ดาวเรือง ตอนที่ 1
ณ บริเวณใจกลางกรุงเทพมหานคร ที่เต็มไปด้วยความศิวิไลซ์ รถยนต์ป้ายทะเบียน ดล.208 กรุงเทพมหานคร จินตวัฒน์ หรือ จิ๋น นั่งขับรถคันนั้นมาท่ามกลางบรรยากาศเมืองหลวงซึ่งเต็มไปด้วยรถราและผู้คนขวักไขว่ แล่นฝ่าการจราจรหนาแน่นมุ่งหน้าออกไปนอกเมือง
จุดหมายปลายทางคือ “บ้านดอนล้อมแรด”
จินตวัฒน์ เป็นปลัดหนุ่มใหม่ไฟแรง ลูกชายคนโตของคุณจันทรา และเป็นพี่ชายของ จุลมณี หรือ โจ๋ง วันนี้เขาถูกส่งตัวไปเป็นปลัดที่ต่างจังหวัด ด้วยความที่เรียนจบใหม่ จึงไฟแรง จินตวัฒน์บอกกับจันทราผู้เป็นมารดาอย่างหมายมั่นปั้นมือว่า จะไปพัฒนาหมู่บ้าน ด้วยกำลังและวิชาความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมา
เสียงเพลงจากวิทยุในรถของจินตวัฒน์ดังขึ้น รถแล่นไปบนถนนลาดยางอย่างดีผ่านสองข้างทางที่มีทั้งทุ่งนา ไร่อ้อย สันเขื่อน และความงดงามของชนบท และแล้วเสียงมือถือของเขาก็ดังขึ้น จินตวัฒน์หรี่เสียงเพลงในรถให้เบาลงแล้วขยับบลูทูธให้กระชับรูหู เขายิ้มก่อนจะทักทายกับปลายสาย
“คิดว่าใกล้ถึงแล้วครับแม่ ถ้าไม่หลงเข้าตะเข็บชายแดนทะลุเขมรไปซะก่อน”
จันทรา แม่ของจินตวัฒน์ ซึ่งกำลังง่วนอยู่กับการจัดดอกไม้ให้ลูกค้าชะงักกึก ก่อนจะเอ็ดลูกชายด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“พูดเป็นเล่นไป...อย่าลืมที่แม่บอกนะลูก”
มือข้างหนึ่งของจินวัฒน์จับพวงมาลัย ส่วนอีกข้างถือแผนที่ที่ทางอำเภอแฟกซ์มาให้
จินตวัฒน์เลียนเสียงแม่ “ถึงแล้วให้รีบไปหานายอำเภอกับคุณนายฤดีทันที ห้ามเถลไถลไปไหนเป็นอันขาด แล้วถ้าไม่จำเป็นก็อย่าออกไปไหนมาไหนคนเดียวด้วย”
จันทรายื่นช่อดอกไม้ที่จัดเสร็จแล้วพร้อมที่อยู่ลูกค้าให้พนักงานจัดส่งก่อนจะหันมาปรามลูกชายด้วยเสียงเข้ม “จินตวัฒน์ !”
จินตวัฒน์หัวเราะเสียงใส เขาคือปลัดหนุ่มบุคลิกทันสมัย หน้าตาสะอาดสะอ้าน
“ผมล้อเล่น...อย่าโกรธสิครับแม่ เดี๋ยวแก่เร็วไม่รู้ด้วยนะ”
จินตวัฒน์เหลือบมองแผนที่ในมือก่อนจะหันไปเห็นป้ายบอกทางเก่าๆ ที่อยู่ข้างหน้าไม่ไกลนัก
ป้ายบอกทางเก่าๆ ข้างทางเขียนเอาไว้ว่า “บ้านดอนล้อมแรด”
“ผมเจอทางเข้าแล้วครับแม่ คิดว่าไม่เกินยี่สิบนาทีก็น่าจะถึงแล้ว แม่ไม่ต้องห่วงนะรับรองผมถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพแน่นอนครับ”
จินตวัฒน์เลี้ยวรถเข้าไปบนถนนลูกรัง แรงสะเทือนของรถทำให้ป้ายข้างทางตกดั่งมีลางร้าย
เด็กผู้หญิงท่าทางทะมัดทะแมงแต่งตัวมิดชิด สวมหมวกกันน็อกขี่มอเตอร์ไซค์มาอย่างเร็ว จนฝุ่นตลบ มีเด็กผู้ชายหอบตะกร้าใบใหญ่ใส่ดอกดาวเรืองนั่งซ้อนท้ายมาด้วย มอเตอร์ไซค์อีกสองคันขับไล่มาติดๆ คันแรกคนขับรูปร่างอ้วนแต่งกายมิดชิดสวมหมวกกันน็อก ส่วนคันที่สองคนขับร่างท้วมแต่งกายมิดชิดสวมหมวกกันน็อกเช่นกัน แต่มีชายชุดดำโพกผ้าปิดหน้าปิดตามิดชิดท่าทางเหมือนพวกมือปืนซ้อนท้ายนั่งมาด้วย
รถมอเตอร์ไซค์ทั้งสามคันเลี้ยวขึ้นมาจากถนนดงอ้อย ก่อนจะมุ่งหน้าสู่ถนนสายหลักของหมู่บ้านด้วยความเร็วสูง ตามหลังรถจินตวัฒน์ที่แล่นฝุ่นตลบอยู่เบื้องหน้า
ด้านจันทรามองดูรูปถ่ายครอบครัวบนเคาน์เตอร์ที่ร้านดอกไม้ มันเป็นรูปจินตวัฒน์วัยหกขวบที่ยืนอยู่กับภิวัฒน์ผู้เป็นพ่อที่แต่งชุดนายอำเภอเต็มยศ ส่วนจันทราผู้เป็นแม่นั่งบนเก้าอี้โดยอุ้ม จุลมณี ที่ยังแบเบาะอยู่ในอ้อมกอด
“ที่นั่นเป็นยังไงบ้าง” จันทราถาม
“เจริญครับ” จินตวัฒน์ตอบ “ถนนหนทาง…เอ่อ..สะดวกมากครับแม่”
รถของจินตวัฒน์แล่นบนถนนที่เป็นหลุมเป็นบ่อ แรงสะเทือนทำให้จินตวัฒน์ที่นั่งอยู่ในรถถึงกับหัวโยกหัวคลอน จินตวัฒน์เหลือบมองที่กระจกมองหลังก็เห็นฝุ่นพวยพุ่งตลบอบอวลตามหลังมา
มอเตอร์ไซค์สองคันหลัง ยังคงไล่บี้มอเตอร์ไซค์คันหน้ามาติดๆ จนมอเตอร์ไซค์คันข้างหน้าเกือบจะชนท้ายรถของจินตวัฒน์ เด็กผู้หญิงที่ขับมอเตอร์ไซต์คันหน้า ตัดสินใจหักหลบไปทางขวาของรถจินตวัฒน์ ทำให้มอเตอร์ไซต์คันที่มีชายท่าทางเหมือนมือปืนต้องหักหลบไปทางซ้ายของรถจินตวัฒน์เพราะต้องการแซงไปดักหน้ามอเตอร์ไซค์ของเด็กผู้หญิง
จินตวัฒน์หันมามองมอเตอร์ไซค์คันที่แล่นขนาบข้างขวา พอเห็นเด็กผู้ชายที่นั่งซ้อนท้ายแลบลิ้นใส่เขาเขาก็โบกมือทักทายและยิ้มให้
จินตวัฒน์หัวเราะด้วยความเอ็นดู “แล้วคนที่นี่ก็ยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่เห็นน่ากลัวเหมือนที่แม่เคยเล่าเลยครับ”
ทันใดนั้นชายท่าทางเหมือนมือปืนที่อยู่ด้านซ้ายรถจินตวัฒน์ก็ชักปืนขึ้นมาทำท่าจะยิงเข้าไปในรถจินตวัฒน์ จินตวัฒน์หันไปเห็นพอดีทำให้จากที่กำลังยิ้มแย้มอยู่ก็เปลี่ยนเป็นตกใจร้องเสียงหลงทันที
“เฮ้ย !”
จินตวัฒน์หักพวงมาลัยหลบไปทางขวาด้วยสัญชาตญาณเป็นจังหวะเดียวกับมอเตอร์ไซค์ของเด็กผู้หญิงที่เร่งเครื่องแซงรถจินตวัฒน์ขึ้นไปพอดีทำให้รอดจากการเฉี่ยวชนกับรถจินตวัฒน์ไปได้อย่างหวุดหวิด
จันทราตกใจ “เป็นอะไรลูก !! จิ๋น...จิ๋น”
ชายท่าทางเหมือนมือปืนเห็นมอเตอร์ไซค์ของเด็กผู้หญิงเร่งเครื่องหนีจึงสั่งให้คนขับมอเตอร์ไซค์ทั้งสอง
คันเร่งเครื่องตามไปทันที
จินตวัฒน์เห็นมอเตอร์ไซค์สองคันหลังพยายามไล่บี้จะยิงเด็กผู้หญิงคันข้างหน้า เขาจึงตัดสินใจเร่ง
เครื่องตามไปโดยไม่ทันตอบคำถามแม่
มอเตอร์ไซค์สองคันหลังไล่บี้ขึ้นมาจนประกบมอเตอร์คันหน้าได้ มอเตอร์ไซต์คันที่มีชายท่าทางเหมือนมือปืนนั่งซ้อนท้ายเร่งแซงขึ้นไปดักหน้าคันของเด็กผู้หญิง
เมื่อมีระยะห่างที่เหมาะสม ชายท่าทางเหมือนมือปืนก็ลุกขึ้นยืนแล้วหันตัวกลับมาเล็งปืนใส่เด็กผู้หญิง จินตวัฒน์ตกใจจึงบีบแตรใส่ชายท่าทางเหมือนมือปืนเสียงดังสนั่น จันทราได้ยินเสียงดังเข้ามาในโทรศัพท์ก็ตกใจ
ชายท่าทางเหมือนมือปืนกำลังจะเหนี่ยวไก เด็กผู้หญิงจ้องมองชายท่าทางเหมือนมือปืนอย่างไม่เกรงกลัว ปลายปากกระบอกปืนมีน้ำพุ่งออกมาใส่หน้าเด็กผู้หญิง ทำให้เด็กผู้หญิงต้องหักมอเตอร์ไซค์หลบไปเกี่ยวมอเตอร์ไซค์อีกคันจนเสียหลักล้มลง
ตะกร้าดอกดาวเรืองในมือเด็กผู้ชายที่นั่งซ้อนท้ายเด็กผู้หญิงกระเด็นลอยขึ้นฟ้า
จินตวัฒน์เหยียบเบรกไม่ทันทำให้ทั้งตะกร้าทั้งดอกดาวเรืองและขวดน้ำหลายใบที่ซ่อนอยู่ในตะกร้าลอยมาตกลงที่หน้ารถเต็มๆ
จินตวัฒน์ร้องเสียงหลง “เฮ้ย!!” รีบหักพวงมาลัยหลบอย่างรวดเร็ว
จันทราได้ยินเสียงก็ใจคอไม่ดี “เป็นอะไรลูก!! จิ๋น...จิ๋น ตอบแม่สิ!! จิ๋น...จิ๋น”
แรงเหวี่ยงของรถทำให้บลูทูธที่หูจินตวัฒน์ และมือถือที่อยู่บนคอนโซลตกลงพร้อมๆ กับรถของจินตวัฒน์ที่ตกถนน พุ่งไปชนต้นไม้ใหญ่ข้างทาง
ทันทีที่สัญญาณโทรศัพท์ขาดหาย จันทราก็รีบกดโทร.ไปหาจินตวัฒน์ แต่ลูกชายไม่รับ จันทรารู้สึกใจคอไม่ดี
“เกิดอะไรขึ้น!!”
จินตวัฒน์ซึ่งฟุบหน้าอยู่ที่พวงมาลัยค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาช้าๆ พอเห็นชายท่าทางเหมือนมือปืนวกรถกลับมาจอด และถือปืนเดินเข้าไปหาเด็กผู้หญิงที่ล้มกลิ้งอยู่ จินตวัฒน์ก็รีบหยิบปืนในคอนโซลลงจากรถ หลังจากปิดประตูรถไป แล้วเสียงมือถือในรถก็ดังขึ้นมาอีก
สุวรรณ หรือ ไอ้วรรณ ชายท่าทางเหมือนมือปืนถอดผ้าโพกหัวโพกหน้าออกก่อนจะเดินเข้าไปถามเด็กผู้หญิงด้วยความเป็นห่วง
“เป็นอะไรหรือเปล่า...ไอ้เรือง”
เด็กผู้หญิงที่ชื่อดาวเรืองลุกขึ้นมาอย่างช้าๆ ก่อนจะถอดหมวกกันน็อกปาใส่สุวรรณอย่างแรงด้วยความไม่พอใจ
“อยากตายรึไง..หา..ไอ้วรรณ! เอาน้ำอะไรมาฉีดใส่ข้า”
กรอดที่ล้มกลิ้งอยู่ข้างๆ ลุกขึ้นมาตอบแทนด้วยความซื่อ
“ก็น้ำมันพรายไงจ้ะน้องเรือง”
แหลมเบิ้ดกะโหลกกรอดทันที “ไปบอกมันทำไมวะไอ้กรอด”
ดาวเรืองหันมาถาม “จริงเหรอวะไอ้วรรณ”
ดาวเรืองเข้าไปกระชากคอเสื้อสุวรรณด้วยความไม่พอใจ สุวรรณร้องเสียงหลงด้วยความกลัว
“ข้าขอโทษ...ข้าไม่ได้ตั้งใจ” สุวรรณตะโกนเรียกลูกน้อง “ไอ้แหลม ไอ้กรอด ช่วยข้าด้วย”
แหลมกับกรอดจะเข้าไปช่วยลูกพี่ แต่เพี้ยนไวกว่าจึงลุกขึ้นมาผลักแหลม แล้วเตะตูดกรอด
“หนอย...ไอ้เพี้ยนเอ็ง” แหลมเจ็บใจ
“แน่จริงก็จับให้ได้สิโว้ย” เพี้ยนว่า
แหลมกับกรอดช่วยกันจับตัวเพี้ยน แต่เพี้ยนไวกว่าวิ่งล้อมหน้าล้อมหลังแล้วมุดหว่างขา เตะตูดแหลมกับกรอดจนชุลมุนวุ่นวายไปหมด
จินตวัฒน์งุนงงเมื่อเดินมาเห็นสถานการณ์เปลี่ยนไป เขาจึงเหน็บปืนเก็บไว้ก่อนจะเข้าไปห้ามดาวเรืองกับสุวรรณ
“นี่มันเรื่องอะไรกัน หยุดเดี๋ยวนี้...ฉันบอกให้หยุด”
จินตวัฒน์เข้าไปแยกตัวดาวเรืองออกมา ดาวเรืองไม่พอใจจึงผลักจินตวัฒน์ล้มจนปืนที่เหน็บอยู่ที่เอวของจินตวัฒน์กระเด็นหลุดออกมา สุวรรณเห็นก็ตกใจเพราะเข้าใจผิดคิดว่าจินตวัฒน์เป็นตำรวจ
“ตำรวจ !”
สุวรรณรีบวิ่งไปที่รถก่อนเป็นคนแรก แหลมกับกรอดวิ่งตามมา แล้วทั้งหมดก็พากันขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปทันที ดาวเรืองกับเพี้ยนวิ่งตาม
“ไอ้วรรณ...เอ็งจะไปไหน มาให้ข้ากระทืบซะดีๆ...ไอ้วรรณ !!”
ดาวเรืองกับเพี้ยนวิ่งตามแต่ไม่ทัน
ดาวเรืองกับเพี้ยนรีบวิ่งกลับมาช่วยกันยกรถมอเตอร์ไซค์ขึ้น ดาวเรืองจะสตาร์ทรถแต่ถูกจินตวัฒน์คว้ากุญแจรถซึ่งมีพวงกุญแจรูปกระโหลกไขว้ไป
“จะหนีไปไหน” จินตวัฒน์ถาม
“หลีกไป...ไม่ใช่เรื่องของนาย” ดาวเรืองว่า
“ทำไมจะไม่ใช่”
ดาวเรืองรีบลงจากรถเพื่อมาแย่งกุญแจคืน
จินตวัฒน์เอากุญแจรถหลบไปไว้ข้างหลัง “ในเมื่อเราทำฉันเกือบรถคว่ำตาย”
“ก็แค่เกือบ แต่ถ้านายไม่คืนกุญแจรถให้เรา นายได้ตายจริงแน่”
“เป็นเด็กเป็นเล็กกล้าขู่ผู้ใหญ่เหรอ ได้!...งั้นเราไปคุยกันที่โรงพัก” จินตวัฒน์ดึงมือดาวเรืองไว้
ดาวเรืองสะบัดมือหลุดแล้วดึงกุญแจมาจากมือจินตวัฒน์
“ไม่มีเวลาไปเว้ย”
ดาวเรืองเดินหนีมาที่มอเตอร์ไซด์
จินตัวัฒน์เดินตามมาคว้าแขนเธอไว้อีก “ไปโรงพัก”
ดาวเรืองดิ้นและสะบัดมือ จินตวัฒน์ไม่ยอม เขายื้อแขนเธอไว้ ดาวเรืองยั๊วะจึงถีบจินตวัฒน์จนหงายหลังตกลงไปในปลักควาย เพี้ยนหัวเราะก๊าก
ดาวเรืองยักคิ้วเย้ย “ว่างเมื่อไหร่ แล้วจะไป” ดาวเรืองหันไปพูดกับเพี้ยน “ไปเหอะ”
ดาวเรืองสตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์ เพี้ยนขึ้นซ้อนท้าย แล้วดาวเรืองก็บิดจนฝุ่นตลบออกไป
จินตวัฒน์ลุกขึ้นมาจะตามแต่ก็ไม่ทัน “เดี๋ยว...เดี๋ยวก่อน”
เพี้ยนหันมาแลบลิ้นใส่ จินตวัฒน์เจ็บใจ ดาวเรืองอมยิ้มอย่างสะใจ
“เด็กอะไร...ทำไมแสบนักวะ”
จินตวัฒน์เดินกลับมาที่รถ เขาเอื้อมมือจะเปิดประตูรถแต่ก็เปิดไม่ได้ เพราะติดเครื่องค้างไว้ประตูรถเลยล็อกอัตโนมัติ
จินตวัฒน์เซ็งมาก “ให้มันได้อย่างนี้สิ”
จินตวัฒน์ได้ยินเสียงมือถือในรถดังแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เขาได้แต่ยืนมองสภาพรถและสภาพของตัวเองที่เปื้อนโคลนเต็มไปหมดอย่างเซ็งๆ
“แล้วจะทำยังไงวะเนี่ย”
จินตวัฒน์ยืนเคว้งคว้าง เขามองไปทางไหนก็มีแต่ความแห้งแล้งไม่มีแม้แต่บ้านเรือนหรือผู้คน
ที่ศาลาเอนกประสงค์ของวัดบ้านดอน มีป้ายผ้าติดไว้ว่า ชาวบ้านดอนล้อมแรด "ยินดีต้อนรับปลัดใหม่ “จินตวัฒน์ วิโสภา”
ชาวบ้านทุกคนกลับทำหน้าเซ็ง บางคนนั่ง บางคนนอนเพราะถูกเกณฑ์ให้มาต้อนรับปลัดตั้งแต่เช้ามืด นายอำเภอไพศาลยืนคุยมือถือหน้าเครียด
“อะไรนะครับ...ปลัดจินตวัฒน์หายตัวไป!!”
