xs
xsm
sm
md
lg

ธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 4

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 4

เย็นย่ำวันนั้น...วิไลลักษณ์นั่งอยู่ในห้องรับแขก แก้วก้าวเข้ามายกมือไหว้ วิไลลักษณ์รับไหว้แบบเชิดๆ

“ตาเวกับยายวิล่ะ”
“ไปสวนกับคุณย่าแล้วก็คุณณีค่ะ”
แก้วได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาทางด้านหลัง เลยหันไปมอง
“เอ้า...นั่นไงคะ กลับมาพอดีเลย แก้วขอตัวไปตั้งโต๊ะก่อนนะคะ”
แก้วเดินออกไป ดรุณีประคองย่าแดง ตามด้วยเวทางค์ วิยะดาและอาทิจเดินเข้ามา วิไลลักษณ์ประดิษฐ์เสียงและยกมือไหว้หวานย้อย
“สวัสดีค่าคุณแม่ นี่ตาเวกับยายวิไปสวนกับคุณย่าด้วยเหรอเรา”
“ครับ...ไปมันทุกที่เลยครับ ทั้งสวนส้ม สวนผัก แล้วก็ไร่สตรอเบอรี่”
“ที่หลังนี่ วิกับพี่เวเพิ่งได้ไปค่ะ ไกลม๊าก ลำบากม๊าก ร้อนม๊าก”
เวทางค์พูดต่อน้องทันที
“แล้วก็...เหนื่อยม๊าก”
วิไลลักษณ์ฮิฮะชอบใจ
“คุณย่าพาไปฝึกงานอย่างนี้ก็ดีแล้วนี่จ๊ะลูก จบแล้วจะได้มาช่วยคุณย่าดูแลที่นี่ ช่วยกันกับยายณี 2 คนไงจ๊ะ”
เวทางค์ฮึดสู้ เหมือนกำลังจะออกรบ
“ครับ...ขอแค่มีน้องณีอยู่ข้างๆ ถึงจะลำบาก จะร้อน จะไกลแค่ไหน ผมก็ทนได้ ไม่เหนื่อยครับ”
วิไลลักษณ์โผเข้ากอดจูบลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเว่อร์ๆ
“ต๊าย...ลูกแม่ น่ารักจังเลย” วิไลลักษณ์หันไปบอกย่าแดง “ตาเวน่ารักนะคะคุณแม่”
ย่าแดงพยักหน้าไม่ให้เสียน้ำใจ ในขณะที่อาทิจและดรุณีพะอืดพะอมกับความเว่อร์ของสองแม่ลูก วิไลลักษณ์ผละออกมาจากลูก
“อุ๊ยตาย...เกือบลืมไปค่ะ วิไลซื้อน้ำพริกหนุ่มกับแคบหมูเจ้าอร่อยมาฝากคุณแม่ด้วย”
วิไลลักษณ์ยื่นถุงเล็กๆในมือให้ ย่าแดงมองแล้วพูดนิ่มๆ
“บ้านนี้มีคนอยู่ตั้ง 5 ชีวิต ซื้อยังกับเอามาให้แมวดม”
วิไลลักษณ์จ๋อยรีบเฉไฉ
“เอ่อ...ที่จริงวิไลก็อยากจะเหมามาให้หมดร้านเลยนะคะ แต่มันเหลือเท่านี้จริงๆค่ะคุณแม่”
แก้วเดินเข้ามา
“อาหารเสร็จเรียบร้อยแล้วค่ะ”
วิไลลักษณ์หันไปบอกลูกๆ
“ไปกินข้าวกันตาเวยายวิ”
วิไลลักษณ์จ๋อยเมื่อหันมาเห็นเวทางค์และวิยะดา พากันหลับคอพับคออ่อนไปกับโซฟาอย่างเพลียจัด เธอเข้าไปปลุกให้ทั้งคู่ให้ตื่น
“ตาเว ยายวิ...ตื่นลูก ตื่นมากินน้ำพริกหนุ่มกับแคบหมูเจ้าอร่อยก่อน...ตื่นๆๆ”
ทุกคนยืนมองเวทางค์กับวิยะดาที่ค่อยๆสะลึมสะลือลืมตาขึ้นมา อย่างละเหี่ยใจ

น้ำพริกหนุ่มและแคปหมูอยู่ในถ้วยและจานเล็กๆ วิไลลักษณ์ตัก 2 สิ่งนั้นให้ตัวเองและลูกๆ จนเหลืออยู่ก้นถ้วย
“น้ำพริกเจ้านี้เขาอร่อยล้ำจริงๆนะคะ คุณแม่ชิมดูสิคะ”
ย่าแดงปรายตามองน้ำพริกก้นถ้วย
“อร่อยมากก็กินกันเถอะ แม่กินสลัดนิดหน่อยก็อิ่มแล้ว”
วิไลลักษณ์ตักผักจากจานเหมือนแย่งย่าแดงกิน...แถมกินไปชงลูกๆไปแบบเนียนๆ
“อยู่ที่นี่อากาศบริสุทธิ์ แถมยังได้กินผักผลไม้สะอาดๆ แม่ว่า...ช่วงปิดเทอมนี้ลูกย้ายมาอยู่ที่นี่กับคุณย่าเลยดีมั้ยจ๊ะ”
เวทางค์กับวิยะดาพยายามเอาใจแม่ ด้วยการถ่างตาตอบสั้นๆ
“ครับ / ค่ะ”
ย่าแดงมองสองคนเอือมๆ
“ถ้าคิดมาอยู่จริงๆก็ต้องทำงาน ถ้าไม่ทำ หลายวันเข้าก็จะเบื่อ”
วิไลลักษณ์หันไปถาม
“ทำมั้ยคะลูก”
สองคนอารมณ์เดิมตอบสั้นๆไร้ชีวิตชีวา
“ครับ / ค่ะ”
แก้วที่ยืนฟังอยู่พูดขึ้น
“แต่...งานในไร่ในสวนมันหนักนะคะ นานๆทำทีอย่างวันนี้ก็คงไหว ถ้าต้องทำทุก
วัน คุณเวคุณวิจะไหวเหรอคะ”
สองพี่น้องตอบสั้นๆเหมือนเดิม
“ไหว”
ทั้งคู่ตอบคำถามเสร็จก็คอพับหลับกลางอากาศ คาจานข้าวไปพร้อมๆกันในทันใด วิไลลักษณ์เอ๋อไปเลย ในขณะที่คนอื่นๆหันไปมองสองพี่น้องเป็นตาเดียว ทั้งอึ้ง ทั้งขำผสมคาดไม่ถึง

ค่ำนั้น...ทองประศรีอยู่ในห้องนอน เธอมองตัวหนังสือลายมือขยุกขยิกในกระดาษที่ทองใบเขียนมาให้
‘มีธุระสำคัญจะปรึกษาด่วนที่สุดครับ กรุณาไปพบผมที่น้ำตก ๓ ทุ่มคืนนี้ หวังว่าน้องศรีจะเมตตาผมนะครับ...ทองใบ’
หญิงสาวเดินไปมา แล้วถอนใจเฮือกใหญ่พึมพำกับตัวเอง
“จะไปดีไม่ไปดีวะเนี่ย”
สักครู่ทองประสานซึ่งนอนอยู่ในมุ้งกับทองประสม ดีดตัวผึงขึ้นมาแล้วถามเสียงดังอย่างเอาเรื่อง
“จะไปไหน!”
ทองประศรีสะดุ้งโหย่งรีบหันกลับไปหาน้อง
“ปะ...เปล่า”
ทองประสานกรีดนิ้วชี้หน้าพี่สาว
“อย่าให้น้องรู้นะเพคะว่า เสด็จพี่แอบไปหานังตะเภาแก้วอีก ไม่งั้นน้องจะฉีกเนื้อเอาเกลือทา ให้มันแดดิ้นสิ้นชีพเลย...คอยดู”
ทองประสานตวาดเสียงเขียวเสร็จก็หงายหลังผึ่งลงไปนอนตามเดิม ทองประศรีถอนใจเฮือกแล้วบ่นอุบ
“นังนี่...บ้ายี่เกไม่เลิก”
ทองประศรีละสายตาจากน้องๆที่นอนอยู่ในมุ้ง หันไปมองทางหน้าบ้าน
“เฮ้อ...เอาไงดีวะ”

ทองประศรีก้าวเข้ามาบริเวณธารน้ำตก ก่อนจะกวาดตามองไปรอบๆแล้วบ่นอย่างหงุดหงิด
“ดึกป่านนี้...ทำไมยังไม่โผล่หัวมาอีกวะ อย่างนี้มันหลอกกันนี่หว่า ไอ้บ้าเอ๊ย!”
หญิงสาวมองไปรอบๆตัวอีกครั้ง ก่อนจะเดินกระทืบเท้าออกมา ทองใบโผล่ออกมาจากหลังต้นไม้ต้นหนึ่งทางด้านหลัง แล้วพุ่งเข้ามาโอบเอวทองประศรีไว้
“ว้าย...” ทองประศรีหันไปมอง “พี่อะ...ปล่อยให้รอตั้งนาน ไหนว่ามีธุระสำคัญจะปรึกษา”
“ธุระสำคัญจริงๆจ้ะ”
“ก็ว่ามาสิ...ธุระอะไร”
ทองใบตาเยิ้มหวาน
“ธุระของหัวใจ”
ทองประศรียิ้มเขิน
“บ้าน่ะพี่ เราเพิ่งรู้จักกันแค่วันเดียวนะ”
“คนจะรักกันแค่สบตากันวิเดียวก็รักกันได้ ไม่งั้นจะมีคำว่า รักแรกพบ หรือจ๊ะ”
“ปากหวาน”
“พูดจริง”
“ใครจะเชื่อ ตะลอนไปเรื่อยๆอย่างนี้คงเจอผู้หญิงสวยมานักต่อนัก”
“แต่ไม่มีใครสวยถูกใจพี่เหมือนน้องศรี ตั้งแต่เกิดมาพี่ยังไม่เคยเห็นใครสวยและ” ทองใบมองหน้าอกอยากบอกว่า นมโตแต่เปลี่ยนเป็น “เซ็กซี่เหมือนน้องศรีเลยสักคน”
ทองใบเริ่มไซร้คอ ไซร้แก้มทองประศรี
“ปล่อยนะพี่ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”
“ดีสิ...เขาจะได้เป็นพยานว่าพี่รักน้องศรีมากแค่ไหน”
ทองประศรีเคลิ้มแต่ทำเบี่ยงเล่นตัว
“ไม่เอาน่าพี่”
“เห็นใจพี่เถอะ ตอนมาดักรอน้องศรีพี่ยังหวั่นใจอยู่เลยว่าน้องศรีจะมามั้ย”
“ถ้าไม่มาล่ะ”
“แต่ก็มานี่จ๊ะ”
ทองใบเริ่มใช้มือไต่ไปบนเรือนร่างของหญิงสาวยิ่งกว่าปลาหมึก หน้าก็ชอนไชซุกไซร้ จู่โจมเต็มพิกัด ทองประศรีเคลิ้มจัด แต่แกล้งผละออก
“ก็พี่บอกมีธุระสำคัญ”
“น้องศรีรู้แล้วนี่จ้ะว่าธุระสำคัญของพี่คืออะไร ถ้าน้องศรีไม่เห็นใจ พี่ก็จะไม่ฝืนใจ น้องศรี พี่จะไปจากที่นี่และจะไม่กลับมาให้น้องศรีเห็นหน้าอีกเลย ว่าไงจ๊ะ”
ทองใบเชยคางหญิงสาวขึ้นมา แล้วใช้สายตาล้วงควักคำตอบจากหญิงสาว ทองประศรีเอียงอาย
“มัดมือชกชัดๆ”
ทองใบยิ้มโปรยเสน่ห์ ตาเป็นประกายวาวอย่างผู้ชนะ
“ก็พี่รักของพี่นี่จ๊ะ”
ทองใบพรมจูบพร้อมกับซุกไซร้ไปตามซอกคอหญิงสาว ทองประศรีหัวเราะคิกคักอารมณ์ดี
“หนวดน่ะโกนซะบ้างนะ จั๊กจี้”
ทองใบไม่ฟังเสียงระริกระรี้ของทองประศรี ชายหนุ่มดันหญิงสาวไปพิงต้นไม้ แล้วตะโบมโลมไล้จัดหนักอย่างที่ตั้งใจ
 
ในจังหวะนั้น กิ่งก้านของต้นไม้ใบไม้ไหวโบกสะบัดเพราะด้านล่างกำลังฟาดกันนัว จนสะเทือนเลื่อนลั่นขึ้นไปถึงข้างบน


อาทิจใช้แทร็กเตอร์ไถพรวนดินแปลงที่จะใช้ปลูกผัก จนพร้อมที่จะปลูก จากนั้นก็หว่านปุ๋ยคอกลงดิน โดยมีต๊อด อึ่ง พัน ลุงเกร็ง และไพฑูร ร่วมด้วยช่วยกัน ลุงเกร็งหันไปคุยกับอาทิจ

“ดีนะครับที่คุณอาทิจทำปุ๋ยคอกไว้ ไม่งั้นคงต้องเสียเงินอีกหลายตังค์เป็นค่าปุ๋ย”
“ครับ มันก็น่าจะเยอะอยู่ เพราะเราต้องใช้ปุ๋ยตันถึงสองตันต่อไร่”
“แต่ใช้คนงานแค่ 4-5 คน เฮ้อ...เหนื่อย” ต๊อดบ่น
อึ่งเสริม
“หิวด้วย”
พันปาดเหงื่อ
“พักก่อนได้มั้ยนาย”
อาทิจพยักหน้า
“ได้”
ต๊อด อึ่ง พัน หน้าเริ่ด รีบวางอุปกรณ์ ในมือลงกับพื้น แล้วเตรียมจะออกไปนั่งพักใต้ร่มเงาไม้ อาทิจพูดขึ้น
“แต่ต้องหว่าน ไถ คราดกลบปุ๋ย และปรับหน้าแปลงให้เรียบภายในวันนี้ ถ้าคลุมด้วยฟางข้าวแห้งทันด้วยยิ่งดี”
สามเกลอหยุดเดินทันที ต่างคนต่างทำหน้าเมื่อยพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
“ข้าว่าอย่าขยับตูดไปไหนเลยว่ะ” ต๊อดบอกเซ็งๆ
ว่าแล้ว 3 เกลอ ก็หันหลังกลับไปทำหน้าเมื่อยใส่อาทิจ ก่อนจะหยิบจับอุปกรณ์ขึ้นมาทำงานต่อ ไพฑูรกัดนิดๆหมั่นไส้หน่อยๆ
“แหม...รักนายอาทิจกันจริงจริ๊ง ไม่รู้เสร็จงานแล้วนายเลี้ยงอะไรเป็นพิเศษรึเปล่า”
อาทิจยิ้มๆ
“ก็ว่าจะเลี้ยงนะครับ”
3 เกลอดีใจ
“ฮ้า!”
ต๊อดเข้ามากอดแขน
“หูต๊อดไม่ฝาดใช่มั้ยนาย”
อึ่งเข้ามากอดขา
“เอาแบบมีกรึ่บๆด้วยนะนาย”
พันเข้ามาเกาะแขนอีกข้าง
“เหล้ายานายหา เดี๋ยวปลาปิ้งไอ้พันจัดให้”
ไพฑูรหูผึ่ง อาทิจมองหน้าทั้งสาม
“แต่งานต้องเสร็จ เย็นนี้”
“โอเค” ต๊อดส่งสำเนียงอิสาน
อึ่งยิ้มรับ
“ได้เลย”
พันฮึกเหิม
“ไม่มีปัญหา”
ลุงเกร็งหันมาเร่ง
“ก็รีบๆไปทำเข้าสิวะ”
ต๊อดหน้าบาน
“เฮ้ย...รีบเลยเว้ย ชักเปรี้ยวปากแล้วเว้ย ฮูเลๆๆ ได้กินเหล้าฟรีแล้วพี่น้อง”
ต๊อด อึ่ง พัน พากันวิ่งตะโกนเย้ๆๆ ออกไปแข่งกันโรยปุ๋ยคอกใส่ดินอย่างสำราญบานใจ ลุงเกร็งขยับเข้ามาถาม
“คุณอาทิจจะซื้อเหล้าเลี้ยงพวกมันจริงๆหรือครับ”
อาทิจยิ้มๆ
“ไม่ซื้อ แต่จะต้มเองกับมือเลยครับ”
ลุงเกร็งอึ้งหน้าตาไม่สบายใจ ไพฑูรตาเป็นประกายแสยะยิ้มมุมปากเจ้าเล่ห์

