xs
xsm
sm
md
lg

ชิงนาง ตอนที่ 1

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ชิงนาง ตอนที่ 1

หากใครผ่านไปบริเวณท่าเรือสะพานปลาแห่งนั้น จะเห็นเรือประมงหลายลำจอดเรียงรายเกยหาดอยู่เป็นแถว ด้านข้างเรือทุกลำมีชื่อเขียนกำกับไว้ว่า ‘แสนสมุทร’ เป็นภาพที่ใครเห็นแล้วต่างซึมซับรับรู้ ถึงความยิ่งใหญ่และมั่งคั่งของตระกูลแสนสมุทรเป็นอย่างดี

เช้าวันต่อมาที่คฤหาสถ์แสนสมุทร ตรงประตูทางเข้ามีป้ายชื่อติดไว้ว่า ‘แสนสมุทร’ บริเวณสนามหน้าบ้านกำลังวุ่นวายกับการเตรียมตัวถ่ายภาพหมู่ของครอบครัว ซึ่งเวียนมาบรรจบ ในวันคล้ายวันวันเกิดคุณย่าศรีเรือน หญิงชราวัยไม้ใกล้ฝั่งผู้เป็นประมุขแห่งแสนสมุทร
เวลานั้นศรีเรือน นั่งอยู่ตรงกลาง โอบข้างด้วยหมออนุตลูกชายและศรีดารา ลูกสะใภ้ ด้านหลังเป็นชายหนุ่มสามคน สามบุคลิก
หมออนุตดุพฤกษ์ พี่ชายคนโตของน้องชายทั้งสาม
“ทำไมป่านนี้มันยังมาไม่ถึง แกดูแลน้องยังไง เรื่องแค่นี้ก็ต้องให้ผิดพลาด”
พฤกษ์หน้าเจื่อน เมฆามองอย่างเห็นใจ
ช่างภาพร้องบอก “พร้อมนะครับ”
ศรีเรือนลุกพรวดขึ้นท่าทีไม่พอใจอย่างมาก “ฉันไม่ถ่าย!”
ศรีดาราอึ้ง “คุณแม่คะ”
ศรีเรือนกร้าว ยืนกราน “แสนสมุทรมีหลานชายสี่คน ถ้าไม่ครบตามนั้น ก็ไม่ต้องถ่าย!”
ศรีเรือนโกรธปึงปังจะออกไป ศรีดารารีบตาม

ระหว่างนั้นยินเสียงกระหึ่มของเครื่องยนต์ดังขึ้น มอเตอร์ไซค์คันโตเลี้ยวเข้าเขตรั้วมาอย่างรวดเร็ว….ทุกคนชะงักมอง
ภูผาลงจากรถ ถอดหมวกกันน็อคออก
“ขอโทษครับที่มาช้า”
ภูผาเดินเข้ามายืนในตำแหน่งของตน ติดกับเมฆา
อนุตเอ่ยขึ้น “เอาล่ะ ตอนนี้ครอบครัวแสนสมุทรก็พร้อมตาพร้อมตากันทุกคนแล้วนะ”
“มาเถอะค่ะคุณแม่”
ศรีดาราพาศรีเรือนกลับมาเข้าที่
อรุณน้องเล็กยิ้มๆ แอบกระซิบทักภูผา
“เส้นยาแดงผ่าแปดทุกทีสิน่า..พี่ผา!”
ภูผายิ้มในแววตาให้อรุณ แต่เมฆาเชิดหน้าขึ้นทันที
“พร้อมนะครับ หน้าตรงเลยครับ”
ไม่มีใครทันสังเกตว่าใบหน้าภูผาที่กำลังมองจ้องมายังกล้อง ตรงไรผมที่หน้าผากของเขามีเลือดซึมๆ และกำลังจะไหลย้อยลงมา ชายหนุ่มประหวัดถึงเหตุการณ์เมื่อครู่

ก่อนหน้านั้น ภูผาอยู่ที่ริมหาด ชายหนุ่มรูปงามถูกฟาดด้วยไม้ที่หน้าดังพลั่ก! จนหน้าหงายแหงน ปลายไม้คู่ต่อสู้เข้าที่หน้าผากพอดี มีเสียงเชียร์รอบๆ ชายหาดดังขึ้น…เป็นการดวลกันของภูผากับชายหนุ่มอีกคน จบลงที่ ภูผาวาดมาดเท่ในฐานะผู้ชนะ
ภูผาดึงตัวเองกลับมายกมือขึ้นป้ายเลือดบนหน้าผากที่กำลังจะไหลย้อยลงมา….ทิ้งมือที่เปื้อนเลือดลงข้างตัว ไปโดนมือของพฤกษ์ที่ยืนอยู่ติดกัน และมีผ้าพันแผลพันไว้ มีรอยเลือดซึมออกมาเช่นกัน พฤกษ์นึกถึงเหตุการณ์เมื่อตอนเช้าตรู่ที่ผ่านมา
พฤกษ์ลงไปช่วยลูกเรือดึงอวนที่หนักอึ้งขึ้นเรืออย่างขันแข็ง ถูกอวนบาดมือจนเลือดไหลออกมาแต่เขาก็ไม่ยอมหยุดดึง
ขณะเดียวกันที่ปลายแขนเสื้อของเมฆาก็มีรอยเลือดซึมอยู่หนึ่งหยด ชายหนุ่มนึกถึงที่มาของเลือดหยดนั้น
เมฆาอยู่ในชุดเสื้อกราวน์สีขาวกำลังพยายามช่วยคนไข้ที่หอบหนักอยู่ให้หายใจได้ เสียงลมหายใจเฮือกแรกหลุดออกมาได้สำเร็จพร้อมเลือดของคนไข้ที่พุ่งกระเด็นมาโดนปลายแขนเสื้อของเขาเข้า
คนไข้รายนั้นไม่ใช่ แต่เป็นอรุณน้องชายคนเล็กที่กำลังพยายามหายใจรวยริน

พี่น้องทั้งสี่ถ่ายรูปหมู่ เฉพาะพี่น้อง เห็นชัดว่าบุคลิกและแววตาของแต่ละคนแตกต่างกันไปอย่างสิ้นเชิง
ศรีดารามีสีหน้าปลื้มใจเกาะแขนอนุตยืนมอง
“ถึงจะโตมาด้วยกัน เลี้ยงมาเหมือนๆ กัน แต่ก็ดูแตกต่างกันเหลือเกินนะคะ” ศรีดาราว่า
“แตกต่างยังไงก็สายเลือดเดียวกันอยู่ดี”
ศรีเรือนที่ยืนอยู่มุมหนึ่ง มีสีหน้ากังวล
“เลือดย่อมตัดเลือดไม่ขาด” หญิงชราพึมพำเบาๆ “เจ้าประคุณ ขออย่าให้คำทายเป็นจริงเลย”สีหน้าคุณย่าศรีเรือนเวลานี้ดูกังวลหนัก ครุ่นคิดไปถึงเรื่องในอดีต

ตอนกลางวันของวันนั้น ศรีเรือนพนมมือแต้อยู่หน้าหลวงพ่อบนศาลา ในวัดแห่งหนึ่ง
“ชีวิตหลานชายของโยมก็เหมือนเรือสี่ลำที่ล่องอยู่ในมหาสมุทร หากวันใดต้องเจอกับพายุใหญ่ ซัดโหมให้แตกไปคนละทิศละทาง ก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้....มันถือเป็นชะตากรรม” หลวงพ่อปรารภ
“หลวงพ่อพูดเหมือนกับว่าหลานชายอิฉันจะมีชะตากรรมที่ไม่ดี ต้องเจอกับปัญหาใหญ่อย่างงั้นแหละเจ้าค่ะ”
หลวงพ่อกำชับ “เลี้ยงเขาให้ดี สอนให้เขาคิดดีทำดี ต่อให้พายุนั้นรุนแรงแค่ไหน พวกเขาก็จะผ่านพ้นไปได้”
ศรีเรือนกลัดกลุ้มขึ้นมาทันที “แล้วพายุใหญ่ที่ว่า มันคืออะไรกันล่ะเจ้าคะ”
หญิงชราถามอย่างร้อนใจ

หญิงชราประมุขแห่งแสนสมุทรดึงตัวเองกลับมา จดสายตามองจ้องไปที่หลานชายทั้งสี่คน พยายามปลอบใจตัวเอง

“เรือของแสนสมุทรแข็งแรงมั่นคง จะมีอะไรมาทำลายได้ก็ให้มันรู้ไปสิ”

หลายวันผ่านไป ที่หน้าอาคารเรียนหลังหนึ่งในวิทยาลัยพยาบาล บรรดานักเรียนพยาบาลหลายคนเดินออกมาจากตึก ในกลุ่มนักเรียนพยาบาลคนหนึ่งนั้นคือ วงเดือน หญิงสาวแสนสวย เดินถือตำราเดินออกมาอย่างเร่งรีบ

แต่วงเดือนต้องชะงักเมื่อมีมอเตอร์ไซค์คันโตขับเข้ามาปาดหน้า เป็นภูผานั่นเอง!!
“คุณภูผา…”
“สอบเสร็จแล้ว ไปฉลองกันหน่อยไหมเดือน” ภูผาเอ่ยขึ้น
“ไม่ได้หรอกค่ะ เดือนต้องกลับไปช่วยเตรียมงานที่บ้าน”
“อีกตั้งหลายวันกว่าจะถึงงานฉลอง 50 ปีแสนสมุทร เพราะฉะนั้น..วันนี้เธอต้องไปกับชั้น!!” ภูผาสั่ง
วงเดือนอึกอักอิดออด “แต่ว่า...”
ภูผาสั่งเข้ม “ขึ้นมา!”
วงเดือนจำยอมขึ้นนั่ง “เราจะไปไหนคะ?”
ภูผาบอกเป็นนัย “ไปย้อนอดีตกัน!!”
ขาดคำภูผากระชากรถออกตัวอย่างรวดเร็ว จนวงเดือนต้องคว้ากอดภูผาไว้ไม่หล่น
“ว๊าย!!”

ริมทะเลแห่งนั้น เห็นดอกผักบุ้งทะเลอยู่ในมือเรียวสวยของวงเดือนเป็นกำ ด้านหลังหญิงสาวเป็นแสงทองระยิบระยับของทะเลยามบ่าย
อรุณนั่งอยู่กับวงเดือนที่กำลังจัดช่อดอกไม้อยู่ ส่วนพฤกษ์และภูผากำลังช่วยกันผูกไม้เพื่อทำแพ เมฆาลากท่อนไม้มาสมทบเพิ่ม
“ใครแพ้เป็นเจ้ามือเลี้ยงมื้อเย็น!” เมฆาบอก
พฤกษ์เกทับ “อ้าว..อย่างนี้ก็ต้องชิงดำกันระหว่างแกกับพี่แล้วล่ะเมฆา เพราะตั้งแต่เด็ก..แข่งว่ายน้ำกันทีไร เจ้าผามันชนะตลอด”
“แต่วันนี้เป็นพี่กับผมต่างหากที่ต้องวัดกัน” ภูผาบอก
พฤกษ์งวยงงสงสัย
เมฆาเฉลย “ผมสละสิทธิ์ไม่ลงแข่งครับ ไปจับมีดหมอเสียนาน จนไม่ชินกับน้ำทะเลซะแล้ว”
ภูผาหันมาพูดกับพฤกษ์ “ก็เลยตกเป็นหน้าที่ลูกทะเลอย่างเรา!”
พฤกษ์ยิ้มรับ อรุณตะโกนมาเสียงแจ้ว
“โดยมีผมเป็นกองเชียร์!”
วงเดือนแซวท่าทีน่ารัก “...เหมือนเดิม”
ทั้งหมดพากันขำ อรุณเขินๆ
อรุณตั้งท่าได้แซวคืน “เดือนก็ถือดอกไม้เป็นกรรมการอยู่ที่เส้นชัยเหมือนเดิมเหมือนกันนั่นแหละ” อรุณหันไปพูดกับพี่ๆ “แต่ใครแพ้เตรียมตัวเลยนะครับ เย็นนี้ผมจะกินกุ้งมังกรสัก 5 ตัว”
ภูผา กับพฤกษ์ประสานเสียง “อะไรนะ” / “5ตัว?!!”
เมฆาแกล้งดุ “ไม่ได้ คอเรสเตอรอลสูง”
อรุณงอแงตามประสาน้องคนสุดท้อง บรรยากาศเฮฮาอบอุ่น จนวงเดือนอดยิ้มตามไม่ได้

เวลาต่อมาพฤกษ์และภูผายืนถอดเสื้อเท่อยู่บนแพแล้ว
พฤกษ์และภูผาตั้งท่ากระโจนลงทะเล ใบหน้าเปื้อนยิ้มแต่มุ่งมั่น โดยมีวงเดือนยืนถือดอกไม้เป็นเส้นชัยอยู่อีกแพหนึ่ง
มองผ่านด้านหลังของเมฆาและอรุณ สองพี่น้องคุยกันอยู่
“ผมอยากแข่งบ้างจัง” อรุณว่า
เมฆากอดคอแซวน้องเล็ก “อยากได้ดอกไม้ในมือเดือนเหรอ?”
เมฆาพูดโดยไม่คิดอะไร แต่ทำเอาอรุณหน้าแดงเพราะจี้ใจดำ
ทางด้านคู่ฉลามหนุ่ม เมื่อเห็นวงเดือนยกช่อดอกไม้เป็นสัญญาณ การแข่งขันก็เริ่มต้นขึ้น!
พฤกษ์และภูผาพุ่งหลาวลงทะเล ทั้งคู่เร่งสปีดว่ายเต็มที่ ดูสูสีกันมาก

ใต้แผ่นน้ำสองหนุ่มผลัดกันนำผลัดกันตาม เมื่อใกล้ถึงเส้นชัย..ภูผามีแรงปลาย แซงขึ้นหน้าพฤกษ์

ขณะที่บนฝั่ง อรุณออกโรงเชียร์ไม่หยุด
“เร็ว! พี่พฤกษ์ พี่ผาแซงแล้ว!!”
ภูผาและพฤกษ์ปีนขึ้นแพเส้นชัยแทบจะพร้อมกัน ทั้งคู่พุ่งคว้าดอกไม้ในมือวงเดือนแทบจะพร้อมกัน แต่มือภูผาคว้าดอกไม้ได้ก่อน มือพฤกษ์คลาดไปเพียงเสี้ยววินาที!!
ด้วยแรงของผู้ชาย จังหวะที่ภูผาคว้ามือวงเดือน จึงส่งให้ทั้งสองโจนหล่นลงไปในทะเล
เมฆากับอรุณตกใจร้องพร้อมกัน “เดือน!!”

ที่ใต้ผืนน้ำ ทั้งสองดิ่งลงในน้ำ วงเดือนตกใจแต่สักพักก็ตั้งสติได้ ภูผายื่นดอกไม้ในมือให้วงเดือน วงเดือนยิ้มๆ เอือมในความระห่ำของภูผา
ภูผายัดดอกไม้ใส่มือวงเดือนจำใจรับไว้ก่อนว่ายขึ้นไปเหนือน้ำ
รอยยิ้มของภูผาผุดพรายขึ้นบนใบหน้า ก่อนว่ายพุ่งตามขึ้นไป

บนฝั่งเวลานั้น อรุณและเมฆาขยับตัวจะวิ่งลงไปดูเหตุการณ์ แต่ทั้งหมดก็โล่งใจเมื่อภูผาและวงเดือนโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ
ภูผาจับมือวงเดือนที่ถือดอกไม้ชูขึ้น ประกาศชัยชนะ!

