“พล.อ.ชวลิต” เป็น ปธ.พิธี “12 สิงหามหาราชินี” ไถ่ชีวิตโค-กระบือ-ยกโพลชี้ ปชช.วางใจ รบ.แต่แนะเร่งดับไฟใต้ เชื่อ ส่วนน้อยคิดแบ่งแยกดินแดน เผย ต้องยุทธศาสตร์ให้ชัดเจน ก่อนให้หน่วยงานกำหนดการทำงาน ยกการเอาชนะจิตใจ ปชช.สำคัญ แนะคนในพื้นที่ต้องเข้าใจการสูญเสียอาจเพิ่ม ปัดกลับเล่นการเมือง อ้างแก่แล้ว
วันนี้ (12 ส.ค.) พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย คุณหญิง พันธุ์เครือ ยงใจยุทธ เป็นประธานในพิธี “12 สิงหามหาราชินี” ปี 2555 ไถ่ชีวิตโค-กระบือ ที่วัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร ถวายเป็นพระราชกุศลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พร้อมมอบโคจำนวน 9 ตัว และกระบือ จำนวน 9 ตัว รวม 18 ตัว เข้าธนาคารโค-กระบือ เพื่อเกษตรกรตามพระราชดำริ ช่วยเหลือเกษตรกรผู้ยากไร้เพื่อใช้แรงงานเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร
พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการบริหารงานของรัฐบาล 1 ปี ที่ผ่านมาว่า ประชาชนได้ให้ความไว้วางใจรัฐบาลโดยสังเกตจากผลโพลต่างๆที่ออกมา ส่วนการที่ฝ่ายค้านเตรียมอภิปรายไม้ไว้วางใจรัฐบาลและนายกรัฐมนตรี ก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาทางการเมือง แม้ว่าขณะนี้ฝ่ายค้านจะยังไม่ได้ตัดสินใจยื่นอภิปรายก็ตาม แต่หากมีการยื่นอภิปรายก็จะเป็นการอภิปรายแบบไม่ลงมติ เพียงเพื่อตั้งกระทู้ซักถามรัฐบาลเท่านันไม่ได้เข่นฆ่าอะไร และคงไม่มีเหตุการณ์ความวุ่นวายในสภา ที่ดูเหมือนว่ามีความรุนแรงเหมือนครั้งที่ผ่านมา ซึ่งในเรื่องความขัดแข้งก็ต้องต้องมีการพูดคุยกัน แต่เชื่อว่าประชาชนส่วนใหญ่ต้องการเห็นความสงบเรียบร้อยซึ่งก็ต้องให้กำลังใจรัฐบาลต่อไป
เมื่อถามถึงจุดแข็งและจุดอ่อนของรัฐบาล อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลยังคงมีบางประเด็นที่ต้องปรับปรุงโดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาที่มีความยืดเยื้อ หากสะสมปัญหาไว้มากๆ ก็จะแก้ไขยากและจะเป็นผลเสียต่อการแก้ไขปัญหานั้นๆ จึงน่าจะเร่งรัดทำผลงาน แต่รัฐบาลก็ยังมีรัฐมนตรีที่มีประสบการณ์ในการทำงานอยู่พอสมควร น่าจะแก้ไขได้ในไม่ช้าก็ต้องให้กำลังใจกันไป
ส่วนเรื่องสถานการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น พล.อ.ชวลิต กล่าวว่า ปัญหาไม่ได้เลวร้าย แต่ยังขาดความไว้วางใจระหว่างเจ้าหน้าที่และประชาชนในพื้นที่ ไม่ควรมองว่า มีคนบางกลุ่มต้องการแบ่งแยกดินแดน เพราะเป็นคนส่วนน้อยเท่านั้นที่คิดเช่นนี้เพียง 3-5 เปอร์เซ็นต์ แต่ประชาชนเกือบทั้งหมดยังรู้สึกเป็นคนไทยและต้องการอยู่ในพระบรมโพธิสมภารของในหลวง และยึดตามกฎหมายไทย แต่การนำประเด็นเล็กน้อยมาพูดก็ยิ่งทำให้เกิดความขัดแย้ง