ดรุณีพับหนังสือตัวอย่างข้อสอบเอนทรานซ์อยู่บนเสื่อข้างๆแนวต้นส้มอย่างมีมาด แล้วจีบปากจีบคอพูด เหมือนจะมีเสียงหัวเราะ..หึ..หึ กลั้วอยู่ในคอ
“คุณย่าไม่ชอบให้คนงานกินเหล้าเมายาโดยไม่จำเป็น โดยเฉพาะพวกที่แอบต้มเหล้าเถื่อนนี่ท่านเกลียดมาก ถึงขนาดเคยไล่ออกจากงานไปเลยก็มี”
ไพฑูรขยับเข้าไปหาหญิงสาว ประดิษฐ์ท่าและหน้าตาให้ดูไม่สบายใจเข้าไว้
“พี่ฑูรก็แค่อยากให้คุณณีรู้ไว้เท่านั้นล่ะครับ อย่าให้ถึงหูคุณย่าเลย เพราะถ้าคุณ
อาทิจรู้ว่าพี่ฑูรแอบมาบอกคุณณี ก็จะพาลเกลียดหน้าพี่ฑูรซะเปล่าๆ”
“เอาเถอะน่าพี่ฑูร ณีไม่บอกหรอก รับรอง”
ไพฑูรยิ้มที่เสี้ยมให้ย่าหลานตีกันได้ ดรุณีเปรยคนเดียว
“สนุกแน่...นายอาทิจ”
ดรุณีตาเป็นประกายวาว แอบสะใจล่วงหน้าคราวนี้คุณย่าได้เห็นจุดบอดของนายแน่

เวทางค์ทิ้งตัวลงนั่ง เหยียดแข้งขาเผละอย่างขี้เกียจตัวเป็นเกลียวบนโซฟา
“ไม่เอาครับคุณแม่ เดี๋ยวคุณย่าก็จับผมเข้าสวนอีก มันทั้งร้อน ทั้งเหม็น ทั้งเหนื่อย ตัวงี้เหนียวยังกับกาวตาช้าง”
วิยะดากระแทกตัวลงข้างพี่ชาย
“วิกับพี่เวนอนเพลียไป 7 วัน 7 คืนคุณแม่จำไม่ได้หรือคะ”
ประเวทย์หันไปปรามเมีย
“อย่าบังคับลูกเลยคุณ ให้คิดถึงท่านจริงๆแล้วค่อยไปดีกว่า”
วิไลลักษณ์ไม่ยอม
“น้ำขึ้นก็ต้องรีบตักสิคะ...ไปเถอะลูก คุณย่ากำลังเห็นความพยายามความตั้งใจของลูกแล้ว ต่อไปลูกจะขอที่ดินกี่ร้อยไร่ ท่านก็ต้องยกให้...นะจ๊ะ”
สองพี่น้องพูดพร้อมกันเสียงแข็ง
“ไม่ครับ / ไม่ค่ะ”
ประเวทย์ส่ายหน้า วิไลลักษณ์งัดไม้ตาย
“ตาเว...ลูกอยากได้ ipad เครื่องใหม่ใช่มั้ยจ๊ะ ส่วนยายวิ...”
วิยะดาแจ๋ทันที
“BB รุ่นล่าสุดค่ะ”
“ถ้าเราสองคนไปบ้านคุณย่าพรุ่งนี้ มะรืนนี้แม่ซื้อให้”
วิยะดาต่อรอง
“ซื้อวันนี้ แล้วไปพรุ่งนี้นะคะคุณแม่”
“อู๊ย...ช่างต่อรองซะจริง ก็ได้ แต่ต้องไปอยู่โน่นทั้งวันนะ”
เวทางค์หน้าเหวอ
“โห...ถ้าให้ไปอยู่ทั้งวัน คุณแม่ต้องพาเราไปซื้อเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นอยู่แค่ 2 ชั่วโมง”
“อะไรกันตาเว”
“2 ชั่วโมง นี่ก็เบื่อจะตายชักแล้วนะครับคุณแม่ ถ้ามีของเล่นใหม่ๆไปด้วย จะได้มีอะไรทำเพลินๆบ้าง โอไม่โอครับ ถ้าไม่โอผมจะได้ไปโยนโบว์กับเพื่อน”
เวทางค์ลุกจากโซฟา ทำท่าจะเดินออกไปจริงๆ วิไลลักษณ์รีบบอก
“ดะ...เดี๋ยวค่ะลูก...โอ...จ้ะ...โอ”
วิยะดาตบมือเป่าปากกับเวทางค์
“เย้! รีบไปแต่งตัวกันเถอะพี่เว”
สองพี่น้องพยักพเยิดแล้ววิ่งลัลลาออกไป ประเวทย์ส่ายหน้าเอือมๆ
“ติดสินบนลูกอีกแล้วนะคุณ”
“ก็แล้วแต่จะเรียกสิคะ ค่าจ้างของแลกเปลี่ยน หรือสินบน ยังไงน้องก็จะทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกของเราได้เป็นหลานเบอร์ 1 ของคุณแม่ให้ได้”
วิไลลักษณ์ลอยหน้าลอยตาพูดอย่างเชื่อมั่นในเล่ห์เหลี่ยมของตัวเอง ประเวทย์ได้แต่ส่ายหน้าแล้วหันไปสนใจหนังสือพิมพ์ที่อยู่ในมือต่อ

เย็นนั้น...ตุ๊มาหาทองประศรีที่ร้านขายของ ตุ๊กินกล้วยน้ำว้าที่อยู่บนโต๊ะไปคุยฟุ้งไป
“คุณอาทิจเขาจะเอากล้าผัก มาลงแล้วนะน้องศรี”
ทองประศรีทอนเงินให้ลูกค้า แล้วเดินมาหาตุ๊ ในขณะที่ทองประสานเช็ดพื้นและทองประสมจัดของในตู้
“แล้วยังไงล่ะ”
“อ๊ะ...มันก็เป็นโอกาสทองที่เราจะแอบไปหาคุณอาทิจน่ะสิจ๊ะ”
ทองประศรีท่ทางเนือยๆ ไม่กระตือรือร้นอย่างเคย
“เหรอ...แล้วร้อนรึเปล่า คนเยอะมั้ย ถ้ายายคุณย่าอยู่ล่ะ จะว่ายังไง”
“อู๊ย...ไม่เลยจ้ะน้องศรี ที่นั่นน่ะปลอดคนเพราะเป็นที่บุกเบิกใหม่ คุณย่าคงไม่ไปช่วงที่กำลังลงผักกันหรอก น่าจะไปตรวจงานทีหลังมากกว่า ส่วนไอ้เรื่องร้อนมันก็...ร้อนอะนะ” ตุ๊ชะงักแปลกใจ “ทำไม...น้องศรีถามเหมือนไม่อยากไป”
หน้าทองใบลอยมาในห้วงคำนึง ทองประศรีพูดบ่ายเบี่ยง
“ก็อยากอยู่นะพี่ตุ๊ แต่มันเสียรมณ์มั้ยล่ะ ไปทีไรแห้วตลอด”
“อยากได้เพชร มันก็ต้องร่อนหากันนานหน่อยล่ะน้องศรี หรือถอดใจซะแล้ว”
ทองประสานหันมาแซวพี่สาว
“ฉันว่าพี่บรรยงก็ไม่เลวนะพี่ศรี”
ทองประศรีเชิดนมใส่น้อง
“อี๊ย...ไม่เอาหรอกกะอีแค่พลตำรวจ อย่างฉันต้องได้ดีกว่านั้น”
ทองประสมหมั่นไส้
“กะจะมัดหลานคุณย่าให้ได้ว่างั้นเถอะ”
ทองประสานหันมาแดกดัน
“ติ่งหูเขา พี่ศรีก็ยังไม่เคยเห็น แล้วพี่ศรีจะไปมัดเขาได้ยังไง”
ทองประศรีเชิดหน้า
“คู่แล้วไม่แคล้วกันเว้ย ถึงจะอยู่ไกลกันแค่ไหน ฟ้าก็ส่งให้มาเจอกัน มาอยู่ใน
อ้อมกอดกันและกันอยู่ดี”
ทองประศรีจะเดินกลับไปเอาของ แต่เท้าไปสะดุดเอาถังน้ำซึ่งทองประสานใช้เช็ดพื้น แล้วเซไปปะทะอกทองใบซึ่งเดินเข้าร้านมาพอดี ทองประศรีเงยหน้ามองทองใบแล้วสะเทิ้นอาย ก่อนจะรีบกลบเกลื่อน
“ซื้ออะไรจ๊ะ พี่”
“อยากได้ที่โกนหนวดสักอัน” ทองใบจ้องตาทองประศรีราวกับจะกลืนกิน แถมกระซิบเสียงกระเส่าใส่ “มีคนบอกว่าโดนแล้วมันจั๊กจี้”
ทองใบยื่นแบงค์ยี่สิบที่สอดไส้ด้วยจดหมายนัดเชือดฉบับที่ 2 ให้ ทองประศรีรับเงินมาด้วยใจสั่นสะท้าน ก่อนจะคลี่จดหมายออกอ่าน ขณะเดินกลับไปหยิบมีดโกนที่ตู้
‘ที่เก่าเวลาเดิม’
ทองประศรีหันมาสบตาทองใบแล้วสะเทิ้นเอียงอาย ตุ๊ซึ่งกำลังแอบฉกกล้วยซ่อนไว้ในยกทรง เงยหน้าขึ้นมาเห็นสายตาจิกสะท้านกันไปมาของทั้งคู่แล้ว
 
อ่านออกในทันควันว่ามันไม่ธรรมดา


ธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 4(ต่อ)

ดรุณีช่วยแก้วลำเลียงอาหารจากครัวมาวางบนโต๊ะ ซึ่งย่าแดงนั่งรออยู่แล้วหันไปถามแก้ว

“พ่ออาทิจยังไม่มาอีกเหรอ”
“เจ้าต๊อดวิ่งมาบอกแล้วค่ะว่า มื้อนี้คุณอาทิจไม่มา”
ดรุณีสบโอกาสแย็บทันที
“จะมาได้ยังไงคะ ในเมื่อเขามีนัดกินข้าวกับคนงาน”
“พวกที่ไปช่วยที่แปลงผักล่ะมัง รู้จักทำตัวสนิทสนมกับคนงานอย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน”
ดรุณีลงนั่งเริ่ดๆเชิดๆ
“ก็น่าจะดีหรอกค่ะ ถ้ากินแต่ข้าว ไม่มีเหล้ามาเกี่ยวข้อง”
แก้วตกใจ
“ดื่มเหล้ากันด้วยเหรอคะ”
ดรุณีรีบฟ้อง
“ไม่ใช่แค่ดื่ม แต่ต้มเหล้าเถื่อนกันเลยล่ะค่ะ”
ย่าแดงชะงัก
“อ้าว...ทำไมทำอย่างนั้นล่ะ ย่าเคยห้ามแล้วนี่ เจ้าต๊อดมันไม่บอกพ่ออาทิจรึไง”
“คุณย่าขา ถ้าหัวไม่นำแล้วหางจะตามได้หรือคะ ลำพังเจ้าต๊อดน่ะ ไม่กล้าขัดคำสั่งคุณย่าหรอกค่ะ จะมีก็แต่หลานรักคุณย่านั่นล่ะค่ะที่กล้า”
แก้วไม่อยากจะเชื่อ
“แต่คุณอาทิจไม่น่าจะกล้าทำนะคะ ดูเธอไม่น่าเป็นคนดื่มเหล้าด้วยซ้ำไป”
“น้าแก้วน่ะมองคนในแง่ดีเกินไป คนที่ดีเว่อร์อย่างนายอาทิจนี่ล่ะ ที่มักจะซ่อนความร้ายกาจที่เรานึกไม่ถึงไว้ข้างใน เชื่อหนูสิ”
สิ้นเสียงเจื้อยแจ้วของดรุณี เสียงเคาะแก้วเคาะจานผสานเสียงร้องเพลงแบบเมาแอ๋ก็ดังขึ้น ดรุณียิ้มหยัน
“นั่นไงคะ ปาร์ตี้เหล้าเถื่อนเริ่มขึ้นแล้วล่ะค่ะ”
ย่าแดงวางช้อนกินไม่ลง
“ไปดูหน่อยซิ”
ย่าแดงลุกขึ้นแล้วเดินออกไป แก้วคว้าผ้าห่มและหมวกไหมพรมของย่าแดงได้ก็รีบตามท่านออกไปทันที ดรุณีสะใจ
“เทพบุตรสุดหล่อของสาวๆ เดี๋ยวเถ๊อะ...หน้าได้เหลือ 2 นิ้วแน่”
ดรุณียิ้มก่อนจะลุกขึ้นแล้วยุรยาตรเริ่ดๆเชิดๆออกไป

ที่ลานนั่งเล่นหน้าบ้านพักอาทิจ ต๊อด อึ่ง พัน ลุงเกร็งตบมือ แหกปากร้องเพลง กำลังเมาได้ที่ อาทิจยกถาดใส่แก้วซึ่งมีน้ำสีใสกิ๊งเต็มล้นอยู่ในแก้วทั้ง 5 แก้ว เดินเข้ามาเสริฟ ทุกคนหยิบแก้วประจำตัวขึ้นมา รวมทั้งอาทิจ ต๊อดยกแก้วขึ้นมาชวนเชิญทุกคนในท่ามึนยืนเซไปมา
“เอ้า...พวกเราดื่ม...ดื่มให้กับนายอาทิจที่อุตส่าห์ต้มเหล้าให้พวกเราคืนนี้ ดื่ม”
อาทิจยิ้ม ในขณะที่ทุกคนลุกขึ้นยืนตัวเอนไปโอนมา แล้วพากันหัวเราะสนุกสนาน ก่อนจะชนแก้วแล้วดื่ม ทันใดนั้น เสียง ย่าแดงดังเข้มเข้ามา
“ทำอะไรกัน!”
ดรุณีประคองแขนคุณย่า โดยมีแก้วขนาบข้าง เดินเข้ามา ทุกคนซึ่งกำลังยกแก้วขึ้นซด ชะงักกึก อาทิจเข้ามายกมือไหว้ย่าแดง
“ผมขอโทษนะครับคุณย่าที่เสียงดัง”
“ไม่ใช่เรื่องเสียงดัง แต่ย่าอยากรู้ว่าไอ้ที่ดื่มกันอยู่นี่มันอะไร”
ดรุณีลอยหน้าลอยตา
“จะอะไรคะคุณย่า ถ้าไม่ใช่เหล้าเถื่อน นั่นไงคะ เตา หม้อต้ม อุปกรณ์ครบ”
ลุงเกร็งพยายามอธิบาย
“คือ...เอ่อ...มันไม่ใช่อย่างนั้นครับคุณหนูณี”
ดรุณีเดินไปที่เตา ซึ่งมีหม้อตั้งอยู่บนนั้น แล้วเปิดดู
“ไม่ใช่อะไรคะลุงเกร็ง หลักฐานมีออกทนโท่ ดูสิคะคุณย่า ต้มทั้งเหล้าขาว เหล้าโรงเลยค่ะ สีขาวสีทองมาครบ นี่ไงคะ”
ดรุณีใช้ทัพพีตักน้ำในหม้อขึ้นมา แล้วเทโชว์น้ำสีน้ำตาลทองแบบเหล้าโรงกลับลงหม้อให้คุณย่าดู แก้วหันมาดุลุงเกร็งเสียงเขียว
“ตาเกร็ง แกแก่ที่สุด แล้วยังไม่มีปัญญาคิด ปล่อยให้คุณอาทิจต้มเหล้าเถื่อนได้ยังไง รู้ทั้งรู้ว่าคุณย่าเกลียดเรื่องนี้ที่สุด แกทำไมไม่เตือนเธอ”
พันหน้าเหวอพยายามบอก
“คือ...มันไม่ใช่...”
ดรุณีจ้องหน้า
“เมาแอ๋ขนาดนี้แล้วยังจะเถียงอีกเหรอนายพัน”
อึ่งพยายามอธิบาย
“คือ...พวกผมไม่ได้เมาครับคุณณี แล้วไอ้ที่กินนี่...ถ้ามันเป็นเหล้าก็คงดี แต่นี่มันไม่ใช่ มัน...” อึ่งบีบเสียงพูดเหมือนเสียใจผสมเจ็บใจ “ไม่ใช่!”
ย่าแดงงงๆ
“อะไรของแกหา...”
ลุงเกร็งหน้าตาจริงจังพูดขึ้น
“มันยังนี้ครับคุณย่า”
ทุกคนหันไปมองลุงเกร็งเป็นตาเดียว

