สาวน้อยตอนที่ ๒๑
เชิดนั่งอยู่กับนางนิ่ม เนื่องพยายามอธิบาย
“ฉันก็บอกแม่ไปหลายทีแล้ว เงินตั้งพันบาท ไม่ใช่น้อยๆ นะแม่ ถ้านิดมันลำบาก มันจะเอาเงินที่ไหนส่งมาให้เรา” เนื่องพูดกับนางนิ่ม
นางนิ่มถอนหายใจอย่างขัดใจแล้วบอก
“ไอ้ลำบากน่ะคงไม่หรอก แต่ว่า ไม่รู้สิ มันสังหรณ์ใจยังไงพิกลน่ะ พ่อเชิด”
“ยังไงจ๊ะ แม่นิ่ม”
นางนิ่มพยักหน้าให้ เนื่องส่งจดหมาย ๕-๖ ฉบับ ที่นิดส่งมาให้เชิดเปิดอ่านดู
“กี่ฉบับๆ ส่งมาก็เขียนแต่ว่าไปตระเวณเที่ยวปากใต้กับพ่อเสียม มีความสุขสนุกสนานดี บอกแม่กับพี่ว่าไม่ต้องห่วง...” นางนิ่มบอก
เชิดก้มหน้าก้มตาอ่านอย่างรวดเร็วทุกฉบับ แต่ละฉบับสั้นๆ ไม่มีข้อความมากนัก เชิดอ่านจบแล้วเงยหน้าขึ้นด้วยแววตาห่วงใยเปี่ยมล้น
“นิดเป็นคนช่างจดช่างจำ ได้ไปเที่ยวปากใต้นานตั้งสองสามเดือน ทำไมไม่มีอะไรมาเล่าให้ฟังบ้างเลยว่าไปที่ไหน ไปพบไปเจออะไรบ้าง...” เชิดบอกตามประสาคนที่รู้จักนิดเป็นอย่างดี ก่อนหันไปบอกเนื่อง
“นี่เหมือนไม่ใช่จดหมายของนิดเลย”
“แต่มันลายมือนิดชัดๆ ไอ้เชิด ข้าจำได้”
“นิดเขียนจดหมายนี่จริงๆ... แต่ข้าว่า นิดไม่ได้ไปเที่ยวปากใต้หรอก...นิดหลอกพวกเรา”
นางนิ่มมองหน้าเชิดแล้วพยักหน้าอย่างเห็นด้วยอย่างเศร้าๆ เชิดมีสีหน้ากังวลหนัก
วันใหม่ เวลากลางวัน ภายในห้องเขียนภาพชั้นบนของร้านสรรค์ศิลป์ สรรค์ยื่นเอามือจับคางมองตรงหน้านิดซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ มีโต๊ะไม้อ่อนช้อยอยู่ตรงหน้า นิดกำลังจัดตามท่าที่สรรค์กำกับ ในห้องไฟเพดานเปิดไว้เพียงดวงเดียว แสงส่วนใหญ่มาจากช่องหน้าต่างใหญ่ ทาบเข้ามาทางด้านข้างนิด ทำให้เกิดเงาบนใบหน้าซีกหนึ่ง และเงานั้นยังทอดลงบนโต๊ะ ทำให้นิดดูเศร้าสร้อย
“คุณน้อยลองเท้าศอกทั้งสองข้างบนโต๊ะซีครับ” สรรค์บอก
นิดเท้าศอกทั้งสองข้างลงบนโต๊ะตามที่สรรค์บอก
“ไหนลองคว่ำมือทั้งสองข้าง เอามือนึงทับมือนึงซิครับ”
นิดทำตาม แหวนพลอยในมือวูบวับจับตา
“แล้วคุณน้อยลองจรดคางลงบนหลังมือซีครับ”
นิดจรดคางแตะลงมือข้างหนึ่งแล้วทอดสายตามองดูสรรค์
สรรค์มองดูนิดตรงหน้าแล้วอึ้งไป ทั้งแสงเงาและลมที่โชยมาอย่างแผ่วเบาต้องเส้นผมบางปอยปลิวตกลง ดวงตาที่ทอดกลับดูโศกซึ้งหวานเศร้าอย่างมาก
“ดีแล้วครับ เอาเท่านี้ก็แล้วกัน”
นิดมองดูสรรค์ ใจนึกถึง ตอนที่เสียมกำกับท่าตอนวาดภาพสาวน้อยบนเกาะวิมานน้อย
นิดทั้งสุขทั้งเศร้าพลุ่งขึ้น อารมณ์นั้นแผ่ซ่านออกผ่านดวงตาที่เปียกชื้นด้วยหยาดน้ำตา เสียมทั้งแปลกใจทั้งดื่มด่ำ เดินไปหลังผ้าใบแล้วลงมือร่างรูป
ในเวลาต่อมา นิดยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่ตรงส่วนทีช็อป ตรงหน้ามีน้ำชาและของว่างวางอยู่ สรรค์นั่งอยู่ตรงข้ามมองนิดอย่างพิศวง
“แปลกจริง ตอนนี้คุณดูร่าเริงมีความสุขเหลือเกิน แต่ทำไมตอนโพสท่าถึงได้ดูเศร้านัก” สรรค์ถามด้วยความสงสัย
“คุณเองต่างหากที่กำกับท่าทางดิฉันให้ออกมาอย่างนั้น” นิดบอก
“ไม่จริงหรอก ผมแค่ทำตามสิ่งที่ผมเห็นจริงๆ ในตอนนั้น”
นิดขยับกายเอนตัวมองดูสรรค์ ด้วยแววตายกย่อง
“เพราะคุณเป็นศิลปินที่แท้จริง คุณถึงมองข้ามฉากหน้าของฉัน ไปเห็นความจริงภายในได้”
“แปลว่า คุณมีความเศร้าบางอย่างอยู่ภายใน”
“ค่ะ และเป็นความเศร้าอย่างลึกซึ้งด้วย ฉันเคยผ่านชีวิตที่ทุกข์อย่างที่สุดมาแล้ว ซักวันนึง ฉันจะเล่าให้คุณฟัง”
นิดพูดอย่างรำลึกความหลังที่กึ่งเศร้ากึ่งสุข สรรค์มองอย่างสนใจมากขึ้น
ภายในบ้านเช่า เวลากลางคืน นิดใบหน้าสดใสสวมชุดนอนนั่งอยูที่โต๊ะเขียนหนังสือ ซึ่งมีหนังสือเล่มใหญ่เปิดค้างอยู่ และมีสมุดโน๊ตที่ไว้เขียนย่อใจความ ตรงหน้ายังมีหนังสืออีกเป็นตั้ง นิดวางปากกา ปิดสมุด ปิดหนังสือ แล้วเดินมานั่งที่เครื่องแป้ง กระจกเงาสะท้อนภาพหญิงสาวบริสุทธิ์ปราศจากเครื่องสำอางใดๆ แหวนพลอยในกระจกทอแสงพราวพร่าง นิดกรายนิ้วขึ้นดู
“แหวนจ๋า เมื่อไรท้าวทุษยันต์ของนิด ถึงจะจำศกุนตลาได้เสียที”
เทอเรซบ้านเนาวรัตน์ เสวกนอนกลางวันอยู่บนเก้าอี้นอนหวายหรูหรา มือเสวกกอดหมอนอิงประทับอก ใบหน้าระบายด้วยรอยยิ้มพลางเพ้อ...
“วนิดา วนิดา...นางฟ้าของผม”
เสวกปรือตาขึ้นอย่างสลึมสลือ แล้วรู้สึกว่ามีมือมาโบกตรงหน้าเหมือนยั่วเย้า เสวกลืมตา แล้วตกใจจนตาเหลือกโพลง เพราะเห็นอนงค์ที่วาดคิ้วโก่งวงจันทร์ ทาตาสิบสี กรีดอายไลเนอร์ยาวไปถึงตีนผม ยื่นหน้าเข้ามา เสวกผวาลุกพรวดขึ้น
“เฮ้ย เว้ย”
อนงค์ค้อนขวับ
ที่ด้านหนึ่ง รตีนั่งอยู่กับสุวลี บนโต๊ะมีของว่างและน้ำชามองมาพอดี
“พี่เสวกเป็นอะไรไปคะ” สุวลีถาม
“เอ้อ พี่ พี่ ฝันร้าย” เสวกบอก
รตีหัวเราะแล้วบอกว่า
“แต่พอลืมตาขึ้นมาแล้วร้ายกว่า”
“นังเลว บิช” อนงค์กระฟัดกระเฟียด
เสวกกับอนงค์เดินมานั่งโต๊ะ สุวลีรินน้ำชาให้ บนโต๊ะมีของว่างน้อยลงกว่าแต่ก่อน เหลือเพียง 2 อย่างเท่านั้น
“แหม ตื่นมา ก็มานั่งกินเลยนะคะคุณพี่” สุวลีบอก
“โธ่ พิธีรีตองอะไรกันนักหนา” เสวกว่า
เสวกเอามือหยิบขนม สุวลีตีมือแต่อนงค์บ่น
“แหม วันนี้ไม่มีสโคนเหรอ ฉันอยากกินสโคน”
“คิดว่าวันนี้จะมีทาร์ตผลไม้เสียอีก” รตีพูดย้ำอีกคน
เพียงเท่านั้น สุวลีก็รู้สึกเสียหน้า หันมองดูจวนที่มีอาการหวาดหวั่น
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมข้างล่างทำของขึ้นมาแค่นี้” สุวลีถาม
“คุณหญิงเป็นคนสั่งงดเองเจ้าค่ะ”
“แปลกจริง”
สุวลีสงสัยและเริ่มมีอาการไม่พอใจ เสวกหาเรื่องคุย
“วันก่อนพี่ไปซื้อของที่มิ่งเมือง เจอวนิดากับพระรองที่ชื่อแก้วด้วย”
“อุ้ย จริงเหรอคะ” รตีว่า
“คุณพี่เสวกโชคดีจัง” อนงค์บอก
สุวลีได้ยินชื่อวนิดาก็พาลอารมณ์เสียขึ้นมาทันใด พลางกระแทกถ้วยชาในมือลงบนโต๊ะ
“คุณพี่คะ คุยเรื่องอื่นบ้างเถอะนะคะ สุเบื่อชื่อวนิดาเต็มทีแล้ว”
ภายในห้องเขียนรูปของวันใหม่ในเวลากลางวัน นิดยังคงวางท่าและสวมเสื้อผ้าชุดเดิม ดวงตาเศร้าสร้อยทอดมา สรรค์ซึ่งอยู่หลังผืนผ้าใบเริ่มลงสี เงยหน้าขึ้นมาสบตานิดจนแทบจะละลายไปกับสายตาหวานเศร้านั้น
ในช่วงพัก นิดและสรรค์จิบน้ำ สรรค์มองดูนิดที่สดใสด้วยแววตาเปี่ยมสุขจนอดถามไม่ได้
“ทำไมตอนที่นั่งเป็นแบบ ดวงตาของคุณถึงเศร้านัก”
“มีคนคนหนึ่งเคยบอกฉันว่า อย่าเชื่อในสิ่งที่ตาเห็น” นิดอมยิ้มบอก
คนหนึ่งที่นิดพูดถึงนี้คือมารศรี ที่เคยพูดสอนเธอไว้อย่างนั้น
สรรค์ยิ้มชอบใจ
“seeming and being ใช่ไหม สิ่งที่เห็นไม่ใช่สิ่งที่เป็น”
“คุยเรื่องของคุณดีกว่า .. ร้านคุณ ทำไมมีคนเข้าน้อยจังคะ”
“เป็นธรรมดาช่างเขียนที่ยังไม่มีใครรู้จักกระมังครับ”
“ยังไม่มีใครรู้จักคุณก็จริง แต่ร้านคุณเปิดมา 4 เดือนกว่าแล้วนะคะ”
“มันก็แย่มาตั้งแต่เปิดแล้วล่ะครับ ถึงตอนนี้ผมขายรูปไปได้แค่สี่รูปเอง รวมทั้งรูปทะเลหัวหินของคุณด้วย”
สรรค์เองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงวางใจปรับทุกข์กับคนที่เพิ่งรู้จัก
“ส่วนทีรูมยิ่งแล้วใหญ่ ดูเหมือนคนไทยจะไม่คุ้นกับร้านแบบนี้ ไม่รู้ว่าไม่ต้องมาดูรูปก็เข้ามานั่งได้ หรือไม่อยากนั่งจะซื้อกลับบ้านก็ได้”
“อย่าห่วงไปเลยค่ะ คุณและร้านของคุณจะมีชื่อเสียงโด่งดังในไม่ช้านี้แน่ อย่างน้อยที่สุดฉันก็จะช่วยโฆษณาร้านของคุณด้วยตัวดิฉันเอง”
สรรค์มองนิดรู้สึกปลื้มใจและประทับใจ
แม้ในร้านเงียบเหงา แต่สมพงษ์กับบัวกลับหน้าระรื่นคุยซุบซิบชื่นชมวนิดาอยู่ตลอดเวลา
“ตอนไปดูละครเห็นไกลๆว่าสวยแล้ว มาเห็นตัวจริงใกล้ๆ แม่คุณเอ๊ย อย่างกับนางฟ้า” บัวว่า
“สวยแล้วยังใจดีด้วยนะครับ พูดก็เพราะยิ้มก็หวาน ไม่เหมือน...” สมพงษ์พูดแล้วชะงักไว้แค่นั้น หน้าซีดเผือด
“เหมือนใคร”
สมพงษ์ไม่ตอบ มองไปที่หน้าร้านด้วยสีหน้าตกใจมาก บัวมองตามพลอยตกใจไปอีกคน
ภายในห้องเขียนภาพ
นิดกลับมานั่งวางท่าในท่าเดิม ดวงตาทอดมามองสรรค์อย่างเศร้าสร้อยลึกซึ้ง สรรค์ลงสีรูปอย่างมั่นใจ นิดมองดูน้ำตาเอ่อขึ้นอย่างตื่นตัน สรรค์มองมาก็ชะงักฝีแปรงไปเล็กน้อย จดจ้องแล้วลงสีต่อ นิดเบือนสายตาไป สรรค์ลงสีไปเรื่อยๆ
สรรค์ถอยออกไปจากรูปภาพ วางจาน พู่กันและสีลงบนโต๊ะ
“คุณน้อย เสร็จเรียบร้อยแล้วล่ะ มาดูได้แล้ว”
นิดราวกับได้ยินเสียงสรรค์ ใจวับ
ใจอดนึกถึงอดีต ตอนที่เสียมวาดภาพเสร็จ
“นิด เสร็จเรียบร้อยแล้วล่ะ มาดูได้แล้ว”
