บ่วง ตอนที่ 14 อวสาน
หน้าห้องไอซียู...รัมภา รัสตี้ ไลล่า วรรณศิกา มายืนดูศามนผ่านหน้าต่างเหมือนเดิม อาการวันนี้ของศามนยังไม่ดีขึ้น
“แด๊ดดี้” รัสตี้มองพ่ออย่างเป็นห่วง
“ทำไมเขาไม่ไห้เราไปหาแด๊ดดี้ล่ะคะ” ไลล่าถาม
“หมอห้ามเยี่ยม เดี๋ยวจะเอาเชื้อโรคไปติดน่ะลูก”
อนุกูลเดินหน้าเซ็งมา มาหาวรรณศิกาที่ยืนอยู่ห่างๆ คุยกันได้ยินกันสองคน
“เอ๊า ไหนว่าไปดูหนัง” วรรณศิกาถาม
“เวลาแบบนี้ ใครจะไปดูลง”
“เอ๊า แล้วไปชวนหนูพัชทำไม”
อนุกูลยักไหล่
“ก็มันอยากลองถาม ดูว่าเขาจะตอบยังไง”
ขณะเดียวกัน ไลล่าเริ่มร้องไห้โยเยน่าสงสาร
“แด๊ดดี้ ป่วยหนักใช่ไหม แด๊ดดี้จะตายไหม”
“ไลล่า!“ รัสตี้ดุไม่ให้พูด
รัมภากอดลูก น้ำตาร่วงทั้งแม่ลูก คุณหญิงอบเชยปรากฏร่างขึ้น ขณะที่ทุกคนมาเฝ้าศามนกันหมด
“ศามน...หลานอุตส่าห์สู้กับใจตนเอง จนช่วยลูกไว้ได้ อีกนิดเดียวนะ ทำได้อีกครั้งใช่ไหม ฟื้นขึ้นมานะ...ฟื้นขึ้นมา!”
คุณหญิงพยายามร้องเรียก
ค่ำคืนนั้น...รัมภานั่งสมาธิในห้องพัก ระลึกถึงคำพูดของครูบาขวัญเมืองที่บอกไว้...
‘สติปัญญาที่แท้ จะเกิดขึ้นเมื่อจิตประภัสสร จิตที่ใสสว่างด้วยปัญญาจะเกิดขึ้น เมื่อไม่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของกิเลส เมื่อสีกาทั้งสอง ยังตกอยู่ภายใต้อารมณ์โกรธ สีกาทั้งสองจะไม่มีวันเจอหุ่นรูปรอย”
รัมภานั่งสมาธิต่อไป บอกตัวเองอย่างมุ่งมั่น...
“แม้ในเวลาที่ยากเย็นที่สุด คนที่ฉันรักกำลังจะตายอีกครั้ง ฉันก็จะทำเหมือนเดิม ฉันขอแผ่เมตตาให้คุณยายแพง คนที่ทำลายชีวิตฉัน ฉันจะให้อภัยคุณ ฉันจะแผ่เมตตาให้คุณ ขอให้เวรกรรมที่มีต่อกันสิ้นสุดกันแต่ในชาตินี้เถิด”
แพงนั่งหน้าเศร้าอยู่ในวัด ขณะที่ครูบาขวัญเมืองนั่งสมาธิ หลับตา และกำลังสัมผัสได้ถึง กระแสจิตที่รัมภาส่งมา ครูบาขวัญเมืองจึงยิ้มพอใจมาก ครูบาขวัญเมืองพึมพำไปหลับตาไป
“สีการัมภา คุณทำได้แล้ว ทำในสิ่งที่มนุษย์น้อยคนจะทำได้”
ทันใด...เกิดแสงส่องมาที่ตัวแพง ครูบาขวัญเมืองประกาศชัยชนะของรัมภาด้วยเสียงอันมั่นคง
“คู่เวรคู่กรรมของเจ้าจะอยู่เหนือเจ้านับจากนี้ รัมภาจะมีชัยชนะอันถาวรต่อนางแพงนับจากนี้ สาธุ”
แพงอึ้งคาดไม่ถึง ถึงกับรำพึงออกมา
“นางชื่นกลิ่น”
ทางด้านรัมภายิ้มออกมา เกิดปิติขึ้นมาในใจ สุขใจ พอใจ ขณะที่ภาพในอดีตผ่านมาให้เห็น ราวกับสายน้ำไหลเข้ามา ตั้งแต่ชื่นกลิ่นแต่งงานกับหลวงภักดีบทมาลย์ แพงแอบเอาใจคุณหลวง รัมภาพยายามมองอดีตที่เป็นความลับของแพง กระทั่งเห็นแพงหิ้วห่อผ้า...
“ห่อผ้า ห่อผ้าอะไร”
รัมภาที่ยังอยู่ในสมาธิสงสัยมาก แล้วเธอก็นึกถึงเหตุการณ์ที่เดือนแรม ที่ถามว่าที่บ้านนี้มีกลิ่นเหมือนดอกไม้ หอมเย็นดีจัง
“ดอกลีลาวดี อยู่ข้างหลังนี่เอง หอมดีนะครับ” ศามนบอก
“อี๊ เหม็น” ไลล่าบ่น
“ใครๆก็บอกว่าเหม็น เห็นมีแต่คุณสองคนบอกว่าหอม ยิ่งคุณมนนี่ชอบมากเลย ไปนอนเล่นได้เป็นวันๆ” รัมภาเสริม
ศามนมองต้นลั่นทม
“คุณยังชอบต้นลั่นทมต้นนี้เหมือนเดิม” รัมภาบอก
“คุณภา”
“คุณชอบว่ามันหอม แต่ฉันรู้สึกว่ามันเหม็น”
รัมภาที่นั่งสมาธิอยู่ก็ยิ้มออกมา รำพึงออกมาเบาๆ
“รู้แล้ว...รู้แล้วว่าอยู่ไหน รู้แล้ว”
รัมภาลืมตาตื่นขึ้นมั่นใจมาก พูดออกมา
“คุณแม่ขา หนูรู้แล้วค่ะ ว่าหุ่นรูปรอยอยู่ที่ไหน”
