ชิงนาง ตอนที่ 9
วงเดือนถือถาดอาหารกลางวัน ขึ้นมาจัดวางบนโต๊ะ สักครู่หนึ่งดอยขึ้นมาหาภูผาที่นั่งรออยู่ วงเดือนจัดโต๊ะต่อไปเหมือนไม่สนใจ แต่แอบเหลือบตามองอย่างอยากรู้เป็นระยะ
“ยอมกินข้าวหรือยัง” ภูผาถาม
“ยังเลยจ้ะ ลูกพี่ไม่ยอมให้ดอยเข้าใกล้ ไม่พูด ไม่กิน น้ำยังไม่ดื่มซักกะหยดเลยจ้ะ เอาแต่นั่งร้องไห้”
วงเดือนปรายตามองภูผาที่สีหน้าไม่สบายใจ ภูผาตัดสินใจลุกออกไป
ด้านหนูนาเอาแต่นั่งกอดเข่าเจ่าจุกร้องไห้อยู่บนเตียง มีถาดข้าววางอยู่ข้างๆที่โต๊ะเล็ก ๆ ในห้อง
เห็นภูผาเปิดประตูเข้ามา หนูนารีบหันหน้าหนีไปอีกทาง
ภูผามองจานข้าวที่ยังวางนิ่งอยู่บนโต๊ะ “ทำไมไม่กินข้าว”
หนูนานิ่งไม่ตอบ ภูผาเดินไปหยิบจานข้าวมายื่นตรงหน้า
ภูผาพยายามพูดดีๆ เสียงอ่อนโยนขึ้น “กินข้าวซะ เดี๋ยวจะไม่สบาย”
หนูนาเม้มปากนิ่ง
ภูผานั่ลงบนเตียงจับแขนให้หันมา “หนูนา อย่าดื้อกับฉันนะ กินข้าว”
“ฉันไม่กิน!” หนูนาขึ้นเสียง
“อยากตายหรือไง” ภูผาพยายามสะกดอารมณ์
“ฉันตายแล้วคุณสนใจด้วยเหรอ ฉันไม่ใช่วงเดือนนี่ คุณถึงจะต้องมาห่วง”
ภูผาเสียงเข้ม “เดือนเขาไม่ได้ทำอะไรเธอ ถ้าเธอจะโทษต้องโทษฉัน”
หนูนาแดกดันตัวเอง “ใช่สิ ผู้หญิงคนนั้นทำอะไรก็ดีก็งามไปหมด ฉันมันชั่ว ฉันมันเลว! ฉันมันไม่เหลืออะไรแล้ว” ปล่อยโฮออกมา พร้อมกับไล่ตะเพิดภูผา “ออกไปนะ ออกไป! ไม่ต้องมายุ่งกับชั้นอีกแล้ว! ไป”
ภูผาถอนใจเดินออกจากห้องไปอย่างหัวเสีย หนูนาร้องไห้เจ็บใจ
ภูผาเดินกลับขึ้นมาบนเรือน วงเดือนเดินเข้ามาหา
“หนูนายอมกินข้าวไหมคะ”
ภูผาไม่ตอบลงนั่งหน้าเครียด
“คุณภูผาใจเย็นๆ นะคะ หนูนาเพิ่งเจอเรื่องร้ายๆ มา คงยังช็อกอยู่”
ภูผาพยักหน้าช้า ๆ เข้าใจ “ฉันรู้”
จังหวะนั้นสว่างเดินขึ้นมาหาภูผา
“นายครับ พบศพพ่อเลี้ยงแล้วครับ” สว่างถอนใจ ภูผาชะงัก “อยู่ที่ก้นเหว”
ภูผาสะท้อนใจ วงเดือนอึ้ง ตกใจ
“ให้คนงานช่วยกันเอาร่างเหนือฟ้าขึ้นมา ฉันจะพาเหนือฟ้ากลับบ้าน”
วงเดือนตกตะลึง “พ่อเลี้ยงเหนือฟ้า”
“ผมสั่งให้คนงานจัดการแล้วครับ ส่วนไอ้วันชัย…”
ภูผาสั่งการสวนออกมา “แจ้งความเรื่องที่มันฆ่าเหนือฟ้า แล้วนายสว่างส่งคนไปค้นตามเส้นทางทั้งหมดของน้ำตก ถ้ามันตาย..เอาศพมันมาให้ฉันเห็น แต่ถ้าไม่ตาย..ฉันจะเป็นคนลากคอมันมาชดใช้”
ภูผาแค้นหนัก เมื่อนึกถึงเรื่องที่วันชัยทำกับหนูนา
ลมพัดซู่ที่หน้าต่าง แรงลมพัดผ้าม่านปลิวเบาๆ อรุณนอนนิ่งอยู่บนเตียงห้องพักฟื้นในโรงพยาบาล นัยน์ตาเหม่อลอย มองออกไปด้านนอกเหมือนคนไร้จิตใจ
เมฆากำลังฉีดกลูโคสเข้าสายน้ำเกลือ มีอนุต กับศรีดารามองอยู่อย่างเป็นห่วง
“เมฆา..ทำไมถึง…”
“อรุณไม่ยอมกิน ไม่ยอมนอน ผมต้องฉีดกลูโคสให้อรุณเพื่อให้ร่างกายสดชื่นและอยู่ได้ แต่นี่มันเป็นแค่การพยุงไว้ ถ้าอรุณยังทำตัวแบบนี้ต่อไปละก้อ...”
สีหน้าของเมฆาลำบากใจที่จะพูด ศรีดาราน้ำตาซึม เข้าไปนั่งข้างเตียงอรุณ
“อรุณ...ทำไมถึงทำร้ายตัวเองแบบนี้”
อรุณนอนนิ่งไม่ยอมหันมาเหมือนอยู่ในโลกส่วนตัว ไม่เปิดรับฟังใครทั้งสิ้น
“เมฆา ลูกได้ข่าวข่าวเดือนบ้างหรือเปล่า” อนุตนึกถึงวงเดือนขึ้นมา
“ไม่เลยครับพ่อ”
อนุตหนักใจ “คงมีแต่เดือนคนเดียวที่จะช่วยอรุณได้”
เมฆามองศรีดารากับอรุณด้วยความเจ็บปวดที่ทำอะไรไม่ได้เลย
ที่เมฆาการแพทย์ตอนค่ำๆ เมฆากำลังจัดยาให้คนไข้หลังตรวจเสร็จ
“หมอจัดยาให้สัปดาห์นึงนะ แล้วนัดมาตรวจอีกครั้งนะครับ”
ป้าคนไข้ถามหาวงเดือน “คุณหมอจ๊ะ แล้วคุณพยาบาลคนสวยไปไหนเสียล่ะ ป้าไม่เห็นหน้าเสียหลายวัน”
เมฆาพูดปด “ไปธุระที่ต่างจังหวัดครับ”
“มิน่า คุณหมอก็เลยต้องจัดยาเอง ถ้าคุณพยาบาลอยู่ก็คงดีนะจ๊ะ ทั้งสวยทั้งใจดี ป้าล่ะคิดถึงจริงๆ”
เมฆาหน้าตึง “ครับ”
ป้ารับยาแล้วออกไปนอกคลินิก เมฆากวาดทำลายข้าวของจนหล่นกระจายไปทั่วพื้น แววตาดุดันแค้นจัด
“เดือน...ฉันต้องหาเธอให้เจอให้ได้”
ตกกลางคืน โฉมไฉไลเดินเข้ามาในบ้านลงนั่งที่ห้องรับแขกอย่างหัวเสีย ชอุ่มเดินเข้ามาหารีๆ รอๆ โฉมไฉไลมองอย่างขวางหูขวางตา ถามเสียงดัง
“มายืนบื้อใบ้อยู่ได้ มีอะไรก็พูดมา”
“อิฉันจะมาเรียนว่าคืนนี้คุณผู้ชายกับคุณผู้หญิงไม่อยู่ค่ะ ไปเฝ้าคุณอรุณที่โรงพยาบาล คุณโฉมจะให้ตั้งโต๊ะไหมคะ”
โฉมไฉไลปรี๊ด พาลไปหมด นึกในใจถามอะไรเซ้าซี้ งี่เง่า
โฉมไฉไลเดินสะบัดขึ้นไปเลย ชอุ่มมองตามอย่างถอนใจ
“ไงวะเนี่ย? บอกให้พูดแล้วก็มาด่า..ใครกันแน่วะ” ชอุ่มตะโกนว่าตามหลังเบาๆ “งี่เง่า”
วงเดือนเดินออกมาจากห้องเห็นสว่างกำลังรายงานภูผา
“เราค้นเส้นทางน้ำตกตลอดทั้งเส้นแต่ไม่เจอร่างของไอ้วันชัยเลยครับนาย”
ภูผานิ่งคิด “หรือมันจะรอด?”
“ยากมากครับ จุดที่มันตกไปน้ำเชี่ยวมาก แล้วตรงนั้นมีน้ำวนอยู่ สภาพแบบนั้นผมว่าไม่น่าจะรอดนะครับ” สว่างว่า
ภูผาพยักหน้ารับรู้ก่อนสั่ง “พรุ่งนี้ฉันจะเผาศพเหนือฟ้า ฝากนายสว่างจัดการให้เรียบร้อยด้วยนะ”
“ครับนาย”
สว่างออกไปลับตัวแล้ว แต่ภูผายังนั่งนิ่ง วงเดือนเดินเข้ามานั่งข้างๆ แล้วจับมือภูผาปลอบด้วยสายตา
ภูผามองวงเดือนอย่างเข้าใจรับรู้ความห่วงใยนั้น
“เดือนห่วงคุณ อยากช่วยคุณ แต่เดือนทำอะไรไม่ได้เลย”
ภูผาบีบมือวงเดือนเบาๆ “แค่อยู่ข้างๆ ฉัน..เท่านี้ก็พอแล้ว” ภูผาหันไปหอมเรือนผมวงเดือนอย่างละมุนละไม
วงเดือนซบหน้ากับอกแกร่งของภูผา ภูผากอดวงเดือน สองดวงใจผูกพันกันอย่างลึกซึ้ง
โฉมไฉไลเดินไปมาอยู่ในห้องคิดเครียด ภาพลูกน้องเสี่ยเส็งทำลายข้าวของในร้าน และภาพอนงค์ร้องไห้โดนลากตัวออกไป
เสียงขู่เสี่ยเส็งดังก้อง “ถ้าพรุ่งนี้อั๊วไม่ได้เงินสองแสนล่ะก็ เตรียมงมศพแม่ลื้อได้เลย”
ยังนึกไปถึงตอนที่ทะเลาะกับพฤกษ์ “เงินตั้งสองแสน ผมเอาให้ไม่ได้หรอกโฉม”
โฉมไฉไลดึงตัวเองกลับมา
“ต้องได้สิ..เงิน..เงิน มันต้องมีทาง” โฉมไฉไลชะงัก คิดอะไรบางอย่างออก
ภาพเครื่องเพชรเครื่องทองที่ศรีดาราเก็บไว้ในห้องศรีเรือน จุดประกายในหัว
โฉมไฉไลตัดสินใจลุกออกไปจากห้อง เป้าหมายคือห้องศรีเรือน!