ก่อนหน้านี้...ลุงเกร็ง ต๊อด อึ่ง พัน ปะแป้งขาวแต่งตัวมาปาร์ตี้กันเต็มที่ ต่างคนต่างหิ้วปลาที่เพิ่งไป
วางเบ็ดมาคนละตัวสองตัว อาทิจซึ่งอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว กำลังง่วนอยู่ที่หม้อต้มบนเตา พันชูปลาให้อาทิจดู
“ปลามาคร้าบแล้วตามสัญญา แล้วเครื่องดื่มล่ะคร้าบ มาตามสัญญารึเปล่า”
อาทิจหันไปยิ้มให้
“เสร็จพอดีเลย นี่ไง”
ลุงเกร็งเห็นหม้อต้มอย่างเดียวเลยสงสัย
“ไม่ต้องกรองต้องกลั่นเลยหรือครับ”
อาทิจยิ้มๆ
“สูตรใหม่ครับลุงเกร็ง ง่ายดี”
ต๊อดลูบปาก
“แหม...ไอ้ต๊อดเปรี้ยวปากอยากลองซด”
“ได้เลย”
ชายหนุ่มตักเครื่องดื่มสีน้ำตาลทองที่อยู่ในหม้อใส่แก้ว ส่งให้ต๊อด
“เอ้า...ชิม ร้อนนิดนะ”
ต๊อดรับมาพินิจ
“เฮ้ย...ทำไมมันสีนี้วะ”
“ก็นายบอกสูตรใหม่ไม่ได้ยินเหรอ สูตรใหม่ที่ต้มแล้วเหมือนเหล้าโรงไง...ไอ้โง่” อึ่งด่า
พันเห็นด้วยกับอึ่ง
“ถูก...เอ็งลืมแล้วรึไงไอ้ต๊อดว่านายจบเกษตรมา มันก็ต้องมีวิธีต้มแบบใหม่สิเว้ย”
ต๊อดชิม
“อึ่ม...หอมหวานละมุน”
อึ่งดึงมาจิบบ้าง
“กลิ่นก็ละไม”
พันดึงแก้วจากอึ่งมาจิบชิม
“ละมุนละไมเหมือน...เอ...ทำไมเหมือนน้ำมะตูมจังวะ”
อาทิจขำๆ
“ก็มันจะไม่เหมือนได้ยังไง ในเมื่อมันคือน้ำมะตูม”
3 เกลอโวยเป็นเสียงเดียว
“โห...นายอะ!”
ลุงเกร็งหัวเราะ
“โดนคุณอาทิจเล่นซะแล้ว”
ต๊อดทำโกรธ
“โกรธ”
อึ่งทำงอน
“งอน”
พันสะบัดบ๊อบใส่
“ไม่พูดด้วยแล้ว”
“อย่าโกรธอย่างอนเลยน่า น้ำมะตูมน่ะมันแค่เรียกน้ำย่อย แต่ลองนี่ สูตรนี้ดื่มแล้วสดชื่น”
อาทิจยกถาดซึ่งมีแก้วใส่น้ำใสบริสุทธิ์ 4 แก้วขึ้นมา ต๊อดตาโต
“เฮ้ย...นี่มันเหล้าขาวนี่หว่า”
อึ่งเหล่อาทิจ
“ที่แท้นายก็แอบต้มไอ้นี่ไว้ให้พวกเราใช่มั้ย ขี้เล่นนะเนี่ย มีสับหลอกให้งงก่อนด้วย”
พันคว้าแก้วมา
“เอ้า...ดื่มเว้ยพวกเรา จะได้หายงง หมดแก้วเลยเว้ย”
ต๊อดแกล้งทำเมา
“มาวให้หัวทิ่มบ่อ”
ทุกคนหัวเราะฮา ก่อนจะยกน้ำใสในแก้วขึ้นดื่มจนหมดแก้ว แล้วหันมามองหน้ากันอย่างเงียบเชียบ ลุงเกร็งวิเคราะห์
“เอ...รสคุ้นๆ เหมือน...เหมือน...”

ต๊อดแหกปากทำท่าเหมือนจะปล่อยโฮร้องไห้
“น้ำเปล่า! น้ำเปล่าซิงๆ ไม่มีส่าเหล้าเจือเลยแม้แต่น้อย”
อึ่ง ซึ่งอยู่ในอารมณ์ที่ไม่ต่างจากต๊อด
“ตกลงนายไม่ได้ลงทุนอะไรเลย มะตูมก็ไปเก็บจากท้ายสวนมาต้ม น้ำเปล่าก็ตักเอาน้ำฝนจากในตุ่มมาให้กิน”
ดรุณีจับผิดไม่ยอมแพ้
“แล้วทำไมพวกนายถึงได้เมาแอ๋ขนาดนี้”
ลุงเกร็งหันมาบอก
“มันแกล้งเมาประชดคุณอาทิจกันน่ะครับ”
ดรุณีหน้าม้านเหลือ 2 นิ้วซะเอง หญิงสาวเหล่มองอาทิจ ชายหนุ่มส่งยิ้มให้เป็นยิ้มของผู้บริสุทธิ์ที่ผ่านการพิจารณาของศาลแล้ว ย่าแดงถอนใจโล่งอก
“ถ้าอย่างนั้นก็แล้วไป แม่ณีไปได้ยินใครที่ไหนมา คิดเองเออเองอย่างนี้ใช้ได้ที่ไหน นี่ล่ะนะ โบราณเขาถึงว่าสิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น เออ...กลิ่นอะไรหอมๆ”
“ปลาเผาครับคุณย่า ว่าจะกินแกล้มเหล้าสักหน่อย แต่กลั้วกับน้ำมะตูมก็อร่อยดีเหมือนกันครับ” พันบอก
“เมื่อกี้ย่าก็ร้อนใจรีบมาจนไม่ได้กินข้าว กินกับพวกเราสักมื้อคงไม่เป็นไรนะ ว่าไงแม่ณี”
ดรุณียังเจ็บใจไม่หาย
“เชิญคุณย่าเถอะค่ะ หนูไม่หิว หนูขอตัวกลับก่อนนะคะ”
ดรุณีหันหลังจะเดินกลับ ต๊อดพูดขึ้น
“คุณณีรังเกียจพวกเราเหรอครับ พวกเรากลับก็ได้นะครับ คุณณีจะได้กินข้าวกับคนในครอบครัว ไป...พวกเรา”
ดรุณีหันกลับมา
“ฉันไม่เคยเห็นพวกเราเป็นคนอื่น เราทุกคนเป็นครอบครัวเดียวกัน”
“งั้นก็กินข้าวด้วยกันสิครับ”
อาทิจพูดอย่างแมนๆด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน แต่แฝงความจริงจังของพี่ที่กำลังอบรมบ่มนิสัยน้อง
 
ดรุณีค้อน รู้ดีว่าประโยคธรรมดาๆของชายหนุ่ม มีนัยของการตำหนิและบังคับกลายๆแฝงอยู่


ค่ำนั้น...ที่โคนต้นไม้บริเวณธารน้ำตก ทองใบซึ่งโกนหนวดโกนเคราเรียบร้อยแล้ว นั่งตระกองกอดทองประศรีนัวเนีย

“น้องศรีไม่ต้องกลัวนะ พี่จะรับผิดชอบเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด พี่จะให้เจ้าพ่อกับเจ้าแม่ยกขันหมากมาสู่ขอน้องศรีอย่างสมเกียรติ”
ทองประศรีตาเหลือกโต
“เจ้าพ่อเจ้าแม่ นะ...นะ...นี่พ่อแม่พี่เป็นเจ้าเหรอจ๊ะ”
“จ้ะ”
ทองประศรีเอามือแตะปากตนเอง ตื่นเต้นเหมือนนางงามจักรวาลเพิ่งสวมมงกุฎ
“อ๊ายย...แล้ว...แล้วศรีต้องเรียกพี่ว่า เจ้าพี่ รึเปล่า”
“เรียกพี่ธรรมดาเถอะจ้ะ พี่ไม่ชอบถือยศถือศักดิ์เหมือนคนอื่น ถึงได้ออกมาลองใช้ชีวิตแบบสามัญชนนี่ไง”
“โอ้ว...แม่เจ้า ศรีไม่คิดเลยว่าศรีจะได้เป็นสะใภ้เจ้าอย่างนี้ มัน...มัน...มันไกลเกินที่ฝันไว้จริงๆ”
“ไม่มีอะไรไกลเกินฝันหรอกจ้ะ พี่ฝันว่าพี่จะได้เมียที่หวานและเซ็กซี่ไปทั้งตัวอย่างน้องศรี พี่ก็ได้ เห็นมั้ย เราจะแต่งงานกัน 2 รอบนะจ๊ะ ที่นี่และที่วังของพี่”
ทองประศรีฉีกยิ้มปลื้มมาก
“อ๊าย...วัง...วังเหรอจ๊ะ พี่พูดจริงๆนะ”
“จริงสิจ๊ะ”
ทองใบซุกไซ้คลุกวงใน เตรียมจะเผด็จศึกอีกรอบ ทองประศรีทำปัดป้อง
“ศรีออกมานานแล้ว เดี๋ยวที่บ้านสงสัย”
“อีกครั้ง นะ...นะ”
ทองประศรีบิดอาย
“เมื่อกี้ก็บอกว่า อีกครั้ง”
“มีเมียสวยเซ็กเอ๊กส์แตกขนาดนี้ พี่ก็อยากจะพูด อีกครั้ง ไปทั้งคืนล่ะจ้ะ”
ทองใบไม่พูดพล่าม ชายหนุ่มคลุกวงในจู่โจมทองประศรี โดยที่หญิงสาวยินยอมพร้อมใจอีกครั้ง

ดรุณีนั่งแทะปลาเผาอย่างเอร็ดอร่อย ข้างๆย่าแดงและแก้ว อาทิจนั่งอยู่กับลุงเกร็ง โดยที่ต๊อด อึ่ง พัน นั่งเอาช้อนเคาะขวดเคาะจานร้องเพลง หัวเราะฮาเฮ เมาดิบกันถ้วนทั่ว ลุงเกร็งมองขำๆ
“ไม่กินเหล้าก็แกล้งเมาก็สนุกกันได้นี่หว่า” ลุงเกร็งหันมาบอกย่าแดง “งานเลี้ยงปีใหม่ปีต่อๆไป ไม่
ต้องเลี้ยงเหล้าไอ้พวกนี้แล้วนะครับคุณย่า”
ต๊อดชะงักกึก
“อ้าว...น้าเกร็ง ไหงพูดขัดลาภปากกันอย่างงี้ล่ะ”
“ที่จริง ย่าก็ไม่อยากมอมเมาพวกเราหรอกนะ แต่เห็นว่าปีหนึ่งหนหนึ่งก็ยอมๆกันไป เพราะถ้าไม่มีให้ดื่ม ก็ต้องแอบออกไปหาดื่มกันอยู่แล้ว จริงมั้ยล่ะ”
อึ่งเห็นด้วย
“มันก็...อย่างที่คุณย่าว่าล่ะครับ นานทีปีหน”
“เออ...ไหนๆก็มาถึงนี่แล้ว ย่าอยากจะฟังเสียงแคนสักหน่อย เจ้าต๊อดเป่าให้ฟังหน่อยซิ”
ต๊อดดีใจ
“อยากฟังจริงๆหรือครับ”
ดรุณีย้ำ
“อยากสิ นายเป่าได้เพราะมาก ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยนะว่าเสียงแคนจะไพเราะได้ขนาดนี้ จนกระทั่งได้ยินที่นายเป่านั่นแหละ”
พันทำท่าอยากตาย
“จะดีหรือครับคุณณี ที่พวกผมเคยได้ยินมันระคายหูมาก มันเป่าทีขี้หูผมร่วงออกมากองโดยไม่ต้องแคะ”
อึ่งเสริม
“สั้นๆก็คือ มันเป่าได้ห่วยแตกมากอะครับ”
ต๊อดเดินไปหยิบแคนซึ่งวางอยู่ที่ระเบียงบ้านออกมาแล้ววางก้ามขึงขัง ยกแคนขึ้นเป่า ไม่แคร์สื่อ อึ่ง พัน ลุงเกร็ง ยกมือห้าม แล้วร้องเป็นเสียงเดียวกัน
“ได้โปรด...อย่า!”
ต๊อดชะงัก
“ใครว่าข้าจะเป่า นี่...คนเป่าตัวจริงเสียงจริงอยู่นี่” ต๊อดส่งแคนให้อาทิจ “ไอ้ที่
ไพเราะเสนาะหูน่ะ ฝีมือนายครับ ไม่ใช่ผม เอ้า...โชว์เลยนาย จัดเต็มซวดๆเด้อ”
ดรุณีหน้าม้าน เด๋อด๋าเป็นครั้งที่ 2 เพราะออกตัวชมอาทิจอย่างแรง อาทิจรับแคนมาเป่าเล่นเอาทุกคนเคลิ้มรวมทั้งดรุณี อาทิจแอบเหล่มาทางดรุณีในบางช่วงจังหวะของเพลง ดรุณีซึ่งนั่งเท้าคางฟังแถมยิ้มเพลิน สบตาชายหนุ่มแล้วยืดตัวตรง ทำเป็นไม่สนใจไม่ตั้งใจฟังซะงั้น

ทองประศรีวิ่งกระโดดดีดส้นเท้าเป็นนางเอกบัลเล่ต์ กลับเข้าบ้านอย่างกระชุ่มกระชวย แต่แล้วหญิงสาวก็หน้าถอดสีเมื่อเห็น สิงห์ทอง คำมา ทองประสาน ทองประสม ยืนเรียงหน้ากระดานรออยู่ที่หน้าบ้าน คำมาตวาดแว้ด
“ไปไหนมานังศรี!”
ทองประศรีอึกอัก
“เอ่อ...ฉัน...ฉันไปหาคุณอาทิจมาจ้ะ”
สิงห์ทองถามเสียงแข็ง
“อาทิจไหน”
“ก็หลานคุณย่าแดง เจ้าของสวนแถวนี้ไงพ่อ พี่ศรีเขาเล็งไว้กะทำผัว” ทองประสานบอก
สิงห์ทองโล่งใจ
“เออ...ค่อยยังชั่ว จะมีผัวทั้งทีก็ต้องหาที่มันรวยๆเข้าไว้ อย่าไปเอาพวกขี้เมาไก่กา
แถวนี้”
คำมาเสริมสามี
“ไอ้ประเภทไม่เป็นหลักแหล่ง อย่างไอ้เซลล์ขายยาถ่ายนั่นก็ไม่เอา”
ทองประศรีเถียงทันที
“พี่เขาไม่ใช่เซลล์ เขาเป็นเจ้าของกิจการ”
ทองประสมสงสัย
“ทำไมต้องออกตัวแทนเขาด้วยล่ะพี่ศรี”
ทองประศรีกลบเกลื่อน
“ออกตัวอะไร ฉันเพียงแต่คิดว่าอย่ามองคนแค่ภายนอก พี่เขาอาจจะรวย มีชาติตระกูลดี พ่อแม่เขาอาจจะเป็นเจ้าก็ได้เว้ย”
คำมาขำกลิ้ง
“เจ้าพ่อเจ้าแม่เข้าทรงเหรอวะ ถ้ารวยขนาดนั้นจะมาเร่ขายของต๊อกต๋อยทำไม”
ทองประสานนึกได้
“ก็...แบบในละครไงแม่ พระเอกเป็นเศรษฐีพันล้านที่ต้องการตามหารักแท้”
ทองประสมพูดต่อ
“เลยปลอมตัวเป็นเซลล์ขายยาถ่าย เพื่อพิสูจน์รักแท้กับสาวบ้านไร่”
คำมาด่าทันที
“โธ่...อีบ้า! เรื่องแบบนี้มันมีแต่ในนิยายเท่านั้นเว้ย”
สิงห์ทองคิดๆก่อนจะออกความเห็น
“ข้าว่า...จับคุณอาทิจให้อยู่หมัด ยังจะง่ายกว่าหาพระเอกในนิยายเน่าๆแบบนั้นนะ”
ทองประศรีได้แต่ยืนเก็บกด หญิงสาวอยากจะตะโกนบอกทุกคนเหลือเกินว่า ผัวฉันเป็นเจ้า