วันต่อมา...รัมภายืนรออยู่ที่หน้าเรือนเล็ก... พัชนีเดินนำ คำ หล้า บุญสืบเข้ามา
“คุณภา พอคุณภาสั่งพัชก็ทิ้งงานไปรับพวกของบุญสืบมาทันที”
รัมภาพยักหน้าขอบคุณ
อนุกูลเพิ่งมาถึงเดินเข้ามา
“คุณภา นี่มันเกิดอะไรขึ้นครับ”
“คุณมาด้วยหรือคะ พัชโทรหาคุณทั้งวัน นึกว่ามือถือคุณมีปัญหาเสียอีก” พัชนีหันไปถาม
อนุกูลยังงอน เมินหน้าหนี พัชนีมองน้อยใจ เสียใจ
“เราต้องช่วยกันค่ะ ฉันตามทุกคนมา อยากขอความช่วยเหลือจากทุกคน”
รัมภาเดินนำทุกคนไป ที่ใต้ต้นลั่นทมมีอุปกรณ์วางอยู่แล้ว
“ใต้ต้นลั่นทมนี้ มีหุ่นรูปรอยฝังอยู่ เราต้องขุดให้เจอค่ะ”
“หุ่นรูปรอย” อนุกูลสงสัย
“ของอาถรรพณ์ที่ผีแพงสร้างไว้ เพื่อผูกมัดจิตวิญญาณของคุณศามน ตอนนี้คุณศามนป่วยหนัก ถ้าเราพบมันทันเวลา คุณมนก็จะไม่ตาย เธอจะรอดค่ะ”
“หา เอางี้เลยหรือ” อนุกูลตกใจ
พัชนีเชื่อทันทีแจกอุปกรณ์
“จริงหรือไม่จริงเดี๋ยวก็รู้กัน เอ้านี่ค่ะ รับอุปกรณ์ เราทุกคนช่วยกันค่ะ”
ทั้งหมดแยกย้ายกันขุด ที่โคนต้นลั่นทมในมุมต่างๆ
หน้าห้องไอซียู...รัสตี้ไลล่านั่งเล่นเกมวาดรูปอยู่มุมหนึ่ง ไม่ได้สนใจเรื่องผู้ใหญ่อะไรมาก วรรณศิกานั่งอ่านหนังสือ รอฟังข่าวศามน พอดีหมอมากับพยาบาล เร่งรีบเดินผ่านไปเหมือนมีเรื่องอะไร
วรรณศิกาลุกขึ้นตามไปดู พึมพำ
“หน้าเครียดเชียว มีเรื่องอะไร...มีเรื่องอะไร”
วรรณศิกาไปแอบดูที่ช่องหน้าต่างกระจก พบว่าหมอกับพยาบาลเดินตรงไปหาศามน ในห้องไอซียู วรรณศิกาเป็นห่วงมาก
“โธ่ คุณมน”
ทุกคนกำลังขุดอยู่รอบๆต้นลั่นทม
“คุณพระช่วย ผมเจอแล้ว” อนุกูลร้องลั่น
“เจอแล้ว เจอแล้วจริงๆหรือคะ” รัมภาดีใจ
อนุกูลก้มลงจะหยิบห่อผ้าเก่าคร่ำคร่าที่ฝังอยู่ในดิน ออกมากางออก เห็นหุ่นคู่ หุ่นดลใจ ผ้าเช็ดหน้าพับเป็นรูปดอกไม้ วางเรียงราย อนุกูลจะจับหุ่น ทันใดเสียงครูบาขวัญเมืองดังขึ้น
“อย่าแตะมัน วางไว้ตรงนั้น”
ครูบาขวัญเมืองเดินมาเมื่อไหร่ ไม่มีใครรู้ ทุกคนตกใจ นั่งลงคุกเข่า บุญสืบเสียงสั่น
“มาได้ยังไง เหาะมาหรือเปล่า เมื่อกี๊ยังไม่เห็น ครูบาเอาน้ำมนต์เป็นขวดแก้วออกจากย่าม ยกขึ้นพนมจนเกิดแสงเรืองรอง เมื่อสิ้นสุดคำอธิษฐาน
“ขออัญเชิญอำนาจแห่งพระไตรรัตน์ ขออัญเชิญอำนาจแห่งเทพยดา ขออัญเชิญอำนาจแห่งคุณงามความดีทั้งปวง จงดลบันดาลให้คนดีและความดีมีชัยสืบไป”
ครูบาขวัญเมืองเทน้ำมนต์ลงไปในหุ่นคู่ ตามด้วยดอกไม้จัน ของทั้งสองอย่างเหมือนโดนน้ำกรด ละลายไปทันที เสียงกรี๊ดดังขึ้น แพงนอนดิ้นเจ็บปวดอยู่กับพื้น กรี๊ดๆ
พวกของรัมภาได้ยินกันหมด ตกใจมองหน้ากัน บางคนจับหู บางคนตาเหลือก บางคนจับปาก ได้ยินเสียงแพงกันทั่วหน้า แต่ไม่เห็นตัว
“เสียงอะไร ข้าไม่ได้หูฝาดใช่ไหม” คำตกใจ
“ไม่ได้ฝาด จัดมาเต็ม” หล้าบอกอย่างตื่นเต้น
“หุ่นเดี่ยวๆนั่นหุ่นใครคะ” พัชนีสงสัย
ครูบาขวัญเมืองรดน้ำมนต์ลงไปที่หุ่นดลใจ ละลายสลายไปในดิน
ในห้องไอซียู...สัญญาณชีพการรักษา ที่เริ่มดีขึ้น หมอมองที่เครื่องต่างๆแล้วพยักหน้า พยาบาลยิ้มให้ สีหน้าผ่อนคลาย
หมอเดินออกมา วรรณศิการีบพุ่งเข้าไปถาม
“เป็นยังไงบ้างคะหมอ”
“ยาที่ให้ไปเมื่อคืน ใช้ได้ ตอนนี้ปลอดภัยแล้วครับ ขอดูอาการอีกสักวันหนึ่ง ถ้าเรียบร้อย ก็จะย้ายไปห้องปกติ !”
