เกิดเป็นหงส์ ตอนที่ 14
ทิวพยายามหลบ แต่เทพสกัดจนกล่องไม้หลุดมือ เทพรับ มองกล่องอย่างสงสัย
“อะไร...”
“อย่ารู้เลย”
ทิวแย่งมาอีก เทพไม่ปล่อย สองคนต่อสู้กันโดยมีกล่องไม้เป็นเดิมพัน ในที่สุดเทพก็พลาดท่าถูกต่อยเปรี้ยง...ทิววิ่งหนีออกไป เทพวิ่งตามมาแต่วิ่งไม่ทัน ชักปืนขึ้นมาเล็งไปเห็นหลังของทิวเป็นเป้าแต่แล้วเทพก็เปลี่ยนใจ ลดปืนลงปล่อยให้ทิววิ่งหนีไป
“แกยังตายไม่ได้...ไอ้ทิว...มันไม่สะใจฉัน”
เทพมองตามทิวอย่างเดือดดาล วิ่งกลับเข้าไปในห้องทำงานของตัวเอง มองไปที่ช่องหลังรูปของทัด ซึ่งว่างเปล่า
“แกซ่อนอะไรไว้ ตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมฉันไม่รู้”
เทพหันไปมองรูปของทัด แล้วเหยียบขยี้ด้วยเท้าด้วยความแค้น
ขวัญตากำลังจะสาดน้ำกรดในขวดใส ผ่องทิพย์ตัดสินใจจับตัวบุญปลูกมาเป็นเกราะกำบัง
“ว้าย! คุณนาย ทำไมเลวแบบนี้ล่ะคะ”
บุญปลูกดิ้น รีบวิ่งหลบไปอยู่หลังผ่องทิพย์เหมือนเดิม
“กรรมใครกรรมมันสิคะ ให้บุญปลูกรับแทนทำไม”
ขวัญตาสายตาแข็งกร้าว
“ก็รับกันไปทั้งสองคนนั่นแหละ”
ผ่องทิพย์ตัดสินใจผลักขวัญตาจนล้มลงไป
“โอ๊ย!”
ขวดน้ำกรดตกแตกน้ำกรดรดพื้น กัดพื้นเป็นฟองฟู่ ผ่องทิพย์มองอย่างเดือดดาล
“นังขวัญตา คิดจะใช้น้ำกรดจัดการฉันเหรอ”
“เออสิวะ”
“แกตาย”
ผ่องทิพย์เข้าไปขย้ำขวัญตา
“โอย ตายๆกันไปเลยทั้งสองคนเลยค่ะ ชะนีน่ากลัว”
บุญปลูกรีบเผ่นหนีออกไป ผ่องทิพย์ได้โอกาสขึ้นคร่อมขวัญตา จับหัวจะกดหน้าขวัญตาขยี้ลงกับคราบน้ำกรด ที่ยังเหลือเศษอยู่บนพื้น
“อยากให้ฉันหน้าเละ แกเละก่อนก็แล้วกัน”
ขวัญตาพยายามฝืน ออกแรงต้านทาน ผ่องทิพย์กดหน้าขวัญตา จนเกือบจะถึงคราบน้ำกรด ขวัญตาร้องลั่น
“อ๊ายย...ช่วยด้วย!”
“ไม่มีใครช่วยแกได้หรอก ร้องไปก็เท่านั้น...นังสารเลว”
“ช่วยด้วย!”
ขวัญตาจิกเล็บลงบนเนื้อของผ่องทิพย์อย่างแรง
“โอ๊ย!”
ผ่องทิพย์เสียหลัก ขวัญตาทรงตัวได้ถีบกระเด็นไป
“โอ๊ย!”
ขวัญตารีบวิ่งหนีออกไป ผ่องทิพย์โกรธจัด
“ฉันจะฟ้องคุณเทพ แกตายแน่ นังขวัญตา”
ทิวเข้ามาในกระท่อมหลังหนึ่ง เข้มรออยู่
“นาย ให้เข้มมารอที่นี่ทำไม แล้วไปมีเรื่องกับใครมาเนี่ย”
“ฉันกลับบ้านไม่ได้ ล็อกประตูซะไอ้เข้ม”
“ครับ!”
เข้มล็อกประตู ทิววางกล่องไม้ลง
“กล่องอะไรครับนาย”
“ไม่รู้...ไปเอาขวานมา หรืออะไรก็ได้ ฉันจะเปิดกล่อง”
“ครับนาย”
เข้มวิ่งออกไป ทิวมองที่กล่องไม้ด้วยความอยากรู้
ลุงมิตรนอนอยู่บนเตียงในห้องพักโรงพยาบาล สะดุ้งพรวดขึ้นมาธีรพลเข้ามาในห้องพอดี
“ลุงครับ”
ลุงมิตรหันมองธีรพล เหมือนนึกอะไรบางอย่างออก
“มันอยู่ในเซฟ หลังรูปพี่ทัด”
“อะไรครับลุง”
ทิวใช้ขวานฟันที่กุญแจจนหลุด เขาเปิดกล่องออก พบซองกระดาษแผ่นหนึ่งอยู่ในซอง ทิวค่อยๆหยิบซองขึ้นมา แล้วเปิดออกหยิบกระดาษขึ้นมาคลี่ดู เขาทิวจำได้ว่าเป็นลายมือของพ่อ
“ลายมือคุณพ่อ”
ทิวอ่านข้อความในกระดาษ
“หากใครได้อ่านจดหมายฉบับนี้ แสดงว่าข้าพเจ้านายทัด บรรณนาได้มีอันเป็นไปอันถึงแก่ชีวิตทำให้ไม่สามารถจัดการเรื่องมรดกให้กับบุตรและธิดาได้ตามที่ควรจะกระทำ...”