เช้าวันใหม่...อาทิจกับต๊อดกำลังฉีดน้ำจากสายยางรดแปลงดิน ที่ปูด้วยฟางข้าวแห้งเรียบร้อยแล้ว
“นายเข้าไปช่วยพี่ฑูรเก็บส้มก่อนไป เดี๋ยวไม่ทันส่งลูกค้า บอกพี่ฑูรว่าฉันรดน้ำเสร็จแล้วจะตามไป เอาจักรยานฉันไปก็ได้”
“ครับ นาย”
ต๊อดเดินไปปิดน้ำจากทางฝั่งตัวเอง แล้ววิ่งไปที่จักรยานอาทิจก่อนจะถีบออกไป สักครู่ดรุณีถีบจักรยานเข้ามาจากอีกทาง ตะโกนเรียก
“นายอาทิจ คุณย่าให้มาตาม”
อาทิจชะงักได้ยินแล้วแต่แกล้งรดน้ำต่อ ทำเป็นไม่ได้ยิน ดรุณีแหกปากดังขึ้น
“คุณย่ามีธุระจะคุยด้วยได้ยินมั้ย...นายอาทิจ”
อาทิจซึ่งยืนหันหลังให้ดรุณีแอบอมยิ้ม แล้วแกล้งร้องเพลงก่อนจะรดน้ำต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดรุณีลงจากรถแล้วเดินตีหน้ายักษ์เข้าไปหา
“ไม่ได้ยินที่ฉันเรียกรึไง นี่แหนะ”
ดรุณีเอามือตีต้นแขนชายหนุ่มดัง ผัวะ อาทิจแกล้งสะดุ้งตกใจเกินจริง
“เฮ้ย!”
อาทิจหันทั้งตัวและสายยางมาหาดรุณี เป็นผลให้น้ำจากสายยางพวยพุ่งใส่หญิงสาวเต็มๆ ดรุณีเต้นเป็นไส้เดือนคลุกขี้เถ้า
“นาย!”
“ผะ...ผม...ขอโทษ อุ้ย...เปียกหมดเลย”
ดรุณีขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน สูดลมหายใจเข้าปอด เหมือนเตรียมจะขย้ำชายหนุ่ม อาทิจยิ้มแหยๆ
“คุณย่ามีธุระจะคุยกับผมใช่มั้ย เดี๋ยวผมตามไปนะ”
ดรุณีสะกดอารมณ์ตัวเองนับ 1-2-3 ในใจ ก่อนจะหันหลังขวับให้แล้วหางตาหญิงสาวก็เหลือบเห็นสายยางที่ต๊อดใช้รดน้ำวางทิ้งไว้ อาทิจเห็นดรุณีเดินออกไปแล้ว เลยเดินมารดน้ำในมุมที่ยังไม่ได้รด พร้อมกับเปรยขึ้นอย่างอารมณ์ดี
“ชอบแกล้งคนอื่นดีนัก ต้องดัดนิสัยซะให้เข็ด”
“เข็ดเหรอ”
อาทิจชะงักบิดตัวหันไปมอง ดรุณีฉีดน้ำจากสายยางพุ่งเข้าใส่หน้าอาทิจอย่างแรง ชายหนุ่มเปียกโชกทั้งตัว
“เฮ้ย...อะไรกันเนี่ย”
“ไม่ต้องงง คิดจะแกล้งฉันแล้วยังทำงงอีกเหรอ นี่แหนะๆๆๆ”
ดรุณีฉีดน้ำใส่อาทิจอย่างสนุกสนานเมามัน
“หยุดเดี๋ยวนี้นะคุณณี ผมเปียกหมดแล้วเห็นมั้ย”
ดรุณีหัวเราะ
“ก็ตั้งใจให้เปียก มันก็ต้องเปียกสิคะ...” ดรุณีเลียนเสียงวิยะดา “สุดหล่อของวิ”
อาทิจออกคำสั่งเหมือนอยู่กับน้องๆที่บ้าน
“ไปปิดน้ำเดี๋ยวนี้เลย”
“ไม่ปิด”
“ไปปิด”
“ไม่ปิด”
“ไม่ปิดใช่มั้ย นี่แหนะ...เด็กดื้อ!”
อาทิจหันสายยางที่อุตส่าห์เบนหนีดรุณี กลับมาฉีดใส่หญิงสาวเต็มแรง ดรุณีขบเขี้ยวเคี้ยวฟันโวย
“อื๋อ...ไอ้...ไอ้ ผู้ใหญ่รังแกเด็ก”
“ยอมรับแล้วใช่มั้ยว่าตัวเองเป็นเด็ก”
ดรุณีสะดุ้งเข้าตัวอีกแหละ เปลี่ยนใจดีกว่า
“ไอ้...ไอ้ผู้ชายรังแกผู้หญิง”
“ผู้หญิงที่ทำตัวเหมือนเด็ก”
ระหว่างที่ถกเถียงกัน ทั้งคู่ก็วิ่งไล่ฉีดน้ำใส่กัน จนพื้นแฉะ
“ฉันไม่ใช่เด็ก!”
“เด็ก!”
“ไม่เด็ก!”
“เด็ก!”
“ไม่เด็ก...ว้าย!”
ดรุณีเอาสายยางฟาดใส่อาทิจด้วยความยัวะที่อาทิจไม่ยอมลงให้ตัวเองเหมือนคนอื่น แต่แล้วก็เสียหลักลื่นเพร็ด อาทิจเข้าไปคว้าแขนไว้ทัน แล้ว ทั้งคู่ก็ยืนเซไปมาเพื่อเลี้ยงและถ่วงน้ำหนักตัวซึ่งกันและกัน ในที่สุดก็หยุดนิ่งเหมือนจะบาล๊านซ์ตัวเองได้ ทั้งคู่เงยหน้าขึ้นมามองกัน เผยรอยยิ้มได้เพียงชั่ววินาทีแล้วก็พากันลื่นล้มเพร็ดลงไปทั้งคู่ อาทิจล้มกลิ้งลงไปกองกับพื้นก่อน ตามด้วยดรุณี หน้าดรุณีลงไปปะทะหน้าอาทิจ
ทุกอย่างสงบนิ่งวินาทีหยุดโลก...ทั้งคู่ค่อยๆผละออกจากกันเล็กน้อย อาทิจเรียนรู้ว่าดรุณี ไม่ใช่เด็ก อย่างที่เจ้าตัวยืนยัน จริงๆ ทั้งคู่ยิ้มให้กันแหยๆ กลบเกลื่อนความอายสุดๆที่ต่างคนต่างมี แล้วเพียงชั่วอึดใจต่างคนต่างก็ได้สติร้องออกมาพร้อมกัน
“น้ำ!”
ทั้งคู่ต่างก็วิ่งไปปิดน้ำลื่นล้มคลุกคลาน ในมุมของใครของมัน

อาทิจยื่นผ้าขนหนูผืนเล็กให้ดรุณี ซึ่งยืนหน้าตาผมเผ้าเปียกซ่ก
“เช็ดหน้าเช็ดผมก่อน”
ดรุณีอายแต่กลบเกลื่อนด้วยการปั้นปึ่งใส่
“ไม่”
“ทำไมล่ะ กลัวสกปรกเหรอ ผมซักมาใหม่ๆยังไม่ได้ใช้เลย”
“ไม่”
“เช็ดสักหน่อย เดี๋ยวจะไม่สบายเอา”
“ไม่”
อาทิจชักฉุนพูดเสียงเข้ม
“ไม่ได้ ต้องเช็ดเดี๋ยวนี้”
“ไม่”
อาทิจไม่ฟังเสียงดรุณีอีกต่อไป ชายหนุ่มเอาผ้าเช็ดผมให้หญิงสาว เหมือนที่เคยทำให้น้อง ทันที ดรุณีรู้สึกเขิน รีบแย่งผ้ามา
“ไม่ต้อง ฉันเช็ดเองได้”
“เห็นมั้ย เช็ดเองซะตั้งแต่แรกก็หมดเรื่อง เด็กดื้อเอ๊ย”
“ฉันไม่ใช่เด็ก อย่าเรียกฉันว่าเด็กอีกนะ ฉันไม่ชอบ”
“ไม่ใช่เด็กงั้นเหรอ ต้องพิสูจน์ก่อน”
อาทิจหันมาจ้องหญิงสาวเขม็ง ก่อนจะโน้มตัวและหน้าเข้ามาใกล้...ใกล้...และใกล้ ดรุณีใจเต้นโครมคราม อกหวามหวั่นไหว คิดในใจ เขา...เขา...จะโน้มตัวมาแกล้งจูบเราแน่ๆแล้ว ดรุณีปากคอสั่น
“นะ...นาย...จะทำอะไร”
“อยู่เฉยๆ นิ่งๆ”
ตาของเขายังคงจับจ้องที่หญิงสาวไม่วางตา ดรุณีทนไม่ไหวอีกต่อไป เพราะอาทิจเคลื่อนเข้ามาใกล้จนปากชายหนุ่มจะแตะปากหญิงสาวอยู่รอมร่อ
“อย่านะ...นี่แหนะ!”
ดรุณีขยับหนี แถมถีบอาทิจกระเด็น ในขณะที่อาทิจดีดมดตะนอยที่ไต่อยู่บนผมหญิงสาวออกไปได้พอดี
“โอ๊ย”
ดรุณีเสียงเขียวใส่
“นายจะทำอะไร”
“ก็จัดการให้มดตะนอยออกไปจากหัวคุณน่ะสิ ช้าอีกนิดมันคงมุดลงไปต่อยหัวคุณปูดแน่ ทำคุณบูชาโทษแท้ๆ” อาทิจเอะใจ “คุณคิดว่าผมจะทำอะไรคุณงั้นเหรอ”
ดรุณีทำเฉไฉ
“ปะ...เปล่านี่ นายจะมาทำอะไรฉันได้ล่ะ ไม่มีอะไรแล้วใช่มั้ย ไปนะ”
ดรุณีเดินออกมาแต่แล้วก็ชะงักเมื่อได้ยินวลีลอยๆที่ดังขึ้นจากทางด้านหลัง
“เด็ก”
ดรุณีหันขวับมาทันที
“บอกแล้วใช่มั้ยว่าไม่ให้เรียกเด็ก”
“ก็ถ้าคุณไม่เด็ก คุณก็ต้องรู้จักขอบคุณคนที่ช่วยคุณสิ”
ดรุณีฝืนใจ แต่เปลี่ยนจากขอบคุณเป็น...
“ขอบใจ”
ดรุณีขยับจะเดินออก อาทิจพูดขึ้นอีก
“นอกจากจะขอบใจเป็นแล้ว คนที่มีวุฒิภาวะเป็นผู้ใหญ่ ต้องรู้จักตอบแทนคนที่ช่วยเหลือเราด้วย เช่น” อาทิจเปรยๆกับลมกับฟ้า “ให้นั่งจักรยานไปด้วย อะไรแบบเนี้ย”
ดรุณีกลั่นใจ
“นายถีบฉันนั่ง แล้วทีหลังก็ไม่ต้องมาทำอะไรให้เป็นบุญคุณกันอีก”
ดรุณีค้อนอาทิจ ปาผ้าเช็ดผมแล้วสะบัดใส่ชายหนุ่มก่อนจะเดินไปที่จักรยาน อาทิจยืนมองดรุณีแล้วทั้งขำทั้งเอ็นดูทั้งอยากกำราบให้อยู่หมัด และทั้งอะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย ที่เจ้าตัวก็บรรยายไม่ถูก

ชายหนุ่มรู้แต่เพียงว่า ถ้าวันไหนไม่ได้ปะทะคารมกับดรุณี มันคงเหมือนมีอะไรบางอย่างขาดหายไปจากชีวิต

ธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 4(ต่อ)

ย่าแดงกับแก้วที่ช่วยกันตัดเล็มและเอาปุ๋ยคอกใส่ดอกไม้ ละสายตาจากงานตรงหน้าขึ้นมามองอาทิจซึ่งถีบจักรยานเข้ามา โดยมีดรุณีนั่งหน้าบูดซ้อนท้ายอย่างแปลกใจ

“ไปคลุกขี้โคลนที่ไหนกันมา เนื้อตัวถึงได้มอมอย่างนั้น”
“ก็ถามคุณอาทิจเขาดูสิคะคุณย่า” ดรุณีบอกพลางค้อน
“คือ...ผมรดน้ำแปลงดินที่จะเอาผักลงปลูก พอดีคุณณีมาบอกว่าคุณย่ามีธุระจะคุยกับผม”
อาทิจนิ่งไปนิด แก้วถามต่อ
“แล้วยังไงคะ”
“เอ่อ...คือดินมันลื่นน่ะครับ”
ดรุณีจ้องหน้า
“ทำไมไม่เล่าล่ะว่า ที่มันลื่นเพราะนายแกล้งเอาน้ำมาฉีดใส่ฉัน คุณย่าต้องจัดการลงโทษนายอาทิจให้หนูนะคะ”
ย่าแดงมองหลานสาวอย่างรู้ทัน
“เรายืนอยู่เฉยๆ ไม่ได้ตอบโต้พี่เขาเลยว่างั้นเถอะ”
ดรุณีสะอึกแล้วตอบงอนๆ
“หนูก็ต้องสู้สิคะ จะยอมให้คนอื่นแกล้งอยู่ฝ่ายเดียวได้ยังไง”
“ก็เอาคืนกันไปแล้ว แล้วจะให้ย่าตัดสินอะไร ถ้าจะลงโทษก็ต้องลงโทษทั้งคู่”
ดรุณีน้อยใจ
“คุณย่าจะปล่อยให้หนูเลอะโคลนฟรีๆเหรอคะ”
แก้วแย้งขึ้น
“คุณอาทิจก็เลอะหนักอยู่นะคะ”
ย่าแดงตัดบท
“มันก็ขนมผสมน้ำยานั่นล่ะ ไป...รีบไปอาบน้ำอาบท่าก่อนพ่ออาทิจ เดี๋ยวค่อยมาคุยกัน ขึ้นไปอาบบนบ้านนั่นล่ะ”
ดรุณีขัดขึ้นทันที
“ไม่ได้นะคะคุณย่า นั่นมันห้องน้ำส่วนตัวของคุณย่ากับหนู หนูไม่ยอมให้คนอื่นขึ้นไปใช้เด็ดขาด”
อาทิจหน้าเสีย
“เดี๋ยวผมกลับไปอาบที่บ้านก็ได้ครับคุณย่า”
“เดินไปเดินมาเสียเวลา อาบที่ก๊อกน้ำข้างครัวดีมั้ยพ่อ เอ...แต่วันนี้อากาศหนาวจะไหวมั้ย”
อาทิจยิ้มๆ
“ไหวครับ ผมอาบตรงไหนก็ได้ เพราะไม่เคยมีห้องน้ำส่วนตัวอยู่แล้วครับ”
ดรุณีรู้ว่าอาทิจแอบแขวะ ก็เลยสะบัดหน้า...แล้วเดินหนีขึ้นบ้านไป ทุกคนมองตามหนักใจ

ดรุณีเปิดตู้หยิบผ้าเช็ดตัวจะเดินเข้าห้องน้ำแต่แล้วก็ชะงัก หญิงสาวเดินมาที่หน้าต่างก่อนจะค่อยๆแย้มหน้าออกไปมองเห็น อาทิจนุ่งผ้าขาวม้าตักน้ำจากตุ่มขึ้นอาบซู่ๆอยู่ด้านล่าง ดรุณีเปรยๆขึ้น
“ขอให้ปอดบวมทีเถ๊อะ...เพี้ยง”
สักครู่แก้วเดินถือสบู่กับยาสระผมซึ่งอยู่ในแพคเก็จที่ทำจากธรรมชาติดูสวยงามอร่ามตาเข้ามาส่งให้อาทิจ
“สบู่กับยาสระผมมะกรูดค่ะคุณอาทิจ เนี่ย...คุณณีทำเองกับมือเลยนะคะ”
อาทิจรับของมา
“เอ่อ...ครับ ขอบคุณมากครับ”
ดรุณีที่แอบมองอยู่ก็ไม่พอใจทันที
“อ๊าย...น้าแก้วเอาสบู่หนูไปให้คนอื่นใช้ได้ยังไงเนี่ย ใครอนุญาต”
แก้วสังเกตเห็นรอยแดงจางๆที่ใต้ราวนมอาทิจ
“ไปโดนอะไรมาคะคุณอาทิจ แดงเป็นปื้นเชียว”
อาทิจพยายามหาเหตุผล
“คือ...เอ่อ...คงจะโดนอะไรสักอย่างกระแทกเอาน่ะครับ”
แก้วพินิจพิเคราะห์
“คล้ายๆรูปหัวใจ แต่ดูอีกทีก็ละม้ายฝ่าเท้านะคะ”
อาทิจก้มดูรอยแดงเป็นรูปฝ่าเท้าจางๆแล้วทำหน้าเหรอ ยิ้มแฮะๆให้แก้ว
“เดี๋ยวแก้วไปหายาทาเตรียมไว้ให้ค่ะ”
อาทิจยกมือไหว้
“ขอบคุณครับ”
แก้วเดินออกไป ในขณะที่อาทิจก้มดูรอยแดงที่ท้องตัวเองอีกครั้งแล้วบ่นเบาๆ
“ยายตัวแสบ”
ดรุณีหัวเราะคิกคักเหมือนเด็กๆ
“เล่นกับใครไม่เล่น ทีนี้ล่ะ...จำไปอีกนาน”
ย่าแดงถือเสื้อผ้าที่พับเรียบร้อยในมือ เดินเข้ามาในห้อง
“จำอะไรหรือแม่ณี”
ดรุณีตกใจรีบผละออกมาจากหน้าต่าง
“ไม่มีอะไรค่ะ คุณย่ามีอะไรจะใช้หนูหรือคะ”
“ย่าจะชวนไปช่วยคนงานเก็บส้มในสวน”
ดรุณีจะยกมือประคองแขนย่าแดง
“ไปสิคะ...ไป”
“อาบน้ำก่อนดีมั้ย”
ดรุณีเพิ่งนึกได้ว่าตัวเองเลอะเทอะไปด้วยโคลน
“จริงด้วย...แฮะๆ”
ดรุณีกลับไปหยิบผ้าเช็ดตัวที่พาดไว้ตรงหน้าต่าง แล้วรีบวิ่งเข้าห้องน้ำไป โดยไม่ทันมองของที่อยู่ในมือย่า ย่าแดงมองตามหลังหลานสาวตัวดีไป แล้วส่ายหน้าในความซนของหญิงสาว