วรรณศิกา รัสตี้ และไลล่า ต่างก็ดีใจกันมาก
ขณะเดียวกัน เดือนแรมที่นอนอยู่ในโรงพยาบาล จู่ๆร้องกรี๊ดขึ้นมา ดิ้นเร่าๆ
“กรี๊ดๆๆๆ”
พยาบาล รีบวิ่งเข้ามา กดมือเดือนแรมไว้
“คุณคะหยุด หยุดค่ะ คุณคุณค่ะ”
พยาบาลอีกคนวิ่งมาจับไว้ช่วยกันสองคนยังจับไม่อยู่ เดือนแรมร้องกรี๊ดๆ อาละวาด
ครูบาขวัญเมืองนั่งบนเก้าอี้ คนอื่นนั่งห่างมาที่พื้นในห้องรับแขกของเรือนเล็ก
“พระคุณเจ้า ท่านโปรดเมตตามาช่วย ดิฉันกราบขอบพระคุณ”
รัมภากราบลงไปที่พื้นตรงหน้า
“อาตมาดีใจที่สีกาเข้าใจทุกอย่าง ยอมอโหสิให้นางแพง เพราะเหตุนี้ สีกาจึงเกิดปัญญาล่วงรู้ว่า หุ่นรูปรอยอยู่ที่ไหน เพราะเหตุนี้ สีการัมภาจึงเป็นฝ่ายชนะ เพราะชัยชนะที่แท้คือการให้อภัย”
“นี่หมายความว่า พระคุณเจ้ามาปราบผีแล้ว ปราบได้สำเร็จแล้ว บ้านนี้จะไม่มีผีอีกแล้วใช่ไหมครับ” บุญสืบถาม
“สีกาแพงจะติดตามเรียนธรรมะกับอาตมา จะไม่ปรากฏกายหลอกหลอนใครอีกนับจากนี้”
“สาธุ ธรรมะชนะอธรรมจริงๆ อีคำเอ๊ย” หล้ายิ้มอย่างสบายใจ
“พวกเราจะได้กลับมาอยู่ที่บ้านนี้แล้ว โฮ้ย ดีใจๆ”
บุญสืบบอก ทุกคนยิ้มให้กันอย่างมีความสุข
หลายวันต่อมา...ศามนตื่นอยู่ นั่งอยู่ สีหน้าสดชื่น เหมือนคนปกติ รัมภาเดินเข้ามาหา
“ยังเจ็บไหม”
“ไม่เจ็บเท่าเจ็บใจตัวเอง ทำไมถึงทิ้งผู้หญิงสวยอย่างกับรูปปั้นได้”
ทั้งสองมองกัน เหมือนจากกันมานานแสนนาน สายตาเต็มไปด้วยความรัก
“ฉันคิดถึงคุณ”
รัมภาเอามือมาแตะ ศามนมองมือนั้น เศร้าๆ
“ผมสกปรก ผมอยู่กับผู้หญิงคนอื่น”
“ไม่...ความรักไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต เพราะเราไม่รู้ว่า จะตายเมื่อไหร่ ฉันจะไม่ให้เรื่องในอดีต มาตัดสินเราอีก ต่อไปนี้ทุกนาทีของความรัก คือสิ่งมีค่า”
ศามนน้ำตาคลอ ดึงรัมภามากอด
“แม่พระของผม”
“เราไม่ได้ชนะเพราะอิทธิฤทธิ์ แต่ความรักของคุณชนะทุกอย่าง”
ศามนเลื่อนมาจูบหน้าผาก แล้วหยุดไว้ที่หน้าผากชนหน้าผาก น้ำตาคลอทั้งสองคน
“เราเคยกอดกัน จูบกัน มากี่ร้อยกี่พันครั้งนะ ทำไมผมยังรู้สึกดีอยู่เลย ผมคิดถึงคุณ คิดถึงคุณจริงๆ”
ทั้งสองกอดกันอย่างมีความสุข และอบอุ่นหัวใจ
เดือนแรมกลายเป็นคนบ้าเดี๋ยวซึม เดี๋ยวกรี๊ด มีดีดี้ดูแล ขณะที่ดีดี้ป้อนข้าวให้ เธอนั่งเหม่อลอย
“คุณนาย...คุณนายกินซะหน่อยนะ”
เดือนแรมมองไปรอบๆ เกิดอาการประสาทหลอน
“ผี...มีผี...ผีหลอก”
“โฮ้ย ผีเผอที่ไหนมีเล่า กินข้าวจะได้กินยาไงพี่”
“ไม่ ผี มีผี ผีตามหลอก ไม่”
เดือนแรมอาละวาดปัดชามข้าวกระเด็นไป
“หมด หมดกัน โฮ้ย ทำไงดีล่ะวะเนี่ย”
วรรณศิกากับพัชนีแอบมองอยู่ ที่ช่องมองหน้าห้อง
“คุณหมอกำลังจะส่งไปโรงพยาบาลเฉพาะทาง สำหรับคนโรคจิตน่ะ”
“นี่แหล่ะ...สัตว์โลก ย่อมเป็นไปตามกรรม” พัชนีมองอย่างเวทนา
เพ็ญนอนรักษาตัวอยู่อีกห้องหนึ่งของโรงพยาบาล รัมภามาเยี่ยม เพ็ญตื่นขึ้นมามอง
“คุณชื่น...คุณชื่นของเพ็ญ”
“หมอบอกว่า อาการทวดเพ็ญดีขึ้นมาก อีกวันสองวัน ก็คงกลับบ้านได้สู้ๆนะคะ ทวดเพ็ญ”
เพ็ญมีอาการเพ้อ อิดโรย แต่แววตาแจ่มใส เหมือนพร้อมแล้ว เพราะแพงก็ไปแล้ว
“กลับบ้าน กลับบ้านหรือ”
“คิดถึงบ้านแล้วหรือคะ”
เพ็ญมองไปที่มุมห้อง ยิ้มดีใจน้ำตาไหล
“คุณหญิง คุณหญิงมาพาฉันกลับบ้านแล้ว”
“คุณหญิง...หรือว่า...”
รัมภามองตาม วิญญาณของอบเชยก่อร่างขึ้นแต่รัมภาไม่เห็น เพ็ญเห็นคนเดียว
“เพ็ญ เธอจงรักภักดีกับฉันเสมอมา ขอบใจนะ ขอบใจสำหรับทุกอย่าง” คุณหญิงอบเชยยิ้มให้
“คุณหญิง เพ็ญกำลังจะกลับบ้าน”
เพ็ญยิ้มให้ แล้วหลับตาลง หมดลม สิ้นใจ รัมภาตกใจ แตะตัว จับมือ จับชีพจร
“ทวดเพ็ญ ทวดเพ็ญ คุณพระช่วย”
รัมภากดเรียกหมอ
“คนไข้ เอ้อ ช่วยเข้ามาดูหน่อยค่ะ...” รัมภาถอนใจ ตั้งสติ “หลับให้สบายนะคะ ทวดเพ็ญ...”