โฉมไฉไลย่องเข้ามาในห้องศรีเรือนอย่างเงียบเชียบ มองจ้องรูปของศรีเรือน แล้วแสยะยิ้ม โฉมไฉไลตรงไปที่แจกันแล้วยกขึ้น เผยให้เห็นกุญแจ นางมารร้ายหยิบกุญแจขึ้นมามองอย่างมีความหวัง
เป็นเวลาเดียวกับที่ เมฆาเดินกลับเข้ามาในบ้านพอดี
โฉมไฉไลเอากุญแจไขตู้จนสำเร็จ หยิบกล่องออกมาเปิดแล้วหยิบเครื่องทองทั้งสร้อยแหวน กำไลขึ้นมาดู โฉมไฉไลมองอย่างพอใจ แล้วรีบหยิบออกมาเก็บใส่กระเป๋ากางเกงตนเองอย่างรีบเร่ง
เมฆาเดินขึ้นบันไดมาช้าๆ
โฉมไฉไลรีบเอากล่องเก็บใส่ตู้เหมือนเดิมแล้วปิดตู้ล็อคกุญแจ จากนั้นก็เอากุญแจเก็บไว้ในที่ซ่อนตามเดิม โฉมไฉไลจะเดินออกยังไม่วายมองรูปศรีเรือนอย่างเย้ยหยัน
“สมบัติขอแกทั้งหมดจะต้องตกเป็นของฉัน”
โฉมไฉไลรีบเดินออกจากห้อง
โฉมไฉไลออกจากห้องปิดประตูอย่างเบามือที่สุด แต่พอหันกลับมาแล้วตกใจสุดขีด เมื่อเห็นเมฆายืนอยู่
เมฆาจดสายตามองจ้องโฉมไฉไลอย่างจับผิด
“เธอเข้าไปในห้องคุณย่าทำไม”
โฉมไฉไลอึกอักหาทางออก “โฉมเข้าไปดูแลความเรียบร้อยในห้อง อย่าลืมสิว่าโฉมเป็นสะใภ้คนโตนะ”
เมฆาไม่เชื่อ “คนอย่างเธอน่ะเหรอจะรู้จักคิดทำอะไรดีๆ แบบนั้น”
โฉมไฉไลทำทีเป็นโมโหกลบเกลื่อน “เอ๊ะ เมฆา อย่ามาหาเรื่องฉันนะ”
จากนั้นโฉมไฉไลก็เดินหนีไปเร็วๆ
แต่สายตาเมฆาบังเอิญเห็นว่าที่กระเป๋ากางเกงของโฉมไฉไลมีสายสร้อยทองห้อยออกมานอกกระเป๋า เพราะเก็บไม่เรียบร้อย เมฆากระชากแขนโฉมไว้
“เดี๋ยว!”
โฉมไฉไลตกใจ พยายามจะสะบัด “ปล่อยโฉมนะ”
เมฆาไม่ยอมปล่อย จัดการคว้าสายสร้อยที่ห้อยอยู่ดึงออกมา จึงได้เห็นว่าสายสร้อยนั้นได้พันอยู่กับกำไลแหวนเกี่ยวกันออกมาจนตกลงพื้น โฉมไฉไลหน้าเสีย
เมฆาบีบแขนโฉมไฉไล “นี่ถึงขนาดขโมยเครื่องเพชรเครื่องทองของคุณย่าเลยเหรอ”
โฉมไฉไล ละล่ำละลัก “โฉมเปล่านะ นี่มันของโฉม”
เมฆามองอย่างจับผิด “ถ้ามันเป็นของเธอ งั้นก็ไปโรงพัก ฉันจะให้คุณแม่ไปที่นั่น ให้ท่านดูสิว่าของพวกนี้เป็นของใคร”
เมฆารวบเครื่องทองในมือขึ้นมา ส่วนอีกมือจะลากโฉมไฉไลไปแต่โฉมไฉไลยื้อสุดตัวไม่ยอม
“คุณกล้าเหรอ? ถ้าฉันไปโรงพักแสนสมุทรจะต้องอับอาย จะแลกใช่ไหม”
เมฆายิ้มเยาะ “สำหรับฉันชื่อเสียงไม่สำคัญเท่ากับการกำจัดโจรในบ้าน”
เมฆาลากโฉมไฉไลสุดแรง โฉมไฉไลทั้งสะบัดทั้งตี ดึง ยื้อ ไม่ยอมไป เมฆาลากไปจนจะถึงบันได
โฉมไฉไลวี้ด “ปล่อยโฉมนะ ปล่อย”
“คนอย่างเธอต้องเจอคุกถึงจะเข็ด!”
โฉมไฉไลหวาดกลัวมากตัดสินใจ ทิ้งไพ่ใบสุดท้าย
“แล้วถ้าโฉมบอกว่าวงเดือนอยู่ที่ไหน คุณจะไม่เอาเรื่องโฉมหรือเปล่า?”
เมฆาชะงักมองอย่างชั่งใจ ว่าที่พูดเหมือนรู้ รู้แน่จริงเหรอ
โฉมไฉไลคิดว่าได้ผลเห็นทางรอดแล้ว เริ่มเจรจา “ตอนนี้นังเดือนอยู่ทางเหนือกับ
ภูผา”
เมฆาอึ้ง รู้สึกว่าโฉมไฉไลรู้จริง “บอกมาว่าวงเดือนอยู่ที่ไหน”
โฉมไฉไลได้เริ่มรู้สึกว่ามีข้อต่อรองในมือ
“ฉันจะบอกต่อเมื่อคุณสัญญาว่าจะไม่พาฉันไปหาตำรวจ พร้อมกับเงินสดอีกสองแสน”
เมฆาอึ้ง “มันไม่มากไปหน่อยเหรอ”
“เงินแค่นี้แลกกับชีวิตอรุณมันคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม”
“แล้วฉันจะรู้ได้ยังไงว่าเธอพูดความจริง”
“จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่คุณ ว่าแต่คุณมีทางเลือกด้วยเหรอ”
เมฆามองอย่างลังเล ขณะที่โฉมไฉไลผุดยิ้มร้ายออกมา มั่นใจว่าไม้นี้ต้องได้ผลแน่ๆ
เช้านั้น หนูนายังคงขังตัวอยู่ในห้อง ยินเสียงเคาะประตู ทว่าหนูนานอนนิ่ง ยกเอาหมอนปิดทั้งสองหู
“ดอย! ถ้าแกไม่หยุดเคาะเจ็บตัวแน่”
เสียงประตูถูกเปิด หนูนาหันไปมองเห็นเป็นภูผา สวมใส่เสื้อผ้าสีดำ
“คุณเข้ามาทำไม?”
ภูผาไม่ตอบเข้ามากระชากหนูนาลากออกไป
“จะพาฉันไปไหน คุณผา! คุณผา!”
หนูนาขืนแข็ง ยั้งตัวไม่ยอมแต่ก็โดนลากไปจนได้
ภูผาลากหนูนาเข้ามาที่หน้าลานเห็นกลุ่มนายสว่าง วงเดือน ดอย คนงานยืนจับกลุ่มกันอยู่
“ปล่อยนะคุณภูผา!”
ภูผาดึงให้หนูนาแหวกผ่านกลางวงที่ยืนกันอยู่เข้าไปด้านใน
หนูนาหันกลับมาชะงักเห็นว่าที่กลางลานนั้น มีไม้ถูกจัดวางสำหรับการเผาศพ ด้านบนเป็นร่างของเหนือฟ้าที่ถูกผ้าคลุมปิดไว้มิดชิด
หนูนาอึ้งไปและหันกลับมามองภูผา เป็นเชิงถาม
ภูผารับดอกไม้จากวงเดือนแล้วส่งให้หนูนา
“ทุกคนลาเหนือฟ้าแล้ว เหลือแต่เธอคนเดียว เหนือฟ้าคงอยากจะลาคนที่เขารักที่สุด”
หนูนาอึ้ง..สงบลงรับดอกไม้จากมือภูผา หนูนาค่อยเดินเข้าไปอย่างช้า ๆ
ระหว่างที่หนูนาเดินเข้าไป นึกถึงเหนือฟ้าที่ยิ้มและอ่อนโยนกับหนูนาเสมอ ภาพความทรงจำที่สวยงามหลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย
หนูนาวางดอกไม้ตรงที่ศพเหนือฟ้า
หนูนาบอกเสียงเศร้า “ขอโทษนะเหนือฟ้า” น้ำเสียงสั่นพร่า “ขอโทษ..ที่ชั้น..ไม่รักนาย” จากนั้นก็ก้มหน้าร้องไห้ “ชั้นรักนายไม่ได้จริง ๆ” ภูผาเหลือบมองหนูนาแวบหนึ่ง รู้ว่าเพราะตัวเอง ขณะที่หนูนาปล่อยโฮออกมา “ชั้นขอโทษ”
หนูนาร้องไห้ท่ามกลางความสลดใจของทุกคน ภูผาค่อยดึงหนูนาออกมา
ภูผาหันไปสั่ง “นายสว่าง”
สว่างรู้ทันที จัดการจุดไฟเผาร่างของเหนือฟ้า
หนูนาแสนจะสะเทือนใจ ร้องไห้หนัก ประกอบกับร่างกายอ่อนเพลียอยู่จึงเป็นลมล้มพับไป วงเดือนตกใจจะเข้าไปประคอง แต่ภูผารีบเข้าไปอุ้มหนูนาแล้วรีบพากลับออกไป
วงเดือนมองตามรู้สึกเจ็บแปลบกับการกระทำของภูผา
เวลานั้นโฉมไฉไลยืนรออยู่ในภัตตาคาร สักครู่หนึ่งเสี่ยเส็งก็เดินเข้ามาในร้าน โดยมีลูกน้องเสี่ย พาอนงค์สภาพดูทรุดโทรมมากเดินตามเข้ามา
“โฉม!”
โฉมไฉไลตวาด “ปล่อยแม่ฉันเดี๋ยวนี้!”
เสี่ยเส็งพูดห้วนสั้น “เงิน”
โฉมไฉไลจะส่งถุงเงินให้ แต่ตัดสินใจดึงรั้งไว้ “ต้องแลกกัน”
เสี่ยเส็งยิ้ม “เขี้ยวดีนะ” หันำสั่งลูกน้อง “ปล่อย!”
ลูกน้องปล่อยอนงค์มา อนงค์รีบเดินมาหาลูกสาว โฉมไฉไลส่งเงินให้เสี่ยเส็งสั่งลูกน้อง
“นับ”
ลูกน้องนับเงินไปมา โฉมไฉไลมองหน้าเสี่ยเส็งอย่างเกลียดชัง
“ครบครับ” ลูกน้องบอก
“ดี! อย่างนี้ค่อยเป็นลูกค้าชั้นดีหน่อย ถ้าคุณอนงค์อยากจะแก้มือเชิญที่บ่อนได้ทุกเวลานะครับ”
โฉมไฉไลไล่ตะเพิด “ออกไปจากร้านฉัน ไป๊!”