นิดก้าวไปข้างหน้าสรรค์แล้วมองดูรูปนั้นแล้วสีหน้าก็เปลี่ยนไป รูปนั้นเป็นรูปนิดที่นั่งเท้าแขนบนโต๊ะ จรดคางลงบนหลังมือ ทอดสายตาไปอย่างเศร้าสร้อย งดงามด้วยแบบองค์ประกอบด้วย สีสัน แสงเงา พื้นผิว แม้กระทั่งแหวนพลอยก็ดูเรื่อเรือง
นิดสะเทือนใจน้ำตาเอ่อแล้วไหลพรากออกมา สรรค์ตกใจ
“คุณน้อย คุณร้องไห้”
“รูปของคุณ รูปของคุณยิ่งทำให้ฉันยิ่งคิดถึงความเศร้าที่ดิฉันได้พานพบมา”
“รูปของคุณต่างหากครับ คุณน้อย”
“คุณเขียนได้สวยมากค่ะ เขียนได้สวยเกินกว่าความต้องการของดิฉันเสียอีก”
“ผมดีใจเหลือเกินที่คุณชอบ ตอนแรกผมหวั่นๆ อยู่ตลอดว่าจะออกมาไม่ดี”
“ดิฉันเชื่อฝีมือคุณค่ะ ดิฉันได้เห็นมาแล้ว”
“หมายความว่ายังไงครับ”
นิดไม่ตอบ ได้แต่ยิ้มทั้งน้ำตายังนองหน้าอยู่ แล้วเดินเข้าไปใช้ปลายนิ้วแตะรูปอย่างปลาบปลื้ม
“เพียงเท่านี้ก็ดีจนไม่รู้ว่าจะชมอย่างไรแล้ว” นิดบอก
“ดีแล้วทำไมคุณร้องไห้ล่ะครับ” สรรค์พูดด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง
นิดยิ้มจะเช็ดน้ำตา แต่สรรค์ท้วงไว้
“เดี๋ยวก่อนเถอะครับ”
สรรค์ล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋าด้วยความรู้สึกบางอย่าง สรรค์ยื่นผ้าเช็ดน้ำตาให้แผ่วเบา นิดตัวชา มองสรรค์ที่มองตอบ นิดเผยอยิ้มขอบคุณ สรรค์เริ่มรู้สึกเผลอไผล
สุวลีในชุดหรูหราก้าวมาที่หน้าประตู มองดูภาพตรงหน้าอย่างประหลาดใจ แล้วกระแอมเบาๆ สรรค์เหลือบไปเห็น ใจหายนิดหนึ่งขยับถอยห่างออกจากนิด นิดเหลือบมาเห็นสุวลีก็ตัวชาไปวูบหนึ่ง ด้วยความแค้น จงชัง รังเกียจ รู้เช่นเห็นชาติ แล้วพลันทำหน้าสงบ สุวลีก้าวเข้ามาในห้อง
“ขอโทษค่ะสรรค์ สุไม่ทราบว่าสรรค์กำลังทำงานอยู่”
“เปล่าหรอกสุ ผมเพิ่งวาดรูปคุณน้อยเสร็จพอดี”
นิดยิ้มเล็กน้อยมองสุวลีด้วยดวงตาซื่อ สุวลียิ้มมุมปากให้เพียงเล็กน้อยอย่างไว้ตัวและมองอย่างพินิจ
“ผมขอแนะนำ นี่คุณสุวลี กีรติขจร....เอ้อ คู่หมั้นของผม”
“ส่วนดิฉันชื่อน้อยค่ะเป็นนางแบบของคุณสรรค์”
สุวลีมีแววแปลกใจนิดหนึ่ง สรรค์รีบแก้ตัว
“คุณน้อยพูดเล่นน่ะสุ คุณน้อยเป็นลูกค้าคนแรกที่มาจ้างผมวาดภาพเหมือน”
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ” สุวลีบอก
สุวลีค้อมศีรษะให้เล็กน้อย แต่นิดกลับยิ้มไม่ค้อมศีรษะตอบแต่อย่างใด
“เช่นเดียวกันค่ะ คุณสุวลี”
สุวลีแปลกใจ พลันนิดกลับยื่นมือมาให้ สุวลีเลิกคิ้วแล้วจับมือตอบเขย่าเบาๆ สองสาวมองกันด้วยดวงตาที่ยิ้มแย้ม เล่นละครใส่กันอย่างไม่มีใครเพลี่ยงพล้ำ สรรค์ยืนมองมือที่จับกันตรงหน้า
นิดถือกระเป๋า เตรียมตัวจะกลับ สรรค์เดินมาส่ง สมพงษ์กับบัวยืนยิ้มแป้นแร้นอยู่ห่างๆ
“ขอบคุณนะคะสำหรับภาพวาด”
“ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณคุณ สำหรับรูป พรุ่งนี้ผมจะใส่กรอบให้เรียบร้อย คุณน้อยจะมารับเองไหมครับ”
“พรุ่งนี้วันศุกร์ดิฉันไม่ว่าง คงต้องวานให้เป็นธุระของคุณสรรค์ช่วยเอาไปส่งให้ดิฉันที”
“ได้ครับ คุณจะให้ผมเอาไปส่งที่ไหน”
“โรงละครจันทร์กระจ่าง ตอนค่ำค่ะ”
“อ๋อ โรงละครจันทร์กระจ่างที่กำลังเล่นเรื่องสาวทรงเสน่ห์”
“ค่ะ พรุ่งนี้ให้คุณซื้อที่นั่งแถวหน้าเวทีนะคะ แล้วคุณจะได้พบดิฉันแน่”
“ครับ พรุ่งนี้เจอกันครับคุณน้อย”
“ค่ะ พรุ่งนี้เจอกัน”
นิดสบตาสรรค์แล้วเดินออกไป สรรค์เปิดประตูให้ สรรค์มองตาม สุวลีทำเป็นยืนห่างๆ มองภาพเขียนอย่างไม่สนใจก่อนเดินเข้ามาถาม
“ใครกันคะ ผู้หญิงคนนี้”
“ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน แค่ลูกค้าคนหนึ่งน่ะสุ”
“สวยดีนะคะ”
สุวลีอยากให้สรรค์ตอบว่า “สวย แต่สู้สุไม่ได้” เหมือนที่เคยพูดอยู่ประจำ
“ไม่ใช่แค่สวยธรรมดายังพูดจาฉลาดเฉลียว แล้วท่าทางจะมีฐานะด้วย”
สุวลีอึ้งไปอีกครั้ง ดวงตาริษยา ใจคุกรุ่นแต่ทำเป็นยิ้มพราย
“เพียบพร้อมจริงนะคะ แต่สุไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน คงไม่ใช่คนในแวดวงพวกเราแน่ คงเป็นพวกนูโวริชที่อยากเข้าสู่วงสังคม... แต่คุ้นตาเหลือเกินเหมือนสุเคยเห็นหน้ามาจากที่ไหนซักแห่ง”
สมพงษ์ทำท่าอยากจะบอก แต่บัวถลึงตากระชากไว้
“ผมเองก็เหมือนกัน ตอนเจอเขาครั้งแรกก็เหมือนเคยเห็นมาก่อน... แต่จำไม่ได้ว่าที่ไหน”
สรรค์ครุ่นคิดอย่างแปลกใจแต่ไม่มีท่าทีเพ้อละเมอหา สุวลียังคงวางใจ เสียงดนตรีของเทวีแห่งแรงบันดาลใจแว่วมาแผ่วเบา...
ภายในห้องโถงบ้านโพธิ์ธารา เวลากลางวัน รูปนิดยามเศร้าใส่กรอบรูปไว้เรียบร้อยแล้วถูกวางไว้บนไซด์บอร์ด สรรค์ยืนคู่กับรูปอย่างภูมิใจ พระชาญชลาศัย แม่ผิน บัวและสมพงษ์ยืนชื่นชมอยู่
“ฝีมือแกดีขึ้นมากเชียว” พระชาญชลาศัยบอก
“สวย สวยจริงๆ ค่ะ คุณหนู” แม่ผินบอก
มารศรีเดินเข้ามาพอดีโดยมีจงกลเดินตามหลัง มารศรีเห็นรูปเข้าก็ชะงักก่อนฉายยิ้มบนใบหน้า
“สวยมากค่ะคุณสรรค์ สวยกว่ารูปคุณสุวลีเสียอีก”
ทุกคนแทบสะดุ้งไปกับความตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อมของมารศรี แม่ผินถลึงตา สรรค์มองหน้า มารศรีทำหน้าแบบจริงใจเหมือนไม่ได้คิดอะไร
“อ้อ ขอบใจ”
“นางแบบนี่เป็นใครกันหรือคะ” มารศรีแกล้งถาม
สมพงษ์ทำท่าอยากบอก แต่บัวขยิบตาห้ามไว้
“รู้แต่ว่าชื่อน้อย เขามาจ้างฉันวาดรูปเป็นใครก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“อ๋อ หรือคะ คุณพระล่ะคะรู้จักไหม”
พระชาญชลาศัยขมวดคิ้วแล้วบอก
“ฉันจะไปรู้จักได้ยังไง เห็นเจ้าสรรค์ว่าท่าทางจะเป็นลูกสาวเศรษฐี”
ผินได้จังหวะ จ้วงทันที
“อู้ย ดูก็รู้ค่ะ งามออกอย่างนี้คงเป็นลูกผู้ดีมีสกุล ลูกชาติลูกตระกูล ไม่เหมือนอีบางคน” พูดแล้วแม่ผินก็ปรายตามองมารศรี
มารศรีกลั้นยิ้มพราวอย่างสะใจ ไม่ได้สนใจแม้จะถูกผินจิกกัด ผินแปลกใจที่มารศรีไม่ต่อปากด้วยเลยต้องหาลูกคู่”
“จริงไหม นังบัว
“จริงค่ะ บัวมันเลือดไพร่เจ้าค่ะ”
ผินค้อนทั้งบัวทั้งมารศรี มารศรียิ้ม
เวลาเย็นที่หลังเวที โรงละครจันทร์กระจ่าง มารศรีโผล่เข้ามาที่หน้ากระจกซึ่งมี นิด แก้ว ประภา จิตรา ประภา จิตราซึ่งแต่งตัวเสร็จแล้วลุกขึ้นมาไหว้มารศรี มารศรีรับไหว้ นิดเห็นมารศรีในกระจกเงาก็ลุกขึ้นหันไปไหว้อย่างนอบน้ม แก้วลุกตามมาไหว้อีกคน
“คุณหายไปไหนมาคะ” นิดถาม
“คุณนายไม่ได้มาตั้งสองวีกแน่ะ” แก้วบอก
“ฉันมันคนมีเหย้ามีเรือนแล้วก็ต้องดูแลสามีซีจ๊ะ”
นิดทำหน้าย่นเล็กน้อยเมื่อคิดถึงพระชาญชลาศัย มารศรีพิศดูนิดที่สวมชุดเตรียมแสดง งดงามแต่ใบหน้างามเปล่งปลั่งกว่าทุกวันเหมือนสมใจบางอย่าง
“สวยจริงนิด แต่ก็ยังไม่สวยเท่ารูปที่คุณสรรค์จะเอามาให้เธอคืนนี้”
“ต๊าย อุบเงียบเชียวนะยะ” แก้วว่า
นิดอายหันไปหยิกแก้วทีหนึ่ง
“คุณไม่ว่านิดนะคะที่ทำอะไรไม่ปรึกษา”
“เธอทำถูกแล้ว ... เรารอมานานแล้วนี่ จริงไหมนิด”
“ค่ะ นิดว่ามันได้เวลาแล้วที่นิดจะทวงพี่เสียมคืน คนใจร้ายอย่างเขาไม่คู่ควรที่ได้พี่เสียมไป” นิดพูดอย่างมุ่งมั่น
ภายในห้องอาหารภายบ้านเนาวรัตน์ เวลากลางคืน แจกันแก้วปักกุหลาบดอกใหญ่งดงามเต็มแจกันวางอยู่บนโต๊ะอาหารที่หรูหรา แม้ไม่ได้มีแขก
พระยากีรติสีหน้าหมอง คุณหญิงบัวผันดูดีกว่านิดหน่อย สุวลีในชุดอยู่บ้านแต่ก็ยังแต่งกายแบบระเหิดระหงกินอาหารเย็นอยู่ ตรงหน้ามีอาหารเต็มโต๊ะ ทั้งอาหารฝรั่ง จีน ไทย สุวลีตักซุปจากถ้วยซุปใบเล็กตรงหน้าขึ้นชิมแล้วขมวดคิ้ว
“ทำไมซุปเหลวอย่างนี้คะ”
พระยากีรติถอนหายใจ คุณหญิงมองหน้าสามี เฟื่องยืนอยู่เม้มปาก จวนนั่งก้มหน้า
สุวลีมองดูปลาเจี๋ยนในจานใบใหญ่
“ปลาเจี๋ยนก็ไม่มีกลิ่นน้ำมันงาเลย กุ๊กฟงไม่อยู่หรือคะ”
“พ่อให้ออกไปแล้ว” พระยากีรติบอก
“ทำไมหรือคะ”
พระยากีรติอึกอัก จนคุณหญิงบัวผันต้องโกหกแทน แต่ไม่คล่องนัก
“มันมาขอเงินเดือนขึ้นน่ะซี ว่ามีเหลามาชวนไปทำงาน พ่อกับแม่เห็นว่ามันอยากไปก็เลยให้ออก แม่เลยให้แม่สายทำแทน กะอีอาหารจีน อาหารฝรั่ง จะยากอะไรนักหนา”
“แล้วเราก็ต้องทนกินอาหารรสชาติพิกลแบบนี้น่ะหรือคะ สุไม่กินดีกว่า”
สุวลีหยิบผ้าเช็ดปากขึ้นวางบนโต๊ะ คนสนิทพระยากีรติเข้ามา
“เอ้อ คุณธนามาขอรับ ใต้เท้า”
พระยากีรติสีหน้าเผือดลง
“อ้อ”
“มาอะไรตอนนี้ ช่างไม่รู้จักเวล่ำเวลาเลย” บัวผันบอก
“ช่างเถอะแม่บัวผัน ฉันบอกให้เขาแวะมาเอง”
“เจ้าคุณพ่อจะซื้ออะไรอีกแล้วหรือคะ” สุวลีถาม
พระยากีรติอึ้งแต่ไม่ตอบแล้วเดินลุกออกไป สุวลีครุ่นคิดตาแวววาว
้
สาวน้อย ตอนที่ ๒๑ (ต่อ)
พระยากีรติหลังงองุ้มอย่างอับอาย ก้าวออกมาจากห้องสมุดพร้อมกับธนาที่มีท่าทางผยอง และดวงตามีแววสมน้ำหน้า
