ชิงนาง ตอนที่ 14
ตอนสายๆ ในวันต่อมา ที่กลางป่าลึกลูกดอกพุ่งไปใส่นกตัวหนึ่งอย่างเร็ว ร่างนกตัวนั้นตกลงพื้นดังตุ้บ! มะขิ่นตบมือเฮลั่นให้กับเหนือฟ้าที่เป็นคนเป่าลูกดอกโดนนกตัวนั้น
“สุดยอดเลยอ้ายเหนือ สุดยอด!”
เหนือฟ้าเป็นปลื้มไม้น้อย หันไปยักคิ้วให้มะยอเป็นเชิงถามว่าเจ๋งมั้ย แต่มะยอเบะปากใส่
“ต้องชมอาจารย์” เหนือฟ้ากัดพลางพยักเพยิดไปทางมะยอ “อาจารย์เค้าเก่ง”
“รู้ก็ดีแล้ว” มะยอยักไหล่พรืด
“นอกจากลูกดอกนี่ อาจารย์ยังมีวิชาอื่นสอนให้ลูกศิษย์อีกมั้ย” เหนือฟ้าถาม
“จะอยากเรียนทำไมนักหนา ยังกะจะเอาไปฆ่าใคร” มะยอว่าซื่อๆ
“ใช่สิ” เหนือฟ้าหลุดนิ่งคิด แล้วพอนึกถึงวันชัยก็ยิ่งแค้น จนพึมพำออกมา “ฆ่าแน่!”
มะยอขมวดคิ้ว งวยงง
มะขิ่นตัดบทรีบเปลี่ยนเรื่อง “เอ่อ...อีนังมะยอ..หิวแล้วว่ะ ไปจับนกจับปลามากินมื้อกลางวันนี้ดีกว่านะ..ไปสิ”
มะยอเดินไปลับตัวแล้ว มะขิ่นรีบบอก
“พ่อเลี้ยงครับ อย่าหลุดสิ ไม่อยากให้อีนังมะยอมันรู้”
เหนือฟ้างงท่าทีตื่นตกใจของมะขิ่น “มะยอเป็นลูกสาวมะขิ่นนะ”
“ครับ ใช่ แต่ไอ้เรื่องแบบนี้ให้รู้น้อยๆ คนไว้ล่ะก็อุ่นใจกว่า จนป่านนี้ยังไม่มีใครรู้เลยว่าพ่อเลี้ยงเหนือฟ้ายังมีชีวิตอยู่ และทุกคนก็ควรจะยังไม่รู้ต่อไป ไม่ใช่เหรอครับ”
เหนือฟ้าคิดตามแล้วเห็นด้วย “ใช่! และคนที่ควรจะรู้ว่าฉันยังไม่ตายเป็นคนแรกก็คือ ไอ้วันชัย! และเมื่อไหร่ที่มันรู้ว่าฉันยังมีชีวิตอยู่ เมื่อนั้น..ก็จะต้องเป็นวันตายของมัน!”
ในราวป่าเวลานั้น กระต่ายน้อยตัวหนึ่งวิ่งอยู่เบื้องหน้า มะยอย่องมาฝีเท้าเบาหวิวอย่างมืออาชีพ แล้วเป่าลูกดอกพรวด ปักร่างกระต่ายดังฉึ่กแม่นราวกับจับวาง มะยอเดินหน้านิ่งจะเข้าไปเก็บผลงาน จังหวะนั้นสาวชาวป่ารู้สึกเหมือนมีใครบางคนซุ่มมองมา มะยอหันตัวเหลียวขวับ!! แต่กลับไม่เห็นมีใคร
มะยอครุ่นคิด พลางกวาดสายตามองไปรอบๆ ราวป่าบริเวณนั้น และย่องไปสังเกตการณ์ตามมุมต่างๆ อย่างมืออาชีพ สุดท้ายไม่มีใคร
ทว่าสีหน้ามะยอยังไม่วางใจ!!!
มะยอนำความผิดสังเกตมาเล่าให้ผู้เป็นพ่อฟัง แต่มะขิ่นกลับพูดขึ้นอย่างไม่เชื่อนัก
“เอ็งหูแว่ว ตาฝาดไปรึเปล่าอีนังมะยอ”
สามคนนั่งล้อมวงปิ้งกระต่ายที่เพิ่งยิงมาได้
“ป่าลึกขนาดนี้จะมีใครที่ไหน นอกจากเอ็ง ข้า แล้วก็อ้ายเหนือ อ้อ! แล้วก็ลิงค่างบ่างชะนีเสือสิงห์กระทิงแรด” มะยิ่นเอ่ยต่อ
มะยอพูดเรียบๆ ปิ้งไปด้วย “ก็ไม่รู้…แค่รู้สึก”
เหนือฟ้ามองอึ้งๆ
มะขิ่นฉุนกึก “โธ่! นังนี่...แค่รู้สึก รู้สึกจะไหม้แล้วสิอีนังมะยอ” ฉวยมาปิ้งเอง “ปัทธ่อ เดี๋ยวก็อดกิน” ดมดู “แหม..หอมฉุย...” พลางฉีกเนื้อใส่ปากเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย
จังหวะนั้นมะยอหันมามองเหนือฟ้า “มีใครตามฆ่าเอ็งอยู่รึเปล่า”
มะขิ่นไอแค่กๆ เนื้อกระต่ายติดคอทันที “อีนังมะยอ! เอาอะไรมาพูด?”
“บ๊ะ! ก็นอนสลบอยู่ที่หน้าผา แถมยังมีแผลโดนยิง แล้วยังมากบดานอยู่ในป่า มีคนตามฆ่าแน่ๆ” มะยอประเมินเหตุการณ์
มะขิ่นฉุนกึก “อีนังมะยอ”
เหนือฟ้ายิ้ม อย่างไม่ถือสา “ช่างเถอะ” บอกกับมะยอ ถามแหย่ๆ “ว่าแต่ถ้าฉันโดนตามฆ่าจริงๆ เธอจะปล่อยให้ฉันโดนฆ่ามั้ย...มะยอ”
มะยอตอบอย่างขวางโลก “มันก็น่า!!"
จากนั้นมะยอก็หันไปปิ้งต่อ ไม่สนใจ เหนือฟ้ายิ้มเมียงมองง
ที่บ้านแสนสมุทรเวลาเดียวกัน ใครคนหนึ่งค่อยๆ ย่องเข้าบ้านมาอย่างเงียบเชียบ ที่แท้เป็นพฤกษ์ซึ่งหน้าตาตระหนกมีพิรุธสุดๆ เนื่องเพราะเล่นไพ่เสียหมดตัวอีกแล้วจึงรู้สึกผิด พฤกษ์เหลียวซ้ายแลขวากลัวเจอพ่อกับแม่ ก่อนจะย่องจะเข้าทางหลังบ้าน
ชอุ่มเดินถือตะกร้าผ้ามาหยุดยืนมองพฤกษ์ที่ท่าทางแปลกๆ
พฤกษ์ย่องไป หันซ้ายแลขวาไปจนมาเจอกับชอุ่ม ตกใจกันทั้งคู่
“เฮ๊ย”
ชอุ่มปล่อยตะกร้าผ้าตกพื้น “ว๊าย! ตาเถรตกใจ!”
พฤกษ์โวยใส่ “ชอุ่ม! มายืนตรงนี้ทำไม”
“ก็ชอุ่มจะมาตากผ้า” ชอุ่มยังตกใจอยู่ “คุณพฤกษ์น่ะแหละ...มาทำอะไรตรงนี้คะ”
“ก็..ฉัน..ฉันจะเข้าบ้าน” พฤกษ์อึกอัก
ชอุ่มงงงวย “จะเข้าบ้าน ทำไมไม่เข้าหน้าบ้านล่ะคะ มาเข้าทางนี้ทำไม”
พฤกษ์หงุดหงิด “ก็..ก็..หึ้ย!! จะถามทำไม” แล้วรีบเผ่นเข้าบ้านไปทันที
ชอุ่มมองตาม แปลกใจไม่หาย “เอ้อ หมู่นี้คุณพฤกษ์นี่ชักจะเพี้ยนๆ แฮะ ทำท่าทางยังก๊ะขโมย” ชอุ่มส่ายหน้า เดินไป บ่นไป “เฮ้อ! แต่ละคน..แต่ละคน
พฤกษ์รีบเผ่นเข้าห้องปิดประตูทันที! ถอนใจเฮือกก่อนจะค่อยๆ หลับตาอย่างเหนื่อยล้า ชายหนุ่มหันหลังพิงประตู ก่อนจะค่อยๆ ทรุดตัวลงกับพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง พฤกษ์กุมขมับ หน้าเครียด นึกถึงเหตุการณ์ที่บ่อนก่อนหน้านี้
พฤกษ์ทุบโต๊ะเปรี้ยง “นี่มันโกงกันรึเปล่าวะ”
นักพนันร่วมโต๊ะหันมามอง เจ้ามือคนแจกไพ่ส่งสายตาไปที่ลูกน้อง ลูกน้องกระซิบเถ้าแก่เส็ง เถ้าแก่เดินหน้าเอาเรื่องเข้ามาที่โต๊ะพฤกษ์
“มีปัญหาอะไรเหรอค้าบอาคุณพฤกษ์”
“มีสิ มีแน่ๆ” ชี้หน้าคนแจกไพ่ “ลูกน้องเถ้าแก่มันขี้โกงรึเปล่า”
ลูกน้องคนหนึ่งปรี่เข้าประกบพฤกษ์ ท่าทีไม่พอใจ “อ้าว..เฮ๊ย”
เถ้าแก่เส็งยกมือห้าม “เฮ่ย” หันมาพูดกับพฤกษ์ น้ำเสียงเปลี่ยน “เล่นพนัน มีได้ก็ต้องมีเสีย แต่ไม่ควรจะเสียอารมณ์นะค้าบ…อาคุณพฤกษ์”
พฤกษ์ยังพาล “ถ้าลูกน้องไม่โกง” ชี้หน้า “เถ้าแก่นั่นแหละโกง”
ลูกน้องปรี่เข้าอีกที “พูดงี้ก็สวยดิ”
เถ้าแก่เส็งร้องห้าม “หยุด” จ้องหน้าพฤกษ์เขม็ง “อาคุณพฤกษ์! แพ้แล้วอย่าพาลสิ ถ้าอยากได้เงินก็บอกอั๊วดีๆ แต่อย่ามาชี้หน้าด่าอั๊วว่าขี้โกง”
พฤกษ์โกรธ
เถ้าแก่เส็งทั้งเยาะทั้งหยัน “ชิชะ! เป็นลูกหนี้ประสาอะไรมาชี้หน้าด่าเจ้าหนี้ ฮ่าๆๆๆ”
หัวเราะกันเกรียวกราวทั้งโต๊ะ
พฤกษ์อึ้ง ฉุกคิด “อะไรกัน ใครลูกหนี้ ใครเจ้าหนี้ พูดอะไร ไม่รู้เรื่อง”
“อ้าว! เค้าเป๋สิอาคุณพฤกษ์ ลื้อแกล้งโง่รึโง่จริงวะเนี่ย ลื้อยืมเงินอั๊วไปตั้ง 2 แสน บวกค่าดอกเบี้ยอีก 1 แสน ก็เป็น 3 แสน” เถ้าแก่เส็งแผลงฤทธิ์ใส่
พฤกษ์ช็อก อาการอึ้งตะลึงงัน “ดอกเบี้ย? 3 แสน”
“ก็ใช่สิ ให้คนยืมเงินมันก็ต้องคิดดอกเบี้ยสิ ที่นี่บ่อนนะ ไม่ใช่สถานสงเคราะห์ เพราะฉนั้นอั๊วเป็นเจ้าหนี้ลื้อ แล้วลื้อก็เป็นลูกหนี้อั๊ว ลื้อติดหนี้อั๊วอยู่ 3 แสน ฟังชัดมั้ย เคีย (เคลียร์) มั้ย? 3 แสน” เถ้าแก่เส็งปิดผาโลงทันที!!!
พฤกษ์ช็อก แทบล้มทั้งยืน
พฤกษ์ดึงตัวเองกลับมากุมขมับอย่างเครียด “ไม่จริง! ไม่จริง! 3 แสน! ไม่จริง...”
พฤกษ์สับสน ลนลาน หวาดหวั่นน่าเวทนาเป็นที่สุด
เวลาเดียวกัน หนูนาทุบประตูห้องภูผารัว แหกปากร้องเรียกดังลั่น
“คุณภูผาๆๆ ตื่นได้แล้ว เปิดประตูหน่อย” พลางทุบรัวเร็ว “หึ้ย คนอะไร...นอน ขี้เซาเป็นบ้า ตื่นๆๆๆ รึจะตายไปแล้ววะ” หนูนาท้าวสะเอวพูดอยู่คนเดียว
เสียงภูผาดังขึ้น “ฉันยังไม่ตาย”
หนูนาสะดุ้งหันมาเห็นภูผายืนอยู่ระยะประชิด ติดกันเลย
หนูนายิ้มแหยๆ “แฮ่”
ไม่นานต่อมาหนูนาวางดอกไม้ลงที่พื้นใต้ต้นไม้ใหญ่ บริเวณที่ฝังกระดูกเหนือฟ้า
“ฉันก็แค่อยากชวนคุณมาหาเหนือฟ้า”
สองคนนั่งอยู่ใต้ต้นไม้
“จู่ๆ นึกอะไรขึ้นมา” ภูผานึกสงสัย
หนูนานึก “ไม่รู้สิ…ไม่รู้เหมือนกัน...อยู่ๆ ก็คิดถึงเหนือฟ้าขึ้นมาเฉยๆ เลยอยากชวนคุณมาเยี่ยมมัน”
ภูผาพยักหน้าหงึกๆ นั่งพิงต้นไม้มองๆ ไปรอบๆ ท่าทีสบายๆ
“นี่ก็สงบดีนะ..เหนือฟ้าคงชอบ” ภูผาว่า
“ต้องชอบสิ..ก็ไร่ฟ้าเหนือฟ้าของมันนี่”
“ไร่ฟ้าเหนือฟ้า...แต่เค้ายกให้หนูนา”
หนูนายิ้มบางๆ “ไม่ได้อยากจะได้เลย”
ภูผามองมา
หนูนาเอ่ยต่อ “ถ้าแลกได้ ขอแลกให้ไอ้เหนือฟ้าไม่ตายดีกว่า”
ภูผามองยิ้มๆ “นี่ตกลง...เธอแอบชอบเหนือฟ้าใช่มั้ยเนี่ย?”