ในอดีต...ทัดกำลังนั่งเขียนจดหมายอยู่ ด้วยสีหน้าท่าทางเคร่งเครียด บุษบาที่อยู่ด้วย มีสีหน้าเคร่งเครียดไม่แพ้กัน
“โดยให้ทนายความเป็นผู้จัดการตามกฎหมาย...แต่ข้าพเจ้ามีเวลาไม่พอ จึงขอใช้จดหมายฉบับนี้เป็นพินัยกรรมที่สมบูรณ์และให้ถือว่าเป็นที่สิ้นสุด โดยมีลายมือชื่อข้าพเจ้า นายทัด บรรณนาและภรรยานางบุษบา บรรณนาลงไว้เป็นหลักฐาน พร้อมทั้ง...ตราประทับของตระกูลบรรณนาที่ไม่มีผู้ใดได้ครอบครองและมีสิทธิ์ใช้นอกจากข้าพเจ้า...ทิว บรรณนาคือผู้ที่จะได้รับมรดกทั้งหุ้นส่วนของทัดเทพและอสังหาริมทรัพย์และให้ทิว บรรณนาจัดสรรแบ่งให้กับพี่น้องตามสมควร ลงชื่อ...ทัด บรรณนา”
ทัดยื่นจดหมายให้ บุษบารับปากกามาแล้วเซ็นลงชื่อลงไป แล้วยื่นกลับให้ ทัดเอาตราประทับตระกูลบรรณนาประทับลงไป...จากนั้นก็พับกระดาษ ใส่ซอง เอาลงใส่กล่อง ล็อกกุญแจ บุษบารับกล่องมาแล้วใส่ไว้ในช่องที่ผนัง ทัดใช้รูปของตัวเองปิดทับไว้ พอดีกับที่เทพเปิดประตูเข้ามาพอดี
“ได้เวลาไปพบท่านผู้ว่าแล้วนะครับพี่ทัด พี่บุษบา”
ทัดและบุษบาหันมามองหน้ากัน ก่อนที่ทัดจะถามอย่างสงสัย
“ทำไมต้องเร่งรีบนักล่ะ เทพ”
บุษบาแปลกใจ
“นั่นสิ...อีกตั้งหลายวันกว่าท่านจะเดินทางกลับไปกรุงเทพ เราค่อยไปกราบลาท่านก็ได้”
“คิวท่านแน่นมากนะครับ กว่าผมจะขอเวลาจากท่านให้พวกพี่เข้าพบได้ยากเย็นแสนเข็ญมากเลยนะครับ...”
“เอาเถอะ ยังไงก็ต้องไป...ท่านมีบุญคุณกับทัดเทพ ไม่ไปกราบลา จะกลายเป็นคนไม่รู้คุณคน”
ทัดปรายตามองเทพ เทพทำเป็นยิ้มเฉย ไม่สะดุ้งสะเทือนเขาออกเดินนำไป ทัดจะออกเดินตาม บุษบารั้งไว้
“คุณทัด...เราอย่าไปเลยนะคะ”
“ไม่ได้หรอก...นัดแล้วก็ต้องไป”
“แต่ดิฉันไม่ไว้ใจ...ตาเทพ”
“ไม่ต้องกลัว ถ้าสิ่งที่เราหวาดกลัว มันเป็นจริง...มันทำอะไรเราไม่ได้ง่ายๆหรอก ผมจะพานายมิตรกับลูกน้องไปด้วย เขาจะช่วยคุ้มครองเรา ทำใจให้สบายเถอะ”
“ค่ะ”
ทัดจับมือบุษบาเดินออกไป
ทิวน้ำตาซึมเมื่ออ่านจดหมายจบ เขาจ้องมองลายมือชื่อทัดและบุษบาในจดหมายด้วยความคิดถึงและอาลัย
“คุณพ่อ...คุณแม่...”
เข้มอึ้งประหลาดใจ
“จดหมายอะไรครับนาย”
ลุงมิตรเกาะแขน ละล่ำละลักบอกธีรพล
“พินัยกรรมของพี่ทัด อยู่หลังรูป ในห้องทำงาน ฉันต้องไปบอกทิว ฉันต้องไปบอกทิว”
ลุงมิตรผลุนผลันลงจากเตียง ธีรพลต้องห้ามเอาไว้
“เดี๋ยวก่อนครับลุง อย่าเพิ่งไปครับ”
ลุงมิตรชะงักหันมามองธีรพล
“ตอนนี้ฉันอยู่ที่ไหน”
“โรงพยาบาลที่กรุงเทพ ขอผมตรวจลุงให้ละเอียดอีกครั้งก่อนได้มั้ย ผมสัญญาผมจะรีบติดต่อบอกคุณทิวให้เร็วที่สุด”
“บอกทิวเดี๋ยวนี้ ไปบอกเดี๋ยวนี้”
ลุงมิตรคะยั้นคะยอธีรพล
ทิวมองจดหมาย…
“นี่เป็นพินัยกรรมตัวจริงของคุณพ่อ...ไอ้เทพมันปลอมพินัยกรรมฮุบทั้งหมดของทัดเทพเป็นของมัน ไอ้เลว”
เสียงตอกตะปูดังปังดังมาจากข้างนอก ทิวและเข้มตกใจ
“เสียงอะไร”
เข้มนิ่งฟัง
“เหมือนมีใครมาตอกตะปูที่หน้าบ้าน”
ทิวและเข้มเอะใจ พุ่งไปที่ประตูจะเปิดออกไป แต่เปิดไม่ได้
เทพกำลังคุมล้วนตอกไม้ปิดประตูบ้าน
“คิดว่าฉันไม่รู้เหรอ ว่าแกหนีมาที่นี่ เฮ้ย...ไม่ต้องให้มันออกมา”
ล้วนตะโกนสั่งลูกน้อง
“เฮ้ย...เร็วโว๊ย”
ทิวและเข้มพยายามจะถีบประตู แต่ก็ไม่สามารถเปิดออกไปได้
“มันตอกประตูปิดตาย ไปที่หน้าต่าง ทิวและเข้มวิ่งไปที่หน้าต่างกันคนละบาน...ลูกน้องล้วนกำลังตอกตะปูบนไม้ที่ใช้ปิดทับหน้าต่าง ทิวกับเข้มผละออกจากหน้าต่าง
“นี่ก็เปิดไม่ได้ ไอ้เข้ม หาทางออกทางอื่น ไป”
เข้มวิ่งออกไป ทิวกลับไปที่ประตูพยายามกระทืบประตู เข้มวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา
“ถูกปิดตายหมดเลย ไม่มีทางออกเลยครับนาย”
ทิวเจ็บใจ ตะโกนลั่น อย่างเคียดแค้น
“ไอ้เทพ ไอ้ลูกหมา”
เทพขบกรามแน่น ก่อนจะระเบิดหัวเราะ อย่างสะใจ
“ฮ่ะๆๆๆ ด่าอีก อยากจะด่าอะไร ด่ามา ก่อนที่แกจะถูกปิดปากเงียบไปตลอดกาล ฮ่ะๆๆ เฮ้ย จัดการส่งมันไปหาพ่อหาแม่มัน”
“ครับ นาย”
ล้วนหันไปให้สัญญาณกับลูกน้อง ลูกน้องวิ่งเข้ามาพร้อมถังน้ำมัน เอามาราดไปรอบๆบ้าน เทพหัวเราะสะใจ
“ฮ่ะๆๆๆๆ พี่ทัด พี่บุษบา...เตรียมรอรับลูกชายด้วยนะครับ มันกำลังจะไปหา ฮ่ะๆๆๆ”
เทพรับคบเพลิงมาจากล้วน
“เชิญนายใหญ่ให้เกียรติครับ”
“สุขสันต์วันตายนะทิว”
เทพโยนคบเพลงไปที่ประตูบ้านซึ่งถูกราดน้ำมันไว้ เทพและล้วนหัวเราะสะใจ
ควันเริ่มลอยเข้ามาทางซอกประตูกับพื้นเข้ามาในบ้าน ทิวยิ่งแค้น กระแทก กระทืบประตูอย่างแรง
“ไอ้เทพ ฉันจะฆ่าแก”
เข้มเริ่มสำลักควันที่เข้ามาจากทุกทิศทุกทาง ทิวเองก็เริ่มสำลัก
เทพหัวเราะยืนดูสภาพบ้านของทิวที่ถูกไฟลุกท่วมอย่างสะใจ ก่อนจะร้องเพลงออกมา
“แฮปปี้เบิร์ธเดย์ แฮปปี้เบิร์ธเดย์ แฮปปี้เบิร์ธเดย์ ทูยู”
เทพทำท่าเป่าเทียนไปทางบ้านของทิว
“ไปเกิดใหม่ซะนะทิวนะ...ไป๊ ฮ่ะๆๆๆๆ”
ขวัญตาแอบดูอยู่อย่างประหวั่นพรั่นพรึง
หญิงมานศรีคุยโทรศัพท์อยู่มุมหนึ่งของวังกฤตยา
“จะให้หญิงติดต่อนายทิวตอนนี้เหรอ”
ธีรพลคุยโทรศัพท์อย่างร้อนใจ
“ใช่ เพราะลุงมิตรแกไม่ยอมท่าเดียว บอกว่าต้องบอกเรื่องนี้กับคุณทิวให้ได้ ไม่ว่าจะวิธีไหน โทรศัพท์หรือไปพบกับตัว แต่ผมให้ลุงออกไปตอนนี้ไม่ได้”
“แล้วหญิง...โอ๊ย...”
“หญิง...ลืมคำว่าทิฐิไปก่อน ช่วยผมหน่อย ติดต่อคุณทิวเดี๋ยวนี้”
ธีรพลวางสายแล้วรีบออกไป หญิงมานศรีกดวางสาย กลุ้มใจ เอาไงดี
เข้มนั่งสำลักควันอยู่มุมหนึ่ง ทิวเข้ามาพร้อมผ้าขาวม้าชุบน้ำส่งให้เข้มหนึ่งผืน และตัวเองหนึ่งผืน
“นาย...เข้มจะไม่ไหวแล้ว”
“อดทนไว้ไอ้เข้ม เอาปิดจมูกไว้”
เข้มทำตามทิว แต่ตัวเองอ่อนแรงมาก ทิวพยายามหาหนทางเอาตัวรอด ในขณะที่ก็สำลักควันมากขึ้นเรื่อยๆ
เทพนั่งอยู่บนเก้าอี้มองดูบ้านทิวที่มีไฟลุกลามมากขึ้นด้วยสายตาวาวโรจน์
“เฮ้ย...ไปเอาตัวมันออกมา”
ล้วนงงๆ
“อ้าว...ทำไมล่ะครับนาย”
“ให้ไปเอาตัวมันออกมา”
“ครับ”
ล้วนหันไปสั่งลูกน้อง ทั้งๆที่งงๆกับเทพ
“เฮ้ย...พังเข้าไป เอาตัวมันสองคนออกมา”
ลูกน้องล้วนทำตามคำสั่ง เทพยิ้มตาวาว
หญิงมานศรีโทรติดต่อทิวไม่ได้ก็หงุดหงิด
“โทรศัพท์เป็นอะไรของเค้านะ ติดต่อไม่ได้เลย”
หญิงมานศรีร้อนใจ ตัดสินใจ วิ่งออกไป พิไลพรออกมาเห็น
“คุณหญิง จะไปไหนคะ คุณหญิง”
พิไลพรตามออกไป
หญิงมานศรีขึ้นรถได้ขับออกไปอย่างรวดเร็ว พิไลพรตามออกมา แต่ไม่ทัน
“คุณหญิงจะไปไหนคะ”
ชายคำรณฤทธีวิ่งออกมา
“น้องหญิงไปไหน พร”
“ไม่ทราบค่ะ จู่ๆก็ขับรถออกไป”
“มีเรื่องอะไรกันนะ...น้องหญิง”
ชายคำรณฤทธีเป็นห่วงน้องสาวมาก
หญิงมานศรีขับรถมาอย่างเร็ว แซงได้ทุกขณะที่มีโอกาสแซง
“นายทิว...มีอะไรเกิดขึ้นกับนายหรือเปล่า...”
หญิงมานศรีเป็นห่วงทิว รีบเร่งความเร็วขึ้นอีก รถแล่นด้วยความเร็วมุ่งหน้าออกจากกรุงเทพมหานคร
ทิว และเข้มถูกล้วนและลูกน้องหิ้วปีกมา ในสภาพที่อ่อนแรงเพราะสำลักควัน เข้มหมดแรงไปแล้ว ปวกเปียกเต็มทน ทิวและเข้มทรุดลง เทพเดินไปเดินมาที่หน้าทิว
“ในกล่องนั่นมีอะไร หา ทิว”
เทพก้มลงมาถามใกล้ๆ ทิวถ่มน้ำลายใส่
“ถุย!”
เทพต่อยทิวสวนออกไปทันที
“จะตายอยู่แล้วยังจะทำเก่ง”
ทิวลุกขึ้น ถุยน้ำลายใส่หน้าเทพอีกที
“ถุย!”