“ฉันจะรีบจัดการให้เร็วที่สุด” เสียงพระยากีรติแผ่วเบา
สีหน้าธนาแปรเปลี่ยนเป็นสุภาพอ่อนโยน
“ไม่เป็นไรขอรับใต้เท้า กระผมรอได้”
พระยากีรติมองไปที่บันได ธนามองตามเห็นสุวลีเปลี่ยนเสื้อผ้าเดินลงบันไดมา
“คุณธนามาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ”
พระกีรติอึ้งไปนิดหนึ่งเหมือนจะเพิ่งรู้ว่า สุวลีเป็นนักโกหกมืออาชีพ
“มาได้ซักพักแล้วครับ คุยธุระกับท่านเจ้าคุณอยู่”
“แต่นี่เสร็จธุระแล้วใช่ไหมคะ”
“ยังไม่เสร็จธุระหรอกครับ ยังมีเรื่องต้องตกลงกันอีก”
พระยากีรติยืนนิ่ง สุวลีเดินมายืนหน้าธนา
“นี่คุณสุจะไปไหนหรือครับ”
“สุว่าจะไปหาอะไรกินข้างนอกค่ะ แล้วอยากดูหนังซักเรื่อง”
ธนารู้ทันแต่ทำไม่รู้
“วิเศษเลย ผมเองก็ไม่อยากกินข้าวคนเดียวอยู่พอดี”
สุวลีมองค้อนอย่างมีจริต พระยากีรติเหมือนอยากจะห้ามแต่พูดไม่ออก
หน้าโรงละครจันทร์กระจ่างเวลาค่ำ แตรวงบรรเลงครึกครื้น โฆษกเชิญชวนดูละคร “สาวทรงเสน่ห์” เหมือนเคย บริเวณนั้นทั้งรถราขวักไขว่ คนดูละครมากมาย แม่ค้าพ่อค้าหาบเร่ คนเดินถนน นักเที่ยว รถรับจ้าง สามล้อดูวุ่นวาย
สรรค์ขับรถมาจอดเทียบที่บาทวิถี จะเอารูปที่ห่อกระดาษสีน้ำตาลลงมา แล้วตัดสินใจเอารูปไว้ในรถดังเดิม
สรรค์เพิ่งมาเป็นครั้งแรกจึงเดินมองนู่นมองนี่ที่ล็อบบี้ชั่นล่าง โปสเตอร์วนิดาติดเด่นอยู่ มีหนุ่มสาว 3-4 คนเข้ามามุงบัง สรรค์จึงไม่เห็น สรรค์เห็นคนต่อคิวซื้อตั๋วยาวเหยียด มีมือมาตบไหล่ผัวะ สรรค์หันไป เห็นบุญมายืนยิ้มอยู่ตรงหน้า
“ไอ้สรรค์ มาทำไมที่นี่วะ”
“ถามอะไรไม่ฉลาด มาโรงละครก็ต้องมาดูละครซี”
“วันนี้ฝนฟ้าคงจะวิปริต แกถึงได้เสด็จมาดูละครได้ แล้วทำไมไม่ชวนคุณสุมาด้วย”
“สุชอบดูแต่หนังฝรั่ง ชอบดูละครซะที่ไหน”
สรรค์และบุญมาไปต่อคิวซื้อตั๋วราคาสูงสุดที่คนมาต่อแถวน้อยกว่าแถวอื่น สรรค์ส่ายสายตามองหาไปนิดรอบๆ
“นั่นแกมองหาใคร”
“หาลูกค้าฉันชื่อคุณน้อย เขาจ้างฉันวาดรูปให้ฉันเอารูปมาส่งที่นี่”
“อ้อ มิน่า”
คนที่ซื้อตั๋วข้างหน้าได้ตั๋วเดินไป บุญมาก้าวเข้าไป พลับขายตั๋วอยู่ก็หน้าหงิกใส่จำได้
“มาอีกแล้ว จะดูอะไรนักหนา”
“อ้าว ได้เงินแยะๆ ไม่ดีหรือเจ้ เอ้ย เฮีย”
พลับค้อนขวับ
ภายในโรงละคร สรรค์และบุญมามานั่งอยู่ในชั้นบ๊อกซ์แถวหน้าสุด ข้างๆสรรค์มีที่นั่งว่างที่หนึ่ง ม่านบนเวทียังปิดอยู่ เสียงเพลงบรรเลงคลอ สรรค์มองดูการตกแต่งของโรงละคร บรรดาแม่ค้าในโรงละครเอากระบะคล้องคอเดินขายของกันวุ่นอยู่
“ว่างอยู่ที่นึงสงสัยคุณน้อยจะจองเอาไว้”
“คงงั้น อื๋อ นั่นน่ะหรือคุณน้อยของแก”
บุญมามองไปแล้วสะดุ้ง พลางสะกิดให้สรรค์มองตามก็เห็นสาวทรงโอ่งมังกรเดินได้เดินกระเพื่อมมา
“ไม่ใช่คุณน้อย”
“นี่ช้างน้อยมากกว่า”
ช้างน้อยเดินมาถึงเห็นสองหนุ่มหล่อนั่งอยู่ก็พอใจ พลางชม้ายชายตาก่อนนั่งลง สรรค์ขยับตัวลีบสาวร่างช้างเอียงหน้ายิ้มพริ้มเพรา สรรค์ยิ้มแหยๆ ให้ สาวร่างช้างชม้ายชายตาอีก ทันใดเสียงเก้าอี้ก็ลั่นโครมคล้ายอะไรหัก เก้าอี้ทรุดลงไปนิดหนึ่งแต่ไม่ถึงหัก สาวช้างน้อยตาเหลือก สรรค์เมินไปกลั้นหัวเราะ บุญมาหัวเราะพรืดออกมา
“จุ๊ๆๆ เดี๋ยวเขาอาย” สรรค์บอก
ไฟดับลง ม่านบนเวทีเปิดออก เสียงเปียโนดังกังวานไพเราะ แสงสลัวค่อยสว่างขึ้น บนเวที มีหมอกควัน เห็นซุ้มไม้เลื้อยมีดอกไม้พราว ร่างระหงแบบบางแต่งามกลมกลึงยืนเป็นเงา
บรรดาคนดูปรบมือต้อนรับกราว บุญมาปรบมือสนั่น สรรค์ปรบมือตามมองไปบนเวที
นิดเริ่มร้องเพลง เสียงไพเราะดังระฆังแก้ว สรรค์ฟังอย่างตะลึงไป
แวบหนึ่ง ...เสียมอยู่บนเรือโป๊ะ เสียงฮัมเพลงดังแว่วมา
นิดยังเป็นเงาอยู่บนเวที
เสียมอยู่ที่ชายหาด ได้ยินเสียงนิดร้องเพลงดังมาจากเขา
สรรค์งุนงงกับภาพที่แวบมา แต่ทันใดไฟก็สว่างขึ้นอย่างช้าๆ สาดส่องไปที่นิดที่ยืนอยู่กลางหมอกควัน ภาพของนิดกระจ่างชัดขึ้นทีละน้อย
ผู้ชมมองดูอย่างดื่มด่ำ แสงไฟสว่างจนชัด นิดในชุดราตรี สวมเครื่องประดับเพชรแพรวพรายที่คอ หู และผมงดงามกระจ่างใสยิ่งขึ้นไปอีก
สรรค์ชะงักถึงกับอึ้งไป
“คุณน้อย”
นิดมองตรงมาที่สรรค์แล้วยิ้มนิดหนึ่งแล้วร้องเพลงต่อไป
“อะไรนะนายสรรค์”
“คุณน้อย...คุณน้อยกับวนิดาเป็นคนๆ เดียวกัน”
บุญมาตะลึง สรรค์ยิ้มอย่างทึ่ง นิดร้องเพลงส่งยิ้มให้สรรค์ ดวงตาพราวระยิบระยับ
ธนากับสุวลีอยู่ในร้านอาหารหรู สุวลีหน้าตาไม่มีความสุขนัก ธนาแอบมองอย่างสาแก่ใจ ก่อนจะทำเสียงนุ่มนวล
“ท่าทางคุณไม่ค่อยมีความสุขเลยนะครับ เจ้าหญิงของผม...อาหารไม่ถูกปากหรือเปล่า”
สุวลียิ้มอย่างปกปิดความรู้สึกแล้วบอก
“เปล่านี่ค่ะ อาหารอร่อยมาก”
“แต่คงอร่อยกว่านี้ ถ้าได้นั่งรับประทานกับคนรู้ใจ เอ แล้วนี่นายสรรค์เค้าหายไปไหนล่ะครับ ทำไมถึงไม่มาดูแลคุณสุ”
สุวลีหมดแรงจะเสแสร้งจนต้องระบายออกมา
“คงจะง่วนอยู่ที่ร้านวาดรูปนั่นแหละค่ะ ลูกค้าก็ไม่มี ไม่รู้จะวุ่นวายอะไรนักหนา” “เป็นธรรมดาของผู้ชายที่มักจะสนใจกับธุรกิจจนลืมคนรัก” ธนาพูดพลางยิ้มสะใจ
“เป็นธรรมดาหรือคะ ถ้าผู้ชายทุกคนเป็นแบบนั้น สุคงจะผิดหวังมาก” สุวลีบอกอย่างงอนๆ
ธนาเอื้อมมือไปดึงมือสุวลีมาแนบอก
“แต่อย่างน้อยก็มีอยู่หนึ่งคนที่มีเวลาให้กับคุณสุเสมอ ไม่ใช่หรือครับ”
สุวลีดึงมือออกช้าๆ เพราะกลัวใจตัวเอง แต่แววตาหวั่นไหวอย่างที่สุด
ละครเลิกไปราว 10 นาที ผู้คนกำลังทยอยกลับ สรรค์กับบุญมามานั่งอยู่ที่โซฟาบริเวณล็อบบี้ชั้นบน ทันใดนั้นมีเสียงเกี๊ยวก๊าว ดังแซ่ดขึ้นจากกลุ่มคนดูที่ยังเหลืออยู่
“วนิดา , วนิดา / ขอลายเซ็นหน่อยค่ะ / ขอลายเซ็นหน่อยครับ คุณแสดงดีเหลือเกิน / เสียงคุณเพราะเหลือเกิน / ชุดนี้สวยจังค่ะ”
สรรค์กับบุญมาลุกขึ้นดูเห็นนิดอยู่ในชุดราตรียาวของฉากจบกำลังถูกผู้คนรุมล้อม นิดพูดคุยอย่างอารมณ์ดีพร้อมแจกลายเซ็น
นิดมองมาเห็นสรรค์กับบุญมาเดินมากับแก้วที่ยังแต่งผู้ชาย
“รอนานไหมคะ”
“เดี๋ยวเดียวเองครับคุณน้อย”
แก้วมองสรรค์อย่างไม่อยากเชื่อว่าสรรค์จะลืมได้ถึงเพียงนั้น บุญมามองแก้วอย่างแปลกใจ
“นี่แก้วเพื่อนสนิทดิฉันเองค่ะ” นิดแนะนำ
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ” สรรค์บอก
“ฮื่อ ยินดีก็ยินดี”
บุญมามาทำตาปริบๆ แล้วยิ้มสะกิดสรรค์ ทำปากผงาบๆ ว่า ‘แนะนำ แนะนำ’
“อ้อ นี่เพื่อนสนิทผมครับชื่อบุญมา ชูวงศ์ เป็นนักเขียนแล้วก็เป็นบรรณาธิการ หนังสือพิมพ์และนิตยสารเลอลักษณ์”
บุญมายิ้มกว้างโค้งคำนับ
“ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณวนิดา”
“ยินดีเช่นกันค่ะ ฉันอยากพบคุณมาตั้งนานแล้ว แต่แก้วก็ไม่ยอมแนะนำซักที”
บุญมาหันไปหาแก้วแล้วแยกเขี้ยวใส่
“นี่มันยังไงกันฮะ ไหนเธอบอกว่าคุณวนิดาไม่ยอมเจอฉัน”
“ไม่รู้ซี...นี่ก็ได้เจอแล้วไง...ยังจะพูดอะไรอีก”
สรรค์รีบตัดบท
“รูปของคุณอยู่ในรถ เดี๋ยวผมจะไปเอามาให้”
“อย่าเพิ่งเลยค่ะ เราสองคนเหนื่อยแล้วก็หิวมากด้วย” นิดบอก
บุญมาฉวยโอกาสตีสนิทแล้วบอก
“อย่างนั้น เราไปหาอะไรกินกันที่เยาวราชดีไหมครับ ดีไหม เจ้าสรรค์”
นิดกับแก้วยิ้ม มองสรรค์ที่ยิ้มกว้างแล้วผายมือ
“เชิญครับ คุณสุภาพสตรี”
สรรค์กับบุญมาพานิดกับแก้วไป ผู้คนมองดูอย่างแปลกใจและสนใจ
ที่มุมหนึ่ง มารศรีกับชดก้าวเข้ามามองตาม มารศรีมีแววสมใจ
“คนนี้น่ะหรือคุณมารศรี นายเสียมของแม่นิด” ชดถาม
“ค่ะ คนนี้แหละ ดูซิคะ ตอนนี้เขาก็ยังจำอะไรไม่ได้เลย”
“งั้นเราก็คงต้องช่วยแม่นิดกันให้เต็มที่หน่อยล่ะ” ชดบอก
สรรค์ขับรถอย่างสบายใจ นิดเอนตัวพิงพนักเหลือบดูสรรค์แล้วหลับตาลงดื่มด่ำกับความสุขเพราะคือสิ่งหนึ่งที่นิดรอคอยมานับปี สรรค์เหลือบดูนิดแล้วพูด แกล้งทำเสียงห้วนเล็กน้อย
“คุณหลอกผม”
“อะไรนะคะ”
“คุณหลอกให้ผมเข้าใจว่า คุณเป็นสาวน้อยธรรมดาๆ คนหนึ่งที่มาจ้างผมวาดรูป”
สรรค์ไม่ได้โกรธจริงแต่แกล้งตัดพ้อ
“ผมมารอคุณน้อยลูกค้าของผม แต่กลับมาพบว่าคุณอยู่บนเวทีในฐานะวนิดา ผู้โด่งดังก้องฟ้าเมืองไทย เป็นนางเอกที่เก่งกาจ เป็นนักร้องที่ล้ำเลิศที่สุด คุณเป็นคนมีชื่อเสียงแต่กลับทำตัวด้อยกว่าความเป็นจริง”
นิดยิ้ม มองสรรค์พูดจริงจังขึ้น
“ทำไม คุณไม่คิดในทางกลับกันบ้างละคะว่า ดิฉันอาจอับอายฐานะของดิฉันก็ได้ เมื่อวานคุณยังคิดว่าดิฉันเป็นลูกผู้ดีที่มาจ้างคุณเขียนรูป แต่วันนี้คุณกลับพบว่าดิฉันเป็นแค่คนหากินต่ำๆ แค่พวกเต้นกินรำกินเท่านั้น”