ครู่ต่อมาวงเดือนนั่งลงที่ตรงชายหาด ไอนิดๆ เพราะสำสักน้ำ ทั้ง 4 คนเข้ามาดูแลวงเดือน
“เป็นอะไรหรือเปล่าเดือน” พฤกษ์ถามก่อนใคร
“ไม่เป็นไรค่ะ”
“กินน้ำทะเลไปตั้งหลายอึกยังบอกว่าไม่เป็นไรอีก” อรุณว่าแล้วหันมาต่อว่าภูผา “พี่ผาเล่นอะไรเนี่ย”
ภูผาตัดบท “พี่อยู่ทั้งคน พี่ไม่ยอมปล่อยให้เดือนเป็นอะไรไปแน่ๆ”
ภูผาหันมองวงเดือน ขณะที่วงเดือนหลบตาไม่รู้จะทำหน้าไม่ถูก
พฤกษ์มองวงเดือนด้วยความห่วงใย
อรุณมองจับกิริยาวงเดือนและภูผา รู้สึกว่าทั้งคู่มีอะไรแปลกๆ และแอบอิจฉาอยู่ลึกๆ
ส่วนเมฆาจับตามองทุกคน และค่อนข้างเดาออกว่าในใจแต่ละคนคิดอะไรอยู่

ค่ำคืนของวันต่อมา บ้านแสนสมุทร ถูกประดับประดาไปด้วยแสงไฟตระการตา รถยนต์หรูกำลังทยอยวิ่งเข้าสู่บ้านแสนสมุทรอย่างคึกคัก
ห้องบริเวณห้องโถงใหญ่ของบ้าน เห็นภาพถ่ายสี่พี่น้องประดับอยู่กลางห้อง
วันนี้เป็นงานเลี้ยงใหญ่ แขกเหรื่อทยอยกันเข้ามามอบกระเช้าของขวัญ มีอนุตรับรองแขกอยู่
แขกชาวจีนเอ่ยคำอวยพร “ขอแสดงความยินดีที่ท่าเรือแสนสมุทรอยู่มาครบห้าสิบปี อั๊วขอให้แสนสมุทรอยู่คู่ทะเลคู่มหาสมุทรตลอดไป”
“ขอบคุณครับ”
อนุตยิ้มรับ ศรีดาราเดินเข้ามาหา
“คุณคะ...”
“งานจะเริ่มแล้ว ทำไมคุณแม่ยังไม่ลงมาอีก”

“คุณแม่ให้มาเชิญคุณไปที่ห้องตารุณค่ะ” ศรีดาราบอก

ศรีเรือนกำลังลูบเรือนผมอรุณด้วยความรักและเป็นห่วง อรุณหน้าซีดเผือดนอนอยู่บนเตียง เมฆากำลังเช็คอาการของอรุณ พฤกษ์ยืนอยู่ด้านหลังเมฆามองอรุณด้วยสายตาเป็นห่วงไม่แพ้กัน

อนุตเปิดประตูเข้ามา
อรุณร้องเรียก “คุณพ่อ…”
ศรีเรือนหันมาบอกอนุต “คืนนี้อรุณคงลงไปร่วมงานไม่ได้”
อนุตมองศรีเรือนนิดหนึ่งก่อนจะหันไปถามเมฆา
“น้องเป็นยังไงบ้าง”
“ไม่มีอาการหอบแล้วครับ แต่ยังมีไข้นิดหน่อย”
อนุตพยักหน้ารับรู้ “งั้นก็นอนพักเถอะ”
“แต่ผมอยากลงไปครับพ่อ ถ้าลูกชายหมออนุตต้องนอนป่วยอยู่บนเตียงคุณพ่อกับคุณย่าก็ขายหน้าแขกแย่สิครับ”
พฤกษ์ค้าน “อรุณ แต่พี่ว่า…”
เมฆาจับแขนพฤกษ์ให้หยุด พฤกษ์ชะงัก
“อรุณทานยาลดไข้ไปแล้ว เดี๋ยวคงดีขึ้นครับพี่พฤกษ์”
สีหน้าพฤกษ์ยังห่วงอรุณไม่หาย
ระหว่างนั้นวงเดือนถือถาดผ้าและชามอ่างน้ำเข้ามาเคาะที่ประตูเบาๆ ทุกคนหันไปมอง วงเดือนถือชามอ่างเข้ามาที่ข้างเตียง อรุณมองวงเดือนตาเป็นประกาย
“เช็ดตัวก่อนนะคะคุณอรุณ”
วงเดือนค่อยๆ ปลดกระดุมเม็ดบนของอรุณเพื่อจะเช็ดตัวลดไข้
ศรีเรือนกระชากมือวงเดือนออกจากอรุณ และสั่งน้ำเสียงเฉียบขาด
“ออกไปได้แล้ว!!”
ทุกคนชะงักตามน้ำเสียงของศรีเรือน เมฆาเห็นวงเดือนหน้าเสีย ก็รีบแก้สถานการณ์ หันไปพูดกับเดือน
“เดี๋ยวฉันจัดการเอง”
ศรีเรือนหันขวับมองวงเดือนอย่างรังเกียจ “อนุต ไปคุยกับแม่ที่ห้อง!”
ศรีเรือนพูดจบก็เดินออกไปทันที
อนุตพูดกับเมฆา “เดี๋ยวพาน้องลงไปในงานด้วยนะ”
อนุตรีบตามศรีเรือนออกไป
พฤกษ์ห่วงวงเดือน “เดือน...”
วงเดือนฝืนยิ้มให้ “เดือนขอตัวก่อนนะคะ”
พฤกษ์กับอรุณมองตามวงเดือนที่หน้าเสียออกไปด้วยความเป็นห่วง
เมฆามองอย่างชาชินที่เห็นศรีเรือนแสดงอาการรังเกียจวงเดือน

วงเดือนกำลังจะเดินผ่านห้องศรีเรือน ยินเสียงศรีเรือนลอดออกมา
“แกมันดื้อด้านที่รับนังเด็กนั่นเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้!”
เสียงหมออนุตตอบกลับ “ผมรับวงเดือนมาอุปการะก็เพื่ออรุณ อรุณเป็นโรคปอดโดยกำเนิด
ถ้าหมอไม่ถึง ยาไม่ถึง อาการของเขาก็มีแต่จะแย่ลงทุกวัน… แล้วที่ผมส่งให้วงเดือนเรียนพยาบาลเพื่อให้คอยอยู่ดูแลอรุณ”
ศรีเรือนไม่พอใจมากขึ้น “แต่ดวงนังวงเดือนมันเป็นกาลกิณี มันจะทำให้ครอบครัวเราวิบัติ!!”
สีหน้าวงเดือนที่ยืนตัวแข็งอยู่หน้าห้องรู้สึกสะเทือนใจ เรื่องราวในอดีตตอนเหยียบย่างเข้ามาในอาณาเขตแสนสมุทร ผุดขึ้นมาในห้วงคำนึง

บ่ายวันนั้นอนุตกับศรีดาราพาวงเดือนวัย 8 ขวบ เข้ามา
อนุตเอ่ยขึ้น “วงเดือน กราบคุณย่าสิ”
เด็กหญิงก้มลงกราบแทบเท้าของศรีเรือน ....แต่ศรีเรือนชักเท้าอย่างรังเกียจ ลุกขึ้นเผชิญหน้ากับหมออนุตและศรีดารา
“สมใจแกแล้วใช่ไหมพ่อนักบุญ ถ้าวันไหนสายเลือดแสนสมุทรต้องวิบัติฉิบหาย ขอให้แกรู้ไว้เลยนะ ว่าต้นเหตุมาจากใคร!”

สีหน้าเด็กหญิงตัวน้อยรู้สึกตกใจ มองไปเห็นสายตาศรีเรือนที่มองมายังตัวเองอย่างเกลียดชัง

วงเดือนดึงตัวเองกลับมา น้ำตาคลอด้วยความน้อยใจที่ถูกรังเกียจตั้งแต่เด็กจนถึงปัจจุบัน

ขณะที่สองแม่ลูกยังคุยกันอยู่ภายในห้อง
อนุตถอนหายใจไม่อยากเถียงด้วย “คุณแม่คงไม่ได้เรียกผมมาคุยเรื่องเดิมๆ แบบนี้เพียงเรื่องเดียวหรอกใช่ไหมครับ?”
ที่หน้าห้อง วงเดือนรู้สึกว่าไม่เกี่ยวกับตัวเองแล้วจะไป ยินเสียงหญิงชราลอดออกมา
“ถึงเวลาแล้วที่จะประกาศให้ทุกคนรู้ว่า ใครคือผู้สืบทอดกิจการรุ่นต่อไปของแสนสมุทร!”
ศรีเรือนหันมามองอนุตด้วยสายตาทรงอำนาจ
“ฉันจะยกให้ภูผา!”
วงเดือนชะงักหันมองประตูห้อง
“เราเคยคุยกันแล้วนะครับคุณแม่ ว่าพฤกษ์คือคนที่สมควรดูแลแสนสมุทรต่อไป” อนุตเน้นคำ “เพราะพฤกษ์เป็นลูกคนโต”
ศรีเรือนสวนคำ “คนโตที่สุดอาจจะไม่ใช่คนที่มีความสามารถที่สุด!”
อนุตนิ่งงัน เถียงไม่ออก
ศรีเรือนอ่อนลง “ไม่ใช่ฉันไม่รักตาพฤกษ์ แต่ฉันสร้างแสนสมุทรขึ้นมาด้วยความยากลำบาก ฉะนั้น..ฉันต้องมั่นใจว่าได้มอบมันให้กับคนที่คู่ควรจริง ๆ”
อนุตทักท้วง “แต่คนใจร้อนอย่างภูผาจะบริหารลูกเรือเป็นร้อยคนได้ยังไงครับ ธุรกิจต้องใช้สติและเหตุผลมากกว่าอารมณ์!”
“ถึงพฤกษ์จะมีเหตุผลแต่ก็ไม่เข้มแข็งสู้งานเท่ากับภูผา หรือแกจะเถียงว่ามันไม่จริง!”
อนุตอึ้งไปเพราะที่แม่พูดออกมาเป็นความจริง
“อนุต...เรือที่เครื่องมันแรงเกินไป เรายังลดความเร็วมันได้แต่เรือที่เครื่องไม่สมบูรณ์แล้วยังแล่นช้า ถ้าเจอพายุโถมเข้าใส่..สุดท้ายก็ต้องอับปางอยู่กลางทะเล!”
อนุตยิ่งอึ้งเถียงไม่ออก
วงเดือนอึ้งๆ กับเรื่องที่ได้ฟัง จังหวะนั้นมีมือของภูผาเข้ามาท้าวที่ประตู ภูผาอยู่ด้านหลังวงเดือนกระซิบข้างหู
“แอบฟังผู้ใหญ่คุยกัน มันเสียมารยาทนะ”
วงเดือนตกใจหันมาเจอภูผาในระยะประชิด
“คุณภูผา!”
ภูผายกทั้งสองแขนขึ้นท้าวกับประตู จนกลายเป็นวงเดือนอยู่ในอ้อมแขนออกไปไหนไม่ได้
ภูผายื่นหน้าเข้ามาใกล้ขึ้น “ตกใจมากเหรอ”
วงเดือนถดตัวถอยออกศรีษะติดประตู จนภูผาเหมือนเกือบจะจูบ วงเดือนตัดสินใจย่อตัวลงแล้วลอดใต้แขนภูผาออกมา วงเดือนจะไป ภูผาดึงแขนวงเดือนไว้กระชากเข้ามาใกล้ พูดข้างหู
“อย่าพูดเรื่องนี้กับใคร!! ไม่งั้น..” ขยับมาพูดขู่ชิดใบหู “เธอโดนฉันลงโทษแน่!!”
วงเดือนสะบัดมือเต็มแรง ภูผายอมปล่อยให้หลุด วงเดือนหน้าแดงมองภูผาที่ดูสายตาเอาจริงว่าห้ามพูด
จากนั้นวงเดือนรีบเดินหนีไปทันที ภูผายิ้มมองตาม
เสียงศรีเรือนพูดเด็ดขาด “คืนนี้แม่จะประกาศยกแสนสมุทรให้ภูผา!”
“คุณแม่!”
ภูผาหันมองประตูสีหน้าเครียด

วงเดือนกลับเข้ามาในห้องพักที่เรือนคนงานหลังบ้าน แล้วต้องชะงักตะลึง บนเตียงมีชุดงานเลี้ยงสีชมพูเรียบเก๋ ประดับด้วยสายคาดเอวที่มีดอกไม้สวย
วงเดือนเข้าไปมองชุดด้วยความสงสัย เห็นกระดาษโน้ตวางข้างๆ ชุด วงเดือนหยิบขึ้นมาอ่าน
“สำหรับน้องสาวของพี่..พฤกษ์”
วงเดือนคว้าชุดและพุ่งไปที่ประตู ตั้งใจจะไปคุยกับพฤกษ์ แต่เมื่อเปิดประตู วงเดือนก็ต้องชะงักอีกครั้งเมื่อพฤกษ์ยืนอยู่หน้าประตูห้อง
“เปลี่ยนชุด..แล้วออกไปร่วมงาน”
“เดือนเป็นแค่คนงาน ไม่ใช่…”
“เดือนเป็นหนึ่งในสมาชิกของแสนสมุทร เป็นน้องสาวของพี่..จำไว้!”
วงเดือนค่อยๆ ยิ้มให้พฤกษ์ด้วยความตื้นตันใจ

ภายในงานเลี้ยงบรรยากาศคึกคัก แขกเหรื่อจับกลุ่มคุยกันครึกครื้น อนุต ศรีดารา และศรีเรือนกำลังคุยอยู่กับแขกทางด้านหนึ่ง
เมฆาพาอรุณเดินเข้ามาในงานหันมองเห็นอรุณที่กำลังมองหาอะไรสักอย่าง
“มองหาเดือนเหรอ?”
“เอ่อ..ครับ ผมห่วงเดือน เมื่อกี้คุณย่า...”
“แกก็รู้ว่าคุณย่าพูดแบบนั้นกับเดือนมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถ้าเดือนทนได้ก็จบ! เราก็ไม่เห็นต้องสนใจอะไร”
อรุณทำท่าจะท้วง “แต่..”
เมฆาตัดบท “เข้าใจที่พี่พูดไหม?”
อรุณพยักหน้ารับ แต่ในใจไม่เห็นด้วย “ครับ”
อรุณเบือนหน้าหนีด้วยความไม่เห็นด้วย จังหวะนั้นภูผายื่นแก้วน้ำมาตรงหน้าอรุณ
“สักแก้วไหมอรุณ?”
เมฆาแย่งมาทันที “น้ำอะไร” เมฆาดม
“น้ำชา!”
เมฆานิ่งไปเพราะรู้ว่าแสดงอาการไม่เหมาะ
“คิดว่าฉันจะเอาเหล้าให้อรุณกินงั้นเหรอ?” ภูผารู้ทัน
“ผมก็แค่ทำตามหน้าที่ อย่าลืมสิว่าผมเป็นหมอ”
“แกก็อย่าลืมว่าฉันเป็นพี่ชายมัน ไม่มีพี่คนไหนคิดจะฆ่าน้องตัวเองหรอก!!” ภูผาจับหัวอรุณโยกอย่างเอ็นดู “ใช่ไหมเด็กน้อย?”
อรุณฉุนเบี่ยงหัวออก “ผมไม่ใช่เด็กแล้ว”
“ผมไม่ได้คิดขนาดนั้น แต่เพราะพี่ชอบเล่นอะไรไม่เข้าท่าต่างหากล่ะ วันก่อนถ้าไม่ใช่เพราะพี่ อรุณก็คงไม่เกือบตายหรอก!”