อาทิจใส่เสื้อยืดคอกลมสีขาว สวมทับด้วยเสื้อม่อฮ่อม นุ่งกางเกงเลก้าวเข้ามา ย่าแดงและแก้ว เงยหน้าขึ้นมามอง ตะลึงผสมอึ้ง ย่าแดงยื่นจดหมายให้
“จดหมายของพ่อเรา มารับไปสิลูก”
อาทิจยิ้ม คลานเข้ามารับจดหมายจากย่าด้วยหัวใจที่ลิงโลด ชายหนุ่มอยากจะเปิดอ่านซะเดี๋ยวนั้น แต่ก็ไม่กล้า และเมื่อเงยหน้าขึ้นมามองย่าอีกครั้ง ก็พบว่าทั้งย่าแดงทั้งแก้ว ต่างมองตนเองด้วยแววตาประหลาด...ดรุณีจะเดินเข้ามาในห้อง แต่แล้วก็หยุดชะงักที่ประตูเมื่อได้ยินประโยคต่อมาของแก้ว
“เหมือนจริงๆค่ะ เหมือนมาก”
อาทิจแปลกใจ
“มีอะไรหรือครับ”
“คุณอาทิจสิคะ ใส่ชุดนี้แล้วเหมือนคุณปู่ตอนสมัยหนุ่มๆม๊ากค่ะ”
“ย่าทอผ้า เอามาย้อมแล้วก็เย็บเสื้อชุดนี้ให้คุณปู่เองกับมือ ท่านรักของท่านมากเลยไม่ค่อยได้หยิบมาใส่ พอท่านเสีย ย่าก็เก็บไว้อย่างดี คิดว่าชาตินี้คงไม่ได้เอาออกมาใช้อีก จนกระทั่งวันนี้ พ่อชอบมั้ยล่ะ”
“ชอบมากครับ ใส่สบายมากๆครับคุณย่า”
“ถ้าพ่อชอบย่าให้พ่อจ้ะ”
อาทิจก้มลงกราบที่ตัก
“ขอบพระคุณมากครับคุณย่า”
“มันไม่ได้มีราคาค่างวดอะไรหรอกนะ”
“แต่มันมีคุณค่าทางใจกับผมมาก เพราะมันเป็นงานฝีมือที่คุณย่าทำด้วยความรัก และทำให้ผมรู้สึกว่าคุณปู่อยู่ใกล้ๆด้วยครับ”
ดรุณีเดินก๋าเข้ามาถามกลางวง อย่างงอนๆปนน้อยใจ
“หนูก็อยากได้เสื้อผ้าของคุณย่าเหมือนกัน”
อาทิจ ย่าแดง แก้ว หันมามองดรุณีเป็นตาเดียว

ลุงเกร็ง ต๊อด อึ่ง พันเดินเก็บส้มอยู่ด้วยกันแล้วทั้งกลุ่มก็ชะงักเมื่อเห็น ดรุณีในชุดเสื้อผ้าฝ้ายทอมือย้อมครามตัดเย็บแบบเสื้อปั๊ดของไทลื้อ และกางเกงเลสีเดียวกันกำลังเก็บส้มอยู่มุมหนึ่ง สามลิงเป่าปาก ปี๊ดปิ้ว ต๊อดเอ่ยปากชม
“โอ้โฮ...คุณณีวันนี้แต่งตัวน่ารักจังเลยคร้าบ”
อึ่งหันไปมองอีกมุมหนึ่งเห็นอาทิจ ในชุดของคุณปู่กำลังยืนเก็บส้มอย่างขะมักเขม่น
“โอ้โฮ...นายของเราก็หล่อตะพึดตะพือเหมือนกันนะเนี่ย”
ทั้งหมดหันไปมองอาทิจที ดรุณีทีเพราะยืนอยู่คนละมุม พันหันไปถาม
“จะแต่งตัวไปไหนกันเหรอครับ”
อาทิจตอบเรียบๆ
“เก็บส้ม”
ต๊อดแซว
“แหม...นึกว่าจะจูงมือกันไปแต่ง...เอ๊ย ออกงานที่ไหนซะอีก”
ลุงเกร็งมองสองคนอย่างชื่นชม
“เห็นคุณหนูณีกับคุณอาทิจใส่ชุดนี้แล้ว เหมือนย้อนเวลากลับไปเห็นคุณปู่กับคุณย่า ทำงานด้วยกันเมื่อตอนลุงยังเด็กๆ เหมือนมาก”
แก้วซึ่งเก็บส้มกับคุณย่าอยู่อีกมุมตะโกนขึ้นมา
“เหมือนสิ ก็นี่มันชุดของคุณปู่กับคุณย่านี่”
อึ่งหันไปแซวสองคน
“คุณปู่น้อยคู่กับคุณย่าน้อย ฮิ...ฮิ”
ดรุณีโวยใส่อาทิจ
“นายกลับไปเปลี่ยนชุดเลยไป คนนั้นพูดทีคนนี้พูดที ไม่รำคาญรึไง”
“เสื้อคุณปู่ใส่สบายจะตาย ทำไมผมต้องไปเปลี่ยนให้เสียเวลางาน คุณทนไม่ได้ก็
ไปเปลี่ยนเองสิ”
“เรื่องอะไรฉันต้องทำตามคำสั่งนาย”
“ถ้างั้นก็ทนฟังคนนั้นพูดที คนนี้พูดที อีกนิดก็แล้วกัน เดี๋ยวก็หมดวันแล้ว”
อาทิจเดินผละหนีดรุณีไปเก็บส้มอีกต้นอย่างเซ็งๆ ดรุณียืนอึดอัดฟึดฟัดที่อาทิจชิงเดินหนีไปก่อนตัวเองแถมยังทำหน้าระอาใส่อีกต่างหาก หญิงสาวเลยเดินหนีมาเก็บส้มอีกต้น ย่าแดงมองหลานทั้งคู่แล้วถอนใจ
“เฮ้อ...มันจะทะเลาะกันไปอีกนานมั้ยเนี่ย”
ย่าแดงหันมาสบตาแก้วที่ส่งยิ้มแหยๆให้ โดยไม่พูดอะไร

เมื่อถึงเวลาพักกลางวัน จิ๋วแจ๋วยกถาดกับข้าวเข้ามาเสิร์ฟย่าแดงกับดรุณี โดยมีแก้วถือจานข้าวตามมา ลุงเกร็ง ต๊อด อึ่ง พัน นำขบวนคนงานกลุ่มใหญ่เข้ามา แก้วหันไปสั่งจิ๋วแจ๋ว
“ไปตักข้าวให้คนงานไป”
ย่าแดงมองหาอาทิจ
“พ่ออาทิจล่ะเจ้าต๊อด”
“นายไปหามุมสงบๆอ่านจดหมายครับคุณย่า เดี๋ยวตามมา”
ต๊อดเดินไปเข้าคิวเพื่อรอรับข้าวกับเพื่อนๆ ดรุณีเบ้หน้าหมั่นไส้
“จดหมายแฟนแหง กลัวคุณย่าจะรู้ล่ะสิว่ามีแฟน เชอะ!”
แก้วขัดขึ้น
“คงจะกลัวคุณย่าว่านะคะ เลยไม่อ่านในเวลางาน ต้องขยักมาอ่านตอนพักกลางวันอย่างนี้”
ดรุณีค้อนแก้ว
“ทีกับหนูไม่เห็นมองโลกในแง่ดีอย่างนี้บ้าง ถึงจะไม่อ่านในเวลางาน แต่การมีแฟนก็ทำให้ไม่มีสมาธิ สะเพร่า เลินเล่อ สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเพราะมัวแต่ฝันถึงแฟน”
ย่าแดงมองหน้าหลานสาว
“เราเคยมีเหรอ ถึงได้รู้ดี”
ดรุณีหน้าแตก ตีหน้าหงิกใส่ย่าแล้วพูดเสียงอ่อย
“คุณย่าน่ะ”
แก้วยิ้มๆ
“ไม่ใช่จดหมายแฟนค่ะ แต่เป็นจดหมายคุณประวิทย์คุณพ่อคุณอาทิจต่างหากคะ”
ดรุณีไม่เชื่อ
“ไม่ต้องเข้าข้างกันเลย น้าแก้วรู้ได้ยังไง”
“ทำไมจะไม่รู้ ตอนที่ย่าเอาจดหมายให้พี่เขา แม่แก้วก็อยู่ด้วย”

ดรุณียิ้มแหยให้ย่าและแก้ว กร่อยสนิท


อาทิจนั่งอ่านจดหมายของพ่อ อยู่ใต้ต้นส้มที่มีลูกห้อยระย้าเต็มต้น

‘…พ่อดีใจมากที่รู้ว่าลูกเดินทางไปถึงสวนคุณย่าอย่างปลอดภัย และมีความสุขที่ได้ทำงานที่นั่น พ่อตื้นตันที่รู้ว่าคุณย่าต้อนรับและดูแลลูกเป็นอย่างดี...อันที่จริงจดหมายฉบับนี้น่าจะไปถึงลูกนานแล้ว แต่เป็นเพราะพ่อดีใจและมัวแต่สรรหาถ้อยคำที่จะอธิบายความรู้สึกปลื้มใจที่พ่อมีต่อลูกอยู่นาน กว่าจะคิดได้
ว่าควรจะเขียนอะไรที่เรียบง่าย พ่อก็หมดกระดาษไปหลายสิบแผ่น
...พ่อภูมิใจในตัวลูก ถึงแม้ลูกจะยังไม่ได้ลงมือทำอะไรเป็นรูปธรรมจนประสบผล สำเร็จให้คุณย่าเห็นก็ตาม แต่พ่อก็เชื่อว่าลูกจะทำให้ท่านเห็นได้ในสักวัน พ่อขออวยพรให้ลูกเดินตามความฝันด้วยจิตใจที่แน่วแน่มั่นคง ความตั้งใจจริง ความขยันหมั่นเพียร รวมทั้งความอดทนที่มีอยู่ในใจลูกอย่างเต็มเปี่ยม จะเป็นใบเบิก ทางให้ฝันของลูกกลายเป็นจริงขึ้นมาได้ พ่อต้องขอจบจดหมายที่เขียนถึงลูกเพียงเท่านี้ก่อน เพราะมีคนรอต่อคิวอีกยาว พ่อรักและภูมิใจในตัวลูกเสมอ...’

เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา ประวิทย์นั่งเขียนจดหมายอยู่ที่ระเบียงบ้าน โดยมีพูนทรัพย์ นิตยา ภาณีและน้องๆทุกคนยืนเข้าแถวกันเป็นระเบียบรอต่อคิว ทุกคนพากันชะโงกหน้ามามองพ่อว่าเมื่อไหร่จะเขียนเสร็จสักที ประวิทย์ลุกขึ้นไปอุ้มลูกคนเล็กจากพูนทรัพย์ ในขณะที่พูนทรัพย์ลงนั่งเขียนจดหมายต่อจากประวิทย์
‘อาทิจ...ลูกแม่ แม่คิดถึงลูกสุดหัวใจ แม่รู้สึกวางใจที่รู้ว่าลูกแม่ได้รับความเมตตาและความสะดวกสบายจากคุณย่าตามสมควร แม่รู้ว่าลูกจะไม่หลงระเริงไปกับสิ่งที่ท่านมอบให้ แต่นั่นยังไม่พอ ลูกต้องรู้จักกตัญญูและตอบแทนบุญคุณของท่านในทุกทางที่ลูกจะสามารถทำได้ คนเราเติบโตและแข็งแกร่งได้ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ แต่เราจะเจริญก้าวหน้าด้วยหัวใจที่เป็นคนเต็มคนด้วย ถ้าเรามีความกตัญญูเป็นเครื่องกำกับจิตใจ คนสมัยนี้ไม่ค่อยนึกถึงบุญคุณคนเหมือนในสมัยก่อน...แม่จึงหวังว่าอาทิจลูกแม่จะยึดคุณธรรมข้อนี้เหมือนที่ลูกเคยยึดปฏิบัติมาและทำให้ได้ตลอดไปนะจ๊ะ แม่และพวกเราทุกคนที่นี่จะเป็นกำลังใจให้ลูก และอยากให้ลูกรู้ว่า เราทุกคนรักลูกเสมอ…’
อาทิจอ่านจดหมายน้ำตาซึมซึ้งใจกับทุกคนในครอบครัวที่เป็นสายเลือดเดียวกัน เขาอ่านต่อเป็นข้อความของนิตยาที่เขียนถึงเขา
‘…สวัสดีค่ะพี่อาทิจ...หนูและน้องๆมาเขียนต่อท้ายคุณพ่อคุณแม่ เพื่อยืนยันว่าพวกเราทุกคน รักพี่อาทิจที่สุด ขอบคุณนะคะที่อดทนและเหนื่อยเพื่อพวกเรา เราทุกคนจะตั้งใจเรียนและไม่ทำให้พี่อาทิจผิดหวังค่ะ’
อาทิจอ่านข้อความที่น้องๆทุกคนเขียน
‘รักพี่อาทิจครับ...รักพี่อาทิจค่ะ...คิดถึงพี่อาทิจที่สุดในโลก...พี่อาทิจสู้...สู้...เราจะเป็นเด็กดี...หนูสอบได้ที่ ๑ ด้วยค่ะ’
แต่ละคนเขียนหนังสือตัวเท่าหม้อแกง ทำให้อาทิจต้องเปิดไปดูข้อความที่น้องๆเขียนถึงต่อในแผ่นที่ ๒ ลายมือขยุกขยิกของน้องๆที่อายุน้อยๆ ทำให้อาทิจแทบกลั้นน้ำตาแทบไม่อยู่ เขากำจดหมายในมือแน่น ชายหนุ่มอยากจะบอกทุกคนเหลือเกินว่า ทุกตัวอักษรนั้นมีความหมายต่อเขามากมายเพียงใด