เสี่ยเส็งยิ้มเยาะแล้วเดินออกไป ลูกน้องเดินตาม
โฉมไฉไลมองตามอย่างแค้นเคือง ทันทีที่เหลือกันแค่แม่กับลูก อนงค์รีบถามขึ้นทันควัน
“ยัยโฉม แกไปเอาเงินมาจากไหน แล้วได้มาเท่าไหร่ ยังมีเหลืออีกไหม”
โฉมไฉไลเพ่งมอง “หม่าม้าจะทำไม”
อนงค์หลุดปาก “ก็จะเอาไปแก้มือ...”
โฉมไฉไลโกรธจี๊ด “หม่าม้า ยังจะเล่นไอ้ไพ่นรกนี่อีกเหรอ รู้ไหมว่าโฉมเกือบต้องติดคุกเพราะหม่าม้า”
อนงค์งวยงง “ทำไม เกิดอะไรขึ้น?”
“หม่าม้าไม่ต้องสนใจหรอก แต่จำไว้เลยนะว่า ถ้าหม่าม้ายังไม่เลิกเล่นการพนัน คราวหน้าเราคงต้องตายทั้งคู่จริงๆ”
“แหม..ก็แค่เล่นสนุกๆ”
โฉมไฉไลฉุน “หม่าม้า!”
อนงค์กระฟัดกระเฟียดไม่ได้สำนึกสักกะผีก
ชิงนาง ตอนที่ 9 (ต่อ)
เวลานั้นอรุณกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง ศรีดาราพยายามจะป้อนข้าว อนุตยืนมองอยู่ข้างเตียงอย่างไม่สบายใจนัก
“อรุณ...ทานข้าวนะลูกนะ”
อรุณรับรู้แต่ไม่ยอมมองศรีดารา และไม่ยอมกิน เอาแต่คร่ำครวญถึงวงเดือน
“แม่ครับ เดือนอยู่ที่ไหน ทำไมไม่กลับมาหาผม ผมคิดถึงเดือน”
“อรุณ...กินข้าวเถอะนะลูก”
อรุณมองออกไปทางหน้าต่าง “แม่..เดือนจะกลับมาไหมครับ”
ศรีดาราใจจะขาด มองอรุณน้ำตาร่วง อนุตโอบศรีดาราอย่างปลอบโยน
“ใจเย็นๆ นะคุณ”
“ฉันเห็นลูกเป็นแบบนี้ ฉันกลัว...กลัวลูกจะ...” ศรีดาราพูดไม่ออกโผเข้ากอดอนุตแน่น
ระหว่างนั้นเมฆาเปิดประตูเข้ามา อนุตกับศรีดาราหันมอง เมฆากลับยิ้มแล้วเลื่อนโต๊ะวางข้าวผู้ป่วยไปตรงหน้าของอรุณ
อรุณยังนิ่งไม่สนใจ
“ถ้าแกยอมกินข้าวมื้อนี้ให้หมด อาทิตย์หน้าพี่จะพาเดือนกลับมาหาแก”
ทุกคนมองเมฆาเป็นตาเดียวกัน อรุณมองอย่างสนใจแต่ยังระแวง
“พี่หลอกผมทำไม คิดว่าผมเป็นเด็กใช่ไหม?”
เมฆาไม่ตอบหันไปหาอนุต “ผมจะไม่อยู่สักอาทิตย์นะครับพ่อ ผมจะไปพาเดือนกลับมาที่แสนสมุทร” เหลียวหันมาทางอรุณ “ว่ายังไงอรุณ แกอยากให้เดือนกลับมาไหม”
อรุณมองเมฆาเห็นสายตาจริงจัง
เมฆามองน้องชาย พูดอย่างหนักแน่น “พี่ไม่เคยโกหกแกใช่ไหม”
อรุณมองอย่างชั่งใจแล้วตัดสินใจยอมจับช้อนกินข้าวตามที่เมฆาสั่ง
ศรีดารากับอนุตมองอย่างโล่งใจ
“เมฆา..แล้วลูกจะไปที่ไหน?”
เมฆาไม่ได้ตอบคำถามผู้เป็นบิดา
เย็นนั้น หนูนานอนหลับอยู่บนเตียง ภูผานั่งดูอยู่ข้างๆ สักพักหนึ่งหนูนาก็ปรือตา รู้สึกตัวตื่น
ภูผาพูดเสียงอ่อนโยนกับหนูนาด้วยความสงสาร “เป็นยังไงบ้าง”
หนูนาทำท่าจะลุก “ไม่เป็นไรแล้ว” แต่กลับมีอาการหน้ามืด
ภูผาเข้ามาประคอง “เธอต้องพักก่อนนะ เดี๋ยวฉันจะให้ดอยเอาข้าวมาให้”
หนูนาดื้อ “แต่ฉันไม่...”
“ถ้าคราวนี้เธอไม่กิน ฉันจะจับเธอกรอกปากแน่”
ภูผาฉุนนิดๆ จะลุกออกไป แต่หนูนาคว้ามือภูผาไว้ ภูผาชะงัก
“อยู่กับฉันก่อนได้ไหม”
ภูผามองหนูนาที่ตอนนี้สภาพดูเหมือนเด็กหลงทางมาก จึงพยักหน้าให้ “ได้สิ…”
ภูผานั่งลงข้างๆ มองหน้าหนูนาแทนคำถาม หนูนาถอนใจ หลบตา สับสนในใจ
ที่สุดภูผามองอย่างเข้าใจ “ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น”
หนูนาค่อยๆ เหลือบมามองภูผา น้ำตาคลอ
“ชั้นอยู่ที่นี่ทั้งคน”
หนูนาน้ำตาไหลจับมือภูผาแนบแก้มอย่างอบอุ่นใจ ภูผามองอย่างสงสารและเห็นใจ
“นอนพักซะนะ”
ภูผาจัดแจงให้หนูนาเอนตัวลงนอน หนูนาทำตามอย่างว่าง่าย
วงเดือนเดินออกมาที่ระเบียงหน้าเรือน รอภูผาอย่างกระวนกระวาย เพราะหายไปนานยังไม่กลับขึ้นเรือนสักที ยิ่งคิดเรื่องที่เห็นเมื่อครู่ ก็ยิ่งหวั่นใจ
เวลานั้น หนูนานอนหลับอยู่ในห้องพัก แต่มีอาการกระสับกระส่าย ละเมอออกมา
“อย่านะ อย่า...ช่วยด้วย”
ภูผามองอาการของหนูนาที่ละเมอกรีดร้องอย่างหวาดกลัว
“หนูนา…”
“อย่าทำฉัน อย่า”
ภาพเหตุการณ์ตอนที่วันชัยข่มขืนผุดขึ้นมาหลอกหลอน หนูนาลืมตาพรึ่บ! เด้งตัวขึ้นมา
“ช่วยด้วย”
หนูนากวาดตามองไปรอบๆ เห็นภูผาจึงโผเข้ากอดภูผาแน่น
“คุณภูผา..ช่วยฉันด้วย!” ร้องไห้เหมือนคนเคว้งคว้าง ต้องการหาหลักยึดเหนี่ยว “ฉันกลัว”
ภูผาสงสารจึงกอดอย่างปลอบโยน รู้สึกผิดมาก “ไม่เป็นไรนะ ฉันอยู่นี่แล้ว”
ที่หน้าห้องเวลานั้น วงเดือนยืนมองทั้งคู่กอดกันอย่างหวั่นใจ
วงเดือนดึงตัวเองกลับมา ทรุดตัวลงนั่งที่ระเบียง พยายามข่มใจไม่ให้คิดฟุ้งซ่าน
“มันไม่มีอะไร..ไม่มีอะไร” แต่ข่มใจไม่ลง
ภูผาขึ้นเรือนมาเห็นวงเดือนนั่งเครียด
“เดือน เป็นอะไรว่าไม่สบายรึเปล่า?”
วงเดือนโผเข้ากอดภูผาอย่างลืมตัว
ภูผาแปลกใจในท่าที “เดือน...” ดันตัววงเดือนออก แล้วใช้มือลูบที่ใบหน้าบางเบา อย่างห่วงใย “มีอะไรรึเปล่า?”
“มีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย มากจนเดือนกลัว กลัวจะเสียคุณไป”
ภูผากอดปลอบ “ไม่ต้องกังวลนะเดือน เธอก็รู้ว่าคนที่ฉันรักที่สุด...คือเธอ..คนเดียวเท่านั้น”
ภูผาประทับจูบหน้าผากกอดวงเดือนเพื่อให้ความมั่นใจ วงเดือนกอดยิ้มบางๆ อย่างคลายกังวล
เวลาเดียวกัน อรุณอยู่ในห้องพักฟื้นของโรงพยาบาล นั่งมองเหม่อออกไปนอกหน้าต่างไม่ยอมหลับยอมนอน ศรีดาราเดินเข้ามาหา
“ดึกมากแล้ว นอนเถอะลูก”
“ผมไม่อยากนอน ผมกลัวว่าเดือนกลับมาตอนผมหลับน่ะครับแม่”
ศรีดารายิ้มปลอบ “ถ้าเดือนมาแม่จะปลุกลูกเอง ดีไหม”
อรุณส่ายหน้ากอดอ้อนศรีดารา “แม่..ผมอยากกลับบ้าน”
“แต่ลูกยังไม่หายนะ”
“ผมอยากกลับไปรอเดือนที่บ้าน นะครับแม่ ให้ผมกลับบ้านนะ”
“จ้ะ” ศรีดาราใจอ่อน กอดอรุณ แต่สีหน้ากลัดกลุ้มมาก
สว่างขับรถกระบะเข้ามาส่งชาที่ตลาดในเมืองแต่เช้า ด้านหลังบรรทุกกระสอบใบชามาหลายกระสอบ สว่างจอดรถ ก้าวลงมา คนงานและดอยตาม สว่างสั่ง
“ขนใบชาตามฉันมา”
เวลาต่อมา ที่อีกด้านของตลาด รถสองแถวที่ขึ้นดอยมา ขับเข้ามาจอดไม่ไกลกันนัก
พอประตูที่นั่งข้างคนขับของรถสองแถวเปิดออก เห็นเมฆาก้าวลงมาจากรถ เมฆาเดินสวนกับสว่างจะตรงไปที่ร้านขายของอีกร้านหนึ่ง
สว่างชะงักที่เห็นเมฆา เหลียวมองตามเมฆาอย่างสนใจ
ดอยเห็นสว่างหยุดเดินเฉยๆ ก็เดินกลับมาหา มองตามที่สว่างมอง เห็นเมฆาเดินไปลิบๆ แล้ว
“รู้จักเขาเหรอจ๊ะลุง”
“ไม่รู้...” มองอย่างพินิจพิเคราะห์ “แต่ท่าทางดูคุ้นตาเหมือนใครบางคน”
“กลับไปนึกที่ไร่เถอะลุง ดอยหิวแล้ว”
“ส่งชาครบหรือยัง”
“เรียบร้อยแล้วจ๊ะ”
ดอยรีบดึงมือสว่างให้ไปขึ้นรถ สว่างเดินไปที่รถ ในจังหวะที่เมฆาเดินเข้าไปหาแม่ค้า
“น้าครับ...รู้ไหมว่าไร่วงเดือนอยู่ที่ไหน?”