ฤดี กำนันเทิ้ม พระครูจ้อยซึ่งยืนอยู่ข้างๆไพศาลรวมทั้งพวกชาวบ้านที่ยืน เดิน นั่ง นอนอยู่ไกลออกไป ต่างพากันหันมามองไพศาลเป็นตาเดียว
“ค่ะนายอำเภอ...คุยกันอยู่ดีๆ จู่ๆสายก็ตัดไป...ดิฉันสังหรณ์ใจยังไงก็ไม่รู้” จันทราที่คุยมือถืออยู่ที่ร้านดอกไม้ตอบ
ไพศาลปลอบใจ “คุณจันทราใจเย็นๆก่อนนะครับ บางทีอาจจะอยู่ในจุดที่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ก็ได้ อาจจะแค่สายหลุด คงไม่มีอะไร ผมเจอตัวปลัดแล้วจะติดต่อกลับไปนะครับ”
ไพศาลวางสายจากจันทรา ฤดีรีบถามด้วยความเป็นห่วงทันที
“ให้ใครไปตามมั้ยนายอำเภอ”
“ผมจัดการเองครับ” ผู้กำกับพูดแล้วเดินไป
รถของจินตวัฒน์จอดสงบนิ่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ เศษซากดอกดาวเรืองและขวดแก้วแตกกระจัดกระจาย
เต็มไปหมด จ่าแม่นในชุดตำรวจมาดเท่ยืนรายงานให้นายอำเภอไพศาลฟัง
“ครับ...ทะเบียน ดล 208 กรุงเทพมหานครไม่ผิดแน่ครับท่าน ตอนนี้รถประสบอุบัติเหตุชนต้นไม้ใหญ่ครับผม” จ่าแม่นตะเบ๊ะ
“รถชนต้นไม้!”
ทุกคนฮือฮาเข้ามาล้อมไพศาล
“แล้วปลัดล่ะ” ไพศาลถาม
จ่าแม่นอ้าปากตอบ “ไม่....”
“ไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
ทุกคนโล่งใจ
จ่าแม่นพูดต่อ “ไม่เจอครับ ผมหาจนทั่วแล้วไม่เจอตัวปลัดคนใหม่เลยครับ”
จ่าแม่นเหลือบเห็นขวดที่มีน้ำใสๆ วางอยู่ที่พื้น
“เจอแต่...” จ่าแม่นทำจมูกฟุดฟุดเหมือนได้กลิ่นอะไรฉุนเตะจมูก เขาจึงก้มลงไปใช้นิ้วแตะชิม
“เจอแต่อะไร” ไพศาลถาม
ทุกคนรอฟัง
“เจอแต่เหล้าขาวครับผม” จ่าแม่นลุกขึ้นตะเบ๊ะ “ผมว่าผมรู้แล้วครับ...ว่าใครจับตัวปลัดไป”
สุวรรณ แหลม และกรอดบึ่งรถมอเตอร์ไซค์เข้ามาจอดหน้าบ้านผู้ใหญ่ผันอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ทั้งสามจะวิ่งหน้าตั้งหลบไปหลังบ้าน ดาวเรืองกับเพี้ยนบึ่งมอเตอร์ไซค์หัวฟูตามมาติดๆ พอเห็นกลุ่มของสุวรรณวิ่งหลังไวๆหายเข้าไปหลังบ้านก็ตะโกนด่าตามหลังไปด้วยความแค้น
“จะหนีไปไหนไอ้หน้าตัวเมีย ไอ้วรรณ...เอ็งมาให้ข้ากระทืบซะดีๆ”
ดาวเรืองตามเข้าไปเอาเรื่องด้วยความโกรธเกรี้ยว เพี้ยนรีบเดินตามลูกพี่เข้าไป
สุวรรณ แหลม และกรอดหนีมาจนมุมที่คอกหมู พอเห็นดาวเรืองกับเพี้ยนเดินเข้ามา แหลมกับกรอดก็ส่งสัญญาณให้หนีเอาตัวรอด ทิ้งให้สุวรรณหน้าซีดเหงื่อแตกอยู่ประจันหน้ากับดาวเรืองอยู่คนเดียว
สุวรรณทำเป็นไม่กลัวทั้งที่แขนขาสั่น “ไอ้เรือง” สุวรรณเตรียมจะซอยเท้าหนี
“ยังคิดจะหนีอีกเหรอไอ้วรรณ”
“ข้าไม่หนีก็ได้ ยังไงร่างกายของข้ามันก็เป็นของเอ็งอยู่แล้วไอ้เรือง เอ็งจะเหยียบจะย่ำยังไงก็เชิญ เชิญเลย...เหยียบมาที่นี่” สุวรรณฉีกเสื้อตรงบริเวณอกซ้าย “ที่หัวใจข้า เอ็งจะได้เจ็บเหมือนที่ข้าเจ็บ”
“แล้วทำไมพี่เรืองต้องเจ็บไปกับเอ็งด้วยหา...ไอ้พี่วรรณ” เพี้ยนถาม
สุวรรณพูดเสียงเข้ม “เพราะในหัวใจข้ามีไอ้เรืองอยู่ยังไงล่ะ”
แหลมกับกรอดยื่นหน้าโผล่ออกมาจากหลังดงกล้วยแถวๆนั้น “ฮิ้วว”
“พ่อเป็นหมาหรือไงวะ...ถึงได้โผล่ออกมาหอน” ดาวเรืองว่า
แหลมกับกรอดเอามือปิดปากก่อนจะพากันมุดหัวหลบไปหลังดงกล้วย
ดาวเรืองหันมาเล่นงานสุวรรณต่อ “ในเมื่อเอ็งกล้าเล่นสกปรกกับข้าก่อน”
ดาวเรืองคว้ามีดพร้าที่ปักอยู่กับหยวกกล้วยขึ้นมา
“ข้าก็จะสับ...สับๆๆ” ดาวเรืองตวัดมีดไปมา “ของของเอ็งให้เหลือแต่ตอ จะได้ไม่ต้องมีไว้ทำพันธุ์อีกต่อไป”
สุวรรณตกใจกลัวรีบเอามือกุมเป้า ดาวเรืองเงื้อมีดขึ้นทำท่าจะฟัน สุวรรณกลัวจึงหลับตาปี๋ถอยหลังร้องเสียงหลงจนลื่นตกเข้าไปในคอกหมู ดาวเรืองกับเพี้ยนตามเข้าไป สุวรรณกลัวลนลานจนวิ่งชนกับหมูในคอก
“สับให้หมูกินดีเลยไหมพี่เรือง” เพี้ยนถาม
“อย่า!! น้องเรืองจ๋า...พี่วรรณกลัวแล้วจ้า อย่าสับของพี่เลยนะ”
ดาวเรืองไม่สนใจ เธอเดินตรงเข้าไปหาสุวรรณ สุวรรณวิ่งหนีออกมาจนล้มกลิ้งล้มหงายที่หน้าคอกหมู
แหลมกับกรอดส่งสัญญาณให้กันก่อนจะเข้ามาล็อกตัวดาวเรืองไว้
ดาวเรืองดิ้นสู้ “เอ็งสองคนคิดจะลองดีกับข้าใช่มั้ย ไอ้แหลม ไอ้กรอด”
สุวรรณหันมาเห็นแหลมกับกรอดกำลังล็อกดาวเรืองไว้ก็รีบเด้งตัวลุกขึ้นมาด่าแหลมกับกรอดทันที
สุวรรณเสียงเข้ม “ปล่อยไอ้เรืองเดี๋ยวนี้ พวกเอ็งไม่มีสิทธิ์แตะต้องตัวไอ้เรืองของข้า...ปล่อย!!”
แหลมกับกรอดทั้งตกใจทั้งงง แต่ก็ต้องปล่อยตัวดาวเรืองไป ดาวเรืองชูมีดขึ้นแล้วหันขวับมาทางสุวรรณ สุวรรณตกใจร้องเสียงหลง
“ช่วยด้วย”
สุวรรณวิ่งหนีไม่คิดชีวิตเข้าไปที่ใต้ถุนบ้าน
ดาวเรืองลุยตามเข้ามากับเพี้ยน กรอดมัวแต่ยืนงงจนแหลมต้องเบิ้ดกะโหลกเรียกสติแล้วพากันตามเข้าไปช่วยสุวรรณ
สุวรรณวิ่งหน้าตั้งเข้ามาก่อนจะสะดุดโดนเล้าไก่ชนของผู้ใหญ่ผันล้มลง ไก่ตกใจร้องลั่น ดาวเรืองถือมีดย่างสามขุมเข้าหาสุวรรณ
สุวรรณยกมือไหว้ดาวเรือง “น้องเรืองอย่า...อย่า!!”
“คราวนี้เอ็งได้สูญพันธุ์แน่ไอ้วรรณ”
ดาวเรืองเงื้อมีดพร้าทำท่าจะฟันสุวรรณ ทันใดนั้นทั้งหมดก็เสียงพ่อผู้ใหญ่ผันกับแม่เวียงดังมาจากด้านหลัง
“หยุดเดี๋ยวนี้นะไอ้เรือง”
“นี่มันเรื่องอะไรกัน”
ดาวเรืองหันไปเห็นผู้ใหญ่ผัน แม่เวียง บุญปลีก และบุญปลอดเดินตรงรี่เข้ามา ผันเห็นสุวรรณนอนกลิ้งอยู่ในเล้าไก่ก็ตกใจจึงร้องเสียงหลงขึ้นมาทันที
“ลูกพ่อ !”
“พ่อจ๋า...ช่วยหนูด้วย”
สุวรรณโผเข้ากอดผัน แต่ผันกลับโผเข้ากอดไก่ สุวรรณจึงวืดไป
“เป็นยังไงบ้างไอ้โต้งลูกพ่อ” ผันหันขวับมาด่าดาวเรืองโดยไม่สนใจสุวรรณ “ทำอย่างนี้มันชักจะเกินไปแล้วนะไอ้เรือง ถ้าไก่ของข้าหัวใจวายขึ้นมาเอ็งจะว่าไง”
ดาวเรืองตอบกวนๆ “ก็เอาไปหมกไฟจิ้มแจ่วกินสิผู้ใหญ่”
“ไก่ของข้าไม่ได้เลี้ยงไว้ให้ใครหมกไฟกินนะโว้ย”
“ถ้างั้นก็ส่งตัวไอ้วรรณมา ไม่งั้นโดนหมกไฟทั้งไก่ทั้งคน” ดาวเรืองบอก
ผันกอดไก่ไว้แน่น ดาวเรืองจะเข้าไปเอาเรื่องสุวรรณ เวียงกับบุญปลีกรีบเข้าไปขวางไว้
“หยุดทำตัวเป็นอันธพาลเดี๋ยวนี้นะไอ้เรือง” บุญปลีกว่า
“แล้วเรื่องอะไรถึงเอามีดมาขู่ลูกข้าแบบนี้” เวียงถาม
สุวรรณรีบมาหลบหลังแม่ “แม่จ๋า”
“ก็ไอ้พี่วรรณน่ะสิป้า มันเอาน้ำมันพรายมาฉีดใส่พี่เรืองก่อน” เพี้ยนบอก
บุญปลีกใส่อารมณ์ “ไม่จริง...หนูวรรณหล่อยังกะเคนธีรเดช ไม่จำเป็นต้องใช้ไสยศาสตร์ช่วยหรอกโว้ย”
บุญปลอดพูดเนิบๆ “โกรธคือโง่...โมโหคือบ้านะพี่บุญปลีก มีอะไรก็ค่อยๆพูดค่อยๆจากันก็ได้”
“จะไปพูดดีกับมันทำไม” ผันพูดกับดาวเรือง “ถ้าเอ็งยังไม่เลิกทำตัวเป็นอันธพาลเกะกะระรานชาวบ้านอีกละก็...ข้าฟ้องแม่เอ็ง”
ดาวเรืองสะดุ้งเฮือกเพราะกลัวผันจะไปฟ้องแม่ เพี้ยนรีบดึงแขนดาวเรืองมากระซิบ
“ถอยก่อนเถอะพี่...ถ้าป้าบานชื่นรู้เราสองคนตายแน่”
ดาวเรืองกลัวแต่ทำเป็นไม่กลัว “ก็ได้...คราวนี้ข้าจะเห็นแก่หน้าเหี่ยวๆของพ่อแม่เอ็ง”
ผัน เวียง บุญปลีก และบุญปลอดพูดพร้อมกัน “ใครเหี่ยว!”
ผัน เวียง บุญปลีก และบุญปลอดทำตาโตฉีกมุมปาก
“ไม่รู้...ใครเหี่ยวก็รับไป” ดาวเรืองพูดกับสุวรรณ “ถ้าคราวหน้าเอ็งยังคิดชั่วทำชั่วกับข้าอย่างนี้อีกล่ะก้อ...เอ็งไม่ตายดีแน่ไอ้วรรณ”
ดาวเรืองปามีดพร้าลงตรงหน้าทุกคนก่อนจะเดินหัวเสียออกไปกับเพี้ยน ทุกคนกระโดดหลบเหยง เวียง บุญปลอด และบุญปลีกต่างพากันหันมาปลอบสุวรรณ ส่วนผันก็หันมาปลอบไก่
เวียง บุญปลอด และบุญปลีกปลอบสุวรรณ “ขวัญเอ็ยขวัญมา...ลูกแม่”
“ขวัญเอ๊ยขวัญมา...ลูกพ่อ” ผันปลอบไก่
แหลมกับกรอดมองดูอย่างเซ็งๆ สุวรรณหน้าจ๋อย
ดาวเรืองกับเพี้ยนเดินมาขึ้นรถมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่หน้าบ้านผู้ใหญ่ ทั้งสองก้มดูแขนขาของตัวเองที่ถลอก
“เจ็บทั้งตัวเจ็บทั้งใจ คอยดูนะ...ข้าต้องเอาคืนให้ได้” ดาวเรืองว่า
“เพราะไอ้น้ำมันพรายบ้านั่นแหล่ะ เพี้ยนเลยซวยไปด้วยเลย ไม่รู้มันไปเอามาจากไหน”
ดาวเรืองนึกขึ้นได้ทันที “ข้ารู้แล้ว”
ดาวเรืองทั้งโกรธทั้งแค้นจนลมออกหู
ลูกศิษย์หลวงตาคง 6 คน จับกลุ่มกันกลุ่มละ 2 คนถือไม้ง่ามที่ตัดจากต้นมะขามวิ่งเข้าไปในกลุ่มชาวบ้าน เมื่อลูกศิษย์วิ่งเอาไปไม้ง่ามไปแตะที่ใคร ชาวบ้านคนนั้นก็จะนั่งตัวสั่นเหมือนผีเข้า ชาวบ้านพากันฮือฮา
ชาวบ้านคนที่หนึ่งยกมือไหว้ท่วมหัว “หลวงตาคงนี่ขลังจริงๆว่ะ”
ชาวบ้านคนที่สองพูด “ไม้เซียงข้องของหลวงตาโคตรศักดิ์สิทธิ์ เอ็งดูสิ..แม้แต่ปอบยังกลัวจนตัวสั่น”
ชาวบ้านคนที่สามตะโกนบอกลูกศิษย์ “พาไปให้หลวงตาจัดการเลย ไม่งั้นไอ้พวกนี้ได้โดนกินตับไตไส้พุงหมดแน่”
ลูกศิษย์ทั้ง 6 คนประคองร่างชาวบ้านที่ถูกปอบสิงทั้งสามวิ่งเข้ามาหาหลวงตาคงที่นั่งบริกรรมคาถาอยู่บนแคร่หน้าเครื่องเซ่นซึ่งประกอบไปด้วยทะลายมะพร้าว หมากพลูและเทียน ข้างแคร่มีกระบอกไม้ไผ่และผ้ายันต์สีขาวที่ลงอักขระเขมรพร้อมด้วยสายสิญจน์วางอยู่
หลวงตาคงเบิกตาโพลงแล้วเอื้อมมือมาจับหัวชาวบ้านทั้ง 3 ปากก็บริกรรมคาถาภาษาเขมร ชาวบ้านนั่งพนมมือไหว้ด้วยความศรัทธาจนน้ำตาจะไหล สักครู่ร่างชาวบ้านที่ถูกปอบสิงทั้ง 3 ก็ส่งเสียงกรีดร้องโหยหวน
หลวงตาคงส่งเสียงดังกำราบแบบทรงอำนาจ “ผีปอบ ผีห่า ผีเร่ร่อน จงหลีกไป อย่ามาสร้างความเดือดร้อนให้คนที่นี่ ไม่อย่างนั้นเจ้ากับข้าจะได้เห็นดีกัน!!”
ชาวบ้านทั้ง 3 เปลี่ยนมาเป็นร้องไห้สะอึกสะอื้นตัวสั่นเทิ้มแล้วเอาสองมือประสานกัน
หลวงตาคงบริกรรมคาถาพร้อมกับเอากระบอกไม้ไผ่ที่ลงอักขระขอมมารองใต้มือทั้งสามทีละคน คนละกระบอก แล้วจึงเอาผ้ายันต์สีขาวปิดปากกระบอกก่อนจะมัดปากกระบอกด้วยสายสิญจน์อย่างชำนาญ
ระหว่างที่หลวงตาคงทำพิธี ชาวบ้านก็พากันฮือฮาสรรเสริญไม่หยุดหย่อน
“ดูซี้ ผีปอบมันกลัวหลวงตาจนร้องไห้ร้องห่ม”
“ดีแล้วมันจะได้ไปผุดไปเกิดสักที วัวควายชาวบ้านจะได้ไม่พากันล้มตายอีก”
“หลวงตาคงนี่ขลังจริงๆว่ะ ไม่มีใครในดอนล้อมแรดที่จะแน่ไปกว่าหลวงตาอีกแล้ว”
สิ้นเสียงชาวบ้านทั้งสาม ดาวเรืองก็เข้ามายันโอ่งน้ำมนต์ที่อยู่ข้างๆแคร่จนล้มคว่ำ น้ำมนต์สาดโครมลงบนตัวหลวงตาคงเต็มๆ จนชาวบ้านอ้าปากหวอ
หลวงตาคงตกใจ “ไอ้เรือง!”