บ่ายแก่ๆวันนั้น ย่าแดงนอนบนเตียงเล็กยาวในห้องรับแขก โดยมีแก้วและจิ๋วแจ๋วนวดขาให้คนละข้าง ดรุณีนั่งคุกเข่านวดให้ที่ไหล่
“เห็นพี่ต๊อดว่า เย็นนี้คุณอาทิจจะเอาผักลงปลูกค่ะคุณย่า จิ๋วแจ๋วขอไปช่วยนะคะ”
แก้วหันไปบอกลูกสาว
“ไม่ต้องขอ ยังไงเราทุกคนก็ต้องไปช่วยคุณอาทิจอยู่แล้ว”
ดรุณีเบ้หน้าไม่ใส่ใจ
“แต่หนูไม่ไป หนูจะอ่านหนังสือ จะสอบอยู่แล้ว หนูยังอ่านไม่ทันเลย อีกอย่างคุณย่าก็ไม่สบายปวดเนื้อปวดตัวอย่างนี้ หนูจะอยู่ดูแลคุณย่า”
“เออ...ปีนี้แก่ตัวไปเยอะเลยย่า ทำอะไรนิดๆหน่อยๆก็ปวดเมื่อยเอาง่ายๆ”
“งานในไร่ไม่ใช่งานเบาๆนะคะ หนูอยากให้คุณย่าพักบ้าง หลานคนโปรดมาช่วยงานแล้วทั้งคน คุณย่าน่าจะวางมือได้”
ขณะเดียวกันนั้น อาทิจเดินเข้ามา
“ขอโทษครับ”
ดรุณีเปรยกับลมกับฟ้า
“ตายยากจริง”
ย่าแดงหันไปถาม
“ว่ายังไงพ่อ มีอะไรรึเปล่า”
อาทิจคลานเข้ามาหา
“ผมมาเรียนเชิญคุณย่าไปลงผักต้นแรก เพื่อเป็นศิริมงคลกับพวกเราเย็นนี้ครับ”
ดรุณีหน้าตึงขึ้นมาทันที
“คุณย่าไม่สบาย...ไม่เห็นเหรอ”
อาทิจชะงักรู้สึกผิด
“ผม...ขอโทษ ผมไม่ทราบจริงๆว่าคุณย่าไม่สบาย ถ้าอย่างนั้นผมจะลงให้เสร็จก่อน คุณย่าสบายดีเมื่อไหร่ ค่อยไปตรวจดูความเรียบร้อยก็ได้ครับ”
ดรุณีไล่ทันที
“ก็รีบไปทำเข้าสิ คุณย่าจะได้พักผ่อน”
ย่าแดงปรามหลานสาว
“เราอยากให้ย่าป่วยนักรึไง ย่าไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย แค่ปวดเมื่อยตามประสาคนแก่” ย่งแดงหันไปบอกอาทิจ “พ่อไปทำงานเถอะ แล้วย่าจะไปนะ”
อาทิจมองจนแน่ใจว่าย่าแดงไม่ได้เป็นอะไรมากจึงยกมือไหว้
“ขอบพระคุณครับ”
อาทิจเดินออก ดรุณีงอนหน้าหงิก
“คุณย่านะ หนูหวังดีแท้ๆ แต่คุณย่าไม่ฟังหนูเลย”
“พ่ออาทิจเขาให้ย่าไปช่วยลงผักทั้งแปลงรึ เราถึงได้เดือดร้อนนัก เราอยากอ่านหนังสืออยู่บ้านก็อ่านไป ย่าไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย ต่างคนต่างก็มีหน้าที่ เดี๋ยวย่าไปกับแม่แก้วกับจิ๋วแจ๋วก็ได้”
จิ๋วแจ๋วรีบบอก
“ใช่ค่ะ คุณณีไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ หมวก แว่น ยาดม ยาหม่องของคุณย่า จิ๋วแจ๋วจะพกไปให้ครบเลยค่ะ”
แก้วย้ำ
“เชิญคุณณีอ่านหนังสือตามสบายนะคะ”
ดรุณีฟึดฟัดเจ็บใจ ที่นอกจากจะไม่มีใครเห็นด้วยกับตัวเองแล้ว ยังไม่ใครเห็นความสำคัญอีกต่างหาก

เย็นนั้น อาทิจส่งต้นกล้าในตะแกรงเพาะต้นเล็กๆให้ ย่าแดงรับต้นกล้านั้นมาถือไว้ในมือ
“ย่าขอให้ต้นกล้าต้นนี้เจริญเติบโตงอกงามเหมือนคนเพาะ ย่าขออวยพรให้คนที่รู้กินรู้อยู่รู้คุณค่าของผืนดินอย่างพ่อ พบแต่ความสุขความเจริญ คนที่รัก ศรัทธาและรู้จักกตัญญูต่อแผ่นดินซึ่งเป็นที่ซุกหัวนอน เป็นที่ทำกิน ไปอยู่ไหนก็ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ ย่าขอให้พ่อเป็นดั่งเมล็ดพันธุ์ของคนรุ่นใหม่ ที่ไม่ว่าจะไปตกอยู่ที่ใด ก็มีแต่นำพาความอุดมสมบูรณ์ ความงดงามไปสู่ที่นั่น นะพ่อนะ”
อาทิจน้ำตารื้น ในขณะที่คนอื่นๆ แม้กระทั่งดรุณีซึ่งยืนอยู่ห่างๆก็อดซึ้งและตื้นตันไปด้วยไม่ได้ ย่าแดงปักต้นกล้าลงไปในดิน แล้วช่วยกันกับอาทิจเอามือกรอบดินให้คลุมรากต้นกล้า อาทิจก้มลงกราบแทบเท้าย่าแดงกราบลงไปถึงแม่พระธรณีที่ปกป้องผืนแผ่นดิน ย่าแดงประคองหลานชายขึ้นมาแล้วกอดแน่น เป็นกอดแรกของย่าที่ต้องการบอกว่า หลานทำได้
“นับแต่นี้ไป พ่ออาทิจคือเกษตรกรเต็มตัวแล้วนะ”
อาทิจรับคำแข็งขันด้วยความภาคภูมิใจ
“ครับคุณย่า”
ลุงเกร็งหันไปบอกทุกคน
“เอ้า...พวกเรามาช่วยคุณอาทิจลงผักกันเร้วเดี๋ยวจะมืดค่ำซะก่อน”
ทุกคนต่างกรูกันมาหยิบผักซึ่งเพาะอยู่ในตะแกรง แยกย้ายกันไปปลูก ย่าแดงกับอาทิจช่วยกันเอาผักลงปลูกอยู่ใกล้ๆกัน ดรุณีมองภาพย่าหลานซึ่งชวนกันดูต้นกล้าที่เพาะแล้วช่วยกันปลูกก่อนจะเผลอยิ้มออกมาอย่างจริงใจ...อาทิจเอากล้าผักลงปลูกในดินอย่างทะนุถนอมเบามือ ใบหน้าเต็มไปด้วยความใส่ใจ ดรุณีเห็นแล้วเผลอยิ้มออกมาอีกครั้ง เพราะไม่เคยเห็นใครปลูกผักได้เบามืออย่างนี้มาก่อน แก้วเข้ามากระซิบแซว
“ฮั่นแน่...อยากช่วยล่ะสิ”
จิ๋วแจ๋วเอ่ยชวน
“คุณณีขา มาลองปลูกดูบ้างมั้ยคะ สนุกดีค่ะ”
ดรุณีทำพูดเสียงดังให้อาทิจได้ยิน
“ไม่...ที่มาก็เพราะกลัวคุณย่าจะเป็นลมเป็นแล้งต่างหาก”
ดรุณีตะโกนเสร็จก็เชิดหน้าสะบัดหนีอาทิจหันไปอีกทาง แล้วเธอก็ต้องเบิกตาโตเมื่อเห็นกลุ่มต๊อด อึ่ง พัน ที่กำลังปลูกผลักอยู่ ดรุณีโวยเสียงดังแถมวิ่งไปหา
“นายต๊อด จับผักแรงๆอย่างนี้ได้ยังไง ผักช้ำหมด” เธอหันไปว๊ากใส่อึ่งต่อ “เอ้า...ปลูกชิดกันไปแล้วนายอึ่ง หน้าแปลงกว้างแค่เมตรเดียวปลูกสัก 3 ต้นก็พอ ปลูกเบียดกันอย่างนี้ เดี๋ยวก็ได้แย่งอาหารกันตายเลย” พันก็โดนด้วย “โอ๊ย...นายพัน ปลูกให้มันเป็นแถวเป็นแนวเป็นระเบียบหน่อยได้มั้ย ปลูกยึกยักไปมาอย่างกับฟันตัวเองเลย”
แก้วแกล้งบ่น
“มันก็ยากนะคะคุณณี คนมันชินแต่กับผลไม้ในสวน ไม่ต้องประคบประหงมเหมือนผักพวกนี้”
“จะยากอะไรนักหนา แค่จับเบาๆวางเบาๆให้เป็นระเบียบแค่นี้ มานี่...ณีทำให้ดู”
ดรุณีวางผักลง โกยดินกลบอย่างเบามือและเป็นระเบียบ ทุกคนหันมาสบตากัน ก่อนจะหันไปมองดรุณีแล้วยิ้มให้หญิงสาวอย่างเอ็นดูเพราะในที่สุดก็ต้องทำ

ค่ำนั้น...อาทิจเพิ่งอาบน้ำเสร็จเดินถือผ้าเช็ดตัวเช็ดผมออกมาที่ระเบียงบ้านพัก ต๊อด อึ่ง พัน กำลังนวดหลังนวดไหล่ให้กันพัลวันนัวเนีย ต๊อดหันไปถามอาทิจอย่างไม่เข้าใจ
“ทำไมเราต้องเอาผักลงตอนเย็นอะนาย วิ่งกันซะบาทาขวิด จับแรงก็โดนคุณณีเอ็ดอีก”
“เขาลงกันตอนเย็นเพราะต้องการให้ผักฟื้นตัว ช่วงกลางคืนผักจะฟื้นตัวเร็ว”
พันแปลกใจ
“อยากให้ฟื้นตัว แล้วนายห้ามไม่ให้พวกเรารดน้ำทำไม”
อึ่งหันไปด่าเพื่อน
“ก็มันเปลืองไง ถามอะไรโง่ๆอีกล่ะ อยู่กับนายก็หัดฉลาดเหมือนนายบ้างสิเว้ย”
อาทิจส่ายหน้า
“ไม่ใช่กลัวเปลือง ถ้ารดน้ำเลย ดินมันจะอัดกันแน่นจนเกินไป ทำให้รากขาดอากาศหายใจได้”
ต๊อดกับพันตะโกนด่าใส่อึ่งพร้อมกัน
“โธ่...ไอ้โง่!”
อาทิจหัวเราะ
“เอาน่า...ตอนนี้ก็ฉลาดกันทุกคนแล้ว พรุ่งนี้เช้าค่อยไปช่วยกันรด”
“ชวนเรา 3 คนแน่เหรอ นึกว่าแอบนัดสาวที่ไหนไปช่วยรดแล้วซะอีก” ต๊อดแซวยิ้มๆ “เมื่อ
เช้านี้ ต๊อดเห็นน้า...ว่าใครไปช่วยนายรดน้ำอะ”
อาทิจหน้าเหรอหราทำหน้าไม่ถูก จู่ๆก็หน้าแดงขึ้นมา อึ่งไม่เข้าใจ
“สาวที่ไหนวะไอ้ต๊อด ทำไมนายต้องหน้าแดงด้วยวะ”
อาทิจตัดบทเขินๆ
“ไปฟังไอ้ต๊อดมัน พูดจาไร้สาระ”
“ไร้สาระแต่...อ๊ะ...ไม่พูดก็ได้ เอางี้แล้วกัน รบกวนนายนวดน่องให้ต๊อดหน่อยนะ ต๊อดล่ะเมื้อยเมื่อย ถือซะว่าเป็นค่าปิดปาก...นะ...นะ”
อาทิจขยับเท้าไปมาวอร์ม อัพแล้วถามยิ้มๆ
“นวดด้วยเท้าได้มั้ย”
ต๊อดกระโดดหนีทันที
“งั้นเป่าแคนให้ฟังก็พอ” ต๊อดออดอ้อน “แค่นี้ได้มั้ยอ้ะ”

อาทิจมองต๊อดแล้วส่ายหน้าระอาใจ ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ

ธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 4(ต่อ)

ดรุณี แก้ว และย่าแดงอยู่ที่ระเบียงบ้าน เสียงแคนดังแว่วมาตามสายลม ดรุณีกระแทกหนังสือลงแล้วเอามืออุดหู แถมตะโกนลั่นจนย่าแดงและแก้วตกใจ

“ไม่มีสมาธิ” ดรุณีว่า
แก้วถามหน้าตาย “คุณณีมีแฟนแล้วหรือคะ?”
ดรุณีทั้งงงทั้งหงุดหงิด
“มันเกี่ยวอะไรกันคะน้าแก้ว”
แก้วย้อนทันควัน
“อ้าว...ก็คุณณีเคยบอกว่าคนมีแฟน จะไม่มีสมาธิ”
ดรุณีกร่อย
“ฟงแฟนที่ไหน เสียงแคนนั่นต่างหากที่ทำให้หนูไม่มีสมาธิอ่านหนังสือ”
ย่าแดงถักนิ้ตติ้งไปพูดไป
“เมื่อก่อนเห็นชมว่าเพราะนักเพราะหนา พอรู้ว่าพ่ออาทิจเป็นคนเป่า กลายเป็นหนวกหูไปซะแล้ว”
“มันไม่เพราะ ก็เพราะคนเป่าไม่รู้จักเกรงใจคนอื่นนี่ล่ะค่ะ รู้ทั้งรู้ว่าหนูต้องเตรียมตัวสอบ น่าจะเห็นใจกันบ้าง”
แก้วขัดขึ้น
“คุณอาทิจอาจจะไม่ทันคิด หรือไม่ก็ไอ้สามลิงนั่นคอยคะยั้นคะยอก็ได้ค่ะ”
ดรุณีหงุดหงิด
“รู้อย่างนี้ไม่ไปช่วยปลูกผักซะก็ดี ต่อไปนี้หนูจะไม่สนใจ ผักจะแห้งเหี่ยวยังไงก็อย่ามาตาม หนูไม่ช่วยเด็ดขาด”
ประกาศเจตนารมณ์เสร็จ ดรุณีก็เอามือปิดหูแล้วก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือต่อ ย่าแดงกับแก้วหันมาสบตากัน

ย่าแดงวางพานดอกมะลิถวายพระ ซึ่งตั้งอยู่บนโต๊ะหมู่บูชามุมหนึ่งในห้องแล้วก้มลงกราบ จากนั้นจึงเดินมาถวายพานใส่ดอกมะลิที่หน้ารูปพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งจัดไว้อีกมุม ก่อนจะเดินมาหาแก้วซึ่งกำลังดึงผ้าคลุมเตียง และเตรียมผ้าห่มให้
“แกว่าพ่ออาทิจกับแม่ณีจะปรองดองกันได้มั้ย ฉันเองก็ไม่รู้จะฝากผีฝากไข้กับใคร นอกจากสองคนนี้ แต่มันก็ทะเลาะกันซะจริง”
“คุณณีเธอขี้งอน ขี้น้อยใจ เพราะเธอเป็นที่หนึ่งของคุณย่าและคนงานทุกคนมาตลอด พอคุณอาทิจเข้ามาก็เลยอิจฉา กลัวว่าคุณย่าจะรักคุณอาทิจมากกว่า”
“มันก็ช่างคิดไปเอง”
“แต่ก็น่าเห็นใจคุณณีนะคะ เพราะหลานคนอื่นที่เคยมาอยู่นี่ ไม่มีใครเอางานเอาการอย่างคุณอาทิจเลยสักคน ที่สำคัญคุณอาทิจเธออัธยาศัยดี ไม่เคยถือตัวว่าเป็นหลานคุณย่า พวกคนงานก็เลยเทใจให้ คุณณีก็ยิ่งกลัวยิ่งระแวงไปใหญ่”
“แล้วมันจะลงเอยด้วยดีมั้ย”
“แก้วเชื่อว่าคุณอาทิจจะพิสูจน์ความตั้งใจดีของเธอให้คุณณีเห็นจนได้ค่ะ น้องสาวเธอตั้งหลายคน เธอยังกำราบซะอยู่หมัด นับประสาอะไรกับคุณณีแค่คนเดียวคะ เธอต้องหาวิธีจัดการของเธอจนได้ล่ะค่ะ”
ย่าแดงหนักใจ
“มันจะไม่ง่าย ก็เพราะความดื้อรั้นของแม่ณีนี่ล่ะ”
สองหญิงสองวัยสบตากัน แล้วแอบถอนใจเพราะ เรื่องของเรื่องมันก็เป็นอย่างที่ย่าแดงว่าจริงๆ

อาทิจนั่งเขียนจดหมายถึงที่บ้านอยู่ที่ระเบียงบ้าน ต๊อดนอนน้ำลายย้อยอยู่ข้างๆ
‘กราบเท้าคุณพ่อคุณแม่ที่เคารพ...วันนี้ช่างเป็นวันที่แสนดีของผมจริงๆ เพราะช่วงเช้า ผมได้รับจดหมายที่คุณพ่อส่งมา นั่นทำให้ผมอิ่มใจที่ได้รู้ว่าพวกเราทุกคนอยู่สุขสบายดีและมีความสุข ส่วนเรื่องที่สอง เกิดขึ้นเมื่อช่วงเย็นนี้เอง ตอนนี้ผมได้ชื่อว่าเป็นเกษตรกรเต็มตัวแล้วนะครับ คุณย่าให้ผมทดลองปลูกผักบนที่ดิน 1 ไร่ วันนี้เป็นวันที่ผมได้เอาผักที่ผมเพาะมาลงดิน ผมบรรยายไม่ถูกว่าผมมีความสุขมากแค่ไหน ที่ได้เห็นงานที่เราฟูมฟักค่อยๆก่อตัวเป็นรูปร่างและรอวันที่จะเจริญเติบโต
คุณย่ากรุณาต่อผมมาก นอกจากท่านจะเป็นคนลงมือปลูกผักเป็นคนแรกแล้ว ท่านยังให้กำลังใจและส่งเสริมงานของผม ท่านว่าถ้าได้ผลดี ท่านอยากให้ผมขยายแปลงผักออกไป ลูกของคุณพ่อคุณแม่กำลังเดินตามฝันของตัวเอง ผมหวังว่าสักวัน ผมคงไปถึงจุดหมายปลายทาง เป็นเกษตรกรที่ดีเหมือนอย่างที่บรรพบุรุษเป็นมา ผมจะตั้งใจ จะอดทนเพื่อพวกเราทุกคน ฝากความคิดถึงถึงน้องๆทุกคนด้วยนะครับ บอกพวกเขาด้วยว่า พี่อาทิจรักพวกเขาเหลือเกิน...รักและคิดถึงคุณพ่อคุณแม่เสมอ...อาทิจ’
อาทิจวางปากกาที่เพิ่งจ่าหน้าซองเสร็จ แล้วเอนวรกายเอามือซ้อนหลังศีรษะ มองดูดาวอย่างสำราญใจ

