เกิดเหตุคนร้ายลอบวางระเบิด จยย.บอมบ์ เจ้าหน้าที่ทหารพรานสังกัดร้อยทหารพรานที่ 4312 กรมทหารพรานที่ 43 ขณะเดินทางกลับจากการปฏิบัติภารกิจ ที่ค่ายอิงคยุทธบริหารปัตตานี เป็นเหตุให้มีเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ 5 นาย ด้าน“ยุทธศักดิ์”โวลงใต้ทำ จนท.พอใจ คำสั่งมีเอกภาพ มั่นใจชี้แจงในสภาได้หากฝ่ายค้านซักฟอก
วานนี้ (12 ส.ค.) เมื่อเวลา 16.00 น. พ.ต.อ.อาคม บัวทอง ผกก.สภ.หนองจิก จ.ปัตตานี ได้รับแจ้งมีเหตุระเบิดขึ้นบนถนนสายปัตตานี-ยะลา ม.7 บ้านแม่โอน ต.คอลอตันหยง จึงนำกำลังพร้อมชุดเก็บกู้วัตถุระเบิดไปที่เกิดเหตุ พบรถยนต์กระบะยี่ห้ออีซูซุ สีดำ ไม่ติดป้ายทะเบียนจอดอยู่ข้างทาง สภาพถูกสะเก็ด และแรงระเบิด บริเวณด้านซ้ายจนเป็นรูพรุนเสียหาย โดยภายในรถมีเจ้าหน้าที่ทหารได้รับบาดเจ็บ จำนวน 5 นาย จึงรีบนำส่งโรงพยาบาลปัตตานี
ทราบชื่อ 1. ร.อ.อำนวย เพียรดี อายุ 44 ปี ผบ.ร้อยทหารพรานที่ 4312, 2.อส.ทพ.ตรีเนตร หาญแคล้ว ทั้งสองถูกสะเก็ดระเบิดบริเวณใบหน้าและลำตัวหลายแห่ง, 3.อส.ทพ.สหชาต หอแป้น, 4.อส.ทพ.ชัยชนะ เนียมแทน และ 5.อส.ทพ.นราธิป โยธิน มีบาดแผลที่ขาและแน่นหน้าอก
ตรวจสอบในที่เกิดเหตุห่างกันประมาณ 500 เมตร พบซากรถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นเวฟ ซึ่งคนร้ายนำระเบิดมาซุกไว้ สภาพถูกแรงระเบิดจนเป็นเศษเหล็ก และยังพบชิ้นส่วนระเบิดกระจายไปทั่วบริเวณ สอบสวนทราบว่า เจ้าหน้าที่ทหารพรานดังกล่าว สังกัดร้อยทหารพรานที่ 4312 กรมทหารพรานที่ 43 ก่อนเกิดเหตุหลังจากได้เข้าปฏิบัติภารกิจที่กรมทหารพรานที่ 43 ซึ่งตั้งอยู่ภายในค่ายอิงคยุทธบริหารปัตตานี และระหว่างที่กำลังเดินทางกลับฐานปฏิบัติการที่ อ.ยะรัง
เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุคนร้ายได้นำรถจักรยานยนต์ซุกระเบิด น้ำหนักประมาณ 5 กก. มาจอดไว้ข้างทาง เมื่อมาถึงคนร้ายได้กดชนวนระเบิดด้วยวิทยุสื่อสาร ทำให้ระเบิดเสียงดังสนั่น หลังเกิดเหตุ พลตรีชวลิต ชุนประสาน ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจปัตตานี สั่งระดมกำลังเข้าไล่ล่าคนร้ายพร้อมปิดล้อมตรวจค้นบริเวณที่เกิดเหตุทันที่ เชื่อคนร้ายน่าจะเป็นแนวร่วมในพื้นที่ ที่รู้ความเคลื่อนไหวก่อนฉวยโอกาสก่อเหตุสร้างสถานการณ์ดังกล่าว
**“ยุทธศักดิ์”โวจนท.พอใจมีคำสั่งเอกภาพ
พล.อ.ยุทศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง กล่าวถึงการเดินทางลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เมื่อวันที่ 10ส.ค. ที่ผ่านมาว่า การเดินทางไปครั้งนี้ตนไปกับทหาร ที่มีทั้ง พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ด้านฝ่ายตำรวจก็มี พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ว่าที่ ผบ.ตร. รวมทั้งพ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ไปด้วยตัวเองหมด จะขาดก็แต่เพียงกระทรวงมหาดไทย ซึ่งตนได้บอกกับ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย แล้วว่าการเดินทางลงพื้นที่ในครั้งต่อไป ขอให้ปลัดกระทรวงมหาดไทยไปด้วย