เมฆามองหน้าภูผาอย่างตำหนิ ภูผาอึ้งเถียงไม่ออก

เหตุการณ์ในวันก่อนหน้านั้น สี่ชายและหนึ่งหญิง เดินเรียงหน้ากระดานคุยกันมาที่ริมชายหาด ภูผาและพฤกษ์ยังถอดเสื้อกิริยาสบายๆ

“พี่แพ้แกอีกตามเคย เรื่องว่ายน้ำนี่ไม่มีใครสู้แกได้จริงๆ ภูผา” พฤกษ์ว่า
“ผมก็เก่งแต่ว่ายน้ำในทะเล แต่จะให้ขึ้นบกคุมคนแบบพี่พฤกษ์ผมก็ทำไม่ได้ หรือจะให้จับมีดหมออย่างเมฆาผมก็ไม่ถนัด ใช่ไหมเดือน?”
วงเดือนยิ้มๆ “เดือนว่าเก่งกันทุกคนล่ะค่ะ แต่เก่งกันคนละอย่าง”
อรุณมองวงเดือน เห็นวงเดือนมองทั้งสามหนุ่มอย่างชื่นชมก็ไม่พอใจ
“แล้วผมล่ะ?”
ทุกคนหันมองเห็นอรุณเริ่มชักสีหน้า ก็เหลือบมองตากันเอาไงดี
“ก็เป็นน้องให้พี่ๆ ดูแลไง”
“แต่ผมไม่อยากเป็นน้องที่อ่อนแอ แค่เรื่องว่ายน้ำผมก็ไม่แพ้ใครเหมือนกัน..จะลองดูก็ได้”
เมฆาห้าม “อรุณ! แกออกกำลังหนัก ๆ ไม่ได้นะ”
ภูผามองอรุณ เห็นสีหน้าอรุณโกรธ อรุณกำมือแน่น ถูกพูดกระทบปมอ่อนแอของตัวเอง
“งั้นแข่งกันไหมล่ะ?!” ภูผาเอ่ยขึ้น
เมฆา กับพฤกษ์ตกใจ “พี่ผา” / “ภูผา!”
“อรุณบอกว่าทำได้ ก็ให้เขาลองสิ” ยื่นช่อดอกผักบุ้งให้วงเดือนและหันไปบอกอรุณ “คว้ามันให้ได้ก่อนพี่ก็แล้วกัน!”
เมฆาทนไม่ได้ “พี่แข่งแทนแกเอง!” เมฆาถอดเสื้อ
อรุณไม่ยอม “แต่ความภูมิใจ..มันทำแทนกันไม่ได้หรอกนะครับพี่เมฆา!”
เมฆาอึ้ง ถือเสื้อในมือนิ่งอยู่อย่างนั้น
อรุณหันไปยิ้มยักคิ้วให้ภูผาและวิ่งถอดเสื้อลงทะเลไป ภูผาตามติดไป วงเดือนหันมองเมฆาและพฤกษ์ด้วยความลำบากใจ ก่อนที่จะเดินลงทะเลตามไป
พฤกษ์จับไหล่เมฆา สีหน้าเมฆาฉายชัดว่าเป็นห่วงอรุณสุดๆ
ในเวลาต่อมาอรุณกับภูผายืนบนแพในทะเล วงเดือนถือช่อดอกไม้อยู่แพฝั่งตรงข้าม
อรุณและภูผาพยักหน้าให้กันก่อนกระโจนพุ่งลงไปในทะเล
เมฆาและพฤกษ์เดินเข้ามาดูด้วยใจจดจ่อ เมฆาสีหน้าเครียดอย่างเห็นได้ชัด
อรุณว่ายจ้วงเอาเป็นเอาตาย ภูผาก็ว่ายตามมาอย่างสูสี แต่ช่วงอึดใจหนึ่งภูผาดำน้ำหายลงไป โดยที่อรุณมัวแต่จ้วงว่ายอยู่จึงไม่สังเกตเห็น

วงเดือนชะงักเมื่อเห็นภูผาหายไป

ชิงนาง ตอนที่ 1(ต่อ)

ที่แท้ภูผาดำดิ่งลงไปในทะเล ปล่อยให้อรุณว่ายนำเขาออกไปห่าง ก่อนที่ภูผาจะพุ่งตัวขึ้นไปเหนือน้ำ

บนชายฝั่ง เมฆาและพฤกษ์มองหน้ากัน พฤกษ์ส่ายหัวและยิ้มน้อยๆ เขารู้ว่าภูผากำลังทำอะไร
ส่วนในทะเล อรุณว่ายเอาเป็นเอาตายมาถึงแพเส้นชัย โดยมีภูผาโผล่เหนือน้ำขึ้นมาตามหลังและว่ายตามมาติดๆ
อรุณและภูผาปีนขึ้นแพในเวลาไล่เลี่ยกัน แต่อรุณพุ่งเข้ามาคว้าดอกไม้ในมือเดือนได้ก่อน
อรุณพูดกับเดือน “ฉันชนะแล้ว” หันมาทางพี่สองคนบนฝั่ง “ผมชนะพี่ผา ผมเก่งไหม ผมชนะๆ”
เมฆาและพฤกษ์ปรบมือให้แมนๆ
ภูผายิ้มมองอรุณที่มีความสุข ภูผาหันมาเห็นวงเดือนมองอยู่อย่างรู้ทัน ภูผาทำเป็นเมินไปทางอื่น
จังหวะนั้น จู่ๆ อรุณชะงักหายใจไม่ออก..มือจับหน้าอก ร่างทรุดฮวบลง!!!
ภูผาพุ่งเข้าไปหาอรุณด้วยความตกใจ เมฆาและพฤกษ์ช็อก!!
ร้องอุทานออกมาพร้อมๆ กัน “อรุณ!”

ไม่นานหลังจากนั้นเมฆาพยายามช่วยอรุณที่หอบหนักอยู่ให้หายใจได้ เสียงลมหายใจเฮือกแรกหลุดออกมาได้สำเร็จ อรุณที่กำลังพยายามหายใจรวยริน

ภูผาและเมฆาดึงตัวเองกลับมา พร้อมๆ แก้วเหล้าของภูผากระแทกลงบนโต๊ะ เมฆากับภูผายังมองหน้ากันอยู่
“ชีวิตอรุณไม่ใช่ของเล่นของใคร!!”
อรุณหน้าเสียไม่อยากให้พี่สองคนทะเลาะกัน
“พี่ผาไม่เกี่ยวนะพี่...”
ภูผาตัดบท “พี่ผิดเอง!”
ความรู้สึกของทุกคนยิ่งแย่เข้าไปอีก
เสียงพฤกษ์ดังลอดเข้ามา “ถ้างั้นพี่ก็ต้องผิดด้วย!” ก่อนที่เดินเข้ามาสมทบ
“เพราะพี่ไม่ได้ห้ามภูผาไม่ให้ทำอย่างนั้น!”
บรรยากาศอึดอัดเข้ามาครอบคลุม ภูผาเดินฉีกไปอีกมุม..ไม่อยากต่อความ แต่เมฆายังเดินตาม!!
พฤกษ์คว้าแขนเมฆาไว้ เมฆายกมือห้ามแล้วหันไปพูดกับภูผาอย่างชัดเจน
“ผมรักอรุณ แล้วผมก็เชื่อว่าพี่ก็รักอรุณไม่แพ้กัน สัญญากับผม..ว่าอย่าทำแบบนี้อีก!!”
ภูผาหันมาเห็นแววตาจริงจังของเมฆา
เมฆายื่นมือให้ ภูผามองนิ่งก่อนที่จะจับกระชับ!! ทั้งสองยิ้มให้กัน พฤกษ์และอรุณโล่งใจ
แต่จังหวะนั้น ภูผาต้องชะงักเมื่อเห็นใครคนหนึ่ง ทุกคนหันมองตาม
“เดือน...”
วงเดือนในชุดสุดสวยและงดงามเดินเข้ามา พฤกษ์ ภูผา และอรุณเกิดอาการตะลึงกับความน่ารักสวยงามของวงเดือน
ส่วนเมฆา ซึ่งยังไม่รู้สึกพิเศษต่อวงเดือน จับสังเกตอาการของสามคน วงเดือนเดินเข้ามาหากลุ่มภูผาด้วยอาการเก้อเขิน
“ทำไมพี่พฤกษ์ทำหน้าอย่างนั้นคะ? เดือนดูตลกเหรอ?”
“ไม่เลย คืนนี้เดือนสวยมาก”
วงเดือนเขินหันมองอรุณ
อรุณยิ้มกว้าง เห็นด้วยกับพี่ชาย “ใช่..เดือนสวยที่สุดในงานเลยนะ”
วงเดือนหันมาพูดขอบคุณพฤกษ์ “ขอบคุณคุณพฤกษ์นะคะที่อุตส่าห์เตรียมชุดให้เดือน”
ทั้งอรุณและภูผาชะงักกึก โดยเฉพาะอรุณรู้สึกขัดใจขึ้นมาทันที
“เดือนขอตัวไปช่วยงานทางโน้นก่อนนะคะ”
พฤกษ์ขวางไว้ “ฉันไม่ได้ให้เดือนใส่ชุดนี้มาเสิร์ฟน้ำนะ”

เมฆามองวงเดือนอย่างรู้ทัน “คุณย่าไม่ว่าอะไรเธอหรอก เพราะคืนนี้เธอเป็นแขกของพี่พฤกษ์”
วงเดือนยังไม่กล้าอยู่ดี “ที่ตรงนี้ไม่เหมาะกับเดือนหรอกค่ะ”
วงเดือนเดินหนีไป ภูผาคว้ามือไว้แล้วดึงจนวงเดือนเซถลาเข้ามาในอ้อมกอดภูผา!!
อรุณหันขวับ!! หึงหวงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
“อย่าดื้อ!!”
ภูผาบอก วงเดือนอึ้งๆ ค่อยๆ ถอยจากภูผาด้วยอาการเก้อเขิน จนสะดุดขาตัวเองหงายเงิบ!!
วงเดือนร้องลั่น “ว๊ายยย!!”
ภูผาคว้าตัวไว้ได้อีกครั้ง แต่ครั้งนี้แนบชิดกว่าเดิม!! โดยไม่ได้ตั้งใจ
“ซุ่มซ่ามจริงๆ!” ภูผาสัพยอก
พฤกษ์มองมือภูผาที่โอบวงเดือน แต่เก็บอารมณ์ไว้ไม่แสดงออก แต่อรุณจี๊ด!! คว้าแก้วเหล้าของภูผา ที่วางอยู่ ขึ้นดื่มพรวดเดียว! โดยที่ทุกคนไม่เห็น

เสียงปรบมือดังขึ้น วงเดือนผละตัวออกจากวงแขนภูผา

ภายโถงกลางสถานที่จัดงานในบ้านแสนสมุทร เสียงปรบมือเงียบลง ศรีเรือนยืนเด่นอยู่กลางงาน มีอนุตยืนเคียงข้าง ทุกคนหันไปมองที่ศรีเรือน เป็นตาเดียว

“ขอบคุณแขกทุกท่านที่มาเป็นเกียรติในงานฉลอง 50 ปีแสนสมุทร และในคืนนี้ดิฉันขอถือโอกาสแจ้งเรื่องสำคัญให้ทุกคนทราบ 50 ปี แล้ว ที่ดิฉันดูแลกิจการแสนสมุทรจนรุ่งเรือง หน้าที่ของดิฉันควรยุติลงสักทีเพื่อมอบหมายให้กับทายาทรุ่นต่อไปที่เหมาะสม”
เมฆายิ้มตบไหล่พฤกษ์
“ลูกชายคนโตก็งานหนักหน่อยนะพี่พฤกษ์”
พฤกษ์ยิ้ม “พี่จะไม่ทำให้คุณพ่อกับคุณย่าผิดหวังเด็ดขาด”
วงเดือนหันมองภูผา เห็นภูผาสีหน้าเครียดมองพฤกษ์อย่างเป็นห่วง
เวลาเดียวกันอรุณหายใจถี่แรงขึ้นทุกทีเพราะฤทธิ์เหล้า อรุณพยายามสูดลมหายใจลึกๆ แต่ก็อาการไม่ดีขึ้น
ขณะที่ศรีเรือนกำลังพูดต่อเรื่องสำคัญ
“และผู้ที่จะรับช่วงกิจการของแสนสมุทรต่อจากดิฉันก็คือ...”
อรุณยืนไม่อยู่ ล้มกวาดเอาถาดแก้วที่วางอยู่บนโต๊ะเล็กๆ ข้างตัว แก้วตกแตกกระจาย เพล้งๆๆ !!!
ทุกคนหันไปมองเห็นอรุณล้มคว่ำไปกับโต๊ะ ทุกคนตกใจ
“อรุณ!”
เมฆารีบพุ่งเข้าไปดูอาการอรุณที่หายใจเสียงดัง และหายใจถี่
เมฆาหันไปหาวงเดือน “เดือน..เตรียมยา!!”
วงเดือนรีบวิ่งออกไปทันที
“ทำไมอยู่ๆ อาการถึงกำเริบขึ้นมาอีก?”
เมฆาก้มลงดมที่ปากของอรุณ “เหล้า! แกกินเหล้าได้ยังไง?!”
อรุณพยายามหายใจแต่ลำบากเต็มที
เมฆาหันขวับมองภูผาเป็นเชิงต่อว่า ภูผาอึ้งปนงงว่าไปให้ตอนไหน?!
เสียงหายใจของอรุณเริ่มดังเป็นเสียงวี้ด อาการบอกให้รู้ว่าหลอดลมตีบมากแล้ว
เมฆาร้องขึ้น “พี่พฤกษ์ ช่วยผมพาอรุณขึ้นไปที่ห้อง!”
เมฆากับพฤกษ์ช่วยกันยกร่างอรุณออกไป ทั้งหมดรีบตามออกไป

เวลาผ่านไป อรุณนอนหลับด้วยอาการหายใจที่เป็นปกติแล้ว
เมฆาดึงผ้าห่มให้อรุณ
“ปลอดภัยแล้ว เดือนคอยเช็คอาการทุกชั่วโมงนะ”
“ค่ะ”
เมฆาเดินออกไปนอกห้อง วงเดือนมองอรุณด้วยความเป็นห่วง