นิดพูดธรรมดา แต่สรรค์ตกใจ
“ไม่จริงเลย ผมไม่เคยคิดอย่างนั้น คุณเองก็ไม่ควรคิดอย่างนั้น ตอนนี้โลกเปลี่ยนไปแล้ว ความคิดคร่ำครึนี้กำลังหมดไป สักวันสังคมไทยจะต้องเห็นค่าของคนทำงานศิลปะ”
“ค่ะ อีกไม่นานสังคมไทยก็จะเห็นคุณค่าของคุณเหมือนกัน”
สรรค์ยิ้มด้วยความรู้สึกปลาบปลื้ม
“ขอให้พรของคุณจงเป็นจริงซักวันหนึ่ง”
“พรนั้นอยู่ที่ตัวคุณเองต่างหากล่ะคะ”
สรรค์อึ้งไปอึดใจ ความรู้สึกเหมือนคลับคล้ายคลับคลาแล้วก็หายวับไป สรรค์หัวเราะออกมาเต็มเสียง นิดหัวเราะด้วย
ภายในห้องโถงบ้านเช่า สรรค์ช่วยเอารูป ‘ยามเศร้า’ ติดผนังไว้ในจุดที่โดดเด่น งดงาม แล้วถอยมารวมกับนิด แก้ว และบุญมาที่ยืนมองดูอย่างพอใจ จนบุญมาหลุดปาก
“โอ้โฮ สวยจริงๆ นายสรรค์ รูปนี้นายเขียนได้เยี่ยมจริงๆ”
“รูปนี้ก็งั้นๆ แหละ...” แก้วบอก
ทุกคนมองดูแก้ว สรรค์อึ้ง บุญมาโมโห นิดตาโตกลัวแก้วหลุดปาก
“ฉันเคยเห็นรูป...น้อยที่สวยกว่านี้ตั้งเยอะ”
นิดก้าวมายืนข้างแก้ว ไขว้มือหยิกก้นแก้วหมับ แก้วสะดุ้งเฮือกกุมก้น
“คุณบุญมีธุระจะคุยกับฉันไม่ใช่หรือคะ เชิญมานั่งก่อนเถอะค่ะ”
ทั้งสี่คนนั่งลงที่โซฟา
“ผมอยากจะขอสัมภาษณ์คุณวนิดาลงนิตยสารเลอลักษณ์ของผม” บุญมาบอก
นิดปรายตาดูผนังแล้วบอก
“ได้ค่ะ แต่ว่า... แต่ดิฉันมีข้อแม้”
“ข้อแม้?” สรรค์พูดขึ้นอย่างงๆ
“คุณบุญมาต้องนำรูปภาพนี้ไปลงปกนิตยสารของคุณด้วย”
“ด้วยความยินดีเลยครับ”
“คุณต้องลงชื่อคนวาดและชื่อร้านสรรค์ศิลป์บนหน้าปกด้วย”
สรรค์ตาเบิกกว้าง บุญมายิ่งยินดี
“วิเศษไปเลยจะได้เป็นการโฆษณาร้านแกไปด้วย”
“นี่คุณยอมให้สัมภาษณ์เพราะอยากช่วยผมหรือครับคุณน้อย”
“ฉันอยากดังมากกว่าค่ะ” นิดพูดทีเล่นทีจริง
สรรค์ยิ้มขำๆ รู้ดีว่าวนิดาแกล้งพูดเพราะอยากช่วยตน บุญมาสีหน้าสดใสขึ้นมาทันที
“งั้นพรุ่งนี้ผมขอนัดสัมภาษณ์คุณวนิดา และก็ขออนุญาตนำรูปไปด้วย”
“แกต้องระวังดูแลรูปให้ดีนะ อย่าให้มีอะไรขีดข่วนแม้แต่นิดเดียว” สรรค์บอก
“เออน่ะ หวงจริง” บุญมาบอก
แก้วสะกิดเอวจนบุญมาจนสะดุ้งแล้วถาม “อะไร”
“แล้วฉันล่ะ เมื่อไหร่จะให้ฉันลงปกบ้าง”
บุญมาทำหน้าเชิดนิดหนึ่งแล้วมองแก้วหัวจรดปลายเท้า แก้วดึงเสื้อแล้ววางท่า
“ไว้ชาติหน้า” บุญมาพูดเบาๆ
“อะไรนะ”
“ไว้เล่มหน้าก็แล้วกัน หรือไม่ก็เล่มนู้น เล่มโน้น”
แก้วเชิดใส่ สรรค์กับนิดกลั้นยิ้มมองไปที่รูปที่พิงผนังอยู่
ภาพของนิดกลายเป็นภาพหน้าปกนิตยสารเลอลักษณ์ มีอักษรใต้ภาพว่า ‘ยามเศร้า’ วนิดา เป็นแบบ วาดด้วยสีน้ำมันโดย ส.โพธิ์ธารา แห่งร้านสรรค์ศิลป์
หน้าร้านขายหนังสือร้านหนึ่ง เอาหนังสือนับร้อยเล่มมาเรียงบ้าง แขวนบ้างจนเต็มหน้าร้านผู้คนทั้งชายหญิงมองดูอย่างตื่นตา
ภายในบ้านพระยากีรติ เสวกยิ้มร่าซื้อหนังสือราว 20 เล่ม ถือพิงมาบนอก
อนงค์ รตีถือหนังสือหัวท้ายแย่งกัน ไม่มีใครยอมใคร
ร้านทำผมมีคนนั่งทำผมเป็นแถว ทุกคนถือนิตยสารอ่านบทสัมภาษณ์นิด
ที่ตลาดหน้าด่าน แผงของทับทิมเอานิตยสารมาแขวนราวไม้หนีบผ้าหนีบเป็นแถวยาว ยายแสเดินมาสะดุ้งเฮือก ที่เห็นทับทิมแต่งหน้าทำผมวางท่าเหมือนนิดบนหน้าปกไม่ผิดเพี้ยน แถมยังทำหน้าเศร้าทอดอาลัย นางแสหมั่นไส้ เอามะกรูดขว้างใส่จนทับทิมโมโห
เสวกเดินยิ้มออกจากบ้านมายังเทอเรชบ้านเนาวรัตน์ก็ชะงักกึก ที่โต๊ะสนาม อนงค์แต่งหน้าทำผมเป็นวนิดาอย่างหน้าปกหนังสือ รตีถือนิตยสารอยู่ในมืออ่านบทสัมภาษณ์แล้วลดหนังสือลงก็สะดุ้งเฮือก
“เหมือนไหม” อนงค์ถาม
“เหมือน เหมือนวณิพก ยาจกเข็ญใจ”
“นังเลว โซ บิชชี่”
เสวกเดินมานั่งด้วยแล้วบอก
“น่าเตะเจ้าสรรค์ เจ้าบุญมาเหลือเกิน ดอดไปรู้จักมักคุ้นวนิดาเมื่อไรก็ไม่รู้ แถมอุบเงียบเชียว”
“แหม แค่ลูกสาวข้าราชการเล็กๆ จนๆ จากเมืองชล แต่สวยยังกะดาราฮอลลีวู้ด” รตีบอก
เสวกยิ้มแก้มปริ อนงค์ยกแขนมาพิศดูผิวตัวเอง
“ให้สัมภาษณ์ว่าเป็นลูกทะเล แต่ตัวขาวเป็นไข่ปอก ฮึ แต่ดูฉันซีเมื่อวานโดนแดดนิดเดียว ดำเป็นนางกุลาเชียว โซ ฮอริเบิล”
“ตายรู้ตัว” รตีว่า
เฟื่องคุมวาดและเดือนให้ยกขนมของว่างน้ำชามา อนงค์ รตีเลิกกัดกันชั่วขณะเตรียมหาของใส่ปาก
“แปลกจริง...ทำไมคุณน้องยังไม่ลงมา” เฟื่องว่า
สุวลีนั่งอ่านบทสัมภาษณ์ด้วยใบหน้าเย็นชาและไม่พอใจอย่างรุนแรงอยู่ที่เตียง สุวลีวางหนังสือลงบนตัก แล้วฉีกหนังสือขาดกระจุยกระจายไปอย่างระบายอารมณ์ รูปวนิดาพลันขาดวิ่นจนไม่มีชิ้นดี ก่อนจะปาหนังสือใส่ผนัง สีหน้าเต็มไปด้วยความริษยา
ภายในโถงบ้านโพธิ์ธารา เวลากลางคืน พระชาญชลาศัยนั่งอยู่บนเก้าอี้ในมือถือนิตยสารเลอลักษณ์ มีอาการก้ำกึ่งระหว่างความพอใจกับรำคาญใจบางอย่าง สรรค์นั่งอยู่ด้วย ผินยืนปั้นปึ่ง บัวและสมพงษ์นั่งอยู่ที่พื้น
“ตกลงลูกค้าของแกคือวนิดาอย่างนั้นรึ” พระชาญชลาศัยถาม
“ครับ”
“แปลกนะที่จู่ๆ เขาก็มาเลือกแกเป็นคนเขียนรูป แล้วแถมยังช่วยโฆษณาให้แกเสียด้วย”
“ทั้งๆ ที่ผมได้แสดงความโง่ออกไป ไม่รู้ว่าเขาเป็นใครเลยจนนิดเดียว”
บัวและสมพงษ์หัวเราะคิกคักกัน
“แล้วที่ร้ายกว่านั้นคืออะไรรู้ไหมครับ” สรรค์ว่า
“อะไร”
“ก็สองคนนี่ซีครับ จำได้ว่าคุณน้อยคือวนิดาตั้งแต่วันแรก”
“อ้าว เรอะ”
ผินมองดูสมพงษ์กับบัวแล้วแว้ดขึ้นทันที
“แล้วทำไมแกถึงไม่บอกคุณหนู”
“เอ้อ” บัวอึกอัก
“คุณวนิดาเธอบอกให้เราสองคนเงียบๆ ไว้อย่ากระโตกกระตากไป” สวมพงษ์บอก
“ตาย แล้วเขามาเป็นเจ้าเป็นนายอะไรของแกยะ ถึงต้องไปเชื่อ”
มารศรีเข้ามาลงนั่งข้างพระชาญ
“เพราะเขาคือวนิดาน่ะซี ตอนนี้วนิดาเป็นเจ้าของหัวใจ ใครต่อใครไปหมดแล้ว จริงไหมคะ คุณสรรค์”
สรรค์หลบตาที่มีอาการซ่อนความรู้สึกบางอย่าง แล้วหยิบนิตยสารพลิกหน้าสัมภาษณ์ดู
ผินเริ่มแดกดันกระทบมารศรี
“คิดว่าเป็นนางหงส์ที่แท้ก็แค่อีกา ให้ทำตัวเป็นผู้ลากมากดีแค่ไหน แต่เนื้อแท้ก็แค่นังพวกเต้นกินรำกิน”
สรรค์ปิดหนังสือมองผินด้วยสายตาโกรธจริงแล้วพูดเสียงเข้ม จนผินตกใจเพราะไม่เคยเจอมาก่อน
“แม่ผินพูดอะไร”
“ว้าย คุณหนู...”
มารศรีหัวเราะคิกชอบใจ
“คุณสรรค์คะ แม่ผินน่ะไม่ได้พูดถึงวนิดาหรอกค่ะ เธอพูดถึงฉันมากกว่า”
สรรค์ชะงักไป พระชาญชลาศัยเพิ่งรู้หันไปมองผินว่าชักเกินไปแล้ว ผินคอหดทันที
“ไป...นังบัว เจ้าสมพงษ์ไปดูซีวันนี้เจ้าฮงมันทำอะไร”
ผินค้อนมารศรีอีกหนึ่งทีแล้วแล้วออกไปกับบัวและสมพงษ์
“แม่ผินนี่ บางทีก็เหลือเกินจริงๆ” พระชาญชลาศัยบอก
“ดิฉันชินเสียแล้วล่ะค่ะคุณพระ แต่ก็ขอบคุณนะคะที่คุณสรรค์อุตส่าห์เจ็บร้อนแทนดิฉัน เอ๊ย แทนวนิดา”
มารศรีมองไปที่สรรค์ด้วยตาคมปลาบ สรรค์กลัวว่า มารศรีจะจับความในใจได้จึงลุกหนีไปเฉยๆ
จบตอนที่ ๒๑
สาวน้อย ตอนที่ ๒๒
ในเวลากลางวันของวันใหม่ ธนากับสุวลีเดินเล่นอยู่ในสวนบ้านเนาวรัตน์
“ไม่น่าเชื่อนะครับ ร้านของคุณสรรค์ขาดทุนจนจะต้องปิดในวันสองวัน กลับพลิกฟื้นขึ้นมาได้โดยการใช้ดาราโด่งดังมาโฆษณา คุณสรรค์กับคุณบุญมานี่ถือว่ามีหัวการค้าเหมือนกัน”
ธนาพูดด้วยแววเยาะ ชื่นชมอย่างไม่จริงใจ แต่สุวลีกลับนัยน์ตาขุ่น
"สุว่าไม่ใช่ไอเดียของสองคนนั้นหรอกค่ะ ทุกอย่างเกิดขึ้นจากแม่ดาราคนนั้นมากกว่า"
"ผู้หญิงคนนี้ฉลาดจริงๆ นะครับ หรือไม่ก็มีกุนซือดี แกล้งทำตัวลึกลับก่อนให้คนสนใจแล้วก็เปิดตัวเองอย่างเข้าท่า ต่อไปเธอคงมีแผนทำอะไรๆ น่าทึ่งออกมาอีก”
ธนาพูดอย่างนึกสนุกแต่สุวลียิ่งระแวงในใจ
สรรค์เดินลงจากบันไดร้านสรรค์ศิลป์ เนื่องจากยังเป็นเวลาเช้าอยู่จึงยังไม่มีลูกค้าในร้าน เบื้องหน้ามีรูปขนาดใหญ่และสาวร่างระหงยืนอยู่ ลำนำของเทวีแห่งแรงบันดาลใจแว่วมา สรรค์เดินเข้าไปด้วยดวงใจยินดีกว่าที่ควรจะเป็น ร่างระหงนั้นแม้เห็นเพียงด้านหลังสรรค์ก็จำได้
ภาพสมัยที่เป็นเสียมก้าวไปเห็นนิดมองดูทะเลอยู่ผ่านเข้ามาในสมอง
นิดหันกลับมาทำตาโตเมื่อเห็นสรรค์อยู่ในระยะใกล้
"พี่เสียม..." นิดเผลอเรียกชื่อเดิม จนสรรค์งงไปเล็กน้อย
“คุณสรรค์"
"คุณน้อย หรือจะให้ผมเรียกว่า วนิดา"
นิดทอดเสียงพูดเป็นลำนำไพเราะ
“...ชื่อนั้นสำคัญไฉนที่เรียกว่ากุหลาบนั้น ถึงจะเรียกว่าอย่างอื่นก็หอมชื่นอยู่ดุจกัน...” (๑)
"คุณน้อย หายใจหายคอก็เป็นเชกสเปียร์เชียว"
"ตายจริง นี่ของเชกสเปียร์หรอกหรือคะ ฉันก็แค่พูดไปส่งเดช"
นิดแกล้งพูด สรรค์หัวเราะด้วยจิตใจเบิกบาน บัวกับสมพงษ์มาดูพยักเพยิดให้กัน