“คุยกันหน่อยสิ..หลวงตา”
อ่านต่อหน้า 2
ดาวเรือง ตอนที่ 1 (ต่อ)
หลวงตาคงกำลังเอาผ้าขนหนูเช็ดหัวและเนื้อตัวที่เปียกปอน ดาวเรืองแจ้นเข้ามาฉะหลวงตาทันที
“หลงตาเอาน้ำมันพรายให้ไอ้วรรณใช่มั้ย”
หลวงตาตกใจแต่ก็ต้องหาทางกลบเกลื่อน “เฮ้ยๆ...น้ำมันพรายอะไรข้าไม่รู้เรื่อง แล้วก็ช่วยมีสัมมาคารวะกับผู้ใหญ่หน่อยไอ้เรือง ข้าหลวงตาคงนะเว้ย...ไม่ใช่หลงตา”
“แล้วที่หลงอวิชชาจนกู่ไม่กลับ จนต้องสึกออกมาตั้งสำนักทรงเจ้าเข้าผีจับผีหลอกชาวบ้านอย่างนี้ ถ้าไม่เรียกว่าหลง...แล้วจะให้เรียกว่าอะไร”
“ชะช้า...นี่เอ็งบังอาจมาสอนข้าเหรอวะไอ้เรือง”
“หลงตาเป็นคนให้น้ำมันพรายไอ้พี่วรรณไปใช่มั้ยล่ะ”
หลวงตาคงกลบเกลื่อนด้วยการโวยวาย “ก็ข้าบอกแล้วไงวะ ว่าข้าไม่ได้ให้”
“ไม่ได้ให้ แต่ขายให้...ใช่มั้ย”
“เดรัจฉานวิชชาแบบนี้ข้าไม่ยุ่งให้ศีลเสื่อมหรอกโว้ย เอ็งสองคนจะไปวิ่งเล่นที่ไหนก็ไป ข้าต้องกลับไปทำพิธีต่อ” หลวงตาคงจะเดินหนี
“ตกลงไม่ยอมรับและไม่รับผิดชอบ”
“ก็ข้าไม่ได้ให้ แล้วข้าจะต้องรับผิดรับชอบอะไรล่ะเว้ย!”
หลวงตาคงเดินหนีออกมา เพี้ยนเดินตาม
ดาวเรืองดึงคอเสื้อเพี้ยนไว้ “ไม่ต้องตามไอ้เพี้ยน แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน จะได้ถอนรากถอนโคนให้สิ้นซากไปเลย”
“ยังไงเหรอพี่เรือง” เพี้ยนถาม
“เชื่อหัวไอ้เรืองเหอะ”
ดาวเรืองตาเป็นประกายเพราะมีแผนอะไรบางอย่าง
จ่าแม่นสอบสวนบานชื่นเรื่องดาวเรืองที่โต๊ะกลางศาลา ไพศาล ผู้กำกับ ฤดี กำนันเทิ้ม พระครูจ้อย และชาวบ้านล้อมวงจ้องบานชื่นอยู่ จ่าแม่นยื่นหน้าไปชิดจนเกือบติดจมูกบานชื่น บานชื่นมองทุกคนแล้วหันกลับมามองจ่าแม่น
“ไอ้เรืองจับปลัดคนใหม่ไป” บานชื่นปฏิเสธเสียงสูง “ไม่จริงมั้งง พ่อจ่าแม่น เก่งมุด”
“เก่งหมุด!! ไอ้เรืองมันเปลี่ยนนามสกุลฉันจนคนทั้งบางเรียกติดปากไปหมดแล้ว” จ่าแม่นหันไปประกาศให้ชาวบ้านรู้ “จะบอกให้นะ... จ่าแม่น เก่งมุด เอ้ย เก่งหมุดคนนี้ เจอเหล้าเถื่อนไอ้เรืองหกอยู่ใกล้ๆรถปลัด ถ้าไม่ใช่ฝีมือมันแล้วจะเป็นฝีมือใคร๊!”
ชาวบ้านฮือฮา
จ่าแม่นพูดเสียงหวาน “น้องบานชื่นจ๊ะ...ถึงแม้ว่าพี่จะยังรักน้องบานชื่นแค่ไหน” จ่าแม่นตะโกนเสียงดัง “แต่ยอมรับเถอะ ว่าไอ้เรืองมันต้มเหล้าเถื่อน!”
“หนอยยย... ทำอย่างกับว่าหมู่บ้านนี้ไอ้เรืองมันต้มเหล้าเป็นอยู่คนเดียว มันก็ต้มกันทั้งนั้นแหละ” บานชื่นชี้นิ้วกราดชาวบ้านแต่นิ้วดันไปหยุดที่พระครูจ้อย “อุ้ย!”
พระครูจ้อยสะดุ้งตามแต่ตอบเสียงเรียบ “อาตมาไม่ได้ต้ม”
บานชื่นยกมือไหว้ “ขอโทษเจ้าค่ะพระครูจ้อย” บานชื่นหันไปขึ้นเสียงกับจ่าแม่นต่อ “แล้วจ่าแม่นจะมากล่าวหาว่าเป็นฝีมือไอ้เรืองได้ไง!”
“ไอ้เรืองแน่นอน! ฉันจำกลิ่นเหล้าที่ไอ้เรืองต้มได้!”
“จ่าจำได้ยังไง” ฤดีถาม
จ่าแม่นตอบทันที “ฉันกินบ่อย”
ทุกคนชะงัก “อ้าว!!”
จ่าแม่นชะงัก “กินเพื่อให้จำได้ จำได้แล้วจะได้ไปจับ”
“เอะอะก็จับแต่ไอ้เรือง เกิดเรื่องอะไรก็โทษไอ้เรืองตลอด” บานชื่นโมโห “นี่หลักฐานก็ไม่ชัดเจนถ้าอยากจับนัก ก็จับแม่ไอ้เรืองมันไปก่อน!”
“พี่จับไม่ลง พี่รักแม่” จ่าแม่นแยกเขี้ยว “แต่แค้นลูก!”
“เบาๆหน่อยจ่าแม่น ตะโกนดังพระตกใจ” พระครูจ้อยปราม
ผู้กำกับพูดกับบานชื่น “ถ้าไอ้เรืองไม่ได้ทำ แล้วไอ้เรืองอยู่ไหนล่ะ”
จ่าแม่นพูดกับบานชื่น “ใช่!!! มันอยู่ไหนน”
“ไอ้เรืองอยู่ไหนไม่สำคัญ สำคัญที่...” ไพศาลพูดเสียงดัง “ปลัดคนใหม่มันไปอยู่ที่ไหน”
จินตวัฒน์ในสภาพเนื้อตัวมอมแมมเปื้อนโคลนเกรอะกรังกำลังนั่งรถอีแต๊กของลุงชาวบ้านเข้ามาที่หน้าวัด
จินตวัฒน์กระโดดลงจากรถแล้วเดินไปไหว้คนขับ “ขอบคุณมากนะครับลุง”
ลุงชาวบ้านยิ้มจนเห็นฟันหลอทั้งปากก่อนจะขับรถอีแต๊กออกไป
จินตวัฒน์โบกมือให้ลุงก่อนจะหันมาเห็นกำจรกับพวกชาวบ้านกำลังคุยกันอยู่
“ตกลงไม่มีใครหาปลัดใหม่เจอเลยรึไง” กำจรถามชาวบ้าน
“จะไปหาเจอได้ไง...หน้าตาก็ไม่เคยเห็น ถึงเห็นก็จะรู้มั้ยว่าเขาเป็นปลัด” ชาวบ้านบอก
“พวกเอ็งนี่โง่จริงๆ ก็หาไอ้เรืองให้เจอสิวะ หรือไม่ก็หาคนที่หน้าตาท่าทางทันสมัยเหมือนเพิ่งมาจากกรุงเทพก็ได้ ไปๆ...ไปช่วยกันตามหาให้เจอ”
ชาวบ้านแยกย้ายกันไปตามหาปลัด จินตวัฒน์เดินเข้ามาทักกำจร
“ขอโทษครับ”
กำจรหันมาเห็นเนื้อตัวที่สกปรกของจินตวัฒน์ก็รีบถอยห่างอย่างถือตัว
“เฮ้ยๆ...ใครว่ะเนี่ย ไปตกปลักควายที่ไหนมา อย่าเข้ามาใกล้นะโว้ย เดี๋ยวเสื้อข้าเปื้อนหมด”
“คือเมื่อกี้ผมได้ยินทุกคนพูดถึงปลัดใหม่กัน”
“ก็เออน่ะสิ จะเรื่องอะไรซะอีกล่ะ ก็ไอ้เรืองน่ะสิ...มันลักพาตัวปลัดใหม่ไป ตอนนี้วุ่นวายกันไปทั้งอำเภอแล้ว” กำจรบอก
“ลักพาตัวปลัดใหม่? ผมว่าน่าจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันมากกว่านะครับ”
“หน้าตาท่าทางอย่างเอ็งอย่ามาทำเป็นอวดรู้หน่อยเลย”
“ผมไม่ได้อวดรู้ เพราะผมนี่แหละครับ...ปลัดใหม่ของที่นี่”
“อ้าว” กำจรทำท่าจะยกมือไหว้ “สวัสดีครับคุณปลัด”
จินตวัฒน์จะรับไหว้ “สวัส...”
กำจรขัดขึ้นมาก่อน “ถุยยย ถ้าอย่างเอ็งปลัดใหม่ ข้าก็นายอำเภอแล้ว”
กำจรรำคาญจึงเดินหนี จินตวัฒน์ตามไปอธิบาย
“ผมเป็นปลัดใหม่ของที่นี่จริงๆ”
“โอ๊ยย ปลัดใหม่เขาเป็นคนกรุงเทพฯ เขาต้องดูดีมีชาติตระกูล ไม่ใช่หน้าเลอะขี้ควายอย่างเอ็ง ไป..พวกเราแยกกันหา พวกนึงหาไอ้เรือง อีกพวกไปตามหาปลัด”
“ก็ผมนี่ไง.....ปะ”
ทันใดนั้นลูกศิษย์หลวงตาคงก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา
“ช่วยด้วยๆ”
“ใครหายอีกล่ะ ปลัดใหม่หายข้ายังหาไม่เจอเลยนะเว้ย” กำจรว่า
“ไม่มีใครหาย ไฟไหม้”
ทุกคนตกใจร้องประสานเสียง “ไฟไหม้!”
“ที่ไหน!!” กำจรถาม
ฟากหลวงตาคงและลูกศิษย์หอบเครื่องประกอบพิธีจับปอบบางส่วนมาแล้วก็ต้องตาเหลือกที่เห็นสำนักของตัวเองมีควันโขมง
ทั้งหมดวิ่งเข้ามาหาพระครูจ้อย นายอำเภอไพศาล ผู้กำกับ ฤดีและบานชื่นที่วิ่งเข้ามาจากอีกทาง
“ควันอะไรวะ” หลวงตาคงถาม
“ไฟไหม้สำนักเอ็งน่ะสิถามได้ เผลอจุดธูปเทียนทิ้งไว้รึเปล่าก็ไม่รู้” พระครูจ้อยว่า
“อย่าเพิ่งเข้าไปครับ อันตราย” ผู้กำกับหันมาสั่งจ่าแม่น “ไปเกณฑ์คนมาช่วยกันดับไฟเร็วจ่า”
จ่าแม่นตะเบ๊ะ “ครับท่าน”
จินตวัฒน์วิ่งมากับกำจร พอเห็นควันโขมงเขาก็ตัดสินใจเลี่ยงไปสำรวจต้นเพลิงด้านหลัง
ดาวเรืองกับเพี้ยนหัวเราะคิกคักขณะกำลังช่วยกันโกยกาบมะพร้าวและใบไม้แห้งสุมไฟให้เกิดควันอยู่ด้านหลัง
“จั๊งซี่มันต้องถอน...จั๊งซี่มันต้องถอน ถอนรากถอนโคนให้หมด”
“พอเถอะเพี้ยน ไปกันเหอะ...ใครมาเห็นเข้าเราจะซวย”
ดาวเรืองกับเพี้ยนหันหลังขวับก็เจอจินตวัฒน์ยืนอยู่ตรงหน้า
“ที่แท้ก็ฝีมือเรานี่เอง”
“หลีกไป...ไม่ใช่เรื่องของนาย” ดาวเรืองว่า
ดาวเรืองดึงแขนเพี้ยนและเดินกระแทกไหล่จินตวัฒน์ออกไป จินตวัฒน์รีบเดินเข้ามาขวางไว้
“ยังไปไหนไม่ได้...เรามีเรื่องต้องคิดบัญชีกัน”
ดาวเรืองพูดกวนๆ “ตกเลข...คิดไม่เป็น มีปัญหาอะไรมั้ย”
“มีสิ...ริจะเป็นอันธพาลตั้งแต่เด็กก็ต้องเจออย่างนี้” จินตวัฒน์ฉุดแขนดาวเรือง
“ปล่อยนะ...บอกให้ปล่อย...ปล่อย!” ดาวเรืองโวยวาย
ดาวเรืองออกแรงสะบัดจนหลุดแล้วต่อยหน้าจินตวัฒน์อย่างแรง พอจะต่อยอีกครั้งจินตวัฒน์ก็จับมือไว้แล้วบิดก่อนจะพลิกตัวดาวเรืองมาล็อกไว้
“อย่าคิดว่าเป็นเด็กแล้วจะทำตัวเกเรยังไงก็ได้นะ...ไปกับฉันเดี๋ยวนี้”
จินตวัฒน์จะลากตัวดาวเรืองไป เพี้ยนกระโดดขึ้นเกาะหลังจินตวัฒน์ทันที
“อย่าทำอะไรพี่หนูนะ ปล่อยพี่หนูเดี๋ยวนี้” เพี้ยนกัดหูจินตวัฒน์
จินตวัฒน์ร้องลั่น “โอ้ย !”
จินตวัฒน์เจ็บหูจึงสะบัดตัวซ้ายขวาคล้ายช้างพังพาให้ทั้งสามล้มกลิ้งเกลือกไปกับพื้นด้วยกัน เพี้ยนลุกขึ้นวิ่งหนีไปได้ก่อน ดาวเรืองจะวิ่งตามแต่ถูกจินตวัฒน์ตะครุบตัวไว้ ดาวเรืองทั้งถีบทั้งยันจินตวัฒน์จนกุญแจรถมอเตอร์ไซค์ที่เอวหล่นลงพื้น ดาวเรืองรีบคลานไปคว้าแต่จินตวัฒน์คว้ากุญแจได้ก่อน
จินตวัฒน์ยิ้มสะใจ “ไม่รอดแน่”
ดาวเรืองหยิบเถ้าถ่านแถวนั้นขึ้นมาป้ายหน้าป้ายตาจินตวัฒน์จนดำปี๊ดปี๋ด้วยความโมโหแล้วก็ออกแรงดึงกุญแจรถจากจินตวัฒน์จนกุญแจกับพวงหัวกะโหลกไขว้ขาดออกจากกัน ดาวเรืองถีบจินตวัฒน์กระเด็น จินตวัฒน์จุกแต่ก็ยังฮึดสู้
“จะหนีไปไหน”
ดาวเรืองทิ้งทวนกระบวนสุดท้ายด้วยการหยิบกาบมะพร้าวยัดปากจินตวัฒน์ จินตวัฒน์ลุกขึ้นดึงกาบมะพร้าวออกจากปากมาถือในมือเป็นจังหวะเดียวกับที่ทุกคนแห่เข้ามาพอดี
“หยุดนะ...ยกมือแล้วค่อยๆหันมา” จ่าแม่นร้องบอก
จินตวัฒน์ยกมือที่กำพวงหัวกะโหลกไขว้กับกาบมะพร้าวขึ้นแล้วหันหน้ามาช้าๆ ทุกคนตกใจเมื่อเห็นหน้าตาที่ดำปี๊ดปี๋ของจินตวัฒน์ “เฮ้ย!!”
“จับมันเลย ไอ้นี่มันเผาสำนักข้า” หลวงตาคงบอก
จินตวัฒน์ตกใจ “ห๊า! คือ เปล่าครับ”
จินตวัฒน์ที่เลอะทั้งโคลนทั้งขี้เถ้าถูกจับโยนลงพื้น
จินตวัฒน์เซ็ง “บ้านเมืองมีขื่อมีแปร มีกฎหมายบังคับใช้ พูดกันดีๆก็ได้นี่ครับ”
“บอกมาเดี๋ยวนี้นะว่าใครเป็นคนส่งเอ็งมา” ผู้กำกับคาดคั้น
“ไอ้เรืองใช่มั้ย มันเพิ่งมีเรื่องกับข้าเมื่อกี้นี่เอง” หลวงตาคงว่า
“อ้าว!! พูดอย่างนี้ก็สวยสิ” บานชื่นไม่พอใจ
หลวงตาคงเสียงเบาลง “แม่บานชื่นน่ะสวยจ้ะ แต่ไอ้เรืองน่ะแสบ”
“จีบใครก็ให้เกรงใจกันบ้าง” จ่าแม่นพุ่งไปที่จินตวัฒน์ “ตกลงแกเป็นใคร มาทำอะไรที่นี่”
“ผมมาทำงาน” จินตวัฒน์ตอบ
“งานอะไร” ผู้กำกับถาม
“กระทรวงส่งผมมาเป็นปลัดใหม่ของที่นี่”
ทุกคนร้องพร้อมกัน “ปลัดใหม่!!”
“ต้องให้ถุยซ้ำ อย่างเอ็งถ้าเป็นปลัดใหม่ ข้าก็นายอำเภอล่ะเว้ย”
“อย่ามาอ้างมั่วๆนะ ฉันรู้จักกับแม่ของปลัดใหม่ และฉันก็มีรูปเขาด้วย” ฤดีบอก
ฤดีหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋า
ประตูห้องน้ำของวัดเปิดออก จินตวัฒน์ซึ่งล้างหน้าแล้วเดินออกมา ฤดียกมือถือที่มีรูปถ่ายจินตวัฒน์ในชุดราชการขึ้นมาเทียบ
ฤดีดีใจ “ตาจิ๋น!! ใช่ตาจิ๋นจริงด้วย นี่น้าฤดีเอง...จำได้ไหมจ๊ะ”
จินตวัฒน์ดีใจ “จำได้ครับ...สวัสดีครับน้าฤดี สวัสดีครับทุกคน”
“ถ้างั้นก็หมายความว่าคุณคือ” ไพศาลเปรย
“ผม จินตวัฒน์ วิโสภา ปลัดคนใหม่ของที่นี่ครับ”
ทุกคนพากันอึ้ง กำจรกลืนน้ำลายเอื๊อก กำนันเทิ้มได้ยินนามสกุลก็หันมามองแล้วก็จำได้ขึ้นใจ
“สวัสดีครับผม นายกำจร กลิ่นกำจาย เป็นผู้ช่วยของคุณปลัดครับ แหม..ผมปลัดคนใหม่นี่สลวยสวยเก๋ ปลัดเก่าสู้ไม่ได้เลย รายนั้นหัวล้านกบาลเหน่งมาก”
“ผม จ่าแม่น เก่งหมุด ยินดีรับใช้คุณปลัดครับผ๊ม!!”