ในห้องโถงชั้นล่างเวลานั้น ภูผายืนนิ่งเครียด เมฆาพุ่งกระชากคอเสื้อภูผา
“พี่จะฆ่าอรุณหรือยังไง?!”
พฤกษ์รีบเข้าไปจับมือเมฆาไม่ให้ทำร้ายภูผา
“เมฆา ใจเย็นๆ”
“เย็นไม่ไหวแล้วพี่พฤกษ์ ไม่เห็นเหรอว่าน้องเกือบตายเพราะใคร!”
ศรีเรือนนิ่งงัน ศรีดาราเริ่มร้องไห้ ไม่ต้องการให้ลูกทะเลาะกัน ส่วนอนุตเดินเข้ามาประจันหน้ากับภูผา
“แกเอาเหล้าให้อรุณดื่มใช่ไหม?”
ภูผาอึกอัก “พ่อ..ผม…”
อนุตตบหน้าภูผา ผัวะ!! ทุกคนตะลึง
อนุตโกรธจัด “น้องคนเดียวแกยังดูแลไม่ได้ แล้วกิจการแสนสมุทรฉันจะฝากไว้ในมือแกได้ยังไง ภูผา!”
ทุกคนตะลึง โดยเฉพาะพฤกษ์
ภูผามองพฤกษ์เห็นพฤกษ์หน้าเสีย ภูผาตัดสินใจปฏิเสธด้วยวิธีการของเขา
“ผมก็ไม่คิดอยากได้แสนสมุทร!”
ศรีเรือนตวาด “ภูผา!”
“ทำไมผมต้องทำงาน เรามีเงินตั้งเยอะแยะ อยู่เฉยๆ ผมก็ไม่อดตาย สบายซะด้วยซ้ำ
“ไอ้ภูผา!!”
อนุตโกรธจัดพุ่งทะยานเข้าชกภูผา แต่ศรีดารายื้อไว้สุดตัว แต่ก็ทำให้เลือดกบปากภูผาไปแล้ว
“อย่าค่ะคุณ อย่าทำลูก!! ฉันขอร้อง!!” ศรีดาน้ำตาไหลพราก
“ขอโทษครับแม่ ผมขอโทษที่ทำให้ทุกคนผิดหวัง แต่ผมรับไว้ไม่ได้จริงๆ”
อนุตโกรธมาก “ฉันไม่เคยคิดจะให้แก” หันไปทางศรีเรือน “นี่ไงครับ” ชี้หน้าภูผา “คนที่คู่ควรสืบทอดกิจการแสนสมุทรของคุณแม่!!”
ศรีเรือนน้ำตาคลอมองภูผาด้วยความผิดหวัง ก่อนเดินจากไป ทั้งเจ็บปวดทั้งเสียหน้า
อนุตพูดกับภูผา “ขอบใจที่แกทำให้ฉันรู้ว่าฉันคิดไม่ผิด” หันมาทางพฤกษ์ “ต่อไปนี้..พฤกษ์จะเป็นคนดูแลกิจการแสนสมุทรทั้งหมด!!”
อนุตเดินฉับๆ ออกไปด้วยความโกรธ ปล่อยให้ทุกคนอึ้ง ศรีดาราร้องไห้อยู่ตรงนั้น
ภูผาหันมองพฤกษ์ ถึงจะเจ็บปวด แต่กลับมีรอยยิ้มผุดขึ้นในแววตา

พฤกษ์นิ่งงันในใจยามนี้เจ็บปวดเหลือเกิน

บนเรือประมงของแสนสมุทรบริเวณท่าเรือยามเช้าวันต่อมา บรรยากาศรอบข้างแลเห็นแสงทองของทะเลระยิบระยับ สวยงาม..แต่ว้าเหว่เหลือแสน

พฤกษ์นั่งเดียวดายอยู่บนเรือประมงมองทอดสายตาออกไปยังท้องทะเลเบื้องหน้า ในจังหวะที่ภูผาก้าวเข้ามายืนข้างๆ พฤกษ์
“แกทำแบบนี้ทำไม?”
“ทะเลเป็นของพี่..ไม่ใช่ของผม”
“แกต่างหากที่ยกมันให้ฉัน” พฤกษ์แย้ง
“ลูกชายคนโตควรจะได้รับมันไม่ใช่เหรอ?”
“แต่ไม่ใช่ด้วยวิธีที่ทำให้แกเลวในสายตาของทุกคน!!”

ภูผายิ้มให้ “จะไปแคร์ทำไม ผมมันก็แค่ส่วนเกินของแสนสมุทร ฟังผมนะพี่พฤกษ์ ทะเลเป็นของพี่ ชีวิตเป็นของเมฆา ส่วนอรุณเป็นหัวใจของบ้าน...”
พฤกษ์ขัดขึ้น “แกเลยคิดว่าตัวเองไร้ค่า”
ภูผาหัวเราะชอบใจ “เข้าใจน้องไปหมดซะทุกเรื่อง พี่นี่เกิดมาเป็นพี่คนจริงๆ”
พฤกษ์พูดอย่างจริงจัง “น้องอย่างแกมีค่าที่สุดในสายตาพี่อย่างฉัน!”
ภูผานิ่งไปนิด “สักวันนึง...ผมคงมีค่า สักวันนึง...” ภูผายิ้ม “แต่วันนี้เป็นของพี่ พาแสนสมุทรออกไปให้ไกลที่สุดนะพี่พฤกษ์!”
พฤกษ์มองภูผา พยักหน้ารับ
“แล้วไม่ต้องห่วงว่าจะขาดลูกเรือนะ ผมพร้อมเสมอ”
ภูผาตบหลังพฤกษ์ดังป๊าบๆ
พฤกษ์ยิ้มกว้างแล้วเบิ๊ดกบาลภูผา ดังป๊าบ! “ขอบใจนะ”
ภูผาโวย “เฮ้ย! พี่พฤกษ์ ผมแค่ตบไหล่”
“ก็ฉันจะตบหัวแกมีอะไรไหม?” พฤกษ์ว่า
ภูผาลุกขึ้นวิ่งไล่จะอัดพฤกษ์เป็นการเอาคืน พฤกษ์วิ่งหนีอยู่บนเรือ ภูผาเข้าล็อคพฤกษ์จนตกทะเล ตูม!!
สองพี่น้องเฮฮา จับกดน้ำกันกลางทะเลที่มีแสงระยิบระยับ

ค่ำคืนนั้นที่คลับเฟื่องนคร คลับดังของเมืองนี้ บรรยากาศด้านหน้า แสนคึกคัก ชายหนุ่ม หญิงสาวจับกลุ่มคุยกัน…เสียงดนตรีดังลอดออกมา
ภูผาขับมอเตอร์ไซค์เข้ามาจอด….หญิงสาวกลุ่มหนึ่งตื่นเต้น แอบกรี๊ด
ภูผาไม่สนใจ จอดรถแล้วเดินเข้าไปข้างใน

บรรยากาศภายในคลับเฟื่องนครก็กำลังคึกคักได้ที่…ภูผาเดินเข้ามา สวนกับหญิงสาวสวยสองคนที่ผ่านมาอีกทาง หญิงสาวเหลือบตามองภูผาแล้วหันไปหัวร่อคิกคักชมกันว่าหล่อจัง
แก๊งเพื่อนภูผาที่เต้นรำอยู่บนฟลอร์ รีบโบกมือเรียก
“เฮ้ย ภูผา ทางนี้”
ภูผาเห็นเข้าก็ส่ายหน้าขำๆ ก่อนจะเดินไปนั่งรอที่เคาน์เตอร์
“ดื่มอะไรดีครับคืนนี้” บริกรถาม
ภูผาสั่ง “เหมือนเดิม!”
บริกรยิ้มรับ เพื่อน 2 รีบลงจากฟลอร์เข้ามาหา
“จะมานั่งอยู่ทำไมวะ คืนนี้ไม่ธรรมดานะเว้ย ไม่เห็นเหรอว่าสาวเพียบ สวยๆ ทั้งนั้นเลยนะเว้ย”
พลางเพื่อนๆ ต่างชี้ชวนกันดูหญิง แต่ภูผาไม่สนใจ
อีกด้าน มีกลุ่มชายมาดนักเลงแนวมาเฟียนั่งอยู่ มีเฮียหัวหน้าแก๊งพร้อมลูกน้อง มองมาทางภูผา….ภูผามองมาเจอเข้า แต่ไม่สนใจ
“กวนตีน!” เฮียสบถ
เสียงเพลงใหม่ดังขึ้น…สาวๆ กรี๊ด....หนุ่ม-สาวก้าวเข้ามาในฟลอร์เต้นรำ สมุนแก๊งมาเฟียพาสาวๆ ของตนออกไปที่ฟลอร์
ภูผามองไปรอบๆ…ท่ามกลางหนุ่มสาวบนฟลอร์…..สายตาไปหยุดที่วงเดือนที่หมุนตัวพลิ้วสวยงาม กำลังเต้นรำอยู่กับคู่เต้นชาย
ภูผาชะงักลุกพรวดขึ้นเกาอี้ล้มตึง! เพื่อนตกใจกันทั้งโต๊ะ
“เฮ้ย อะไรวะ เป็นไรไอ้ผา”
ภูผาไม่ตอบแต่ก้าวพรวดยาวๆ ออกไปทันที เดินฝ่าคนบนฟลอร์ตรงไปยังวงเดือนที่กำลังเต้นรำอยู่ ภูผากระแทกไหล่เข้ากับเฮียหัวหน้าแก๊งมาเฟีย เท้าภูผาเหยียบเท้าเฮีย แต่ภูผาไม่มีท่าทีสนใจ เฮียมองตามหลังภูผาไปแล้วมองหน้าลูกน้องสองสามคนสีหน้าโกรธจัด

“มากไปแล้วโว้ย กวนตีนแล้วยังเหยียบตีนกูอีก”

บนฟลอร์เต้นรำเวลานั้น วงเดือนหมุนตัวกลับมาเจอภูผาเข้าก็ตกใจตาค้าง ด้วยคาดไม่ถึง

“คุณภูผา!”
ภูผากระชากแขนให้วงเดือนเดินตามออกไปทันที…ชายคู่เต้นของวงเดือนโวยวาย
“เฮ้ย จะทำอะไรน่ะ”
ชายคนนั้นตามไปกระชากไหล่ภูผาให้หันกลับมา ภูผาหันกลับมาแล้วกำหมัดเสยคางชายคนนั้นเต็มแรง ร่างร่วงหงายหลังไป ฟลอร์แตกทันที
ทุกคนร้องกรี๊ด!!!
ภูผากึ่งดึงกึ่งลากตัวเดือนให้ตามออกมาด้านหน้าคลับ วงเดือนพยายามขัดขืน สะบัดแขนออกจากภูผาแต่ไม่สำเร็จ
“ปล่อยเดือนนะ ปล่อยสิ”
ภูผาหันกลับมาตวาด “เงียบ!”
วงเดือนตกใจหุบปากแทบไม่ทัน
ภูผาลากตัววงเดือนออกมาจนพ้นฝูงคนที่ออกันอยู่ด้านหน้า ปล่อยแขนวงเดือนแล้วชี้หน้า
“ไม่คิดเลยนะว่าเจอเธอในที่แบบนี้ ที่แท้ก็เป็นคนอย่างนี้งั้นเหรอ”
“เดือน….” วงเดือนพยายามจะอธิบาย
“กลับบ้านไปซะ!” ภูผาพูดแทบเป็นตวาด
วงเดือนยังคงอ้ำอึ้ง ตกใจทำอะไรไม่ถูก
ภูผาตวาด “ไม่ได้ยินเหรอ ฉันบอกให้กลับบ้านไป!”
ภูผาออกคำสั่งเสร็จก็จะเดินกลับไปที่คลับ วงเดือนสุดทน เถียงไล่หลังไป
“มีสิทธิ์อะไรมาสั่ง เราไม่ได้เป็นอะไรกันซะหน่อย”
ถูกพูดแทงใจดำ ภูผาหันกลับมาจ้องหน้าวงเดือน
“แล้วอยากเป็นไหมล่ะ”
วงเดือนผงะถอยหลังกรูด ภูผาเดินกลับมาด่าต่อ
“ที่นี่ไม่ใช่ที่ของผู้หญิง” ภูผาขยับใกล้มากขึ้น “โดยเฉพาะผู้หญิงของฉัน”
“แต่เดือนไม่ใช่ผู้หญิงของใคร!” พลางถอยออกห่างๆ
ภูผาดึงตัววงเดือนเข้ามาจูบอย่างรวดเร็ว
วงเดือนผลักภูผาออก
ภูผายิ้มตรงมุมปาก จ้องหน้าวงเดือนที่กำลังตื่นตระหนก
“ชอบให้ฉันย้ำใช่ไหมว่าเธอเป็นผู้หญิงของฉัน ของฉันคนเดียว”
วงเดือนตบหน้าภูผาแล้ววิ่งหนีไป ภูผาจะตามไป เพื่อนๆ กรูออกมาจากคลับ ร้องเรียก
“ไอ้ผา!!”
ภูผาชะงัก หันกลับไปมองเพื่อน
“ทำบ้าอะไรของแกวะ น้องๆ พยาบาลเขามาฉลองเรียนจบกันนะเว้ยแกไปต่อยอาจารย์เขาร่วงทำไม
ภูผานิ่งงัน รู้ตัวว่าทำพลาดไปแล้ว รีบตามวงเดือนไปทันที

วงเดือนวิ่งหนีเข้ามาในซอยเปลี่ยว แล้วหยุดวิ่ง ใจเต้นโครมคราม ภูผาตามมาติดๆ
“วงเดือน”
วงเดือนหันกลับมามองเห็นภูผาเดือนรีบวิ่งต่อทันที
“หยุดก่อน”
ภูผาวิ่งตามมาจับรวบเอววงเดือนไว้
วงเดือนร้องโวยวายให้ปล่อย “ปล่อยนะ ปล่อยฉัน ปล่อย”
“ขอโทษ”
วงเดือนดิ้นไม่หยุด “ปล่อยฉันนะ”
ภูผาตวาดลั่น “ฉันบอกว่าฉันขอโทษ!”
วงเดือนตกใจ ชะงักไป
ภูผาตระกองกอดวงเดือนไว้แน่น รั้งตัวไว้ไม่ให้ดิ้นหลุด

ที่บริเวณด้านหน้าคลับเฟื่องนครเวลานั้น พวกแก๊งมาเฟียมองหาภูผาอยู่

เฮียถามเสียงดัง “มันจะหายไปได้ยังวะ”
“ข้างในก็ไม่มี มันอาจจะกลัวจนกลับไปแล้วก็ได้เฮีย” ลูกน้องบอก
“อย่าให้เจออีกก็แล้วกัน คราวหน้ามันโดนแน่ ไอ้ภูผา!” เฮียคำราม
พวกมาเฟียกลับเข้าไปในคลับ


ภูผาขับมอเตอร์ไซค์ซึ่งมีวงเดือนซ้อนท้ายกลับเข้ามาจอดในบริเวณบ้าน ภูผาหันไปมองวงเดือนที่ยังกอดเอวแน่นเพราะกลัวตก
“ที่กอดแน่นขนาดนี้เธอกลัวตกหรือว่าอยากกอดฉัน..ทั้งคืน”
วงเดือนตกใจรีบปล่อยมือออกแล้วลงจากรถทันที มองหน้าภูผาตื่นๆ แล้ววิ่งหายไป
-ภูผาถอดหมวกกันน็อคออก มองตามเดือนไปแล้วยิ้มเยาะ(แต่แอบชอบใจ)
ภูผาจอดรถแล้วเดินเข้าบ้านไป
ที่หน้าต่างชั้นบน เห็นแสงไฟจากหน้าต่างห้องนอนอรุณ อรุณมองลงมา เห็นภาพทุกอย่างที่เกิดขึ้น หนุ่มน้อยหน้าเสียๆ รู้สึกใจคอไม่ดี

ขณะที่วงเดือนวิ่งเข้ามาที่เรือนไม้หลังเล็ก เปิดประตูแล้วรีบเข้าไปในห้อง
ภายในห้อง วงเดือนหายใจหอบพยายามตั้งสติ…จับหัวใจตัวเองที่กำลังเต้นแรง แล้วรีบเข้าไปหากระจก จ้องหน้าตัวเองในกระจก เห็นชัดว่าหน้าตาตื่นอยู่ วงเดือนยกมือขึ้นจับริมฝีปากตัวเอง นึกถึง
ตอนที่ภูผาดึงตัวเองเข้าไปจูบ
“ชอบให้ฉันย้ำใช่ไหมว่าเธอเป็นผู้หญิงของฉัน ของฉันคนเดียว”

วงเดือนสับสนในใจอย่างหนัก พยายามเตือนสติตัวเอง
“โกรธสิเดือน เธอต้องโกรธเขาสิ…”
วงเดือนโกรธหัวใจตัวเองที่ดื้อ

ภูผาเดินขึ้นบันไดมา กำลังจะเข้าโถงชั้นบน…เจออรุณยืนรออยู่ ด้วยสีหน้าน้อยอกน้อยใจ
“ทำไมยังไม่นอนอีก”
อรุณชักสีหน้า “นอนก็ไม่เห็นน่ะสิครับ”
ภูผาชะงัก “เห็น? เห็นอะไรเหรอ”
“พี่ก็รู้ว่าผมเห็นอะไร” อรุณว่า
ภูผายิ้ม หัวเราะหึๆ เพิ่งเข้าใจว่าอรุณพูดถึงอะไร
“เดือนเป็นของผมนะครับพี่ผา”
“เดือนเขาเป็นพยาบาลของแก ไม่ใช่เมีย อย่าสับสน” ภูผาตบบ่าน้องชาย
อรุณอึ้ง
ภูผาเปิดประตูเข้าห้องตัวเองไป อรุณมองตามไปด้วยความรู้สึกทั้งโกรธทั้งเสียหน้า ลมหายใจเริ่มติดขัด ก่อนจะค่อยๆ ทรุดลงไปกับพื้น อาการหอบกำเริบขึ้นมาอีกครั้ง!