ดรุณีกำลังอ่านหนังสือบนเตียงนอนอย่างขะมักเขม้น สักครู่ย่าแดงเปิดประตูเข้ามา
“ย่าคิดว่าเรานอนแล้วซะอีก ดึกป่านนี้น่าจะพักผ่อนได้แล้วนะ”
“คุณย่านอนก่อนเถอะค่ะ หนูขออ่านต่ออีกนิด รับรองค่ะว่าหนูจะไม่ทำให้คุณย่าผิดหวัง หนูจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้”
“ตั้งความหวังได้แต่อย่าให้มากเกินไป จนกลายเป็นกดดันตัวเอง ย่าไม่เคยบังคับให้เราต้องสอบเข้าให้ได้ ขอแค่เราเป็นคนดี มีความมุ่งมั่น มีความพยายามเท่านั้นเป็นพอ”
“หมายความว่า ถ้าหนูสอบไม่ติด คุณย่าก็จะไม่เสียใจ”
“ย่าไม่เสียใจ เพราะย่าไม่เคยตั้งความหวัง แม่ณีเองก็เหมือนกัน ก่อนจะเสียใจเรื่องอะไร ลองใคร่ครวญดูสักนิดดีมั้ยว่าเราทำเต็มที่แล้วรึยัง ถ้าเราเตรียมตัวเป็นอย่างดีแล้วสอบไม่ติด เราอาจจะผิดหวังบ้าง แต่จะไม่เสียใจเพราะเรารู้อยู่แก่ใจแล้วนี่นะว่า เราเต็มที่กับมันแล้ว”
“หนูจะทำอย่างเต็มที่เพื่อคุณย่าค่ะ”
“ย่าจะดีใจมากถ้าแม่ณีสอบติด แต่ถ้าไม่ติด ย่าก็อยากจะบอกเราว่ามหาวิทยาลัยแห่งการเรียนรู้ไม่ได้จำกัดแค่เพียงในห้องเรียนเท่านั้น เราสามารถเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวเรา เรียนรู้จากการได้เห็นของจริง ได้สัมผัส ได้ลงมือทำ ได้พูดคุยกับคนที่ทำเป็นจริงๆ ซึ่งนั่นสำคัญกว่าการเรียนในห้องสี่เหลี่ยมมากมายนัก”
“เหมือนการที่หนูได้อยู่ ได้เรียนรู้ ได้เห็น ได้ลงมือทำทุกอย่างกับคุณย่าใช่มั้ยคะ คุณย่าเป็นทั้งย่า ทั้งแม่ ทั้งครูคนแรกของหนู หนูรักคุณย่าที่สุดในโลกเลยค่ะ”
ดรุณีโผเข้ากอดย่าน้ำตาริน ซาบซึ้งในบุญคุณ ย่าแดงเองก็กอดหลานสาวกลับแน่น อย่างต้องการจะถ่ายเทความรักทั้งหมดไปให้

วันใหม่...ทองประศรีเดินเคียงคู่กับทองใบลัดเลาะมาตามธารน้ำตก
“เมื่อไหร่พี่จะให้เจ้าพ่อเจ้าแม่มาขอศรีสักทีล่ะ”
“ขอเวลาอีกนิดนะน้องศรี ให้พี่ได้พูดคุยปรับความเข้าใจกับท่านก่อน เพราะท่านยังโกรธที่พี่หนีออกจากบ้าน...เอ๊ย วังมาน่ะจ้ะ”
“ถ้างั้นพี่ต้องแสดงความจริงใจด้วยการไปขอศรีกับพ่อแม่เองก่อน จะมาหลอกเจาะไข่แดงฟรีๆไม่ได้นะ”
“โถ...แค่คิดพี่ยังไม่กล้าเลยจ้ะ แต่น้องศรีแน่ใจเหรอว่าพ่อกับแม่จะเชื่อพี่ ดีไม่ดีท่านอาจจะคิดว่าพี่เป็นพวกสิบแปดมงกุฎที่มาหลอกลูกสาวท่าน ท่านดุออกขนาดนั้นคงได้ฆ่าพี่ตายคามือแน่ หรือน้องศรีอยากเห็นพี่ตายไปต่อหน้าต่อตาจ๊ะ”
“อย่าพูดอย่างนั้นสิ”
“ถ้างั้น...เราอดทนให้ทุกอย่างพร้อมก่อนดีกว่ามั้ย พี่รักหลงน้องศรีขนาดนี้ พี่จะหนีไปไหนได้ยังไง”
ทองใบเข้าคลุกวงในซุกไซร้ ทองประศรีทำเป็นผลักเขาเบาๆ
“อย่าน่าพี่ กลางวันแสกๆ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”
“ใครจะมาเห็น มีแต่พี่ล่ะที่อยากเห็นน้องศรีกลางวันแสกๆอย่างนี้มานานแล้วนะจ๊ะคนดี”
ทองใบคลุกเคล้าตะโบมโลมไล้ ทองประศรียึกยักลีลา
“อย่าพี่...” เธอหยุดหายใจ 1 วินาที “อย่าช้า!”
ว่าแล้วหญิงสาวก็ดึงหน้าทองใบ ลงมาปะทะกับอกมหึมาของตัวเอง ก่อนจะกอดฟัดพลิกนัวเนีย

วิไลลักษณ์ เวทางค์และวิยะดา เข้ามาที่ระเบียงบ้านยกมือไหว้ย่าแดง โดยที่ดรุณีนั่งอยู่ข้างๆ ย่าแดงรับไหว้
“วันนี้ไม่ต้องออกงานสังคมที่ไหนหรือแม่วิไล”
“ไปค่า เดี๋ยววิไลต้องกลับไปเตรียมตัวแต่งหน้าทำผมแล้วค่ะคุณแม่ ร้านประจำ วิไลลูกค่าเย๊อะค่าถ้าไม่โทรจองล่วงหน้าเป็นอาทิตย์ โอกาสแห้วสูงม๊าก”
“เออ...มันมีอิทธิพลต่อชีวิตมากเหมือนกันนะไอ้ร้านเสริมสวยนี่ แล้วตาเวกับยายวิล่ะ ต้องไปกับแม่ด้วยรึเปล่า”
เวทางค์กีบ วิยะดาจะอ้าปากพูดแต่วิไลลักษณ์ชิงตัดหน้า มัดมือชกลูกตามสัญญาทันที
“ไม่ไปค่ะ วิไลชวนยังไงก็ไม่ไป บอกอยากมาทำสวนกับคุณย่า ตั้งแต่กลับบ้านไปวันนั้น สองคนนี่กระตือรือร้นม๊าก แพลนกันสนุกสนานว่าเรียนจบแล้วจะเบนเข็มมาเป็น เกษตรกรรมเหมือนคุณย่า ใช่มั้ยจ๊ะลูก”
วิไลลักษณ์หัวเราะคิกคักคนเดียว เวทางค์กับ วิยะดา พยักหน้ายิ้มแกนๆ ผสมเอ๋อๆที่แม่เออเองทุกสิ่งทุกอย่าง ย่าแดงมองหน้าลูกสะใภ้
“แม่เป็น เกษตรกร จ้ะแม่วิไล เกษตรกรรมน่ะ มันงานที่แม่ทำ”
วิไลลักษณ์เจื่อนไปแต่ยังไหลไปได้
“อุ๊ยตาย...วิไลพูดอะไรไปเนี่ย ขอโทษนะคะ ตื่นเต้นกับความตั้งใจของลูกๆ จนพูดผิดพูดถูก”
วิไลลักษณ์คิกคักขำคนเดียวได้อีก ย่าแดงหันไปหาหลานๆ
“เอาเถอะ ถ้ารักที่จะทำงานนี้จริงๆ ย่าก็จะฝึกให้”
เวทางค์ยิ้มแหยๆ
“ค่อยๆฝึกนะครับคุณย่า คือ...ช่วงนี้ผม ไม่ค่อยสบาย ปวดหัวบ่อยๆครับ”
วิยะดารีบตามน้ำ
“วิก็เหมือนกันค่ะคุณย่า ไม่รู้เป็นอะไร หมู่นี้ปวดท้องสามเวลาหลังอาหารเลยค่ะ”
ย่าแดงรู้ทันแต่ไม่พูดอะไร หันไปพูดกับสะใภ้แทน
“จะรีบไปเสริมสวยที่ไหนก็ไปเถอะ”
“ยังไปไม่ได้ค่ะคุณแม่...เพราะ...คือ งานนี้มันงานใหญ่ระดับประเทศ หน้าผมพร้อมอย่างเดียวไม่ได้ เครื่องประดับเกียรติต้องพร้อมด้วย แต่...เอ่อ...วิไลมีไม่พอก็เลยจะขออนุญาตยืมเครื่องประดับเกียรติจากคุณแม่ไปด้วยน่ะค่ะ”
ดรุณีงงๆ
“เครื่องประดับเกียรติอะไรคะคุณป้า”
“ก็เครื่องเพชรชุดใหญ่ๆที่มีมงกุฎ อุบะ ต่างหู แหวน กำไล เข็มกลัดเข้าชุดกันน่ะจ้ะ”
ย่าแดงส่ายหน้า
“แม่ไม่มีหรอก”
“ถ้างั้นเอาชุดเล็กก็ได้ค่ะ ตัด มงกุฎกับเข็มกลัด ออกไป”
“ชุดเล็กชุดใหญ่ แม่ไม่มีทั้งนั้น”
วิไลลักษณ์หัวเราะร่วน
“คุณแม่พูดเล่นใช่มั้ยคะ ไม่มีใครเชื่อหรอกค่ะว่าเจ้าของสวนคุณย่าจะไม่มีเครื่องเพชร น่าจะมีเป็นหีบๆมากกว่ามั้งคะ”
“ไอ้ที่เก็บเป็นหีบๆน่ะมี ไม่ใช่ไม่มี อยากเห็นมั้ยล่ะ”

วิไลลักษณ์ตาวาวเป็นประกาย


วิไลลักษณ์ประคองแม่ จนแทบจะกลายเป็นอุ้มเข้ามาในห้องหนังสือโดยมี ดรุณี เวทางค์ วิยะดา รั้งท้าย

“คงจะเป็นพวกเครื่องทองโบราณหรือไม่ก็...พลอยเม็ดเป้งๆใช่มั้ยคะคุณแม่”
“ไม่ใช่”
“งั้นก็เป็นพวกหินสีที่เขากำลังฮิตๆกันใช่มั้ยคะ แหม...คุณแม่นี่อินเทรนด์น่าดู”
“อย่าเดาเลยแม่วิไล เพราะแม่ไม่เก็บของพวกนั้นไว้หรอก”
“แต่...คหบดีที่ไหนก็ต้องมีเครื่องประดับไว้ประดับเกียรตินะคะ เกียรติที่วิไลกับคุณพี่ได้รับ มันก็คือเกียรติของคุณแม่ด้วยเหมือนกัน”
ย่าแดงเรียบนิ่ง ไม่ใส่อารมณ์
“แม่เป็นชาวสวน ไม่ใช่คหบดี แล้วเกียรติของแม่ถ้าจะมีก็คงอยู่ที่เรือกสวนไร่นาซึ่งแม่สั่งสมมาด้วยน้ำพักน้ำแรง ที่ไม่ได้ไปเบียดเบียนใคร เกียรติของแม่คือการช่วยให้ชาวบ้านเป็นร้อยคนมีงานทำ และเกียรติของแม่อาจจะหมายถึงการพยายามอบรมเลี้ยงดูลูกหลานให้เป็นคนดีของบ้านเมืองมันก็เท่านั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับหินเจ็ดสีมณีเจ็ดแสงอย่างที่แม่วิไลเข้าใจหรอก”
ดรุณีเป็นปลื้มกับทุกคำพูดของย่าแดง ในขณะที่เวทางค์และวิยะดาฟังบ้าง เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง วิไลลักษณ์ยังไม่ละความพยายาม
“แล้ว...ที่อยู่ในหีบนี่มันอะไรล่ะคะ”
“สมบัติของแม่เอง ยังอยากดูอยู่มั้ย”
สามแม่ลูกโพล่งออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
“อยากค่ะ / ครับ”
ย่าแดงพยักหน้าให้ดรุณี หญิงสาวเดินมาเปิดหีบซึ่งไม่ได้ล็อกกุญแจอะไรขึ้นมา วิไลลักษณ์ สบตาเวทางค์และวิยะดา เพื่อให้ตามตัวเองเข้าไปชะโงกดูอย่างเนียนๆ ทั้ง 3 คนแปลกใจผสมอึ้งๆงงๆ
“หนังสือ”
ย่าแดงฉีกยิ้ม
“ใช่จ้ะ...หนังสือเกี่ยวกับเทคโนโลยีทางการเกษตร ย่าสะสมไว้ตั้งแต่ยังสาว จะยืมอ่านสักคนละเล่มสองเล่มมั้ยล่ะ แต่อ่านแล้วต้องเอามาคืนนะ ย่าหวง”
“คือ...” วิไลลักษณ์ทำมองนาฬิกา “อุ๊ยตาย...จวนได้เวลานัดแล้ว วิไลกลับก่อนนะคะคุณแม่สวัสดีค่ะ”
ย่าแดงรับไหว้วิไลลักษณ์ที่รีบเผ่นแน่บออกไป แล้วหันมามองหลานชายกับหลานสาว
“ผม...ผมปวดหัวจังเลยครับคุณย่า ขอนอนพักก่อนนะครับ”
เวทางค์ล้มตัวลงที่โซฟาทันที
“วิก็ปวดท้องค่ะ ปวดมากกว่าที่พี่เวปวดซะอีก วิขอนอนพักนะคะคุณย่า”
วิยะดาเดินเอามือกุมท้องไปนอนข้างๆเวทางค์ ย่าแดงกับดรุณีหันมาสบตากัน ต่างคนต่างอ่านความในใจของกันและกันออก โดยไม่ต้องพูดอะไรสักคำ

อาทิจกับลุงเกร็งกำลังเก็บส้มอย่างเมามัน แล้วทั้งคู่ก็ต้องชะงัก เมื่อได้ยินเสียงคนกระเง้ากระงอดกันดังแว่วมา ทั้งคู่หันไปมองเห็น ไพฑูรย์กับตุ๊เดินยื้อกันออดอ้อนเว้าวอนและฟึดฟัดสลับกันไป
“อื้อ...ไม่เอาน่าน้องตุ๊ เมื่อคืนก็ล่อไป 3 แล้วนะ”
“ก็ทุกทีมัน 4”
“มันจะ 4 ทุกครั้งไม่ได้ ให้พี่พักบ้างเถอะ...นะ”
“ไม่รักไม่หลงแล้วใช่มั้ย”
“ยังรักยังหลงเหมือนเดิม แต่...มันหมดแรง มะ...มัน...ไม่ตื่น หลับซึมตลอดเวลา”
“เดี๋ยวตุ๊ปลุกเอง สะกิดนิดเดียว ตื่น เชื่อสิ”
ตุ๊หลิ่วตาเอ็กส์แตกใส่ไพฑูรย์
“แต่...พี่...ดูคางพี่สิเป็นสีเหลืองแล้ว เห็นมั้ย”
ตุ๊ฉุนกึก
“จะคางเหลือง คางแดง ตุ๊ก็ไม่สน อย่าเรื่องมากได้มั้ยพี่ฑูร จะไปไม่ไป”
“ไปจ้ะ...ไป”
ไพฑูรย์ปลิวไปตามแรงฉุดกระชากลากถูของตุ๊...ต๊อด อึ่ง พัน โผล่มาจากอีกด้าน ทั้งหมดจะย่องตามทั้งคู่ไป แต่แล้วก็สะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงอาทิจ
“ไปไหน ทำไมต้องไปพร้อมกันสามคน”
ต๊อดยิ้มแหย
“ไปทำธุระจ้ะนาย”
“ที่ไหน”
สามคนตอบพร้อมกัน แต่คนละที่ แถมชี้มือไขว้ไปคนละทาง
“ที่นั่น / ที่นู่น / ที่โน่น”
ทั้งสามคนหันมามองหน้ากัน แล้วหันไปหา อาทิจที่จ้องทุกคนนิ่ง ไม่พูดอะไร อึ่งหน้าจืดมาก
“ไม่ไปก็ได้”
พันกร่อยสนิท
“ไปทำงานต่อเถอะพวกเรา”
ต๊อด อึ่ง พัน ยังทำท่าจะหันกลับไปทางที่ไพฑูรย์กับตุ๊เพิ่งเดินออกไป ลุงเกร็งเข้ามายืนดักหน้า
“มาทางไหนไปทางนั้น”
สามคนแป่ว แต่ก็ยิ้มหน้าตายก่อนจะเดินจูงมือกันหันกลับไปทำงานที่เดิม