“แหม..ชอบคนหมู่บ้านนี้จริงๆ แล้วทำไมถึงมีสภาพแบบนี้ได้ล่ะโยม...เกิดอะไรขึ้น” พระครูจ้อยถาจินตวัฒน์ชูพวงหัวกะโหลกไขว้ที่ทำมาจากโลหะขึ้นมาตรงหน้าทุกคน “ก็เจ้าของกุญแจรถที่ห้อยอันนี้ล่ะครับ ที่เป็นคนก่อเรื่องทั้งหมด”
บานชื่นตาเหลือก ทุกคนหันไปมองบานชื่น เพราะรู้จักเจ้าของสัญลักษณ์กะโหลกไขว้เป็นอย่างดี
บานชื่นมองทุกคนจ๋อยๆ ก่อนจะรีบจ้ำออกไป
ครู่ต่อมาจินตวัฒน์เช็ดเนื้อเช็ดตัวจนสะอาดเรียบร้อย แล้วเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ทุกคนฟัง
“รู้อย่างนี้ผมจัดชุดไปคุ้มครองคุณซะตั้งแต่แรกก็ดี” ผู้กำกับบอก
“เอาเถอะค่ะ ยังไงก็ถือว่าโชคดีแล้วที่ไม่ถึงขั้นเลือดตกยางออกเหมือนปลัดคนก่อนๆ” ฤดีว่า
จินตวัฒน์ไม่อยากจะเชื่อ “เด็กคนนั้นร้ายกาจขนาดนั้นเลยเหรอครับ”
กำนันเทิ้มที่นั่งห่างๆ อยู่อีกมุมพูดโพล่งขึ้นมา
“มาวันแรกก็แทบเอาตัวไม่รอด แล้วจะอยู่รอดถึงเดือนไหม ดอนล้อมแรด...ไม่ได้มีแต่แรด แต่มีทั้งเสือสิงห์กระทิงอีกเป็นฝูง ท่าทาง ไก่อ่อนอย่างคุณจะเอาอะไรไปสู้กับมัน”
“เอาน่ากำนัน คุณปลัดเพิ่งจะมาถึงวันแรก ควรให้โอกาสเขาทำงานก่อน” ผู้กำกับบอก
“ก่อนมาที่นี่ผมทำใจไว้แล้วครับ ไม่ว่าจะลำบากแค่ไหนผมก็ไม่กลัว”
“ขอให้จริงเหอะ อย่าเก็บข้าวของหนีหัวซุกหัวซุน หรือไหลตามน้ำเหมือนพวกหัวหงอกหัวดำที่อยู่ที่นี่ซะก่อนล่ะ”
กำนันเทิ้มพูดจบก็เดินออกไป
ฤดีปลอบใจจินตวัฒน์ “กำนันเทิ้มก็เป็นอย่างนี้แหละ อย่าไปถือสาแกเลยนะจิ๋น”
จินตวัฒน์ยิ้มให้ฤดีแต่ก็รู้สึกตื้อๆ เพราะการเดินทางมาทำงานวันแรกมีแต่เรื่องประดังประเดเข้ามาจนตั้งตัวไม่ติด
“จิ๋นไปอาบน้ำอาบท่าที่บ้านพักก่อนดีกว่า จะได้สบายตัวนะ” ฤดีแนะนำ
บานชื่นถือไม้เรียวไล่ตีดาวเรืองกับเพี้ยน ดาวเรืองวิ่งหนีรอบเสา ส่วนเพี้ยนมุดหนีลงไปใต้โต๊ะ
ดาวเรืองร้องโวยวาย “โอ๊ย ! อย่าแม่ มาตีฉันทำไม...ฉันเจ็บนะ”
“ยังจะมีหน้ามาถามอีก ก็ที่เอ็งไปอาละวาดบ้านผู้ใหญ่ผัน เผากุฏิหลวงตาคง ทำร้ายปลัดใหม่ เอ็งทำอย่างนี้ทำไมไอ้เรือง”
“ก็ไอ้วรรณกับหลงตาคงมาหาเรื่องฉันก่อน ส่วนเรื่องปลัดใหม่ฉันไม่รู้เรื่องจริง ๆ หน้าตาก็ไม่เคยเห็น ชื่อก็ไม่เคยได้ยิน แล้วฉันจะไปทำร้ายเค้าทำไม”
“ใช่จ้ะป้าบาน...เรื่องนี้หนูเป็นพยานได้” เพี้ยนเสริม
“เอ็งไม่ต้องมาแก้ตัว เอ็งเคยคิดมั้ยไอ้เรือง ถ้าพวกนั้นเขาเอาจริงขึ้นมา จับเอ็งเข้าคุกเข้าตาราง แม่จะอยู่ยังไง พี่พฤกษ์จะเสียใจมั้ย เรามีกันอยู่แค่นี้ พ่อเอ็งก็ไปสวรรค์ตั้งนานแล้ว”
ดาวเรืองได้ยินแม่พูดถึงพ่อกับพี่ชายก็ชะงักแล้วพูดจริงจัง
“ฉันไม่มีวันยอมติดคุกหรอกแม่ ตราบใดที่พี่พฤกษ์ยังเรียนไม่จบ ที่นายังไม่ได้ไถ่ถอน แล้วแม่ยังต้องลำบากอยู่อย่างนี้ ฉันไม่ยอมให้ใครลากเข้าคุกง่ายๆหรอก”
บานชื่นอึ้งแล้วชะงักนิ่งไป ดาวเรืองฉวยโอกาสแย่งไม้เรียวจากมือแม่แล้ววิ่งไปฉุดมือเพี้ยน
“ไปต้มเหล้าก่อนนะแม่” ดาวเรืองลากเพี้ยนวิ่งหนีไป
“ไอ้เรือง!!!!!ไอ้ลูกคนนี้ มันร้ายเหมือนใครวะ”
บานชื่นหันไปเห็นเงาสะท้อนตัวเองในกระจกแล้วก็ตกใจเอง
กำจรขับรถอีเฉื่อยพาจินตวัฒน์เข้ามาที่บ้านพัก
กำจรยื่นกุญแจให้ “นี่ครับกุญแจบ้าน แล้วนี่ก็เสื้อผ้าผม คุณปลัดเอาไปใช้ก่อนนะครับส่วนเรื่องรถคุณปลัดไม่ต้องห่วงนะครับ ผมโทรตามช่างให้แล้ว”
“อืม”
“แต่กว่าช่างจะว่างมาก็คงอาทิตย์หน้าน่ะครับ”
“อืม เออนี่กำจร ฉันถามอะไรหน่อยสิ วันนี้ทั้งวันได้ยินแต่คนพูดถึงแต่ไอ้เรือง...ไอ้เรืองเป็นใครเหรอ”
“ก็ขาใหญ่ที่นี่ล่ะครับ หรือจะเรียกว่าผู้ทรงอิทธิพลก็ได้ครับ ตำรวจกลัวมันหัวหด คุณปลัดเองก็เห็นฤทธิ์เดชมันแล้วนี่ครับ”
“เหรอ...แต่ที่ฉันเจอยังเด็กอยู่นะ”
“อ๋อ...คงเป็นลูกสมุนมัน ชื่อไอ้เพี้ยน”
จินตวัฒน์เข้าใจผิดคิดว่ากำจรหมายถึงดาวเรือง
“ชื่อเพี้ยนเหรอ”
“ครับ...ไอ้นี่ก็ประมาทมันไม่ได้เหมือนกัน เห็นเด็กอย่างนั้นแสบไม่ใช่เล่น ว่าแต่คุณปลัดมีอะไรขาดเหลือก็บอกผมได้...ไม่ต้องเกรงใจนะครับ เพราะยังไงผมก็ต้องเป็นผู้ช่วยคุณปลัดตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่อยู่แล้ว”
“อือ...งั้นฉันอยากโทรศัพท์ ช่วยหาให้หน่อยได้ไหม” จินตวัฒน์ตบไหล่กำจรอย่างแรง
กำจรสำลักน้ำลาย “ได้ครับ”
จินตวัฒน์เดินเข้ามาในห้องนอน เขาเอาเสื้อผ้าของกำจรวางบนเตียงแล้วเก็บปืนใส่ลิ้นชักโต๊ะข้างเตียงก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำ
ส่วนดาวเรืองขี่มอเตอร์ไซค์โดยมีเพี้ยนซ้อนท้ายเข้ามาจอดที่หน้าบ้าน
“เอาของไปเก็บก่อน แล้วรีบไปนอนเอาแรงจะได้รีบตื่นมาต้มเหล้า”
ดาวเรืองขยับมอเตอร์ไซด์ออกมา
“แล้วพี่จะไปไหน” เพี้ยนถาม
“ไปโทรหาพี่พฤกษ์ ไม่ต้องบอกแม่ล่ะ”
กำจรค่อยๆขับรถกระบะคันเก่าที่เดี๋ยวดับเดี๋ยวติด ท่อไอเสียเสียงดังปังๆ พาจินตวัฒน์ที่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเข้ามาในตัวอำเภอ จินตวัฒน์นั่งลุ้นตัวเกร็งมาตลอดทางว่าจะไปถึงจุดหมายปลายทางหรือไม่
ดาวเรืองขับมอเตอร์ไซค์อย่างรวดเร็วมุ่งหน้าเข้าสู่ตัวอำเภอ
กำจรขับรถกระบะคันเก่าพาจินตวัฒน์ไปถึงจุดหมายปลายทางไม่ได้เพราะอยู่ๆรถกระบะก็เกิดดับเฉยๆ
“เอายังไงดีล่ะครับคุณปลัด”
“ตู้โทรศัพท์อยู่ไกลไหม เดี๋ยวฉันเดินไปเอง”
“ไม่ไกลครับ...เดินเลี้ยวขวาตรงนั้นก็ถึงแล้ว”
จินตวัฒน์ลงจากรถแล้วเดินออกไป
กำจรหัวเสียกับรถกระบะ “ให้มันได้อย่างนี้สิวะ”
ดาวเรืองขับรถมอเตอร์ไซค์มาถึงวงเวียนหอนาฬิกา ยังไม่ทันที่จะเลี้ยวรถเข้าตลาด จู่ๆก็มีรถมอเตอร์ไซค์สองคันของชายฉกรรจ์ชุดดำขับปาดหน้าจนดาวเรืองเบรกเกือบไม่ทัน
ดาวเรืองตะโกนด่าตามหลัง “รีบไปหาเมียกันหรือไง”
ดาวเรืองหัวเสียแต่ก็บึ่งรถมอเตอร์ไซค์เข้าไปในตลาด
จินตวัฒน์เดินมองหาตู้โทรศัพท์ เขาเห็นตู้โทรศัพท์ตั้งอยู่ไม่ไกล ขณะที่กำลังเดินไปที่ตู้โทรศัพท์ จู่ๆมอเตอร์ไซค์ของดาวเรืองก็ซิ่งเบียดขึ้นมา
จินตวัฒน์เซเล็กน้อย “จะรีบไปไหนเนี่ย”
รถมอเตอร์ไซค์ดาวเรืองวิ่งเข้ามาจอด ดาวเรืองถอดหมวกกันน็อกแล้วลงจากรถมอเตอร์ไซค์ก่อนจะวิ่งไปที่ตู้โทรศัพท์ทันที
ขณะที่จินตวัฒน์ก้าวขาข้างหนึ่งเข้าไปในตู้โทรศัพท์ จู่ๆ ดาวเรืองก็ก้าวขาข้างหนึ่งเข้าไปเหมือนกัน
ทั้งสองหันมามองหน้ากันแล้วก็จำได้ “เฮ้ย!!”
“เพี้ยน” จินตวัฒน์เรียก
ดาวเรืองงง “ใครเพี้ยน”
“เรานั่นแหละ”
ดาวเรืองถลกแขนเสื้อจะเอาเรื่อง “กล้าดียังไงมาว่าเราเพี้ยน”
“นี่...ฉันเหนื่อยกับเรามาทั้งวันแล้วนะเพี้ยน ขอเวลาส่วนตัวสักแป๊บนะ แล้วจะเอายังไงค่อยว่ากัน...กรุณาหลบสักนิด”
“ไม่”
“ฉันมีธุระสำคัญต้องโทรเข้ากรุงเทพฯ” จินตวัฒน์บอก
“เราก็มีธุระสำคัญต้องโทรเข้ากรุงเทพฯเหมือนกัน”
“แต่ฉันมาก่อน เรามาทีหลังก็ต้องต่อคิว”
“แต่เราคว้าโทรศัพท์ได้ก่อน” ดาวเรืองคว้าโทรศัพท์ขึ้นมา “ต้องได้โทรก่อน” ดาวเรืองลอยหน้าลอยตากวนๆ “มีไรป่าว”
จินตวัฒน์เบื่อเต็มทนที่ต้องมาเจอท่าทางยียวนกวนปราสาทของดาวเรืองจึงปราบพยศด้วยการขยับมายืนบังเครื่องซึ่งรวมถึงแป้นโทรศัพท์ด้วย
“อยากโทรหาใคร ก็ส่งกระแสจิตไปก็แล้วกัน” จินตวัฒน์บอก
ดาวเรืองปี๊ดแตก “ถอยไป”
“ไม่”
“ตู้โทรศัพท์หลังตลาดก็มี...ไปโทรสิ”
“เรามาที่หลัง ก็ไปเองสิ”
ดาวเรืองแยกเขี้ยว “ไม่ไปใช่มั้ย...นี่แน่ะ” ดางเรืองกระทืบเท้าจินตวัฒน์อย่างแรง
“โอ้ย!!!...ยายเพี้ยน”
ดาวเรืองเข้าใจว่าจินตวัฒน์ด่าจึงโมโห เธอเข้ามาทั้งดึงทั้งเหวี่ยงจินตวัฒน์ออกไปนอกตู้แต่แล้วทั้งคู่ก็ชะงักเมื่อได้ยินเสียงปืนดังขึ้น พร้อมกับกระสุนที่แล่นทะลุผ่านตู้โทรศัพท์เข้ามา ทั้งคู่เหล่ดูตามองก็พบว่ารูกระสุนดังกล่าวห่างจากหัวของทั้งคู่ไม่ถึงสองนิ้ว
กำจรที่กำลังก้มๆเงยๆ อยู่ที่กระโปรงรถได้ยิงเสียงปืนดังลั่นก็สะดุ้งตกใจ
“คุณปลัด...!!”
กำจรเห็นชายขี้เมากำลังเดินไปฉี่และจอดรถมอเตอร์ไซค์ทิ้งไว้
เสียงปืนยังคงดังสนั่นหวั่นไหวอย่างต่อเนื่อง กำนันเทิ้มวิ่งจับต้นแขนที่มีเลือดไหลเป็นทางผ่านตู้โทรศัพท์ไป พร้อมกับลูกปืนที่ยิงไล่หลังมาเป็นระยะ
จินตวัฒน์กับดาวเรืองตกใจ “กำนันเทิ้ม!”
ในขณะที่ดาวเรืองกำลังจะวิ่งตามกำนันเทิ้มไป จู่ๆชายฉกรรจ์คนหนึ่งก็ขี่มอเตอร์ไซค์ยิงลูกปืนแหวกอากาศตรงมาทางดาวเรือง โชคดีที่จินตวัฒน์ยังมีสติจึงดึงดาวเรืองหลบทัน
“อย่าเพิ่งออกไป เกือบโดนลูกหลงแล้วเห็นไหม”
“กลัวขี้ขึ้นสมอง..ตุ๊ดป่าวเนี่ย” ดาวเรืองว่า
จินตวัฒน์ฉุน “งั้นไปเลย...ถ้าไม่กลัวตายก็ออกไปเลย”
รถมอเตอร์ไซค์ของชายฉกรรจ์คนนั้นแล่นผ่านหน้าตู้โทรศัพท์ไปอย่างรวดเร็ว ดาวเรืองเห็นรถมอเตอร์ไซค์ของชายฉกรรจ์อีกคนกำลังวิ่งตามมาติดๆ
“ซุกหัวในกระดองให้ดีก็แล้วกัน” ดาวเรืองบอก
ดาวเรืองวิ่งออกไปโดยตั้งใจจะไปช่วยกำนันเทิ้ม แต่เห็นรถเข็นผักอยู่ข้างทางเลยตัดสินใจชะลอมอเตอร์ไซค์อีกคันด้วยการเตะรถเข็นผักให้ไถลไปตัดหน้า ชายฉกรรจ์หักมอเตอร์ไซค์หลบจนเสียหลักล้มกลิ้งไปโดนแผงขายของข้างทางและโดนร่มแม่ค้าล้มฟาดก่อนจะปิดท้ายด้วยการโดนหมาในตลาดไล่กัดจนต้องเผ่นแน่บ
จินตวัฒน์อึ้งเพราะคิดไม่ถึงว่าผู้หญิงตัวเล็กๆ จะกล้าบ้าปิ่นขนาดนี้ กำจรขี่มอเตอร์ไซค์หน้าตื่นเข้ามา
“ผมมาช่วยแล้วครับคุณปลัด ปลอดภัยดีนะครับ”
จินตวัฒน์ไม่ตอบเพราะเอาแต่มองดาวเรืองว่าจะทำอย่างไรต่อไป พอเห็นดาวเรืองขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปทางที่กำนันเทิ้มและชายฉกรรจ์วิ่งตามกันไป
จินตวัฒน์จึงดันกำจรให้ถอยไปนั่งท้ายมอเตอร์ไซค์ก่อนจะขึ้นขี่ตามไปอย่างรวดเร็ว
ด้านกำนันเทิ้มที่บาดเจ็บวิ่งหลบเข้ามาในซอย สักพักชายฉกรรจ์ก็ขี่มอเตอร์ไซค์ตามมายิงใส่ กำนันเทิ้มวิ่งหาที่กำบังและยิงสวนกลับไปจนลูกปืนหมด ดาวเรืองขี่มอเตอร์ไซค์ตามมาจอดแล้วลงจากมอเตอร์ไซค์ก่อนจะรีบวิ่งไปหากำนันเทิ้มทันที
“กำนันเทิ้ม...เป็นยังไงบ้าง”
มอเตอร์ไซค์ของชายฉกรรจ์แล่นผ่านทั้งคู่ไปก่อนจะเลี้ยวประกายไฟแล่บกลับมาทางกำนันเทิ้มและดาวเรือง
ดาวเรืองประคองกำนันเทิ้มลุกขึ้น แต่กำนันเทิ้มเสียเลือดมากจนไม่มีแรง
“เอ็งรีบหนีไปเถอะไอ้เรือง”
“ไม่ทันแล้วกำนัน” ดาวเรืองบอก
ชายฉกรรจ์เร่งเครื่องมอเตอร์ไซค์ขี่มาทางดาวเรืองกับกำนันเทิ้ม ดาวเรืองตัดสินใจลุกขึ้นยืนกางขาอย่างเท่ก่อนจะหยิบหนังสติ๊กที่เสียบอยู่ในกระเป๋าหลังขึ้นมาพร้อมลูกหิน
ดาวเรืองเหนี่ยวลูกหินเล็งไปทางมอเตอร์ไซค์ของชายฉกรรจ์ที่วิ่งมาด้วยความเร็วสูง ในขณะที่ชายฉกรรจ์เหนี่ยวไกปืน จินตวัฒน์กับกำจรขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามา
ดาวเรืองกลัวเหมือนกัน “พ่อจ๋าแม่จ๋าช่วยลูกด้วย!!”