"ไม่จริงหรอก ผมรู้ คุณน้อยถ่อมตัวอีกแล้ว นี่คุณน้อยมีธุระอะไรหรือครับ"
นิดยิ้ม ผายมือไป
“นี่ไงคะ ธุระของฉัน”
คนขับรถถือรูป “ยามเศร้า” เข้ามา สรรค์มองดูอย่างแปลกใจ
"ฉันเอามาให้คุณตั้งโชว์ที่วินโดว์หน้าร้าน"
สรรค์เข้าใจเจตนาของน้อยทันที มองตอบอย่างขอบคุณ
"คุณน้อย ทำไมคุณกรุณาผมอย่างนี้"
“ก็เพราะร้านคุณไม่มีนางกวักน่ะซีคะ...ก็เลยเดือดร้อนมาถึงฉัน”
นิดหัวเราะน่ารัก สรรค์มองอย่างปลาบปลื้มใจ
วินโดว์หน้าร้านสรรค์ศิลป์มีรูป “ยามเศร้า" โชว์อยู่ คนเดินถนนมุงดูราวกับดูปาหี่อับดุ ในส่วนแกลเลอรีมีคนเดินดูราว ๒๐ คน บางคนก็ซื้อ สมพงษ์ปลดรูปลง ส่วนทีช็อป คนมากินมากขึ้น บัววิ่งวุ่นหัวฟู บริเวณเคาน์เตอร์ร้าน สรรค์รับเงินมาใส่กล่องเซฟด้วยใบหน้าชื่นบาน
ส่วนทีช็อป ทมกับประภาและแก้วมานั่งละเลียดจิบชากินขนม พลางโบกมือทักทายมิตรรักแฟนเพลง ทมและแก้วใส่เสื้อกางเกงกึ่งหญิงกึ่งชายเหมือนเดิม
ส่วนหน้าร้านสรรค์ศิลป์ บุญมาต้องฝ่าฝูงชนจนเสื้อหลุดเอี๊ยมลุ่ยเข้ามาแล้วชะงัก เมื่อเห็นโต๊ะเต็ม มีไม้ ราตรี จงกลมาช่วยเสิร์ฟและช่วยเก็บเงินวุ่นวาย
ในเวลากลางคืน รถของสรรค์มาจอดหน้าเทอเรซ สรรค์และสมพงษ์ลงมา สรรค์หน้าบานสมพงษ์เหน็ดเหนื่อย จากนั้นรถพระชาญชลาศัยก็ตามเข้ามาจอด นายไม้ บัว ราตรี จงกล กระปลกกระเปลี้ยตามมา แม่ผินถลามารับสรรค์
"คุณหนูขาเหนื่อยไหมคะ"
“รับเงินทั้งวัน คุณหนูไม่เหนื่อยหรอก .. แต่พวกนี้ซี”
ทุกคนยืนหมดแรงจนคล้ายซอมบี้
"อย่ามาเสแสร้งแกล้งทำ นังบัวไปดูครัว ราตรีผ้าหล่อนยังไม่รีด จงกลคุณนายหยาดสวรรค์เรียกหา นายไม้ต้นไม้เหี่ยวกว่าฉันแล้วไปรดน้ำ ไอ้สมพงษ์ไปช่วยในครัวด้วย"
ทุกคนกระจายไป ผินเอาจดหมายให้สรรค์
“มีจดหมายค่ะคุณหนู จากสหปาลีรัฐค่า”
สรรค์ดีใจรีบรับมาดูก็จำลายมือได้
“ครูแมกกินนี”
สรรค์นั่งอ่านจดหมายเงียบๆ อยู่ที่โต๊ะกินข้าว พระชาญชลาศัยยิ้มแย้มแจ่มใสมองดูสมุดบัญชีของร้าน มารศรีนั่งอยู่ด้วย ผินหน้าบาน ยืนชะเง้อชะแง้อยู่ไม่ไกล
“ยังไม่ถึงเดือนที่ขาดทุนสะสมไว้ก็เจ๊ากันแล้ว ต่อจากนี้ไปก็จะเป็นกำไรล่ะ”
“ผินว่าแล้วไงคะคุณพระ ว่าคุณหนูเธอมองการณ์ไกล .. ไม่เหมือนเอาเงินไปลงทุนทำละเม็งละคร ท่าทางจะทุนหายกำไรหด”
พระชาญชลาศัยหันไปถามยิ้มๆ
“ว่าไงมารศรี ตกลงว่าละครของเธอมันเรื่องอะไร จะลงโรงแข่งกับวนิดาเขาเมื่อไหร่"
มารศรียิ้มแต่ยังไม่ทันว่าอะไร สรรค์ก็เงยหน้าจากจดหมายมีสีหน้ายินดีแต่งงนิดๆ
"แปลกจริง"
“อะไรหรือเจ้าสรรค์”
“ครูแมกกินนีน่ะซีครับ เขียนจดหมายมาหาผม”
พระชาญชลาศัยสะดุ้งเฮือกหน้าซีด มารศรีมองตาโตมอง ผินยังไม่รู้เรื่อง
"ครูบอกว่าตระเวนไปทั่วเอเซียอยู่ ๖ เดือน แล้วก็กลับไปป่วยอยู่ที่อเมริกาหลายเดือน ตอนนี้หายดีแล้ว ครูว่าจะเลือกรูปเข้าประกวดในนามโรงเรียน ครูพูดถึงเรื่องเจอผมตอนความจำเสื่อม เรื่องผมแต่งงาน รูปวาดของเมียผม อะไรไม่รู้ อ่านแล้วงงไปหมด”
มารศรียิ้มเยาะ คุณพระเหงื่อแตก แม่ผินเพิ่งรู้ตาเบิกโพลง
"ปู้โธ่ คิดว่าอะไร ตอนที่ครูแกมา สุวลีกับฉันพาครูไปเยี่ยมแกที่บ้านสวนน่ะซี"
“ใช่ค่ะ อิฉันก็จำได้”
“แล้วครูแกก็คงเข้าใจว่าแกแต่งกับสุวลีแล้ว รูปนั่น ก็คงหมายถึงรูปสุวลีนั่นแหละ”
"วุ้ย ใช่ค่ะ ใช่ ต้องเป็นรูปคุณสุวลีแน่ๆ อิฉันก็จำได้"
สรรค์ยังคงงงเพราะมีบางข้อความกับคำพูดไม่รับกัน ได้แต่พยักหน้า มารศรีทนไม่ได้ ลุกจากโต๊ะแขวะทิ้งท้าย
“แหม รับส่งกันเป็นช่องเป็นฉากเลยนะคะ สิบวนิดายังสู้ไม่ได้" มารศรีพูดพลางหันไปมองแม่ผิน
พระชาญชลาศัยตาเขียวใส่มารศรี ผินค้อนแบบไม่กลัวคอหัก
บริเวณชานเรือนบ้านนิดที่เกาะสีชัง นางนิ่มมีอาการงงๆ ในมือถือนิตยสารหน้าปกวนิดา โดยมีเชิดและเนื่องอยู่ตรงหน้า
“นึกยังไงกันล่ะพ่อเชิด อุตส่าห์ซื้อหนังสือเปิ๊ดซะก๊าดมาฝากน้า”
“ไม่ใช่ของฝากหรอกแม่นิ่ม ฉันเห็นหนังสือนี่ก็รีบดิ่งมาหาเลย” เชิดว่า
“ทำไม หนังสือนี่มันมีอะไร” เนื่องถาม
เชิดชักเริ่มหมดความอดทน
“ก็เอ็งกับแม่นิ่มลงพิศดูแบบบนปกให้ดีๆ ว่าเอ็งเห็นใคร”
เนื่องขยับตัวมานั่งกับนางนิ่มมองดูหน้าปกแบบเต็มตา ภาพวนิดาบนปกมองทอดสายตามาอย่างเศร้าสร้อย แม่นิ่มอ้าปากค้าง เนื่องตื่นเต้นงงงัน
“นิด นี่มันนิดนี่แม่” เนื่องว่า
“นิด นิดจริงๆ วาดหน้าทำผมซะแม่เกือบจำไม่ได้ แล้วนี่มันอะไรกัน”
“ฉันก็ไม่รู้ เมื่อ ๒ เดือนก่อนมีคนโจษกันว่ามีนางเอกละครคนใหม่โด่งดังขึ้นมาในชั่วข้ามคืน คนทั้งเมืองกรุงพากันหลงใหลใฝ่ฝัน"
นิ่มกับเนื่องฟังที่เชิดเล่า
"ฉันเคยเห็นรูปในหนังสือพิมพ์แต่รูปไม่ชัด รู้แต่ว่าชื่อวนิดา”
"อ๋อ ที่นังทับทิมมันบ้าเลียนแบบไงแม่" เนื่องบอก
“แล้วยังไง”
“ในหนังสือนี่มันบอก วนิดาเป็นลูกทะเลเกิดที่เมืองชล พ่อเป็นข้าราชการแต่ตายไปแล้วเหลือแต่แม่ มีพี่ชายคนหนึ่ง ...” เชิดเล่า
“แน่ะ นิดมันเอ่ยถึงฉันด้วยแม่” เนื่องว่า
“เจ้าเนื่องอย่ามัวแต่เห่อสักหลาด นิดตามพ่อเสียมไปกรุงเทพ แล้วทำไมถึงกลายเป็นวนิดา นางเอกละครไปได้” นางนิ่มว่า
เนื่องยังกระหยิ่มใจ
“มันเป็นนางเอกละครโด่งดังอย่างนี้นี่เล่า ถึงได้มีเงินส่งมาให้แม่เยอะแยะ"
นางนิ่มค้อนลูกชาย ฟาดดังเผียะ
“ยังไม่รู้เรื่องอีก นิดมันแต่งงานเป็นคุณนายลูกสะใภ้ผู้ดี มันจะไปตากหน้าเล่นละครได้ยังไง ...มันต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ แล้ว เราจะทำยังไงกันดี พ่อเชิด"
นางนิ่มปริวิตก เนื่องได้ฟังก็หวาดหวั่นจับมือแม่ไว้ เชิดมองดูนิตยสารนั้นอีกครั้งหนึ่ง แววตาตัดสินใจเด็ดเดี่ยว
นิดกับแก้วนั่งอยู่ตอนหลังของรถ ทั้งคู่มาโรงละครเพื่อแต่งตัว รถของชดที่ให้นิดกับแก้วใช้ แล่นมาหน้าโรงละครจันทร์กระจ่างในเวลาเย็นที่กำลังคึกคัก บรรดาหาบเร่ยึดทางเท้าเป็นที่หากิน มีลูกค้าเต็มไปหมด
นิดมองออกไป รถแล่นผ่านเพื่อจะอ้อมเข้าด้านหลังโรงละคร หลวงจันทรกับลูกน้องออกมาไล่ จีนหาบเร่ที่หาบเป็นตู้กระจกสองด้าน ลูกน้องหลวงจันทรผลักไสจีนคนนั้นเซแซ่ดออกมากลางถนน
นิดร้องอุทาน คนรถเบรก แก้วหน้าทิ่มกับพนักข้างหน้า จีนคนนั้นล้มลงหาบหลุดจากบ่า รถจอดจ่อตัว
"ไม่มีเงินค่าที่ก็ไปให้พ้น ไอ้เจ็กนี่"
นิดเปิดประตูรถก้าวลงไป แก้วเดินตามลงมา นิดเข้าไปถึงตัวจีนคนนั้น แก้วยกหาบตั้งขึ้นให้
“ทำไมต้องไล่กันด้วย”
“อ้าว หนูวนิดา หนูแก้วกิริยาลงมาทำไม”
ผู้คนเริ่มทะยอยมามุงดู นิดประคองจีนนั้นขึ้นมา
"เจ็บไหมจ๊ะ เป็นอะไรมากหรือเปล่า"
“ไอ้หย่า อาวนิดา อั้วฝันไปหรือนี่”
แก้วมองหน้าจีนนั้นพบว่าคืออาล็อก
“อ้าว เฮียนั่นเอง”
นิดกับแก้วดึงอาล็อกลุกขึ้น ผู้คนซุบซิบชื่นชมวนิดา นักข่าวที่จะมาทำข่าวอื่นถ่ายรูปกันแฟลชสว่างฟึ่บ
“หนูวนิดาไปจับตัวไอ้จับกังนี่ทำไม เดี๋ยวสกปรก”
"คนทำมาหากินสุจริตไม่สกปรกหรอกค่ะ" นิดว่า
“พวกทำนาบนหลังคนกับพวกรีดเลือดกับปูน่ะสกปรกกว่า”
แก้วพูดพลางบอกกับอาล้อก
"ไป เฮีย หนีพวกคนสกปรกไปข้างหลังดีกว่า"
แก้วกับนิดพาอาล็อกหลบไป
ด้านหลังโรงละคร มีอุปกรณ์จำพวกฉากไฟ โครงเหล็ก โครงไม้ระเกะระกะ อาล็อกนั่งข้างหาบ มองดูแก้วยืนล้วงกระเป๋ากางเกงเต๊ะอยู่
“ลื้อจำอั๊วไม่ได้เหรอ ตอนนั้นอั๊วเพิ่งมาจากสีชัง อั๊วมีเรื่องกับพวกจับกังแล้วลื้อมาช่วยไว้”
"อั๊วช่วยคงมาเยอะเลยจำไม่ล่าย"
“อั๊วได้ความคิดแต่งตัวเป็นผู้ชายจากลื้อนะแหละ”
นิด ประภา ทมเดินออกมากด้วยกัน
“ฉันพูดกับหลวงจันทรแล้วจ๊ะว่าให้เธอขายไปก่อน เรื่องค่าที่เอาไว้ทีหลัง” นิดบอก
อาล็อกดีใจ ประสานมือก้มหัวประหลกๆ น้ำตาคลอ
"อาคุงวนิดา ขอให้เฮง เฮง ตลอดไป"
"ตอนแก้วมีเรื่องอาล็อกเคยช่วยไว้ ตอนฉันเองตกระกำลำบากก็มีคนมาช่วยไว้เสมอ ตอนนี้ฉันพอจะช่วยใครได้บ้างฉันก็เต็มใจจ๊ะ ...มา พวกเรา มากินข้าวเสียโปกันจ้ะ ฉันเลี้ยง"
นิดเรียกนักแสดงและคนงานของโรงละครออกมารุมล้อม อาล็อกเอากระทงใบตองแห้งมาตักข้าวตักเครื่อง พลับ , ทม โผล่มาด้วย
อีกมุม มารศรีกับชดก้าวมายืนมองแล้วพยักหน้าให้กัน
“นิดเป็นคนจิตใจงาม ฉันกับคุณเลือกช่วยไม่ผิดคนจริงๆ” ชดว่า
“แต่อุปสรรคของนิดก็ยังมีอยู่อีกหลายด่าน ไม่รู้ว่าความดีช่วยให้นิดผ่านมันไปได้รึเปล่านะ คุณชด"
ที่มุมลับตาคน ภายในบ้านโพธิ์ธารา เวลากลางคืน พระชาญชลาศัยยืนหน้าเครียด แม่ผินยืนรับคำสั่ง
"แม่ผิน ถ้ามีจดหมายครูของเจ้าสรรค์ มิสเตอร์แมกกินนีมาอีกให้เก็บไว้ให้หมด"
