายแรมอีก ผลัดกันมาซ้อมมือ ลองมือ ลองหมัด กันอยู่ได้”
ศรัณย์ซักต่อ “มีปัญหาอะไรกันนักหนาวะ?”
“นายไปทำอะไรแรม?” วีระถามอีก
“ไม่ได้ทำอะไร” สีหน้าธิติรัตน์ดูออกว่าหนักใจมาก “เพียงแต่..วันที่คุณเพ็ญประกายหนีออกจากบ้าน ฉันกับแรมไปตามแล้วก็ติดฝนด้วยกัน”
ศรัณย์คิดตาม “ทางบ้านแรมเลยเข้าใจผิด?”
คุณชายพยักหน้า “แต่ฉันไม่ได้ทำอะไรให้แรมเสียหายจริงๆ นะ แต่ที่น่าหนักใจมากกว่านั้น คุณเพ็ญประกายบอกว่าคืนนั้นเธออยู่กับฉัน”
ศรัณย์หันขวับมามองธิติรัตน์ วีระตกใจ รีบถาม
“อะไรนะคุณเพ็ญประกายบอกว่าอยู่กับนาย?”
ธิติรัตน์พยักหน้า “ฮื่อ!!มันเลยเป็นเรื่องวุ่นวายขึ้นมาหมด กลายเป็นว่าฉันจับปลาสองมือ ฉันไม่ให้เกียรติ ฉันไม่ให้ค่า ฉันหลอกลวงแรม และที่สำคัญ...ฉันต้องรับผิดชอบด้วยการแต่งงานกับคุณเพ็ญประกาย”
ศรัณย์ซีดหน้าถอดสี วีระมองธิติรัตน์อย่างเห็นใจ ไม่มีใครสังเกตศรัณย์ วีระบ่นต่อ
“อยู่กับคน แต่อีกคนบอกให้รับผิดชอบ เป็นฉันๆ ก็ไปไม่เป็นว่ะชาย” วีระหันมาทางศรัณย์ “รึแก ว่าไงศรัณย์?”
ศรัณย์อ้ำอึ้ง “ฉันก็คงเหมือนกันกับนายชายนั่นแหละ”
“ฉันเป็นห่วงแรมมากกว่า ลองคุณแม้นเทพบุกมาขนาดนี้ แรมแย่แน่
ธิติรัตน์สุดแสนจะเป็นห่วงเดือนแรม
ไม่นานหลังจากนั้น ในขณะที่เดือนแรมนั่งร้องไห้อยู่ในสวนบ้านมะลิ ธิติรัตน์ที่หน้าตาปูดบวมเขียวช้ำเพราะถูกแม้นเทพต่อย เดินเข้ามาเรียก
“แรม”
เดือนแรมสะดุ้ง “คุณชาย”
“ฉันรู้เรื่องหมดแล้ว”
เดือนแรมตกใจ มองจ้องหน้าธิติรัตน์ “แล้วนี่คุณชายเป็นอะไร ทำไมหน้าตาเป็นแบบนี้”
“ฝีมือคุณแม้นเทพ แต่สมควรแล้ว ที่ฉันต้องเจอแบบนี้”
“เราจะทำยังไงดีคะคุณชาย?”
สีหน้าธิติรัตน์นิ่งเฉย เหมือนคิดอะไรอยู่
ในเวลาต่อมา สองคนยืนอยู่ริมน้ำสวย บรรยากาศร่มรื่น ทอดสายตามองไปเป็นทิวเขาหลายลูกสูงลดหลั่นกัน ส่วนด้านหน้าเป็นแม่น้ำ เดือนแรมมองไปทั่วบริเวณด้วยความสงสัย
“คุณชายพาแรมมาที่นี่ทำไม?”
“นักสืบของฉัน บอกว่าเห็นคุณเมิน อยู่ที่นี่”
“คุณพ่อ...” เดือนแรงงงหนัก “คุณพ่อมาทำงาน แล้วมันเกี่ยวอะไรคะ?”
“เกี่ยวกับความจริงที่เรากำลังตามหา...
เดือนแรมยิ่งงง ธิติรัตน์พูดต่อ
“ฉันว่าสิ่งที่ฉันกำลังทำ กับที่คุณเมินทำ คงไม่ได้ต่างกันหรอก สำคัญก็แต่คุณเมินจะกล้ายอมรับกับฉันหรือเปล่า ว่ากำลังทำอะไร?”
เดือนแรมยังไม่เข้าใจอยู่ดี เหมือนมีคนมองมา ธิติรัตน์หันขวับ เหมือนเห็นร่างเมินแวบๆ
“คุณเมิน”
เดือนแรมดีใจ มองตาม “ไหนคะ คุณพ่ออยู่ที่ไหน?”
“ฉันเห็นเหมือนอยู่ตรงนั้น รีบตามมาแรม”
ธิติรัตน์รีบไปทันที เดือนแรมตามติด
ธิติรัตน์วิ่งตามหาเมินมาถึงบริเวณริมน้ำ
“คุณเมิน คุณเมินครับ”
“คุณพ่อคะ...คุณพ่อ คุณพ่อออกมาหาแรมสิคะ?”