ดาวเรืองหลับตาปี๋ในขณะที่ยิงหนังสติ๊กออกไปเต็มแรง ลูกหินพุ่งไปโดนมือข้างที่ถือปืนของชายฉกรรจ์ในจังหวะสับไกพอดีทำให้ปืนเปลี่ยนทิศยิงไปโดนไม้ค้ำราวตากผ้าที่ระเบียงชั้นสองของตึกแถวจนผ้าที่ตากอยู่บนระเบียงหล่นลงมาคลุมหัวชายฉกรรจ์ทำให้เขากระเด็นตกรถ รถมอเตอร์ไซต์ล้มไถลและพุ่งมาที่ดาวเรือง
กำจรตะโกนลั่น “ระวัง..ไอ้เรือง!!”
จังหวะที่กำจรร้องตะโกนเรียกดาวเรืองคือจังหวะเดียวกับที่จินตวัฒน์วิ่งพุ่งตัวเข้ามารวบดาวเรืองซึ่งยืนหลับตาปี๋ออกไปให้พ้นมอเตอร์ไซด์ ทั้งคู่ล้มไปกองกับพื้น จินตวัฒน์ได้ยินกำจรเรียกชื่อดาวเรืองเต็มสองรูหู
จินตวัฒน์มองดาวเรืองอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง “ไอ้เรือง”
ยังไม่ทันจะพูดอะไรกันต่อ ทั้งคู่ก็ต้องเบิกตาโตเมื่อเห็นมอเตอร์ไซด์หมุนเคว้งแฉลบมาสงบนิ่ง แต่ล้อยังหมุนติ้วอยู่ที่หน้าทั้งคู่โดยห่างแค่กระเบียดนิ้ว
สักพักดาวเรืองก็รู้ตัวว่าอยู่ในอ้อมกอดของจินตวัฒน์ พอได้สติดาวเรืองก็รีบผละออกจากจินตวัฒน์แล้วลุกขึ้นทันที ดาวเรืองทำท่าจะวิ่งออกไป
จินตวัฒน์คว้าแขน “นี่เรา..เอ๊ย..เธอ..เธอคือไอ้เรืองเหรอเนี่ย”
ดาวเรืองหันขวับมามองจินตวัฒน์
“เออ...ปล่อย!”
“ฉันคิดว่าไอ้เรืองเป็นผู้ชาย”
“ผู้หญิงเว้ย...ปล่อย”
ดาวเรืองหันไปมองก็เห็นชายฉกรรจ์ลุกขึ้นจากกองผ้าแล้ววิ่งหนีไป
“มาจับกันไว้ทำไมวะ เห็นมั้ย...ไอ้ผู้ร้ายมันหนีไปแล้ว นายนี่มันเฮงซวยจริงๆ แทนที่จะจับผู้ร้ายได้กลับปล่อยให้มันหนีไป อยากให้กำนันเทิ้มเจ็บตัวฟรีรึไง ไอ้..ไอ้ผู้ชายขี้ไก่ ไอ้เต่าในกระดอง ไอ้อ่อนเอ๊ย เป็นใครมาจากไหนก็กลับไปทางนั้นเลยไป๊”
“เป็นใคร มาจากไหน ไม่รู้...รู้แต่ว่า ตอนนี้คุณจินตวัฒน์กลับไปทางไหนไม่ได้ เพราะเพิ่งย้ายมาเป็นปลัดใหม่ของที่นี่” กำจรบอก
ดาวเรืองอึ้งเพราะนึกไม่ถึง “ปลัด”
จินตวัฒน์และดาวเรืองยืนมองหน้ากัน ต่างคนต่างอึ้งกับสถานภาพใหม่ ที่เพิ่งรับรู้
อ่านต่อหน้า 3
ดาวเรือง ตอนที่ 1 (ต่อ)
ดาวเรืองตั้งสติได้ก่อนก็พูดเสียงแข็งใส่จินตวัฒน์เหมือนเดิม
“จ้องทำไม เป็นปลัดก็ไปดูคนเจ็บสิ หมดหน้าที่พลเมืองดีอย่างเราแล้ว”
ดาวเรืองเดินเชิดออกไป
จินตวัฒน์ยังอึ้งไม่หาย แต่เพียงครู่เดียวเขาก็รีบวิ่งไปหากำนันเทิ้ม โดยมีกำจรวิ่งตามไป
กำนันเทิ้มค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นมานั่ง จินตวัฒน์กับกำจรวิ่งเข้ามาดูอาการ
จินตวัฒน์รีบเข้าไปช่วยพยุง “กำนันเทิ้ม เป็นยังไงบ้างครับ”
กำนันเทิ้มสะบัดตัวออกมา “ไม่ต้องมายุ่ง”
“ผมว่าไปโรงพยาบาลก่อนดีมั้ย หมอทำแผลเสร็จแล้วจะได้ไปแจ้งความเลย”
“ไม่ต้องมายุ่ง”
กำนันเทิ้มเดินออกมา จินตวัฒน์รีบจ้ำไปดักหน้า
“เลือดไหลไม่หยุดอย่างนี้อันตรายนะครับ” จินตวัฒน์พูดกับกำจร “กำจรช่วยขับรถมารับกำนันหน่อย ไป” จินตวัฒน์พูดกับกำนันเทิ้ม “เดี๋ยวผมจะพาไปโรงพยาบาลเอง”
กำนันเทิ้มตวาดเสียงเข้ม “บอกว่าไม่ต้องมายุ่ง !!!”
ตวาดกำนันก็เอามือปิดแผลแล้วเดินกะเผลกออกมา จินตวัฒน์หันมามองกำจรอย่างงงๆ
จินตวัฒน์เดินคุยกับกำจรมาตามทาง
กำจรยิ้มชิวๆ “นี่ล่ะครับกำนันเทิ้มตัวจริงเสียงจริง คุณปลัดอย่าซีเรียสไปเลยครับ แกโดนอย่างนี้หลายครั้งแล้ว”
“โดนไล่ยิงเนี่ยนะ”
“ไล่ยิงนี่หนที่สองครับ” กำจรทำท่านับนิ้ว “นอกนั้นก็โดนไล่กระทืบอีกสี่ ไล่ตีอีกห้า ดียังไม่มีปาระเบิด”
“กำนันแกไปมีเรื่องกับใคร”
“ให้บอกว่าแกไม่มีเรื่องกับใครง่ายกว่าครับ ก็แกเล่นขวานผ่าซาก ชอบพูดจาประชดแดกดัน ใครมันจะไปชอบ”
“แค่ไม่ชอบนี่ถึงกับยิงกันเลยเหรอ”
“นี่แหละครับเอกลักษณ์ของดอนล้อมแรด! คุณปลัดอยู่ไปเดี๋ยวก็ ช.ป.อ”
จินตวัฒน์ทวนคำ “ช.ป.อ?”
“ชินไปเอง” กำจรบอก
จินตวัฒน์อึ้งกับความคิดของกำจร ผู้คนและบรรยากาศของหมู่บ้านนี้
“มัวแต่วิ่งหลบลูกปืน คุณปลัดได้โทรศัพท์หรือยังครับ” กำจรแซว “แน๊ๆๆ โทรหาช้าเดี๋ยวแฟนงอนนะ” พูดจบกำจรก็เดินออกไป
กำจรเดินผิวปากออกไป จินตวัฒน์มองตามแล้วส่ายหน้า
ดาวเรืองยกหูโทรศัพท์แล้วทยอยหยอดเหรียญที่กำอยู่เต็มมือลงไปที่เครื่อง
รถกระบะคันหนึ่งแล่นเข้ามาจอดที่ถนนบริเวณปากคลองตลาด พฤกษ์ก้าวลงมาจากรถอย่างคล่องแคล่ว สักครู่เสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น พฤกษ์ล้วงกระเป๋ากางเกงยีนส์เก่าๆ แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือรุ่นที่ถูกที่สุดขึ้นมาก่อนจะกดรับสายด้วยสีหน้าแช่มชื่น
“ว่าไง ขาใหญ่ดอนล้อมแรด”
“พี่พฤกษ์ เป็นยังไงบ้าง สบายดีใช่มั้ย” ดาวเรืองถาม
“อยู่แล้ว แล้วเรากับแม่ล่ะ เป็นไงบ้าง”
“สบายมาก แต่..มัน..มีเรื่อง..นิดหน่อย”
พฤกษ์เป็นห่วงขึ้นมาทันที “เรื่องอะไร มีใครมารังแกเรางั้นเหรอ”
“โอ๊ย..ใครจะกล้า ลองแหยมสิ แม่ได้จับหักหัวจิ้มน้ำพริก”
“ถ้างั้น เรื่องอะไร”
“คือ..เงินที่ขอยืมพี่พฤกษ์เดือนที่แล้ว ขอเลื่อนไปใช้กลางเดือนนะ คือ..”
“พี่บอกแล้วไงว่าพี่ให้ ไม่ใช่ให้ยืม”
“ไม่เอาอะ เอาเงินค่าเรียนพี่มาใช้ฟรีๆ บาป”
พฤกษ์พูดจริงจัง “แล้วที่เรายอมหยุดเรียนเพื่อให้พี่เรียนก่อน พี่ไม่บาปมากกว่าเหรอ พี่สัญญานะ จบเมื่อไหร่ พี่จะรีบกลับไปช่วยเรืองกับแม่ จะดูแลไม่ให้เรืองกับแม่ต้องลำบากเลย”
ดาวเรืองซึ้งจนน้ำตาคลอแต่แกล้งทำเป็นพูดเล่นใส่พี่ชาย “ซึ้งอะ”
พฤกษ์หัวเราะ “รีบกลับบ้านได้แล้ว เดี๋ยวแม่เป็นห่วง ฝากบอกแม่ด้วยว่า...”
ดาวเรืองโปรยเสียงอ้อน “พี่รักแม่”
พฤกษ์ยิ้ม “ทำเสียงแบบนี้เลยนะ” พฤกษ์พูดต่อ “ไม่ต้องรีบหรอก พี่ยังพอมีใช้ พี่รักแม่กับเรืองนะ”
พฤกษ์กดปิดโทรศัพท์แล้วเดินไปที่แผงขายดอกไม้
พฤกษ์หอบเข่งดอกไม้เข้ามาวางในร้านดอกไม้จันทรา เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น จันทราที่กำลังเช็คดอกไม้ในตู้หันมารับโทรศัพท์ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่พฤกษ์ส่งบิลค่าดอกไม้ให้แล้วขยับไปยืนรอห่างๆอย่างสำรวม
จันทรารับบิลมาแล้วกดรับสาย “สวัสดีค่ะ” จันทราร้องเสียงหลง “ตาจิ๋น..หายไปไหนทั้งวัน รู้มั้ยว่าแม่เป็นห่วงเราขนาดไหน”
จินตวัฒน์รู้ว่าแม่ต้องมาอารมณ์นี้เลยพยายามตั้งรับอย่างมีสติ
“รู้สิครับ ผมถึงต้องรีบออกมาโทรหาคุณแม่นี่ไง คือยังงี้ครับ ตอนที่ผมคุยกับคุณแม่น่ะ” จินตวัฒน์เล่าโดยพยายามโกหกให้น้อยที่สุด “จู่ๆ ก็มีมอเตอร์ไซค์ ๒ คันขับแซงกันมา แล้วก็เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อย ผมรีบลงไปดูว่ามีใครเจ็บรึเปล่า พอกลับมาที่รถอีกที ประตูมันก็ล็อคอัตโนมัติไปแล้ว โทรศัพท์มือถือผมอยู่ในรถ เลยติดต่อคุณแม่ไม่ได้น่ะครับ”
จันทราพูดโทรศัพท์ไป เขียนเช็คไป
“พูดยังกับท่องมา แล้วทำไมไม่ขอยืมโทรศัพท์นายอำเภอโทร.หาแม่ก่อน”
จินตวัฒน์รีบตอบผู้เป็นมารดา
“ว่าจะทำอย่างนั้นเหมือนกันครับ แต่นายอำเภอท่านจัดงานต้อนรับผมที่วัด แล้วคนก็มากันเยอะ กว่าจะหาเวลาว่างได้ก็ค่ำพอดี เลยเกรงใจท่าน”
จันทราส่งเช็คให้พฤกษ์ พฤกษ์รับมาแล้วยกมือไหว้ลาก่อนจะเดินออกไป
“แน่ใจนะว่าเรื่องมีแค่นี้” จันทราถาม
“ครับ คุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ คนที่นี่น่ารักแล้วก็ใจดีกันทั้งนั้น”
จินตวัฒน์มองรูกระสุนที่ทะลุเป็นรูโบ๋บริเวณตู้โทรศัพท์ตรงหน้าแล้วยังเสียวสันหลังไม่หาย
“ถ้าเป็นอย่างนั้น แม่ก็สบายใจ” จันทราบอก
“คุณแม่พักผ่อนมากๆนะครับ แล้วยังไงผมจะโทรหาทุกเช้า กลางวัน เย็น หลังอาหาร”
“ไม่ต้องขนาดนั้นหรอกจ้ะ แม่ขี้เกียจรับโทรศัพท์เพราะตอนนี้ก็มีคนที่โทรหาแม่ทุกครึ่งชั่วโมงอยู่แล้ว ไม่ต้องบอกก็รู้ใช่มั้ยว่าใคร”
“ความจริงผมคุยเรื่องนี้กับเขาหลายหนแล้ว”
“โทรไปเคลียร์กับเขาหน่อยดีมั้ย ไม่เข้าใจกันข้ามวันข้ามคืนแบบนี้ไม่ดีนะจ๊ะ”
“ครับคุณแม่” จินตวัฒน์คิด “ถ้างั้นผมรบกวนอะไรคุณแม่สักอย่างได้มั้ยครับ”
จันทราแปลกใจแต่ก็รับคำ “ว่ามา”
จันทราฟังสิ่งที่ลูกอยากให้ทำแล้วก็อมยิ้ม
จินตวัฒน์ยิ้มแช่มชื่น
“เท่านี้ล่ะครับ น่ารักที่สุด ขอบคุณมากนะครับคุณแม่ บอกยายโจ๋งด้วยนะครับว่าผมคิดถึง แล้วผมจะโทรหาบ่อยๆนะครับ”
จินตวัฒน์วางโทรศัพท์แล้วก้าวข้ามถนนด้วยสีหน้าแช่มชื่น
กำจรขับรถกระบะกระตุกไปกระตุกมาก่อนจะมาจอดสงบที่หน้าบ้านพักปลัด จินตวัฒน์ลงจากรถแล้วเดินไปที่บ้าน ก่อนที่จะก้าวขึ้นบันไดเสียงกำจรก็ดังแหวกอากาศขึ้นมา
“อย่าครับบ!!! คุณปลัด!!”
จินตวัฒน์ชะงักขาค้างกลางอากาศแล้วหันมามองกำจร
“สอง ห้า หก อย่ายกเท้าเหยียบ” กำจรบอก
“อะไรหะ”
“ก็บันไดนี่สิครับ ขั้นที่๒ ๕ ๖ มันหักอยู่ ผมวางพาดเอาไว้เฉยๆ ยังไม่ได้ซ่อม ขืนคุณปลัดเหยียบไปล่ะก็..มีหวังล้มสะโพกครากแน่”
“ตอนเข้าบ้าน ฉันก็เดินขึ้นลงบันไดนี้ ทำไมนายจรไม่ห้าม”
“ก็คุณปลัดเหยียบขั้นที่หนึ่ง สาม สี่ เจ็ด เลยรอดตัวไปไงครับ”
“มาคอยตะโกนบอกอย่างนี้มันยากกว่ามั้ย ทำไมไม่ซ่อม”
“ก็ปลัดที่ย้ายมา..อยู่ไม่ทนสักราย เลยไม่รู้จะซ่อมไปทำไม หลังๆก็เลยบอกให้ท่องกันครับ เดี๋ยวก็ชินไปเอง”
“เวรกรรม”
จินตวัฒน์ถอนใจเฮือกก่อนจะจำใจเดินนับสอง ห้า หก อย่ายกเท้าเหยียบพลางขึ้นบ้านไป
เช้าวันใหม่ จันทราส่งช่อดอกไม้สุดอลังการให้พฤกษ์
“ไปส่งที่บ้านคุณหญิงวิยะดานะจ๊ะ”
พฤกษ์รับคำ “ครับ”
“วันนี้สอบทั้งวันรึเปล่า”
“ผมสอบเสร็จบ่ายสามครับ หลังจากนั้นก็ว่าง จะมีนัดคุยเรื่องคดีพิเศษกับอาจารย์อีกทีก็ตอนค่ำๆครับ”
“ถ้างั้นสอบเสร็จแล้วช่วยแวะมาที่นี่ ไปทำธุระให้ตาจิ๋นหน่อยนะจ๊ะ”
“ครับ”
จันทรายิ้มให้พฤกษ์ พฤกษ์ยิ้มให้จันทราอย่างสุภาพก่อนจะถือช่อดอกไม้เดินออกจากร้านไป
จินตวัฒน์เอาค้อนตอกตะปูที่บันไดขั้นที่ห้าของบ้านพัก กำจรเดินเข้าไปหาจินตวัฒน์
“ลงทุนซ่อมเองเลยเหรอครับคุณปลัด เดินขึ้นๆลงๆสักวันสองวัน เดี๋ยวก็ชิน ไม่น่าต้องเสียเหงื่อเลยครับ”
“ก่อนจะพัฒนาหมู่บ้าน เราควรจะเริ่มพัฒนาบ้านตัวเองซะก่อน บันไดพังแค่นี้ถ้าไม่รู้จักซ่อม แล้วจะไปดูแลช่วยเหลือคนอื่นได้ยังไง”
กำจรยิ้มเจื่อนๆ “จริงครับ” กำจรรีบประจบ “นี่ครับโทรศัพท์ ผมไปตามช่างมาเปิดรถคุณปลัดได้แล้วแต่รถมันสตาร์ทไม่ติด ผมเลยให้ช่างลากไปที่อู่ จะได้เช็คให้ละเอียดไปเลยว่าเสียตรงไหนบ้าง ระหว่างนี้ก็ใช้ไอ้เฉื่อยรถผมไปก่อนก็แล้วกัน”
“ขอบใจมากนะ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมเอาโทรศัพท์ไปชาร์ทแบตฯให้นะครับ” กำจรเผลอท่อง “สอง..ห้า”
จินตวัฒน์พูดแทรก “เดี๋ยวฉันจะเข้าไปที่หมู่บ้าน อยากทำความรู้จักกับชาวบ้านน่ะ นายจรไปด้วยกันนะ”
“แหม..ใช้งานถูกคน เดี๋ยวกำจรจะพาไปรู้จักผู้ทรงอิทธิพลด้านต่างๆเองครับ” กำจรเดินขึ้นบันไดแล้วเผลอท่องอีก “สอง..ห้า..หก อย่ายกเท้า” กำจรนึกได้ “จะท่องทำไม....ก็คุณปลัดซ่อมแล้ว”
พูดจบกำจรก็เหยียบขึ้นบันไดขั้นที่หก จังหวะเดียวกับที่จินตวัฒน์ตะโกนสวนขึ้นมา
“เฮ้ย! อย่า!”