หนูนาผลักภูผา “บ้า ชีวิตนี้ฉันไม่เคยชอบใคร ไม่เคยรักใคร” มองจ้องภูผาพูดเสียงจริงจังใส่หน้า “นอกจากคุณคนเดียว!”
ภูผาเจอคนจริงก็อึ้งไป
“ไงล่ะ อึ้ง” หนูนาขำคิกคัก
ภูผามองหนูนา ส่ายหน้ายิ้มๆ “เด็กเอ๋ยเด็กน้อย...”
หนูนามองจ้องภูผาสายตาฉายชัดอย่างที่พูดไป
สองคนนั่งทอดอารมณ์อยู่ใต้ต้นไม้สักครู่หนึ่ง จึงพากันลุกมาเดินเล่นในไร่ ภูผาดูแลคนท้องอย่างใส่ใจและคล่องแคล่วมากขึ้น
หนูนายิ้มหน้าบานปลื้มปริ่ม ภูผายิ้มให้ บรรยากาศยามนี้ดูผ่อนคลายสบายๆ
ส่วนทางวงเดือนกำลังนั่งหันหลังอยู่ หลังจากเมฆาดูแผลเสร็จแล้ว เอื้อมมือออกไปหมายจะช่วยขยับเสื้อขึ้นปิดหัวไหล่ให้วงเดือนให้เรียบร้อย แต่วงเดือนเบี่ยงตัวหลบ
“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณคุณเมฆามาก”
เมฆายิ้มบางๆ ให้ “แค่นี้ก็อาย ฉันเคยผ่าตัดใหญ่ให้เดือนมาแล้วด้วยซ้ำนะ
วงเดือนชะงักนึกในใจ จริงสิ! เคยรอดตายเพราะเค้า
“เดือนไม่เคยลืมค่ะว่าคุณเมฆาเคยช่วยชีวิตเดือนไว้”
เมฆาฟังแล้วตกใจ “เดือนอย่าเข้าใจผิดนะ ฉันไม่ได้พูดทวงบุญคุณอะไรทั้งนั้น ฉันแค่อยากจะ...”
จู่ๆ ชอุ่มพรวดพราดเข้ามาหน้าตาท่าทางตื่นๆ “คุณเมฆาคะ..คุณเมฆา”
“มีอะไร?”
“คุณผู้ชายกับคุณผู้หญิงให้หาน่ะค่ะ”
เมฆามองงงๆ
“ท่าทางจะธุระสำคัญ”
วงเดือนมองเมฆาที่รอฟังชอุ่มรายงานต่อ
“มีแขกมาพบด้วยค่ะ”
เมฆาฉงน “แขก”
พอเมฆาเดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่ เจออนุต กับศรีดารา กำลังนั่งคุยยิ้มแย้มอยู่กับใครบางคน
“อ้าว! เมฆามาแล้ว นั่งลงสิเมฆา”
เมฆานั่งลงงงๆ
“คุณหญิงอมราครับ..เมฆาลูกชายคนที่สามของผมครับ” อนุตแนะนำ
เมฆายกมือไหว้คุณหญิงอมรา
คุณหญิงอมรามองเมฆาด้วยแววตาชื่นชม “ไหว้พระเถอะจ้ะ”
“แล้วนี่..น้ององค์อร ลูกสาวคนเดียวของคุณหญิง”
อนุตยิ้มแย้มขณะแนะนำ เมฆานึกรู้ทันที
“รู้จักกันไว้นะลูก” อนุตยิ้มเยื้อน อย่างชอบใจ
องค์อรสาววัย 20 หน้าตาสวย ท่าทีแบบลูกคุณหนู ดูดี ยิ้มให้อายๆ ยกมือไหว้เมฆา
เมฆาอึ้ง รู้ว่าพ่อกำลังทำอะไร จนลืมรับไหว้
ศรีดาราพูดเรียกสติเบาๆ “เมฆา”
เมฆารู้สึกตัว “ครับ” ยิ้มบางๆ ตามมารยาท “สวัสดีครับ..น้ององค์อร”
คุณหญิงอมรารีบบอก “เรียกน้องว่าน้องอรก็ได้จ้ะ..เมฆา”
เมฆายิ้มบางๆ ให้ องค์อรเอียงอาย ผู้ใหญ่ สองฝ่ายมีท่าทีพึงใจ แต่เมฆาไม่พอใจ!
แขกกลับไปหมดแล้ว เมฆาหันขวับถามผู้เป็นพ่อ “คุณพ่อกำลังจะทำอะไรครับ?”
“ไม่เห็นจะต้องถาม”
“คุณพ่อไม่น่าทำอย่างนี้เลย” เมฆาไม่พอใจมาก
“ก็ถ้าฉันไม่ทำแล้วเมื่อไหร่แกจะทำ?? ฉันต้องการให้แสนสมุทรมีทายาทสืบต่อไปอีกหลายๆ รุ่น” อนุตขึ้นเสียง
เมฆาพูดอย่างควบคุมอารมณ์ “คุณพ่อครับ”
“ถ้าไม่ใช่แก แล้วจะให้ฉันฝากความหวังไว้กับใครห๊า..เมฆา? พฤกษ์เหรอ? ภูผา? รึว่าอรุณ?” อนุตประชดตัวเอง
“คุณพ่อ” น้ำเสียงเมฆาเหนื่อยใจเหลือเกิน
“จนถึงวันนี้..แสนสมุทรเหลือแกคนเดียวเท่านั้นที่เป็นความหวัง”
เมฆาอึ้งไปกับประโยคนี้
“ฉันขอสั่งให้แกรักหนูองค์อร”
เมฆายิ่งอึ้งกับประโยคนี้ยิ่งกว่า
“คุณพ่อ! ความรักมันไม่ใช่เรื่องที่ใครจะมาสั่งให้รักใครได้นะครับ”
“วันนี้ไม่รัก วันหน้าก็อาจจะรัก” อนุตบอก
เมฆาอึ้ง ประโยคนี้ตนก็เคยพูดกับวงเดือน
อนุตตบไหล่เมฆา “เชื่อพ่อเถอะ...หนูองค์อรเป็นผู้หญิงที่เหมาะสมกับแกที่สุดแล้ว..เมฆา”
เมฆาจ้องหน้าพ่อ อนุตมองเป็นการยืนยัน เมฆาสู้สายตาพ่อ
“ตั้งแต่เล็กจนโต ไม่มีครั้งไหนที่ผมไม่เชื่อพ่อ แต่ครั้งนี้..ผมคงต้องขอ...”
อนุตอึ้ง
“เพราะชีวิตนี้ ผมคงรักใครไม่ได้อีกแล้วจริงๆ นอกจากวงเดือน”
อนุตอึ้ง
ศรีดาราที่แอบฟังอยู่น้ำตาไหลพราก
“แต่เดือนไม่ได้รักแก” อนุตบอก
ดวงตาเมฆาฉายแววตาเจ็บปวดแว่บนึง ก่อนจะฮึด ย้อนคำพ่อ
“วันนี้ไม่รัก วันหน้าก็อาจจะรัก ซักวัน เดือนจะต้องรักผมครับพ่อ ซักวัน!”
เมฆาบอกอย่างมาดหมายในท่าทีแสนมั่นใจ!!
ชิงนาง ตอนที่ 14 (ต่อ)
ค่ำคืนนั้น ชอุ่มกระแทกตะกร้าผ้าลงก่อน แล้วกระแทกตัวลงนั่งตามพูดเสียงดังอย่างมีอารมณ์
“ร้ายจริงๆ” ว่าพลางล้วงควักผ้ามาพับขอไปทีแบบรีบๆ อย่างคนอารมณ์เสีย “ยัยคุณโฉมจัญไรนี่มันร้ายจริงๆ”
วงเดือนนั่งพับผ้าอยู่ในห้องก่อนแล้ว
ชอุ่มบ่นต่อ “พวกเด็กในครัวมันนินทากันให้แซดว่าเมื่อเช้านี้ ยัยคุณโฉมปรี๊ดแตกอาละวาดใส่คุณหนูองค์อร สงสัยจะอิจฉาว่าเค้าสวยกว่า สาวกว่า ชิ! สมน้ำหน้า! เดี๋ยวนี้โทรมไปเยอะ!” พูดไปพูดมาแล้วนึกขึ้นได้ “เออ…เดือน เดือนว่าคุณเมฆาจะยอมแต่งงานกับคุณหนูองค์อรมั้ย? น้าว่าไม่อ่ะ เพราะดูลูกกะตาคุณเมฆายังไง้ก็ไม่ปิ๊งคุณหนูองค์อรซักนิด” พูดต่ออย่างเพลินปาก “ไม่เห็นจะเหมือนเวลามองเดือนเลย”
วงเดือนสะดุ้งนิดๆ ชอุ่มชะงักรู้สึกตัว
“เอ้อ...แฮ่!!...แหม..” ชอุ่มปรายตามองผ้าที่วงเดือนพับเสร็จแล้ว “พับเสร็จแล้วใช่มั้ย? งั้นน้าเอาไปให้คุณผู้หญิงก่อนเผื่อจะรีบใช้” คว้าตะกร้าผ้าของวงเดือนลุกขึ้น ชะงัก หันมา “เออ..เดือน..จะว่าไปก็น่าสงสารคุณผู้ชายกะคุณผู้หญิงนะ มีลูกชาย 4 คน ทำไม๊ ถึงอาภัพรักทั้ง 4 คน เลย”
วงเดือนช้อนสายตามองชอุ่ม เป็นเชิงขอร้องให้หยุด
ชอุ่มรู้ตัว “อ้า..น้าไปแระ”
จากนั้นชอุ่มรีบเผ่นออกไป วงเดือนหน้าหมองลงทันตา นึกสงสารอนุตและศรีดาราตามที่ชอุ่มพูด
เช้าวันต่อมา รถไฟแล่นเข้าเทียบจอดที่ชานชาลา ภูผาสะพายเป้ มือ 2 ข้างหิ้วกล่องกระดาษใบใหญ่ที่ ใส่ตัวอย่างใบชาเดินลงมาหยุดยืนมองไปรอบตัว หนูนาก็ถือกระเป๋าใบย่อม อีกมือหนึ่งก็หิ้วกล่องกระดาษใบใหญ่เดินตามมา
ภูผาหันไปเห็น รีบวางกล่องของตัวเองแล้วเดินปรี่ไปแย่งหนูนามาถือแทน พร้อมกับพูดเสียงดุ
“ก็บอกแล้วว่าเดี๋ยวฉันจะยกลงมาเอง คนท้องเค้าไม่ยกของหนักๆ หรอกรู้มั้ย”
หนูนาอมยิ้มขำๆ “แหม…รู้ดีจังนะ ทำยังกะเคยท้อง”
ภูผาทำท่าจะเถียงแต่เถียงไม่ออกได้แต่ส่ายหน้าระอาใจ
ภูผามองไปที่ม้านั่งข้างๆ “ไปๆๆ ไปนั่งรอตรงโน้นเลยไป อย่ามายืนเกะกะ”
หนูนาขำไม่หาย “เจ้าค่ะ”
จังหวะที่หนูนาจะออกเดิน มีคนแบกของรีบเดิน เลยชนกระแทกหนูนาเซแซ่ดๆ
หนูนาร้อง “โอ๊ย”
ภูผามองอยู่รีบโอบกอดรวบเอวหนูนาไว้ได้ทันพอดี สองคนมองตากันในระยะประชิด
“ระวังหน่อยสิ” ภูผาดุอีก “เห็นมั้ยเพิ่งบอกเมื่อกี๊ว่าเกะกะ เกะกะจริงๆ”
หนูนาขำว่าใส่หน้า “โอ๊ย ตาแก่ขี้บ่น”
หนูนาเดินไปนั่งรอที่ม้านั่ง ภูผายกข้าวของตามมาวางไว้ใกล้ๆ
“ยังไงต่อเนี่ย” หนูนาถาม
“เดี๋ยวเราก็หารถจ้างไปพบคุณณรงค์ เอาตัวอย่างชาไปให้เค้าดู”
หนูนายิ้มแฉ่ง “แอบตื่นเต้นเหมือนกันนะเนี่ย”
ภูผาเมียงมองยิ้มย่อง แล้วพูดแหย่ “อย่าปอด นายหญิงไร่ฟ้าเหนือฟ้า อย่าปอด”
หนูนาผลักภูผา “บ้า”
สองคนยิ้ม ขำๆ กันอย่างอารมณ์ดี
ไม่นานต่อมา ภูผากับหนูนานั่งรถสามล้อถีบรับจ้างไปตามทางในเมือง หนูนาดูตื่นตา ตื่นใจ เพราะเคยแต่อยู่บนดอย ภูผามองอย่างเอ็นดู
ภูผากับหนูนาเอาตัวอย่างชาไปให้ลูกที่นัดไว้ สองคนลุ้น หลังจากลูกช้า ดู ดม และชงจิบชิมแล้ว ยกนิ้วโป้งให้ สองคนดีใจมาก หนูนาเฮลั่น โผกอดภูผาแน่น สองคนคนมองกัน หนูนาแลบลิ้นใส่แก้เขิน
สองคนนั่งกินข้าวกันที่ร้านข้าวแกงริมถนน หนูนาโซ้ยแหลก ภูผาตักจากจานตัวเองเพิ่มให้อีกเป็นเชิงบอกว่าให้กินเผื่อลูกในท้อง หนูนาลูบท้อง แล้วจับมือภูผามาจับท้องตัวเอง ภูผาอมยิ้มเอ็นดู หนูนายิ้มปลื้ม กินแหลกอย่างอร่อย สีหน้าภูผามีรอยยิ้มพร่างพราย
ที่บ้านแสนสมุทรยามนั้น วงเดือนถือถุงกระดาษเดินมาตามทางเดิน สักครู่หนึ่งเมฆาวิ่งช้าๆ ตามมา แล้วเรียกไว้
“เดือน..เดือน”
วงเดือนหยุดรอ
เมฆาถามไวๆ “เดือนจะไปไหน”
“คุณแม่ให้เดือนเอาชุดท่านไปซ่อมที่ร้านน่ะค่ะ”
“ฉันไปส่ง”
วงเดือนอ้าปากจะปฏิเสธ เมฆารีบบอก
“ฉันตั้งใจจะไปตัดเสื้ออยู่พอดี ไม่ได้ตัดใหม่มาเป็นปีแล้ว..ไปด้วยกันนะ”
เมฆาพูดเองเออเอง จนวงเดือนปฏิเสธไม่ลง
เวลาเดียวกันนั้นภูผากับหนูนาเดินผ่านหน้าร้านตัดเสื้อ หนูนาชะงักยืนดู ขณะที่ภูผาเดินเลยไปแล้ว หนูนาชะเง้อชะแง้ดูอย่างตื่นตาตื่นใจ ภูผาเดินกลับมา มองยิ้มๆ
“ร้านตัดเสื้อน่ะ”
“โห...” หน้าตาหนูนาปลื้มสุดๆ
“ร้านนี้เค้าดัง คนเมืองนี้รู้จักกันทั้งนั้น ใครๆ ก็ต้องมาตัด”
หนูนายิ้มพลางถาม “ตัดได้ทั้งผู้หญิงผู้ชายเลยเหรอ”
“อือ” ภูผาว่า
“คุณก็เคยตัดเหรอ?”