อ่านต่อหน้า 2
บ่วง ตอนที่ 14 อวสาน (ต่อ)
วันต่อมา รัมภาใส่บาตร แล้วกรวดน้ำที่ใต้ต้นไม้
“ขออุทิศส่วนกุศลทั้งปวงแก่ทวดแพง ทวดอบเชยและทวดเพ็ญ ขอให้ทุกท่านได้ไปสู่สุคติ”
ฃ่วงเวลาเดียวกันนั้น...แพงเริ่มมีอาการสงบลง แจ่มใสขึ้น กลายเป็นนั่งเหม่อ คลายอาการโกรธแค้นลงไปแล้ว เหลือแต่อาการไม่รู้ตัว แบบคนสติไม่ดี
ครูบาขวัญเมืองที่นั่งสมาธิ ลืมตาขึ้นมอง
“สีกาแพง”
แพงเหม่ออีก
“สีกาแพง”
“สีกาแพง...ท่านเรียกดิฉันหรือเจ้าคะ ชื่อฉันหรือคะ” แพงงง
“เบื่อไหมที่อยู่ตรงนี้”
แพงมองโซ่ ยิ้มให้ มีท่าทางเคารพครูบาขวัญเมืองมากกว่าเดิม
“คนที่โกรธแค้นคนอื่นเมื่อยามมีชีวิต ก็เหมือนเตรียมจิตตัวเองเอาไว้ เพื่อไปเกิดในภพของอสุรกาย เพราะอสุรกายนั้นมีแต่ความโกรธเกลียด”
แพงนึกตามได้ บอกครูบาขวัญเมืองเหมือนเด็กที่นึกอะไรออก โพล่งออกมา แววตามีประกายของเด็กที่ไม่รู้ เหมือนคนบ้าที่ไม่มีสติ ไม่มีความจำ
“อีแพงผีบ้า อีแพงผีบ้า”
ครูบาพยักหน้าว่าถูกต้อง
“ใช่ เป็นอีแพงผีบ้า เพราะฉะนั้น อย่ายึดมั่นติดอยู่ในความโกรธ ปล่อยใจให้ออกไปจากความแค้นความริษยานั้นเสีย สักวันโซ่ที่ล่ามอยู่นั่น ก็จะหลุดออกไปเอง”
“แล้วโซ่ที่ล่ามอยู่ที่ตัวดิฉันล่ะคะ”
เสียงคุณหญิงอบเชยดังขึ้น จากนั้นก็ปรากฏร่าง คลานเข้ามากราบครูบาขวัญเมือง
“คนนี้ อีคุณหญิง...อีคุณหญิง”
แพงนึกได้ กลัว ถอยหนี ก้มหน้าหลบตา ไร้พิษสงแล้ว กลายเป็นผีบ้าธรรมดา
“หากดิฉันปล่อยใจตัวเองให้เป็นอิสระ โซ่ที่ล่ามจะหลุดไปด้วยไหมเจ้าคะ พระคุณเจ้า” คุณหญิงถาม
“รู้ด้วยหรือว่าตัวเองก็มีโซ่ล่าม” ครูบาขวัญเมืองถาม
“ดิฉันขอติดตามเรียนธรรมะจากท่านด้วยได้ไหมคะ”
ครูบาขวัญเมืองพยักหน้า ปิดตานั่งสมาธิต่อ คุณหญิงเริ่มนั่งสมาธิตาม แพงมองมา นึกสนุกเลยนั่งสมาธิตามด้วย
วรรณศิกา กับพัชนีนั่งคุยกันอยู่ที่ห้องทำงาน...
“คุณนุเป็นไงบ้าง” วรรณศิกาถามอย่างเป็นห่วง
“หลายวันแล้วที่เขาไม่รับโทรศัพท์พัชเลย แต่เขารับสายคุณรัมภา แสดงว่ารับสายทุกคนยกเว้นพัช” พัชนีบอกเศร้าๆ
“เรื่องดูหนังไม่ดูหนัง ไม่ได้ทะเลาะรุนแรงสักหน่อย ทำไมต้องทำเป็นเรื่องใหญ่ด้วย”
“พัชส่งข้อความไปบอกว่าขอโทษ เขาก็ไม่ตอบ...ไม่ตอบ...ไม่สนใจพัชทำใจแล้วค่ะพี่วรรณ” พัชนีเศร้ามาก
อนุกูลเดินเข้ามา ถือเอกสารมา อีกมือคุยโทรศัพท์ ทำงานวุ่นวายหน้าตาปกติ ตรงมาหาวรรณและพัชนี ขณะที่พูดโทรศัพท์ไปด้วย
“ไม่ใช่ครับ ออเดอร์ที่สั่งมาไม่ได้มีปัญหา ผมจะให้คุณชาติช่วยดูใบวางบิลหน่อย ตัวเลขมันผิด ผมจะให้เลขาส่งเมล์กลับไปให้ตรวจ”
อนุกูลหันมาบอกพัชนีสีหน้าเฉยๆ พร้อมส่งเอกสารให้
“เมล์อันนี้ให้คุณชาติเดี๋ยวนี้เลย”
อนุกูลหันไปคุยโทรต่อ พร้อมเดินจากไป
“ครับใช่ครับ แต่รีบหน่อยนะครับ”
“ได้ค่ะ”
พัชนีตอบไปแล้วจ๋อย เขาหันหนีไปแล้ว ไม่สนใจฟัง อนุกูลเดินจากไปแล้ว คุยโทรไปด้วย ดูราวกับว่า อนุกูลและพัชนี เหลือเพียงแค่เพื่อนร่วมงาน พัชนีมองวรรณศิกาหน้าเศร้า แล้วหันไปทำงานที่หน้าคอมกับเอกสารที่ได้มา
“บอกแล้วอย่ากินไก่วัด มาคุทั้งแผนกเลยไหมล่ะ เฮ้อ อึดอัดโว้ย”
วรรณศิกาบ่น แล้วหันไปทำงานต่อ
เมื่อได้รับการรักษาจนหายดี รัมภา รัสตี้ และไลล่าไปรับศามนกลับมาที่บ้าน บุญสืบขนของตามกันมา
“นั่งก่อนค่ะ เดี๋ยวเอาน้ำมาให้ หรือเอากาแฟดีคะ” รัมภาถามอย่างเป็นห่วง
ศามนจับมือรัมภามาตลอดทาง รัมภาจะเดินไปเอาเครื่องดื่ม ศามนก็ไม่ยอมปล่อย ดึงไว้อีก
“ไม่ต้องหรอก”
“แหม ตั้งแต่ฟื้น จับมือกันตลอด ไม่หายไปหรอกครับ ไม่มีอะไรแล้ว พวกเรานอนหลับ กรนสบายทุกคืนเลย” บุญสืบแหย่
ศามนยิ้มๆ ไม่ยอมปล่อย คำและหล้าเดินมาจากในบ้านมาต้อนรับ
“บุญรักษานะคะคุณผู้ชาย หมดเคราะห์หมดโศกเสียที”
ศามนพยักหน้าขอบใจ
“ดีใจจัง หม่ามี้กับแด๊ดดี้ กลับมาอยู่ด้วยกันแล้ว” ไลล่าเสียงดังอย่างดีใจ
“ผมรักแด๊ดดี้กับหม่ามี้ครับ”รัสตี้พูด
ทั้งสี่กอดกัน
“เฮ้อ ผมก็ดีใจ นึกว่าต้องหนีผีกลับไปเลี้ยงควายที่บ้านนอกแล้วให้คนสวยๆ ไปเลี้ยงควายน่ะ คิดดูสิคะ ทำร้ายกันขนาดไหน” บุญสืบบ่น
“ถ้าเอ็งไปเลี้ยงควายจริงๆข้าคง งง” หล้าบอก
“งงว่าฉันเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย”
“งงว่าคนไหนควาย คนไหนเอ็ง”
บุญสืบร้องฮึ ค้อนขวับ ทุกคนหัวเราะกัน คำหันมาบอกศามน
“เราทำความสะอาดห้องใหญ่แล้ว ต้อนรับคุณผู้ชายมาที่เรือนใหญ่ เอ แล้วเรือนเล็ก จะทำยังไงดีคะ”
“ผมคงกลับไปที่นั่นไม่ได้อีก ไม่อยากแม้แต่จะเห็น”
ศามนบอกเศร้าๆ รัมภามองอย่างเข้าใจ
รัมภาพาศามนเข้ามาดูเรือนเล็กที่ว่างโล่ง ไม่มีเครื่องเรือนแม้แต่ชิ้นเดียว
“ฉันเอาเครื่องเรือนทั้งหมดไปบริจาค คุณจะได้ไม่ต้องเห็นมัน”
“ขอบคุณที่เข้าใจ”
รัมภาจูงมือศามน มาที่หิ้งเล็กๆกลางห้อง บริเวณที่แพงเคยถูกผูกไว้
“ตอนนี้ฉันใช้ที่นี่เป็นที่นั่งปฏิบัติธรรม ให้ท่าน”
“เอ๊ะ รูปนี้”
ศามนมองไปด้วยความงง เพราะบนหิ้งมีกรอบรูปตั้งอยู่ พร้อมกระถางธูปและ ที่วางพวงมาลัย
“ไปค้นมาจากบ้านทวดเพ็ญ รูปยายทวดแพงค่ะ”
ศามนอึ้งไป
“คุณรู้สึกยังไงกับท่านคะ จะว่าไป คุณถูกท่านทำลายเสียยิ่งกว่าฉัน ยิ่งกว่าใครๆ คุณโกรธท่านไหมคะ”
ศามนมองรูปหน้าบึ้ง เพราะที่จริงคือโกรธ
แพงนั่งสมาธิอยู่มุมหนึ่ง คุณหญิงอบเชยนั่งสมาธิอยู่มุมหนึ่ง ทั้งสองปฏิบัติธรรมได้คืบหน้า สีหน้าเริ่มมีความนิ่งสงบและความสุข คุณหญิงนึกถึงสิ่งที่ครูบาขวัญเมืองบอก...