เทพต่อยท้องทิวอย่างแรง
“ไอ้หมาวัด”
ทิวจุก ตัวงอ เทพเหลือบไปเห็นจดหมายในกระเป๋าเสื้อทิว เทพหยิบขึ้นมาทันที
“เอาคืนมา”
เทพเตะสวนจนทิวล้มลงไปกอง เทพเปิดออกอ่านทันที
“พินัยกรรมของไอ้ทัด ที่แท้...มันก็อยู่ใกล้จมูกฉันอยู่ตลอดเวลานี่เอง”
“ก็แค่มันโง่ไง!หึ...โง่ๆแบบนี้ ยังอยากจะคิดเป็นพญาเหยี่ยวพญาหงส์ อย่างแกมันก็แต่หากินตามพื้นดินเป็นไก่เป็นเป็ด ไม่มีทางได้ขึ้นไปอยู่สูงกว่าหลังคาเล้าหรอกว่ะ ฮ่ะๆๆๆ”
เทพมองทิวอย่างโกรธแค้น
“งั้นก็...อย่าเอามันคืนไปเลยนะ”
“ไอ้เทพ”
เทพเดินไปที่กองไฟที่ยังเหลือไฟอยู่ ทิวจะเข้าไป แต่เจอล้วนและลูกน้องสกัดเอาไว้ เข้มตกใจ
“นาย!”
เข้มไปช่วยไม่ไหวเพราะอ่อนแรงเต็มทน เทพบรรจงหย่อนจดหมายลงเผาไฟ ด้วยความสะใจ
“ถือซะว่า...ไม่เคยมีพินัยกรรมไร้สาระอะไรนี่อยู่ก็แล้วกัน เผาเป็นกงเต๊กไปให้พ่อแม่แกดีกว่า”
“อย่า!”
ทิวเข้าไปไม่ได้เพราะถูกยึดตัวเอาไว้ ทิวมองกระดาษที่ค่อยๆถูกไฟลามเลียด้วยน้ำตานองหน้าและเต็มไปด้วยความแค้น เทพเดินไปตบหน้าทิวเบาๆ
“ยังไงแกก็ไม่มีทางเอาชนะฉันได้ ทิว ฮ่ะๆๆๆ คราวนี้ จะมีอะไรมาทวงสิทธิ์ของแกคืนได้อีก อ้อ...ไม่สิ แกจะเอาชีวิตรอดไปทวงสิทธิ์ แกต่อไปได้ยังไงต่างหาก”
เทพชักมีดขึ้นมา จะกรีดปาดคอทิว ขวัญตาที่แอบดูอยู่ ร้องตะโกน
“คุณตำรวจคะ ทางนี้ค่ะ มันกำลังจะฆ่าคน”
เทพ ล้วนและลูกน้องชะงัก
“นังขวัญตา”
“นายใหญ่ ถอยก่อนเถอะ”
เทพเจ็บใจ รีบวิ่งหนีไปกับล้วนและลูกน้อง ทิวรีบไปพยุงเข้ม
“ไอ้เข้ม แข็งใจไว้ หนีเร็ว”
ขวัญตารีบออกมาจากที่ซ่อน เข้ามาช่วยทิวอีกแรง
“หนีเร็วพี่ทิว”
ทิว เข้มและขวัญตาพากันหนีไป
เกิดเป็นหงส์ ตอนที่ 14 (ต่อ)
เทพกับล้วนรีรออยู่ที่คฤหาสน์ สักครู่ลูกน้องวิ่งมารายงาน
“ไม่มีตำรวจครับนายใหญ่ เราถูกหลอก”
“นังขวัญตา” เทพโกรธจัด “ไปตามล่ามัน จับเป็น ฉันจะเป็นคนหยิบยื่นความตายให้มันเอง”
ลูกน้องวิ่งออกไป ล้วนกังวลใจ
“แต่ถ้าคุณพวงทองและคุณผ่องทิพย์รู้ว่า...”
เทพตัดบท
“ผ่องทิพย์ไม่ใช่ปัญหา ส่วนพวงทอง...” เทพเหลือบมองไปที่ชั้นบน “ฉันจะจัดการเอง...ผู้หญิง...ยังไงผัวก็สำคัญกว่าใครทั้งหมด หึ ไป”
เทพออกไป ล้วนตามออกไปทันที
หญิงมานศรีขับรถเลี้ยวเข้ามาปากทางเข้าไร่ทัดเทพ อย่างเร็ว ฝุ่นฟุ้งตลบไปหมด...ทิวหลบอยู่ข้างทางด้วยความเหนื่อยหอบ
“พี่ทิว...เราจะไปไหน” ขวัญตาเริ่มร้องไห้ “ขวัญตากลัว...”
“ไม่ต้องร้องไห้ ฉันจะพาเธอไปอยู่ที่อื่น...เพื่อความปลอดภัย”
“พี่ทิว...ฮือๆๆๆ”
ขวัญตายิ่งร้องหนัก ซาบซึ้งในความดีของเขา รถของหญิงมานศรีแล่นเข้ามาตามทาง ทิวมองเห็นรถ ไม่คุ้น ทิวตัดสินใจพุ่งออกไปขวาง หญิงมานศรีตกใจ เหยียบเบรก ไฟหน้ารถสาดให้เห็นทิว หญิงสาวตกใจ และดีใจในคราวเดียวกัน
“นายทิว!”
เช้าวันใหม่...ทิวจับมือลุงมิตรที่ยิ้มให้ทิวอย่างดีใจ ขวัญตานั่งข้างทิวไม่ห่าง หญิงมานศรี ธีรพลยืนอยู่ใกล้ๆ รับฟังอย่างเงียบๆ หญิงมานศรีมีสายตาที่ปวดร้าว พยายามไม่มองทิวกับขวัญตา ธีรพลสังเกตรู้สึกสงสาร ลุงมิตรมองหน้าชายหนุ่มแล้วเอ่ยเรียก
“ทิว...”
ทิวยิ้มดีใจ
“ลุง...ลุงสบายดีแล้วใช่มั้ยครับ”
“ลุงสบายดีแล้ว ลุงจำทุกอย่างได้แล้ว ทิวหลังรูปพี่ทัดในห้องทำงานมี...”