ทั้งนี้ มองว่า รัฐบาลยังคงให้ความสนใจในกระบวนการควบคุม บังคับบัญชา แต่การแก้ไขปัญหาภาคใต้ต้องมีขั้นตอน 3 ขั้นตอนที่ชัดเจน คือ 1.การกำหนดวัตถุประสงค์ นโยบาย ยุทธศาสตร์การแก้ปัญหาที่ชัดเจน ทุกฝ่ายเข้าใจจึงจะดำเนินการในขั้นที่ 2 ที่จะให้หน่วยงานไหนกำหนดยุทธศาสตร์นั้น และ 3.การจัดการให้องค์กรหรือหน่วยงานไหนกำหนดการทำงาน แต่รัฐบาลให้ความสนใจเฉพาะเรื่องที่ 3 เท่านั้น ซึ่งทุกฝ่ายพูดแต่เพียงการเมืองนำการทหารหรือเฉพาะกรอบกว้าง ตามแนวพระราชดำริ เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา แต่ไม่ทบทวนจากขั้นสูงหรือกำหนดยุทธศาสตร์เป้าหมายย่อย และการเอาชนะจิตใจประชาชน ประชาชนในพื้นที่ก็ไม่ได้มีความเลวร้าย หากพูดคุยก็มีความเข้าใจกันอยู่แล้ว และหากเจ้าหน้าที่ทำงานด้วยความเข้าใจกันและกันก็จะทำงานกันได้ด้วยดี
อย่างไรก็ตาม แนวทางการทำงานของรัฐบาลนั้น ยังไม่ทราบถึงรายละเอียด แต่ขั้นตอนต่างๆ มีความเรียบร้อย ขาดแต่เพียงความไว้วางใจกัน และกันของเจ้าหน้าที่กับประชาชน ซึ่งหากมองด้วยความเข้าใจ ความต้องการเป็นอย่างไรก็จะสามารถแก้ไขปัญหาได้ โดยในเรื่องของภาคใต้นั้นจะต้องเอาชนะด้วยใจเป็นสำคัญ แต่รัฐบาลจะต้องนำมากำหนดเป้าหมายย่อยอีกครั้ง
พล.อ.ชวลิต กล่าวอีกว่า เรื่องการปฏิบัติการเชิงรุก การเข้าตีก็เป็นเรื่องที่สำคัญ แต่ไม่ใช้มาตรการหลัก เพราะกลุ่มที่ต้องการแบ่งแยกดินแดนถึงจะมีจริงแต่มีน้อยมาก และมีพื้นที่การทำงานแค่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เท่านั้นไม่ได้ต้องการอะไรมาก และกลุ่มเหล่านั้นก็มีความชัดเจนว่าจะปกครองตัวเองอยู่ภายใต้พระบรมโพธิสมภารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและภายใต้รัฐธรรมนูญไทย แต่เรากลับไปทำให้เกิดความขัดเคืองกันเองเท่านั้น และส่วนตัวได้ลงพื้นที่ชายแดนภาคใต้หลายครั้ง ก็อยากให้ประชาชนในพื้นที่เข้าใจว่าการแก้ไขปัญหาสำเร็จยากและอาจมีการเสียเลือดเนื้อมากขึ้น เพราะมีบางฝ่ายบอกว่าระดับความรุนแรงในภาคใต้ของไทยมีความรุนแรงยิ่งกว่าสถานการณ์ในประเทศอัฟกานิสถาน
อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า หากรัฐบาลติดต่อเทียบเชิญมาให้ร่วมงาน ตนเองก็พร้อมที่จะให้การช่วยเหลือและให้คำปรึกษา แต่ส่วนตัวจะไม่เข้ามาดำรงตำแหน่งทางการเมืองอีก รวมถึงการแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงแต่หากจะให้ร่วมรัฐบาลเลยตนคงไม่ไหวเพราะอายุมากแล้ว ส่วนอายุรัฐบาลจะอยู่ครบ 4 ปีหรือไม่ และจะลดแรงเสียดทานได้อย่างไร ก็จะต้องค่อยๆ ปรับตามสถานการณ์ จะทำอะไรขอให้รอบคอบ การที่จะนำประเทศไปเป็นประเทศแบบมหาอำนาจแบบบางประเทศก็จะทำให้ยุ่งได้ เพราะประชาธิปไตยเต็มรูปแบบเศรษฐกิจเสรี ก็มีหลายประเทศที่ทำให้เกิดการล่มสลายมาแล้วหลายประเทศทั่วโลก ดังนั้น แนวทางของรัฐบาลประเทศไทยควรที่จะน้อมนำแนวทางพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในเรื่องของการเดินทางสายกลาง เศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้ ก็จะทำให้ประเทศชาติมั่นคงได้หากนำมาศึกษาก็จะเป็นประโยชน์