‘ปล่อยจิตให้เบา ให้เป็นอิสระ จากห่วงและบ่วง ปล่อยจิตให้หลุดจากสิ่งยึดมั่น แล้วจะพบสุขที่ยิ่งกว่าสุขทั้งปวง’
คุณหญิงยิ้มออกมา ทั้งที่ตายังปิดเพราะเกิดปิติสุขในจิตใจ ถึงเวลาที่ปล่อยได้ทุกอย่างแล้ว
‘เมื่อพบแล้ว จิตจะลอยออกไป สู่ภพภูมิที่สูงขึ้นตามสมควรแก่บุญกรรมที่ทำมา”
คุณหญิงสีหน้าเปี่ยมสุข ลืมตาขึ้นช้าๆ แล้วเดินไป คุกเข่าหน้าแพง
“ฉันขออโหสิ”
แพงลืมตาอึ้งไป หลบตาละอายแก่ใจ คุณหญิงคลานไปตรงหน้าครูบาขวัญเมือง ก้มลงกราบ สีหน้าผ่องใสเป็นอย่างยิ่ง
ครูบาขวัญเมืองพยักหน้า
“สาธุ จงไปสู่สุขคติเถิด”
ร่างของคุณหญิงอบเชยหายไป
ขณะที่รัสตี้กับไลล่าหลับอยู่ คุณหญิงอบเชยเดินมาหา ขยับผ้าห่มคลุมห่มให้หลานทั้งสอง แล้วขึ้นไปนั่งมองเด็กหลับด้วยความรัก เด็กทั้งสองพึมพำออกมาทั้งที่ตายังปิดอยู่
“คุณทวด”
“คิดถึงจังเลยครับ”
“นอนเถิด หลับให้สบาย”
คุณหญิงร้องเพลงกล่อมหลานทั้งสองเป็นครั้งสุดท้าย หลานทั้งสองขยับตัวมาชิด เอามือมาจับ มีความสุข ยิ้มไปขณะยังหลับ
ที่ห้องนอนใหญ่...ศามนกับรัมภาหลับไปแล้วเช่นกัน คุณหญิงอบเชยเรียกเบาๆ
“ลูกแม่”
รัมภาและศามนตื่นขึ้นทันที ลุกขึ้นนั่ง
“คุณแม่”
“คุณทวด”
ทั้งคู่เรียกอย่างตื่นเต้น
“แม่มาลา”
คุณหญิงเดินไปจับไหล่รัมภา
“ลาไปไหนคะ”
“ถึงเวลาแล้วล่ะ...ศามน เผาศพทวดให้ด้วยนะ ถึงเวลาแล้ว”
“ได้ครับ”
“จำไว้นะ ทำให้ดีที่สุด แล้วปล่อย จึงเรียกว่ารัก”
“ทำให้ดีที่สุด แล้วปล่อย เอ ถ้าปล่อยแล้ว จะเรียกว่ารักหรือคะ”
“ทำให้ดีที่สุด ไม่ปล่อย คือทุกข์ ทำให้ดีที่สุดแล้วปล่อย คือรัก”
รัมภาพยักหน้าเข้าใจ คุณหญิงจูบที่หน้าผากรัมภา เอามือจับที่หัวของศามนให้พร ทั้งคู่ยกมือไหว้ลา
คุณหญิงอบเชยถอยออกมา แล้วร่างก็หายไป รัมภากับศามนทั้งดีใจและอาลัย
อนุกูลทำสิ่งต่างๆคนเดียว ไม่ว่าจะดูหนัง เที่ยวห้าง แต่เขากลับไม่มีความสุขเลย เพราะคิดถึงพัชนีตลอดเวลา เมื่อไปเที่ยวสถานบันเทิง เขาเดินอยู่ท่ามกลางนักเที่ยวที่กำลัง กินดื่มเต้นอย่างสนุกสนาน
“เย้ สนุกกัน” อนุกูลทักทายเพื่อนที่คุ้นๆหน้า
จินนี่ คู่ขาเก่าของอนุกูลเดินมาหา
“คืนนี้ไปไหนหรือเปล่า จองตัวนะ”
“มีปาร์ตี้ต่อที่คอนโดหรือ กับใคร”
“คุณ ฉัน สองต่อสอง คุณสามีไปฮ่องกงสิบวัน”
“อู๊วววว”
“ได้ข่าวว่ามีแฟน จริงหรือเปล่า แล้วทำไมไม่เอามาด้วย”
“ก็....”
“ไม่เสียดายชีวิตโสดหรือไง จู่ๆก็หาห่วงมาผูกคอ”
อนุกูลยิ้มแห้ง อึ้งๆ คิดๆพัชนีมาก
ค่ำคืนนั้น...อนุกูลถูกจินนี่ ควงเข้าไปในห้องพักของเธอที่คอนโดหรู
“เห็นท่าทางซึมๆ นึกว่าจะไม่มา” ตินนี่ถามยิ้มๆ
“ผมเคยปฏิเสธคุณได้ที่ไหนกัน”
อนุกูลกดจินนี่ลงบนเตียง จินนี่ถอดเสื้ออนุกูลตัวนอกออก อนุกูลก้มหน้าลงไปหา...