“ค่ะ คุณพระ เอ...แต่อิฉันอ่านภาษาฝรั่งมังฆ้องไม่ออกแล้วจะรู้ได้ยังไงคะ ว่าอันไหน"
“เอาอย่างนี้ จดหมายของเจ้าสรรค์ทั้งหมด ไม่ว่าจะฝรั่งหรือไทยให้เอามาให้ฉันดูก่อน"
ผินรับคำ
วันใหม่ ในเวลากลางวัน ภายในโถงบ้านเช่าของนิด สรรค์เอารูป “ยามเศร้า” มาคืน นิดน้อยใจแอบตัดพ้อเล็กน้อย
“ทำไมรีบร้อนนำมาคืนล่ะคะ ดิฉันยังไม่ได้ทวงซักหน่อย”
"ผมเกรงใจคุณน้อยน่ะซีครับว่า คุณน้อยควรจะได้ชื่นชมรูปตัวเองบ้าง"
“ดิฉันชื่นชมเวลาที่รูปของดิฉันเป็นนางกวักอยู่ที่ร้านของคุณมากกว่า”
สรรค์หัวเราะแล้วบอก
“เจ้าบุญมามันจัดการแล้วครับ มันเอารูปคุณน้อยไปพิมพ์สอดสี ขนาดเท่าภาพจริงใส่กรอบติดอยู่ที่หน้าร้านแทน”
นิดฝืนยิ้มแล้วบอก
“อ้อ หรือคะ แหม คุณบุญมาช่างคิดจริง”
สรรค์ยิ้มโดยไม่รู้ว่า นิดแอบผิดหวัง
ภายในห้อง นิดทิ้งตัวลงนั่งแล้วถอนใจเฮือกใส่แก้ว
“เพราะนายบุญมาของแก้วเชียว ยุ่งไม่เข้าเรื่อง”
"ใครบอกของฉัน เฮอะ น่ารำคาญจะตาย ไม่เป็นสุภาพบุรุษปากก็จัด"
แก้วปากว่าแต่นัยน์ตาเริ่มมีอะไรๆ ในใจ นิดยังอารมณ์ไม่ดีอยู่
“แล้วทีนี้ฉันจะหาเรื่องอะไรไปหาพี่เสียมที่ร้านได้อีกล่ะ”
“อย่าห่วงไปเลยน่ะ ลองไปปรึกษาคุณมารศรีซี เห็นคุณนายเธอว่า เธอมีมารยาตั้งร้อยเล่มเกวียน” แก้วว่า
นิดหัวเราะแล้วทุบแก้วที่หัวเราะชอบใจ
ห้องโถงภายในบ้านบันเทิงไทย เวลากลางวัน บริเวณห้องรับแขกของบ้านถูกใช้เป็นห้องประชุม ทางด้านหนึ่งมีโต๊ะยาว ชดนั่งหัวโต๊ะ มารศรีนั่งถัดมา นิด แก้ว ทม ประภา พลับมาร่วมประชุมเรียงราย
“เรื่องสาวทรงเสน่ห์เราจะแสดงอีก ๔ วีกเท่านั้น ตอนนี้เราต้องเตรียมเรื่องใหม่แล้ว" ชดว่า
“เรื่องต่อไปของเราก็ต้องไม่ด้อยกว่าเรื่องสาวทรงเสน่ห์หรือดียิ่งกว่า” มารศรีว่า
ชดทำท่าศิลปินใหญ่ ทุบโต๊ะแล้วพูดเสียงดัง
“ก็นั่นน่ะซี ถึงได้ให้มาสุมหัวกันออกความคิดเห็นอยู่นี่ไง”
“ฉันอยากทำชุดให้มันวิจิตรตระการตา เอาให้เป็นแบบชายผ้าลากยาว ชนิดเดินมากลางเวทีแล้วชายผ้ายังไม่พ้นหลืบ" พลับบอก
พลับลุกขึ้นกรายตัวและมือ ทำท่าสะบัดชายผ้าให้ทุกผู้ทุกคนเห็นภาพ
“แล้วบนหัวเนี่ยให้มันเป็นมหาพิชัยมงกุฎแยกออกไปซักร้อยแฉก”
พลับเอามือทำแฉกบนหัวตัวเอง แล้วเหยียดมือเหยียดนิ้วไปสุดหล้า ทุกคนแทบผงะ
“แต่ฉันอยากมีชักรอกเหาะกันลิ่วๆ มีแผ่นดินแยก ฟ้าแลบแผล็บๆ” แก้วบอก
ยิ่งพูดความเห็นก็บรรเจิดไปคล้ายกู่ไม่กลับ ชดตบโต๊ะอีก
"เอ้า พอๆ ยิ่งพูดก็ยิ่งเพ้อ" ชดว่า
"นิด ไม่ออกความเห็นอะไรบ้างหรือจ๊ะ" มารศรีถาม
ทุกคนมองดู นิดยิ้มแล้วบอก
“นิดว่ามีเรื่องนึงที่ตอบโจทย์ทุกคนได้”
"หือ เรื่องอะไรหรือนิด" ชดมีสีหน้าสนใจ
"เรื่องศกุนตลาจ๊ะ"
“พระราชนิพนธ์เรื่องนี้พี่เคยอ่าน เอ แต่พี่ว่ามันไม่ค่อยสนุก”
“ก็เรื่องนั้น พระองค์ท่านทรงแต่งโดยยึดตามแบบละครสันสกฤตโบราณน่ะซีจ๊ะ ก็เลยไม่มีฉากสำคัญๆ ตั้งหลายฉาก”
"ฉันเคยฟังแม่นิ่มเล่าสนุกจะตาย" แก้วบอก
"ยังไง"
นิดเล่านิทานตามอย่างที่นางนิ่มเล่าเรื่องศกุนตลาให้ฟัง ปฏิกิริยาของคนฟัง จากเริ่มสนใจ เป็นสนุก ดื่มด่ำ
“...แล้วท้าวทุษยันต์ก็พาศกุนตลาและกุมารน้อย กลับสู่กรุงหัสดินาปุระ อยู่กันอย่างมีความสุขตลอดไป"
ชดยิ้มร่า มารศรีพอใจมาก พลับนึกถึงชุดที่จะทำ แก้วนึกว่าอาจจะได้ชักรอกเหาะ ประภานึกว่าจะได้เล่นเป็นพี่เลี้ยงตัวแสบ ทมนึกว่าจะได้แต่งเครื่องกษัตริย์นักรบ"
"สนุกออกค่ะ คุณชด" มารศรีว่า
ชดทุบโต๊ะอีกปัง
“ตกลง! เอาตามนี้ ทุกคนแยกย้ายกันไปทำงานได้ เรื่องนี้ เราจะเอาให้ดังกว่าเรื่องเดิมอีก"
ทุกคนยิ้มดีใจ นิดมองตามารศรีอย่างรู้กัน
วันใหม่ เวลากลางวัน นิดและสรรค์นั่งอยู่ในส่วนของทีช็อป สรรค์เลื่อนบทละครหนาพอประมาณหน้าปกเขียนว่า “ศกุนตลา” มาให้นิด
"คุณน้อยอยากให้ผมออกแบบฉากละคร ศกุนตลา!?”
“ค่ะ ถ้าคุณยินดี”
“ยินดีสิครับ ยินดีมากเลย”
สรรค์ดีใจ แต่ดูเหมือนนิดจะดีใจยิ่งกว่า
“ตกลง คุณรับงานนี้นะคะ”
“คุณน้อยให้เกียรติผมขนาดนี้ ผมจะปฏิเสธได้อย่างไรละครับ”
นิดยิ้มยื่นมือมา สรรค์ลังเลนิดหนึ่งก็ยิ้มจับมือเขย่าทำการตกลงกัน แหวนพลอยส่งแสงวูบวาบ
บริเวณห้องนั่งเล่น ชั้นบนบ้านเนาวรัตน์ บัดนี้ ตู้เครื่องลายครามเหลือเพียงชั้นว่างเปล่า พระยากีรติหน้าหมองคล้ำอิดโรย คุณหญิงบัวผันกำลังป้อนยา เฟื่องยืนดูอยู่ พระยากีรติผลักถ้วยยาออก
“พอเถอะ ฉันไม่อยากกินแล้ว” กีรติบอก
"โธ่ เจ้าคุณพี่ นี่ยานะคะไม่ใช่ขนม ถ้ากินไม่ครบจะไปสู้โรคสู้ไข้ได้ยังไง"
พระยากีรติกล้ำกลืนฝืนกิน สุวลีในชุดอยู่กับบ้านเดินยิ้มเข้ามา พระยากีรติยิ้มตอบลูกอย่างอิดโรย
"เจ้าคุณพ่อดื้ออีกแล้วหรือคะ"
“ฮื้อ พูดอะไรไม่รู้ลูก”
สุวลีนั่งลงข้างๆ แล้วเพิ่งสังเกตเห็น
“เอ๊ะ นี่เครื่องลายครามเราหายไปไหนหมดคะ”
พระยากีรติสะอึกอึ้ง บัวผันนิ่งแล้วโกหก
“ก็เจ้าคุณธรรมนูญน่ะซีลูก ท่านอยากได้ มาเยี่ยมเจ้าคุณพ่อที ก็พูดทีจนเจ้าคุณพ่ออ่อนใจ เลยต้องขายให้ท่านไป”
พระยากีรติก้มหน้าอย่างละอายใจ
"ฮึ เจ้าคุณลุงนี่พิลึกจริง น่ารู้ว่าของรักของหวงของเจ้าคุณพ่อ"
“อย่าพูดอย่างนั้นเลยลูกก็แค่ของนอกกาย” กีรติว่า
“แหม เจ้าคุณพ่อขา ข้าวยากหมากแพงแบบนี้ พวกผู้ดีที่เงินไม่หนาจริงก็พากันเอาสมบัติออกมายักย้ายถ่ายเท...ที่เจ้าคุณพ่อขายเครื่องลายครามไป ลูกกลัวว่า คนจะเข้าใจผิดหาว่าเราสิ้นท่าขายของเก่ากินน่ะซีคะ"
พระยากีรติและคุณหญิงบัวผันเกือบสะดุ้ง เพราะสุวลีพูดแทงใจดำ
เสวกเดินเข้ามาด้วยหน้าตาสดใส ในมือมีหนังสือพิมพ์
“คุณน้องเห็นข่าวนี้หรือยัง วนิดาจอดรถช่วยเจ๊กขายข้าวเสียโป จัดแจงให้ได้ขายใกล้โรงละคร”
พระยากีรติกับคุณหญิงบัวผันเมินหน้า เบื่อลูกชาย สุวลียิ้มพูดเหน็บประชด
“ในโลกเราตอนนี้ นอกจากข่าววนิดาแล้วมีข่าวอื่นบ้างไหมคะ”
“นี่ไง มีข่าวนายธนา ตอนนี้ควงคู่อยู่กับคุณสร้อยระย้า ลูกสาวรัฐมนตรีสุพจน์ .. มิน่า หมู่นี้มันหายๆ หน้าไป”
สุวลีหุบยิ้ม นิ่งอั้นและอารมณ์เสียยิ่งกว่าข่าววนิดา
ภายในห้องโถงบ้านบันเทิงไทยวันนี้มีการซักซ้อมบทกัน โดยจัดเก้าอี้หลายตัวเป็นวง บรรดานักแสดงนั่งเรียงราย มี ทม นิด แก้ว ประภา จิตรา ชด และนักแสดงชายที่เล่นบทเบ็ดเตล็ดเช่นฤๅษี เสนา ตัวตลก
ทางด้านหนึ่งพลับเอาผ้าแพรพรรณวูบวาบมาคลี่ บนหัวหุ่นวิกผมที่มีเครื่องประดับศีรษะแบบอินเดียโบราณอลังการ
สรรค์นั่งห่างออกมา ในมือมีกระดาษดินสอมาร่วมฟังเพื่อหาแรงบันดาลใจ
การซักซ้อมบทมาถึงกลางเรื่อง ทุกคนพูดเป็นกลอน แต่มีลีลาเหมือนพูดในการเล่นละครนั้นไม่ใช่แบบท่องกลอน
“แต่กษัตริย์ฤๅว่าจะเป็นชู้ ชิงคู่ชายอื่นเสน่หา ที่จริงนางงามครันเป็นขวัญตา แต่จะเคยเห็นหน้านั้นไม่มี" ทมมีอาการโกรธพูดตัดรอน
นิดสีหน้าขมขื่น ประภา จิตราอินกันหมด สรรค์มองดูอย่างทึ่ง
“ตัวเราเป็นเผ่าพงษ์กษัตริย์ จะรับนางเซซัดไม่ควรที่ ไฉนพราหมณ์ตู่เล่นกันเช่นนี้ ข้ามิใช่สามีของนวลจันทร์" ทมว่าต่อ
นิดน้ำตาเอ่อมองตรงมาที่ทมแล้วกลับมองเลยไปที่สรรค์
“โอ้ศกุนตลานิจจาเอ๋ย กระไรเลยอาภัพยิ่งกว่าเพื่อน เสียแรงรักมั่นใจไม่แชเชือน รักมาเลือนลับไปไม่นำพา"
สรรค์หวั่นไหว สงสารนิด นิดยกมือขึ้น
“แต่ข้ามีธำมรงค์ทรงชัย ประทานไว้เพื่อเป็นพยานรัก”
นิดกรายมือที่นิ้วว่างเปล่า นิดตกใจ
“โอ แหวนแทนรักหายไป”
“แล้วจะทำฉันใดให้ประจักษ์” ประภาว่า
สรรค์หยิบแหวนที่นิดถอดฝากไว้ก่อนซ้อมมาดู ยิ่งเพ่งมองแหวน ยิ่งรู้สึกเหมือนมีอะไรเข้ามารบกวนจิตใจ นิดเหลือบมองอย่างลุ้นๆ
สาวน้อย ตอนที่ ๒๒ (ต่อ)
ในเวลาต่อมา บริเวรทางเดินในสวนสาธารณะ นิดกับสรรค์มาเดินเล่นหลังจากซ้อมละครแล้ว สรรค์คืนแหวนให้
“นี่ครับ แหวนของคุณที่ฝากผมไว้”
นิดรับมาแล้วยิ้มเศร้า
"แหวนวงนี้ เป็นแหวนที่ผู้ชายคนนึงให้ดิฉันไว้ เหมือนท้าวทุษยันต์ให้นางศกุนตลา"
"ศิลปินที่วาดรูปคนนั้นใช่ไหมครับ"
นิดพยักหน้า
“ตอนที่ฉันอยู่ที่ทะเล ฉันเคยช่วยชายคนหนึ่งเอาไว้ ต่อมา...เราหมั้นหมายจะแต่งงานกัน แต่พ่อของเขาตามมาเจอตัว พาเขาและดิฉันมากรุงเทพ แล้วฉันก็ได้พบว่า เขามีคู่หมั้นแสนสวยอยู่แล้ว”
“แล้วคุณนิดทำยังไงต่อไป” สรรค์ถาม
สรรค์นั่งฟังอย่างใจจดใจจ่อที่ม้านั่ง นิดตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องบางตอน
“โชคชะตาเล่นตลกทำให้เขาสูญเสียความจำ เขาลืมทุกอย่างไปหมด เขาบอกว่า เขาไม่เคยรู้จักดิฉันมาก่อน...”