ทิวสวนขึ้นทันที
“มีพินัยกรรมของคุณพ่อที่ท่านเขียนไว้ก่อนตาย...เป็นตัวจริง”
“ใช่”
“มันถูกไอ้เทพเผาไปแล้วครับ”
ทุกคนตกใจ
“มันปลอมแปลงพินัยกรรม ยึดทุกอย่างไปเป็นของมัน”
หญิงมานศรีสบตากับธีรพล ตกใจกับความจริง
“ลุงครับ คุณพ่อคุณแม่ท่าน...ไม่ได้ถูกโจรฆ่าตายใช่มั้ย”
ลุงมิตรส่ายหน้า
“พวกท่าน...ถูกไอ้เทพ...ฆ่าตายอย่างทารุณ โหดเหี้ยม ไอ้เทพมันไม่ใช่มนุษย์”
ลุงมิตรน้ำตาคลอเมื่อพูดถึงความหลัง
“มันหลอกพวกเราว่าต้องไปพบท่านผู้ว่า ในวันนั้น...”
ลุงมิตรเริ่มเล่าเรื่องราวในอดีต...ลุงมิตรขับรถมาตามถนนจู่ๆเครื่องก็กระตุกดับ ทัดกับบุษบาที่นั่งอยู่ในรถ หันมามองหน้ากันอย่างไม่สบายใจ ไม่ค่อยไว้ใจเทพที่นั่งอยู่ข้างลุงมิตร ทัดเอ่ยถามอย่างสงสัย
“มิตร รถเป็นอะไร”
“ขอลงไปดูก่อนนะครับ นายใหญ่”
มิตรลงจากรถ บุษบาบีบมือของทัดอย่างลืมตัว ทัดตบหลังมือภรรยาเบาๆ เทพปรายตามองอย่างมีเลศนัย
“ผมลงไปช่วยมิตรนะครับพี่”
ทัดพยักหน้า เทพลงจากรถ ไปหาลุงมิตรที่กำลังเปิดฝากระโปรงรถขึ้นดู ลูกน้องของลุงมิตรขี่มอเตอร์ไซค์ตามมาประกบ
“เป็นอะไรพี่มิตร”
“ไม่รู้ว่ะ เมื่อเช้า ข้าก็ว่าข้าตรวจเช็กทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้วนะ”
เทพมองๆแล้วพูดขึ้น
“รถมันก็เก่าแล้ว คงถึงเวลาปลดระวางแล้วมั้ง นายมิตร”
มิตรมองหน้า เทพยิ้มเหี้ยม ก่อนจะชักปืนขึ้นมายิงที่ท้องของลุงมิตร เปรี้ยง ลุงมิตรล้มลง ทัดและบุษบาตกใจ
“อ๊าย...คุณทัด”
“หนีเร็ว”
ทัดรีบเปิดประตูพาบุษบาหนี เทพหันไปยิงใส่ลูกน้องของมิตรทีละคน ล้วนและลูกน้องออกมาจากในป่า ยิงลูกน้องของมิตรคนอื่นๆจนตายหมด เทพเห็นทัดจูงมือบุษบาวิ่งหนีเข้าไปในป่าข้างทาง
“ตามมันไป”
เทพ ล้วนและลูกน้องวิ่งไล่ล่าทัดและบุษบาเข้าไปในป่า ลุงมิตรค่อยๆฟื้นคืนสติ มองตามเทพและพวกวิ่งหายเข้าไปในป่า เขาลากสังขารขึ้นมา วิ่งตามไป
ทัดพาบุษบาหนีมาหลบอยู่หลังโขดหิน ทัดหยิบปืนขึ้นมา บุษบาใจเต้นไม่เป็นส่ำ ตกใจ จนร้องไห้ออกมา
“ฉันเตือนคุณแล้วใช่มั้ยว่าอย่ามาๆ”
“ตั้งสติให้ดีก่อน บุษบา”
“คุณต้องพาเรารอดออกไปพบลูกนะ ฉันไม่อยากจากลูกไปแบบนี้”
ทัดดึงตัวภรรยาเข้ามากอด
“ฉันสัญญา”
กระสุนกระทบโขดหินเฉียดหัวของทั้งสองไปเพียงนิดเดียว บุษบาร้องลั่น
“ว้าย!”
ทัดชะโงกออกไปมอง เห็นเทพเล็งปืนยิงมาอีกหนึ่งนัด ทัดยิงสวนออกไป เทพพยักหน้าให้ล้วนตีอ้อมไปอีกทาง ล้วนพยักหน้ารับ พาลูกน้องสองสามคนตีอ้อมไปอีกทาง เทพหาที่กำบัง...พยายามเจรจากับทัด
“ฉันรู้ว่าพวกพี่ไม่อยากตาย”
เทพเงียบ บุษบาร้องไห้ออกมาด้วยความแค้น
“ไอ้ชั่ว ไอ้เลว ไอ้คนเนรคุณ”
“บุษบา เงียบก่อน”
บุษบานิ่ง แต่ไม่หยุดร้องไห้ เทพตะโกนมาอีก
“เราเจรจาตกลงกันได้นะ พี่ทัด”
“แกต้องการอะไร”
“หุ้นทั้งหมดของทัดเทพต้องเป็นของฉัน รวมถึงทุกอย่างที่พี่ครอบครอง...ฉันอยากได้มาตลอดเวลา ยิ่งแกกดให้ฉันอยู่ใต้คำสั่ง เป็นน้องที่ไม่รู้จักโตของแกเท่าไหร่ ฉันยิ่งอยากได้”
ทัดตะโกนตอบ
“ฉันไม่เคยทำกับแกแบบนั้น”
“แกไม่รู้ตัวหรอกไอ้ทัด ฉันเกิดมาเพื่อเป็นที่หนึ่ง และฉันต้องเป็น”
“ด้วยวิธีแบบนี้น่ะเหรอ แกไม่มีวันได้เป็นที่หนึ่งหรอก โดยเฉพาะในหัวใจของ คนทุกคนในทัดเทพ”
“งั้นเราก็คงเสียเวลาที่เจรจากัน มันคงไม่มีวันตกลงกันได้ ตอนนี้พี่ก็มีตัวเลือกแค่อย่างเดียว คือ...ตาย!”
เทพยิงใส่อีก ทัดยิงสวน ลุงมิตรลากสังขารเข้ามาหยิบปืนจากข้างหลังจะเล็งยิงไปที่เทพแต่แล้ว ล้วนและลูกน้องก็โผล่มาทางด้านหลังของทัด รวบตัวบุษบาออกไป
“ว้าย!”