วันต่อมา...ศามนพาครอบครัวมาเที่ยว ทั้งหมดร้องเพลงในรถ หัวเราะมีความสุขกัน เมื่อไปถึงรีสอร์ท ทุกคนลงจากรถ ศามนดูร่าเริงมาก
“ฟ้าจ๋าฟ้า สบายจังเลย ฮู้ ผมไม่ได้เห็นอะไรแบบนี้มานานเท่าไหร่แล้วนี่”
“สบายจังเลยนะคะ”
ศามนดึงรัมภาเข้ามากอด
“ขอบคุณชีวิต ขอบคุณจริงๆที่ทำให้ผมยังมีลมหายใจ”
รถของวรรณศิกาขับมาถึง มากันสองสาว มาถึงก็ลงจากรถ เด็กๆวิ่งไปหา
“น้าพัช ป้าวรรณมาแล้ว” ไลล่าร้องบอก
“ไปขี่จักรยานเล่นกันนะ” รัสตี้ชวน
“เดี๋ยวก่อนลูก เดี๋ยวเส้นยึด เฮ้อ หยิบเชี่ยนหมาก มากินสักคำสองคำก่อนไปๆ ขนของหนูๆ”
วรรณศิกาบอก ทั้งหมดแยกย้ายกันขนของเข้าบ้าน
อ่านต่อหน้า 3
บ่วง ตอนที่ 14 อวสาน (ต่อ)
ค่ำคืนนั้น...ทั้งหมดตั้งวงบาร์บีคิวกัน คุยกันไปด้วย
“ที่คุณเล่าน่ะ ฝันพร้อมกันสี่คนหรือคะ” วรรณศิกาถาม
รัมภาพยักหน้า
“เอ้อ งั้นไม่ถามต่อแระ ขนที่ลุกอยู่มันจะหลุดดึ๋งๆๆออกมาซะก่อน”
คนอื่นหัวเราะกัน
“คุณมนกังวลเรื่องงานไหมคะ” รัมภาถาม
“จู่ๆกลายเป็นคนตกงานอย่างนี้หรือครับ ไม่หรอก ชีวิตเริ่มต้นใหม่ได้ ผมอยากทำบางอย่างก่อน”
“ทำอะไรคะ” วรรณศิกาสงสัย
“เดี๋ยวก็คงรู้ เอ ทำไมคุณนุยังไม่มา" ศามนถาม
“มาแล้ว มาแล้ว ตื่นสายน่ะ”
อนุกูลเพิ่งมาถึงเดินเข้ามาร่วมวง พัชนีมองมาหน้าเศร้า อนุกูลมองไปสบตากันเล็กน้อยพร้อมกัน
“อานุ”
เด็กทั้งสองวิ่งไปกอด
“เย้ๆ มาหอมที” อนุกูลหอมไลล่า
“นึกว่าเบี้ยว เนี่ยเป็ดร้านที่คุณชอบ ผมขับไปซื้อเองเลยนะ” ศามนบอก
“ดีใจจัง คุณเหมือนศามนคนเดิมแล้ว นึกว่าเสียพี่ชายดีๆไปแล้วเสียอีก”
“ที่ผ่านมา ขอบใจมากน้องชาย”
“ที่มาสายเนี่ย นอนดึก ดูบอลหรือคะ” รัมภาถาม
“เปล่า ไปดื่มแล้วก็ไปคอนโดแฟนเก่า”
พัชนีทำชามตกพื้นแตกเพล้ง คนอื่นก็ตกใจกันหมด พัชนีอายมาก มองหน้าทุกคนแล้วเดินหนีไป วรรณชี้หน้าโวยลั่นราวกับสามีตัวเองไม่ปาน
“หนอย บางเรื่องไม่ต้องพูดก็ได้ใช่ไหม พูดขึ้นมาทำไม หาเรื่องกันนี่หว่ามาๆ วันนี้เคลียร์เลย จะคบหรือไม่คบต่อ พูดมาเลย”
ศามนยิ้มๆ
“เอ คุณวรรณ คนที่ต้องถาม คุณพัชไม่ใช่หรือครับ”
“เอ๊า ก็มันอินอ่ะ”
อนุกูลยิ้มๆเดินตามพัชนีไป คนอื่นได้แต่มองตามห่วงๆ
พัชนีเดินมายืนเศร้า อนุกูลเดินตามมาล้อ สีหน้าทะเล้นเหมือนคนเดิม
“ทำชามแตก ต่อหน้าคนอื่น เปิ่นซะไม่มี”
พัชนีโมโห หันมาโวยลั่น
“ฟังนะ คุณจะคบกับใครก็ได้ ไม่ต้องมาบอกอ้อมๆหรอกว่าคุณคบคนอื่นอยู่ ฉันรู้แล้วว่าเราเลิกกัน รู้แล้ว!...รู้แล้วได้ยินไหม!”
“อุ๊ย กลัวจัง งวดนี้เสียงดัง ตะโกนใส่หน้าด้วย สุดยอด”
“ถ้ายังไม่พอใจ ฉันจะหายไปจากชีวิตคุณเอง ฉันจะไปยื่นใบลาออกให้ถ้าคุณต้องการ”
“ก็ดี...ลาออก เป็นความคิดที่ดี”
“ได้ จะรีบจัดการให้ วันพรุ่งนี้เลย”
พัชนีเดินไป อนุกูลคว้ามือไว้ บอกไปสีหน้ายิ้มๆ
“ถ้าจะคบจริงจัง ยังไงก็ต้องลาออก ทำงานด้วยกันไม่ได้หรอก”
“ก็บอกว่ารู้แล้วไง…เอ๊ะ อะไรนะคบจริงจังอะไร”
อนุกูลดังพัชนีให้เข้ามาในอ้อมกอด
“มีคุณเป็นลูกน้อง เสียสมาธิ น่ารักขนาดนี้ ใครจะอดใจไหว”
อนุกูลหอมแก้มพัชนี หนึ่งฟอด
“อีตาบ้าไปนะไป”
พัชนีดิ้นใหญ่ หันมาตีๆ อนุกูลรีบอธิบาย
“โอ๊ยเจ็บๆ ฟังก่อนๆ ผมไม่ได้นอนกับจินนี่หรอก ไม่ได้มีอะไรกัน ผมเลิกแล้ว”
“อะไรนะ”
อนุกูลเล่าเรื่องที่ผ่านมา...เขาก้มหน้าจูบจินนี่ครู่หนึ่งก็ลุกขึ้น หงุดหงิด
“โธ่โว้ย”
“เป็นอะไรไป”
“ผมทำไม่ได้ ขอโทษที”
อนุกูลหยิบเสื้อ และข้าวของกลับบ้านทันที
“นุ เดี๋ยวสินุ”
อนุกูลเดินออกมา แล้วหงุดหงิดหัวเสีย เอาเสื้อฟาดอากาศ โวยวาย
“โธ่โว้ย ยายชี ยายชี! เล่นของใส่ฉันเหมือนคุณศามนแน่ๆ หนอยๆ หมดสิ้นแล้ว ชีวิตหนุ่มโสด เฮ้อ”
อนุกูลตีอกชกหัว โกรธตัวเองอยู่แถวนั้น ที่นอนกับผู้หญิงคนอื่นไม่ได้อีก
อนุกูลเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นให้ฟัง พัชนีงงๆ
“หมายความว่าไง”
“ผมแค่ลองห่างออกมา ทดสอบใจตัวเอง”
“แล้วผลทดสอบเป็นยังไงคะ”
“จู่ๆก็ ไม่เหมือนเดิม ดูหนังคนเดียวไม่สนุก อยู่บ้านคนเดียวน่าเบื่อ ออกไปกินเหล้าก็ไม่อร่อย นอนกับผู้หญิงแล้ว...”