สองคนสอดส่องมองหาตามมุมต่างๆ แต่มองไม่เห็นเมิน ในขณะมี่เมินยืนมองธิติรัตน์กับเดือนแรมอยู่ เดือนแรมถามย้ำกับคุณชาย
“คุณชายเห็นคุณพ่อจริงใช่มั้ยคะ?”
ธิติรัตน์พยักหน้ายืนยัน “ใช่และที่นักสืบบอกฉัน คุณเมินยังอยู่ที่นี่ แต่คุณเมินจงใจหลบพวกเรา”
เดือนแรมพูดเสียงแผ่วๆ “คุณพ่อทำอะไร?”
เมินยืนอยู่อีกมุมหนึ่ง มองเดือนแรมกับธิติรัตน์ด้วยสายตากังวล ก่อนจะเดินผละจากไป ธิติรัตน์มองหาพึมพำกับตัวเอง
“ขอให้สิ่งที่ฉันกับคุณเมินทำ เป็นเรื่องเดียวกัน ทั้งเรื่องของเธอ คุณจันทรา มาหยารัศมี ความจริงทุกอย่างจะได้กระจ่างซักที”
ธิติรัตน์กวาดสายตามองหาเมิน และเดินต่อไป เดือนแรมเดินตาม
ศรัณย์เดินวนไปวนมาอยู่ ในห้องทำงาน ท่าทางคิดหนัก ก่อนทรุดลงกายที่เก้าอี้ แววตาครุ่นคิดกังวล เสียงธิติรัตน์ดังก้องในหัว
“แต่ที่น่าหนักใจมากกว่านั้น คุณเพ็ญประกายบอกว่าคืนนั้นเธออยู่กับฉัน”
“คุณเพ็ญต้องถูกคุณจันทราบังคับให้พูดอย่างนั้นแน่ๆ”
ศรัณย์ลุกพรวดเดินออกไปท่าทางร้อนใจและห่วงเพ็ญประกายเหลือเกิน
เพ็ญประกายยืนหน้าตาบึ้งตึงเมื่อนึกถึง ภาพตอนที่ดุจแขบอกตนว่าอยู่กับคุณชายทั้งคืน
ยิ่งคิดเพ็ญประกายก็ยิ่งหนักใจ
“หรือเราควรจะคุยกับคุณชายให้รู้เรื่องไปเลย จะได้จบๆหมดปัญหากันไปซักที”
ถอนหายใจเหนื่อยหน่ายหยิบมือถือขึ้นมาโทร.ออก
ธิติรัตน์อยู่กับเดือนแรมที่ริมน้ำแห่งนั้น สองคนยังตามหาเมินกันอยู่
ระหว่างนั้นเสียงมือถือดังขึ้น
“คุณเพ็ญโทร.มา” ธิติรัตน์มองมือถือที่ส่งเสียงดังไม่หยุด โดยไม่ยอมรับสาย
เดือนแรมรู้สึกเห็นใจเพ็ญประกาย “รับสายพี่เพ็ญหน่อยนะคะ”
“ไม่!! ฉันไม่อยากคุยด้วย คุณเพ็ญจะให้ฉันแต่งงานกับมาหยารัศมี ฉันยังพอเข้าใจได้ แต่การที่คุณเพ็ญบอกว่า ไปค้างคืนกับฉัน ฉันไม่เข้าใจไปตามหาคุณเมินต่อกันดีกว่าแรม”
ธิติรัตน์เดินหนีไปไม่แยแสที่จะรับสายเพ็ญประกาย
เพ็ญประกาศถือโทรศัพท์ยืนอึ้ง
“ขนาดจะคุยดีๆ คุณชายยังไม่ยอมรับโทรศัพท์...คุณชายเห็นเพ็ญเป็นตัวอะไร”
เพ็ญประกายเดินออกไป
เดือนแรมยืนนิ่งมองตามธิติรัตน์ท่าทางไม่สบายใจก่อนเดินตามไป
เพ็ญประกายยืนกอดอก น้ำตาคลอ ดูออกว่าไม่ใช่อารมณ์นางอิจฉา แต่โกรธระคนน้อยเนื้อต่ำใจ ด้วยความถือดี
“ยิ่งคุณชายทำเหมือนรังเกียจเพ็ญแค่ไหน เพ็ญยิ่งไม่ปล่อย รู้ไว้ด้วย” เพ็ญประกายคิดอยู่ในใจ
แป้นเข้ามาหา หน้าตาแปลกๆ “คุณเพ็ญคะ”
เพ็ญประกายแว้ดใส่หน้า “มาหยารัศมี”
“ค่ะๆ แป้นขอโทษค่ะ..คือ...คือ”
“มีอะไร?”
“มีคนมาหาคุณเพ็ญค่ะ...เป็นผู้ชาย เค้าบอกว่าชื่อศรัณย์”
เพ็ญประกายตกใจ “คุณศรัณย์” รีบออกไปทันที
จันทราเดินหน้าหงิกเข้ามา “คุณมาหยาไปไหนน่ะนังแป้น?”