ในขณะที่ภูผาเดินตรวจไร่ชา สว่างเดินเข้ามาหา
“ใบชาที่ส่งขายในเมือง ผมนำไปส่งเรียบร้อยแล้วครับ”
“ดี...แล้วหนูนาเป็นยังไงบ้าง”
“ผมให้ดอยคอยดูแลน่ะครับ ไอ้วันชัยมันเลวจริงๆ ตบตีแม้กระทั่งผู้หญิง”
ภูผาอึ้งไป ตระหนักใจว่า...มันไม่ใช่แค่นั้น
สว่างเห็นภูผาเงียบไปนายจึงเอ่ยขึ้น “นายครับ...”
ภูผายังอึ้งอยู่
“นายครับ!! นายเป็นไรรึเปล่าครับ?”
“ไม่มีอะไร..ไปทำงานเถอะ” ภูผาตัดบท
“ครับ...” สว่างเพ่งมองภูผาอย่างพิจารณา ตะโกน “ผมรู้แล้ว”
ภูผาชะงักนึกประหวั่นว่าสว่างจะรู้เรื่องที่หนูนาถูกวันชัยข่มขืน “รู้อะไร”
“เหมือนคุณผานี่เอง”
ภูผาถอนหายใจรู้สึกโล่งอก ที่สว่างไม่ได้กำลังพูดถึงเรื่องหนูนา ก่อนถามขึ้น
“เหมือนผม?...ใครเหมือนผม?”
“ผมเจอผู้ชายคนนึงที่ตลาด ลักษณะท่าทางคล้ายๆ คุณผาแต่ว่าผิวขาวกว่า ตัวบางกว่าครับ”
ภูผาฉุกคิดกำลังจะถาม แต่ยินเสียงคุ้นหูแทรกขึ้นเสียก่อน “พี่ผา!”
ภูผาหันมองตามเสียง เห็นเมฆาก้าวเข้ามา
ภูผาตกใจ “เมฆา”
สว่างภูมิใจนำเสนอ “คนนี้ล่ะครับที่ผมเห็นที่ตลาด”
ภูผายังคงอึ้งอยู่ รำพึงเบาๆ “เมฆา…”
สว่างยังแจ๋ต่อ “เมฆา...ไหนครับ?”
ภูผาบอกท่าทีนิ่งๆ “น้องชายฉันเอง”
สว่างรีบยกมือไหว้ “สวัสดีครับ คุณเมฆาน้องชายเจ้านาย”
เมฆารับไหว้พอเป็นพิธี ก่อนหันไปพูดกับภูผา “เรามีเรื่องต้องคุยกัน” แววตาเมฆาขณะพูดกร้าวและดุดัน “เรื่องเดือน”
สว่างจดจ้องเมฆากับภูผาที่มองสบสายตากันอยู่ เห็นชัดว่า...ลึกลงไปในสายตาทั้งคู่ ดูไม่ได้ยินดีอย่างที่พี่น้องเจอหน้ากันควรจะเป็น
ครู่ต่อมา ภูผาเดินนำเมฆาเข้ามาคุยกันที่อีกมุมหนึ่งในไร่ชา
“แกมาที่นี่ได้ยังไง”
“มันไม่สำคัญเท่าพี่ทำร้ายน้องตัวเองได้ยังไง”
ภูผารู้ดีว่าเป็นเพราะวงเดือน ก็ยิ่งห่วงอาการอรุณ “อรุณเป็นยังไงบ้าง”
“อยู่อย่างคนไร้หัวใจ อีกไม่นานก็คงจะหมดลมหายใจ พี่ก็รู้ว่าอรุณคือหัวใจของบ้าน แต่หัวใจของอรุณคือวงเดือน พี่ชิงดวงใจของอรุณมาก็เหมือนฆ่าอรุณทั้งเป็น”
ภูผาเจ็บจี๊ดในหัวใจ
“ผมจะพาวงเดือนกลับแสนสมุทร” เมฆาเสียงแข็ง
ภูผากร้าว “ไม่ได้! เดือนเป็นหัวใจของฉัน ฉันจะไม่ยอมให้หัวใจจากฉันไปอีก”
เมฆามองภูผาเห็นชัดว่าภูผาไม่ยอมแน่ เมฆาจึงเปลี่ยนท่าทีพยายามเกลี้ยกล่อม
“พี่ควรจะคิดถึงใจของแม่บ้าง แม่ทุกข์ทรมานเพราะอรุณทำร้ายตัวเอง แม่ต้องเสียใจแค่ไหนจากการกระทำของพี่”
ได้ผล ภูผาอึ้ง นิ่งงันไป
“ผมจะพักอยู่ในเมือง พี่คิดดูให้ดี แล้วผมจะมาทวงคำตอบ”
เมฆาเดินหนีไป ทิ้งให้ภูผาต้องคิดหนัก
“แม่...” ภูผาคราง
หนูนายืนมองออกไปนอกหน้าต่าง นึกถึงภาพในวันที่ภูผากอดปลอบโยนตัวเอง พอคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาหนูนายิ้มนิด ๆ อย่างมีความสุข
ระหว่างนั้น วงเดือนถือถาดอาหารเข้ามาให้หนูนา
“หนูนา อาหารกลางวันจ้ะ”
หนูนานิ่งไม่ตอบ วงเดือนวางถาดอาหารแล้วเดินเข้ามาหาหนูนา แต่เห็นยังเงียบ จึงเอามือแตะตัวแล้วเรียกอีก
“หนูนาจ๊ะ”
หนูนาหันมาปัดมือวงเดือนอย่างแรง ตวาดใส่
“อย่ามายุ่งกับฉัน! ออกไป!”
วงเดือนสะดุ้ง แต่พยายามจะญาติดีด้วย “หนูนาอยากกินอะไรไหม ฉันจะทำให้ หรือว่า...”
หนูนาไม่ใส่ใจฟัง พูดสวนคำออกมา
“อย่าคิดนะว่าฉันจะยอมแพ้ผู้หญิงอย่างเธอ หนีจากผู้ชายคนนึง..มาหาผู้ชายอีกคนนึง เคยละอายใจบ้างไหม?”
วงเดือนสะอึก อธิบายออกไป “ฉันหนีเพราะว่าฉันถูกบังคับให้แต่งงาน แต่ฉันกับคุณภูผารักกัน”
หนูนาไม่สน “แต่ฉันรักคุณภูผา! และฉัน...จะไม่ยอมให้เธอแย่งเขาไปจากฉัน จำไว้”
วงเดือนอึ้งกับน้ำเสียงและท่าทีของหนูนา
“ออกไปจากห้องฉัน ไป”
วงเดือนยังนิ่ง หนูนาดันตัววงเดือนออกไปจากห้อง แล้วปิดประตูใส่หน้าสุดแรง เสียงดังปัง!
ที่บ้านแสนสมุทร ในเวลาเดียวกัน ศรีดารากับชอุ่มช่วยกันประคองอรุณเข้ามาในบ้าน แล้วพาไปนั่งที่โซฟารับแขก
“ชอุ่มไปทำโจ๊กมาให้คุณอรุณไป” ศรีดาราหันมาหาอรุณ “ทานโจ๊กสักหน่อยนะลูก จะได้มีแรง”
อรุณไม่ตอบ แต่นิ่งเหมือนเป็นการยอมรับ
ภูผาไม่สบายใจ จึงตัดสินใจเข้ามาตลาดในเมือง และกำลังเดินเข้ามาในร้านบริการโทรศัพท์ทางไกล ส่งกระดาษเบอร์โทรศัพท์ให้แม่ค้า พลางบอก
“โทรทางไกล...”
แม่ค้ารับกระดาษไปกดเบอร์ พอติดแล้วจึงส่งสายให้ ภูผารับมารอสาย
เสียงโทรศัพท์ในบ้านดัง ศรีดาราหันมองแล้วลุกขึ้นไปรับสายเอง
“บ้านแสนสมุทรค่ะ”
ภูผาจำเสียงศรีดาราได้ นิ่งอึ้ง
“แม่…”
ศรีดาราจำเสียงลูกชายได้เช่นกัน “ภูผา! ลูกอยู่ที่ไหน ทำไมไม่ติดต่อมาบ้าง แม่เป็นห่วงลูกมากนะ”
“ผมอยู่เหนือครับแม่”
ศรีดาราสะดุดหู “เมฆาก็เพิ่งขึ้นเหนือไปนะลูก บอกว่าจะไปหาเดือนที่โน่น เดือนอยู่กับลูกใช่ไหม”
“ครับ...”
อรุณได้ยินชื่อวงเดือนก็มีเรี่ยวแรงลุกขึ้นมาทันที
“เดือนเหรอครับแม่ ขอผมคุยกับเดือนนะครับ”
ศรีดารารีบบอก “ไม่ใช่นะลูก แม่คุยกับ...”
อรุณไม่ฟังพยายามจะแย่งโทรศัพท์มา “ผมขอพูดกับเดือนนะครับแม่” แย่งมาจนได้ “เดือน เดือนได้ยินฉันไหม เดือน กลับมาหาฉันนะเดือน!”
ศรีดารากลัวภูผาจะวางสายพยายามจะดึงคืน “อรุณ เอาโทรศัพท์มาให้แม่”
อรุณเสียงดังใส่แม่ “ไม่ ! เดือนพูดกับฉันสิเดือน ฉันรักเธอนะเดือน เดือน! ได้ยิน
ไหม เดือน!”
“อรุณ” ศรีดาราร้องไห้ “อย่าทำแบบนี้ อรุณ”
ศรีดาราเครียดจัดหน้ามืดจะเป็นลม ชอุ่มที่ยกโจ๊กเข้ามาตกใจ
“ว๊าย..คุณผู้หญิง”
ชอุ่มรีบวางโจ๊ก เข้าไปประคองศรีดารา
อรุณเพิ่งได้สติ “แม่! แม่ครับ”
“คุณท่านเป็นลมไปแล้วค่ะคุณอรุณ”
“ไปตามคนมาช่วยสิ ไป”
เสียงจากเหตุการณ์ทั้งหมดดังเข้าไปในโทรศัพท์ ภูผายิ่งร้อนใจ
“อรุณ แม่เป็นยังไงบ้าง อรุณ ฮัลโหล อรุณ”
ภูผาเครียดจัด
ชิงนาง ตอนที่ 9 (ต่อ)
เช้าวันต่อมา ขณะที่วงเดือนกำลังจัดอาหารเช้าขึ้นโต๊ะอยู่นั้น ภูผาเอาแต่นั่งมองมาที่วงเดือนอย่างคิดหนัก วงเดือนหันมาเห็นภูผามองอยู่ก็ยิ้มให้
“ทานได้แล้วนะคะ เดี๋ยวเดือนไปชงกาแฟให้”
วงเดือนจะเดินไป ภูผาคว้ามือไว้เหมือนกลัววงเดือนจะจากไป วงเดือนมองด้วยความแปลกใจ
“มีอะไรเหรอเปล่าคะ”
“ฉัน...ฉันสงสัยนะว่าเธอเคยกลัวไหม..ถ้าเกิดเธอต้องกลับไปที่แสนสมุทร”
วงเดือนนิ่งคิดแล้วยิ้มบางๆ “เดือนยอมรับว่ากลัวค่ะ กลัวคุณลุงกับคุณป้าเสียใจ เพราะเดือนทิ้งงานแต่งงานมา ทำให้แสนสมุทรต้องอับอาย”
“แล้วพี่พฤกษ์ กับเมฆาล่ะเธอไม่กลัวเหรอ” ภูผาถาม
“คุณพฤกษ์รู้ว่าหัวใจของเดือนอยู่กับคุณ ส่วนคุณเมฆาก็ไม่ได้ขัดขวางแล้วยังช่วยให้เดือนเดินทางมาหาคุณที่นี่”
ภูผาแปลกใจมาก “เมฆาช่วยให้เธอมาที่นี่?”