มิตรตกใจ ทัดหันไป เจอล้วนต่อยเปรี้ยง เตะปืนหลุดจากมือ แล้วเข้าไปควบคุมตัวทัด เทพสะใจ เดินเข้าไปหาทัดแล้วต่อยเปรี้ยง มิตรยกปืนจะยิง เทพจิกหัวทัดแล้วหันไปทางมิตร เอาทัดเป็นโล่
“ยิงเลยสิวะ ไอ้มิตร”
มิตรชะงัก เทพหันไปสั่งลูกน้องอีกสองคนให้ไปควบคุมตัวมิตร
“จับมันเอาไว้”
มิตรพยายามหนี แต่หนีไม่ทัน ถูกลูกน้องของเทพจับตัวเอาไว้
“อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาแบบนี้ ฉันว่า มันควรจะต้องสังสรรค์กันหน่อย ก่อนจะส่งพวกพี่ลงสุสาน”
“แกจะทำอะไร ให้เทพ”
เทพยิ้มโรคจิต หันไปทางบุษบา เดินไปเชยคาง บุษบาสะบัดหนี
“เอามือโสโครกของแกออกไป อย่ามาแตะตัวฉัน”
“รังเกียจผมมากใช่มั้ย พี่บุษบา...”
“ยิ่งกว่ารังเกียจ ฉันขยะแขยงแก แกมันยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉานชั้นต่ำ”
“ถูกใจ ได้ใจ โดนใจที่สุด”
เทพจับหน้าของบุษบาให้หันมาแล้วบดขยี้ริมฝีปากของเธอ ทัดตะโกนลั่น
“ไอ้เทพ หยุดนะ”
เทพถอนริมฝีปากออกบุษบาถุยใส่หน้าเทพจิกผมแล้วลากไปทางหนึ่ง ทัดดิ้นรนจะเข้าช่วยแต่ถูกจับตัวไว้แน่น
“แกจะทำอะไรเมียฉัน ปล่อยบุษบา ไอ้เทพ”
เทพแสยะยิ้ม
“จะแหกปากร้องทำไม จะพาแกเมียไปขึ้นสวรรค์”
“ไอ้เทพ ไอ้!”
เทพลากบุษบาหายไปทางโขดหิน บุษบาพยายามร้องจนเสียงแหบแห้ง
“ปล่อยฉัน ช่วยด้วย อ๊าย”
ทัด หัวใจสลาย บีบคั้น คลั่งแค้น
“บุษบา...”
ลุงมิตรเบือนหน้าหนี เพราะอดสูใจ
หลังจากที่ฟังเรื่องราวจากลุงมิตรทิวกำหมัดแน่น น้ำตาคลอ หญิงมานศรีสะเทือนใจจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว หันไปหาธีรพลเพื่อหลบซ่อนน้ำตา ธีรพลโอบปลอบใจ ขวัญตากอดแขนทิวเอาไว้ มองทิวอย่างสงสาร
“ไอ้เทพ...เลวยิ่งกว่าสัตว์นรก”
“เวลานั้น...มันช่างยาวนาน ทรมานเหมือนจะขาดใจตาย”
ลุงมิตรหน้าเศร้าสลด เล่าเหตุการณ์ในอดีตต่อ...เทพใส่เข็มขัดเดินออกมาจากหลังโขดหิน อย่างอิ่มเอม
ทัดร้องไห้เหมือนจะขาดใจ ในขณะที่ลุงมิตรนั่งหลับตานิ่ง ตัวสั่นไปด้วยความเจ็บปวด เทพเดินมาหาทัด
“เมียพี่รสชาติจืดไปสักหน่อยนะ...แต่จืดๆอย่างนี้ยังมีลูกด้วยกันได้ตั้งสามคนติดใจอะไรตรงไหน”
ทัดมองเทพอย่างเกลียดชัง
“คนอย่างแกไม่เข้าใจคำว่าความรัก ไอ้นรกส่งมาเกิด ฉันไม่น่าไว้ใจแกเลย แกมันอสรพิษ”
เทพหัวเราะร่า
“ฮ่ะๆๆๆๆ”
บุษบาคืบคลานออกมาในสภาพที่เสื้อผ้าขาดวิ่น เอาเสื้อปกปิดท่อนบน เพราะยังใส่ไม่เรียบร้อย ใบหน้ามีรอยฟกช้ำหัวใจแตกสลาย หมดแรง เธอเข้ามาหาสามี
“คุณทัด...”
“บุษบา...”
ทัดพยายามดิ้นจะไปหาบุษบา เทพสั่งลูกน้อง
“ปล่อยมัน”
ลูกน้องปล่อยทัดให้เป็นอิสระ เขารีบวิ่งไปหาภรรยาทันที
“บุษบา...”
“คุณทัด...ฉัน...”
ทัดกอดปลอบ
“ไม่ต้องพูด พอแล้ว”
“ฉันสกปรกเหลือเกิน ฉันไม่มีหน้าจะมองหน้าคุณ มองหน้าลูกแล้ว”
“ไม่ เธอคือนางฟ้าของฉัน ของลูก ไม่ว่ายังไงก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่นได้”
“ขอบคุณนะคะคุณทัด...ขอบคุณที่คุณยังรักและให้เกียรติฉันเสมอมา ฉันรักคุณ”
“บุษบา...”
ทัดสวมกอดภรรยาอย่างแนบแน่น เทพมองหยัน
“รักกันมากใช่มั้ย เห็นอกเห็นใจ ให้เกียรติกันมากใช่มั้ย...น่าอิจฉาจริงๆ”
“แกอยากจะทำอะไรก็ทำเลย เทพ ทำซะให้มันจบๆ”
“ได้ยังไง...มันไม่แฟร์สิ...พี่บุษบาโดนไปแล้ว แกยังไม่โดนเลย”
“แกยังทรมานฉันไม่พออีกเหรอ ไอ้เทพ”
“ยังโว้ย”
เทพดึงตัวทัดออกมา แล้วตีด้วยด้ามปืนที่กกหู จนเลือดอาบ บุษบาและมิตรตกใจ สงสารทัด เทพขึ้นคร่อม
“แกบอกว่ารักฉันเหมือนน้อง...แต่ออกคำสั่งตลอดเวลา ไม่เคยให้ฉันคิดเองเหมือนฉันไม่มีสมอง”
เทพตีทัดด้วยด้ามปืนอีก ลุงมิตรและบุษบากรีดร้องโหยหวน
“นายใหญ่ /คุณทัด”
“คนจะมองฉันเป็นแค่เงา เป็นแค่ไส้ติ่ง ไม่ใช่คนสำคัญ”
เทพตีทัดด้วยด้ามปืนอีก จนทัดเลือดเปื้อนเปรอะเต็มหน้า เบลอ เริ่มไม่มีสติ
“ฉันรอมากี่ปี พี่ก็ยังกดให้ฉันอยู่ที่เดิม ด้วยเหตุผลไร้สาระ...ฉันยังไม่เก่ง...ไอ้ทิวมันดูมีอนาคตกว่า พี่ดูถูกฉันอีกแล้ว ว่าฉันไม่มีสมอง”
เทพตีทัดซ้ำอีกสองครั้ง บุษบาร้องไห้สงสารสามีสุดชีวิต
“พอแล้ว แกฆ่าเขาให้ตายไปเลยเถอะ อย่าทำแบบนี้ อย่าให้เขาทรมานเลย”
“ไม่...เพราะฉันอยากจะเห็นว่าสมองของพี่ทัด มันจะต่างจากสมองฉันแค่ไหนกันเชียว ฉันอยากเห็นมันไหลออกมา...”