กำจรเหยียบบันไดขั้นที่๖ เต็มสองเท้าแล้วหันมาหาจินตวัฒน์ “อย่าอะไรครับ”
“อย่าเหยียบขั้นที่หก ยังไม่ได้ซ่อม”
ขาดคำจินตวัฒน์ บันไดขั้นที่๖ ก็หักครืนลงมาทำให้กำจรเสียหลักก้นกระแทกถัดบันไดลงมากองที่พื้น
กำจรเอามือคลำตูดร้องโอดโอย “อู๊ยยย..น่าจะเตือนกันเร็วอีกนิดนะครับคุณปลัด”
ขณะที่จินตวัฒน์ยิ้มขำก่อนจะส่งมือให้กำจรจับเพื่อลุกขึ้นมาจากพื้น
ส่วนสุวรรณนั่งหน้านิ่วอยู่ตรงกลางเถียงนา โดยมีสมุนคู่ใจทั้งแหลมและกรอดประกบซ้ายขวา ทั้งคู่ประคบลูกประคบที่รอยช้ำม่วงตามแขนขาให้สุวรรณ
“ช้ำชอกไม่น้อยเลยนะพี่วรรณ นี่พี่ยังจะรักไอ้เรืองมันลงอีกเหรอ” กรอดถาม
“ขนาดยังไม่ได้เป็นเมีย มันยังไล่ทุบพี่ยังกะกระท้อน ถ้าพี่ตกเป็นของมันเมื่อไหร่ มันจะไม่แล่เนื้อเอาเกลือทาเหรอ พี่จะทนไหวเหรอ” แหลมถามด้วย
สุวรรณตอบเสียงเข้ม “ ไม่!ข้าจะไม่ทนอีกต่อไป!”
กรอดทั้งดีใจทั้งแปลกใจ “พี่จะไม่ทนไอ้เรือง”
“ข้าจะไม่ทนฟังเอ็งสองคนใส่ร้ายป้ายสีน้องเรืองของข้าต่างหากล่ะ..นี่แหนะ!”
สุวรรณยันซ้ายถีบขวาจนแหลมกับกรอดหงายหลังไปกระแทกพื้นจนกระดูกสันหลังแทบเดาะ
“ทีหลังอย่ามาปรักปรำใส่ความน้องเรืองของข้าอีก น้องเรืองแค่แหย่ข้าเล่นแค่นั้น”
“แหย่ด้วยพร้าเนี่ยนะพี่วรรณ ไม่ใช่ไม้จิ้มฟันนะพี่ จะได้ทิ่มแล้วไม่ตายอะ” แหลมว่า
สุวรรณนิ่งคิด “มันก็จริงของเอ็ง นี่แสดงว่าน้ำมันพรายของหลวงตาคงใช้ไม่ได้ผล”
“แต่หลวงตารับประกัน ไม่ได้ผลในสองวันยินดีคืนเงิน แถมกุมารทองให้อีกต่างหาก” กรอดบอก
“ใจเย็นสิพี่ นี่เพิ่งเข้าวันที่ ๒ มันอาจหลงเสน่ห์พี่แต่ยังอายอยู่ก็ได้”
แหลมพูดจบก้อนหินขนาดเขื่องก็ลอยมากระแทกโดนหัวสุวรรณอย่างแรง
สุวรรณเอามือกุมหัว “โอ๊ย..ช่วยข้าด้วยย ไอ้เรืองมันเอาปืนมายิงข้า ช่วยด้วย!!”
“ไม่ใช่ลูกกระสุนพี่ ลูกหิน” กรอดบอก
สุวรรณรี่ตาขึ้นมามองแล้วโล่งอก
“มีจดหมายผูกมาด้วย” แหลมแกะเชือกผูกจดหมายออก “มา..ฉันอ่านให้ฟัง”
สุวรรณแย่งมาแล้วขึ้นเสียง “ไม่ต้อง ข้าอ่านเอง!!” สุวรรณอ่าน..แล้วเปลี่ยนเป็นเสียงอ่อนเสียงหวานทันที “จดหมายน้องเรืองจริงๆด้วย หว๊านหวาน”
แหลมกับกรอดมองสุวรรณที่อ่านจดหมายแล้วทำหน้าคิกขุตาลอยอย่างแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง
ดาวเรืองสะพายย่ามก้าวเข้าพูดเสียงห้าวกลางร้านของตัวเอง
“มาทำตาส่อนอะไรแถวนี้หา..ไอ้วรรณ”
สุวรรณนั่งเท้าคางทำตาเชื่อมที่โต๊ะโดยมีแหลมกับกรอดนั่งประกบ
กรอดกระซิบข้างหูสุวรรณ “มันคงยังอายอยู่น่ะพี่”
“ไม่ต้องอายนะจ๊ะน้องเรือง” สุวรรณบอก
เพี้ยนถือสมุดโพยเข้ามายืนข้างดาวเรืองแล้วถาม
“อาย..เรื่องอะไรวะ ไอ้พี่วรรณ”
สุวรรณเอากระดาษจดหมายซึ่งพับเป็นแผ่นเล็กๆ โบกไปมาใส่หน้าดาวเรือง
“ก็จดหมายนี่ไง เขียนมาหวานซ้า”
บานชื่นขยับเข้ามาดึงจดหมายในมือสุวรรณแล้วอ่านหน้าซองจดหมาย
“หวานแค่ไหน ดูหน่อยซิ” บานชื่นอ่าน “ยิ้มก่อนอ่าน...ตาหวานก่อนเปิด ยิ้มเสียเถิดก่อนเปิดจดหมาย” บานชื่นเปรยกับดาวเรือง “โบร๊าณโบราณ”
ดาวเรืองเห็นด้วย “นั่นสิแม่”
บานชื่นเปิดอ่าน “...เธอคือลมหายใจ เธอคือไอ..อุ่นยามเช้า เธอคือเดือนและดาว โปรยแสงพราวยามราตรี เธอคือหัวใจฉัน ที่ยึดมั่นในทุกที่ จะทิวาหรือราตรี ใจดวงนี้มีแต่เธอ...จาก “หนึ่งมิตรชิดใกล้”
ทุกคนอ้วกพร้อมกันยกเว้นสุวรรณ
“โอ๊ย!!อ้วก”
“นี่เอ็งคิดว่าไอ้เรืองมันด้นกลอนรักหาเอ็งงั้นเหรอไอ้วรรณ” บานชื่นขำกลิ้ง
“กลอนรักด้นไม่เป็น เป็นแต่กลอนด่า”ดาวเรืองชี้หน้าด่าสุวรรณเป็นกลอน “...ไอ้วรรณไอ้ชายโฉด ไอ้จอมโหดรังแกหมา รังแกแม้ไก่กา ใจหยาบช้า...ไอ้บ้าวรรณ”
ทุกคนหัวเราะลั่น ไม่เว้นแม้แต่แหลมกับกรอด
“ให้ข้าไปนั่งแคะพยาธิออกจากตูดหมา ยังจะมีประโยชน์กว่าเขียนจดหมายหาเอ็ง” ดาวเรืองบอก “อย่าโผล่มาให้ข้าอารมณ์เสียอีกนะ..ไปเว้ยเพี้ยน เสียเวลาทำมาหากิน”
ดาวเรืองเดินกอดคอเพี้ยนออกไป ในขณะที่บานชื่นยังขำไม่หาย
บานชื่นเอามือแตะไหล่สุวรรณ “ขอบใจนะไอ้วรรณ แหม..แวะมาทำให้ขำแต่เช้า”
บานชื่นเดินหัวเราะร่วนกลับเข้าไปหลังร้าน
“เนี่ย..ถ้าพี่ให้ฉันอ่านตั้งแต่แรกก็คงไม่หน้าแตกแบบนี้ เขียนซะเลี่ยนขนาดนั้น ยังงั๊ยก็ไม่ใช่ไอ้เรือง” กรอดบอก
“แล้วจะทำยังไงดีวะ เมื่อวานมันยังโกรธข้าไม่หาย วันนี้ยังมาทำให้มันโกรธเพิ่มขึ้นอีก”
“ก็ต้องง้อสิพี่ ซื้อของง้อดีมั้ย ผู้หญิงชอบของฝากของกำนัล”
สุวรรณยิ้มร่า “ดี..แต่” สุวรรณห่อเหี่ยวลง “ข้าไม่มีเงิน”
“ไม่มีก็ขโมยสิพี่ จะยากอะไร” แหลมแนะ
สุวรรณชอบใจ “เออ..เอ็งนี่หัวแหลมสมชื่อ หมดปัญหาไปเรื่องและ เหลืออีกเรื่อง”
“เรื่องอะไรอีกล่ะพี่”
“ถ้าน้องเรืองไม่ได้เขียนจดหมายหาข้า แล้วเอ็งรู้มั้ย...ใครเขียน”
แหลมกับกรอดส่ายหน้า
เสมอใจ สาวน้อยนัยน์ตาโศกนั่งพูดด้วยสีหน้าเศร้าที่ข้างกำแพงวัด
“แม่อย่าโกรธเหมอนะจ๊ะ..ที่เหมอไปสารภาพรักผู้ชายก่อน ถ้าใครรู้เขาคงหาว่าเหมอแรด แต่เหมอทนเก็บความรู้สึกไว้ในใจไม่ไหวแล้วจริงๆจ้ะแม่...เอาเป็นว่าเหมอจะแรดแบบเงียบๆ ไม่ให้ใครรู้ จะได้ไม่มีใครว่าแม่ได้นะจ๊ะ”
เสมอใจนั่งปรับทุกข์อยู่กับโกศเก็บกระดูกแม่ที่ฝังอยู่ในกำแพงวัด มีรูปและตัวหนังสือเขียนว่า
“สมร สุขสำราญ ชาตะ ๒๕๑๑ มรณะ ๒๕๓๖”
เสมอใจวางดอกไม้ในมือที่หน้ารูปของแม่ก่อนจะกราบแล้วลุกขึ้นยืน หางตาของหญิงสาวเห็นเงาตะคุ่มๆของชายสามคนในชุดดำสวมหมวกไอ้โม่งวิ่งผ่านหลังแนวโกศไป
เสมอใจเหลือบมอง “ใคร...”
เสมอใจรีบลุกขึ้นยืนแล้วเดินตามชายสามคนนั้นไปทันที
พระครูจ้อยพรมน้ำมนต์ให้จินตวัฒน์ที่มากราบนมัสการที่วัด
“ขอให้โยมอยู่รอดปลอดภัย มีขันติ อดทนต่ออุปสรรคต่างๆ ขอให้โยมเป็นที่พึ่งของชาวบ้านและอยู่ที่นี่นานเกินสามวันเจ็ดวันนะโยมนะ”
“ตกลงให้พร หรือว่าบ่นอะไรครับพระครู” กำจรถาม
“ให้กำลังใจเว้ย” พระครูจ้อยพูดกับจินตวัฒน์ “ไม่มีใครอยู่ที่นี่ทนหรอก มีแต่พวกทนอยู่ทั้งนั้น
ขอบใจนะที่นึกถึงวัด นึกถึงพระถึงเจ้าก่อนลงมือทำงาน”
“ในเมื่อวัดเป็นศูนย์กลางของชุมชน ผมก็ต้องมาเริ่มทำความรู้จักกับผู้คนที่นี่” จินตวัฒน์บอก
“ใช่ วัดเป็นแหล่งรวมของผู้คน เมื่อก่อนคนมาวัดก็เพื่อทำบุญ บวชเรียนเขียนอ่าน ฟังเทศน์ฟังธรรม แต่เดี๋ยวนี้ยุคสมัยมันเปลี่ยนไป โยมมาที่นี่ก็จะได้เจอผู้คนเหมือนเดิมแต่จิตใจไม่เหมือนเดิม”
“ยังไงครับท่าน”
“เดี๋ยวนี้..คนมาวัดไม่ได้มาเพราะต้องการชำระล้างจิตใจ แต่มาหาที่พึ่งทางใจซึ่งไม่ใช่พระธรรมคำสั่งสอน ไม่ใช่พระพุทธรูปที่เป็นสัญลักษณ์แทนพระพุทธองค์ แต่เป็นอย่างอื่น”
“อะไรหรือครับพระคุณเจ้า”
พระครูจ้อยมองไปทางสำนักหลวงตาคง จินตวัฒน์กับกำจรมองตาม
หลวงตาคงประกาศออกไมโครโฟนปาวๆ โดยมีพวกชาวบ้านที่ศรัทธาถือดอกไม้ธูปเทียนพนมมือไหว้อยู่ตรงหน้า
“บูชาเจ้าแม่แบบบุฟเฟ่ต์ครั้งละ ๓๙ บาท จะเลขเต็งเลขโต๊ด...หวยบนดินใต้ดิน จะถูกี่รอบจะขอกี่เบอร์ก็แค่ ๓๙ บาท”
พระครูจ้อยเดินนำจินตวัฒน์กับกำจรเข้ามา
พระครูจ้อยพูดอย่างปลงๆ “ที่พึ่งทางใจของชาวบ้าน”
ชาวบ้านรีบเอาเงินใส่พานที่หลวงตาคงเตรียมไว้ก่อนจะกรูกันเข้าไปถูต้นไม้ใหญ่รอบๆสำนักอย่างตั้งใจ ดาวเรืองกับเพี้ยนยืนตะโกนโหวกเหวกเชิญชวนชาวบ้านให้มาซื้อหวยอยู่อีกมุม
“เอ้า...เร่เข้ามาเร่เข้ามา ใครจะซื้อเลขเด็ดเลขดี..เร่เข้ามา” เพี้ยนตะโกน
ดาวเรืองตะโกนต่อ “มาก่อนซื้อก่อน ใครอยากเป็นเศรษฐีบ่ายนี้ก็เร่เข้ามา”
หลวงตาคงยังโกรธทั้งคู่ที่บุกมาเผาสำนักเมื่อวานจึงตะโกนไล่ทั้งคู่ออกไมโครโฟน
“อ้าว....เฮ้ย! ไอ้เรืองไอ้เพี้ยน...แอบมาเผาสำนักข้าเมื่อวาน แล้วยังมีหน้ามาหากินที่นี่อีกหรือวะ”
“ทำไมจะมาไม่ได้...นี่มันที่สาธารณะ” ดาวเรืองว่า
เพี้ยนรีบเสริม “ถูก”
“แต่ที่นี่มันตำหนักเจ้าแม่ถึดทือของข้า...ข้าไม่อนุญาตโว้ย”
“ฉันขออนุญาตเจ้าแม่แล้ว...เจ้าแม่บอกว่าขายได้” ดาวเรืองบอก
“แล้วแม่เอ็งล่ะ ขอรึยัง ถ้าแม่เอ็งรู้ว่าลูกมาขายหวยในวัด...เอ็งหลังลายแน่”
ดาวเรืองนึกถึงหน้าแม่แล้วก็สยองแต่ก็ทำเป็นกลบเกลื่อนว่าไม่กลัว
“ก็ได้...วันนี้ฉันจะเห็นแก่เจ้าแม่ถึดทือซักวัน” ดาวเรืองพูดกับชาวบ้าน “แต่จำไว้เลยนะ...ไม่ว่าจะงวดนี้งวดหน้าหรืองวดไหน ใครได้เลขจากสำนักนี้มาแทง...ฉันไม่รับ!”
ดาวเรืองกับเพี้ยนเดินออกไปอย่างไม่พอใจ ชาวบ้านต่างมองกันเลิ่กลั่กและเริ่มส่งเสียงเซ็งแซ่ “อ้าว...ถ้าแทงหวยไม่ได้ แล้วเราจะเสียเงินขอหวยไปทำไมวะ” ชาวบ้านพูดกับหลวงตาคง “ถ้างั้น ฉันขอเงินคืนนะหลวงตา”
ชาวบ้านขานรับกันเป็นทอดๆ “ฉันขอคืนด้วย..ฉันด้วย..ฉันด้วย..ฉันก็ด้วย”
ชาวบ้านพากันเข้าไปหยิบเงินที่ใส่พานไปแล้ว แต่หลวงตาคงคว้าพานไว้ได้ก่อน
หลวงตาคงโวยวาย “เฮ้ย...ทำอย่างนี้ได้ไง ข้าถวายเงินเจ้าแม่ไปแล้วนะโว้ย”
“หลวงตาก็ไม่น่าไปหาเรื่องไอ้เรืองมันนี่นา เอาไว้งวดหน้า ฉันจะมาอุดหนุนเจ้าแม่ใหม่นะ งวดนี้ขอคืนก่อน”
“ไม่ได้เว้ย”
“ต้องได้ พวกเรายังไม่ทันได้เห็นเลขเด็ดเจ้าแม่เลย ถือว่าเจ้าแม่ยังไม่รู้ว่าพวกเราถวายเงินท่านแล้ว เพราะฉะนั้น..เอาคืนมา”
หลวงตาคงยื้อพานกับชาวบ้าน แต่แล้วก็สู้แรงชาวบ้านที่เหลือซึ่งช่วยกันรวบตัวหลวงตาไว้ไม่ไหว
ทำให้ในที่สุดหลวงตาคงก็ล้มก้นจ้ำเบ้า ในขณะที่ชาวบ้านแย่งพานใส่เงินไปได้
“ไปเว้ย..พวกเรา เดี๋ยวไม่ทันไอ้เรืองมัน”
ชาวบ้านพากันวิ่งตามดาวเรืองกับเพี้ยนไป
“ทำผิดกฎหมายกันเห็นๆ อย่างนี้ปล่อยไว้ไม่ได้” จินตวัฒน์ที่ยืนดูอยู่บอก
จินตวัฒน์เดินตัวปลิวตามชาวบ้านไป โดยมีพระครูจ้อยกับกำจรเดินตาม
หลวงตาคงเจ็บใจ “หนอยยยย...ไอ้เรือง !!”