วงเดือนยิ้ม “ค่ะ คุณเมฆาเป็นคนพาเดือนมาส่งที่สถานีรถไฟ”
ภูผาอึ้งไปด้วยความแปลกใจ
ระหว่างนั้นดอยก็วิ่งหน้าตั้งออกมาจากทางห้องพักของหนูนา
“นายจ๋า ลูกพี่ป่วย เรียกหานายใหญ่เลยจ้ะ”
ภูผาลุกแล้วรีบออกไปทันที วงเดือนมองตามอย่างไม่สบายใจ
หนูนากึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงอย่างรอคอย ภูผาเข้ามาชะงักที่เห็นหนูนานั่งนิ่ง
“ดอยบอกว่าเธอป่วย”
หนูนาไม่ตอบอะไรได้แต่มองหน้าภูผานิ่งๆ ภูผามองเห็นชามข้าวต้มที่วางอยู่ข้างๆ เตียง โดยที่หนูนาไม่ได้แตะต้อง
“ทำไมไม่กินข้าว”
หนูนาน้ำตารื้นขึ้นมา
ภูผามองหนูนานิ่งๆ ไม่พูดอะไร สักครู่หนึ่งภูผาจึงหยิบชามข้าวต้มมาถือตรงหน้า
“กินหน่อยเถอะ...ชีวิตเธอยังต้องอยู่ต่อไปนะหนูนา”
“แต่ฉันไม่อยากอยู่คนเดียว...”
ภูผามองหนูนาด้วยความสงสาร ตัดสินใจจับช้อนตักข้าวต้มป้อน หนูนามองน้ำตาคลอ เจ็บปวดกับแผลในใจตัวเองแต่ขณะเดียวกันก็อบอุ่นกับการกระทำของภูผา หนูนายอมอ้าปากรับการป้อนข้าวจากภูผา
ดอยแอบดูยิ้มอย่างพอใจ
ดอยถือถาดชามข้าวที่หนูนาทานหมดแล้วมาวางลง เตรียมจะล้าง วงเดือนเดินเข้ามา เห็นว่าในถาดชามข้าวของหนูนาหมดไม่มีเหลือ จึงถามขึ้น
“หนูนายอมทานแล้วเหรอจ๊ะดอย”
“ก็นายไปนั่งป้อนให้ก็ต้องหมดอยู่แล้วล่ะจ๊ะ” ดอยบอกพาซื่อ
วงเดือนชะงัก
ดอยชอบใจใหญ่ พูดเรื่อยเจื้อย “ดอยบังคับลูกพี่แทบตาย ยังไงก็ไม่ยอมกินข้าวกินยา เจอนายนั่งเฝ้า ป้อนข้าวป้อนยา ลูกพี่ทานเกลี้ยงเลย”
ระหว่างนั้นเสียงสว่างแหวเข้ามา ดุดันเอาเรื่อง
“ไอ้ดอย”
ดอยสะดุ้งตกใจที่โดนเรียกเสียงดุ “จ๋า..ลุงหว่างขา”
“งานการมีก็ไปทำสิ”
ดอยงงแต่ก็รีบไป “จ้ะ”
สว่างหันมาเห็นสีหน้าวงเดือนดูเครียดๆ ไป
“หนูนามันไม่สบาย นายภูผาก็คงสงสารน่ะครับ”
“จ้ะ...”
สีหน้าวงเดือนเครียดหนักกว่าเดิม
เย็นวันนั้น โฉมไฉไลเดินนวยนาดเข้ามาในร้านตัดเสื้อ ช่างรีบเข้ามาต้อนรับ
“สวัสดีค่ะคุณโฉม ตั้งแต่แต่งงานไป ไม่ค่อยแวะมาที่ร้านเลยนะคะ”
“ฉันยุ่งๆ น่ะจ๊ะ มีแบบเสื้อใหม่ๆ บ้างไหม ฉันอยากตัดชุดสัก 5-6 ชุดน่ะ”
ช่างกระตือรือร้น “สักครู่นะคะ” เดินไปหยิบนิตยสารจะยกมาให้โฉมไฉไลดู
สาวิตรีเดินเข้ามา แต่งเครื่องเพชร ใส่ชุดแบบสวยจัดเต็ม แพรวพราวดูดีและเยอะชิ้นกว่าโฉมไฉไล
ช่างรีบเข้าไปทัก “คุณสาวิตรี สวัสดีค่ะ”
“ฉันมารับเสื้อน่ะจ๊ะ” สาวิตรีบอก
“สักครู่นะคะ”
โฉมไฉไลพยายามหันไปทางอื่นไม่สบตากับสาวิตรี แต่สาวิตรีเห็นก็ตรงเข้ามาหาทันที
“สวัสดีจ้ะ เพื่อนโฉม...ตั้งแต่สั่งซื้อรถแล้วไม่มีปัญญาซื้อคราวนั้น ก็ไม่ได้เจอกัน..นานเหมือนกันนะ” ยิ้มเฉือดเชือนมาก
โฉมไฉไลหน้าชา เห็นสายตาของเจ้าของร้านกับคนในร้านมองมาที่ตน พลางหันไปคุยเม้าท์กันใหญ่ โฉมไฉไลอยากจะกรี๊ดแต่ต้องพยายามรักษาอาการ
“ก็รถเธอมีปัญหานี่จ๊ะ ถ้าซื้อไปฉันก็เสียดายเงิน คราวหน้าก็หารถดีๆ มาขายนะจ๊ะ ย้อมแมวขายกันมันไม่ดีหรอก”
สาวิตรีปรี๊ดสุดทน “ไม่มีปัญญาก็อย่าโทษโน่นโทษนี่หน่อยเล๊ย ฉันว่าเธอมีแต่เปลือก แต่ไม่มีเงินมากกว่า” มองที่แหวนเพชรของโฉมไฉไลอย่างดูแคลน “ดูซิ..เป็นถึงสะใภ้แสนสมุทรแต่ใส่แหวนเพชรเม็ดเล็กกระจี๊ดริด ถ้าเล็กขนาดนี้ก็อย่าใส่เลยนะ เสียหน้าตระกูลสามีหมดเพราะว่ามีสะใภ้อนาถาแบบนี้”
ทุกคนมองโฉมไฉไลยิ้มๆ อย่างดูถูก ขณะที่สาวิตรีเดินไปรับถุงเสื้อและเดินออกไปจากอย่างสะใจ
โฉมไฉไลมองตามอย่างเข่นเขี้ยว ช่างตัดเสื้อเอาแบบเสื้อมาให้ โฉมไฉไลปัดทิ้งด้วยความคับแค้นใจดวงตาวาวโรจน์
ขณะที่สาวิตรีถือถุงเสื้อเดินออกมาจากตลาด ทันใดนั้นก็มีแม่ค้า 2 คน เข้ามาจากด้านหลัง แล้วจิกหัวสาวิตรีกระชากเข้าไปในตรอกข้างๆ
“โอ้ย! พวกแกจะทำอะไร”
ร่างสาวิตรีโดนกระชากลากถูเข้ามาในซอย
“ปากดีนักเหรอ”
แม่ค้าคนแรกตบผัวะ! สาวิตรีเซไป เจอแม่ค้าอีกคนถีบ จนหงายเงิบลงไปกองกับพื้น
“พวกแกทำฉันทำไม”
แม่ค้าไม่ตอบ สาวิตรีลุกจะหนี แต่แม่ค้าคนแรก ดึงผมแล้วเหวี่ยงสาวิตรีลงไปกองกับพื้นอีกรอบ โดยมีแม่ค้าอีกคน ขึ้นคร่อมจิกหัวตบๆ ๆ จนสาวิตรีเลือดกบปาก
“อ๊ายย”
สาวิตรีโดนรุมตบหนักหน่วงจนหมดแรงสู้ แทบจะหมดสติ พอแม่ค้าทั้ง 2 คน เห็นว่าสาวิตรีนิ่งไปแล้วก็ลุกขึ้น
สาวิตรีที่ใกล้จะหมดสติมองไปเห็นโฉมไฉไลก้าวเข้ามา
โฉมไฉไลส่งเงินให้แม่ค้าทั้งสองคน จากนั้นแม่ค้าสองคนก็เดินออกไป โฉมไฉไลก้าวเข้าไปยืนมองสภาพสาวิตรีแล้วยิ้มอย่างสะใจ โดยที่ไม่รู้ว่าสาวิตรียังมีสติอยู่
“หักหน้าฉันมันก็ต้องโดนแบบนี้ นังสวะ”
โฉมไฉไลเดินออกไป สาวิตรีลืมตาขึ้นมาด้วยอาการสะบักสะบอม แค้นจนแทบคลั่ง
“นังโฉม” สาวิตรีคำรามในลำคอ
ที่ภัตตาคารจีน อนงค์เดินไปมาอย่างหงุดหงิดงุ่นง่าน ปากก็บ่นอุบ
“ทำไมป่านนี้ยังไม่มาอีกนะ”
สักครู่หนึ่งโฉมไฉไลเดินยิ้มแย้มท่าทีอารมณ์ดี ฮัมเพลงในลำคอ เข้ามาในร้าน
“ยัยโฉม! แม่ขอ...”
โฉมไฉไลยกมือห้าม และหยิบเงินให้หลายร้อย “พอไหม?”
อนงค์ตาโตรีบคว้าเงินมานับๆ มองโฉมไฉไลที่ดูอารมณ์ดีเป็นพิเศา
“ทำไมวันนี้แกให้ง่ายจัง ทุกทีต้องบ่นต้องโวยวาย”
“ก็วันนี้โฉมอารมณ์ดี”
“มีเรื่องอะไรดีๆ หรือไง”
“ดีมาก สะใจมากเลยล่ะหม่าม๊า ก็...”