ภูผายิ้มอีก “อือ”
“แล้ว..คุณวงเดือนล่ะ?”
คราวนี้ภูผานิ่งไปเลย
“ขอโทษ...ฉันเห็นเสื้อผ้าคุณวงเดือนสวยทุกชุดน่ะก็เลย...”
ภูผาตัดบท ตัดรำคาญ “อยากตัดมั่งมั้ย?”
“ห๊า? ฉัน...”
ไม่ทันได้พูดคำใดต่อ ถูกภูผากระชากข้อมือไปเลย
หนูนาร้อง “เฮ๊ย”
ภูผากะหนูนาเข้าร้านมาแล้ว
ช่างจำได้ใส่จริตร้องวี๊ดว๊ายทายทัก “ต๊าย นึกว่าใคร คุณภูผานั่นเอง แหม...หายไปไหนมาตั้งนานคะเนี่ย?”
ภูผาไม่ตอบ “ช่วยวัดตัวให้หน่อย” ส่งตัวหนูนาให้ช่าง
ช่างเมียงมอง สำรวจอย่างคนขี้เม้าท์ “ได้เลยค่ะ”
ช่างกำลังวัดตัวหนูนาอยู่ ภูผายืนมอง พอวัดรอบอกหนูนาอายภูผามาก
“เอ่อๆ...” หนูนาเอี้ยวตัวหลบๆ
ช่างบอก “ทำตัวตรงๆ นะคะ”
หนูนาอึกอัก “เอ่อ...เอ่อ…”
ภูผาเอ็ดเอา “อะไรอ่ะ..หนูนา ยืนเฉยๆ สิ ยังงี้เมื่อไหร่จะเสร็จ”
“คุณ....” หนูนาจับภูผาหันหน้าไปอีกที “หันไปก่อนนะ”
ภูผาถอนหายใจทำหน้าเหม็นเบื่อ ก่อนจะหันหน้าออกไปนอกร้าน แล้วยืนกอดอกไป ถอนใจเซ็งๆ ขำๆ
ในเวลาเดียวกันที่ร้านข้าวแกงริมถนนติดร้านตัดเสื้อร้านเดียวกันกับที่ภูผาและหนูนาเพิ่งทานกัน เมฆากับวงเดือนเดินมาตามทาง กำลังจะผ่านร้านข้าวแกงร้านนั้น ชายหนุ่มคว้าข้อมือวงเดือนไว้ วงเดือนหันมามอง
“ข้าวแกงร้านนี้อร่อย ไม่เคยได้ทานนานแล้ว ทานด้วยกันนะ?”
“เดือนยังไม่หิวค่ะ”
“แต่ฉันหิวจัง”
วงเดือนเจอมุกนี้ก็จำต้องยอม เมฆายิ้มแฉ่ง ลากเก้าอี้ให้เดือนนั่งทันที เป็นโต๊ะเดียวตัวเดียวกันกับภูผาและหนูนานั่งเมื่อครู่
วงเดือนนั่งหันหลังให้ร้านตัดเสื้อ ส่วนเมฆานั่งฝั่งที่มองเห็นหน้าร้านตัดเสื้อ
เมฆายิ้มแย้ม ถามแม่ค้า “วันนี้มีแกงอะไรบ้างครับแม่ค้า”
วงเดือนเบือนๆ หน้าออกไปตรงถนน
ขณะที่ช่างขาเม้าท์กำลังวัดรอบเอว หนูนาเอ่ยขึ้น
“เอ่อ..ตรงท้องอย่าแน่นมากนะจ๊ะ เผื่อหลวมๆ ไว้หน่อย”
ช่างท้วง “จะดีเหรอคะ ไม่พอดีตัวเดี๋ยวทรงไม่สวยนะคะ”
หนูนาอึกอัก “ก็...” มองมาที่ภูผา ภูผาก็มองหนูนา “คือ...”
ภูผารีบเอ่ยขึ้น “หลวมๆ แหละครับ ผมชอบ สวยดี”
ช่างอมยิ้ม คิดเอาเอง “แหม..คุณภูผาหายไปตั้งนาน ที่แท้ก็แอบไปมีแฟนนี่เอง”
ภูผากับหนูนามองหน้ากันเงียบกริบ!!!
“เลือกเก่งนะคะ หน้าตาน่ารัก” ช่างฉอเลาะ ในจังหวะที่วัดตัวเสร็จพอดี “ว่าแต่..ตกลงจะตัดชุดอะไรคะ มีแบบในใจรึยัง”
หนูนาเองก็เพิ่งจะนึกได้ “เออ..จริงดิ? จะตัดชุดอะไรเนี่ย”
ช่างถาม “มีวาระพิเศษอะไรรึเปล่าคะ?”
หนูนาหน้าจ๋อย “วาระพิเศษ...ไม่มี…ไม่เคยมีอ่ะจ้ะ” รีบปรี่ไปหาภูผา กระซิบบอกอย่างจริงใจ “ไม่เอาดีกว่าคุณ ไม่ต่งไม่ตัดมันแล้ว คนอย่างฉันมันจะไปมีวาระพิเศษอะไรกับใครเค้า ไป กลับเหอะ”
ภูผามองหนูนาอย่างสงสาร ก่อนจะบอก “ชุดแต่งงานไง”
หนูนาตะลึงงัน “ห๊า! ว่าไงนะ”
ภูผาย้ำอีกที “ก็ตัดชุดแต่งงานไง”
หนูนาไม่เชื่อหู มองภูผาอึ้ง ทึ่ง ซึ้ง ภูผายิ้มให้บางๆ ก่อนที่จะพูดต่อ ภูผาถูกหนูนากระชากมือ ดันให้ออกจากร้านเลย “กลับเหอะ” หนไปยิ้มบอกกับช่าง “ไม่ตัดแล้วจ้ะ ไปๆๆ กลับ”
ภูผาขืนตัวไว้ โวยเสียงดัง “ทำไมล่ะ เฮ๊ย! ก็ตัดชุดแต่งงานเตรียมไว้”
หนูนาดันหลังภูผา “ไม่เอา! ไม่ต้อง! ไม่ตัด! กลับๆๆๆ”
หนูนาลากภูผาออกไปจนได้ ทำเอาช่างงง “เอ๊า? ไงเนี่ย”
ด้านเมฆายื่นแก้วน้ำแดงให้วงเดือน ก่อนที่จะมองยิ้มๆ เตรียมจัดการข้าวแกงที่อยู่ตรงหน้า
“ไม่หิวจริงๆ เหรอ? น่าทานนะ หอมฉุยเลย”
วงเดือนยิ้มเยื้อนให้ “คุณทานเถอะค่ะ เดือนไม่หิวจริงๆ”
ขณะที่เมฆาจะทาน แต่แล้วชะงักกึก มองเงยหน้ามองไปเห็น หนูนากำลังผลักภูผาออกมาที่หน้าร้านตัดเสื้อ
เมฆาเพ่งมองจับจ้องอย่างกับตาฝาดไป
หนูนาลากข้อมือภูผาที่ยังยื้อๆ อยู่อย่างเอาเป็นเอาตาย จนภูผานึกขำ
เมฆาอึ้งนิ่งคิด พลางเหลือบสายตาไปมองวงเดือนที่ยังไม่รู้เรื่องใดๆ แล้วเบนสายตากลับไปมอง 2 คนนั้นอีกที คราวนี้เห็นหนูนากะภูผาเหมือนกำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่ที่หน้าร้าน รู้ว่าตาไม่ฝาดแน่
แววตาเมฆาวาววับนึกแผนขึ้นได้ทันที เมฆาลุกยืนพรวด
“เดือน! ไปเร็ว”
วงเดือนงวยงง “อ้าว ทำไมคะ”
เมฆาไม่ตอบฉวยข้อมือวงเดือนอย่างรีบเร่ง สายตายังจับจ้องอยู่ที่ 2 คนนั้น แต่เพราะรีบเร่งเกิน จนมือไปปัดแก้วน้ำแดงหกเลอะเสื้อผ้าวงเดือนไปหมด
วงเดือนตกใจร้อง “อุ๊ย”
เมฆาก็ตกใจ “ขอโทษ ขอโทษทีเดือน”
เมฆาเหลียวหา หยิบกระดาษทิชชู่แถวนั้นมาเช็ดเสื้อผ้าให้วงเดือนอย่างรีบๆ
“ช่างมันก่อนเถอะเดือน รีบไปดีกว่า” พอเงยหน้ามองดู 2คนที่หน้าร้านต้องร้อง “อ้าว” ออกมา
เพราะภูผากะหนูนาไม่อยู่ที่หน้าร้านตัดเสื้อแล้ว
“เฮ๊ย” เมฆาผิดหวัง
วงเดือนงงไม่หาย “มีอะไรคะ”
เมฆามองพลางชี้ไปที่หน้าร้านเสื้อ “ก็เมื่อกี๊...”
วงเดือนเหลียวมองตามที่หน้าร้านตัดเสื้อ แต่ไม่เห็นมีใครแล้ว
วงเดือนซัก “เมื่อกี๊อะไรคะ”
เมฆาอึ้ง “ก็เมื่อกี๊...” หมือนจะนึกได้ว่าสองคนอาจจะอยู่ในร้าน ก็เลยรีบควักเงินวางบนโต๊ะ คว้ามือวงเดือน “รีบไปร้านเสื้อกันเถอะ…เร็ว”
เมฆาคว้าข้อมือวงเดือนไปเร็วรี่
เมฆาจับมือวงเดือนพรวดเข้ามาในร้านอย่างเร็ว
“อ้าว! คุณวงเดือน! คุณเมฆาก็มาด้วย! แหม..วันนี้สงสัยร้านพี่จะเฮง มีแต่คนแสนสมุทรมาอุดหนุน เมื่อกี๊คุณภูผาก็เพิ่งจะกลับไปค่ะ”
วงเดือนยืนช็อก “คุณภูผา”
เมฆาตาวาววับ สาสมใจ ลงล็อกเป๊ะ
“อ้าว เหรอครับ พี่ผามาได้ยังไง มาคนเดียวเหรอครับ”
ช่างยิ้มแฉ่ง ทำตาวิบวับ “ไม่ได้มาคนเดียวค่ะ มากับแฟน”
วงเดือนอึ้งแทบล้มทั้งยืน เมฆาตาลุกวาว แสร้งทำเป็นตกใจ “แฟนเหรอครับ?”
“อุ๊ย” ช่างขี้เม้าท์ใส่ต่อ “จะแค่แฟนละป่าวก็ไม่แน่ใจนะคะ เพราะเห็นว่าอยากจะตัดชุดแต่งงาน”
วงเดือนอึ้งหนัก
“ชุดแต่งงาน” เมฆาแกล้งตกใจอีก
“ใช่ค่ะ..อ้าว เป็นพี่น้องกันแต่ไม่ทราบเรื่องกันเหรอคะเนี่ย”
“อ๋อ..ก็..เคยได้ยินบ้าง แต่ไม่คิดว่าจะเร็วอย่างนี้น่ะครับ” เมฆารีบกลบ
ช่างร้องกรี๊ด “ว๊าย! ไม่เร็วไม่ได้หรอกค่ะ เดี๋ยวจะป่องไปมากกว่านี้”
วงเดือนตะลึง “ว่าไงนะคะ”
ช่าง“เอ๊า!” ช่างป้องปากเม้าท์ “ก็คุณภูผาอ่ะสิคะ ท่าจะน้ำยาแรง ตะกี๊สั่งชุดแต่งงานหลวมๆ ท้องแล้วชัวร์ค่ะ”
วงเดือนช็อกอีก “ท้อง”
ทุกอย่างลงล็อกเป๊ะๆๆ เมฆาแทบจะกลั้นรอยยิ้มไว้ไม่ได้
“ขอแสดงความยินดีล่วงหน้าเลยนะคะ คุณเมฆาจะได้อุ้มหลานแล้ว”
ช่างยังเจื้อยแจ้วต่อราวกับผีเจาะปาก
ระหว่างนั้น หนูนาก้าวพรวดเข้ามา พร้อมกับชี้กระเป๋าสะพายที่ลืมไว้ที่เก้าอี้ในร้าน
หนูนาเสียงดังเข้ามาก่อน “นั่นไง! ลืมไว้ที่นี่จริงๆ ด้วย” ครั้นพอเห็นวงเดือนก็ชะงัก
วงเดือนอึ้ง “หนูนา”
จังหวะนั้นเองภูผาก็ก้าวพรวดตามเข้ามา “ขี้ลืมจริงๆ เลยยัยหนูน้อย” พอเห็นวงเดือนกับเมฆาก็ชะงักกึก
วงเดือนน้ำตาหยด “คุณภูผา”
แววตาเมฆาตาวาวร้าย
ขณะที่ภูผาปรี่จะเข้ามาหาเดือน เมฆารีบโอบประคองแสดงความเป็นเจ้าของ
“พี่ผา สบายดีเหรอ?”