บรรยากาศภายในห้องนอนอรุณคืนนั้นแสนตึงเครียด เมฆากำลังลงมือช่วยชีวิตอรุณที่นอนหายใจหอบแรงอยู่บนเตียง ศรีดารากุมมืออนุตอย่างใจเสีย ศรีเรือนกำลังร้อนใจ
วงเดือนวิ่งขึ้นบันไดมา ค้อมหัวให้ศรีเรือน แต่ถูกศรีเรือนซัดทันที
“จะรอให้หลานฉันตายก่อนรึไงหล่อนถึงจะขึ้นมา!”
“เดือนขอโทษค่ะ”
วงเดือนรีบเข้าไปด้านใน เตรียมช่วยเมฆา
เสียงเมฆาเอ่ยขึ้น “ออกซิเจน”
วงเดือนรีบเช็คมาตรวัดที่ถังออกซิเจน
วงเดือน “ออกซิเจนพร้อมค่ะ”
เมฆาเอ่ยขึ้น “ฉันจะผายปอดด้วย”
วงเดือนเอาหน้ากากออกซิเจนครอบหน้าอรุณ ในขณะที่เมฆาลงมือผายปอด
เมฆาสั่ง “ชีพจร”
วงเดือนจับที่ข้อมืออรุณเพื่อวัดชีพจร
ศรีดารากำมืออนุตแน่น
อนุตบอกเบาๆ “ไม่ต้องห่วงน่าคุณ เราเตรียมทุกอย่างไว้เพื่อรับมือกับเรื่องนี้ครบหมดแล้ว”
ศรีเรือนมองเหยียดวงเดือนอย่างไม่ชอบใจ

“สั่งสอนนังเด็กนั่นด้วยว่า มันอยู่ที่นี่ในฐานะอะไร และมีหน้าที่ต้องทำอะไรบ้าง ย้ำใส่กระโหลกมันเข้าไว้ มันจะได้ไม่ลืม!”

ชิงนาง ตอนที่ 1(ต่อ)

เวลาผ่านไปเมฆาเดินออกมานอกบ้าน เห็นภูผาที่หันหลังให้อยู่ หันกลับมาเผชิญหน้าเมฆา

“แล้วพี่ก็ทำอีกจนได้!” เมฆาเอ่ยขึ้น เนื้อเสียงแดกดันแกมประชดอยู่ในที
ภูผาฉุน “พูดอะไรของแก ฉันทำอะไร?”
“พี่เคยบอกว่า ‘ไม่มีพี่คนไหนคิดจะฆ่าน้องชายตัวเอง’ แล้วทำอีกทำไม?”
ภูผาอึ้ง พูดไม่ออก
เมฆาเดินกลับเข้าบ้านไป ภูผามองตาม สีหน้าเครียดเคร่งคิดในสิ่งที่เมฆาพูด

ภูผาพาตัวเองมาอยู่ตรงสะพานปลาท่าเรือ ในเวลาต่อมา
ที่ท่าเรือ มีเรือแสนสมุทรจอดอยู่เพียงไม่กี่ลำ ที่เหลือออกทะเล ภูผาเดินเข้ามา ยังกลัดกลุ้มไม่หาย แหกปากตะโกนก้องระบดระบายด้วยความเบื่อหน่าย
“เบื่อโว้ย! สักวันหนึ่งเถอะ จะออกทะเลแล้วไม่กลับมาอีกเลย แสนสมุทรมีเลือดดีมากพอแล้ว ตัดเลือดชั่วออกไปบ้าง ก็คงดี!”

เช้าวันต่อมาที่คลินิคหมออนุตซึ่งตั้งอยู่ในตลาดกลางใจเมือง ป้าย ‘หมออนุต การแพทย์’ ถูกเอาลงมา อนุตหันบอกกับเมฆา
“ตระกูลเราเป็นหมอกันมาแต่ไหนแต่ไร พ่อโชคดีที่ยังมีแกรับช่วงสืบต่อไปได้....ขอบใจนะเมฆา”
“ผมรู้สึกเป็นเกียรติครับที่ได้ทำหน้าที่นี้” เมฆายิ้มให้พ่อ
“ชีวิตคนในเมืองนี้ฝากไว้ที่แกแล้ว ทำหน้าที่ของหมอให้ดีที่สุด”
“แน่อยู่แล้วครับพ่อ”
ศรีดาราอยู่ด้วยเอ่ยขึ้น “คนงานเขาจะเข้ามาปรับปรุง ทาสีใหม่ แล้วก็ขยับขยายห้องตรวจให้
ตามที่ลูกต้องการ ไม่กี่วันก็คงจะเรียบร้อย”
“ขอบคุณครับคุณแม่”
เมฆาหันไปมองหน้าอนุต
“ผมมีเรื่องจะขอพ่อ”
อนุตหันมาแซว “ฉันยกคลินิคให้แล้ว แกยังจะเอาอะไรอีก” พลางหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “เอ้า มีอะไรก็ว่ามา”
“ไหนๆ เดือนก็เรียนจบแล้ว ผมอยากให้เดือนมาเป็นพยาบาลผู้ช่วยให้ผมที่นี่”
อนุตชะงัก อึ้งไป
ศรีดารารู้สึกกังวลไม่ต่างกัน “ถ้าลูกอยากได้พยาบาล แม่ว่าเรารับคนใหม่ก็ได้นี่จ้ะ ถ้าเอา
ตัวเดือนมา แม่เกรงว่ามันจะไม่ดีกับอรุณนะลูก”
“คนที่น่าเป็นห่วงที่สุดในบ้านเรา ไม่ใช่อรุณหรอกครับ ผมว่าเป็นคนอื่นมากกว่า” เมฆาพูดเป็นนัย

ตอนสายวันนั้นภูผาเร่งขี่มอเตอร์ไซค์มาด้วยความเร็ว....เบื้องหน้า มีผู้ชายมาดนักเลง 5 คน ยืนขวางถนน ปิดทางไว้ไม่ให้ผ่าน ภูผาจำต้องเบรกรถอย่างกะทันหันจนเกือบเสียหลัก กวาดตามองชายทั้ง 4 แล้วจำได้
“เฮ้ย ลงมาสิ” หนึ่งในนั้นตะโกนสั่ง
ภูผายังคงจ้องนิ่ง เร่งเครื่องรถ
“จะหนีเรอะ?! ไอ้ขี้ขลาด!!” คนเดิมพูดเยาะ
ภูผานิ่งอยู่อย่างนั้น ไม่ถอย ไม่ไปไหน
“มากราบตีนเฮียข้าซะดีๆ.... จำได้มั้ยว่าเคยเหยียบตีนใครไว้”
“จำไม่ได้โว๊ย!!”
ว่าแล้วภูผาก็เร่งเครื่องขับฝ่ากลางออกไปทันที
“เฮ้ย! ตาม อย่าให้มันหนีไปได้” เฮียประกาศกร้าว
แก๊งมาเฟียรีบขึ้นรถตามภูผาไป....ภูผาเห็นว่าถูกตามก็เร่งเครื่องให้เร็วขึ้นไปอีก สองฝ่ายขับรถไล่ล่ากันสุดระทึก จังหวะหนึ่งเฮียชักปืนขึ้นมา
“ใครหนีข้า มันไปสุดทางที่นรกทุกคน!!”
เฮียเล็งปืนไปที่ด้านหลังของภูผา เป็นจังหวะที่ภูผาเหลือบตามองกระจก เห็นว่าถูกปืนเล็งมายังตน ภูผาเร่งเครื่องเร็วขึ้น
เบื้องหน้ามีทางแยกพอดี ภูผาหักเลี้ยวพอดีกับจังหวะเหนี่ยวไกปืน กระสุนลอยลิ่วถากไหล่เสื้อแจ๊คเก็ตหนังไปเฉียดฉิว รถของคนร้ายตรงเลยขึ้นไป
เฮียตะโกนบอกลูกน้องอารมณ์เสีย “เฮ้ย ตามมันไปสิเว้ย!!”
แต่กว่าจะเบรคกว่าจะกลับรถตามมาได้อีกที ภูผาก็หายไปแล้ว
“มันหายไปแล้วเฮีย ตกลงเฮียยิงโดนรึเปล่า” ลูกน้องคนเดิมถาม
“ฮึ่ยยย!!” เฮียเจ็บนัก “ถ้าโดนแล้วมันจะหนีไปได้ยังไงล่ะเว้ย!”
เฮียอารมณ์เสีย เอาปืนตบหน้าลูกน้องผัวะ
“ไอ้ภูผา เก่งจริง หนีให้ได้ตลอดก็แล้วกัน!”

ภูผาเลี้ยวรถเข้าบ้านมาเจอวงเดือนเข้าพอดี
“เฮ้ย!”
ภูผาเบรคตัวโก่ง หักรถหลบอย่างรวดเร็ว…..วงเดือนตกใจจนทรุดลงไปกองกับพื้น
“ยายบ้าเอ้ย อยากตายรึไง” ภูผาตวาด
วงเดือนรีบลุกขึ้น “คุณต่างหากที่อยากให้เดือนตาย”
ภูผาฟังแล้วโมโหปึงปัง จอดรถแล้วเดินเข้ามาหาเดือน
ภูผาตวาด “อย่าพูดคำนี้อีก เก็บปากของเธอไว้โดนจูบเถอะ!”
วงเดือนทั้งโกรธทั้งอาย
ภูผาเดินออกไป….วงเดือนเห็นรอยเลือดที่แขนเสื้อ จึงเรียกไว้
“เดี๋ยวก่อนค่ะ”
ภูผาหันมา

ภูผาถอดเสื้อนั่งหันหลังให้วงเดือนที่กำลังทำแผลให้อยู่ สองคนอยู่ตรงศาลาในสวนสวย

“เดือนทำแผลให้คุณมาตั้งแต่เดือนยังอยู่ประถม จนตอนนี้เรียนจบพยาบาลแล้วก็ยังต้องทำให้อีก เมื่อไหร่คุณจะเลิกหาเรื่องเจ็บตัวซักที” วงเดือนทำแผลไปบ่นไป
“ถ้าไม่ได้พูดเพราะเป็นห่วงก็หุบปากไปเลย”
วงเดือนปิดปาก โกรธที่ภูผาพูดก้าวร้าวใส่ จนทำแผลเสร็จ
“เสร็จแล้วค่ะ”
วงเดือนเก็บอุปกรณ์ทำแผล ภูผาหันไปคว้าเสื้อที่วางอยู่ข้างตัว
แต่วงเดือนดึงเสื้อมา “เอามานี่”
ภูผางง “จะทำอะไร”
“เดี๋ยวใครเห็นรอยเลือดเข้า คุณจะถูกว่าเอา” วงเดือนลุกขึ้น “เดือนจะซักให้เอง”
ภูผายิ้มกว้าง ปลื้มปริ่มไปเลย
วงเดือนเดินออกไป ภูผามองตามไปแล้วยิ้มจนตาเยิ้ม
ภูผาและวงเดือนไม่รู้ว่า ศรีเรือนยืนมองมาจากอีกมุมหนึ่ง เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด…สีหน้าไม่พอใจ

ขณะที่วงเดือนสะบัดเสื้อที่เพิ่งซักเสร็จแล้วคลี่ตาก ตรงราวตากผ้าใกล้ๆ กับเรือนพัก ศรีเรือนเดินเข้ามา สีหน้าเคร่งดุ
“ไม่ได้มองเสียนาน โตเป็นสาวเต็มเนื้อเต็มตัวแล้วนี่”
วงเดือนได้แต่ก้มหน้า ไม่รู้ความต้องการของหญิงชรา แต่ในใจหวั่นๆ
“คนใช้ ยังไงก็ต้องโตเป็นคนใช้วันยังค่ำ อย่าริจะโตเป็นนาย”
ศรีเรือนว่าแล้วก็กระชากเสื้อภูผาบนราวลงมาถือไว้ จ้องหน้ากำราบก่อนจะเดินออกไป
วงเดือนมองตามไป รู้สึกเหมือนถูกตบหน้าฉาดใหญ่

เวลาต่อมาอรุณอยู่ในห้องหนังสือ กำลังกินยาที่วงเดือนเอามาให้ตามเวลา กินเสร็จ ส่งแก้วน้ำคืนให้
“ขอบคุณนะเดือน”
“เดือนห้ามมาตั้งแต่เด็กแล้วนะคะว่าไม่ต้องขอบคุณ เดือนมาอยู่ที่นี่ก็เพื่อดูแลคุณ มันเป็นหน้าที่ของเดือนค่ะ”
“แค่นั้นจริงๆ เหรอ” อรุณหยั่งเชิง
เดือนวงไม่เข้าใจ “แค่นั้น คุณอรุณพูดถึงอะไรคะ”
อรุณรีบกลบเกลื่อน “เปล่า...ไม่มีอะไรหรอก ฉันจะอ่านหนังสือต่อแล้ว”
“งั้นเดือนไม่รบกวนแล้วค่ะ”
วงเดือนเดินถือถาดยาและแก้วออกไป อรุณหันกลับมามองตาม พูดกับตัวเองเบาๆ
“เธอดีกับฉัน เพราะมันเป็นหน้าที่ แค่นั้นจริงๆ เหรอ”
อรุณหน้าหม่น ค่อยๆ หมองลง ด้วยความน้อยใจ

วงเดือนกำลังจะออกไปจากบ้านแสนสมุทร สวนกับอนุตและศรีดาราที่กลับเข้ามาพอดี วงเดือนรีบเดินเลี่ยงไปหลบทางให้
อนุตหันไปบอกศรีดารา “คุณเข้าไปก่อน” หันมาทางวงเดือน “ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย”
วงเดือนงวยงง

เวลาผ่านไปไม่นาน วงเดือนอยู่ในชุดขาว เก็บผมมวยขึ้นเรียบร้อย ขี่จักรยานตรงไปยังคลินิก
หญิงสาวนึกถึงเรื่องที่คุยกับอนุตเมื่อครู่
“เมฆาอยากให้เธอไปช่วยงานที่คลินิก”
“เดือนเหรอคะ?”
“เมฆาเป็นหมอที่เก่งก็จริง แต่ยังขาดประสบการณ์ เธอเองก็ยังต้องเรียนรู้อีกมาก”
“แต่ถ้าเดือนไปแล้วใครจะดูแลคุณอรุณล่ะคะ”
“คลินิกเปิดแค่ตอนเย็น ระหว่างนั้นฉันจะดูอรุณเอง ถึงฉันจะเกษียณแล้ว แต่คนเป็นหมอ ยังไงก็ต้องเป็นหมอไปจนวันตายนั่นแหละ”