“แล้วทำไมคะ”
อนุกูลเข้าไปปั่นแก้มทั้งสองของพัชนี ด้วยความหมั่นเขี้ยว
“ก็เห็นหน้านี่ลอยมาๆๆ”
“โอ๊ยฉันเจ็บนะ”
อนุกูลจับแก้มไว้ ก้มหน้าบอกใกล้ๆ
“สรุปว่า เฮ้อ ผมคงไปไหนไม่รอดแล้วล่ะ”
“จริงหรือ” พัชนีดีใจ
“ขอโทษ ที่ไม่รับโทรศัพท์ ขอโทษที่เย็นชา ไม่ทำแล้วล่ะ ผมรักคุณ!”
อนุกูลหอมแก้ม แล้วก้มลงจะจูบปาก เชื่องช้าอ่อนหวาน แต่ปากยังไม่ทันถึงปาก ก็มีเสียงขัดจังหวะ
“โอ๊ยมดกัด มดกัด”
วรรณศิกาและเด็กแฝด ที่หัวมีใบไม้คาดอำพรางเหมือนทหารพราน ที่หน้ามีดินป้ายๆไว้อำพรางหน้า เพราะจะมาซุ่มดูเขาที่ใต้พุ่มไม้ และตอนนี้ก็โดนมดรุมกัด ขณะซ่อนอยู่ใต้พุ่มไม้หนา
“ว้าย อย่าปัดมาสิคะ” ไลล่าโวยวาย
“มดๆ เข้าไปในกางเกงแล้ว” รัสตี้ร้อง
สามคนวิ่งหนีออกมาเต้นเร่าๆ
“นี่มาทำอะไรกันตรงนั้นน่ะ เป็นเด็กเป็นเล็ก” อนุกูลถาม
“ป้าวรรณ ชวนมาเล่นเกมซุ่มส่องสัตว์ครับ”
อนุกูล พัชนีตะลึง
“หา!”
ไลล่าขำๆ พูดล้อ
“เมื่อกี๊แอบหอมกันด้วย”
“นี่!”
อนุกูลจะโวย วรรณศิการีบขัด
“อ๊ะๆ ธรรมชาติสัตว์โลก เด็กๆต้องเรียนรู้นะ ไป...ไปส่องบ้านอื่นต่อ รู้สึก มีฝรั่งผัวเมียมาอยู่ตรงโน้น ไปไป ฮิฮิ”
วรรณศิกาลากเด็กแฝดหัวเราะกันคิกคักจากไป
อนุกูลกับพัชนีขำๆยิ้มกัน แล้วจับมือกันอย่างสบายใจ
หลายวันต่อมา...
ในงานสวดศพทำบุญให้คุณหญิงอบเชย ก่อนจะเชิญศพไปวัดเพื่อเผา รัมภายืนรับแขกคนเดียว น้อย แอน เจี๊ยบ เดินมาหา
“เขาลือกันว่ามีพระมาปราบ ที่บ้านนี้ไม่มีผีแล้วจริงไหมคะ” น้อยถาม
“เชิญเข้าข้างในก่อน” รัมภายิ้มให้
“นังเดือนแรมเป็นบ้าเพราะมันทำของใส่คุณมน แล้วของเข้าตัวจริงไหมคะ” แนนถามอีก
“นั่งก่อนเถอะค่ะ”
“แล้วคุณศามนไปไหน หรือว่า ยังโดนของอยู่” เจี๊ยบสงสัยเช่นกัน
ขณะเดียวกัน ศามนที่บวชพระแล้ว เดินเข้ามา อนุกูลเดินถือย่ามติดตาม น้อย แอน เจี๊ยบตะลึง ขณะที่พัชนี วรรณศิการู้แล้ว ชี้ให้เด็กๆดูว่าพ่อมาแล้ว เจี๊ยบตบปากตัวเอง
“อุ๊บ นี่แน่ะปากไม่ดี”
พระสงฆ์สวดอยู่ พระศามนนั่งสำรวมที่มุมหนึ่ง ท่ามกลางแขกที่มาฟังสวด
เมื่อเคลื่อนย้ายศพ พระศามนเป็นผู้ถือสายสิญจน์เดินนำโลงศพมาตามทาง ไปเผาที่เมรุวัด ทุกคนอยู่ ณ ที่นั่นกระทั่ง ควันจากการเผาลอยขึ้นฟ้า รัมภามองควัน ยกมืออธิษฐาน
“ขอให้คุณแม่ไปสู่สุคตินะคะ แล้วพบกันใหม่ค่ะ”
ครูบาขวัญนั่งปักกลดที่เดิม แพงยกมือไหว้ถามอย่างอ่อนโยนไม่บ้าแล้ว
“เมื่อไหร่ แพงจะได้ไป เหมือนคุณหญิงอบเชย”
“จะเป็นอิสระก็ต้องหมดหนี้ก่อน มีเจ้าหนี้เหลืออยู่ไหมล่ะ”
ขณะเดียวกัน ช่วงเดินนำพระศามนเข้ามา เอาอาสนะให้พระศามนนั่งสนทนากับครูบาขวัญเมือง ทั้งสองกราบครูบาขวัญเมือง ช่วงแนะนำ...