หลวงตาคงลุกขึ้นยืนอย่างลืมตัว แต่แล้วก็ล้มลงไปอีกเพราะไขข้อที่เสื่อมไปตามสภาพ
ดาวเรืองกับเพี้ยนเดินหันไปมองทางด้านหลังแบบรีๆรอๆ เพราะรู้ว่ายังไงพวกชาวบ้านก็ต้องตามมา สักครู่ดาวเรืองรีบหันกลับมาเดินทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เมื่อได้ยินเสียงชาวบ้านตะโกนเรียก
“เดี๋ยวก่อนเว้ย..ไอ้เรือง..รอข้าด้วย”
ดาวเรืองทำเป็นหันไปเหล่มองชาวบ้านที่วิ่งกรูตามกันเข้ามา
“อะไรอีกล่ะ” ดาวเรืองทำเป็นถาม
“แทงหวยหน่อยสิ รับรองไม่ใช่เลขหลวงตาคง”
ดาวเรืองกระหยิ่ม “เอ้า..ถ้าไม่ใช่เลขเด็ดหลงตาก็รับเว้ย ใครแทงเท่าไหร่..ว่ามา”
ชาวบ้านแย่งกันแทงหวยบนและล่าง ทั้ง ๒ ตัว ๓ ตัวกันเซ็งแซ่
จินตวัฒน์ กำจรและพระครูจ้อยจ้ำเข้ามา
จินตวัฒน์พูดกับดาวเรืองอย่างทนไม่ได้ “นี่..ไม่มีอะไรทำแล้วเหรอ...ถึงต้องมาหากินแบบนี้”
ดาวเรืองรีบยัดเงินใส่ย่ามแล้วพูดกวนๆ
“แล้วมันเรื่องอะไรของคุณปลัดไม่ทราบ”
อ่านต่อหน้า 4
ดาวเรือง ตอนที่ 1 (ต่อ)
ดาวเรืองปิดสมุดโพยแล้วคว้าแขนเพี้ยนจะเดินหนีไป แต่จินตวัฒน์ตามมาขวางไว้
“ทำไมจะไม่ใช่เรื่องของฉัน ในเมื่อฉันเป็นปลัดของที่นี่ หน้าที่ของฉันก็คือดูแลทุกข์สุขของทุกคน ถ้าเราทำผิดกฎหมาย...ฉันก็ต้องจัดการ”
“ไหน....ใครทำผิดกฎหมาย ฉันไม่ได้ทำอะไรซักหน่อย”
“แล้วที่ถืออยู่ในมือเรียกว่าอะไร”
ดาวเรืองแก้ตัวน้ำขุ่นๆ “สมุดทด...ฉันเอาไว้สอนไอ้เพี้ยนคูณเลข”
เพี้ยนส่งเสียงรับแข็งขัน “ใช่...หนูเอาไว้คูณเลข สองหนึ่งสอง สองสองสี่ สองสามหก”
หลวงตาคงเดินเขยกเข้ามาโวยวายผ่านไมค์
“อย่าไปเชื่อมัน...นั่นโพยหวย จับมันเลยคุณปลัด....มันขายหวยเถื่อน”
“ไม่ได้ขาย...ถ้าจะจับก็จับหลงตาคงโน่น ข้อหาหลอกลวงประชาชน...ใบ้หวยมอมเมาชาวบ้าน” ดาวเรืองว่า
“แค่ใบ้ไม่ผิด แต่เอ็งขาย...เอ็งต้องติดคุก จับมันเลยคุณปลัด...มันนี่แหละขาใหญ่ ผูกขาดขายหวยคนเดียวทั้งบ้านดอน”
“ถ้าเราบริสุทธิ์ใจ...ก็ส่งสมุดนั่นมาให้ฉัน” จินตวัฒน์บอก
“ไม่ให้” ดาวเรืองพูดกวน “มีปัญญาก็มาเอาเองสิ”
ดาวเรืองคว้าแขนเพี้ยนเดินหนีไปอย่างไม่เกรงกลัว
“เฮ้ย!!” หลวงตาคงพูดออกไมโครโฟน “ช่วยกันจับมัน...อย่าให้มันหนีไปได้ ถ้ามันทำลายหลักฐาน...เงินที่พวกเอ็งแทงกันเมื่อกี้ก็สูญนะโว้ย”
ดาวเรืองส่งสัญญาณให้เพี้ยน ก่อนทั้งคู่จะวิ่งหนีแยกกันไปคนละทาง พวกชาวบ้านกลัวจะสูญเงินจึงพากันวิ่งไล่จับดาวเรือง แต่ดาวเรืองลื่นยิ่งกว่าปลาไหลจึงไม่มีใครจับได้
ดาวเรืองโยนโพยหวยให้เพี้ยน กำจรจะเข้าไปจับเพี้ยน แต่เพี้ยนมุดหว่างขากำจรไปแล้วโยนโพยคืนให้ดาวเรือง
จินตวัฒน์จะเข้าไปจับดาวเรือง ดาวเรืองวิ่งหนีวนหน้าวนหลังพระครูจ้อยทำให้จินตวัฒน์ทำอะไรไม่ถนัด
“เฮ้ยๆ...ไปวิ่งไกลๆข้า..ไอ้เรือง เดี๋ยวได้ศีลขาด อาบัติกันพอดี” พระครูจ้อยว่า
เพี้ยนวิ่งหนีกำจร ระหว่างที่วิ่งก็หันไปมองกำจรจนตัวเองวิ่งไปชนเสาหงายหลังไปชนกำจรที่วิ่งตามมา กำจรหงายหลังไปชนชาวบ้าน๑ ชาวบ้าน๑ หงายหลังไปชนชาวบ้าน๒ ชาวบ้าน๒ หงายหลังไปชนชาวบ้านอื่นล้มระเนระนาดเป็นโดมิโน่
จินตวัฒน์วิ่งจี้ตามดาวเรืองจนเกือบจะรวบตัวดาวเรืองได้อยู่แล้ว แต่ดาวเรืองก้มหลบวืด แล้วหยิบกระถางต้นไม้ที่ตั้งอยู่แถวนั้นเขวี้ยงใส่จินตวัฒน์ จินตวัฒน์รับกระถางต้นไม้ไว้ได้แล้วยักคิ้วใส่ดาวเรือง
หลวงตาคงประกาศผ่านไมโครโฟนอย่างสะใจ “คราวนี้เอ็งไม่รอดแน่ไอ้...”
หลวงตาคงจะพูดคำว่าเรือง แต่จู่ๆไมค์ก็เกิดเสียงหวีดแหลมปรี๊ด ก่อนจะขาดหายไปกลางอากาศ
พร้อมกับเสียงเสมอใจที่แหกปากร้องช่วยด้วย ขโมยดังขึ้นมาแทนที่
“ช่วยด้วยๆ ขโมย”
จินตวัฒน์ชะงักแล้วหันไปมอง “ขโมย”
จินตวัฒน์ลืมตัวอุ้มกระถางต้นไม้วิ่งออกไปทางที่มาของเสียงพร้อมกับทุกคน ดาวเรืองกอดโพยไว้แน่นก่อนจะกลับไปฉุดกระชากลากถูเพี้ยนวิ่งหนีออกมาอีกทาง
เสมอใจแหกปากลั่นตรงหน้าขโมย ๓ คน ซึ่ง ๒ ใน ๓ กำลังหามเครื่องปั่นไฟออกมา ทั้งหมดสวมหมวกไอ้โม่งและหันมามองหน้ากันเลิ่กลั่กราวกับขโมยฝึกหัด
“ช่วยด้วยจ้า..ขโมย..ช่วยด้วย”
“ยืนบื่ออยู่ทำไมวะ รีบแบกออกไปเร็วเข้า เดี๋ยวข้าจัดการนังนี่เอง” สุวรรณซึ่งเป็นหนึ่งในหัวขโมยสั่ง
สุวรรณรีบวิ่งมาปิดปากเสมอใจ ในขณะที่แหลมกับกรอดรีบแบกเครื่องปั่นไฟออกไปอย่างลนลาน
เสมอใจกลัวจัดจนตาเหลือก เธอเบือนหน้าและดิ้นหนีเพราะกลัวถูกฆ่าปาดคอ
“หยุดแหกปากหยุดดิ้นได้แล้วนังเหมอ นี่ข้าเอง” สุวรรณบอก
เสมอใจเอะใจเพราะคุ้นกับเสียงหัวขโมย เธอหันมาจ้องหน้าสุวรรณในขณะที่สุวรรณถอดหมวกไอ้โม่งออกทำให้หน้าของทั้งคู่ป๊ะกันพอดี
เสมอใจเอามือแตะแก้มตัวเองที่บังเอิญไปโดนหน้าสุวรรณ “ไอ้วรรณ”
สุวรรณร้อนรนจึงไม่สนใจว่าหน้าตัวเองไปโดนแก้มเสมอใจ
“เออ..ข้าเอง เอ็งอย่าปากโป้งไปบอกใครนะว่าข้ามาทำอะไรที่นี่ ไม่งั้นชาตินี้เอ็งกับข้าไม่ต้องมาพูด ไม่ต้องมาเห็นหน้ากันอีก เข้าใจมั้ย”
เสียงคนวิ่งเฮโลกันมาพร้อมเสียง “ไหนวะ ขโมย” สุวรรณรีบวิ่งหนีไป
พระครูจ้อยกับหลวงตาคงวิ่งนำจินตวัฒน์ซึ่งยังอุ้มกระถางใบเดิมมาด้วย กำจรและชาวบ้านวิ่งตามมา
“นั่นไง.. เครื่องปั่นไฟ โดนขโมยไปจริงๆด้วย” หลวงตาคงชี้ไป
“เอ็งใช่มั้ยที่ร้องให้คนช่วย เอ็งเห็นไอ้พวกหัวขโมยนั่นใช่มั้ย มันเป็นใคร” พระครูจ้อยถาม
เสมอใจเลิ่กลั่ก “เหมอ..คือเหมอไม่เห็นว่ามันเป็นใครเจ้าค่ะ มัน..คลุมหมวกไอ้โม่งกันมาทั้ง ๓ คนเลยเจ้าค่ะ”
หลวงตาคงทวนคำ “๓ คน”
เสมอใจตกใจที่เผลอพูดออกไป “ไม่..ไม่ใช่จ้ะหลวงตา ๒ คน เอ..หรือจะคนเดียว เหมอ..เหมอตกใจน่ะจ้ะ เลยนับผิดนับถูก”
“คนนะ..ไม่ใช่มด จะได้นับไม่ถูก” กำจรว่า
หลวงตาคงคิดใคร่ครวญ “ข้าว่ามันมากัน ๓” หลวงตาคงเหล่มองพระครูจ้อย “เหมือนพระครูเองก็
จะรู้แล้วใช่มั้ยว่าไอ้ ๓ คนนั่นมันเป็นใคร”
พระครูจ้อยถอนหายใจเฮือกเพราะทุกคนหันมามอง
จินตวัฒน์ก้มมองกระถางแล้วนึกขึ้นได้จึงหันไปไล่มองชาวบ้านทุกคน “เรืองล่ะ”
“มันคงอยู่ให้ปลัดจับล่ะครับ ไอ้นี่มันไวยิ่งกว่าปรอท ป่านนี้เอาโพยไปส่งเจ้ามือถึงไหนต่อไหนแล้ว” กำจรบอก
จินตวัฒน์เสียดายที่หันไปสนใจขโมยจนปล่อยให้ดาวเรืองหลุดรอดไปได้
ดาวเรืองเดินหัวเราะร่วนมากับเพี้ยนตามทางเดินฟุตบาทในเมือง
“พี่เรืองนี่สุดยอดจริงๆ ทำเอาเจ้าอาวาส ฆราวาสกระเจิงกันทั้งวัด นึกว่าจะเอาโพยมาส่งเจ๊จุกไม่ทันซะแล้ว ที่ไหนได้..ทันถมถืด” เพี้ยนชม
ดาวเรืองยักคิ้ว ยักไหล่ “เชื่อหัวไอ้เรืองเห๊อะ”
“แต่คิดดูอีกที ถ้าไม่มีไอ้ขโมยพวกนั้นมาช่วยไว้ทันเวลา เราจะรอดรึเปล่า ดูท่าไอ้ปลัดนั่นมันจะไม่ใช่ไก่กาเหมือนคนก่อนๆนะ”
“แรกๆก็ไฟแรงยังงี้ล่ะเว้ย รออีกวันสองวันสิ ถ้ามันรู้ว่าที่นี่มีปัญหาตั้งแต่สากเบือยันเรือรบ ขี้คร้านมันจะเปิดตูดกลับบ้านแทบไม่ทัน เชื่อข้าสิ”
ดาวเรืองพูดจบก็หันมาเห็นโทรศัพท์มือถือใส่หน้ากากพลาสติกเป็นรูปมินนี่เม้าส์สีชมพูแปร๋นอยู่ตรงหน้า เธอชายตาขึ้นมอง พอเห็นว่าใครเป็นคนยื่นให้ก็ถอนใจเฮือก
“เมื่อไหร่เอ็งจะไปผุดไปเกิดสักทีหา..ไอ้วรรณ” ดาวเรืองว่า
สุวรรณยื่นมือถือให้ดาวเรือง โดยมีแหลมกับกรอดยืนประกบซ้ายขวาเช่นเคย
“ให้พรข้าทุกครั้งที่เจอเลยนะ ข้าไม่ได้มากวนเอ็ง ข้าเอามือถือมาให้ เป็นการไถ่โทษที่ข้าทำให้เอ็งโกรธเมื่อวาน”
“ข้าไม่ยกโทษ ไม่สนใจ ไม่ใส่ใจ แล้วก็ไม่อยากได้อะไรที่เป็นของเอ็งด้วย”
“แต่นี่เป็นมือถือรุ่นคู่แล้วไม่แคล้วกัน ใหม่ล่าสุดรับวาเลนไทน์ปีนี้เลยนะ ของเอ็งลายมินนี่เม้าส์สีชมพู ของข้าแมกกี้เม้าส์สีฟ้า แถมเบอร์ก็ติดกัน แล้วซิมก็เป็นแพ็กเก็ด” สุวรรณชูให้อ่านแพ็กเกจ “ข้าวใหม่ปลามัน โทรหากันชั่วโมงละบาทเอง”
“ต่อให้โทรฟรีทั้งปี ข้าก็ไม่คิดจะโทรหาคนอย่างเอ็ง ไม่รู้ไปขโมยใครเขามา”
กรอดเถียงเสียงแข็ง “พี่วรรณไม่ได้ขโมยมือถือ แต่ขะ..”
ยังไม่ทันที่กรอดจะหลุดพูดอะไร แหลมก็เขกหัวกรอดให้หยุดพูดซะก่อน
“พี่วรรณไม่ได้ขโมยเว้ย พี่วรรณถูกหวย” แหลมบอก
“ไม่ต้องสาระแนเลยไอ้แหลม หวยยังไม่ออก เอ็งสารภาพมาซะดีๆไอ้วรรณ เอ็งไปขโมยใครเขามา” ดาวเรืองคาดคั้น
“ข้าไม่ได้ขโมย เอ็งไม่ต้องรู้หรอกว่าข้าหามาได้ยังไง ข้าซื้อมาแล้ว เอ็งรับไปก็แล้วกัน”
สุวรรณยัดโทรศัพท์ใส่มือดาวเรืองก่อนจะเดินออกไปกับแหลมกับกรอด โดยมีเสมอใจแอบมองจากทางด้านหลัง
“ไอ้วรรณ เดี๋ยว..เอาโทรศัพท์เอ็งคืนไป ไอ้วรรณ!! ปั่ดโธ่เว้ย!”
ดาวเรืองหันรีหันขวางก่อนจะหันไปเห็นเข่งขยะจึงโยนโทรศัพท์ลงเข่งอย่างไม่ไยดี
“เอางั้นเลยเหรอพี่เรือง ของใหม่แกะกล่องเลยนะนั่นน่ะ เสียดาย” เพี้ยนบอก
“เสียดายทำไมวะ มันไม่ใช่ของเรา เอ็งอย่าเก็บมานะไอ้เพี้ยน ไม่งั้นโดนข้อหารับของโจร ข้าไม่รู้ด้วยนะ”
ดาวเรืองเดินไป เพี้ยนก้มลงมองโทรศัพท์ในเข่งขยะอย่างเสียดาย แต่ก็ตัดใจเดินตามลูกพี่ไป เสมอใจขยับเข้ามาหยิบมือถือในเข่งขึ้นมา
ดาวเรืองเดินกลับเข้าบ้านมาพร้อมกับเพี้ยน บานชื่นเดินเข้ามาดักหน้า
“ไปก่อเรื่องอะไรมา” บานชื่นถาม
“อ้าว..แม่ ฉันอุตส่าห์ออกไปทำมาหากิน แทนที่จะให้ศิลให้พร กลับมาด่ากันซะนี่”
“ใครมันมาใส่ไฟพี่เรืองอีกล่ะป้า” เพี้ยนถาม
บานชื่นหันไปมองในร้าน ดาวเรืองกับเพี้ยนมองตามแล้วก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อเห็นพระครูจ้อยนั่งอยู่ที่โต๊ะ ดาวเรืองกับเพี้ยนรีบเดินขาบิดเข้ามานั่งยองๆข้างพระครูจ้อย
ดาวเรืองกระซิบเสียงเบา “โห..หลวงตา ขายหวยแค่เนี้ยต้องตามมาฟ้องแม่ด้วย”
“กระซิบกระซาบอะไร..ไอ้เรือง นี่เอ็งสองคนไปทำให้ท่านพระครูเดือดเนื้อร้อนใจมาใช่มั้ย ท่านถึงได้แล่นมาถึงนี่” บานชื่นถามพระครูจ้อย “ใช่มั้ยเจ้าคะ”
พระครูจ้อยตอบ “อาตมามีเรื่องร้อนใจจริงๆ”
บานชื่นหันขวับมาหาดาวเรือง “เอ็งไปทำอะไรท่าน รังแกพระรังแกเจ้า ไม่กลัวนรกจะกินหัวรึไง”
บานชื่นจะฟาดดาวเรือง แต่พระครูจ้อยร้องห้ามไว้
“เดี๋ยวก่อนโยม ไม่ใช่เจ้า๒คนนี้หรอกที่ทำให้อาตมาร้อนใจ แต่เป็นไอ้ ๓ คนนั่น”
บานชื่นงง “ไอ้ ๓ คนไหนเจ้าคะ”
“เครื่องปั่นไฟที่วัดมันหายไป อาตมาสงสัยว่าคนที่มาขโมยน่าจะเป็นไอ้วรรณกับเพื่อนๆมัน”
“มิน่าล่ะ ถึงได้มีเงินซื้อมือถือใหม่ตั้ง ๒ เครื่อง” ดาวเรืองว่า
“อาตมาไม่อยากให้เรื่องถึงโรงถึงศาล ยังไงมันก็ได้ชื่อว่าเป็นหลานในไส้”
“รู้งี้น่าจะเอาขี้เถ้ายัดปากมันตั้งแต่เกิดให้รู้แล้วรู้รอดไป จริงมั้ยจ๊ะหลวงตา” ดาวเรืองบอก
พระครูจ้อยเผลอตอบ “อื้อ..เอ๊ย..เอ็งก็ชวนชักใบให้เรือเสียอยู่เรื่อย อาตมาเห็นว่าเอ็งพอจะเตือนสติมันได้ เพราะดูมันจะเกรงใจเอ็งไม่น้อย”
“ไม่ใช่เกรง เข้าขั้นกลัวขี้หดตดหายเลยจ้ะหลวงตา” เพี้ยนบอก
“ช่วยพูดให้มันเอาเครื่องปั่นไฟมาคืนได้มั้ย..นึกว่าเอาบุญ” พระครูจ้อยขอ
“ได้จ้ะหลวงตา ที่รับปากไม่ใช่เพราะเห็นแก่มันหรอกนะ แต่ฉันถือว่าสมบัติของวัดได้มาจากเงินทำบุญของพวกเราทุกคน มันจึงเป็นของส่วนรวมที่ไม่ว่าใครหน้าไหนก็เอาไปเป็นสมบัติส่วนตัวไม่ได้”
พระครูจ้อยใจเริ่มฝ่อกับท่าทางและน้ำเสียงอันแข็งกร้าวของไอ้เรือง!