วงเดือนดึงตัวเองกลับมา ขณะรถจักรยานเลี้ยวที่หน้าตึกแถว
จู่ๆ มอเตอร์ไซค์ของภูผาเลี้ยว ออกมาอย่างเร็ว เกือบชนจักรยานวงเดือนที่มัวแต่ใจลอย
“ว๊ายย!!
วงเดือนตกใจมาก จักรยานเสียหลักล้มลงไป ภูผาเปิดหมวกขึ้น
“ไม่รู้จักมองทาง อยากตายรึไง ยายบ้าเอ้ย!”
วงเดือนฉุน ทั้งเจ็บแถมถูกด่า “คุณน่ะสิบ้า ถนนในเมืองมีตั้งมากมาย ทำไมคุณต้องมาทางเดียวกับเดือนอยู่เรื่อย”
ภูผาโกรธ “อ๋อ นี่หาว่าฉันสะกดรอยตามเธองั้นเหรอ เฮอะ สวยตายล่ะ”
วงเดือนทั้งน้อยใจทั้งโกรธ เก็บข้าวเก็บของหน้างอง้ำ พอจะยกจักรยานขึ้นมา ภูผาเข้ามาแย่งยกให้วงเดือนรีบหันหน้าหนี
“เป็นอะไร? แค่ว่าไม่สวยเข้าหน่อย งอนเหรอ?”
“ทำไมเดือนต้องใส่ใจคำพูดของคุณด้วยคะ”
วงเดือนจะคว้ารถมา แต่ภูผาแกล้งดึงไว้
“อย่ามาแกล้งนะ เดือนกำลังรีบ”
“จะรีบไปไหน”
“จะไปคลินิกคุณเมฆา”
ภูผาได้ยินก็โยนจักรยานทิ้งโครม!
“คุณทำอะไรน่ะ ถ้ามันพังหมดแล้วจะทำยังไง”
“ก็คงต้องให้ฉันไปส่ง”
วงเดือนอึ้ง
ภูผาเดินกลับไปที่รถ...หันมาแหกปากเรียกวงเดือน
“เร็วๆ สิ”
วงเดือนมองจักรยานตัวเองมองภูผาสลับกัน
“เร็วๆ” ภูผาตะโกนดังกว่าเดิม
วงเดือนสะดุ้งโหยง หันไปบอกอาซิ้มเจ้าของร้านข้างๆ
“ฝากไว้ก่อนนะจ้ะ เดี๋ยวหนูมาเอา”
วงเดือนรีบไปที่รถภูผาที่สตาร์ทเครื่องรออยู่ วงเดือนเก้ๆ กังๆ ขึ้นซ้อนท้าย ไม่ยอมจับเอวภูผา
ภูผารู้ทัน แกล้งออกตัวแรงๆ ให้รถกระตุก
“ว๊าย!” วงเดือนผวาตัวคว้ากอดเอวภูผาแทบไม่ทัน
ภูผาชอบใจแอบอมยิ้ม “อย่ากอดแน่นนักนะ ห้ามใจไว้บ้าง”
วงเดือนซ่อนหน้า อายวูบขณะที่ภูผาออกรถไป

ภายในร้านกาแฟบริเวณนั้น เฮียหัวหน้าแก๊งกับลูกน้องนั่งมองเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่แสยะยิ้ม
“อั๊วรู้แล้วว่าจะจัดการมันยังไง” เฮียยิ้มร้ายออกมา

ขณะนั้นเมฆากำลังออกมาส่งคนไข้ชาวบ้านซึ่งยกมือไหว้ปลกๆ

“ขอบคุณมากนะจ๊ะคุณหมอ ยังหนุ่มยังแน่นอยู่แท้ๆ ใจบุญจริงๆ จำเริญๆ นะจ๊ะ”
เมฆายิ้มแย้ม “ขอบคุณครับ”
ภูผาจอดมอเตอร์ไซค์หน้าคลินิก มีวงเดือนซ้อนท้ายมาด้วย เมฆาเหลือบตามองอย่างแปลกใจ
วงเดือนรีบลงรถวิ่งเข้ามาในคลินิก
“ขอโทษนะคะ วันแรกเดือนก็มาสายเลย คุณจะให้เดือนทำอะไร ก็บอกมาเลยนะคะ”
“ตอนนี้ยังไม่มีคนไข้ เช็คอุปกรณ์ทำแผลไว้ให้พร้อมก็แล้วกัน” เมฆาปรายตามาไปที่ภูผา “เพราะคนสมัยนี้ชอบใช้กำลังมากกว่าเหตุผล”
ภูผารู้ว่าโดนน้องชายแขวะ ยิ้มหึ ก่อนจะออกรถไป....เมฆามองตามไป

ที่ห้องหนังสือภายในบ้านแสนสมุทร มองจากหน้าต่างชั้นบน อรุณนั่งมองลงมาจากหน้าต่างชั้นบน ด้วยสีหน้ากังวลใจ ห่วงและหวงวงเดือนนั่นเอง เสียงครูฝรั่งดังขึ้น
“Aroon…hey Aroon”
ในห้องหนังสือซึ่งเป็นห้องเรียนของอรุณด้วยนั้น อรุณรีบหันมาตอบครูฝรั่ง
“Yes Sir..sorry”
“Are you ok? Everything alright?”
“Yes sir.”
“go on”
อรุณก้มหน้าอ่านภาษาอังกฤษต่อ

ค่ำนั้น คนไข้รายสุดท้ายออกจากคลินิกไปแล้ว วงเดือนกำลังจะปิดประตูหน้า ทันนั้นรถคันหนึ่งก็แล่นเข้ามาจอด หญิงสาวในชุดสีแดง แต่งหน้าทำผมเต็มที่ก้าวลงจากรถมา มองหน้าวงเดือน
เมฆาตามออกมาเห็นเข้า
“โฉม...” เป็นโฉมไฉไลนั่นเอง
วงเดือนขอตัว “เดือนขอตัวกลับก่อนนะคะ”
“รอก่อนสิ จะได้กลับพร้อมกัน” เมฆาบอก
“อย่าเลยค่ะ คุณหมอมีแขก เดือนกลับเองได้”
วงเดือนรีบเดินออกไปทันที จังหวะที่ก้าวสวนกัน โฉมไฉไลปรายตามองวงเดือน ก่อนจะหันมายิ้มกับเมฆา
“คนไข้สมัยนี้ สวยดีนะคะคุณหมอ สวยจนน่าเสียดาย ไม่กล้าปล่อยให้ตาย” โฉมไฉไลเหน็บ
“เดือนไม่ใช่คนไข้หรอกครับ เธอเป็นพยาบาลของผม"  

เวลาต่อมาโฉมไฉไลกับเมฆาอยู่ที่ริมระเบียงของคลับหรูริมทะเลแห่งนั้น โฉมไฉไลละเลียดจิบเครื่องดื่มแล้วยิ้มหวานให้เมฆา
“ยินดีต้อนรับกลับบ้านค่ะ”
“ขอบคุณครับ”
“น่าน้อยใจนะคะ จะกลับมาทั้งที ไม่เห็นบอกกันบ้างเลย” หญิงสาวอ้อน ตัดพ้อ
“ผมไปเรียนต่อแค่ปีนัง แล้วก็แค่ปีเดียว ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนี่ครับ”
เมฆาดูท่าทางโฉมไฉไลก่อนจะพูดขึ้นเรียบๆ
“แล้วอีกอย่าง ผมไม่คิดว่าคุณจะสนใจ...เพราะเราเลิกกันแล้ว”
โฉมไฉไลนิ่งฟัง
“คุณไปอยู่กรุงเทพฯ ก็คงมีอะไรที่น่าสนใจ....” เมฆาเน้นคำ “กว่าที่นี่”
โฉมไฉไลมองหน้าเมฆานิ่ง “ก็มีบ้างค่ะ แต่ไม่มีอะไรจริงจัง...” หญิงสาวเน้นคำ “เหมือนที่นี่”
เมฆาซ่อนยิ้มอย่างรู้ทัน โฉมไฉไลยกแก้วชวนดื่ม
“สำหรับการพบกันอีกครั้งของเราค่ะ
โฉมไฉไลยกแก้วขึ้นชนกับเมฆา ดื่มไปมองหน้ากันไป...เมฆาเก็บความรู้สึกไว้ในสีหน้านิ่งสนิทนั้น

ภายซอยแคบและเปลี่ยวแห่งนั้น แสงไฟสลัวรางพอมองเห็นทาง ประตูร้านค้าทยอยปิดหมดแล้ว วงเดือนเดินมาตามลำพัง
ทันใดนั้นรถคันหนึ่งก็แล่นสวนเข้ามา แสงไฟสาดใส่หน้าเดือนจนต้องยกมือขึ้นบังหน้า รถจอดตรงหน้า วงเดือนแปลกใจ ลดมือลง เป็นเฮียกับลูกน้องนั่นเองที่ก้าวลงจากรถ มองตรงมายังวงเดือน
วงเดือนชักใจไม่ดี จะรีบเดินเลี่ยงไปอีกฝั่งแต่ลูกน้องเฮียเข้ามาขวางไว้
“จะรีบไปไหน ผัวไม่มารับเหรอ”
วงเดือนอึ้ง ไม่ต่อปากต่อคำ จะเดินหนีไปให้ได้ สุดท้ายลูกน้องคนหนึ่งเข้ามากระชากแขนวงเดือน
“มานี่”
วงเดือนผวาตกใจ ใจหายวูบ ถูกลากตัวไปที่รถ
“จะทำอะไรน่ะ อย่านะ ปล่อย”
“ไม่ปล่อย เธอต้องมากราบตีนขอโทษเฮียแทนผัวเธอก่อน” ลูกน้องเฮียสั่งเข้ม “เดี๋ยวนี้!”
วงเดือนถูกผลักล้มลงไปตรงหน้าเฮียพอดิบพอดี เฮียมองหน้าวงเดือนแล้วยิ้มชั่วออกมา
“สวยขนาดนี้ แค่กราบ..สงสัยจะไม่พอ”
เฮียมองหน้า ส่งสัญญาณให้ลูกน้องรู้
“เฮ้ย ลากตัวมันขึ้นรถ คืนนี้นังนี่ได้ขอโทษเฮียทั้งคืนแน่”
“อย่านะ ปล่อยฉันนะ ช่วยด้วย ช่วยด้วย”
วงเดือนเสียงอู้อี้ๆ เพราะถูกมืออุดปากแต่ก็พยายามดิ้นรนขัดขืนสุดกำลัง....เสียงมอเตอร์ไซค์วิ่งเข้ามาเบรคจอดดังเอี๊ยด ทุกคนหันไปมอง
“โผล่หัวออกมาแล้วเหรอวะ!” ลูกน้องเฮียแสยะยิ้ม
“คุณภูผา ช่วยด้วย ช่วยเดือนด้วย!”
ภูผาลงจากรถตรงเข้ามาทันที เปิดฉากต่อสู้กับลูกน้องเฮียทั้งหมด ภูผาเอาชนะได้หมดทุกคน จนถึงคนสุดท้ายที่ชักมีดออกมา ภูผามองอย่างระวัง
ทันใดนั้นเสียงกรีดร้องของวงเดือนก็ดังขึ้น ภูผาชะงักรีบหันกลับไปมองทันที
“เดือน!”
เห็นวงเดือนถูกกระชากอย่างแรงจนเสื้อขาด เห็นไหล่ หญิงสาวพยายามจะกอดอกเพื่อปิดบังร่างกาย
ภูผาโกรธจัด อารมณ์ขึ้นมาทันที กระโดดถีบลูกน้องคนสุดท้ายอย่างแรงด้วยความโกรธจนมีดหลุดจากมือของมัน
ภูผาจะรีบเข้าไปหาวงเดือน แต่เฮียชักปืนออกมาจ่อวงเดือน ภูผาชะงัก!
“ถ้าขยับเข้ามาอีกก้าวเดียว นังนี่ตาย!”
“มันเป็นเรื่องของแกกับฉัน ผู้หญิงไม่เกี่ยว” ภูผาบอกจริงจัง
เฮียไม่แยแสยิ้มร้าย สะใจ
“วันก่อนเอ็งรอดไปได้ แต่วันนี้..ไม่มีทาง!” เฮียหันมาสั่งลูกน้อง “จัดการมัน!”
ลูกน้องเฮียเข้ารุมกระทืบภูผา ภูผาได้แต่ป้องกันตัวแต่ไม่กล้าตอบโต้
“คุณภูผา!” วงเดือนตกใจ
ภูผาโดนรุมอาการสะบักสะบอม ลูกน้องจับภูผาขึ้นมาคุกเข่าต่อหน้าเฮีย
เฮียมองอย่างสะใจ “ในที่สุดเอ็งก็ต้องกราบตีนข้า”
ลูกน้องจะจับกดภูผาให้ก้มหัวติดแทบเท้าเฮีย แต่ภูผาขืนตัวไว้
“อยากให้นังนี่ตายหรือไง!”
ภูผาเห็นเฮียจะยิงวงเดือน ภูผากับวงเดือนสบตากัน
“คุณภูผา...อย่า..อย่าทำ”
ภูผาตัดสินใจจะก้มหัวลง วงเดือนทนไม่ได้ตัดสินใจโผเข้ากอดภูผาไม่ยอมให้ก้มหัว
“ไม่...เดือนไม่ให้คุณทำ!”
“เดือน..ถอยไป!” ภูผาสั่ง
“ไม่!” วงเดือนไม่ยอมไป
เฮียโกรธวงเดือน “แส่นักนะ!!”
เฮียทำท่าจะยิงวงเดือน ภูผาเหลือบตามองเห็นมีดเข้าพอดี ภูผาหยิบมีดเขวี้ยงใส่แขนเฮีย จนปืนในมือเฮียกระเด็นไป
ภูผากับลูกน้องเฮีย มองปืนที่หล่นอยู่ที่พื้น ภูผากับลูกน้องเฮียพุ่งเข้าไปเก็บปืน ภูผาคว้าขึ้นมาได้ก่อน
ภูผาจ้องตาเฮียนิ่ง ลุ้นระทึกว่าจะลงมือใส่เฮียหรือไม่ สุดท้ายภูผาขว้างปืนออกไปไกลๆ
“เรื่องของแกกับฉัน จบกันนับแต่วันนี้ ต่างคนต่างอยู่!”
ภูผาถอดเสื้อตัวเองออกคลุมวงเดือนไว้แล้วดึงตัวให้ตามออกมา
ทว่าลูกน้องคนหนึ่ง ไม่ยอมเลิกรา วิ่งไปหยิบปืนจะยิงภูผา แต่เฮียเข้ามาห้ามไว้
“เฮ้ย พอ!”
ลูกน้องคนนั้นลั่นไกพอดีกับจังหวะที่เฮียออกมาห้าม...กระสุนพุ่งเข้าใส่ร่างของเฮียเต็มๆ

ทุกคนตะลึงตาค้าง

ในเวลาต่อมา อนุตกับศรีดาราเดินหน้าเคร่งเข้ามาในโรงพัก เจอวงเดือนที่รออยู่

“เดือน นี่มันเกิดอะไรขึ้น!”
“จะถามทำไม มันก็ต้องเกิดเรื่องชั่วๆ ขึ้นน่ะสิคุณ ไม่งั้นเราคงไม่ต้องมาถึงนี่กันหรอก”
อนุตผละไปหาตำรวจ
“คุณตำรวจครับ ผมมารับตัวลูกชาย”
“เชิญทางนี้ครับ” ตำรวจนำทางอนุตไปจัดการเรื่องเอกสาร
ศรีดารารีบคาดคั้นเอากับวงเดือน
“มันเกิดอะไรขึ้น ภูผาไปทำอะไร?”
“คุณภูผาไม่ได้ทำอะไรผิดค่ะ หนูเป็นพยานได้ว่าคุณภูผาไม่ผิด ไม่เลยแม้แต่นิดเดียวค่ะ”
ฟังวงเดือนว่า ศรีดาราทำท่าจะเป็นลม
“คุณป้า ทำใจดีๆ ไว้ค่ะคุณป้า”
อนุตตรวจเอกสารเสร็จพอดี “แล้วลูกชายผมอยู่ที่ไหนครับ”
“ด้านในเลยครับ เชิญทางนี้” ตำรวจนำทางไป