ทั้งนี้การที่เจ้าภาพไปด้วยตัวเองหมด ทำให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติก็รู้สึกดีใจ ที่ทำให้คำสั่งการมีความเป็นเอกภาพ และคำสั่งมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมากขึ้น ฝ่ายปฏิบัติก็พอใจที่จะชี้แจงถึงปัญหาให้เราฟัง หลังจากนี้ไปพลังสำคัญจะเดินหน้าและเริ่มมองเห็นภาพรวมของพลังร่วมกันมากขึ้น ขณะที่ ศอ.บต. ก็รับทราบที่จะดูแลการทำงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของ 17 กระทรวงด้วย
** มั่นใจแจงปัญหาภาคใต้ได้
พล.อ.ยุทศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง กล่าวถึงการที่ฝ่ายค้านจะอภิปราย เรื่องการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่า ไม่มีปัญหาอะไร ถ้าจะอภิปราย ก็ขอให้อภิปรายให้ดี เพราะว่าเราทำอะไรทุกอย่างเปิดเผยหมด ด้วยความจริงใจ และทุกอย่างก็ทุ่มเท เพราะบั้นปลายชีวิตของตน ทำงานให้ประเทศชาติ เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วง ซึ่งฝ่ายค้านจะอภิปรายก็ดี เป็นเรื่องดี จะได้เป็นกระจกเงาหลายๆ ด้าน ส่องให้เราเห็นว่า อะไรที่ไม่ได้ทำ หรืออะไรที่เราต้องทำเพิ่มเติม การอภิปรายถ้าเชิงเสนอแนะ บอกอะไรกันว่าอะไรถูกหรือผิด ตนว่าจะเป็นกระจกเงาที่ดี ที่จะให้ฝ่ายปฏิบัตินำเอาไปใช้ประโยชน์มากยิ่งขึ้น
เมื่อถามว่า หากเป็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจ มั่นใจในข้อมูลหรือไม่ พล.อ.ยุทธศักดิ์ กล่าวว่า สบายมากหากมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะทุกอย่างทำด้วยความจริงใจ เพื่อประเทศชาติ ตนเชื่อมั่นในผลงานที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต เพราะเราได้สัมผัสด้วยตัวเองและได้เห็นด้วยความจริง ไม่ได้มองภาพจากข่าว จากการบอกเล่า แต่เราไปสัมผัสมาจึงพูดได้ทั้งหมด สามารถชี้แจงได้ทุกเรื่อง
** อย่าให้น้ำหนักกลุ่มแยกดินแดน
ด้านพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงสถานการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่า ปัญหาไม่ได้เลวร้าย แต่ยังขาดความไว้วางใจ ระหว่างเจ้าหน้าที่ และประชาชนในพื้นที่ ไม่ควรมองว่ามีคนบางกลุ่มต้องการแบ่งแยกดินแดน เพราะเป็นคนส่วนน้อยเท่านั้นที่คิดเช่นนี้ เพียง 3-5 เปอร์เซ็นต์ แต่ประชาชนเกือบทั้งหมดยังรู้สึกเป็นคนไทย และต้องการอยู่ในพระบรมโพธิสมภารของในหลวง และยึดตามกฎหมายไทย แต่การนำประเด็นเล็กน้อยมาพูดก็ยิ่งทำให้เกิดความขัดแย้ง