ภูผาชะงักอีกรอบ
ช่างแจ๋ถามภูผากะหนูนาขึ้นมา “ตกลงกันได้รึยังคะ ว่าอยากได้ชุดแต่งงานแบบไหน”
ทุกคน อึ้ง เงียบกริบ
“เดือน” ภูผาอยากจะอธิบาย
เมฆาพูดเสียบ “ขอแสดงความยินดีด้วยนะพี่ผา” มองหนูนา “หนูนาด้วย” ก่อนจะหันมามองจ้องภูผา พูดย้ำ “หวังว่าฉันคงจะได้อุ้มหลานทันใจ”
หนูนากะภูผาตะลึงงันกันไป
วงเดือนอยากไปให้พ้นๆ จากตรงนี้เร็วๆ รีบยื่นถุงกระดาษให้ช่าง “ช่วยแก้ชุดของคุณศรีดาราให้พอดีด้วยนะคะ” รีบบอกเมฆา “ไปกันเถอะค่ะ”
เมฆาใจร้ายไม่ยอมให้ไป คว้าข้อมือเดือนไว้แล้วยิ้มหวาน “เดี๋ยวสิเดือน ฉันยังไม่ได้ตัดชุดใหม่ของฉันเลย”
ช่างแจ๋อีก “คุณเมฆาจะตัดชุดอะไรคะ”
เมฆายิ้มแย้ม มองภูผาพูดเน้นคำ “ชุด…เจ้าบ่าว”
ภูผาชะงัก
เมฆาปิดจ๊อบพูดบอกกับวงเดือน “ไหนๆ มาแล้ว...เดือนจะวัดตัวตัดชุดเจ้าสาวซะเลยมั้ย”
ภูผาช็อก ใจจะขาดแล้วรอนๆ “เดือน”
วงเดือนไม่ไหวแล้ว “กลับเถอะค่ะ”
วงเดือนพุ่งตัวออกไปโดยไม่รอเมฆา
ภูผาจะขยับตาม “เดี๋ยว”
เมฆาคว้าข้อมือภูผาหมับ “ผมดีใจมากที่พี่รักษาสัญญาและก็ขอแสดงความยินดีกับพี่อีกครั้ง ถ้าเป็นไปได้ ผมจะขอร้องคุณพ่อ ขอให้ท่านยอมให้พี่มาร่วมงานแต่งงานของผม..กับวงเดือน”
ภูผาอึ้งหนัก
เมฆาหันไปยิ้มกับช่าง “ไว้ผมมาใหม่วันหลังนะครับ” ออกไปทันควัน
ช่างงงๆ แต่ก็ยิ้มหวาน พูดไล่หลังไป “ค่ะๆ...ยินดีค่ะ...แต่ต้องมานะคะ”
ภูผายืนอึ้ง ขณะที่หนูนาประมวลเรื่องราวเข้าใจ และเห็นใจ
ช่างหันมากระซิบถามหนูนา “ทำไมพี่ น้อง ไม่แต่งวันเดียวกันไปเลยล่ะคะ”
หนูนาตวัดสายตาจ้องจะกินหัวช่าง “ถามเยอะไปแล้ว..เจ๊”
ช่างเจอของจริงก็ สยอง แขยง “อุ๊ย” แล้วออกไปทันที
หนูนามอง พลางแตะไหล่ภูผาให้กำลังใจ
สีหน้าภูผานิ่งเฉย ตระหนักว่าระหว่างเขากับวงเดือน จบแล้วจริงๆ!!
ส่วนทางด้านวงเดือนวิ่งหนีไปปาดน้ำตาไป ภาพหวานๆ ตอนบอกรัก ภาพคำมั่นสัญญาของตนกับภูผาผุดขึ้นมาหลอกหลอนเป็นฉากๆ วงเดือนวิ่งกระเซอะกระเซิงมา จนสุดท้ายหมดแรงล้มลงนั่งร้องไห้กับพื้น
เมฆาก้าวเข้ามาทรุดตัวลงประคองไว้ วงเดือนเงยหน้ามองมา เมฆามองกลับด้วยสายตาแสร้งทำเป็นเห็นใจ เข้าใจสุดๆ วงเดือนปล่อยโฮโผเข้าซบอกเมฆาเหมือนที่พึ่งพิง
เมฆายิ้มร้ายออกมา คิดในใจสำเร็จแล้วแผนเรา!!!
ชิงนาง ตอนที่ 14 (ต่อ)
ภายในบ่อนคืนนั้น พฤกษ์วางนาฬิกาเอย สร้อยทองที่ขโมยมาจากบ้านแสนสมุทร โปะลงตรงหน้าเถ้าแก่เส็ง
“ฉันก็หามาได้แค่นี้แหละ”
เถ้าแก่เส็งหยิบมามองดูทีละชิ้น พูดอย่างเหยียดเย้ย “นี่นะ...สมบัติของแสนสมุทร...โหลยโท่ยว่ะ กระจอกชิบเป๋ง”
พฤกษ์ฉุนกึก “เฮ๊ย! อย่ามาว่าของๆ พ่อแม่ฉันนะ”
เถ้าแก่เส็งจ้องหน้าเอาเรื่อง “ถุ้ย ทำไมอั๊วจะว่าไม่ได้วะ”
พฤกษ์โกรธจัดปรี่เข้าเหมือนจะลุยเถ้าแก่ ลูกน้องรีบล็อกทั้งซ้ายและขวา
“หนอย จะทำอะไร จะต่อยอั๊วเหรอ ก็ลื้อมันโง่ จับปลาดีๆ ไม่ชอบชอบมาเป็นหมูให้อั๊วเชือด ฮ่าๆๆๆ”
เถ้าแก่เส็งหัวเราะเยาะ บรรดาลูกน้องหัวเราะประสานเสียงระงม
“การพนัน ไม่เคยทำให้ใครรวย นอกจากเจ้าของ เท่านั้นที่จะรวย! จำไว้!! ฮ่าๆๆๆ”
ลูกน้องประสานเสียงอีกรอบ
เถ้าแก่เส็งชูของ 2 ชิ้นขึ้น “นาฬิกานี่ อั๊วให้ 500 สร้อยคออั๊วให้ 500 เพราะฉะนั้นลื้อยังติดหนี้อั๊วสองแสนเก้าหมื่นเก้าพัน บวกดอกเบี้ยอีก 1 แสน เป็นสามแสนเก้าหมื่นเก้าพัน”
พฤกษ์โกรธมาก ตวาดลั่น “เถ้าแก่ ไอ้เถ้าแก่ ไอ้ขี้โกง ไอ้เลว”
เถ้าแก่ตบหน้าพฤกษ์ดังเผียะ!! “กล้าดียังไงมาด่าอั๊ว”
ไม่เท่านั้นพฤกษ์ถุยน้ำลายใส่หน้าเถ้าแก่ทันที “ถุ้ย”
เถ้าแก่เส็งโกรธจัดสั่งลูกน้องเสียงกร้าว “สั่งสอนมัน”
ขาดคำพวกลูกน้องลากพฤกษ์ออกไป พฤกษ์โวยวายด่าทอเถ้าแก่เส็งดังลั่น
เถ้าแก่เส็งมองตามอย่างแค้นคือง “ไอ้โง่! เล่นกะใครไม่เล่น มาเล่นกะเถ้าแก่เส็ง ชิ”
ร่างพฤกษ์ถูกถีบโครม กระเด็นไปติดข้างฝาจากนั้นก็โดนลูกน้องเถ้าแก่เส็งจัดมือเท้าศอกเข่าให้ชุดใหญ่จนหมดสภาพ ก่อนจากลูกน้องเถ้าแก่เส็งกระชากคอเสื้อพฤกษ์ขึ้นมา ข่มขู่
“นี่แค่ตักเตือนนะเว๊ย วันหน้าวันหลังอย่าบังอาจลามปามเถ้าแก่เส็ง เข้าใจมั้ย”
ขาดคำลูกน้องเหวี่ยงพฤกษ์กระเด็น จะเดินออก นึกได้ เข้าไปพูดใส่หน้าทิ้งทวน
“อ้อ! หนี้ที่ติดเสี่ยไว้ก็รีบหามาใช้ ไม่งั้นดอกเบี้ยเบอะแล้วจะหนาว ฮ่าๆ อ้อ! แล้วก็อย่าคิดเบี้ยวเชียวนะเอ็ง ไม่งั้นบ้านแสนสมุทรของเอ็งน่ะ จะเหลือแต่ซากแน่! จำใส่กะโหลกไว้ ไปเว๊ย”
ลูกน้องถีบพฤกษ์ส่งท้ายลงไปหมอบ แล้วเดินออก สักพักก็มีเท้าใครคนหนึ่งก้าวเข้ามาหยุดยืน
พฤกษ์ค่อยๆ แหงนหน้าขึ้นมอง เห็นเป็นภาพเบลอๆ ของผู้หญิง แล้วสติก็ดับวูบไป
ที่ห้องพักของโรงแรมเล็กๆ ในค่ำคืนนั้น ภูผานั่งหงอยๆ อยู่ที่ปลายเตียง นึกถึงคำพูดเมฆาที่บอกว่าจะมาตัดชุดเจ้าบ่าว และว่าพาวงเดือนมาตัดชุดเจ้าสาว และยังย้ำด้วยว่าถ้าเป็นไปได้ จะขอพ่อให้ภูผามาร่วมงานแต่งงาน
หนูนาออกจากห้องน้ำสวมชุดนอนเรียบร้อย ภูผาจะลุกขึ้น
หนูนารีบร้องบอก “คุณนอนบนเตียงแหละ ชั้นนอนพื้นเอง”
“จะบ้าเหรอ ฉันเป็นผู้ชายนะ” ภูผาดึงหนูนามานั่งบนเตียงคู่กัน “กำลังท้องกำลังไส้ อย่าเก่งให้มันมากนัก”
หนูนามองภูผายิ้มๆ “คุณน่ะแหล่ะ...อย่าทำเป็นเก่งนักเลย”
ภูผามองจ้องหน้าหนูนา
“อวดเก่ง...ทำเป็นเสียสละเพื่อฉัน..แล้วไงล่ะ” หนูนาแดกดัน
ภูผาเบือนหน้าหนีไปเหม่อๆ “ฉันไม่ได้ทำเพื่อเธอคนเดียวหรอก ฉันทำเพื่ออรุณ เพื่อพ่อแม่ เพื่อแสนสมุทร”
หนูนาส่ายหน้าระอาใจ “พ่อพระ”
ภูผายิ้มเยาะพูดหยันตัวเอง “พ่อพระที่ไหน ฉันมันไอ้เด็กเหลือขอ ไอ้นักเลง ไอ้ตัวปัญหา”
“ไม่จริงหรอก ฉันรู้ว่าคุณเป็นคนดี”
“เธอรู้ได้ยังไง”
“ถ้าไม่ดี..ฉันไม่รักหรอก”
ภูผาหันมามองหน้าหนูนา
“จริ้ง! ไม่เชื่อหรอ?”
ภูผาส่ายหน้า ไม่อยากต่อความยาว
หนูนามองภูผาตาแป๋ว “ขอฉันนอนตักคุณได้มั้ย?”