โฉมไฉไลพูดไม่ทันจบคำ สาวิตรีในสภาพหน้าตาบวมช้ำ เดินนำตำรวจเข้ามาในร้าน โฉมไฉไลตกใจ อนงค์งงว่าเกิดอะไรขึ้น
“โฉมไฉไลคนนี้ล่ะค่ะที่มันจ้างคนทำร้ายฉัน จับมันเลยค่ะ”
ตำรวจหันไปพูดกับโฉมไฉไล “คุณถูกแจ้งความจับในข้อหาจ้างคนทำร้ายร่างกายคุณสาวิตรี ขอเชิญคุณไปให้การที่โรงพักด้วยครับ”
โฉมไฉไลปฏิเสธลั่น “ฉันไม่รู้เรื่องนะ ฉันไม่ไป”
สาวิตรีตะคอกใส่หน้า “ฉันเห็นกับตาว่าแกจ่ายเงินจ้างคนมาตบฉัน”
โฉมไฉไลหน้าตาตื่นไม่ยอมไป ตำรวจต้องเข้ามารวบตัว
โฉมไฉไลกรี๊ดด้วยความกลัว “ปล่อยฉันนะ ฉันไม่ไป”
โฉมไฉไลดิ้นรนขัดขืน ตำรวจลากตัวโฉมไปจนได้ สาวิตรียิ้มสะใจเดินตาม อนงค์ร้อนใจรีบตามไป
ไม่นานหลังจากนั้น พฤกษ์เดินหน้าตาตื่นเข้ามาหาอนงค์ที่อยู่รออยู่หน้าโรงพัก
“นี่มันเรื่องอะไรกันครับคุณแม่”
อนงค์ไม่ได้ตอบแต่ดึงพฤกษ์ให้เข้าไปด้านใน
ยินเสียงโต้เถียงกันดังลั่นออกมา “ไม่จริง ฉันไม่ได้ทำ แกใส่ร้ายฉัน!” โฉมไฉไลพูดแทบเป็นตะโกน
สาวิตรีก็ฟ้องไม่หยุด “จับมันเลยค่ะ ฉันเห็นกับตาว่ามันจ้างแม่ค้าพวกนั้นมาตบฉัน”
พฤกษ์ก้าวเข้ามาเห็นว่าโฉมไฉไลกำลังยืนเถียงกับสาวิตรีที่หน้าตาบอบช้ำ
“ฉันไม่ได้ทำ!”
พฤกษ์อึ้ง “โฉม”
โฉมไฉไลเห็นพฤกษ์ก็รีบเข้าไปหาหวังให้เป็นที่พึ่งคิดว่าพฤกษ์จะเข้าข้าง
“พฤกษ์ นังนี่มันใส่ร้ายโฉม หาว่าโฉมจ้างคนไปดักตบมัน”
ตำรวจเจ้าของคดีเอ่ยขึ้น “แต่แม่ค้าที่ลงมือซัดทอดว่าคุณโฉมเป็นผู้ว่าจ้างครับ”
สาวิตรีได้ที “เห็นไหมคะ ว่ามันทำจริงๆ จับมันเข้าคุกเลยค่ะ”
โฉมไฉไลหันมาพูดกับพฤกษ์ “ช่วยโฉมสิ อยากให้คนเห็นว่าสะใภ้แสนสมุทรติดคุกหรือไง”
พฤกษ์มองโฉมไฉไลอย่างระอา แล้วหันไปหาสาวิตรี “ผมว่าเรื่องนี้เราคุยกันได้”
“ฉันเจ็บตัวขนาดนี้จะให้ยอมง่ายๆ ไม่มีทาง” สาวิตรี ไม่ยอมท่าเดียว
“ถ้าผมจะจ่ายค่าทำขวัญให้คุณ แล้วขอให้คุณถอนแจ้งความ” พฤกษ์พยายามเจรจา
สาวิตรียื่นข้อเสนอ “ถ้าสักห้าพันฉันก็อาจจะลองคิดดู”
โฉมไฉไลแว้ดขึ้นมา “มากเกินไปสำหรับคนอย่างแก”
สาวิตรียิ้มเยาะ “ถ้างั้นสักหนึ่งหมื่นจะดีกว่า”
พฤกษ์โกรธมาก แต่จำเป็นต้องยอม “ตกลง! แต่คุณต้องถอนแจ้งความ”
สาวิตรีเหยียดยิ้มอย่างสะใจกับโฉมไฉไล “ขอบใจนะเพื่อนโฉม ที่หาเงินให้เพื่อนใช้”
โฉมไฉไลเข่นเขี้ยว แค้นเป็นฟืนเป็นไฟ “นังบ้า”
โฉมไฉไลจะพุ่งเข้าไป แต่พฤกษ์คว้าตัวแล้วอุ้มจนตัวลอยแยกออกมา โฉมไฉไลไม่ยอม แต่โดนพฤกษ์อุ้มแยกมาจนได้ อนงค์รีบตามไป สาวิตรีมองอย่างสะใจ
พฤกษ์ลากโฉมไฉไลเหวี่ยงเข้ามาในร้าน โฉมไฉไลเซไปจับโต๊ะตัวที่ขวางอยู่ อนงค์รีบตามเข้ามา
“โฉมจะไปเอาเรื่องมัน โฉมไม่ยอม” พลางจะออกไปอีก
พฤกษ์กระชากไว้ด้วยโมโห “ถ้าไม่เลิกบ้า ผมจะปล่อยให้ตำรวจเอาตัวคุณไป”
โฉมไฉไลโกรธจนพาลไปหมด “พฤกษ์ โฉมเป็นเมียคุณนะ”
พฤกษ์ขึ้นเสียง “ก็ถ้าคุณไม่ได้ชื่อว่าเป็นเมียผม ผมก็จะปล่อยให้คุณไปนอนในตาราง”
พูดแล้วส่ายหน้าระอาเต็มทน “ดูสภาพตัวเองซะบ้างว่าน่าสมเพชขนาดไหน อาละวาดเป็น
ผีบ้า”
โฉมไฉไลสุดจะทน ระบดระบายออกมา “ก็เพราะมีผัวห่วยๆ อย่างคุณไง! เป็นลูกชายคนโตแต่ไม่มีปัญญาตัดสินใจอะไรสักอย่าง ทำได้แค่...เกาะพ่อเกาะแม่กินไปวันๆ” พฤกษ์โกรธจัด อึ้ง “ตั้งแต่ฉันแต่งงาน..ชีวิตฉันมีแต่ตกต่ำลงทุกวัน เป็นถึงสะใภ้แสนสมุทร แต่ไม่มีสมบัติอะไรให้สมหน้าสมตาสักอย่าง ฉันต้องโดนดูถูกก็เพราะมีผัวไม่เอาไหนอย่างนี้! ไอ้ผัวทุเรศ ไอ้ผัวเฮงซวย!”
โฉมไฉไลบันดาลโทสะโผนทะยานเข้าทุบพฤกษ์ไม่ยั้งระบายความโกรธ
พฤกษ์ปัดป้อง “หยุด! ฉันบอกให้หยุด” เผลอผลักโฉมไฉไลกระเด็นลงไปกระแทกโต๊ะ โครมใหญ่
โฉมไฉไลร้อง “โอ๊ย”
อนงค์ตกใจ “ยัยโฉม”
“แกทำฉัน อ๊ายยย” โฉมไฉไลโกรธจัด กรี๊ดใส่จะพุ่งเข้าไปอีก
อนงค์เข้าไปดึงโฉมไฉไลเต็มที่ “พอแล้วยัยโฉม”
“มันทำโฉม!” โฉมไฉไลจ้องหน้าพฤกษ์ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ “จำไว้นะ ใครทำโฉมเจ็บ มัน
จะต้องเจ็บกว่าโฉมเป็นร้อยเป็นพันเท่า”
พฤกษ์เครียดทนอีกไม่ไหวแล้ว จึงเดินหนีออกไปนอกร้าน โฉมไฉไลกรี๊ดตามหลังใส่อย่างโกรธเกรี้ยว
คืนนั้น พอพฤกษ์กลับมาที่ห้องพักบริเวณท่าเรือ ก็นั่งดื่มอยู่กลับกลุ่มคนงาน พฤกษ์ดื่มหนักมาก แถมเมานำหน้าลูกน้องคนงานไปเยอะเลยทีเดียว
“เอ้า ชน ชน!”
คนงานยกแก้วชนกับพฤกษ์ ทว่าสีหน้าแต่ละคนไม่ได้สนุกสนานไปด้วย บางคนเริ่มหาวไม่ไหว
“นายครับ ผมว่าแยกย้ายกันไหมครับ พรุ่งนี้เราต้องออกเรือแต่เช้านะครับ”
คนงานอีกคนรีบออกตัว “พวกผมไม่ไหวแล้วนะนาย”
พฤกษ์โวยลั่น “เฮ้ย! จะรีบไปไหน ดื่มเป็นเพื่อนกันก่อน”
“แต่...” คนงานพยายามท้วง
“ห้ามไปไหนทั้งนั้น ใครไปไล่ออก เอ้า ชน!” เห็นคนงานนิ่ง พฤกษ์เสียงดังขึ้น “เร็วสิ ชนๆ”
คนงานเริ่มหันไปมองหน้ากันอย่างระอา
รุ่งเช้าเมฆาเดินตรงเข้าไปหาภูผาที่ยืนรออยู่แล้ว
“ผมมาทวงคำตอบ!”
ภูผามีสีหน้าอึดอัดใจมาก
“ตกลงพี่จะเอายังไงจะฆ่าน้องให้ตายทั้งเป็นใช่ไหม”
ภูผามองเมฆาอย่างรู้ทัน “ใครกันแน่ที่ทำร้ายอรุณก่อน”
เมฆาชะงักไป “พี่พูดอะไร?”
ภูผาตอกหน้า “แกเป็นคนเปิดทางให้เดือนเดินทางมาที่นี่” เมฆาอึ้ง “วันนี้แกก็ควรจะปล่อยให้เดือนอยู่ที่นี่ไม่ใช่เหรอ”
เมฆาสวนคำทันที “เป็นเพราะผมไม่รู้ว่าเดือนจะมาหาพี่”
ภูผาย้อน “แล้วแกคิดว่าเดือนจะไปไหน ทำไมเดือนมาหาพี่ไม่ได้แต่ไปที่อื่นได้ แกมีเหตุผลอะไรล่ะเมฆา” มองจ้องอย่างจับผิด
เมฆาเริ่มอึกอักที่โดนต้อนจนมุม “จะเพราะอะไรก็ไม่สำคัญ แต่ตอนนี้อรุณกำลังรอเดือนอยู่ พี่ทนเห็นอรุณตายได้ก็ตามใจ”
ภูผาอึ้ง เสียงเหตุการณ์ ระหว่างอรุณกับแม่ ที่ทำให้แม่เป็นลม แว่บเข้ามาในหัว
ยิ่งคิดภูผาก็ยิ่งหนักใจ
เมฆาจ้องเพ่งมองไม่วางตา เริ่มมีความหวังเมื่อเห็นสีหน้าพี่ชายเครียดจัด
วงเดือนนั่งรอภูผา พร้อมกับอาหารกลางวันที่ตั้งไว้เรียบร้อย มีสว่างยืนรออยู่สีหน้าไม่ค่อยสบายใจนัก
“ทำไมคุณผาถึงไม่มาพร้อมนายสว่างล่ะจ๊ะ”
“คือคุณผา...มีแขกน่ะครับ”
วงเดือนแปลกใจ “แขก? ใครจ๊ะ”
สว่างกำลังจะบอก “ก็...”