"เลวที่สุด แล้วพ่อของเขาล่ะ ทำไมคุณไม่อ้างพ่อของเขาเป็นพยาน"
"คุณพระคนนั้นน่ะหรือคะ เขากลับเห็นเป็นโอกาสที่จะกำจัดสะใภ้ต่ำๆ คนนี้ให้พ้นทางไป"
สรรค์ฟังแล้วสะเทือนใจ
"คุณรู้ได้อย่างไรว่าเขาไม่ได้แกล้งทำ เพื่อ...เพื่อทอดทิ้งคุณ"
"ทุกอย่างเป็นเพราะโชคชะตาจริงๆ ค่ะ เขาเป็นคนดียึดมั่นในความรัก ฉันเชื่ออย่างนั้น"
“ชีวิตของคุณแปลกประหลาดเหลือเกิน แปลกแล้วก็น่าสงสารมาก”
“แต่คุณห้ามเอาไปเล่าให้ใครฟังเด็ดขาดนะคะ”
“ผมอยากรู้จริงๆ ว่าตอนนี้ เขาคนนั้นของคุณอยู่ที่ไหน”
นิดมองสรรค์นิ่งพร้อมรอยยิ้มอันขมขื่น
“เขาก็อยู่ในวงสังคมกรุงเทพนี่แหละค่ะ ดิฉันเองก็ยังเจอหน้าเขาอยู่ … แต่เขา เขากลับลืมความหลังได้สนิท เขาเห็นแหวนนี่เป็นสิบครั้งแล้ว เขาก็ยังจำดิฉันไม่ได้เลย”
นิดพูดพลางมองแหวนในมือ เช่นเดียวกับสรรค์ที่มองแหวนในมือนิด
ภาพอดีต เสียมสวมแหวนให้นิดที่บ้านบังกะโลว์เรือนหอบนเกาะวิมานน้อย
สรรค์ผวารู้สึกปวดศรีษะจนต้องยกมือข้างหนึ่งคลึงขมับ
“คุณเป็นอะไรไปคะ”
“เมื่อกี้ผมเหมือนเห็นภาพอื่นซ้อนขึ้นมาแล้วก็ปวดหัวมาก”
"คุณเห็นอะไรคะ"
สรรค์มองหน้านิด แต่ไม่อยากพูด
“ช่างมันเถอะครับ ...ผมไม่เป็นอะไรแล้ว”
ในเวลากลางคืน มารศรีเดินมาจากเรือนเล็กเห็นสรรค์เอางานมาทำที่โต๊ะกินข้าว มีตำราเชิงประวัติศาสตร์ ศิลปะ , ศิลปะอินเดียโบราณ , การละครสันสกฤต . งานฉากละครภาษาอังกฤษมากมายหลายเล่ม มีทั้งที่เปิดกางซ้อนๆ ไว้ มีทั้งที่ใช้แถบกระดาษสีคั่น สรรค์ฟุบหลับคาโต๊ะหน้าซบบนกระดาษที่มีภาพร่างของฉากป่าและบรรณศาลาของเหล่าฤๅษี ป่านั้นกึ่งจริงกึ่งดีไซน์ มีการวาดแสงเป็นลำผ่านใบไม้ลงมา ภาพเหล่านั้นถูกวาดด้วยสีไม้ที่เต็มไปด้วยสีสัน
มารศรีหยิบกระดาษทั้งปึกมาเลื่อนดูทีละแผ่น
ภาพต่อไปเป็นภาพท่าน้ำ ภาพท้องพระโรงหัสดินาปุระ
มารศรียิ้มแล้วรำพึง
“นิด เวลาที่เธอรอคอยใกล้เข้ามาทุกทีแล้วนะ”
ภายในโรงละครจันทร์กระจ่าง เวลากลางวัน บนเวทีโรงละคร สรรค์เดินไปมาบนเวทีในมือมีแปลนแผนผังของเวที นิดกับชดยืนดูอยู่ริมเวที ในมือชดมีภาพร่างฉากของสรรค์ ชดดูอย่างพอใจ นิดชะเง้อดูแล้วยิ้ม ส่วนด้านล่างของเวที บุญมาอยู่กับแก้ว บุญมาถือบทในมือพลิกๆ ดู
"เรื่องนี้ไม่ค่อยจะมีบทเธอเลย"
แก้วนั้นกำลังอินกับบทบาทที่ซ้อมมาหลายวันที่ผ่านมา จู่ๆ ก็พูดเป็นกลอน
“เหตุไฉนเอื้อนเอ่ยอย่างนี้นี่ บทน้อยค่าตัวเพิ่มแหละยอดดี”
บุญมานึกสนุก เลยต่อกลอนกับแก้ว
"บทเป็นขี้ข้าของทุษยันต์"
แก้วมองบุญมาอย่างนิยมยกย่อง
“ทำไมหยาบคายถึงปานนี้ คำว่าขี้ฟังแล้วไม่สุขสันต์”
“เห็นกินง่ายถ่ายคล่องอยู่ทุกวัน หรือว่าตัวเธอนั้นไม่ขี้เลย”
บุญมามองแก้วพลางเอามืออุดจมูกราวแก้วมีกลิ่นระเหยออกจากรูขุมขน แก้วร้องวิ๊ด
"อีคุณบุญมาบ้า"
แก้วเข้าทุบอย่างเต็มแรงจนบุญมาวิ่งหนีออกไปหน้าโรงละคร แก้วร้องอย่าหนีนะแล้ววิ่งไล่ไป สรรค์กับนิดมองดูแล้วยิ้มให้กัน
แก้ววิ่งตามบุญมาจากโรงละครที่มืดมาออกมายังล็อบบี้ชั้นบนที่สว่างกว่าก็ตาพร่า เห็นร่างสูงไหล่กว้างอยู่ข้างหน้าก็เข้าไปทุบหน้าอกผลั่ก
“นี่แน่ะ มาหาว่าฉันมีตัวเหม็นเหรอ”
ร่างนั้นรวบมือแก้วไว้ แก้วมองไปเห็นบุญมาที่ยืนงงอยู่ข้างๆ ไม่ใช่ตรงหน้า
"แก้ว นังแก้วจริงๆ ด้วย"
แก้วมองดูเห็นตรงหน้า เห็นเนื่องแต่งตัวหล่อแบบเข้ากรุง แต่ก็ยังบ้านนอกนิดๆ เนื่องทั้งแปลกใจและดีใจ
"พี่เนื่อง พี่เนื่องมาได้ยังไง"
แก้วกุมมือเนื่องเขย่า ยิ้มทั้งน้ำตาคลอ บุญมามองดูแล้วจ๋อยลงนิดหนึ่ง
“ข้าต่างหากที่ต้องถามว่าเอ็งมาอยู่นี่ได้ยังไง ข้าก็คิดอยู่เหมือนกันว่าเอ็งต้องมาอยู่กับนิด"
“ฮึ พี่เนื่องไม่รู้หรอกว่า กว่าฉันจะเจอนิดน่ะฉันลำบากเลือดตาแทบกระเด็นแค่ไหน"
"เออ นี่ข้ามากับไอ้เชิดมัน"
แก้วมองไปเห็นเชิดก้าวยาวๆ ตรงมาหา เชิดยิ้มให้แก้วอย่างดีใจ แก้วตาเหลือก
“พี่เชิด พี่เชิดมาด้วย พี่สองคนรออยู่ตรงนี้นะอย่าเข้าไปในโรงละครนะ”
"ทำไมวะ"
“ข้างใน...ข้างในเขาแก้ผ้ากันอยู่ไม่มีใครนุ่งผ้าเลย” แก้วแกล้งโกหก
เนื่องกับเชิดอ้าปากค้าง แก้ววิ่งผลุนผลันเข้าไป บุญมามองตามอย่างสงสัย
“นี่มันโรงละครหรือระบำนายหรั่งวะ” (๒)
บุญมามองเนื่องกับเชิดอบ่างสงสัยว่าเป็นใคร
แก้ววิ่งสุดฝีเท้าเข้ามาหานิดที่ยืนคุยอยู่กับสรรค์และชด
"แย่แล้ว แย่แล้ว" แก้วร้องโหวกเหวก
"อะไรแย่ นังแก้ว" ชดถาม
แก้วหอบตัวโยนแล้วกระซิบข้างหูนิด นิดฟังแล้วหน้าเปลี่ยนไป
“พี่เชิด!”
"มีอะไรหรือครับ"
แก้วมองไปเยังทางเดินกลางโรงละคร บุญมาพาเนื่องกับเชิดมาไม่คุ้นกับความมืดเข้ามา
“ว้าย มาแล้ว”
นิดตกใจ รีบบอกแก้วก่อนจะดึงแขนเสื้อสรรค์
“แก้วพาพี่ชดไปรับหน้าก่อน...คุณสรรค์มาทางนี้เถอะค่ะ"
สรรค์งงเล็กน้อย แต่ก็เดินตามนิดไป เชิดและเนื่องเดินมาเห็นนิดกับสรรค์ในระยะไกลๆ
นิดดึงมือสรรค์เข้ามาในหลืบ บุญมาพาเชิดและเนื่องมาถึงขอบเวที
"วนิดาไปไหนละครับ"
"เดี๋ยวก็มา"
เชิดไม่ฟังใคร รีบปีนขึ้นเวทีแล้วเข้าไปในหลืบทันที
นิดพาสรรค์เดินลัดเลาะมาตามกองฉาก เชิดเดินคลำทางตามมาอย่างงงๆ นิดจูงมือสรรค์เดินไปอย่างรวดเร็ว จนสรรค์รู้สึกแปลกใจ
"อะไรหรือครับคุณน้อย"
"ฉันมาส่งคุณขึ้นรถไงคะ คุณต้องกลับไปดูร้านไม่ใช่หรือ"
เชิดเดินตามติดมา เห็นนิด สรรค์อยู่หลังกองฉากไวๆ นิดพาสรรค์มาถึงประตูเหล็กบานใหญ่แล้วเปิดออก สรรค์งงๆ
“คุณน้อยครับ แต่ผมว่า...”
นิดรีบผลักสรรค์ออกไป
“ไว้เจอกันนะคะ”
เชิดโผล่มามีกองฉากที่มีโครงเหล็ก โครงไม้และผ้าใบขวางอยู่ทำให้เห็นไม่ถนัด
“นิด!”
สรรค์หันมามองนิด นิดตกใจ เชิดก้าวพ้นแนวโครงฉากออกมาแล้วมองไปที่สรรค์แกับนิด นิดใจหายวาบ เชิดมองไป พลับ ประภา จิตราก้าวมาขวางบังสายตาไว้
"อะไรกันยะ เร่อร่ามาจากไหนนี่" พลับว่า
“นี่ไม่ใช่ที่สาธารณะนะจ๊ะ พ่อคุณ” ประภาบอก
เชิดเริ่มออกอาการโกรธ ฮึดฮัดตามนิสัย นิดเข้ามาจับแขนเชิดแล้วยิ้มให้
“นี่พี่เชิดจ๊ะ พี่ของนิดเอง พี่เชิดเคยดูแลนิดมาตั้งแต่เด็ก”
เชิดมองดูนิดเห็นความงดงามยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม ก็พูดไม่ออก
"นิด"
“พี่เชิดมาได้ยังไงกัน นี่พี่เนื่องมาด้วยหรือเปล่าจ๊ะ”
นิดถามเป็นชุดเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึก เชิดชะเง้อชะแง้พยายามจะดูว่า คนที่มากับนิดเป็นใคร แต่ในเมื่อไม่เห็นก็เลิกสนใจ
บริเวณหน้าเวที แก้ว ชดกำลังโอภาปราศรัยกับเนื่อง บุญมายืนเตร่อยู่วงนอกรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นส่วนเกิน นิด เชิด โผล่เข้ามาพร้อมพลับ นิดโผเข้ากอดเนื่อง เนื่องถึงกับน้ำตาซึมลูบผมน้อง เนื่องผละออกแล้วพิศดู
"นิดเอ๊ย สะสวยจนพี่เกือบจำไม่ได้"
นิดยิ้ม แก้วสะกิดเนื่อง
"แล้วฉันละพี่เนื่องสวยขึ้นบ้างไหม"
"เอ็งน่ะยังไงก็ยังงั้น"
"แปลว่าเคยสวยยังไงก็สวยยังงั้น"
"แปลว่าเอ็งเคยกะปุกกะปุยยังไงก็กะปุกกะปุยอย่างงั้น"
แก้วหน้าหงิก แต่เนื่องทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ บุญมาหัวเราะพรืดออกมา เชิดถามอย่างจริงจัง
"นิด ทำไมถึงมาเล่นละครได้"
"เรื่องมันยาวจ๊ะ แล้วไว้ฉันจะเล่าให้ฟัง"
"ใช่ นี่ไปเตรียมแต่งตัวแต่งหน้าได้แล้ว เดี๋ยวจะล่าไปกันใหญ่" ชดบอก
“เดี๋ยวพี่เนื่อง พี่เชิดไปกินข้าวกินปลาก่อนแล้วค่อยมาดูละคร แล้วพอเล่นละครเสร็จ ฉันกับนิดจะเล่าให้พี่ฟังทุกอย่างเลย" แก้วบอก
แก้วกับนิดออกไป ชดเชิญเชิดและเนื่องไปอีกทาง
"เชิญจ้ะ เชิญทางนี้"
บุญมายืนเก้อๆมองตาม
“ตกลงชื่อนิดหรือน้อยกันแน่ ถ้าชื่อนิด...หรือว่าจะคือนิด คนที่ยายแก้วเคยไปตามพระยาธรรมนูญมาช่วย”
บริเวณแถวหน้า เชิดกับเนื่องสวมเสื้อสูทหรูทับเสื้อเชิร์ต พอกลมกลืนไปกับเหล่าไฮโซได้ เชิดกับเนื่องทึ่งและเพลิดเพลินกับการชมละคร บนเวทีนิดร้องเพลงกรายมือใส่อารมณ์ ดูงดงามเจิดจรัสจนเป็นที่ติดตาตรึงใจของเหล่าผู้ชม เชิดกับเนื่องนั่งชมอย่างซาบซึ้ง
ในเวลากลางคืน ภายในโถงห้องบ้านเช่าของนิด รูป “ยามเศร้า” ติดเด่นอยู่กลางห้อง นิด แก้ว เนื่อง เชิดนั่งอยู่บนโซฟา
"พี่เสียมไม่รอดจากการผ่าตัด เขาตายจากนิดไปตั้งแต่วันนั้น" นิดสร้างเรื่องราวบอก
แก้วเหลือบดูนิดที่โกหก
"โธ่เอ๋ย ไอ้เสียม ไม่น่า ท่าทางมันไม่ใช่คนอายุสั้นเลย" เนื่องว่า
เชิดพลอยเศร้าใจไปกับนิดด้วย
“พ่อพี่เสียมจะส่งฉันกลับสีชัง แต่ฉันไม่อยากให้แม่ผิดหวังเสียใจ ฉันเลยหางานทำในพระนคร" นิดว่า
“แล้วก็เขียนจดหมายไปปดข้ากับแม่” เนื่องว่า
"นั่นแหละ ที่ฉันเคยบอกพี่ว่าต้องมีอะไร แต่พี่ก็ไม่เชื่อ" แก้วว่า
"แล้วทำไมนิดถึงมาเล่นละครได้"
“ฉันบังเอิญเจอพี่ชดเข้าน่ะจ๊ะ พี่ชดเอาฉันมาหัดเล่นละครจนได้เล่นบทนำ แล้วก็โชคเข้าข้างเกิดโด่งดังขึ้นมา"
เชิดฟังอย่างไตร่ตรอง เนื่องหัวเราะแบบคนไม่คิดมาก
“รู้ไหม นังทับทิมมันคลั่งวนิดา วันๆ แต่งหน้า ทำผม แต่งตัวเป็นวนิดานั่งขายของอยู่ ... นี่ถ้ามันรู้นะ” เนื่องบอก
แก้วหัวเราะแล้วพูดขึ้น
“พี่เนื่องอย่าไปบอกมันนะ เอาไว้ฉันกับนิดจะไปหามัน เอาให้มันตกใจหงายหลังไปเลย”