ภูผามองอย่างงวยงงคิดในใจ...มันมุกไหนวะเนี่ย “อะไรของเธอ”
“น่า..อยากนอนมาตั้งนานแล้ว..แค่นี้ไม่ได้เหรอ? ถึงขนาดจะตัดชุดแต่งงานให้ชั้นแล้วเนี่ย”
ภูผาถอนหายใจเฮือก เฮ้อ! ระอาใจเต็มกลืน
หนูนาถือว่าไม่ปฎิเสธ...นอนหนุนตักภูผาเลยทันที
“หืม... สบายจัง นึกว่านอนหนุนตักพ่อ อ้อ! ไม่เคยนอนตักพ่อนี่หว่า นึกว่านอนตักลุงหว่าง..ฮิๆ”
ภูผาถอนหายใจอีกฌอือก “เฮ้อ”
หนูนานอนหงาย มองหน้าภูผา “น่าอิจฉาคุณวงเดือนนะ ไม่เข้าใจเลยเค้ามีดีอะไร ใครๆ ถึงได้รุมรักรุมแย่ง”
ภูผาเอ็ดเอา “หนูนา”
หนูนาสวนคำออกมาท่าทีขึงขัง “อย่าโกรธ...อยากรู้จริงๆ”
ภูผาก็นิ่งคิดก่อนจะเอ่ยขึ้น “วงเดือนเป็นคนดี” ภูผาทอดสายตานึกถึงวงเดือนไปด้วย “อ่อนโยนแต่ก็เข้มแข็ง มีน้ำใจ เข้าใจทุกคน” เผลออมยิ้มนิดๆ “ที่สำคัญก็คือ รู้ใจฉันทุกเรื่อง”
หนูนาพยักหน้าหงึกๆ “ฉันคงจะแพ้ยับอีตรงข้อสุดท้ายเนี่ยแหละ”
ภูผาพูดขึ้นมาลอยๆ “ฉันก็แพ้..แพ้ยับ”
“คุณอยากสู้ต่อมั้ยล่ะ”
ภูผามองแน่วนิ่ง จู่ๆ หนูนาผุดลุกขึ้นนั่งจ้องหน้า “ไม่ต้องแต่งงานกับฉัน แล้วไปสู้ ไปชิงคุณวงเดือนกลับมา”
ภูผาอึ้งนิ่งงันไป ก่อนจะตอบ
“มันสายไปแล้ว” พร้อมกับผลักหัวหนูนาลงนอนตักต่อ “อยากจะนอนก็นอนซะ เลิกถามได้แล้ว”
หนูนานอนมองหน้าภูผา ก่อนจะอมยิ้มอย่างชื่นใจ
ในขณะที่ใบหน้าภูผายังเศร้าเรื่องวงเดือนอยู่ไม่วาย
ด้านวงเดือนกำมือแน่นอยู่อย่างนั้น น้ำตาหยดแหมะลงบนมือ หญิงสาวแบออก เห็นเป็นสร้อยข้อมือหนังที่ภูผาให้ไว้ ใบหน้าวงเดือนยามนี้น้ำตานองใบหน้า
ภูผาให้สร้อย บอกว่าจะผูกใจเราไว้ด้วยกัน
วงเดือนดึงตัวเองกลับมาหน้านิ่งเฉย เสียงเย็นเยียบ “คุณโกหก...คุณภูผา”
ลึกลงไปในสีหน้าดูออกว่าวงเดือนเจ็บปวดรวดร้าวเหลือแสน แต่พยายามเข้มแข็ง
ขณะเดียวกันภูผาเองก็กำลังนั่งคิดคำนึงถึงวงเดือน ส่วนหนูนานอนจ้องเพดานอยู่บนเตียงยังไม่หลับเช่นกัน
เช้าวันต่อมาอนุตตกใจมาก แต่ไร้เรี่ยวแรงจะต่อกรมากมาย เพราะยังอาการป่วยยังทรงๆ อยู่
“แกว่าไงนะเมฆา”
“เมฆา...จะแต่งงานกับวงเดือน” ศรีดาราซักต่อ
“ครับ” เมฆาตอบแน่วนิ่ง
อนุตท้วง “แต่วงเดือนไม่ได้รักแก”
เมฆาตอบทันที “แต่ผมก็ไม่ได้รักน้ององค์อร”
อนุตทิ้งตัวเอนหลังพิงโซฟา ท่าทีเหนื่อยใจ
“พ่อครับ...เห็นใจผมด้วยเถอะครับ ผมยินดีจะแต่งงานมีหลานให้พ่อกับแม่ แต่ผู้หญิงที่ผมจะแต่งงานด้วย...ผมขอให้เป็นวงเดือนเถอะครับ”
โฉมไฉไลเดินมาพอดี ชะงักแอบฟัง
อนุตพึมพำ “แกจะไปบังคับใจวงเดือนเค้าได้ยังไง”
“เดือนต้องไม่ปฏิเสธแน่..ถ้าเป็นความต้องการของคุณพ่อ” เมฆายืมมือพ่อและแม่
“เมฆา..นี่แกหมายความว่า...”
โฉมไฉไลสุดทนไหวปรี่เข้ามา “ไม่ได้นะคะ! เมฆาจะแต่งงานกับวงเดือนไม่ได้”
“เธอเกี่ยวอะไรด้วย” เมฆาจ้องหน้าโฉมไฉไลเขม็ง
“เกี่ยวสิ..ก็ชั้นเป็น...”
เมฆาสวนคำทันควัน “เป็นอะไร? เธอก็เป็นแค่พี่สะใภ้! เธอไม่มีสิทธิ์”
เมฆาจ้องตาวาว โฉมไฉไลชักหงอ
ศรีดาราปราม “เบาๆ กันหน่อยเถอะ เกรงใจคุณพ่อกันบ้าง”
อนุตถอนหายใจอย่างระอา
เมฆารีบบี้โฉมไฉไลต่อทันที “แทนที่จะมายุ่งเรื่องคนอื่น ไปตามหาสามีตัวเองก่อนดีมั้ย ป่านนี้ไปเมาอยู่ที่ไหนแล้วก็ไม่รู้”
โฉมไฉไลโกรธจัด “เมฆา”
ศรีดาราเห็นด้วย “นั่นสิ..พฤกษ์หายไปไหนทั้งคืน..หนูโฉมรู้บ้างรึเปล่า”
โฉมไฉไลขัดใจอย่างแรง
ที่กระต๊อบซอมซ่อ พฤกษ์สภาพหน้าตาฟกช้ำ รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา อาการงงๆ ประมวลความคิดว่าตัวเองอยู่ที่ไหน? ลุกขึ้นเดินสำรวจ แต่ต้องชะงักเมื่อเห็นโสภีนุ่งผ้าถุง อาบน้ำอยู่ ดูเซ็กซี่ชวนวาบหวิว พฤกษ์เผลอมองเพลินเพริด จนโสภีหันมาเจอจังๆ พฤกษ์อึ้ง อึกอัก แต่โสภีท่าทีสบายๆ ไม่เคอะเขิน จ้องหน้าพฤกษ์เฉย
“ตื่นแล้วเหรอ? อยากกินอะไรมั้ย?”
พฤกษ์อึ้งๆ
ไม่นานหลังจากนั้น โสภีวางปลาทูทอดลงตรงหน้าพฤกษ์
“มีแค่นี้..พอมั้ย?”
พฤกษ์พยักหน้าหงึกๆ ตัดสินใจถาม “เธอเป็นใคร”
“ฉันชื่อโสภี”
พฤกษ์พยักหน้าอีกหงึก งงๆอยู่ “ช่วยฉันทำไม”
“ฉันก็เคยโดนกระทืบหวิดตายอย่างคุณเหมือนกัน”
พฤกษ์พยักหงึกๆ “เธอทำงานอะไร?”
โสภีบอกหน้าตาเฉย “ขายตัว”
พฤกษ์ยกน้ำดื่มสำลักพรวด ไอแค่กๆ
“ใจเย็น…หึ! น่ารังเกียจขนาดนั้นเลยเหรอ”
“เปล่า..ขอโทษ..ฉันไม่ได้ตั้งใจ”
โสภีส่ายหน้า ไม่ยี่หระ “ชินแล้ว”
พฤกษ์เขม้นมองโสภี รู้สึกเห็นใจขึ้นมา
“เอ้า ไม่กินล่ะ..มา ชั้นแกะให้”
พลางโสภีเอื้อมมาแกะปลาทูให้ จังหวะนั้นเสื้อคอกระเช้าของโสภีพยับพะเยิบ จนทำให้พฤกษ์เห็นหน้าอกโสภีรำไร
“อ่ะ!! กินซะ
พฤกษ์สะดุ้ง รีบตักข้าวเข้าปาก แต่เจ็บแผลที่ปาก “โอ๊ย”
“โธ่เอ๊ย! ตักซะคำเบ้อเร่อ ไหนดูซิ”
โสภียื่นหน้ามาใกล้ ดูแผลที่ปากพฤกษ์
“โห...แผลใหญ่เหมือนกัน”
โสภียื่นหน้าไปมองพฤกษ์ที่หน้าใกล้ๆ สองคนชะงัก พฤกษ์จ้องโสภี รู้สึกดีที่มีคนใส่ใจ ต่างคนต่างไฟโลกีย์ฉายโชน ลุกติดในใจสองดวง กลางกระท่อมซอมซ่อหลังนั้น
เวลาเดียวกันประตูห้องวงเดือนถูกเปิดออกอย่างแรง โฉมไฉไลปรี่เข้าไปจิกผมวงเดือนที่นั่งหันหลังอยู่ให้หันมาแล้วตบเปรี้ยง
“บอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่ามายุ่งกับเมฆาของฉัน”
วงเดือนงง “นี่มันอะไรกันคุณโฉม”
“อย่าแกล้งโง่! แกทำเสน่ห์ใส่เมฆาใช่มั้ยนังวงเดือน ไม่งั้นผู้หญิงหน้าจืดไร้เสน่ห์อย่างแก ไม่มีทางทำให้ผู้ชายหลงจนโงหัวไม่ขึ้นกันทั้งบ้านอย่างนี้หรอก”
วงเดือนตวาด “ออกไปจากห้องฉันเดี๋ยวนี้”
“แกมันต้องเป็นนังแม่มด ผู้ชายคนไหนยุ่งกับแกต้องมีอันเป็นไปทุกคน”
วงเดือนโกรธจัด “คุณโฉม”
โฉมไฉไลลอยหน้าลอยตา “จริงมั้ยล่ะ! ไม่จากเป็นก็จากตาย ใจคอแกจะทำให้ผู้ชายแสนสมุทรฉิบหายให้หมดทุกคนใช่มั้ย”
วงเดือนเถียงลั่น “ไม่จริง! คุณพูดจาเพ้อเจ้อ”
“ใครจะตายใครจะฉิบหายก็ช่างหัวมัน แต่สำหรับเมฆาของฉัน ฉันไม่ยอม”
โฉมไฉไลปรี่เข้าใส่วงเดือนอีก แต่เมฆาพุ่งทะยานเข้ามากระชากโฉมไฉไลเหวี่ยงจนร่างกระเด็น
โฉมไฉไลหันขวับ “เมฆา”
“จะออกไปดีๆ หรือจะให้ฉันโยนออกไป” เมฆาจ้องเขม็ง
“เมฆาจะแต่งงานกับนังนี่ไม่ได้”
“ได้ ฟังให้ชัดๆ นะ ฉันจะแต่งงานกับวงเดือน”
“แต่โฉมเป็น...โอ๊ย”
โฉมไฉไลพูดไม่ทันจบ เมฆากระชากออกจากห้องวงเดือนก่อน ลากมาแล้วผลักสุดแรงไปกระแทกผนังด้านนอก
เมฆาขบกรามแน่นเค้นเสียงลอดไรฟันเบาๆ “ถ้ายังไม่หยุด ฉันเอาเธอตายแน่”
โฉมขยับปากจะเถียง
“ฉันไม่ได้ล้อเล่น!! ถ้าฉันพัง..เธอตาย”
โฉมไฉไลอึ้ง ไม่เคยเจอเมฆามีท่าทีดุดันเกรี้ยวกราดมากขนาดนี้
“เราต่างคนต่างอยู่ได้แล้ว โฉมไฉไล”
เมฆาผลักโฉมไฉไลกระเด็นไปกองกับพื้น แล้วเดินออกไปอย่างฉุนเฉียว
โฉมไฉไลเหลียวขวับแววตาอาฆาตมาดร้าย “จำไว้เลย..เมฆา ถ้าฉันตาย..คุณก็ตาย”
เมฆากลับเข้ามาหาวงเดือนในห้อง
“ไม่เป็นไรใช่มั้ย”
วงเดือนไม่ไหวแล้ว “ออกไปเถอะค่ะ เลิกยุ่งกับเดือนกันซะที”
“ต่อไปนี้จะไม่มีใครมาทำอะไรเธอได้อีก”
“คุณเมฆาคะ..เดือนเป็นตัววิบัติเป็นกาลกิณีของบ้านแสนสมุทรนะคะ คุณอย่ามาเกี่ยวข้องกับเดือนเลย” วงเดือนโพล่งออกมา
“เธอไปฟังเรื่องเหลวไหลที่ไหนมา”
“คุณท่านก็เคยพูดไว้ค่ะ คุณท่านพูดมาตลอดตั้งแต่เดือนยังเด็กๆ”
คำพูดศรีเรือนผุดขึ้นมาตอกย้ำในหัวซ้ำๆ
วงเดือนมองหน้าเมฆา “ที่ผ่านมาเดือนก็รู้สึกผิดมากพอแล้ว อย่าให้เดือนต้องรู้สึกแย่ไปมากกว่านี้เลย”
“พิสูจน์สิเดือน ฉันพร้อมจะเอาชีวิตทั้งชีวิตของฉันพิสูจน์คำพูดของคุณย่าว่ามันจริงรึเปล่า”
จังหวะนั้นชอุ่มวิ่งพรวดโวยวายเข้ามา “แย่แล้วคุณเมฆา..แย่แล้ว”
“มีอะไรชอุ่ม”
“คุณเมฆา...รีบไปดูเองเถอะค่ะ…” ชอุ่มออกกิริยาทำท่าสยอง “มันน่ากลัวมากเลย”
เมฆางง สวงเดือนฉงน
เมฆา วงเดือน และชอุ่ม วิ่งตามกันเข้ามาในห้องโถง เห็นศรีดารากอดอนุตอยู่
“เกิดอะไรขึ้นครับแม่?”