ภูผาเดินขึ้นบันไดมาทันได้ยิน พูดเสียงดังให้เงียบ “นายสว่าง”
สว่างชะงัก ภูผาเดินขึ้นเรือนมา
วงเดือนพยายามยิ้มคิดว่าอารมณ์ไม่ดี “เดือนจัดอาหารให้คุณเสร็จแล้ว ทานเลยนะคะ”
ภูผาไม่นั่ง มองวงเดือนแล้วตัดสินใจ
“ฉันจะทานกลางวันที่ห้องหนูนา ยกตามไปให้ด้วย”
วงเดือนอึ้ง ภูผาเดินเข้าไปในห้องหนูนา สว่างมองวงเดือนอย่างเห็นใจ
หนูนานั่งอยู่บนเตียงมองอย่างสงสัยที่เห็นภูผายืนนิ่งๆ มองออกไปนอกหน้าต่างประหนึ่งว่าภูผากำลังอยู่เพียงลำพัง
หนูนามองจ้อง กำลังจะเอ่ยถาม แต่เสียงเคาะประตูดังขึ้น ภูผาได้สติตัดสินใจเดินไปเปิดประตู วงเดือนเดินเข้ามาพร้อมกับถาดอาหาร
“วางไว้ที่โต๊ะข้างเตียงนั่นล่ะ เดี๋ยวฉันจัดการเอง”
ภูผาขยับมานั่งข้างหนูนา “ทานข้าวหน่อยนะ จะได้ดีขึ้น”
หนูนามองอาการงวยงง ภูผาเลยจับช้อนตักป้อนให้หนูนา วงเดือนมองอย่างสะเทือนใจ
แม้หนูนาจะงงแต่ก็ยอมรับการป้อนจากภูผา
“อีกสักคำนะ” ตักป้อนอีก
วงเดือนรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นส่วนเกิน ตัดสินใจเดินเลี่ยงออกจากห้องไป พอวงเดือนเดินออกจากห้อง ภูผาก็นิ่งไป หนูนามองภูผา
วงเดือนยืนเสียใจอยู่ที่หน้าห้อง ค้างคาใจเหลือแสน
“เกิดอะไรขึ้น? เกิดอะไรขึ้นคะ...คุณภูผา”
ชิงนาง ตอนที่ 9 (ต่อ)
ค่ำคืนนั้น ความทุกข์กัดกินชีวิตภูผาที่กำลังยืนเครียดอยู่ตรงระเบียงหน้าบ้าน ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ ลำบากใจเหลือแสนกับสิ่งที่ต้องตัดสินทำลงไป
วินาทีนั้นภูผารับรู้ว่ามีคนเดินเข้ามา จึงหันขวับมามอง “เดือน...”
วงเดือนถามโพล่งออกมาทันที “คุณบอกเดือนได้ไหมคะ ว่าวันนี้ทำไมคุณถึง..เปลี่ยนไป ที่คุณทำกับหนูนา กับเดือน...มันเหมือนไม่ใช่คุณภูผาคนเดิม”
ภูผามองอย่างตัดสินใจ “ฉันรู้ว่าหนูนารักฉัน แต่ตัวฉันไม่เคยรู้ว่าตัวเองรู้สึกกับหนูนายังไง จนหนูนาเจ็บคราวนี้ ฉันถึงได้รู้ว่าหนูนาสำคัญกับฉันมากแค่ไหน”
วงเดือนตกตะลึงตาค้าง “คุณผาหมายความว่า...”
ภูผาตอบทันที “ฉันรักหนูนา”
วงเดือนอึ้งใจหายวาบพูดแทบไม่เป็นคำ “แต่คุณบอกว่าคุณรักเดือน…”
“ขอโทษนะ วันนี้ฉันรู้ใจตัวเองแล้วว่าฉันไม่ได้รักเธอ...”
วงเดือนตะลึง น้ำตาร่วงริน กลับหลังหันเดินจากไป
ภูผากำมือแน่นพยายามอดทนที่จะไม่ตามวงเดือนไป
ศรีดาราถือถาดยาเดินมาที่หน้าห้องกับอนุต
“วันนี้อรุณอยู่ในห้องทั้งวันเลยเหรอ”
“ค่ะ ตั้งแต่ได้รับโทรศัพท์...”
อนุตชะงัก “โทรศัพท์อะไร”
ศรีดาราจำใจโกหกเรื่องภูผา “เอ่อ..เมฆาโทรมาน่ะค่ะ ว่า..ว่ากำลังตามหาเดือนอยู่”
“อรุณรักเดือนมาก มากจนน่ากลัวว่าจะยอมรับไม่ได้ที่จะเสียเดือนไป”
ศรีดารากับอนุตเดินมาถึงหน้าห้อง อนุตเปิดประตู สองคนเข้ามา
ศรีดาราเอ่ยขึ้นไม่ทันมอง “ทานยาก่อนนอนนะลูก”
แต่เมื่อทั้งคู่มองหาจนทั่วปรากฏว่าไม่มีอรุณอยู่ในห้อง
“ทำไมลูกไม่อยู่ในห้อง”
อนุตถลาออกไปที่หน้าห้อง ตะโกนลั่น “ชอุ่ม ชอุ่ม!”
ศรีดาราสีหน้าเป็นกังวลมาก
ศรีดาราเดินลงบันไดมาห้องโถง อนุตสวนเข้ามาจากด้านนอกพอดี
“ในสวนไม่มี…”
“ชั้นดูจนทั่วชั้นบนแล้ว ลูกไม่อยู่”
“หายไปไหนนะ...อรุณ” อนุตพึมพำ
ชอุ่มวิ่งหน้าตื่นเข้ามา “เจอคุณอรุณแล้วค่ะ”
“เจอที่ไหน” อนุตถามเร็ว
ที่แท้อรุณนอนอยู่บนเตียงในห้องวงเดือน ศรีดารากับอนุตเข้ามาในห้อง ทั้งคู่ต่างอึ้ง
ศรีดาราเข้าไปปลุก “อรุณ”
อรุณลืมตาก็ถามหาวงเดือนทันที “แม่...เดือนมาหรือยังครับ”
ศรีดารายิ้มเนือยๆ “ยังจ้ะ ลูกกลับไปรอเดือนที่ห้องก่อนนะลูกนะ”
“ผมไม่ไป ผมจะรอเดือนอยู่ที่นี่ เดือนกลับมาต้องเจอผมเป็นคนแรก ให้ผมรออยู่ที่นี่นะครับแม่”
ศรีดาราทุกข์ใจเหลือเกิน อนุตเองก็เครียดไม่ต่างกัน สองมองลูกชายอย่างเจ็บปวดที่ช่วยอะไรไม่ได้ น้ำตาตกในกับสภาพของอรุณกันทั้งคู่
คืนนั้น เวลาเดียวกันดอยวิ่งออกมาจากห้องหนูนา ส่งเสียงดังๆ “นายจ๊ะ...นาย”
ภูผารีบเข้ามาจากระเบียง ส่วนวงเดือนก็รีบออกมาจากห้องด้วยความตกใจ
“มีอะไร!”
“ลูกพี่ไข้ขึ้นเพ้อเรียกหาแต่นายจ้ะ”
วงเดือนมองภูผาที่กำลังจะไป แล้วคว้ามือภูผาไว้มองอย่างขอร้อง
“คุณภูผา”
ภูผามองมารู้ว่าวงเดือนหวั่นกลัว ตัดสินใจปลดมือวงเดือนออก
แล้วภูผาก็เดินจากไป ปล่อยวงเดือนยืนอึ้งด้วยความเสียใจอยู่อย่างนั้น
พอภูผาเปิดประตูเข้ามา หนูนามีสีหน้าดีใจมาก
“คุณ...ฉัน”
ภูผาเข้ามาจับหน้าผากแล้วก็รู้ว่าไข้ไม่ได้ขึ้น “นอนซะ”
หนูนาหน้าหมอง “ฉันขอโทษ”
ภูผามองนิ่งๆ “ฉันมาแล้ว เธอก็น่าจะพอใจนะ นอนซะ”
หนูนาอึ้งกับท่าทีภูผาที่ไม่ได้ดูอ่อนโยนแต่อย่างใด จากนั้นภูผาก็เอาแต่ยืนมองออกไปนอกหน้าต่าง หนูนาจึงได้แต่นั่งมองเงียบๆ
ภูผาทอดสายตาออกไปเห็นวงเดือนเดินเข้ามาที่หน้าเรือนยืนมองเข้ามาที่ห้องหนูนาอย่างกระวนกระวาย
ภูผาตัดสินใจเดินไปกดสวิทช์ดับไฟ หนูนาตกใจ ภูผาเดินตรงมาที่เตียงหนูนา หนูนามองหวั่นๆ ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ภูผากลับลงนอนที่ข้างเตียงหนูนา หนูนามองงง
“คืนนี้ ฉันจะนอนเป็นเพื่อนเธอ นอนซะ”
วงเดือนหน้าเศร้าเสียใจอยู่ตรงระเบียงหน้าห้อง รำพึงอย่างไม่อยากจะเชื่อ “คุณภูผา”
ภูผาหันหลังให้กับหนูนา แค่นั้นหนูนาก็เป็นปลื้มนอนมองแผ่นหลังภูผาอย่างอุ่นใจ ภูผานอนไม่หลับรู้สึกผิด แต่ก็พยายามตัดใจ
“เดือน...ฉันขอโทษ” บอกวงเดือนได้แค่เพียงภายในใจ
วงเดือนยืนร้องไห้สะอึกสะอื้น ทรุดตัวอย่างหมดแรง
“คุณภูผา คุณไม่รักเดือนแล้ว”
ภูผานอนทรมานกับสภาพที่เป็นอยู่ในห้องหนูนา
ในขณะที่วงเดือนอยู่ในห้องนอนตัวเอง กำลังหยิบสร้อยถักของภูผาขึ้นมาดู
“ขอโทษนะ วันนี้ฉันรู้ใจตัวเองแล้วว่าฉันไม่ได้รักเธอ”
วงเดือนนั่งตัวแข็งทื่อ
รุ่งเช้ากระเป๋าเสื้อผ้าวงเดือนวางที่เก้าอี้หน้าบ้าน ดอยวิ่งนำสว่างเข้ามาที่หน้าเรือนภูผา เจอวงเดือนที่ยืนรออยู่
“คุณเดือนให้ดอยไปตามผมมาด่วน มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ...” สว่างมองไปเห็นกระเป๋าเสื้อผ้า “แล้วกระเป๋านี่...” มองหน้าวงเดือนเป็นเชิงถาม
วงเดือนเอ่ยขึ้นเสียงสั่นพร่า “พาฉันไปส่งที่ท่ารถหน่อยนะ”
สว่างตกใจ “คุณจะไปไหนครับ”
“ฉันจะกลับแสนสมุทร”
“ใจเย็นๆ นะครับคุณเดือน นายรู้เรื่องนี้หรือเปล่า?” สว่างจะเข้าไปในบ้าน
“คุณภูผาไม่ได้อยู่ที่นี่” วงเดือนบอก สว่างชะงักกึก “เขาอยู่ที่ห้องหนูนาตั้งแต่เมื่อคืน”
สว่างตกใจ “เอ่อ...คุณเดือนครับ ผมว่าเรื่องนี้ต้องคุยกับคุณภูผานะครับ ถ้าคุณเดือนไม่อยู่ที่นี่ นายคง...”