“พระศามน ท่านต้องการมาเรียนวิชาจากพระคุณเจ้า”
ช่วงพูดแล้วเดินแยกไป
“จะเรียนวิชาอะไร”
“ผมเรียกไม่ถูก แผ่เมตตา ให้อภัย ไม่ทราบครับ”
“เมตตาจิต ไม่มีรูปแบบ ไม่มีพิธีการ แค่ตั้งจิตให้มั่นคง”
พระศามนพยักหน้าเข้าใจ แล้วเริ่มนั่งสมาธิ หลับตา ถอดจิตออกมาในชุดประจำของคุณหลวง กลายเป็นคนธรรมดา ศามนตกใจมองตัวเองที่ถอดจิตออกมา ขณะที่ร่างที่เป็นพระยังอยู่ที่เดิม ศามนมองไปรอบๆเห็นแพง
“แพง”
“คุณหลวง”
ศามนเดินมาถามอย่างเมตตา
“เป็นยังไงบ้าง”
แพงเห็นศามนก็ร้องไห้ออกมา เพราะรอคอยศามนมาตลอด
“แพงขอโทษ แพงขอโทษ แพงไม่ได้ตั้งใจ”
ศามนยักหน้าให้
“ที่บวชนี่ บวชให้นะ”
“คุณหลวง!” แพงตกใจ คาดไม่ถึง
ศามนนั้นได้รับรู้อดีตจากรัมภา ตั้งแต่ว้าที่เขาเห็นรูปแพง รัมภาได้ขอให้เขาอภัยให้แพง เพื่อจะได้ไม่มีบ่วงเวรต่อกันอีก
“ฉันไม่ถือสาเรื่องที่ผ่านมา ฉันอโหสิให้แล้วนะ”
แพงนั่งร้องไห้โฮ ก้มตัวลงไปอย่างนอบน้อม เอามือเข้าไปแตะเท้าศามน ก้มหน้าลงไปด้วยความเคารพรักบูชา ซาบซึ้งใจมาก แพงพูดกับศามนขณะก้มหน้าอยู่
“คุณหลวง ยังคงมีเมตตาต่อแพงเสมอ จิตใจของคุณหลวงบริสุทธิ์เหมือนเพชรแท้ คุณหลวงเป็นอย่างนั้นมาตลอด”
ศามนจับหัวแพงให้พร
“ไปดีเถอะนะแพง ไปจากตรงนี้เสีย อย่ามีเวรกรรมต่อกันอีกเลย”
ศามนถอยออกมา แพงหยุดร้องไห้ตั้งสติ แล้วกลับมานั่งสมาธิ ครูบาขวัญเมืองสวดพึมพำให้พรส่งวิญญาณ
ร่างของแพงหายวับไป
พระศามนค่อยๆลืมตาขึ้น งุนงง มองตัวเอง มองไปรอบๆ
“แพงไปไหนครับ หายไปไหน”
“เมื่อหมดหนี้ เขาก็หมดห่วง เขารอที่จะขอโทษท่าน”
“เขาไปเกิดใหม่ ไม่ต้องวนเวียนทุกข์ทรมานแบบเดิมแล้วใช่ไหมครับ”
ครูบาพยักหน้า
“ไปเกิดใหม่ในภพภูมิที่สูงขึ้น”
“ไปเกิดเป็นคนไหมครับ”
ครูบาขวัญเมืองยิ้มให้ ไม่รับไม่ปฏิเสธ
“ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ทำร้ายร่างกาย เป็นกรรมหนัก เมื่อถึงเวลาใช้กรรม ต้องอดทน ชดใช้เขาให้จบสิ้น ไม่มีทางหลีกหนีเพราะนี่คือกฎธรรมชาติ”
ครูบาขวัญเมืองตอบกลางๆ พระศามนพยักหน้าเข้าใจ เมื่อถึงกำหนดที่ตั้งใจไว้ พระศามนกราบลาสิกขาบทกับพระอุปัชฌาชย์ และกลับไปบ้าน
รัมภาควบคุมดูแลช่างมาปรับปรุงเรือนเล็ก ช่างเอาหน้าต่างลูกกรงออก เปลี่ยนบานหน้าต่างใหม่ให้ดูไม่เหมือนห้องขัง ทาสีใหม่ ตกแต่งใหม่ เพื่อให้เรือนเล็กดูอบอุ่นขึ้นเพื่อเป็นสถานที่ปฎิบัติธรรมต่อไป
หลายเดือนต่อมา...
ศามนเดินมาดูเรือนเล็ก ที่กลายเป็นเรือนสวยงาม ดูอบอุ่นไม่น่ากลัว เป็นห้องโล่งสำหรับปฎิบัติธรรม มีโต๊ะหมู่พระ มีโต๊ะให้วิทยากรนั่ง ที่ประตูมีป้าย “ศูนย์ปฎิบัติธรรมเมตตาบารมี” เป็นป้ายด้านหน้า
รัมภาเดินเข้ามาพร้อมเด็กๆ
“คุณศศิรับปากแล้วค่ะ ว่าจะมาสอนธรรมะ ในงานเปิดศูนย์ปฏิบัติธรรมให้เรารอบแรกมีคนมาเรียนสักยี่สิบคนเห็นจะได้”
ศามนมองภูมิใจ
“เปิดได้จริงๆแล้วสินะ”
“จะไม่มีตำนานที่น่ากลัว ที่เรือนเล็กแห่งนี้อีก”
“หวังว่าพวกท่านจะได้รับบุญกุศลในครั้งนี้นะ”
รัมภาพยักหน้า เด็กๆที่ไปเล่นอยู่มุมหนึ่งที่เป็นสวนหน้าเรือนเล็ก ส่งเสียงร้องตื่นเต้น
“ลูกหมา ทำไมมาอยู่ตรงนี้”
“จริงด้วย น่ารักจังเลย”
เด็กทั้งสองเจอลูกหมาน้อยสีดำ นอนหลับอยู่ในพงหญ้า จึงเข้าไปอุ้ม
“ระวังมันกัดนะลูก”
ศามนเดินไปรับหมามาดู
“แถวนี้ไม่มีพ่อแม่หมานี่ฮะ มาได้ยังไง” รัสตี้ถาม
“เราเคยเห็นหมาตัวนี้ครั้งหนึ่ง” ไลล่าบอก
“จริงหรือ”
“ตอนโดนผีหลอกครั้งแรกไงครับ” รัสตี้เล่า
รัมภาอึ้งมองหน้าศามน
“เราเลี้ยงไว้ได้ไหมคะ อุ๊ยดูสิ ท่าทางมันจะชอบแด๊ดดี้”
ไลล่าตื่นเต้น หมาน้อยเลียที่มือของศามน...ภาพในอดีตแว่บเข้ามา เมื่อครั้งที่หลวงภักดี พูดถึงแพงให้กล้าฟังว่า...
‘สายตาคู่นั้นของนาง เหมือน ไม่ใช่แค่เสน่หา ไม่ใช่แค่ทาส แต่สายตานั้นเหมือน...’
‘เหมือนสัตว์เลี้ยงที่รอคอยเจ้านายของมัน!” กล้าบอก
ศามนมองเจ้าหมาน้อยนานจนรัมภาแปลกใจ
“มีอะไรคะ”
“ไม่มีอะไรหรอก บางเรื่องไม่อาจรู้ ไม่จำเป็นต้องรู้ รู้ไปก็ไม่มีประโยชน์”
“ตกลงให้เราเลี้ยงนะคะ” ไลล่าถาม
“จ้ะ เราสี่คนจะช่วยกันเลี้ยงมัน”
เด็กๆร้องเย้ด้วยความดีใจ แล้วรับลูกหมาให้ไปวิ่งเล่น รัมภากับศามนยืนกอดกัน ดูเด็กๆเล่นกับหมาน้อยอยู่หน้าเรือนหลังเล็ก ที่กลายเป็นเพียงแค่ตำนาน
จบบริบูรณ์