ผู้ใหญ่ผันและกลุ่มชาวบ้านยืนล้อมวงเชียร์ไก่ชนกันสนั่น จนกระทั่งกะลาที่ใช้บอกยกจมดิ่งลงน้ำ ระฆังหมดยกจึงดังขึ้น ผู้ใหญ่ผันเดินยิ้มร่าอารมณ์ดีออกมาจากวงไก่ชน ตรงมาหาจินตวัฒน์กับกำจรซึ่งยืนรออยู่มุมหนึ่ง
“แหม..ขอโทษนะครับที่ให้รอ บังเอิญนัดนี้เป็นนัดล้างตา แล้วเขาก็ให้ผมเป็นประธานจัดงานด้วย”
กำจรพูดกัด “ก็เห็นเป็นประธานทุกอาทิตย์”
“ไม่ทราบว่าคุณปลัดมีอะไรให้ผมรับใช้หรือครับ” ผันถาม
ผันเดินโอบไหล่จินตวัฒน์พาออกมาด้านนอกและพูดคุยอย่างสนิมสนม
“คุณปลัดเขาอยากจะรู้ว่าพวกเรามีความเป็นอยู่กันยังไง มีปัญหาอะไรบ้างรึเปล่า” กำจรบอก“โอ๊ย..เราอยู่กันสุขสบายดีครับ ใครมีที่มีแรงก็ทำไร่ทำนา ใครมีที่แต่ไม่มีแรงก็ขายให้คนที่มีเงินมีแรงเขาทำกันไป แล้วค่อยไปซื้อเขากินทีหลัง จะได้ไม่เป็นภาระ ลูกหลานส่วนใหญ่ก็ทำงานในกรุงเทพฯ ไอ้ที่ยังเล็กอยู่ก็เรียนหนังสือ เรียนฟีครับที่นี่ เห็นเขาว่าจะมีกระดานที่รัฐบาลแจกมาให้เรียนกันด้วย เด็กมันก็สบายสิครับ ไม่ต้องคัดไม่ต้องเขียน แค่เอานิ้วจิ้มๆลากๆกระดานแค่นั้น”
“เป็นไปได้เหรอครับ ที่..ที่นี่ไม่มีปัญหาอะไรเลย”
ผันหัวเราะร่วน “ไม่มีครับ ไม่มีจริงๆ”
เสียงดาวเรืองดังห้าวเข้ามาพร้อมกับตัวที่เดินมากับเพี้ยน
“ทำไมจะไม่มี อย่างน้อยก็ปัญหาขโมยชุมยิ่งกว่ายุง แม้แต่ข้าวของในวัดมันก็ยังขโมย” ดาวเรืองพูดกับผัน “ฉันมาแจ้งความนะผู้ใหญ่”
เสียงระฆังยกใหม่ดังขึ้น ผันใจเตลิดเข้าไปอยู่ข้างในวงไก่ชน
“เอาไว้พรุ่งนี้ก็แล้วกัน ข้ากำลังยุ่ง” ผันเดินกลับเข้าไปด้านใน
“ยุ่งนักก็ปิดบ่อนมันเดี๋ยวนี้เลยมั้ย..พี่เรือง” เพี้ยนเสนอ
ผันชะงักแล้วหันกลับมา “ไม่ได้นะเว้ย..ลูกข้ากำลังเป็นต่อ”
“ถ้างั้นก็รับแจ้งความ แล้วก็ตามจับขโมยมาให้ได้” ดาวเรืองบอก
“ทำไมเอ็งไม่ไปแจ้งกับไอ้จ่าแม่นมันวะ” ผันถาม
“อ้าว แล้วหมู่บ้านนี้มีผู้ใหญ่ไว้ทำอะไรล่ะ ชนไก่กับหาเมียให้ครบสิบคนงั้นเหรอ” ดาวเรืองแขวะ
ผันเสียหน้า “ไอ้เรือง!!!! เอ้า..เอ็งจะแจ้งอะไรก็ว่ามา แล้วก็รีบไปให้พ้นหน้าข้าสักที”
“ฉันขอแจ้งจับไอ้วรรณ ข้อหาที่มันไปขโมยเครื่องปั่นไฟในวัด”
“ชะช้า..มันจะมากไปแล้ว ไอ้วรรณมันไปซื้อวิตามินให้ไก่ข้าที่จังหวัดตั้งแต่เช้า มันจะไปขโมยเครื่องปั่นไฟได้ยังไง เอ็งมีหลักฐานอะไรถึงมาใส่ความลูกข้า”
“ตกลงจะรับแจ้งแล้วไปพูดให้ลูกบังเกิดเกล้า เอาของกลางมาคืนดีๆมั้ย”
ผันเสียงแข็งใส่ “ไม่!!!! ข้าไม่เชื่อว่าลูกข้าจะทำอะไรชั่วๆอย่างนั้นได้”
“ทำไมมันจะทำอะไรชั่วๆอย่างนั้นไม่ได้ ในเมื่อมันมีพ่อให้ท้ายแบบนี้”
ผันโกรธจัด “ไอ้เรือง!!”
“ถ้าไม่มีหลักฐาน เธอจะแจ้งจับใครไม่ได้นะ ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎหมาย” จินตวัฒน์บอก
“เอาวะ..ในเมื่อกฎหมายยังเล่นงานคนผิดไม่ได้ ก็ต้องใช้กฎแห่งกรรมแก้ขัดไปก่อน นี่..จะบอกอะไรให้นะผู้ใหญ่..คนขโมยของวัดน่ะ มันจะอยู่ไม่สุข มันจะยืนเต้นแร้งเต้นกาประจานตัวเองไปตลอดล่ะ จำคำไอ้เรืองไว้ให้ดี”
ดาวเรืองเดินยิ้มกริ่มลอยหน้าลอยตาออกมา เพี้ยนเดินท่าเดียวกับลูกพี่
ผันยิ้มเจื่อน “อย่าไปสนใจมันเลยครับคุณปลัด มันก็พูดไปเรื่อย..ใครมันจะยืนเต้นแร้งเต้นกาประจานตัวเองอยู่ได้ จริงมั้ยครับ”
จินตวัฒน์ยิ้มให้ผันแล้วประมวลความคิดว่าหมู่บ้านนี้มันเป็นยังไงกันแน่
จินตวัฒน์เดินคุยกับกำจรมาตามทาง
“นอกจากเดินโพยหวยแล้วยังเปิดบ่อนไก่ อื้ม..จะแก่นไปไหนเนี่ย” จินตวัฒน์ว่า
“เรื่องบ่อนไก่นี่ ไอ้เรืองมันไม่ได้เจตนาจะเปิดหรอกครับ พอดีมันชนะพนันผู้ใหญ่ผัน ผู้ใหญ่ผันเลยต้องยกตั๋วบ่อนไก่ให้มันไป มันก็คอยเก็บค่าต๋งอยู่ข้างนอก ไม่ได้เข้าไปเล่นกะเขาหรอกครับ มันว่ามันสงสารไก่” กำจรเล่า
“ดีนะ ที่ยังมีความเมตตาอยู่บ้าง”
ดาวเรืองเดินถือถุงก๊อปแก๊ปสีทึบมุดดงหญ้าข้างทางออกมากับเพี้ยน
ดาวเรืองแกล้งจามเสียงดัง “ฮั่ดเช้ย..ใครนินทาข้าวะ ไอ้เพี้ยน”
“เพี้ยนเปล่า” เพี้ยนรีบบอก
ดาวเรืองแกล้งหันมาหากำจร “น้าจร”
“ข้าเปล่า” กำจรตอบ
จินตวัฒน์รีบบอก “การพูดว่าใครมีความเมตตา ไม่ถือเป็นการนินทา ถือเป็นคำชม”
“แล้วไป ยิ่งขี้เกลียดมีเรื่องกับคนแปลกหน้าอยู่ด้วย” ดาวเรืองว่า
“ต่อไปฉันก็ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับที่นี่”
“เพราะนายต้องเปิดตูดกลับกรุงเทพฯไปภายในไม่เกินเจ็ดวัน พนันกันมั้ยล่ะ”
“แทงร้อยให้สองร้อย” เพี้ยนบอก
กำจรเอากับเขาด้วย “แทงสองร้อย ได้เท่าไหร่วะ”
จินตวัฒน์เอ็ดกำจร “นายจร!!” จินตวัฒน์หันไปพูดกับดาวเรือง “ฉันอยู่นานเกินนั้นแน่ รับรอง”
“จะคอยดู แต่อย่ามาจุ้นกับเราเด็ดขาด ไม่งั้นไม่รับรองความปลอดภัย”
“ฉันไม่ชอบจุ้นเรื่องผู้หญิง นอกเสียจากว่าผู้หญิงคนนั้นจะทำผิดกฎหมายจนฉันต้องเข้าไปจุ้น ถ้าเธอไม่อยากให้ฉันไปวุ่นวายกับเธอ เธอต้องไม่ทำผิดกฎหมาย”
“คิดดูก่อนนะว่าทำได้เปล่า”
พูดจบดาวเรืองก็ยิ้มกวนแล้วยักคิ้วใส่จินตวัฒน์ก่อนจะเดินส่ายไหล่เป็นนักเลงออกมากับเพี้ยน จินตวัฒน์มองตามแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้า
ดาวเรืองชะเง้อมองไปที่หัวถนน สักครู่เพี้ยนก็ขี่มอไซค์หน้าตั้งเข้ามา
“มันมากันแล้วพี่เรือง”
ดาวเรืองพยักหน้าแล้วตบตูดควายหนึ่งที สุวรรณ แหลม กรอดขี่มอไซค์มาตามทาง สุวรรณพยายามโทรหาดาวเรืองแต่ไม่ติด กรอดกับแหลมร้องเพลงล้อว่า ฮาโหล ทำไมไม่รับสาย ฮาโหล
ทันใดนั้นควายก็เดินข้ามถนน
ทั้งสามหันไปมองเห็นควายเดินตัดหน้าก็ตกใจหักมอไซค์หลบข้างทาง
“ควาย” แหลมร้องลั่น
ทั้ง 3 คนตกลงไปนอนในปลักควายจนเละไปทั้งตัว แต่สุวรรณยังคงรักษามือถือไว้ได้อย่างสวยงาม
เวียงเดินหน้ากระดานเรียงหนึ่ง นำบุญปลีก บุญปลอดยักย้ายส่ายสะโพกซ้ายขวาออกมาโดยพร้อมเพรียงกัน ผันนุ่งผ้าขาวม้าถือขันถือสบู่ตามหลังมา
“จะไปไหนจ๊ะแม่เวียง” ผันถาม
“ไปธุระ” เวียงตอบ
“ไปกันหมดทั้งสามคนเลยเหรอ ไม่มีใครอยู่ถูสบู่ให้พี่สักคนเลยเหรอจ๊ะ”
“ก็เรียกแม่เบอร์ สี่-ห้า-หก มาถูให้สิพี่ผัน” บุญปลีกว่า
“สี่-ห้า-หก มันหนีตามผู้ชายไปแล้ว” ผันบอก
บุญปลอดยกมือพนม “กาเมสุ มิจฉาจารา เวรมณีสิกขาประทัง สมาธิยามิ งั้นก็เบอร์เจ็ด-แปด-เก้า”
“ไม่อยู่ ฉันใช้ให้มันไปซื้อกับข้าวมาทำรอพวกเราไง” เวียงบอก
“เห็นมั้ย..เมียไม่พอ สงสัยต้องหาเบอร์สิบมาไวไวแล้วล่ะแม่เวียง” ผันต่อรอง
เวียงพูดแบบนักเลงๆ “ฉันรับปากจะให้พี่มีเมียสิบคน ฉันก็ต้องทำตามนั้น แต่ฉันต้องเป็นคนหาให้เอง จะได้ไม่มีใครแตกแถว อย่าลืม”
“จ้ะแม่”
พูดจบเวียงก็เดินบิดตูดซ้ายขวา นำบุญปลีกกับบุญปลอดออกมา
สักครู่ สุวรรณ แหลม และกรอดก็เดินมาในสภาพตัวเขรอะไปด้วยโคลน
“โอ๊ยย..เหม็นชิปเป๋ง อาบน้ำด้วยคนนะพ่อ”สุวรรณถอดเสื้อกับกางเกงจนเหลือแต่บ็อกเซอร์
“ฉันอาบด้วย” แหลมกับกรอดถอดเสื้อ ถอดกางเกง
“นี่พวกเอ็งไปนอนแช่โคลนที่ไหนมา”
“อาบก่อนตอบทีหลัง เหม็นตัวเองจนรากจะแตกอยู่แล้ว” สุวรรณบอก
สุวรรณ แหลม และกรอดพร้อมใจกันตักน้ำในตุ่มอาบโครมๆ พร้อมผู้ใหญ่ผัน ทุกคนตักน้ำราดผม ล้างหน้า ราดตัว ราดขา ราดโดนอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย แล้วสักครู่ก็เริ่มรู้สึกคันหัว คันหน้า คันแขน ขา ลำตัว ลำแข้ง ลำขา จักกะแร้ ข้อพับ รวมไปจนถึงง่ามต่างๆในร่างกาย
“ทำไมคันหัววะ” ผันสงสัย
“คันหน้าด้วยพ่อ แขนก็คัน ขาก็คัน” สุวรรณเสริม
“จักกะแร้ก็คัน เฮ้ยยย..คันอะไรนักหนาวะเนี่ย” แหลมบอก
ทุกคนยืนเกาไปทั่วสรรพางค์จนเป็นที่น่าเวทนา
กรอดหยิบเศษหมามุ่ยที่ลอยอยู่ในน้ำขึ้นมา “หรือจะเป็นเพราะขนไอ้นี่จ๊ะพ่อผู้ใหญ่”
“ขนอะไร” ผันถาม
ผัน สุวรรณ และแหลมก้มหน้าเข้ามามองใกล้ๆมือกรอด แล้วก็ตาเหลือกแหกปากลั่นพร้อมกัน
“หมามุ่ย!!”
คำพูดดาวเรืองผุดขึ้นมาในหัวผู้ใหญ่ผัน
ผันคำรามลั่น “ไอ้เรือง!!”
สุวรรณพูดแบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่ “แฟนหนูเองจ้ะพ่อ”
ผันเขกมะเหงกใส่หัวสุวรรณ “นี่แหนะแฟน!!!”
ผัน สุวรรณ แหลม และกรอดเกาพร้อมกับเต้นยึกยักไปมายิ่งกว่าเลดี้ กาก้ากับชากีร่ารวมกัน
ดาวเรืองกับเพี้ยนที่แอบดูอยู่เอามือปิดปากหัวเราะงอหายจนแทบจะตกจากต้นไม้ที่ขึ้นไปซ่อนตัวอยู่
จ่าแม่นโม้น้ำลายแตกฟองอยู่ที่สถานีตำรวจ
“คุณปลัดคิดถูกแล้วครับ ถ้าอยากรู้จักไอ้เรืองต้องมาถามผม เพราะทั้งดอนล้อมแรดก็มีผมนี่แหละครับที่รู้จักมันดีที่สุด”
จินตวัฒน์ถามต่อ “ผมอยากรู้ว่าเด็กผู้หญิงตัวแค่นี้ทำไมถึงกล้าทำตัวเป็นนักเลงขนาดนั้น จ่าช่วยเล่าให้ผมฟังหน่อยได้มั้ยครับ”
จ่าแม่นลุกขึ้นตบเท้าทำความเคารพอย่างเข้มแข็ง ก่อนจะเล่าประวัติดาวเรืองให้จินตวัฒน์ฟัง
“ครับผม !! ไอ้เรืองมันมีชื่อเต็มๆว่า ดาวเรือง มีพ่อชื่อพนา แม่ชื่อบานชื่น พี่ชายชื่อพฤกษ์ ปู่ชื่อจำปา ตาชื่อจำปี ย่าชื่อยี่โถ ยายชื่อชงโค ลุงป้าน้าอาทางฝั่งแม่ชื่อ บานบุรี ยี่สุ่น พุดซ้อน หงอนไก่ ญาติทางฝั่งพ่อชื่อ กุหลาบ มะลิ มาลัย ใบ...”
“พอๆจ่า...เอาเป็นว่ามันดอก(ไม้) ทั้งตระกูล แล้วไงต่อ” กำจรถาม
“ไอ้เรืองกับแม่เปิดร้ายขายอาหารเล็ก ๆ อยู่ตรงปากทางเข้าหมู่บ้าน ถึงผมจะชอบแม่มัน เอ็นดูมันเหมือนลูกเหมือนหลาน แต่ถ้ามันทำผิดผมก็ต้องจับมันเข้าคุก เพราะผมคือ” จ่าแม่นยืดอกจนแทบติดเพดาน “จ่าแม่น เก่งหมุด ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์แห่งดอนพัฒนา” จ่นแม่นชูกำปั้นเหนือหัวเหมือนจะประกาศชัยชนะ
จินตวัฒน์กับกำจร มองจ่าแม่นอึ้งๆ
จ่าแม่นแก้เขินด้วยการหันไปหยิบแฟ้มประวัติจากในตู้ “นี่ครับแฟ้มประวัติมัน ถ้าคุณปลัดอยากรู้ว่ามันร้ายยังไงก็ลองเอาไปอ่านดูครับ”
จินตวัฒน์จะรับแฟ้มมาแต่เสียงเรียกเข้าจากมือถือจ่าแม่นซึ่งเป็นเพลง “มาร์ชพิทักษ์สันติราษฎร์ หรือ เพลงเกียรติตำรวจของไทย” ดังขึ้นเสียก่อน จ่าแม่นจึงชักมือที่ส่งแฟ้มกลับ จินตวัฒน์เลยวืดไป
จ่าแม่นรับสาย “สน.ดอนพัฒนา กระผมจ่าแม่น เก่งหมุด ยินดีรับใช้..ครับผ๊ม”
จ่าแม่นรับสายด้วยเสียงขึงขังก่อนจะยื่นแฟ้มประวัติดาวเรืองให้จินตวัฒน์ จินตวัฒน์ยื่นมือไปรับอีกครั้ง แต่แล้วจ่าแม่นก็ชักมือกลับพร้อมกับร้องเสียงดัง
“ว่าไงนะครับ...ได้ครับ...เดี๋ยวผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้”
จ่าแม่นตบเท้าเสียงดังพร้อมกับทำความเคารพเหมือนมีผู้บังคับบัญชายืนอยู่ตรงหน้า แล้วกดวางสายก่อนจะหันมาพูดกับจินตวัฒน์ขึงขังเช่นเคย
“คุณปลัดไม่ต้องอ่านแล้วครับ ไปดูให้เห็นกับตาดีกว่าว่าไอ้เรืองมันร้ายขนาดไหน”
“ดาวเรืองไปก่อเรื่องอะไรอีกเหรอครับ” จินตวัฒน์ถาม
“มันลอบทำร้ายครอบครัวผู้ใหญ่ผัน แล้วยังฝ่าฝืนทำผิดกฎหมายกลางวันแสกๆ”
จ่าแม่นเดินหน้าเข้มอย่างเอาเรื่องก่อนจะตบเท้าเดินออกไป
“มะ..มัน..ไอ้เรืองมันต้องเอาปืนอาก้ามายิงถล่มบ้านผู้ใหญ่ผันแน่เลย”
กำจรบอกแล้วเดินตามจ่าแม่นออกไปด้วยสีหน้าท่าทาง และแววตาที่บ่งบอกว่าสุดสยอง
ส่วนจินตวัฒน์นึกไม่ถึงว่าดาวเรืองจะร้ายกาจขนาดนี้เชียวหรือ?
โปรดติดตามตอนที่ 2