เทพตีที่หัวของทัดไม่ยั้ง บุษบากับมิตรตาเบิกโพลง เมื่อได้ยินเสียงกะโหลกแตกดังโพล้ะ เลือดสาดกระเซ็นเข้าใส่หน้าเทพ ลุงมิตรกับบุษบาร้องลั่น
“นายใหญ่ /คุณทัด”
เทพลุกขึ้นช้าๆ ยิ้มอย่างสะใจ แม้แต่ล้วนและลูกน้องยังทนดูไม่ได้ ทุกคนเบือนหน้าหนีให้กับความโรคจิตของเทพ บุษบาพยายามกระเสือกกระสนมากอดศพของสามีร่ำไห้เหมือนจะขาดใจ ลุงมิตรทนไม่ไหว สะบัดสุดแรง วิ่งเข้าไปจะทำร้ายเทพ แต่ถูกล้วนเตะสวน จนกระเด็น
“อยากตามนายใหญ่แกไปใช่มั้ย ไอ้หมารับใช้”
เทพจ่อยิงไปที่ลุงมิตร...
ลุงมิตรกระตุก แววตายังมีความหวาดกลัว ทิวก้มหน้านิ่ง สะเทือนใจ หญิงมานศรีมองชายหนุ่มอย่างเห็นใจและสงสารเหลือเกิน แต่ไม่สามารถเข้าไปปลอบใจได้เพราะขวัญตานั่งกอดปลอบประโลมอยู่ไม่ห่าง ทิวหันไปถามลุกมิตรเสียงเศร้าปนเครียดแค้น
“แล้วคุณแม่ล่ะครับลุง...”
ลุงมิตรร้องไห้ออกมา ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องราวต่อ...เทพกำลังจะจ่อยิงมิตรแต่แล้ว บุษบาก็เข้ามาแย่งปืนจากแล้วจ่อไปที่เทพ
“พี่บุษบา...”
“แก...ฉันไม่รู้ว่าจะเรียกแกว่าอะไรดี นอกจากไอ้ชิงหมาเกิด”
“ไม่แรงเท่าไหร่ ไม่รู้สึก เอาปืนมาน่า ไม่ใช่ของเล่น”
“แกฆ่าฉันให้ตายทั้งเป็นมาแล้ว ฉันจะไม่ยอมตายด้วยน้ำมือของแกอีกเป็นครั้งที่สอง”
ขาดคำบุษบาก็เอาปืนยิงหัวตัวเอง ล้มลงข้างๆศพของทัด เธอจับมือของสามีเอาไว้ แล้วสิ้นใจ มิตรช็อก เสียใจ ทรมานมาก
“คุณนาย...คุณนาย...นายใหญ่...”
เทพหันมาตวาด
“ฉันต่างหากที่จะเป็นนายใหญ่แทนมัน ฮ่ะๆๆๆๆ ขำเว้ย ขอหัวเราะให้กับความรักที่เป็นอมตะของทั้งคู่ ฮ่ะๆๆๆๆ ถุย”
เทพมองศพของทัดและบุษบาอย่างเดือดดาล ก้มลงหยิบปืน หันมาที่ลุงมิตร
ลุงมิตรน้ำตาซึม ในขณะที่ทั้งห้องเงียบงัน ทิวแค้นจัด ลุงมิตรถอนใจ
“แล้วมันก็ยิงขาลุง กรีดหน้าลุง...จนคิดว่าลุงตายไปแล้ว...มันเลยเอาลุงไปทิ้งน้ำ...แต่ในใจของลุงตะโกนก้องอยู่ตลอดเวลาว่า ลุงยังตายไม่ได้”
ลุงมิตรนึกถึงตอนที่เขาพยายามว่ายน้ำเข้าฝั่งอย่างอ่อนแรง นอนพังพาบมองเห็นยอดไม้ ใบไม้ที่ปลิดปลิวหล่นลงพื้น
“ลุงจำได้เพียงแค่นั้น ความจำสุดท้ายของลุงคือใบไม้ที่กำลังหล่นลงพื้นเหมือนชีวิตของคนหลายคนที่ต้องตายเพราะความโลภของไอ้เทพ”
ทิวนั่งร้องไห้ด้วยความแค้นใจอยู่มุมหนึ่งในโรงพยาบาล ขวัญตานั่งปลอบอยู่ข้างๆ
“ไอ้เทพ...ไอ้...”