“ถึงฉันจะอยู่ ฉันก็ไม่มีความหมายอะไรสำหรับเขาอีกต่อไปแล้วล่ะ”
สว่างพยายามยื้อ “คุณเดือนครับ..ผมว่า...”
วงเดือนสวนคำออกมา “ถ้านายสว่างไม่ไปส่งฉัน ฉันจะหาทางไปเอง” พลางยกกระเป๋าขึ้นจะไปจริงๆ
สว่างจับกระเป๋าของวงเดือนไว้ “ผมจะไปส่งคุณเดือนครับ”
วงเดือนยอมปล่อยมือจากกระเป๋า
สว่างเอ่ยขึ้น “แต่ผมขอนะครับ ขอให้คุณเดือนคุยกับนายก่อนที่จะตัดสินใจไปจากที่นี่”
วงเดือนลงนั่งตามคำขอร้องของนายสว่าง
สว่างหันไปสั่งทันที “ดอย”
ดอยวิ่งจู๊ดออกไปอย่างรู้งาน
วงเดือนนั่งนิ่ง ลึกๆ ก็ยังแอบหวังว่าภูผาจะรั้ง หญิงสาวนั่งนิ่งรอคอย
หนูนาพลิกตัวมาเห็นภูผายืนอยู่ที่หน้าต่างนิ่งๆ ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น ภูผาเปิดประตูให้ ดอยรีบเข้ามา
“นาย...ลุงหว่างให้มาบอกว่าคุณเดือนจะไปแล้วนะจ๊ะ”
หนูนามองภูผาว่าจะทำยังไง แต่ภูผากลับยืนนิ่ง
“นาย..ไม่ไปตามคุณเดือนเหรอ”
ภูผานิ่งเป็นหุ่นไปแล้ว ไม่ตอบ ไม่ขยับ
หนูนามองด้วยความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น
ทางด้านสว่างรออย่างกระวนกระวาย วงเดือนรอจนหมดความหวัง
“นายสว่าง..ไปกันเถอะ”
“รออีกนิดนะครับคุณเดือน”
ในที่สุดดอยวิ่งกลับมา
“นายล่ะ?” ดอยส่ายหน้าดิก
วงเดือนคราง “ทุกอย่างมันจบแล้ว”
สว่างหนักใจแต่จำเป็นต้องถือกระเป๋าตามวงเดือนออกไป
ขณะที่เมฆาเดินตรงเข้าไปยังบริเวณที่มีรถรับจ้างจอดรออยู่ เพื่อจะไปยังไร่วงเดือน แต่ยังเดินไม่ทันจะถึงก็ชะงัก เมื่อมองเห็นรถของสว่าง ซึ่งมีวงเดือนนั่งมาด้วยกำลังขับแล่นเข้ามาที่ตลาด
เมฆารีบขยับไปหลบไม่ให้วงเดือนเห็น
สว่างเข้ามาจอดใกล้กับบริเวณที่รถรับจ้างจอดอยู่ เมฆาพยายามขยับเข้าไปดูให้ใกล้ที่สุด
สว่างช่วยถือกระเป๋าเดินมาส่งวงเดือนที่ท้ายรถสองแถว เมฆาเดินมายืนข้างรถฟังทั้งสองคนคุยกัน
“คุณเดือนจะกลับแสนสมุทรจริงๆ เหรอครับ”
วงเดือนบอกเสียงเศร้า “ฉันไม่รู้จะอยู่ที่นี่ไปเพื่ออะไรอีกแล้ว”
“คุณเดือนครับ ลองคุยกับนายภูผาอีกสักครั้งไหมครับ ผมเชื่อว่า...”
วงเดือนตัดบท “ฉันเชื่อคุณภูผามาตลอด เชื่อว่าเขารักฉันอย่างที่เขาพูด แต่วันนี้เขาบอกว่าหมดรักฉันแล้ว” วงเดือนอัดอั้นจนน้ำตาคลอ “ฉันก็ต้องเชื่อ…และฉันก็จะไม่อยู่ให้เขาลำบากใจ”
วงเดือนถอดสร้อยถักจากข้อมือส่งให้กับสว่าง
“ฉันฝากสร้อยนี้ไปคืนคุณภูผาด้วย เขาควรมอบสร้อยเส้นนี้ให้กับคนที่เขารัก”
สว่างยืนกราน “คุณเดือนครับ..มันไม่ใช่...”
แต่พูดไม่ทันจบวงเดือนก็พูดตัดบท “นายสว่างกลับไปเถอะนะ ฉันอยากจบเรื่องนี้สักที ขอบคุณนะจ๊ะที่ดูแลฉันมาตลอด”
สว่างมองวงเดือนที่ไม่ยอมฟังอะไรเลย รู้ว่ายากจะพูดให้เปลี่ยนใจ
จึงยอมรับสร้อยหนังมา “ครับ..เดินทางปลอดภัยนะครับ”
วงเดือนยิ้มให้ แต่ช่างเป็นรอยยิ้มที่แห้งแล้งเหลือเกิน สว่างส่งกระเป๋าให้แล้วเดินจากไป วงเดือนเดินไปหาที่นั่งรอ สีหน้าเศร้าสร้อย
เมฆาได้ยินเรื่องทั้งหมด ยิ้มในแววตาอย่างพอใจ
ที่ไร่วงเดือน ภูผาและหนูนาเปลี่ยนชุดใหม่แล้ว ภูผานั่งอยู่บนเรือน เงียบ นิ่งไม่ขยับตัว
หนูนาแอบมองอยู่กับดอย
“ดอยว่าคุณเดือนกับนายทะเลาะกันแน่ๆ เลย” นึกได้ จึงเปลี่ยนเป็นกระซิบ “แต่ถ้านายไม่ไปตามคุณเดือนแบบนี้ ลูกพี่ของดอยก็ต้องมีหวังน่ะสิ”
“ไอ้ดอย!” หนูนาดุ ดอยวิ่งจู๊ดไป
หนูนาทำเป็นดุแต่สีหน้าพอใจกับเรื่องที่ได้ฟัง
ระหว่างนั้น สว่างเดินขึ้นมาบนเรือนแล้วมาหยุดตรงหน้าภูผา
“เดือนเป็นยังไงบ้าง” ภูผาถาม
สว่างบอก ประชดกลายๆ “คนหัวใจสลาย มันคงไม่ดีนักหรอกครับ”
ภูผาฟังอย่างเจ็บปวด
“แต่ถ้าให้ผมเดา ผมว่าหัวใจของนายเจ็บปวดมากกว่า นายครับ นายทำแบบนี้ทำไม?”
“ฉันทำร้ายแม่ทำร้ายน้องไม่ได้ อรุณรักเดือนมาก อรุณจะมีชีวิตอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเดือน”
สว่างแย้ง “แล้วชีวิตคุณเดือนล่ะครับ เธอจะอยู่ได้ยังไง เธออุตส่าห์ยอมเดินทางมาถึงที่นี่เพื่อนาย แต่นายกลับทำลายศรัทธาในความรักของคุณเดือน ผู้หญิงที่รักนายมากที่สุด”
ภูผาอึ้ง เจ็บแปลบ ราวกับโดนมีดทิ่มแทงใจ
สว่างยื่นสร้อยหนังถักคืนให้กับภูผา “คุณเดือนฝากมาคืนนาย บอกให้นายมอบมันให้กับคนที่นายรัก”
ภูผารับมากำสร้อยถักไว้ในมือแน่น
“เจ็บใช่ไหมครับ แต่ผมรับประกันได้ว่าคนที่เจ็บที่สุดคือน้องชายของนาย เพราะถึงแม้เขาจะได้อยู่กับคุณเดือน แต่เขาจะไม่มีวันได้หัวใจของคุณเดือน”
ภูผามองหน้าสว่าง
“อย่าฆ่าเขาทั้งสองคนให้ตายทั้งเป็นอย่างนี้เลยครับ ถ้านายรักน้องก็กลับไปพร้อมกับคุณเดือนเถอะครับ ทำให้ทุกอย่างถูกต้อง ยืนอยู่เคียงข้างเธอ นั่นต่างหากคือการกระทำของคนที่รักกัน”
คำพูดของสว่างโดนอีกเต็มๆ ภูผาคิดหนัก
ภูผาขับรถไปตามเส้นทางที่จะไปที่ตลาด สว่างเห็นว่ารถขับเร็วจึงเอ่ยปรามขึ้น
“เบาๆ หน่อยครับนาย”
ทว่าภูผายิ่งเร่งความเร็วมากขึ้น สว่างเข้าใจแต่นั่งเกร็งสุดๆ
ขณะที่หนูนาซึ่งนั่งอยู่ด้านหลังมองท่าทางของภูผาอย่างเจ็บแปลบในใจ
ส่วนวงเดือนนั่งรอเวลาออก โดยไม่รู้ว่าเมฆาคอยเฝ้ามองอยู่ที่มุมหนึ่ง
เมียคนขับบอกผู้สาร “อีก 5 นาทีรถออกจ้า”
ผู้โดยสาร ชาวบ้านทยอยกันขึ้นรถ วงเดือนยังนั่งมองเหมือนลังเล เมฆาจับตามองกลัวเดือนจะเปลี่ยนใจ
เมียคนขับรถเห็นคนเริ่มขึ้นรถ จึงเดินไปที่หน้ารถ เห็นคนขับนอนยาวอยู่บนเบาะหน้ารถ มือยังกอดขวดเหล้า
เมียปลุกเสียงดัง “พี่ตื่นๆ ออกรถได้แล้ว”
คนขับสะดุ้งตื่นขึ้นมามองไปรอบๆ สะบัดหัวไล่ความมึน แล้วขยับไปนั่งที่นั่งคนขับสตาร์ทรถ
ทันทีที่ได้ยินเสียงสตาร์ทรถ เมียคนขับก็ตะโกนบอก “เข้าตัวเมือง ขึ้นรถเลยจ๊ะ”
ผู้โดยสาร ชาวบ้าน ทยอยกันขึ้นรถ วงเดือนมองกระเป๋า ตัดสินใจหยิบกระเป๋าแล้วเดินขึ้นรถ
รถค่อยๆ เคลื่อนตัวออก เมฆามองตามอย่างพอใจ พอจะเดินกลับแต่แล้วเมฆาต้องชะงัก
เพราะเห็นรถของภูผาขับเข้ามามีสว่างและหนูนานั่งมาด้วย
เมฆาไม่พอใจมาก “พี่ผา”
รถภูผามาจอดตรงจุดที่จอดสองแถว ภูผาลงจากรถมองหา ไม่เห็นวงเดือนก็วิ่งไปหาเมียคนขับรถที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะเล็กๆ
“รถที่จะเข้าตัวเมืองออกไปหรือยัง”
“เพิ่งออกไปเมื่อกี้นี้เอง”
ภูผารีบวิ่งไปขึ้นรถ สว่างกระโดดตามขึ้นรถ ขับออกไป
เมฆาออกมาจากที่ซ่อนมองตาม ด้วยสีหน้าไม่พอใจมาก ที่ภูผาจะไม่ทำตามสัญญา!
โปรดติดตาม "ชิงนาง" ตอนต่อไป