เมื่อทั้งสามคนหันหลังกลับไปแล้ว อาทิจจึงเลิกเก๊กขรึม ชายหนุ่มส่ายหน้ายิ้มออกมาได้

ตอนบ่ายแก่ๆ อาทิจ ลุงเกร็ง ต๊อด อึ่ง และพันเดินออกมาจากแนวต้นส้มด้านหนึ่ง ทั้งหมดชะงักเมื่อเห็น ดรุณีประคองย่าแดงเดินเข้ามาพร้อมเวทางค์และวิยะดา
“พี่อาทิจ...คิดถึงจังเลยค่ะ” วิยะดาวิ่งมาเกาะแขนอาทิจทันที
อาทิจยิ้มให้ ก่อนจะหันไปส่งสายตาด่าต๊อด อึ่ง พันที่เอามือสะกิดแหย่อยู่ทางด้านหลัง ย่าแดงเอ่ยปากถามขึ้น
“จะไปไหนกันล่ะพ่อ”
“ผมจะไปรดน้ำผักครับ ส่วนพวกนี้เขาจะแยกไปดูส้มที่เนินด้านบน”
“เอ้า...ถ้าอย่างนั้นย่าไปด้วย ตาเวกับยายวิล่ะ ลองเริ่มเป็นชาวสวนด้วยการรดน้ำ
ผักให้เป็นก่อนดีมั้ย”
เวทางค์กับวิยะดากำลังคิดหาเรื่องปฏิเสธ แต่ดรุณีรู้ทันพูดดักคอ
“หวังว่าอาการปวดหัวกับปวดท้อง คงไม่กำเริบขึ้นมาอีกนะคะ”
ย่าแดงตัดบท
“เอ้า...ไป”
ทุกคนขยับจะแยกย้ายไปทางใครทางมัน แต่แล้วก็ต้องพากันชะงักทั้งกลุ่มเมื่อหันไปเห็น ไพฑูรย์เดินขาถ่างเหมือนตาแก่ไขข้อเสื่อมเข้ามา
“ได้ยินพวกคนงานมันว่าคุณอาทิจจะไปรดน้ำผัก ผมไปช่วยนะครับ”
อึ่งหัวเราะ
“ช่วยตัวเองก่อนดีมั้ยพี่ฑูร”
ต๊อดยิ้มๆก่อนจะแกล้งแหย่
“ไปทำอะไรมาถึงได้เข่าย้วยอย่างนั้น”
พันขำ
“เพลาๆบ้างก็ดีนะพี่ ปูนนี้แล้ว เดี๋ยวพิการไปจะยุ่ง”
ย่าแดงมองอย่างสงสัย
“เป็นอะไรล่ะเจ้าฑูร เดินขาถ่างอย่างกับเพิ่งลงจากหลังม้า ไข่ดันบวมรึไง”
สามเกลอหัวเราะฮาแตกกับคำพูดตรงไปตรงมาโดยไม่มีอะไรแอบแฝงของย่าแดง ในขณะที่อาทิจและลุงเกร็งแอบขำ ดรุณี เวทางค์ วิยะดา ไม่เข้าใจว่าทุกคนหัวเราะเรื่องอะไรกัน ดรุณีมองอาการของไพฑูรย์อย่างเป็นห่วง
“ไปให้หมอตรวจสักนิดเถอะพี่ฑูร อาการเหมือนจะเป็นโรคไขข้อเสื่อม”
ลุงเกร็งหันมาบอกดรุณีขำๆ
“ของพรรค์นี้มันอยู่ที่ใจครับคุณหนูณี ถ้าเลิกรักเลิกหลงได้บ้างมันก็ไม่เป็นอย่างนี้”
ไพฑูรย์คร่ำครวญหวนไห้ตีโพยตีพาย
“ก็ไปบอกนังตุ๊มันสิ ใครว่าง...ช่วยไปบอกมันที”

ตุ๊มาหาทองประศรีที่ร้าน เล่าเรื่องบนเตียงของเธอกับไพฑูรย์ให้ฟัง ทองประศรียกมือปิดปากเบิกตาโตอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
“หา! คืนละ 4”
ตุ๊สยายผมสะบัดซ้ายขวาโชว์พลังอาชาสุดฤทธิ์
“ถูก...ไม่งั้นพี่จะคึกร้อยแรงม้าได้ทั้งวันอย่างนี้เหรอจ๊ะ”
“อ๊าย...” ทองประศรีปิดหน้าอายแต่หันมาถามอย่างจ้องเอาคำตอบ “แล้วพี่ฑูรไปเอา
แรงมาจากไหน”
“แหม...ของอย่างนี้ มันต้องอาศัยต่อยอดกันไปมา ฉันรับเธอส่ง ฉันส่งเธอรับ”
“แต่...ทุกคืนเลยเหรอ”
“ไม่เกี่ยง วันไหนถ้ากลางวันว่างก็มา มันต้องทำแบบประจำสม่ำเสมอ คิดซะว่าออกกำลังกาย ออกทุกวันมันก็ติด อ้ะ...อยากลองบ้างล่ะสิ ไปหาคุณอาทิจมั้ย เที่ยวนี้จะแนะนำให้รู้จักกันให้ได้ แล้วน้องศรีจะชวนคุณอาทิจไปออกกำลังที่ไหนก็แล้วแต่สะดวก แลกกับน้ำมัน 2 ขวด ไข่ 1 โหล แล้วก็น้ำปลา”
ทองประศรีใจนึกถึงแต่ทองใบ
“ไม่ล่ะ”
“ถ้างั้น...น้ำมัน 1 ขวด ไข่ 10 ฟอง น้ำปลาไม่เอาก็ได้”
ทองประศรีไม่สน
“ไม่ดีกว่า”
“น้ำมันกระบวยเดียว ไข่ 5 ฟองพอ”
ทองประศรีส่ายหน้า ตุ๊ยื่นข้อต่อรองสุดท้าย
“แหนบถอนขนจั๊กกะแร้ อันเดียวเท่านั้น กำลังคันสุดฤทธิ์”
“พี่ตุ๊เกาไปก่อนก็แล้วกัน”
“เฮ้ย...ไหงล้มเลิกความตั้งใจง่ายๆอย่างนี้ล่ะ”
ทองประศรียิ้มๆ
“ฉันมาคิดดูแล้ว คนจะเป็นเนื้อคู่กัน มันคงไม่เจอกันยากขนาดนี้หรอก”
“ไปเจอคนใหม่มาล่ะสิ มิน่าล่ะ...ผิวพรรณถึงเปล่งปลั่งดูมีน้ำมีนวล”
ทองประศรีตีมือตุ๊เขินจัด
“แหม...พี่ตุ๊ก็ ชมกันต่อหน้าอย่างนี้ฉันก็เขินแย่สิ” ทองประศรีเดินไปหยิบแหนบในตู้แล้วส่งให้ “เอ้า...เอาไปถอนรอพี่ฑูรคืนนี้ ฉันให้”
ตุ๊รับแหนบที่ได้มาอย่างฟลุ้คๆ แล้วแอบมองอาการขวยเขินของทองประศรีนึกในใจว่า...นังนี่ถ้าจะโดนซะแล้ว...

อาทิจยืนรดน้ำจากสายยางกับเวทางค์ โดยที่ย่าแดง ดรุณีและวิยะดายืนดู เวทางค์ท่าทางเบื่อๆ
“ทำไมนายไม่ติดสปริงเกิ้ล หรือใช้ระบบฝนเทียมไปเลยหา เดินฉีดยังงี้ทั้งเมื่อย ทั้ง Non Sence แถม โลว์เทคฯ อีกต่างหาก”
“แต่มันเป็นวิธีที่เหมาะกับการปลูกผักครับ เพราะเราสามารถฉีดน้ำให้ชะล้างไข่ของแมลงศัตรูพืชที่ติดอยู่ตามใบลงไปในดิน แล้วจุลินทรีย์ในดินก็จะย่อยกินไข่ของแมลงพวกนี้อีกที ข้อดีอีกอย่างก็คือเราจะได้เดินดูผักทุกต้นด้วยตัวเอง ได้เห็นความเป็นไปของมันในแต่ละวัน” อาทิจอธิบาย
วิยะดาปลื้มมาก
“ลึกซึ้ง ละเอียดอ่อน ใส่ใจ รอบคอบ หล่อ ว้าว...นี่พี่อาทิจเป็นเทวดามาเกิดรึเปล่าคะเนี่ย แต่...ถ้าต้องเดินรดน้ำอย่างนี้ทุก เช้า กลางวัน เย็น มันจะไม่หนักไปหน่อยเหรอคะ วิเป็นห่วงน่ะค่ะ”
“ไม่หรอกครับ รดน้ำผักอย่างมากก็วันละ 2 หน เช้ากับบ่ายแก่ๆ แต่ถ้าอากาศร้อนจัด ก็ขยับมารดสักตอนบ่ายสองก็ได้ครับ”
ย่าแดงแปลกใจ
“แดดเปรี้ยงอย่างนั้น ผักมันจะไม่ช็อกตายเหรอพ่อ”
“ไม่ครับคุณย่า มันเป็นการช่วยลดอุณหภูมิในแปลง ไม่เป็นอันตรายต่อผักครับ ถ้าเป็นหน้าหนาวก็รดแค่ช่วงเช้าตรู่ครั้งเดียว แต่ต้องแน่ใจว่าฉีดน้ำชะน้ำค้างที่เกาะตามต้นได้หมด ไม่อย่างนั้นอาจจะทำให้เกิดโรคราน้ำค้างได้ครับ”
วิยะดาจีบปากจีบคอฉอเลาะ
“แล้วหน้าฝนล่ะคะ”
“ไม่ต้องรดครับ ไม่งั้นดินจะอุ้มน้ำมากเกินไปจนทำให้ดินแน่น ผักก็จะขาดอากาศหายใจ บางครั้งเราก็ต้องใช้ตะขอคุ้ยดินรอบต้น เพื่อช่วยให้อากาศถ่ายเท”
วิยะดายิ่งชื่นชมอย่างออกหน้าออกตา
“พี่อาทิจอะ...เก่งจังเลย ว่าจะไม่ปลื้มแล้วน้า”
ดรุณียืนกอดอกหมั่นไส้มานาน
“ก็แค่จำเอามาพูดต่อ เหมือนนกแก้วนกขุนทอง”
เวทางค์สอดทันที
“พี่ว่าเหมือนหุ่นยนต์ที่ถูกป้อนโปรแกรมปลูกผักมากกว่า”
อาทิจยืนสูดหายใจลึก แล้วนับ 1-2-3 ในใจ ก่อนจะผ่อนออกมาอย่างสงบ ย่าแดงไม่ค่อยพอใจหันมาอบรมหลาน
“ถ้าอย่างนั้นเราสองคนก็คงหมายถึงย่าด้วยสินะ เพราะกว่าย่าจะปลูกส้มได้เป็นร้อยไร่ ปลูกสตรอเบอรี่ได้เป็นดอย ย่าก็ต้องท่องจำวิธีการมาจากในตำราเหมือนนกแก้วนกขุนทอง ต้องให้เจ้าหน้าที่จากโครงการต่างๆ มาป้อนข้อมูลใส่เหมือนหุ่นยนต์กระป๋องอย่างพ่ออาทิจเหมือนกัน”
ดรุณีจ๋อยไป
“หนูไม่ได้หมายถึงคุณย่านะคะ หนูเพียงแต่...”
ย่าแดงมองหลานๆ
“คนเราเกิดมา ไม่มีใครรู้อะไรมาตั้งแต่อ้อนแต่ออกหรอก ทุกอย่างต้องมาเรียนรู้เอาทีหลังทั้งนั้น รู้จากการท่องจำ รู้จากการรับข้อมูลอย่างเดียวมันก็ไม่แตกฉาน ความรู้จะแตกฉานได้ มันต้องเกิดจากการปฏิบัติการลงมือทำ เหมือนที่พ่ออาทิจกำลังทำ พวกที่ยังไม่ลงมือทำอะไร ไม่แม้แต่จะเปิดตาท่องจำเปิดหูรับฟัง วันๆเอาแต่นินทาเอาแต่แขวะคนอื่นเขา ย่าว่าคนพวกนี้ล่ะที่เป็น หุ่นยนต์ไร้สมอง เป็นนกแก้วนกขุนทองตัวจริง”
อาทิจยืนฟังอย่างสงบ และแอบยกย่องย่าแดงในใจที่ท่านช่างเปรียบเปรยด้วยถ้อยคำที่ เจ็บอย่างสุภาพดรุณีและเวทางค์หน้าแตก เสียหน้าสุดๆที่โดนย่าอบรมต่อหน้าอาทิจ

เย็นนั้น...อาทิจปิดวาวน้ำแล้วหันมา วิยะดาเข้าไปเกาะเช่นเคย
“ไปกินข้าวเย็นที่บ้านคุณย่าด้วยกันนะคะพี่อาทิจ”
อาทิจหันมาหาย่าแดง
“ผมต้องขอตัวนะครับคุณย่า ว่าจะไปที่เรือนเพาะชำก่อนน่ะครับ”
“รักงานซะจริงซะจังนะคะ น่ารักอะ ให้วิไปช่วยนะคะ วิอยากช่วย”
ย่าแดงหันไปถามอาทิจ
“จะไปทำอะไรหรือพ่อ”
“หมักปุ๋ยชีวภาพเพิ่มน่ะครับคุณย่า ระยะนี้ต้องฉีดพ่นทุกๆ 5-7 วันครับ”
เวทางค์รีบบอกวิยะดา
“ชัดมั้ย...ปุ๋ยชีวภาพ อยากตามไปช่วยมั้ย”
วิยะดายิ้มแหยๆแล้วพูดกับอาทิจ
“รักนะแต่แพ้ทาง...กลิ่นยังติดจมูกวิอยู่เลยค่ะ”
ย่าแดงตัดบท
“รีบไปรีบกลับนะพ่อ ผ่านป่ารกๆอย่างนั้น ระวังงูเงี้ยวเขี้ยวขอด้วยล่ะ”
“ครับ”
อาทิจยกมือไหว้ ย่าแดงจับมือของเขาที่ไหว้ไว้
“แล้วแวะไปหาย่านะ ย่ามีอะไรจะคุยด้วย”
“ครับคุณย่า”
ดรุณียิ่งเห็นย่าแดงมองอาทิจด้วยความรักเปี่ยมล้นยิ่งหมั่นไส้ อยากจะไล่ชายหนุ่มไปให้พ้นๆ

อาทิจถีบจักรยานลัดเลาะมาตามเขา ชายหนุ่มหน้าตาเริงร่า สบายใจที่งานเริ่มต้นและดำเนินไปได้ด้วยดี เขาเอาผ้าขนหนูที่คล้องคอเช็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นที่หน้าเช็ดไป ถีบรถไป ชมวิวข้างทางไป...อาทิจถีบจักรยานลงเนินมา เพียงจักรยานแตะพื้นราบได้ชั่วอึดใจชายหนุ่มก็เบรกตัวโก่งรอให้จักรยานนิ่งสนิทจึงหันไปมองข้างทาง ชายหนุ่มเบิกตาอย่างอึ้งๆ ก่อนจะขยับลงจากรถ
อาทิจเดินเหมือนถูกมนต์สะกดเมื่อได้เห็นสิ่งซึ่งแผ่เรียงรายอยู่ตรงหน้า
สิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มตะลึงนั่นคือ ดงกล้วยอันกว้างใหญ่ เขากวาดสายตาไล่มองกล้วยแต่ละต้น ซึ่งกำลังมีลูกห้อยย้อยเป็นเครือยั้วเยี้ยะ ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆ รู้สึกเหมือนได้เห็นภาพธรรมชาติอันยิ่งใหญ่และงดงาม ก่อนจะฉุกคิดอะไรบางอย่าง

อาทิจตาเป็นประกาย หัวใจเต้นแรง เหมือนคนที่เกิดไอเดียอะไรปิ๊งเข้ามาในหัว แล้วอยากจะลงมือทำซะเดี๋ยวนั้น

อ่านต่อตอนที่ 5 พรุ่งนี้
กำลังโหลดความคิดเห็น