“ออกไปหาคุณศรัณย์ค่ะ”
“ใครศรัณย์” จันทราฉงน
“ไม่ทราบค่ะ เป็นผู้ชาย สูงใหญ่ หน้าตาพอไปวัดไปวาตอนสายๆ ได้”
สีหน้าจันทราไม่พอใจมากๆ “หน้าตาแค่พอไปวัดได้แค่นั้นเหรอ?” รีบออกไปทันที
ศรัณย์ยืนคอยอยู่ เพ็ญประกายออกไปหา ศรัณย์หันมาพูดด้วยความเป็นห่วง
“คุณเพ็ญเป็นยังไงบ้างครับ ผมเป็นห่วง”
เพ็ญประกายมองอย่างเต็มตื้น รับรู้ความห่วงใย และความจริงใจ รู้สึกดีขึ้นมาอีก ยิ้มบางๆ ให้
“ขอบคุณมากค่ะ เพ็ญสบายดี”
“สบายดี? แต่สายตาคุณเพ็ญไม่เห็นบอกผมว่าเป็นอย่างนั้น”
เพ็ญประกายส่งสายมองลึกซึ้ง “คงมีคุณศรัณย์เพียงคนเดียว” ตื้นตันจนน้ำตาคลอ “ที่มองเพ็ญด้วยสายตาที่ลึกซึ้งอย่างนี้ คนอื่นเค้าไม่เคยมอง...”
ศรัณย์ทอดยิ้มอ่อนโยน “มันก็ไม่จำเป็นนี่ครับ ที่ผมจะต้องทำเหมือนคนอื่น” พูดด้วยความเป็นห่วง “แล้วนี่คุณเพ็ญได้เปิดใจคุยกับคุณแม่หรือยัง?”
จันทราเดินเข้ามาพูดขัดขึ้น “จะเปิดใจคุยอะไรกับฉันไม่ทราบ”
สองคนตกใจหันมาทางเสียง
“คุณแม่”
ศรัณย์ไหว้ทักทาย “สวัสดีครับคุณแม่”
จันทรามองตาเขียว “หน้าตาอาวุโสกว่าฉันอีก มาเรียกฉันคุณแม่? คนพูดจาหยาบคาย ไม่มีมารยาทอย่างคุณ รู้เอาไว้ บ้านนี้ไม่ต้อนรับ”
เพ็ญประกายหน้าเสีย “คุณแม่”
จันทราด่าไม่ไว้หน้า “นี่ก็เหมือนกัน หัดพูดรึไง เรียกคุณแม่ๆๆ อยู่นั่นล่ะ เข้าไปในบ้านเดี๋ยวนี้”
ศรัณย์เรียกไว้ “เดี๋ยวก่อนครับ ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณเพ็ญ”
“ใครเพ็ญ? นี่คือคุณมาหยารัศมี ว่าที่เจ้าสาวของคุณชายธิติรัตน์ กมเลศ!” จันทราประกาศกร้าว
เพ็ญประกายมองศรัณย์สีหน้าอับอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ศรัณย์ยิ่งมองยิ่งเห็นใจ
“ผมว่าคุณเพ็ญควรเปิดใจคุยกับคุณแม่นะครับ”
จันทราแว้ดใส่ “เอ๊ะ! คุณนี่ เป็นบ้ารึไง ใครมีปัญหาอะไร ถึงจะต้องมาเปิดใจคุยกัน กลับไปเดี๋ยวนี้นะ กลับไป๊” ชี้มือไล่
เพ็ญประกายจับมือแม่ห้ามไว้ “อย่าค่ะคุณแม่”
จันทราสะบัดออก “เข้าบ้านไปยัยเพ็ญ ไป๊” หันมาพูดกับศรัณย์ “ไปได้แล้ว ไป๊ แน่ะ!ยังไม่ไปอีก” จันทราคว้าไม้แถวนั้นมาทำท่าจะไล่ทุบ
ศรัณย์ รีบเผ่น “ไปแล้วครับไปแล้ว” แต่ยังตะโกนมาบอกเพ็ญประกาย “คุณเพ็ญ..ผมเป็นห่วง แล้วผมจะมาหาใหม่นะครับ”
จันทราวิ่งไล่ตามศรัณย์ เงื้อไม้จะฟาดใส่ด้วยความโมโห
“ห่วงชีวิตตัวเองก่อนเถอะ อย่ามายุ่งกับลูกสาวฉันอีก ไม่อย่างนั้น แกตาย! ไปยัยเพ็ญเข้าบ้าน” จันทราแล้วลากเพ็ญเข้าไป
ศรัณย์หันกลับ ได้แต่มองตามเพ็ญประกายด้วยความสงสารจับใจ
“ขนาดคุณเองยังเผลอเรียกเพ็ญ..แล้วจะบังคับให้คุณเพ็ญเป็นมาหยารัศมีได้ยังไง?”
นับวันศรัณย์ยิ่งเห็นใจเพ็ญประกายมากขึ้น
อ่านต่อตอนที่ 15