ทั้งนี้มองว่ารัฐบาลยังคงให้ความสนใจในกระบวนการควบคุม บังคับบัญชา แต่การแก้ไขปัญหาภาคใต้ต้องมีขั้นตอน 3 ขั้นตอนที่ชัดเจนคือ 1 . การกำหนดวัตถุประสงค์ นโยบาย ยุทธศาสตร์การแก้ปัญหาที่ชัดเจน ทุกฝ่ายเข้าใจจึงจะดำเนินการในขั้นที่ 2 ที่จะให้หน่วยงานไหนกำหนดยุทธศาสตร์นั้นและ 3 การจัดการให้องค์กรหรือหน่วยงานไหนกำหนดการทำงาน แต่รัฐบาลให้ความสนใจเฉพาะเรื่องที่ 3 เท่านั้น ซึ่งทุกฝ่ายพูดแต่เพียงการเมืองนำการทหารหรือเฉพาะกรอบกว้าง ตามแนวพระราชดำริ เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา แต่ไม่ทบทวนจากขั้นสูงหรือกำหนดยุทธศาสตร์เป้าหมายย่อย และการเอาชนะจิตใจประชาชน ประชาชนในพื้นที่ก็ไม่ได้มีความเลวร้าย หากพูดคุยก็มีความเข้าใจกันอยู่แล้ว และหากเจ้าหน้าที่ทำงานด้วยความเข้าใจกันและกันก็จะทำงานกันได้ด้วยดี อย่างไรก็ตามแนวทางการทำงานของรัฐบาลนั้น ยังไม่ทราบถึงรายละเอียด แต่ขั้นตอนต่างๆมีความเรียบร้อย ขาดแต่เพียงความไว้วางใจกันและกันของเจ้าหน้าที่กับประชาชน ซึ่งหากมองด้วยความเข้าใจ ความต้องการเป็นอย่างไรก็จะสามารถแก้ไขปัญหาได้ โดยในเรื่องของภาคใต้นั้นจะต้องเอาชนะด้วยใจเป็นสำคัญ แต่รัฐบาลจะต้องนำมากำหนดเป้าหมายย่อยอีกครั้ง
พล.อ.ชวลิต กล่าวอีกว่า เรื่องการปฏิบัติการเชิงรุก การเข้าตีก็เป็นเรื่องที่สำคัญ แต่ไม่ใช้มาตรการหลัก เพราะกลุ่มที่ต้องการแบ่งแยกดินแดนถึงจะมีจริงแต่มีน้อยมาก และมีพื้นที่การทำงานแค่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เท่านั้นไม่ได้ต้องการอะไรมาก และกลุ่มเหล่านั้นก็มีความชัดเจนว่าจะปกครองตัวเองอยู่ภายใต้พระบรมโพธิสมภารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและภายใต้รัฐธรรมนูญไทย แต่เรากลับไปทำให้เกิดความขัดเคืองกันเองเท่านั้น และส่วนตัวได้ลงพื้นที่ชายแดนภาคใต้หลายครั้ง ก็อยากให้ประชาชนในพื้นที่เข้าใจว่าการแก้ไขปัญหาสำเร็จยากและอาจมีการเสียเลือดเนื้อมากขึ้น เพราะมีบางฝ่ายบอกว่าระดับความรุนแรงในภาคใต้ของไทยมีความรุนแรงยิ่งกว่าสถานการณ์ในประเทศอัฟกานิสถาน
วานนี้ (12 ส.ค.) เมื่อเวลา 16.00 น. พ.ต.อ.อาคม บัวทอง ผกก.สภ.หนองจิก จ.ปัตตานี ได้รับแจ้งมีเหตุระเบิดขึ้นบนถนนสายปัตตานี-ยะลา ม.7 บ้านแม่โอน ต.คอลอตันหยง จึงนำกำลังพร้อมชุดเก็บกู้วัตถุระเบิดไปที่เกิดเหตุ พบรถยนต์กระบะยี่ห้ออีซูซุ สีดำ ไม่ติดป้ายทะเบียนจอดอยู่ข้างทาง สภาพถูกสะเก็ด และแรงระเบิด บริเวณด้านซ้ายจนเป็นรูพรุนเสียหาย โดยภายในรถมีเจ้าหน้าที่ทหารได้รับบาดเจ็บ จำนวน 5 นาย จึงรีบนำส่งโรงพยาบาลปัตตานี
ทราบชื่อ 1. ร.อ.อำนวย เพียรดี อายุ 44 ปี ผบ.ร้อยทหารพรานที่ 4312, 2.อส.ทพ.ตรีเนตร หาญแคล้ว ทั้งสองถูกสะเก็ดระเบิดบริเวณใบหน้าและลำตัวหลายแห่ง, 3.อส.ทพ.สหชาต หอแป้น, 4.อส.ทพ.ชัยชนะ เนียมแทน และ 5.อส.ทพ.นราธิป โยธิน มีบาดแผลที่ขาและแน่นหน้าอก
ตรวจสอบในที่เกิดเหตุห่างกันประมาณ 500 เมตร พบซากรถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นเวฟ ซึ่งคนร้ายนำระเบิดมาซุกไว้ สภาพถูกแรงระเบิดจนเป็นเศษเหล็ก และยังพบชิ้นส่วนระเบิดกระจายไปทั่วบริเวณ สอบสวนทราบว่า เจ้าหน้าที่ทหารพรานดังกล่าว สังกัดร้อยทหารพรานที่ 4312 กรมทหารพรานที่ 43 ก่อนเกิดเหตุหลังจากได้เข้าปฏิบัติภารกิจที่กรมทหารพรานที่ 43 ซึ่งตั้งอยู่ภายในค่ายอิงคยุทธบริหารปัตตานี และระหว่างที่กำลังเดินทางกลับฐานปฏิบัติการที่ อ.ยะรัง
เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุคนร้ายได้นำรถจักรยานยนต์ซุกระเบิด น้ำหนักประมาณ 5 กก. มาจอดไว้ข้างทาง เมื่อมาถึงคนร้ายได้กดชนวนระเบิดด้วยวิทยุสื่อสาร ทำให้ระเบิดเสียงดังสนั่น หลังเกิดเหตุ พลตรีชวลิต ชุนประสาน ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจปัตตานี สั่งระดมกำลังเข้าไล่ล่าคนร้ายพร้อมปิดล้อมตรวจค้นบริเวณที่เกิดเหตุทันที่ เชื่อคนร้ายน่าจะเป็นแนวร่วมในพื้นที่ ที่รู้ความเคลื่อนไหวก่อนฉวยโอกาสก่อเหตุสร้างสถานการณ์ดังกล่าว
**“ยุทธศักดิ์”โวจนท.พอใจมีคำสั่งเอกภาพ
พล.อ.ยุทศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง กล่าวถึงการเดินทางลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เมื่อวันที่ 10ส.ค. ที่ผ่านมาว่า การเดินทางไปครั้งนี้ตนไปกับทหาร ที่มีทั้ง พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ด้านฝ่ายตำรวจก็มี พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ว่าที่ ผบ.ตร. รวมทั้งพ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ไปด้วยตัวเองหมด จะขาดก็แต่เพียงกระทรวงมหาดไทย ซึ่งตนได้บอกกับ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย แล้วว่าการเดินทางลงพื้นที่ในครั้งต่อไป ขอให้ปลัดกระทรวงมหาดไทยไปด้วย
ทั้งนี้การที่เจ้าภาพไปด้วยตัวเองหมด ทำให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติก็รู้สึกดีใจ ที่ทำให้คำสั่งการมีความเป็นเอกภาพ และคำสั่งมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมากขึ้น ฝ่ายปฏิบัติก็พอใจที่จะชี้แจงถึงปัญหาให้เราฟัง หลังจากนี้ไปพลังสำคัญจะเดินหน้าและเริ่มมองเห็นภาพรวมของพลังร่วมกันมากขึ้น ขณะที่ ศอ.บต. ก็รับทราบที่จะดูแลการทำงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของ 17 กระทรวงด้วย
** มั่นใจแจงปัญหาภาคใต้ได้
พล.อ.ยุทศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง กล่าวถึงการที่ฝ่ายค้านจะอภิปราย เรื่องการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่า ไม่มีปัญหาอะไร ถ้าจะอภิปราย ก็ขอให้อภิปรายให้ดี เพราะว่าเราทำอะไรทุกอย่างเปิดเผยหมด ด้วยความจริงใจ และทุกอย่างก็ทุ่มเท เพราะบั้นปลายชีวิตของตน ทำงานให้ประเทศชาติ เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วง ซึ่งฝ่ายค้านจะอภิปรายก็ดี เป็นเรื่องดี จะได้เป็นกระจกเงาหลายๆ ด้าน ส่องให้เราเห็นว่า อะไรที่ไม่ได้ทำ หรืออะไรที่เราต้องทำเพิ่มเติม การอภิปรายถ้าเชิงเสนอแนะ บอกอะไรกันว่าอะไรถูกหรือผิด ตนว่าจะเป็นกระจกเงาที่ดี ที่จะให้ฝ่ายปฏิบัตินำเอาไปใช้ประโยชน์มากยิ่งขึ้น