“แม่ก็ไม่รู้” ศรีดาราเบือนหน้าหนี
เมฆาหันไปมองที่พื้น เห็นซากไก่ถูกเชือดเลือดนองวางอยู่ตัวหนึ่ง
วงเดือนตกใจ รีบไปกอดศรีดารา
เมฆาเดินไป เห็นกระดาษแผ่นหนึ่งวางอยู่ มีลายมือเขียนด้วยเลือดไก่
เมฆาหยิบมาอ่าน เป็นถ้อยความข่มขู่ “จ่ายหนี้ซะ...ถ้าไม่อยากโดนเชือด”
สีหน้าเมฆาครุ่นคิด
ส่วนอีกมุม โฉมไฉไลแอบมองอยู่ด้วยสีหน้าตกใจมาก
ในเวลาต่อมาที่มุมหนึ่งบ้านแสนสมุทร อนงค์รู้เรื่องก็ตกใจลุกยืนพรวด
“บรรลัยแล้ว...ยัยโฉม! ต้องเป็นฝีมือไอ้เถ้าแก่เส็งมันส่งซากไก่นั่นไปขู่ผัวแกแน่ๆ”
โฉมไฉไลตกใจ “เถ้าแก่เส็ง ทำไมมันต้องขู่พฤกษ์ด้วย”
“จะทำไม ผัวแกก็คงไปติดหนี้มันน่ะสิ”
โฉมไฉไลตาเหลือก “ห๊า” โวยลั่น “เพราะหม่าม้าคนเดียวเห็นมั้ย แทนที่ไอ้พฤกษ์มันจะเอาเงินมาให้โฉม มันกลับต้องเอาไปให้ไอ้เถ้าแก่เส็ง เพราะหม่าม้าคนเดียว”
“นี่ยัยโฉม ฉันหวังดีอยากให้ผัวแกมันมีเงินงอกเงยนะยะ” อนงค์หรือจะสำนึก
โฉมไฉไลแขวะ “งอกเงยมากเลยนะหม่าม้า บ้านเราหมดตัวยังไม่พอ นี่หม่าม้าจะพาบ้านแสนสมุทรหมดตัวไปด้วยเหรอ แล้วเราจะไปเกาะใครกินกันล่ะทีนี้”
“อย่าโง่ไปหน่อยเลยยัยโฉม ไอ้พฤกษ์มันหมดตัวก็เรื่องของไอ้พฤกษ์ บ้านแสนสมุทรยังมีทรัพย์สมบัติ มีมรดกตั้งเยอะแยะ” ตาลุกวาว “พ่อผัวแกเค้าอยากอุ้มหลานใจจะขาดไม่ใช่เหรอ? งั้นก็รีบๆ ท้องกับไอ้พฤกษ์ให้ไว เบ่งหลานออกมาให้พ่อผัวแกอุ้มซะ แค่นี้แกก็ไม่ต้องไปเกาะใครให้เหนื่อย เกาะลูกตัวเองกินสบายไปตลอดชาติ…เข้าใจมั้ย”
โฉมไฉไลฟังทำหน้าเบ้ เพราะไม่อยากมีลูกกับพฤกษ์ จากนั้นโฉมไฉไลก็ฟึดฟัดออกไป
อนงค์มองตามอย่างขัดเคืองใจ “แค่นี้ก็คิดไม่ได้ แหม...สู้แม่มันไม่ได้เลยจริงๆ”
พลางยิ้มภูมิใจความเลวของตัวเอง ก่อนจะตามลูกสาวไป
ชอุ่มเช็ดถูพื้นจนสะอาดเรี่ยม แต่หน้าตาชอุ่มยังคงสยองไม่หาย ขณะยกถังน้ำออกไป
เมฆาเมียงมอง ก่อนจะแกล้งทำเป็นพูดให้พ่อแม่สบายใจ “น่าจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันมากกว่าครับ”
ศรีดาราหันไปพูดกับอนุต “นั่นสิคะคุณ แสนสมุทรก็ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางใจอะไรกับใคร”
“คุณณรงค์เองก็ไม่ใช่นักเลงที่จะใช้วิธีการทวงหนี้พี่พฤกษ์แบบนี้” เมฆาปรารภ
อนุตโพล่งขึ้นเสียงเข้ม “เมฆา...จัดการใช้หนี้ให้คุณณรงค์ไปให้หมด”
“แต่พี่พฤกษ์จะต้องเป็นคนใช้หนี้นะครับ” เมฆาท้วง
“ทำตามที่พ่อบอก พ่ออยากจัดการอะไรๆ ให้มันจบๆ ไป อยากให้แสนสมุทรกลับมางดงามเหมือนเดิม ไม่อยากให้มีอะไรมาทำให้แปดเปื้อนเสื่อมเสีย”
อนุตนิ่งไปนิดหนึ่ง ก่อนหันมาทางวงเดือน “วงเดือน”
“คะ”
อนุตเอ่ยขึ้นแบบไม่มีปีไม่มีขลุ่ย “ตกลงแต่งงานกับเมฆานะ”
วงเดือนตะลึงตาค้าง ใบ้กิน
เมฆาหัวใจพองโต ยิ้มหน้าบานเป็นจานดาวเทียม
ศรีดาราอึ้ง คาดไม่ถึง จะท้วงสามี “คุณ...”
อนุตถอนหายใจ “คิดซะว่าช่วยกู้หน้า กู้ศักดิ์ศรีให้แสนสมุทร”
เมฆายิ้มแก้มแทบแตก วงเดือนยังนิ่งอึ้งอยู่
“แต่งงาน แล้วก็รีบมีลูกซะ” อนุตสำทับ
โฉมไฉไลกับอนงค์เดินมาได้ยิน สองแม่ลูกชะงักกึก
“มรดกของแสนสมุทรจะได้มีคนรับสืบทอดต่อไป”
โฉมไฉไลกับอนงค์ยืนช็อก โฉมไฉไลจะพุ่งเข้าไป อนงค์ดึงไว้
วงเดือนตั้งสติ “คุณพ่อคะ..คือ...”
เมฆารีบพูดแทรกขัด “เพื่อคุณพ่อ..เพื่อแสนสมุทรนะเดือน”
เมฆามองจ้องตาวงเดือนแน่วนิ่ง เหมือนย้ำเตือนในสิ่งที่เมฆาเคยพูดเอาไว้ให้คำมั่น
“แค่แต่งเฉยๆ แต่งกันในนาม” / “ฉันพร้อมจะเซ็นใบหย่าให้เธอทันทีที่คุณพ่อ…”
วงเดือน “ไม่ค่ะ..อย่าพูดอย่างนั้น”
เสียงอนุตดึงวงเดือนกลับมา “ว่าไง..วงเดือน?”
วงเดือนสะดุ้ง มองอนุต มองศรีดารา มองเมฆา เห็นทุกคนรอคอยคำตอบ
“ค่ะ..เดือนจะแต่งงานกับคุณเมฆา”
เมฆายิ้มแฉ่ง
วงเดือนบอกต่อ “เพื่อคุณพ่อ คุณแม่ และเพื่อแสนสมุทร”
เมฆาสะดุดในใจนิดหนึ่ง แต่คิดในใจ...เอาวะก็ยังดีที่ยอมแต่ง
ศรีดารากอดวงเดือนอย่างซาบซึ้ง “ขอบใจมาก..ขอบใจมากจ้ะเดือน”
อนุตถอนใจเฮือกใหญ่ อย่างโล่งใจ
ขณะที่โฉมไฉไลโกรธจนตัวสั่นในใจเดือดปุดๆ ธาตุไฟแทบจะแตกซ่าน
วงเดือนช้อนตาเหลือบมองเมฆาแวบหนึ่ง เมฆายิ้มให้สายตาเปี่ยมล้นด้วยความรักใคร่ ก่อนจะเปลี่ยนแววตาเป็นผู้ชนะในเกมรัก สีหน้าสะใจสุดๆ
ชิงนาง ตอนที่ 14 (ต่อ)
โฉมไฉไลหวงและหึงเมฆาจนธาตุไฟแตกซ่าน อดรนทนไม่ไหวจะพุ่งเข้าไปฉะ ถูกอนงค์ดึงรั้งไว้ โฉมไฉไลสะบัดเร่าๆ กิริยาฮึดฮัดขัดใจ
“หม่าม้า..ปล่อยโฉม”
“นังลูกโง่ ปล่อยแกเข้าไปตอนนี้จะมีประโยชน์อะไรห๊า ถ้าจะทำสงครามให้ชนะน่ะมันต้องรู้เขา แต่อย่าให้เขามารู้เรา” แม่ดีเด่นเรื่องสอนลูกให้เลวตะคอกเบาๆ
“โอ๊ย! พูดอะไร โฉมไม่เข้าใจ”
“ฮึ่ย ก็หมายความว่าตอนนี้เรารู้แล้วว่าพวกมันคิดอะไร จะทำอะไร แต่พวกมันไม่มีวันรู้ว่าเรากำลังคิดอะไร และกำลังจะทำอะไร”
โฉมไฉไลฟังหูซ้าย ทะลุหูขวา ยังจะลุยต่อ ไม่คิดไม่ทำอะไรทั้งนั้น โฉมจะไปตบมัน”
อนงค์ตวาด “ใช้แต่กำลัง ไม่ใช้สมอง”
โฉมไฉไลหยุดฟัง
“อย่างที่ฉันบอกแกว่า แกกับพฤกษ์ต้องรีบมีลูก มีทายาทให้แสนสมุทรตัดหน้านังวงเดือนกับเมฆา เกมนี้ใครมีลูกเร็วกว่าก็ได้เปรียบ เข้าใจมั้ย”
“จะมีได้ไงหม่าม้า? ทุกวันนี้แม้แต่หน้าโฉม พฤกษ์ก็ยังไม่ยอมมองเลย” โฉมไฉไลฉุนกึก
“แกก็ต้องทำให้มัน กลับมารักมาหลงแกเหมือนเดิมให้ได้”
“จะกลับมารักมาหลงยังไง? ตอนนี้ไปมุดหัวอยู่ไหนก็ยังไม่รู้เลย”
อนงค์แว๊ดใส่ “ไม่รู้ก็ไปหาสิยะ จะรอให้มรดกแสนสมุทรหลุดลอยไปต่อหน้าต่อตารึไง นังลูกโง่”
โฉมไฉไลขุ่นเคืองใจเอามากๆ
พฤกษ์นอนกอดโสภีหลับกันอยู่ทั้งคู่ สักพักโสภีค่อยๆ ลืมตามองหน้าพฤกษ์ที่หลับอยู่ เอามือลูบคางเบาๆ จนพฤกษ์รู้สึกตัว ตกใจกับเรื่องเมื่อครู่นี้ทำท่าจะลุก โสภีดันตัวไว้ให้นอนต่อ
“นอนไปเถอะ”
พฤกษ์มองโสภี อย่างรู้สึกผิด “ฉัน...”
โสภีหัวเราะหึๆ เบาๆ ลุกขึ้นนั่งชันเข่าข้างหนึ่งอย่างชาวบ้าน “นี่! ฉันไม่ใช่นางเอกนะ ฉันมันนางโลม ไม่ต้องมาทำเป็นรู้สึกผิด..เอ๊ะ! รึว่ารังเกียจ”
พฤกษ์ลุกมานั่งตาม “ฉันเปล่านะ ฉันไม่ได้รังเกียจเธอ”
โสภีชะงักเมียงมอง อึ้งนิดๆ ที่เจอผู้ชายไม่แสดงอาการดูถูก โสภีลุกขึ้นขยับสะบัดผ้าถุงพรึ่บพรั่บ
“จะนอนต่อก็ได้นะ แต่ฉันต้องไปรับแขกแล้ว”
โสภีจะเดินออกไปพฤกษ์เรียกไว้ “เดี๋ยว”
โสภีเหลียวมองมา
“เอ่อ..คือ..” พฤกษ์ทำท่าจะล้วงเงิน แต่ไม่มีเงิน
“ฉันไม่ได้อยากได้เงินคุณ”
พฤกษ์ชะงักมองจ้อง
โสภีบอกหน้าตาเฉยนิ่ง “ไม่คิดเงิน! ฟรี”
พูดจบก็สะบัดตูดออกไปเลย ทิ้งให้พฤกษ์อึ้งกิมกี่ คิดในใจอะไรวะ มีผู้หญิงที่นอนด้วยไม่อยากได้เงินจากพฤกษ์ด้วย เคยเจอแต่ปลิงดูดเลือดอย่างโฉมไฉไล
ที่ไร่ฟ้าเหนือฟ้า ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ทุกคนต่างคิดว่าเป็นสถานที่ฝังกระดูกเหนือฟ้า ยังมีดอกไม้แห้งๆ ที่หนูนาเคยเอามาวางไว้ให้วางอยู่ ชายคนหนึ่งสืบเท้าก้าวเข้ามาหยุดยืนใกล้ดอกไม้
ที่แท้เป็นเหนือฟ้าค่อยๆ นั่งลงหยิบดอกไม้มามอง คิดถึงหนูนาขึ้นมาครามครัน ภาพเหตุการณ์ตอนที่ตนเคยยื่นดอกไม้ คุกเข่าให้หนูนาผุดขึ้นในภวังค์
จู่ๆ เหนือฟ้าต้องสะดุ้ง เพราะยินเสียงดอยแว่วมา เหนือฟ้ารีบหลบออกไปแอบมองจากมุมใกล้ๆ เห็นดอยถือดอกไม้เดินมากับสว่าง
ดอยบ่นหอบๆ “โอ่ย!! ต้องถ่อมาตั้งไกล เอาดอกไม้มาวางให้พ่อเลี้ยงเนี่ยนะ เฮ้อ!”
“บ่น? แค่นี้ทำบ่น ก็กินให้มันน้อยๆ หน่อยจะได้ไม่อ้วน เดินขึ้นมามันจะได้ไม่เหนื่อย”
ดอยบ่นต่อ “ลูกพี่นะลูกพี่ สั่งให้เปลี่ยนดอกไม้ทำไมทุกวัน ซัก 7 วัน เปลี่ยนทีก็ยังได้”
เหนือฟ้ายิ้มหน้าบาน ดีใจที่หนูนาคิดถึงตน
“เอางั้นมั้ยล่ะ ถ้าเอางั้น พอลูกพี่เอ็งกลับมา ข้าจะช่วยบอกให้ว่าเอ็งขี้เกียจเอาดอกไม้มาให้พ่อเลี้ยงเหนือฟ้า”
ดอยร้องลั่น “ว๊าย!อย่านะลุง เดี๋ยวลูกพี่เอาฉันตาย ว่าแต่…เมื่อไหร่ลูกพี่จะกลับซะทีเนี่ย สงสัยป่านนี้ จู๋จี๋ดู๋ดี๋กะคุณภูผาเพลินไปแระ?”
เจอคำประโยคนี้ เหนือฟ้าวูบ
สว่างเขกหัวดอยดังโป๊ก “นี่แน่ะ! จู๋จี๋ดู๋ดี๋! ทำปากดีไปเหอะ เดี๋ยวพ่อเลี้ยงเหนือฟ้าเค้าโกรธขึ้นมา ลุกมาหักคอเอ็ง ข้าไม่ช่วยนะเว๊ย!”