“แล้วเมื่อไหร่นิดกับแก้วถึงจะกลับสีชัง” เชิดถามอย่างจริงจัง
“ตอนนี้ยังไม่ได้หรอกจ๊ะ แต่พี่เชิดกับพี่เนื่องบอกแม่ไม่ได้นะเรื่องพี่เสียมตาย”
เชิดมองด้วยความสงสัย นิดพูดต่อ
“พี่เชิด แก้วช่วยคิดหน่อยซีจ้ะว่าจะบอกแม่ยังไงดี"
"ไม่เอาโกหกแม่น่ะบาป ให้นังแก้วมันคิดก็แล้วกัน" เนื่องบอก
แก้วผลักเนื่องจนหัวทิ่มไป เชิดแอบมองนิดและยังคลางแคลงใจอะไรบางอย่าง
บริเวณระเบียงบ้านเช่า มีเสื่อปูพร้อมฟูกบาง ผ้าปูสะอาดเอี่ยม เชิดกับเนื่องอาบน้ำแต่งตัว เนื่องปะแป้งลายพร้อย แก้วลากพัดลมยีอีมาให้เปิดส่ายให้ทั้งสองคนก่อนจะนั่งลงด้วย
“เฮ้อ สงสารนิดมัน ต้องมาตกพุ่มม่ายตั้งแต่เด็กแค่นี้เอง” เนื่องว่า
เชิดตาเป็นประกายแวบหนึ่งเหมือนดีใจ แล้วนิ่งไม่ตอบ เนื่องนิ่วหน้าถาม
“ทำไมเงียบจังวะ เชิด”
"หรือพี่เชิดดีใจที่นายเสียมตาย"
“ใครจะไปคิดอย่างนั้นได้ ข้าแค่เป็นห่วง ว่าจะบอกแม่นิ่มยังไงเท่านั้นละ”
เชิดหาว แล้วพูดต่อ
“ข้าง่วงแล้ว ข้านอนก่อนล่ะ”
เชิดตัดบทล้มตัวลงนอนตะแคงแล้วครุ่นคิด แก้วกับเนื่องยังนั่งคุยกันอยู่
บริเวณท่าเรือวัดพระยาไกร เรือกลไฟติดเครื่องรออยู่ บรรดาผู้โดยสารทยอยขึ้นเรือ เนื่องและเชิดสวมชุดใหม่แต่งตัวหล่อ ในมือมีกระเป๋าเดินทางใหม่เอี่ยมใบใหญ่คนละใบ มีตะกร้าใส่ผลไม้ขนมราคาแพง มีถุงผ้าตัดเสื้อพะรุงพะรัง นิดสวมแว่นตาดำมีผ้าคลุมผม แก้วแต่งกางเกงตามเคย คนขับรถยืนอยู่ข้างหลัง เรือเปิดหวูดเตือน
"พี่ต้องไปแล้วล่ะ" เนื่องบอก
“โชคดีนะจ้ะพี่เนื่อง ฝากพี่ดูแม่แทนฉันด้วย” นิดบอก
"เออ ข้าก็ดูอยู่ทุกวัน ตีกันแทบทุกวัน"
เนื่องถอยไป เชิดก้าวมาลานิดมองอย่างผูกผันห่วงใย
"ใจจริง พี่อยากอยู่ดูแลนิดที่นี่ เมืองกรุงให้เจริญยังไงแต่จิตใจคนอาจไม่เจริญเหมือนตึกรามก็ได้"
“ฉันรู้จ๊ะพี่เชิด แต่ทุกที่ก็มีคนดีคนชั่วปนกันทั้งนั้น” นิดว่า
"นิดดูแลตัวเองให้ดีๆ"
“จ้ะ นิดฝากพี่เชิดช่วยพี่เนื่องดูแลแม่ด้วย”
"นิดไม่ต้องห่วงหรอก ไม่ว่าบุกน้ำลุยไฟพี่ทำให้นิดได้ทุกอย่าง" เชิดบอก
นิดยิ้มละไม เชิดมองนิดด้วยสายตารักหมดใจ แต่นิดมองเชิดประหนึ่งน้องสาวกับพี่ชาย
ภายในโรงละคร เวลากลางคืน ละครเรื่อง ศกุนตลา กำลังเล่นอยู่บนเวที
ฉากป่า ต้นไม้ด้านหนึ่งสูงใหญ่ กลางเวทีเป็นสวนดอกไม้ซึ่งมีซุ้มไม้ออกดอกพราว อีกด้านของฉากเป็นบรรณศาลาอาศรมฤๅษี เห็นควันกองกูณฑ์บูชาขึ้นเป็นสาย ด้านหลังเขียนเป็นเทือกเขาสลับซับซ้อน ท้องฟ้าเล่นสีสันกันอย่างสวยงาม
ในโรงละคร ผู้ชมแน่นจนถึงกับมีเก้าอี้เสริม ผู้คนแต่งตัวงดงาม
แถวหน้า สรรค์ บุญมา เสวก อนงค์ รตี นั่งกันเป็นแถว สรรค์ชี้ชวนบุญมาให้ดูฉากด้วยความปลื้มในผลงานตัวเอง
บริเวณหลืบเวที มารศรี หลวงจันทรและชดในชุดนางพราหมณีแก่ดูอยู่ พลับยืนอยู่อีกมุม คอยลุ้นระทึก
ไฟค่อยๆ สว่างที่บริเวณสวนดอกไม้ซุ้มไม้ นิด ประภา จิตรา ในชุดขาวล้วน ประดับผม คอ ข้อมือ ด้วยดอกไม้สดต่างสีสันอยู่ในสวน ประภา จิตราถือเสียมน้อยพรวนดินอยู่ นิดเอามือเชยพวงดอกไม้ที่ซุ้ม พลางร้องเพลง
“รื่นรื่นชื่นกลิ่นมัลลิกา หอมชื่นนาสาเกษมสันต์ รื่นรื่นสุรภีผสมกัน กลิ่นสุคันธ์เย็นฉ่ำช่ำใจ"
สรรค์ยิ้มมองดูนิดอย่างเริ่มผูกพัน เสวกอ้าปากหวอ อนงค์ดูแบบจะก๊อปท่ายกมือตามกรายไปโดนรตีผัวะ รตีหยิก ส่วนบุญมากลับสอดส่ายสายตาหา
ไฟสว่างขึ้นที่พุ่มไม้ราวป่า แก้วในชุดมหาดเล็กคนสนิทเขียนหนวดเรียวโผล่มา พูดยักคอ
“นาร้าย นารายณ์”
คนดูฮาครืน บุญมาอ่อนใจ
“ใต้ฝ่าพระบาท ทอดพระเนตรทิศนั้นเถิดเจ้าข้า”
ทมในบททุษยันต์สวมชุดเกราะหนัง โพกผมแบบมาล่าสัตว์ไม่ใช่เครื่องละคร ดูหล่อเท่โผล่ขึ้น บรรดาคนดูหญิงฮือฮา สมัครใจอยากเล่นดนตรีไทยกันค่อนโรง อนงค์ รตี คิกคัก
“นี่หรือบุตรีพระดาบส งามหมดหาใครจะเปรียบได้” ทมพูดตามบท
สรรค์มองดูนิดที่กำลังปลิดใบไม้แห้งทิ้ง เสียงทมราวแทนความรู้สึกสรรค์
“ควรหรือพระบิดาท่านใช้ มารดต้นไม้พรวนดิน”
ที่ใต้ซุ้มไม้เลื้อย บริเวณแท่นหิน นิดอิงแอบอยู่กับทม ทมถอดแหวนออกจากนิ้ว มันคือแหวนพลอยของเสียมที่สะท้อนแสงไฟพราวพร่างอยู่บนเวที
สรรค์เพ่งมองดู อนงค์กับรตีถึงกับเคลิบเคลิ้มไป
“ยากจริงจริงต้องทิ้งน้องไว้ ครั้งจะอยู่ต่อไปก็ขัดขวาง พี่ขอให้แหวนไว้แก่นวลนาง เพื่อดูต่างหน้าผัวผู้ตัวไกล"
ทมสวมแหวนให้นิด นิดกรายมือมองตรงมาสบตากับสรรค์ สรรค์ยิ้มตอบนิด
ดนตรีเปลี่ยนเป็นตื่นเต้นเคร่งเครียด ฉากท้องพระโรงเซทเพียงมุมแคบ ทมทรงเครื่องกษัตริย์เต็มที่นั่งบัลลังก์สูง กำลังโกรธเกรี้ยวชี้นิ้วด่า แก้ว ข้าเฝ้าอื่นๆ รายรอบ
"ชะชะเก่งแท้แม่ตัวการ องค์พยานของเจ้าลืมเอามา"
ที่พื้น นิดอยู่กับชด ประภา จิตรา นิดทรงเครื่องราชธิดา ประภา จิตราเครื่องพระพี่เลี้ยง ชดเป็นนางพราหมณีที่พาศกุนตลามาเข้าเฝ้า มีนักแสดงชายเล่นเป็นพราหมณ์อีกคนอยู่ด้วย นิดยกมือค้างเพราะแหวนหายไป นิดส่ายหน้าผิดหวังอย่างไม่เข้าใจ
ทมลุกพรวดขึ้นยืนชี้นิ้วตรงมาที่นิด
“เจ้าอยากได้ราชาเป็นสามี จึงแสร้งแต่งวาทีเหิมกล้า”
บรรดาผู้คนนิ่งอึ้งตาจ้องเป๋ง ผู้ชายสงสาร บรรดาผู้หญิงก็อินถึงกับกัดริมฝีปาก
“รูปร่างกระทัดรัดไม่ขัดตา เสียแต่บ้ากามาไม่มีอาย
สรรค์ เสวก บุญมาสะดุ้ง อนงค์ รตี ร้องว้าย
นิดลุกขึ้นช้าๆ เผชิญหน้ากับทม
“เช่นนั้นหรือ เช่นนั้นหรือ โอ้ว่าเช่นนั้นหรือพระฤๅสาย พระองค์เองไม่มียางอาย พูดง่ายย้อนยอกกลอกวาจา"
คนดูร้องฮือฮาที่ศกุนตลาปากจัด ทมโกรธจะก้าวลงแต่แก้วยึดขาไว้ นิดยิ้มเยาะ
“โอหังบังอาจหยาบใหญ่ จงไปให้พ้นหน้าข้า”
“ขอทรงพระเจริญเถิดราชา ข้าขอลาแต่บัดนี้ไป”
นิดหมุนตัววิ่งออกมายังฉากด้านหน้า ฉากป่าต้นไม้ใหญ่เลื่อนจาก 2 ข้างของเวทีออกมา เปลี่ยนฉากเป็นฉากป่าทันที คนดูฮือฮากันยกใหญ่
นิดก้าวมาผู้เดียวแล้วทรุดลงร้องไห้ยื่นมือมาเบื้องหน้า ดวงตาเหมือนจ้องมาที่สรรค์ ร้องเพลง “ยังรักยังรอ” เสียงหวานเศร้า
สรรค์ใจหายวูบวับ นิดน้ำตานองหน้า สรรค์รู้สึกปวดหัวหนึบขึ้นมา เสียงเพลงของนิดกังวานก้อง
เมื่อละคร “ศกุนตลา” จบ ผู้ชมลุกขึ้นยืนปรบมือกึกก้องทั้งโรง สรรค์เหมือนตื่นจากภวังค์ ลุกขึ้นปรบมือตามคนอื่น
...ม่านปิด นักแสดงออกมาช่วงเคอร์เทนคอลล์ คนดูยืนปรบมือทั้งโรง บ้างก็โยนดอกไม้ขึ้นไปบนเวที เสวกเอาช่อดอกไม้ให้นิด
นิดกลายเป็นภาพนิ่งขนาดใหญ่ในหน้าบันเทิงของหนังสือพิมพ์ มีคำโปรย ศกุนตลาสุดยอดละครเวที วนิดาสุดยอดศิลปิน
ในห้องอัดจานเสียง นิดร้องเพลงอัดแผ่นเสียงอยู่
ในห้องถ่ายรูป นิดถือตลับแป้งทำแตะๆ หน้า มีช่างภาพถ่ายรูป
ในสวนดอกไม้ นิดถ่ายแฟชั่น บุญมาเป็นคนถ่ายรูป
ที่ร้านทับทิม ตลาดหน้าด่าน นิตยสารปกวนิดาศกุนตลายังมีขายอยู่ ทับทิมแต่งแขกยืนหมุนตัวเต้นระบำอยู่ นางแสยืนด่าลูกสาว ทับทิมทรงตัวไม่อยู่ชนแม่ล้มคว่ำไป
เย็นวันใหม่ อนงค์ รตี เดินมาจากคนละทาง ทั้งคู่สวมรองเท้าส้นสูงเดินฉับๆ มา ชายผ้าวูบวับ สุวลีแต่งตัวสวยพิเศษนั่งอยู่บนโซฟาในบ้านเนาวรัตน์ เสวกเดินมาทัก
“ไหนคุณน้องบอกว่าวันนี้จะออกไปงานเลี้ยงกับเพื่อน”
สุวลีหน้านิ่วบอก
“น้องก็รออยู่นี่ไงคะ ไม่รู้แม่สองคนมัวแต่งองค์ทรงเครื่องอะไรกันอยู่ ทำไมป่านนี้ยังไม่มา"
“มาแล้วจ้า / ไอ’ม เฮียร์” รตีกับอนงค์พูดทักทาย
อนงค์ และรตีพรวดมาจากคนละด้านแล้วชะงักกึก ทั้งคู่แต่งชุดแขกอลังการเหมือนกันแต่คนหนึ่งเขียว คนหนึ่งแดง
สุวลีหน้าบึ้งถึงกับพูดไม่ออก เสวกหัวเราะพรืด
"นังบ้า ทำไมไม่บอกฉันก่อน" อนงค์ว่า
“ทีหล่อนก็ยังไม่บอกฉันเลยนี่ยะ” รตีบอก
ทั้งสองนางลงนั่งข้างสุวลี
"ขอโทษนะจ๊ะ สุ ที่ให้เธอรอ" รตีว่า
“มัวแต่แต่งตัวเป็นศกุนตลาอยู่” เสวกบอก
“แต่งเป็นวนิดาต่างหาก” อนงค์บอก
สุวลีลุกพรวดอย่างขัดใจ
“พอที บอกแล้วไงว่าฉันไม่อยากได้ยินชื่อนี้”
สุวลีจะเดินขึ้นข้างบน
"อ้าว จะไปไหนล่ะ ยายสุ" รตีทัก
“ฉันไม่อยากเดินกับคนบ้า เธอสองคนจะไปไหนก็ไปเถอะ ฉันไม่ไปแล้ว”
สุวลีพูดอย่างโกรธจัด เสวกตามเอาใจ
“คุณน้องแต่งตัวเสียสวยจะไม่ไปได้ยังไง .. เจ้าสรรค์ล่ะ เจ้าสรรค์ว่างไหม ให้มันไปกับคุณน้อง”
สุวลียิ่งโกรธเป็นสองเท่า
“ไม่ว่างค่ะ! บอกว่าฉากละครศกุนตลามีปัญหา ต้องรีบไปดูตอนนี้ ชีวิตของสุวุ่นวายไปหมดแล้ว เพราะละครบ้าๆ เรื่องเดียว"
สุวลีเดินตัวตรงไปยังประตู ผ่านแจกันดอกไม้ที่วางไว้ สุวลีหยุดนิ่ง แล้วผลักแจกันล้มแตกกระจายแทบเท้า ทุกคนร้องอุทาน สุวลีเดินออกไปอย่างไม่แยแส
จบตอนที่ ๒๒
หมายเหตุ - ผู้เรียบเรียง
๑ “...ชื่อนั้นสำคัญไฉนที่เรียกว่ากุหลาบนั้น ถึงจะเรียกว่าอย่างอื่นก็หอมชื่นอยู่ดุจกัน...” - พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงแปลจากความ “What's in a name? that which we call a roseBy any other name would smell as sweet;” ในบทละครโศกนาฎกรรมเรื่อง “โรเมโอ จูเลียต” ของ วิลเลียม เชกสเปียร์
๒ ระบำนายหรั่ง - เป็นระบำโป๊ยุคโบราณของนายหรั่ง เรืองนามแสดงอยู่ที่เก้าชั้น เยาวราช