เมื่อถามว่า หากเป็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจ มั่นใจในข้อมูลหรือไม่ พล.อ.ยุทธศักดิ์ กล่าวว่า สบายมากหากมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะทุกอย่างทำด้วยความจริงใจ เพื่อประเทศชาติ ตนเชื่อมั่นในผลงานที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต เพราะเราได้สัมผัสด้วยตัวเองและได้เห็นด้วยความจริง ไม่ได้มองภาพจากข่าว จากการบอกเล่า แต่เราไปสัมผัสมาจึงพูดได้ทั้งหมด สามารถชี้แจงได้ทุกเรื่อง
** อย่าให้น้ำหนักกลุ่มแยกดินแดน
ด้านพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงสถานการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่า ปัญหาไม่ได้เลวร้าย แต่ยังขาดความไว้วางใจ ระหว่างเจ้าหน้าที่ และประชาชนในพื้นที่ ไม่ควรมองว่ามีคนบางกลุ่มต้องการแบ่งแยกดินแดน เพราะเป็นคนส่วนน้อยเท่านั้นที่คิดเช่นนี้ เพียง 3-5 เปอร์เซ็นต์ แต่ประชาชนเกือบทั้งหมดยังรู้สึกเป็นคนไทย และต้องการอยู่ในพระบรมโพธิสมภารของในหลวง และยึดตามกฎหมายไทย แต่การนำประเด็นเล็กน้อยมาพูดก็ยิ่งทำให้เกิดความขัดแย้ง
ทั้งนี้มองว่ารัฐบาลยังคงให้ความสนใจในกระบวนการควบคุม บังคับบัญชา แต่การแก้ไขปัญหาภาคใต้ต้องมีขั้นตอน 3 ขั้นตอนที่ชัดเจนคือ 1 . การกำหนดวัตถุประสงค์ นโยบาย ยุทธศาสตร์การแก้ปัญหาที่ชัดเจน ทุกฝ่ายเข้าใจจึงจะดำเนินการในขั้นที่ 2 ที่จะให้หน่วยงานไหนกำหนดยุทธศาสตร์นั้นและ 3 การจัดการให้องค์กรหรือหน่วยงานไหนกำหนดการทำงาน แต่รัฐบาลให้ความสนใจเฉพาะเรื่องที่ 3 เท่านั้น ซึ่งทุกฝ่ายพูดแต่เพียงการเมืองนำการทหารหรือเฉพาะกรอบกว้าง ตามแนวพระราชดำริ เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา แต่ไม่ทบทวนจากขั้นสูงหรือกำหนดยุทธศาสตร์เป้าหมายย่อย และการเอาชนะจิตใจประชาชน ประชาชนในพื้นที่ก็ไม่ได้มีความเลวร้าย หากพูดคุยก็มีความเข้าใจกันอยู่แล้ว และหากเจ้าหน้าที่ทำงานด้วยความเข้าใจกันและกันก็จะทำงานกันได้ด้วยดี อย่างไรก็ตามแนวทางการทำงานของรัฐบาลนั้น ยังไม่ทราบถึงรายละเอียด แต่ขั้นตอนต่างๆมีความเรียบร้อย ขาดแต่เพียงความไว้วางใจกันและกันของเจ้าหน้าที่กับประชาชน ซึ่งหากมองด้วยความเข้าใจ ความต้องการเป็นอย่างไรก็จะสามารถแก้ไขปัญหาได้ โดยในเรื่องของภาคใต้นั้นจะต้องเอาชนะด้วยใจเป็นสำคัญ แต่รัฐบาลจะต้องนำมากำหนดเป้าหมายย่อยอีกครั้ง
พล.อ.ชวลิต กล่าวอีกว่า เรื่องการปฏิบัติการเชิงรุก การเข้าตีก็เป็นเรื่องที่สำคัญ แต่ไม่ใช้มาตรการหลัก เพราะกลุ่มที่ต้องการแบ่งแยกดินแดนถึงจะมีจริงแต่มีน้อยมาก และมีพื้นที่การทำงานแค่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เท่านั้นไม่ได้ต้องการอะไรมาก และกลุ่มเหล่านั้นก็มีความชัดเจนว่าจะปกครองตัวเองอยู่ภายใต้พระบรมโพธิสมภารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและภายใต้รัฐธรรมนูญไทย แต่เรากลับไปทำให้เกิดความขัดเคืองกันเองเท่านั้น และส่วนตัวได้ลงพื้นที่ชายแดนภาคใต้หลายครั้ง ก็อยากให้ประชาชนในพื้นที่เข้าใจว่าการแก้ไขปัญหาสำเร็จยากและอาจมีการเสียเลือดเนื้อมากขึ้น เพราะมีบางฝ่ายบอกว่าระดับความรุนแรงในภาคใต้ของไทยมีความรุนแรงยิ่งกว่าสถานการณ์ในประเทศอัฟกานิสถาน