เหนือฟ้าสะดุ้งโหยง
ดอยร้อง “ว๊าย” กระโดดกอดสว่างแน่น “ลุงอย่าพูดสิ” เหลียวซ้ายขวา “ยิ่งเงียบๆ วังเวงไงก็ไม่รู้” พลางรีบวางดอกไม้ลงที่ใต้ต้นไม้ “ดอยเอาดอกไม้ตามคำสั่งลูกพี่แล้วนะจ๊ะ พ่อเลี้ยงเหนือฟ้า อย่าโผล่มาหักคอดอยนะจ๊ะ ถ้าจะมาจริงๆ ก็ขอแม่นๆ 2 ตัว ไปบอกลุงหว่างแกนู่น” วิ่งจู๊ดหนีไปเลย
สว่างเซ็ง “อ้าว ไอ้เด็กเปรต..รอข้าด้วยสิวะ”
สว่างวิ่งตามดอยไป ทิ้งให้เหนือฟ้ายืนมองดอกไม้ ยิ้มๆ หวนไห้ถึงนางเดียวในดวงใจ
“หนูนา”
วันต่อมา ที่บริเวณสถานีรถไฟสายใต้ประจำจังหวัด ภูผากับหนูนาเดินมาหยุดยืนตรงม้านั่ง
“นั่งรอตรงเนี้ย เดี๋ยวฉันไปซื้อตั๋ว”
หนูนานั่งรอที่ม้านั่ง ภูผาเดินไปซื้อตั๋ว สวนกับลูกน้องเถ้าแก่เส็งคนหนึ่ง ภูผาเมียงมอง ลูกน้องก็มองผ่าน ไม่ได้สนใจกัน
ลูกน้องเถ้าแก่เส็งเดินมานั่งลงที่ม้านั่งเดียวกันกับหนูนา สักพักมีลูกน้องอีกคนเดินมายื่นถุงกระดาษใส่มีดส่งให้
“คราวนี้เก็บมันให้หมดบ้านแสนสมุทรเลยนะเว๊ย”
หนูนาตะลึง มองไปที่ภูผาซึ่งกำลังซื้อตั๋ว หนูนานั่งตัวแข็งฟังต่อ
“คราวก่อนเชือดไก่ คราวนี้เชือดคน..ฮ่าๆๆๆ”
สองคนหัวเราะกันใหญ่ “ไป ได้เวลาฆ่าคนแล้ว” หัวโจกบอก
หนูนาตะลึง ค่อยๆ เหลือบหันไปมองตาม สองคนที่เดินออกไป
ภูผาเดินมานั่งลงข้างๆ หนูนา “อีกตั้งครึ่งชั่วโมง หาอะไรกินก่อนมั้ย”
หนูนาหน้าตาตื่น จับแขนภูผาเขย่า “คุณภูผา รีบกลับไปแสนสมุทรเร็ว”
ภูผางง?
ที่บ้านแสนสมุทร ศรีดารากำลังแต่งแต้มเครื่องสำอางให้วงเดือนอยู่
“จะไปออกงานกับเมฆาทั้งทีก็ต้องแต่งหน้าทาปากหน่อยสิจ๊ะ ถ้าเราสวย..ผู้ชายเค้าก็จะภูมิใจ” ศรีดาราปรายตามองเห็นเมฆาเดินมาพอดี “จริงมั้ยจ๊ะ..เมฆา”
เมฆาชะงักมอง วงเดือนหันหน้ามา ใบหน้าถูกแต่งแต้มจนดูสวยขึ้นมาก ทรงผม เสื้อผ้าดูหรูหรา มีราคาและดูดีมากขึ้นกว่าเดิม
เมฆาเพ่งมองเขม็ง อาการอึ้ง ทึ่ง
ศรีดารายิ้มเยื้อน แซวเอา “ไงจ๊ะ..ถึงกับตะลึงเลยเหรอเมฆา”
เมฆาตอบจากใจจริง “ครับ…เดือนสวยมาก”
ศรีดาราพูดกับวงเดือน “เห็นมั้ย..แม่บอกแล้ว”
วงเดือนได้แต่ยิ้มๆ แบบไม่ค่อยชิน
“แค่งานเลี้ยงศิษย์เก่าพยาบาลน่ะค่ะ ที่จริง..ไม่ต้องแต่งอะไรมากก็ได้”
“ไม่ได้หรอก…” เมฆาคุยโอ่สีหน้าภูมิใจมาก “ว่าที่สะใภ้แสนสมุทรทั้งคน...จริงมั้ยครับคุณแม่”
วงเดือนอึ้ง ไม่ชินเลยจริงๆ
ศรีดารายิ้มๆ ก่อนจะหยิบสร้อยเพชรเล็กๆ ขึ้นมาเส้นหนึ่ง พยายามจะแกะตะขอ ตาพร่ามองไม่ค่อยถนัด เลยยื่นให้เมฆา
“เมฆา..ช่วยแม่หน่อยจ้ะ..ใส่ให้เดือนทีสิ”
วงเดือนอึ้ง เมฆายิ้มปลื้ม หยิบสร้อยจะใส่ให้วงเดือน
“อย่าเลยค่ะคุณ”
“อย่าดื้อสิ”
วงเดือนจำต้องยอม เมฆาค่อยๆ ใส่ให้อย่างเบามือ
เมฆามองแล้วมองอีก “เดือนสวยมาก”
วงเดือนยกมือไหว้ศรีดารา “ขอบพระคุณค่ะ..คุณแม่”
“ไปกันเถอะ..ผมอยากพาเดือนไปอวดให้ใครๆ เห็นจะแย่อยู่แล้ว”
เมฆายิ้มกริ่ม จับแขนวงเดือนให้ลุกขึ้น
อนุตเดินเข้ามาช้าๆ “จะไปกันแล้วเหรอ?”
“ครับพ่อ”
ศรีดาราปรี่ไปประคอง “คุณลงมาทำไมคะ น่าจะนอนพัก”
อนุตไม่ตอบ มองเมฆากับวงเดือนที่แต่งตัวสวยหล่อสมกันยังกะกิ่งทองใบหยก ด้วยสายตาปลาบปลื้ม พึมพำออกมา
“เมฆา...กับวงเดือน..เหมาะสมกันจริงๆ”
เมฆาได้ยินปลื้มสุดขีด วงเดือนหลบตา
เมฆากระซิบบอกวงเดือน “เห็นรึยังเดือน...เราทำให้คุณพ่อมีความสุขมากแค่ไหน?”
ระหว่างนั้น ทั้ง 4 คน ยินเสียงชอุ่มกรี๊ดลั่นเข้ามา น้ำเสียงฟังดูตกใจมาก
“ช่วยด้วยๆๆ”
ทุกคนเหลียวขวับ ด้วยสีหน้าตกใจ เห็นชอุ่มวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนเข้ามาเกาะขาเมฆา
“แย่แล้วค่ะ..แย่แล้วค่ะ”
“มีอะไรชอุ่ม? ใครทำอะไร?”
ชอุ่มตกใจปนหอบ...จนพูดไม่ออก ได้แต่ชี้ไปที่ประตู
เห็นลูกน้องเถ้าแก่เส็ง 2 คน ก้าวเข้ามาดูท่าทีเหี้ยมเกรียมและน่ากลัว
“พวกแกเป็นใคร?”
“ไอ้พฤกษ์อยู่ไหน?” ลูกน้องหัวโจกถาม
ทุกคนตกใจ มองกันท่าทีหวาดหวั่น
อนุตงง “ทำไม พฤกษ์ไปทำอะไรพวกแก”
ลูกน้องเถ้าแก่เส็งกวนใส่ “ก็ไม่ได้ทำอะไรพวกข้า แต่ไอ้พฤกษ์มันทำเจ้านายข้า”
เมฆาฉงน “เจ้านาย”
“เออสิวะ! มันติดหนี้ที่บ่อนเจ้านายข้าสี่แสน”
ทุกคนช็อกคาที่
ศรีดาราแทบไม่เชื่อหู “อะไรนะ”
“ติดหนี้ที่บ่อน” อนุตอึ้ง
“ไปเรียกมันมาใช้หนี้เดี๋ยวนี้
“เค้าไม่อยู่ที่นี่” เมฆาบอก
“โกหก” พวกมันไม่เชื่อ
วงเดือนพูดดีๆ ด้วย “ไม่ได้โกหก!! คุณพฤกษ์ไม่อยู่จริงๆ”
ลูกน้อง หัวโจกมองวงเดือน และมองสร้อยเพชรที่คอแล้วยิ้มร้ายออกมา กระชากวงเดือนมาล็อกไว้เลย
“งั้นก็เอานั่งนี่กับสร้อยเพชรไปใช้หนี้เถ้าแก่แทนละกัน”
เมฆาเข้าชิงตัววงเดือนทันที ขณะที่อนุตน่ะทรุดไปแล้ว ศรีดารากับชอุ่มช่วยกันดูแลอยู่อีกมุม
สุดท้ายเมฆาโดนรุม จนเพลี่ยงพล้ำ ลูกน้องอีกคน เงื้อมีดดาบกำลังจะจ้วงแทง จังหวะนั้นเองภูผาก็โผล่เข้ามาช่วยตะลุมบอน
หนูนารีบคว้าวงเดือนไปรวมกลุ่มศรีดารา วงเดือนมีสติปรี่ไปโทรศัพท์แจ้งตำรวจ
สองพี่น้องหันหลังชนกันสู้ผู้ร้ายมาดอย่างเท่ ผู้ร้ายมีอาวุธ คนที่มองมาได้ลุ้นใจหายใจคว่ำ
จังหวะหนึ่งภูผาพลาดท่าโดนมีดเสียบท้องดังฉึ่ก สีหน้าหน้าภูผาเจ็บปวดเอามากๆ
เมฆาอึ้ง วงเดือนใจหล่นวูบ จะวิ่งไปหาแต่...หนูนากรีดร้องเรียกชื่อภูผาสุดเสียง พุ่งไปถึงตัวภูผา กอดภูผาไว้แน่น ขณะที่ผู้ร้ายเงื้อมีดสุดแขนเตรียมจะแทงหนูนาที่เอาตัวบังภูผาไว้
พฤกษ์โดดเข้ามาถีบผู้ร้ายกระเด็นเมฆาช่วยลุยต่อ วงเดือนปรี่ไปช่วยปฐมพยาบาลภูผาโดยสัญชาติญาณ
ชอุ่มเหลียวไปตรงทางเข้าห้องโถงร้องลั่น “ตำรวจมา ตำรวจมาแล้ว”
ตำรวจ 3 นายพุ่งเข้ามาพร้อมอาวุธ ผู้ร้ายเผ่นแน่บ
วงเดือนร้องลั่น “ช่วยด้วย ช่วยคุณภูผาด้วย”
ร่างภูผาอยู่ในอ้อมกอดวงเดือน คอตกสลบไป
เวลาต่อมา ตรงมุมหนึ่งในบ้านแสนสมุทร อนงค์รู้เรื่องก็ตกใจสุดขีด
“จริงเหรอยัยโฉม”
“ก็จริงสิหม่าม้า กลิ่นเลือดยังหึ่งอยู่เลย”
“ตายแล้ว..แย่แล้ว..นี่ไอ้เถ้าแก่เส็งมันจะพาลมาเล่นงานฉันด้วยรึเปล่าเนี่ย”
“เพราะหม่าม้าคนเดียว..เห็นมั้ย เรื่องมันเลยวุ่นวายไปหมดแบบนี้” โฉมไฉไลหงุดหงิด อารมณ์เสีย
อนงค์แถต่อ “เพราะฉันที่ไหนยะ? เพราะผัวเฮงซวยของแกตะหาก เล่นไพ่ประสาอะไรให้เจ้ามือกินหมด งี่เง่าจริงๆ”
โฉมไฉไลเริ่มวิตก “แล้วนี่เราจะทำไงดีล่ะหม่าม้า..จะมีใครตายอีกมั่งรึเปล่าก็ไม่รู้เนี่ย”
ตรงหน้าห้องฉุกเฉินที่โรงพยาบาล หนูนาเดินพล่านไปมาเป็นหนูติดจั่น ด้วยความเป็นห่วงภูผาศรีดาราประคองอนุตนั่งกังวลอยู่ที่เก้าอี้ มีชอุ่มอยู่ด้วย
ศรีดาราพนมมือขอให้วิญญาณศรีเรือนช่วยหลาน
“คุณแม่คะ..ช่วยภูผาด้วย..ขอให้เมฆากับวงเดือนช่วยภูผาได้สำเร็จด้วยเถอะ”
พฤกษ์แอบซุ่มอยู่อีกมุมอย่างกลัวความผิด ไม่กล้าแสดงตัว
ภายในห้องผ่าตัดภูผานอนสลบอยู่บนเตียงผ่าตัด เมฆากำลังคร่ำเคร่งผ่าตัดช่วยชีวิตโดยมีวงเดือนเป็นผู้ช่วย ลุ้นระทึกสุดตัว
เมฆามิวายเหลือบมองดูสายตาวงเดือนที่ดูห่วงใยภูผาเอามากๆ พอวงเดือนรู้สึกว่ากำลังถูกมอง ก็ช้อนสายตามองเมฆา ก่อนจะยื่นมือเอาผ้าซับเหงื่อที่ตรงหน้าผากให้ เมฆาดีใจหันไปตั้งใจช่วยภูผาต่อ
ด้านหนูนายังคงเดินพล่านอยู่ที่หน้าห้องฉุกเฉิน
ชอุ่มเห็นแล้วสงสาร “นังหนู..นั่งมั่งก็ได้ เดินไปเดินมาเป็นชั่วโมงแล้ว”
หนูนาแว๊ดอย่างไร้มารยาท “ใครจะนั่งลงป้า คุณภูผาโดนแทงซะขนาดนี้” ใจไม่ดี เริ่มสะอื้น “จะเป็นอะไรรึเปล่าก็ไม่รู้” สะอื้นเหมือนเด็ก
ศรีดารามองแล้วสงสาร “หนู..ภูผาต้องไม่เป็นอะไรจ้ะ”
หนูนามองศรีดาราแล้วใจชื้นขึ้นมาหน่อย ทันใดนั้นเมฆาเดินท่าทีเหนื่อยๆ ออกมา ทุกคนกรูไปหา สอบถามกันเกรียว