ภูผาอยู่ในห้องขัง เงยหน้าขึ้นมอง อนุตเดินเข้ามาพอดี พ่อลูกสบตากันนิ่งนาน
อนุตทนเห็นสภาพลูกชายอยู่ในห้องขังไม่ได้ หันหลังเดินกลับออกไป ภูผาถอนหายใจ รู้ตัวดีว่าทำให้พ่อผิดหวัง...อีกแล้ว

เมื่อกลับมาถึงบ้านแสนสมุทร อนุตตบหน้าภูผาฉาดใหญ่…ทุกคนตกใจแต่ไม่มีใครกล้าปริปากพูด
“แสนสมุทรไม่มีไว้ให้แกเหยียบย่ำทำลาย ในเมื่อไม่รักดี อยากจะเลว ก็ไปเลวที่อื่น ไม่ใช่ที่นี่ จะไปไหนก็ไป ไปให้พ้น!”
อนุตเดินออกไปจากห้องโถงทันทีด้วยความโกรธ ศรีดาราร้องไห้โฮ ศรีเรือนใคร่ครวญครุ่นคิด

พฤกษ์รีบร้อนกลับเข้าบ้านมา เจอหมออนุตพอดี
“พ่อครับ”
“ถ้าแกไม่ออกเรือเพื่อจะมาพูดเรื่องภูผาล่ะก็ ไม่มีประโยชน์”
“แต่ถูกไล่ออกจากบ้าน มันจะไม่เป็นการลงโทษที่รุนแรงเกินไปเหรอครับ”
อนุตนิ่งไปนิดหนึ่งก่อนพูดขึ้น “ครอบครัวเราเกิดที่นี่ แล้วก็จะตายที่นี่ และมันต้องเป็นการตายอย่างไร้มลทิน ฉันจะไม่ยอมให้เลือดของแสนสมุทรต้องแปดเปื้อนเพราะลูกชายของตัวเอง!!”
อนุตเดินออกไป...พฤกษ์มองตามไปอย่างร้อนใจ

พฤกษ์เปิดประตูเข้ามาในห้องของภูผา เห็นภูผากำลังเก็บของลงกระเป๋าเดินทางอยู่
“แกจะทำอะไรของแก”
ภูผายังเก็บของไม่หยุด พฤกษ์เข้ามาปัดมือภูผาออกจากกระเป๋า บอกน้องชายเสียงจริงจัง
“ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น รอให้พ่อหายโกรธ แล้วพี่จะพูดกับพ่อเอง”
“พี่ทำแบบนั้นให้ผมมาตั้งแต่เล็กจนโต แล้วมันก็สำเร็จทุกครั้ง แต่ครั้งนี้อย่าเลย มันไม่สำเร็จหรอก”
“แล้วแกคิดจะไปไหน”
“ไปให้พ้นจากที่นี่ก่อน แล้วค่อยว่ากัน”
“งั้นไปกับพี่” พฤกษ์บอก
ภูผางงมองจ้องหน้าพฤกษ์ รอฟัง
“เราจะออกเรือด้วยกัน” พฤกษ์ว่า
“พี่ออกทะเลเสร็จก็กลับบ้านได้ แต่ผมทำอย่างนั้นไม่ได้ จะให้ผมลอยคออยู่กลางทะเลตลอดชีวิต ไม่ต้องเหยียบขึ้นมาบนฝั่งอีกเลย มันเป็นไปไม่ได้หรอกพี่พฤกษ์”
“แกมันก็เป็นซะอย่างนี้ ดื้อ เอาชนะ ไม่ฟังคนอื่น!”
ภูผานิ่ง “ผมตัดสินใจแล้ว!”
พฤกษ์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ นั่งลงบนเตียงอย่างยอมแพ้
“แกมันก็เหมือนฉลามหนุ่ม...ต่อให้ฉันอยากจับให้ได้ยังไง ก็ไม่เคยจับอยู่”
ภูผานิ่งคิดบางอย่างในใจ

วงเดือนนั่งอยู่ในห้องที่เรือนกิริยาร้อนใจ มองไปทางเรือนใหญ่ตลอดเวลา
“ถ้าจะมีใครสักคนต้องไป คนนั้นก็ควรจะเป็นเดือน..ไม่ใช่คุณ”
วงเดือนตัดสินใจแน่วนิ่ง ผุดลุกขึ้นจะเปิดประตูออกไป แต่ภูผาเข้ามาในห้องซะก่อน
“คุณภูผา...”
“เธอคงรู้แล้วสินะ”
“เรื่องทั้งหมดมันเกิดขึ้นเพราะคุณช่วยเดือน คุณไม่ผิด เดือนจะไปบอกคุณท่าน”
วงเดือนเดินไปที่ประตู ภูผาโพล่งขึ้น
“ไม่มีประโยชน์หรอก!” วงเดือนชะงักหยุด “ฉันมันเลือดชั่วของแสนสมุทร ตัดทิ้งได้ยิ่งดี!”
วงเดือนหันมาหา “ก็เพราะคุณตั้งใจทำให้ทุกคนมองว่าคุณชั่ว! ทั้งๆที่ไม่ใช่!”
ภูผาตวัดสายตามองวงเดือนพูดพรั่งพรู
“คุณแข่งว่ายน้ำกับคุณอรุณเพราะต้องการลบปมด้อยให้เขา คุณต้องโดนจับเพราะปกป้องเดือน แล้วที่คุณจะไปก็ไม่ใช่เพราะคุณท่านออกปากไล่ แต่คุณไปเพื่อให้แสนสมุทรเป็นของคุณพฤกษ์อย่างเต็มตัว”
ภูผาอึ้ง คำพูดหญิงสาวแทงใจทุกคำ
วงเดือนคาดคั้นหนัก ต้อนภูผาให้ตอบ “ตอบมาสิคะว่าเดือนพูดถูกไหม ว่าไงล่ะ? คุณภูผาคนเก่ง คุณกล้าตอบไหม?”
ภูผาตัดสินใจดึงวงเดือนเข้ามาจูบ วงเดือนตกใจแต่ยอมให้จูบอย่างเต็มใจ
ที่หน้าห้องเวลานั้น มีชายคนหนึ่งยืนอยู่ เป็นพฤกษ์นั่นเอง เขาอึ้งกับภาพภูผาจูบวงเดือน
พฤกษ์ตั้งสติสักพัก แล้วตัดสินใจเดินหันหลังกลับไปอย่างเจ็บปวด
ภูผาปล่อยวงเดือนอย่างอ่อนโยน “ฉันตอบเธอแล้วนะ”
วงเดือนหลบตา ภูผาปัดผมเดือนอย่างอ่อนโยน แล้วตัดสินใจพูดชัดเจน
“ไปด้วยกันไหม?!”
วงเดือนชะงักกึก เขม้นมองภูผา สองคนสบตากัน
“ฉันไม่กล้าทิ้งเธอไว้ที่นี่คนเดียว ฉันคงนอนไม่หลับแน่ ถ้าเธอไม่อยู่ในสายตา”
วงเดือนอึ้งไป หัวใจเต้นโครมคราม
“ฉันไม่รู้หรอกว่าวันข้างหน้าจะเป็นยังไง ขอแค่เธอเชื่อมั่นในตัวฉัน...เชื่อมั่นหัวใจของฉัน...แค่นั้นเราก็รอดแล้ว”
วงเดือนน้ำตาคลอ
“พรุ่งนี้รถไฟออก 7 โมงเช้า ฉันจะรอที่สถานี ถ้าเธอไม่มา ฉันก็คงไปแต่ตัว...หัวใจพังๆ ไม่รู้จะเอาไปด้วยทำไม”
ภูผาสบตากับวงเดือนครู่หนึ่งก่อนจะออกไป วงเดือนมองตามไปหน้าตาตื่น สับสนไปหมด

อีกมุมคนละฝั่งกับพฤกษ์ผู้พี่ อรุณแอบฟังอยู่เช่นกัน ได้ยินเรื่องทั้งหมด อรุณใจหาย มองไปยังวงเดือนอย่างร้อนใจ

ชิงนาง ตอนที่ 1(ต่อ)

ภูผาเปิดประตูกลับเข้ามาในห้องโถงเรือนใหญ่ เจอศรีเรือนนั่งรออยู่แล้ว ในมือถือซองเอกสาร

“คุณย่า...”
ศรีเรือนเอ่ยขึ้น “แกยังไม่มีที่ไป แต่ก็จะไป ย่ารู้นิสัยแกดี”
พลางลุกขึ้นเดินมาหาภูผา แล้วส่งซองเอกสารให้
“โฉนดที่ดินแปลงนี้ อยู่ไกลจนถูกลืม ไกลเกินกว่าแสนสมุทรจะแผ่ไปได้ถึง ย่ายกให้แก”
ภูผาไม่เข้าใจ “ยกให้ผม?”
“ไปให้ถึง สร้างอาณาจักรของภูผาขึ้นมา ทิ้งแสนสมุทรให้พฤกษ์อย่างที่แกต้องการ”
ภูผามองศรีเรือนอย่างซาบซึ้ง “ขอบคุณครับที่คุณย่าเข้าใจผม”
ศรีเรือนย้ำเสียงเข้ม “จะไม่มีใครรู้เรื่องนี้ นอกจากแกกับย่า!!”
ภูผามองเอกสารในมือแล้วมองย่า....เห็นแววตาเอาจริงเอาจังของศรีเรือน
“อย่ากลับมาจนกว่าจะทำสำเร็จ!”

ด้านเดือนนั่งมองกระเป๋าเดินทางตรงหน้า ด้วยสีหน้าครุ่นคิดตัดสินใจ ยังไม่กล้าเปิดกระเป๋าออกเพื่อจัดของ
ภาพจำครั้งอดีตผุดขึ้นในหัววงเดือน
ภายในห้องหนังสือของบ้านแสนสมุทร เต็มไปด้วยตู้หนังสือ โต๊ะเขียนหนังสือตรงกลางห้องมีอรุณนั่งอยู่ หมออนุตเดินนำหน้าวงเดือนเข้ามาด้านใน เด็กหญิงวงเดือนมองไปรอบๆ ด้วยท่าทางตื่นๆ
“นี่อรุณ ลูกชายคนเล็กของฉัน น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกัน รู้จักกันไว้สิ”
อรุณยิ้มให้วงเดือน....วงเดือนตื่นๆ เห็นสีหน้าอรุณเป็นมิตรแต่ก็ไม่กล้ายิ้มกลับ ก้มหน้างุด
อนุตบอกกับวงเดือนอย่างตั้งใจ
“ฉันรับหนูมาอยู่ที่บ้านนี้เพื่อให้เป็นนางฟ้าคุ้มครองอรุณ ถ้าเป็นนางฟ้าแล้วก็ต้องคอยดูแล คอยเอายาให้กิน ห้ามทิ้งอรุณไปไหน! เข้าใจไหม?”
วงเดือนพยักหน้ารับ หันไปมองที่อรุณ เห็นอรุณยิ้มแป้นอย่างดีใจ

อีกเหตุการณ์ วันนั้นอรุณหลับอยู่บนเตียงให้ออกซิเจนอยู่ วงเดือนนั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียง สักครู่หนึ่งเมฆาเดินเข้ามาในห้อง
“ไปนอนเถอะ ฉันดูแลอรุณเอง”
“ไม่ได้หรอกค่ะ”
เมฆายิ้ม “ทำไม? ไม่ไว้ใจฉันเหรอ ฉันเป็นหมอนะ น้องชายของหมอแท้ๆ ยังต้องห่วงอะไรอีก”

วงเดือนวางใจเมื่อนึกถึงตรงนี้ ดึงตัวเองกลับมา ตัดสินใจแน่วนิ่งเปิดกระเป๋าเดินทางออก เริ่มเก็บของลงกระเป๋า
เวลาเดียวกันอรุณครุ่นคิดหน้าเครียด ในอาการร้อนใจ
“เดือนต้องอยู่ ต้องไม่ไปไหน ฉันไม่ให้ไป!”
ส่วนวงเดือนกำลังจัดยาของอรุณแยกไว้อย่างเรียบร้อย สีหน้าไม่สบายใจ
“เดือนขอโทษค่ะคุณอรุณ!”

ขณะเดียวกันเมฆาอ่านตำราแพทย์อยู่ในห้องนอน ปิดหนังสือลง เอื้อมมือไปปิดโคมไฟหัวเตียง หลับตานอน
ที่หน้าห้องวงเดือนเดินเข้ามาฝีเท้าเบา วางถาดใส่ยาทั้งหมดของอรุณลงที่หน้าประตู
วงเดือนพูดเบาหวิว “ฝากคุณอรุณด้วยนะคะ...”

รุ่งเช้าภูผาสะพายเป้ใบโตเดินออกมาจากบ้าน ชายหนุ่มหันกลับมามองบ้านหลังใหญ่โตด้วยความอาวรณ์ ภูผาตัดใจหันหลังเดินออกจากบ้านไป
โดยไม่รู้ว่าที่หน้าต่างชั้นบนเวลานั้น อนุตมองตามภูผา เสียใจแต่ทิฐิแรงกว่า

สถานีรถไฟตอนเช้า บรรยากาศวุ่นวาย ผู้คนเดินขวักไขว่ เสียงจ๊อกแจ๊ก ภูผานั่งรออยู่ที่เก้าอี้ผู้โดยสาร มีเป้วางข้างๆ ตัว...เหลือบสายตาดูนาฬิกา เห็นเป็นเวลา 06.20 น.
ภูผาเหลือบมองนาฬิกาเป็นระยะ

อรุณนั่งอยู่ที่เก้าอี้ในห้อง สีหน้าครุ่นคิดเครียด....กำมือแน่น ขณะที่ด้านนอกห้องสาวใช้ชื่อชอุ่มกำลังง่วนกับการเช็ดถูปัดกวาดบ้าน
อรุณปรายตามองที่นาฬิกา เห็นว่าเป็นเวลา 06.30 น. แล้ว
อรุณนึกถึงสิ่งที่ภูผาพูดนัดแนะกับวงเดือน
“พรุ่งนี้รถไฟออก 7 โมงเช้า ฉันจะรอที่สถานี”

นึกถึงคำพูดนี้ อรุณกำมือแน่น ในใจรู้ว่ากำลังจะทำผิด แต่ก็ไม่มีทางเลือก สูดหายใจเข้าปอดลึกๆ ลุกขึ้นจากเก้าอี้
“ขอโทษครับพี่ผา…แต่ผมยอมเสียเดือนไปไม่ได้จริงๆ
อรุณน้ำตาคลอ ผลักเก้าอี้ให้ล้มเสียงดังตึง! ชอุ่มสะดุ้ง รีบเดินไปดูในห้อง เห็นอรุณนอนหอบอยู่ที่พื้น

ชอุ่มตาค้างตกใจมาก “คุณอรุณ”

ขณะที่วงเดือนเปิดประตูออกมาพร้อมกระเป๋าเดินทางในมือ ทันใดนั้นชอุ่มก็วิ่งหน้าตั้งเข้ามาหา

“เดือน เดือน!”
วงเดือนหน้าตื่น “มีอะไรจ๊ะพี่ชอุ่ม”
“คุณอรุณ คุณอรุณแย่แล้ว!”
วงเดือนตกใจ