“พี่ผา...ปลอดภัยแล้วครับ”
ทุกคนเฮ กอดกันแน่น หนูนากอดกับชอุ่มเฉย
ศรีดาราโผกอดเมฆา “ขอบใจมากนะ..เมฆาเก่งมากลูก”
อนุตตบไหล่เมฆา 2 ที
พฤกษ์เอาหลังพิงฝาอย่างโล่งอกที่ภูผาไม่เป็นอะไร ถอนใจหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน
ในห้องผ่าตัดวงเดือนจัดวางเครื่องมือเข้าที่เสร็จ หันไปมองภูผาที่ยังนอนนิ่ง แล้วขยับตัวเข้าใกล้ มองหน้าภูผาอย่างรักใคร่ ก่อนจะก้มลงจูบหน้าผากภูผาอย่างละมุนละไมกระซิบข้างหู
“เดือนรักคุณ และจะรักคุณคนเดียวตลอดไป”
ราวกับจะรับรู้ จังหวะนั้นนิ้วภูผากระดิกนิดๆ
วงเดือนเอามือลูบผมภูผาน้ำตาเอ่อล้น
“เดือน” ภูผาเรียกขึ้น
วงเดือนสะดุ้ง รีบปาดน้ำตา
เมฆาโผล่เข้ามา เมียงมองจับกิริยา วงเดือนหลบตาทำเป็นเฉไฉจัดเครื่องมือ
เมฆาหึง บอกเสียงเขียวขุ่น “ทำอะไรอยู่ เดี๋ยวให้พยาบาลเวรมาดูแลต่อได้แล้ว”
“ค่ะ”
วงเดือนออกไป เมฆามองตาม ก่อนจะหันมามาองภูผาอย่างระแวง
“ผมให้ชีวิตพี่ ก็หวังว่าพี่จะไม่กระชากหัวใจของผมไปนะ..พี่ผา”
ภูผาหลับตานิ่ง เมฆาจ้องหน้าพี่ชายเขม็ง
พอวงเดือนออกมาหน้าห้องต้องชะงัก เมื่อเห็นหนูนานั่งหลับฟุบอยู่กับเก้าอี้แขนห้อย ก็เข้าไปค่อยๆ จับแขนขึ้นให้ หนูนารู้สึกตัวสะดุ้งตื่น
“คุณภูผา”
วงเดือนชะงัก หนูนาก็ชะงัก สาวสองคนมองหน้ากัน ต่างอึ้งกันไป มันไม่ใช่สายตาของความโกรธเกลียด หากแต่เป็นสายตาคนแพ้ทั้งคู่…แพ้ใจภูผา
“คุณภูผาล่ะ” หนูนาถามไวๆ
“ยังไม่ฟื้น” วงเดือนบอกท่าทียิ่งๆ
หนูนาผุดลุก “ชั้นจะไปหาคุณภูผา”
วงเดือนเสียงดัง “ตอนนี้ยังเข้าไม่ได้”
หนูนาตวัดสายตามองเป็นเชิงถามว่าจะกันท่าหรือไง
วงเดือนน้ำเสียงอ่อนลง “คุณภูผายังต้องอยู่ในห้องปลอดเชื้อ ถ้าเธอเข้าไป แผลอาจจะติดเชื้อ เป็นอันตรายต่อคุณภูผา”
หนูนาจึงอ่อนลง
“เยี่ยมได้เมื่อไหร่ ฉันจะบอกเธอทันที”
หนูนานั่งลงท่าทีเพลียๆ
วงเดือนมอง “เธอเองก็ควรจะพักผ่อนให้มากๆ นะ” ขณะพูดวงเดือนมีทีท่าสะเทือนใจนิดๆ “ลูกในท้องจะได้แข็งแรง”
หนูนาสะดุ้ง ยิ่งรู้สึกผิดในใจมากขึ้น เพราะลูกในท้องไม่ใช่ลูกภูผา
วงเดือนทรุดลงนั่งข้างๆ หนูนาขัดเขินนิดหน่อย เพราะมีความผิดติดตัว เรื่องทำให้เขาแตกแยก โทร.ไปบอกเมฆา แถมตั้งท้องกับวันชัย แต่ภูผาต้องมารับผิดชอบแทน จนยิ่งทำให้ต้องห่างจากวงเดือนเข้าไปอีก
วงเดือนมองหน้าหนูนาอย่างอ่อนโยน หนูนายิ่งทำตัวไม่ถูก
“เธอเป็นผู้หญิงที่โชคดีมากรู้มั้ย...หนูนา”
หนูนาหลบตาวูบ รู้ว่าวงเดือนจะพูดอะไรต่อ
“โชคดีที่สุด ที่คุณภูผารักเธอ”
หนูนายิ่งสะท้อนใจ ตระหนักดีว่าเขาไม่ได้รักสักนิด
“เขารักเธอนั่นแหละ...คุณวงเดือน” หนูนาพูดกับตัวเอง...ในใจ
วงเดือนยิ้มบางๆ “คนที่ไม่รู้จัก...อาจจะนึกว่าคุณภูผาไม่น่ารัก เกเร อารมณ์ร้าย เอาแต่ใจ” ทอดยิ้มส่งให้
เมฆาเดินมาได้ยิน ก็หลบวูบแอบฟัง
“แต่ถ้าได้รู้จักเค้าจริงๆ ก็จะรู้ว่าเค้าเป็นคนดี…ดีที่สุด”
ดวงตาเมฆาวาววับ ด้วยความอิจฉาภูผา
วงเดือนบอกอย่างจริงใจ “หนูนา..ฉันยินดีกับเธอด้วยนะจ๊ะ” แตะมือหนูนา “ยินดีจากใจจริง” น้ำตารื้นขึ้นมา
หนูนาเห็นอาการวงเดือนก็อึ้ง รู้สึกผิดจนอยากจะสารภาพ
“คุณ...” หนูหนาสับสนจะเอายังไงดี “คือ…” ตัดสินใจจะสารภาพแล้ว “ฟังฉันก่อนนะ! จริงๆ แล้วคุณภูผาเค้า...”
เมฆาใจหาย ก้าวพรวดออกมาขัดจังหวะไว้ก่อน
“เรากลับกันได้แล้วเดือน”
หนูนาชะงักเหลียวมองไปยังเมฆา
เมฆาเข้ามาประกบวงเดือน “กลับไปดูคุณพ่อกันดีกว่า ป่านนี้ท่านจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้”
วงเดือนลุกขึ้น ปรับอารมณ์เป็นปกติ เพราะเกรงใจเมฆา หันไปบอกหนูนา
“คุณภูผาปลอดภัยแล้ว ตอนนี้มีพยาบาลดูแลอยู่ เธอไม่ต้องห่วงนะจ๊ะ”
หนูนาพยักหน้ารับ เมฆาจูงวงเดือนจะเดินออก แต่ขอตอกย้ำให้วงเดือนผู้แสนดีตระหนักอีกดอก
“อ้อ หนูนา...พี่ผาต้องมาเจ็บอย่างนี้ งานแต่งงานของเธอก็คงต้องเลื่อนออกไปสินะ”
วงเดือนอึ้ง
หนูนาเอ๋อใบ้กิน พยักหน้าหงึกๆ รับ
เมฆายิ้มทำเป็นใจดี “ไม่ต้องกังวลนะ ถึงยังไงพี่ผาก็ต้องแต่งงานกับเธอแน่นอน ถ้ามีอะไรให้ฉันกับวงเดือนช่วยก็บอกได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ เพราะถ้าเสร็จงานแต่งของเรา 2 คนแล้ว เราคงจะพอมีประสบการณ์แนะนำเธอกับพี่ผาได้บ้าง”
วงเดือนหัวใจแทบละเอียดเป็นผุยผง น้ำตาหยดออกมาอย่างห้ามไม่อยู่จริงๆ
เมฆาลอบมองอย่างพอใจ ที่ย้ำให้ทั้งสองสาวรับรู้สถานะแห่งตน
หนูนามองวงเดือนอย่างสุดจะเข้าใจและเห็นใจ เมฆายิ้มเย็นก่อนจะจูงมือวงเดือนเดินออกไป
หนูนาคอตก ยิ่งรู้สึกผิดหนัก
วันเดียวกันกลางป่าลึก เป้าที่เหนือฟ้ายิงด้วยธนูแต่พลาดป้ไปหมด
มะยอเยาะข่ม “อ่อน”
“นี่ แม่มะยอคนเก่ง ฉันเพิ่งจะหัดเป็นครั้งแรกจะให้เก่งเหมือนเธอได้ยังไงห๊า” เหนือฟ้าฉุนนิดๆ
“ชิ ไม่รู้พ่อจะให้ข้าสอนเอ็งไปทำไม เหนื่อยฟรี”
มะยอสะบัดตัวออกแล้วสะดุดกิ่งไม้แถวนั้นจะล้มหน้าทิ่ม เหนือฟ้าโอบคว้าตัวไว้ได้ทัน ใบหน้าสองคนแทบติดกัน จ้องตากันซึ้ง
เสียงมะขิ่น ดังขัดจังหวะเสียก่อน “อ้ายเหนือ อ้ายเหนือ”
มะยอได้สติ “เฮ๊ย” ผลักเหนือฟ้ากระเด็นล้มลงไปกองกับพื้น
เหนือฟ้าร้อง “โอ๊ย”
มะขิ่นวิ่งมาเห็นก็งงๆ “อ้าว อ้ายเหนือ นั่นมันยิงธนูท่าไหน ทำไมนั่งยิง ทำไมไม่ยืนยิง”
“ก็มะยอน่ะสิ” เหนือฟ้าบอกอย่างฉุนเฉียว
“เวรละ อีนังมะยอ...เอ็งสอนอ้ายเหนืออีท่าไหนของเอ็งวะ นังนี่มัน ติงต๊องจริงๆ”
มะยอเซ็ง “โดนด่าอีก”
มะยอเหล่ใส่เหนือฟ้าที่ขำๆ เย้ยๆ อยู่ทีหนึ่งแล้วเดินสะบัดตูดออกไป มะขิ่นมองตามสักพักก็ปรี่มารายงานเหนือฟ้า
“พ่อเลี้ยงครับ คนฝั่งโน้นมันพูดกันว่า มีคนแปลกหน้าโผล่ไปป้วนเปี้ยนอยู่ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเป็น…”
เหนือฟ้าสวนออกมาทันควัน “ไอ้วันชัย”
“ยังไม่แน่ใจนะครับพ่อเลี้ยง”
เหนือฟ้าแค้นจัด “ขอให้ใช่ ฉันจะได้ส่งแกลงนรกซะที ไอ้วันชัย”
สีหน้าเหนือฟ้าม่งมั่นมาดหมายมากๆ
มะยอเดินมาในราวป่า กิริยาอารมณ์ยังเหวี่ยงอย่างต่อเนื่อง แล้วชะงักหันขวับ เมื่อรู้สึกมีอะไรเคลื่อนไหวพะยับพะเยิบอยู่
มะยอเริ่มระวังตัวทันที กระชับอาวุธที่มีอยู่ไว้แน่น เตรียมพร้อมสายตานางแมวป่าตวัดซ้ายไปขวาอย่างระแวดระวังเยี่ยงมืออาชีพ
มะยอค่อยๆ ย่องมา แล้วหันขวับเมื่อมีความเคลื่อนไหวที่อีกมุมหนึ่ง มะยอย่องมาเงียบกริบ แล้วมั่นใจว่าใช่แน่ เงื้ออาวุธ เตรียมเผด็จศึก แต่กลายเป็นกระต่ายน้อยอยู่ในพุ่มไม้ มะยอถอนใจเฮือกใหญ่ ปาดเหงื่อ หันหลังกลับมา เจอกับใครคนหนึ่งในระยะประชิด
“เฮ๊ย” มะยอเงื้ออาวุธสุดแขน
เหนือฟ้าร้องลั่น “ฉันเอง”
มะยอเห็นเป็นเหนือฟ้า ก็โกรธสุดขีด วี๊ดลั่น “ไอ้บ้า จะบ้าเหรอ อยากตายรึไง?”
เหนือฟ้าตะคอกกลับ “เธอสิบ้า! อยู่ดีๆ ก็จะมาฆ่ากันซะงั้น”
มะยอด่าอย่างหงุดหงิด “ก็ย่องมาเงียบๆ ทำไม”
“ใครสอนฉันล่ะ เธอสอนฉันเองไม่ใช่เหรอว่าอยู่ป่า ถ้าอยากอยู่รอดก็ต้องเงียบ” เหนือฟ้าสวน
มะยอค้อนปะหลับปะเหลือก
เหนือฟ้าส่ายหน้าพูดเหน็บแนม “เธอนี่มันขี้ระแวงจริงๆ เคยไว้ใจใครเค้าบ้างมั้ยเนี่ย?”
มะยอสวนคำทันควัน “ฉันไม่เคยไว้ใจใครทั้งนั้น นอกจากพ่อ” มองจ้องหน้าเหนือฟ้า “ไว้ใจคนอื่นแล้วได้อะไร?”
คำพูดซื่อๆ กระแทกเข้าหน้าทะลุใจเหนือฟ้าจนอึ้งไป เพราะเคยเกือบตายเพราะไว้ใจ วันชัย!!
มะยอพ่นใส่อีกดอก “แน่ใจเหรอว่า คนอื่น น่ะมันไว้ใจได้”
เหนือฟ้าอึ้ง นิ่งงันไป
ใบหน้ามะยอยังรอคำตอบ?
เหนือฟ้าใคร่ครวญครุ่นคิดในใจ “เออ...นังนี่มันก็พูดน่าฟัง”
โปรดติดตาม "ชิงนาง" ตอนต่อไป