วงเดือนรีบเข้ามาในห้องอรุณเร็วรี่ ชอุ่มตามหลังมาติดๆ เห็นอรุณนอนหอบอยู่ที่พื้น วงเดือนรีบตรวจจับชีพจร
“คุณอรุณ หายใจลึกๆ นะคะ หายใจลึกๆ”
“ทำไงดีล่ะ คุณหมออนุตก็เพิ่งออกไปข้างนอก” ชอุ่มตื่นตกใจหนัก
“ไปบอกให้ใครขึ้นมาช่วยเดือนที ต้องพาคุณอรุณไปที่คลีนิค
“ได้ๆๆ” ชอุ่มรีบวิ่งออกไป
วงเดือนตรวจจับชีพจรอรุณแล้วรู้สึกแปลกใจ
“ชีพจรก็ปกตินี่นา”
อรุณได้ยินเข้า รีบตวัดมือที่ถูกจับชีพจรอยู่มากุมมือวงเดือนไว้แน่น เพื่อไม่ให้เดือนจับชีพจรต่อ กลัวความแตก
อรุณหอบหนัก “เดือน...เดือน”
“เดือนอยู่นี่ค่ะ ไม่ต้องกลัวนะคะ เดือนจะพาคุณไปหาคุณเมฆา”

ยิ่งใกล้เวลารถไฟออก....ผู้โดยสารขึ้นรถกันให้วุ่นวาย ภูผาเริ่มนั่งไม่ติด กลัววงเดือนไม่มาตามนัด

ส่วนวงเดือนมองนาฬิกาละล้าละลัง เห็นนาฬิกาบอกเวลา 06.45 น. แล้ว
แต่อรุณอาการหนักขึ้นไปอีก เกร็งมือจับมือวงเดือนไว้แน่น
“สัญญานะ....อย่าทิ้งฉัน...สัญญานะเดือน”
วงเดือนอึ้งพูดไม่ออก มองอาการของอรุณตรงหน้าแล้วเหลือบดูนาฬิกาเห็นว่าอีกห้านาทีจะเจ็ดโมง

ที่สถานีรถไฟเวลานั้น
นายสถานีสั่นกระดิ่งเรียกเป็นครั้งสุดท้าย ผู้โดยสารคนอื่นขึ้นรถไฟกันหมดแล้ว ร่ำลาคนที่มาส่งทางหน้าต่าง
ภูผายืนนิ่งชา

ในเวลาเดียวกันชอุ่มเดินนำหน้าคนงานชายในบ้านเข้ามา
“เร็วเข้า เร็วๆ”
วงเดือนบอก “รีบพาคุณอรุณไปที่คลินิกเร็ว!”
คนงานชายสองคนช่วยกันประคองร่างอรุณขึ้นมาแล้วพาออกไป วงเดือนเหลือบตามองนาฬิกาอีกครั้ง เห็นว่าเป็นเวลา 06.59 น. นั่นหมายความว่ารถไฟจะออกจากสถานีแล้ว
วงเดือนใจหาย ยืนนิ่ง น้ำตาคลอหน่วย ด้วยความรู้สึกที่สับสนในใจ อยากไปสถานีรถไฟตามนัดกับภูผา แต่ก็ทิ้งอรุณไม่ลง
ชอุ่มถาม “เดือน จะไปกับคุณอรุณรึเปล่า?”
วงเดือนสะดุ้ง หันกลับมาแล้วตัดสินใจ
“ไปสิ ยังไงก็ต้องไป!”

ภูผาตัดใจ หยิบเป้ขึ้นมาแล้วก้าวออกไป....เดินไปที่รถไฟ ชายหนุ่มจอมมุทะลุ หันหลังกลับมามองหาวงเดือนอีกครั้ง พบเจอแต่ความว่างเปล่า
คำพูดที่บอกวงเดือนเมื่อคืนดังก้องอยู่ในหัว
“ฉันไม่รู้หรอกว่าวันข้างหน้าจะเป็นยังไง ขอแค่เธอเชื่อมั่นในตัวฉัน...เชื่อมั่นหัวใจของฉัน...แค่นั้นเราก็รอดแล้ว”

ภูผาดึงตัวเองกลับมา ตัดใจเป็นครั้งสุดท้าย

รถยนต์เคลื่อนตัวออกจากบ้านแสนสมุทรอย่างรวดเร็ว อรุณที่กำลังหอบเอนตัวพิงซบวงเดือน ขณะที่วงเดือนจับมืออรุณไว้แน่นน้ำตาวงเดือนไหลรินออกมา หยดลงบนมืออรุณ
อรุณรู้สึกที่หลับตาอยู่เม้มริมฝีปากแน่นด้วยความรู้สึกผิด คิดในใจ
“ขอโทษนะเดือน...ขอโทษนะพี่ผา”

พร้อมๆ กับที่รถไฟเคลื่อนขบวนออกจากสถานีแล้ว ภูผามองกลับมาที่ตัวสถานี รถไฟแล่นห่างออกไปทุกทีๆ
ชายหนุ่มนึกถึงถ้อยคำที่ชวนวงเดือนเมื่อคืนขึ้นมา
“รถไฟออกเจ็ดโมงเช้า ฉันจะรอ ถ้าเธอไม่มา ฉันก็คงไปแต่ตัว หัวใจพังๆ ไม่รู้จะเอาไปด้วยทำไม”

ภูผาอยู่บนรถไฟ ค่อยๆ หลับตาลง

ทางด้านเมฆาสะบัดเสื้อกราวนด์ฟึ่บ ออกมาสวม เดินหน้านิ่งเข้ามาในห้องด้วยมาดของหมอหนุ่มสุดเนี้ยบ

อรุณนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยในห้องตรวจไข้ จับมือเดือนไว้แน่น
“ชีพจร” เมฆาถาม
“ปกติค่ะ” วงเดือนรายงาน
เมฆาวางมือกดบนชายโครงของน้องชายเล็ก อรุณแอบหน้าเครียด กลัวเมฆาจะจับได้
เมฆารู้สึกแปลกใจที่ไม่มีอะไรผิดปกติ
“ออกซิเจนไหมคะ”
เมฆาบอก “รอก่อน”
เมฆาใช้หูฟังตรวจละเอียดไปรอบๆ บริเวณทรวงอก อรุณทำทีเป็นหายใจฟืดฟาด แรงๆ เพื่อให้เหมือนหอบจริง
เมฆาช้อนสายตาเหลือบตามองอรุณด้วยความสงสัย อรุณหลับตา ซ่อนสีหน้า ไม่กล้าสบตาพี่ชาย
เมฆาเก็บหูฟัง
“คุณอรุณเป็นยังไงบ้างคะ?”
“ถ้าจากอาการหอบก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง....แต่ถ้าอย่างอื่น...” เมฆาเน้นคำท้าย “ก็ไม่แน่”
อรุณใจหายวาบที่ถูกพี่ชายหมอจับได้
วงเดือนยังงงอยู่
เมฆารีบบอกเพื่อไม่ให้วงเดือนสงสัยไปมากกว่านี้ “อรุณปลอดภัยแล้ว”
เมฆาเดินออกไป...เดือนมองอรุณ คิดถึงภูผาที่สถานีรถไฟ ตัดสินใจบอกอรุณ
“เดี๋ยวเดือนมานะคะ”
วงเดือนรีบออกไป อรุณหันมามองตามไป รีบยันตัวขึ้นนั่งด้วยความกังวล

ภายในคลินิก วงเดือนรีบวิ่งออกไป เมฆาที่ยืนพิงประตูอยู่มองตามไป ก่อนจะเดินกลับไปในห้อง

เมฆาเดินกลับเข้ามาในห้องตรวจ เจออรุณที่นั่งอยู่บนเตียงด้วยสีหน้ากังวล อรุณรีบหันหน้าหลบวูบทันที
“อย่าทำแบบนี้อีก” เมฆาบอก
อรุณเถียง “ผมทำอะไร”
“อย่าเอาความเจ็บป่วยของแกมาเป็นอาวุธ”
เมฆาพูดจบก็เดินออกไป
“คนอ่อนแออย่างผม จะไปมีอาวุธอื่นอะไร นอกจากความตาย!”
อรุณน้ำตาคลอ ดูน่าสงสาร

บรรยากาศในสถานีรถไฟ ผู้คนยังมากมายและคับคั่ง วงเดือนวิ่งแทรกผู้คนเข้ามาถึงบริเวณรางรถไฟ เห็นแต่รางว่างเปล่า วงเดือนตัดสินใจวิ่งไปที่จุดขายตั๋วแล้วถามกับพนักงาน

“พี่จ๊ะ รถไฟที่ออกไปตอนเจ็ดโมงเช้า ไปไหนเหรอจ๊ะ”
“เจ็ดโมงเช้า....อ๋อ ไปโน้นนนนน ขึ้นเหนือไปสุดที่เชียงราย” พนักงานห้องขายตั๋วบอก
“เชียงราย!..”
เสียงพนักงานบอกต่อ “ปลายทางเชียงรายแต่เขาจอดทุกสถานีไล่ไปเรื่อยนั่นแหละอยู่ที่ว่าจะลงที่ไหน”
วงเดือนหมดเรี่ยวแรง ก้าวออกมาท่าทีระโหย หันกลับไปมองที่รางรถไฟ
“คุณภูผา...เดือนขอโทษ…ขอโทษ”
วงเดือนร้องไห้โฮ

ภูผานั่งเงียบอยู่บนรถไฟ เศร้าลึกในสีหน้าและเห็นความเจ็บปวดฉายโชนในแววตาคู่นั้น
รถไฟแล่นเข้าสู่อุโมงค์ ใบหน้าภูผาค่อยๆ มืดลง ท่ามกลายความมิดมืดที่ห่อคลุมทั่วรถไฟขบวนนั้น

ชายหนุ่มผู้ทะนงประหวัดไปถึงค่ำคืนพระจันทร์เต็มดวง

คืนนั้น ภูผาจอดมอเตอไซค์ปาดเทียบข้างวงเดือน ขณะที่วงเดือนสวมกระโปรงนักเรียนพยาบาล หอบหนังสือตำราเรียนอยู่ ถึงกับตกใจ หลบแทบไม่ทัน
ภูผาจ้องมาที่วงเดือนเขม็ง วงเดือนกลัว รีบอธิบาย
“เดือนไปอ่านหนังสือกับเพื่อน เพิ่งเสร็จค่ะ”
“ใครถาม”
วงเดือนบอก “ก็...เดือนคิดว่าคุณอยากรู้”
ภูผากลบเกลื่อนด้วยการตวาดลั่นสั่งเสียงดัง “ขึ้นมา!”
วงเดือนอึกๆ อักๆ ทำตัวไม่ถูก
“บอกให้ขึ้นมา!”
วงเดือนสะดุ้งโหยงรีบขึ้นนั่งซ้อนท้ายมอเตอไซค์อย่างรวดเร็ว ในท่านั่งหันข้าง ท่าทีนั่งไม่ถนัด....ภูผาหงุดหงิดเหลือบตามองแล้วหันไปตะปบบนขาเดือน
“คุณจะทำอะไร!!”
ภูผาไม่ตอบ แต่ดึงขาวงเดือนให้เปลี่ยนเป็นนั่งคร่อม วงเดือนตกอกตกใจ ทำอะไรไม่ถูก
ภูผาเร่งเครื่องจะออกรถ
“กอด!”
วงเดือนนิ่ง ไม่กล้ากอด ภูผากระชากแขนวงเดือนให้มากอดเอวตนเองไว้ วงเดือนสะบัดออกอย่างถือดี
“ก็แค่ไม่อยากให้ตกลงไปตาย”
“ชีวิตของเดือน คุณมายุ่งอะไรด้วย”
ภูผาตวาดเสียงดังลั่น “คิดเหรอว่าฉันอยากยุ่ง อยากตามเธอ อยากดูแลเธอ เรื่องบ้าๆ พวกนี้ ฉันไม่ได้อยากทำเลยสักนิด แต่มันห้ามใจตัวเองไม่ได้ เข้าใจไหมยายโง่!!”

ภูผาปล่อยคันเร่งแล้วเอี้ยวตัวมาดึงวงเดือนเข้าไปจูบ วงเดือนอึ้ง ตาค้าง

แสงสว่างวาบขึ้นมา รถไฟแล่นทะยานออกจากอุโมงค์

มือภูผากำแน่นด้วยความเจ็บปวดร้าวรานใจ
ภูผาพูดกับตัวเอง “จะเสียใจทำไม แกมันไม่มีหัวใจอีกต่อไปแล้ว จำเอาไว้...ไอ้ภูผา!”
ภูผาหลับตาลงด้วยความเจ็บปวด

ตอนสายวันนั้น บรรยากาศบริเวณท่าเรือวุ่นวายไปด้วยพ่อค้าแม่ค้าและชาวประมง เช่นทุกวัน พฤกษ์กำลังยุ่งอยู่ที่เรือ ตะโกนสั่งงานลูกน้อง
“ขนลงไปให้หมด จะรอให้เน่าคาเรือรึไง เร็ว!”
พฤกษ์ท่าทางเหน็ดเหนื่อย ใช้หลังมือปาดเหงื่อ….มองเห็นวงเดือนกำลังเดินเข้ามาหาพอดี
พฤกษ์ยิ้มจะร้องทักแต่พอเห็นสีหน้าของวงเดือนที่นัยน์ตาแดงใบหน้าบวมช้ำ ก็ชะงักไป
“ภูผาไปแล้วสินะ”
วงเดือนมองหน้าพฤกษ์ น้ำตาหยด
“ถ้าจะมาถามว่ามันไปไหน ฉันไม่รู้หรอก”
วงเดือนก้มหน้าอย่างผิดหวัง
“แต่ฉันเชื่อว่าภูผาต้องไม่เป็นอะไร เพราะมีหัวใจดวงนึงตามไปห่วงใยดูแลเขาอยู่ตลอดเวลา”
วงเดือนเงยหน้ามองพฤกษ์ด้วยความตกใจ ทำหน้าไม่ถูก ไม่รู้ว่าพฤกษ์จะรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับเธอและภูผา
พฤกษ์ยืนนิ่งและเช็ดน้ำตาให้วงเดือน “ผู้หญิงร้องไห้ น่าสงสาร...แต่ไม่สวยหรอกนะ ยิ้มหน่อยสิ..น้องสาวพี่” พฤกษ์ลูบหัววงเดือนด้วยความเอ็นดู
แทนที่จะยิ้มตามพฤกษ์บอก วงเดือนกลับน้ำตาร่วงปล่อยโฮโผเข้ากอดพฤกษ์ อย่างน้อย..เธอก็มีพี่ชายที่คอยให้กำลังใจเธอ
แต่แววตาของพฤกษ์มีแต่ความเจ็บปวด อ้อมกอดของพี่ชายคนนี้แอบซ่อนความรักไว้เต็มหัวใจ

ศรีดารารู้เรื่องภูผาตอนกลางคืน ก็ตกใจ
“ไปแล้วเหรอคะ!? แล้วภูผาไปไหน แกได้บอกคุณแม่ไว้ไหมคะ”
ศรีเรือนเอ่ยขึ้น “ภูผาจากไปเพื่อพิสูจน์ตัวเอง พร้อมเมื่อไหร่ เขาจะกลับมาเองไม่ต้องคิดตามหาให้เสียเวลา”
ขณะที่ศรีดาราร้องไห้ฟูมฟายอยู่นั้น...ศรีเรือนกลับหันไปมองภาพถ่ายขนาดใหญ่รูปหมู่ของหลานชาย
“จะร้องไห้ทำไม จากเป็น ไม่ได้จากตาย....ให้มันรู้ไปสิว่าเลือดสี่สายจะไหลไม่บรรจบกัน!”

หญิงชราจดสายตาจ้องที่รูปถ่ายสี่พี่น้องแน่วนิ่งเนิ่นนาน

โปรดติดตาม "ชิงนาง" ตอนต่อไปเวลา 7.00 น.
กำลังโหลดความคิดเห็น