ทิวอัดอั้นเต็มไปด้วยความแค้น
“ฉันจะฆ่ามัน ฉันจะฆ่ามัน”
ทิวร้องไห้อย่างคับแค้นใจ หญิงมานศรีเดินมากับธีรพล
“นายควรปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ”
ทิวหับขวับไปจ้องหน้า
“เธอไม่เกี่ยว”
“นายห้ามฉันไม่ให้เกี่ยวด้วยไม่ทันแล้วล่ะ ในเมื่อฉันรับรู้เรื่องทั้งหมดมาตั้งแต่ต้น”
ธีรพลเข้าไปปลอบ
“คุณทิว ใจเย็นๆนะ ขืนคุณลงมือแก้แค้น คุณนั่นแหละที่จะต้องทุกข์ทรมาน”
ขวัญตาที่นั่งฟังอยู่ขัดขึ้น
“พวกคุณก็พูดได้สิ ในเมื่อไม่ใช่คนที่ถูกกระทำ”
หญิงมานศรีเจ็บปวดใจ
“ถึงฉันจะไม่ได้ถูกกระทำ...แต่ฉันก็เข้าใจความรู้สึกของการสูญเสียดี”
ทิวสบตาหญิงมานศรี
“สูญเสียคนที่เรารัก โดยที่เราทำอะไรไม่ได้เลย...แต่ในเมื่อเรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว...นายฆ่านายเทพ...มันก็ไม่ได้ทำให้พ่อแม่นายฟื้นขึ้นมา ชีวิตของนายเทพไม่ได้มีค่ามากขนาดที่นายจะต้องเอาตัวเองเข้าไปแลก”
“แล้วจะปล่อยให้มันเสวยสุขลอยนวลอยู่อย่างนี้หรือไง”
“นายเคยบอกฉันว่า นายไม่ชอบใช้ศาลเตี้ย และนายก็เคยเชื่อมั่นในกฎแห่งกรรมไม่ใช่เหรอ...ฉันเชื่อว่านายเทพไม่ได้เสวยสุข แต่กำลังทุกข์ทรมานจากไฟกิเลสที่คอยเผาใจ เหมือนตกนรกอยู่ทุกวินาที”
ทิวอึ้ง...ธีรพลตัดบท
“ผมจะให้พนักงานรักษาความปลอดภัยดูแลลุงอย่างใกล้ชิด จนกว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะมาสอบปากคำ”
ทิวอ่อนลง
“ครับ”
ขวัญตาควงแขนทิว
“ค่อยๆคิดนะพี่ทิว ใจเย็นๆ ที่นัง เอ่อ...คุณหญิงพูดก็ถูก พี่อย่าเอาตัวเองไปแลกเลย ถ้าพี่หมดอิสรภาพหรือเป็นอะไรไป ฉันกับลูกจะอยู่ยังไง”
หญิงมานศรีอึ้ง เสียใจแปล๊บขึ้นมาอีก พยายามเข้มแข็ง
“กลับเถอะชายธี...หญิง...”
ธีรพลรู้ใจและความรู้สึกของหญิงสาวดี
“ไปครับ”
ธีรพลประคองหญิงมานศรีออกไป...ทิวมองตามด้วยความไม่พอใจ ขวัญตาเห็นรีบสำออย
“พี่ทิว ขวัญตาเพลีย แล้วเราจะไปอยู่ที่ไหนกัน”
“พี่มีบ้านที่กรุงเทพ ไอ้เข้มไปรออยู่แล้ว”
ทิวเดินไป ขวัญตายิ้มพอใจ ควงแขนทิวเดินตามไปไม่ห่าง
ธีรพลเดินมาส่งหญิงมานศรีมุมหนึ่งวังกฤตยา
“ผมกลับก่อนนะหญิง”
“ให้คนรถของหญิงไปส่งมั้ย”
“ไม่เป็นไร กลับแท็กซี่ดีกว่า”
“ขอบคุณนะชายธี ที่ขับรถให้หญิง”
“ไม่เป็นไร หญิงไปพักผ่อนเถอะ ขับรถมาทั้งคืน...ดูสิ เหมือนแพนด้าแล้ว”
หญิงมานศรีหลุดขำ
“ชายธีอ่ะ ล้อหญิง”
“ผมอยากเห็นหญิงอารมณ์ดี ไม่อยากเห็นหญิงเศร้า”
ทันใดนั้น เสกสรรค์ก็เข้ามา ในสภาพเมาแอ๋ ทรุดโทรม
“กลับมาแล้วเหรอ หายไปไหนกันมาทั้งคืนล่ะ หญิงมานศรีกับชายธีรพล”
ทั้งสองคนตกใจ
“เสก!”
“ใช่...ผมคือเสกสรรค์ ผู้ชายช้ำรัก ที่ไม่เคยเชื่อว่าคุณหญิงจะหมดรัก จนได้มาเห็นกับตา ได้ยินกับหูว่า...เพื่อนรักมันก็รอเวลาแทงข้างหลัง มิหนำซ้ำผู้หญิงก็เล่นด้วย”
หญิงมานศรีโกรธ
“หยุดนะ!”
ธีรพลต่อยเสกสรรค์เปรี้ยง ลงไปกองเสกสรรค์พยายามยันกายลุกขึ้น
“ไอ้ชายธี!”
“ใช่ ฉันคือหม่อมราชวงศ์ธีรพล เพื่อนรักของหญิงมานศรี ที่ไม่เคยมีจิตใจสกปรกเหมือนคำพูดของนายเมื่อกี้”
เสกสรรค์พุ่งเข้าต่อยธีรพล ด้วยความเมา เป๋ ล้มลงไปเอง หญิงมานศรี มองเสกสรรอย่างสมเพช
“นับวัน เสกยิ่งทำให้หญิงขยะแขยงเสกมากขึ้น กลับไปซะ”
“ผมไม่กลับ ผมรักคุณหญิง ผมรักคุณหญิง”
เสกสรรค์จะเข้าไปกอดหญิงมานศรี ธีรพลต่อยเปรี้ยงอีกที
“มีสติได้แล้ว เสก”
เสกสรรค์ยืนนิ่ง...น้ำตาไหล
“จะมีสติได้ยังไง ในเมื่อ...หัวใจฉันแหลกสลายไปแล้ว แกเข้าใจฉันมั้ย ชายธีแกเข้าใจฉันมั้ย”
เสกสรรค์ร้องไห้อย่างหมดท่า ธีรพลเห็นใจอึ้ง พูดไม่ออก หญิงมานศรีทนเห็นเสกสรรค์ทำสิ่งที่น่าสมเพชไม่ได้อีกต่อไป เดินหนีไป
“คุณหญิง อย่าเดินหนีผม อย่าเดินหนีผม”
ธีรพลรังเสกสรรค์ไว้
“เสก ใจเย็น ไป ฉันไปส่งที่บ้าน เมาแต่หัววันแบบนี้...บ้าไปแล้ว”
ธีรพลแบกเสกสรรค์ที่หมดแรงออกไป
หญิงมานศรีเดินอย่างรีบเร่งเข้ามา หม่อมสรัสวดีและชายคำรณฤทธีเดินเข้ามา หม่อมสรัสวดีหัวเสีย ส่วยชายคำรณฤทธีเป็นกังวล
“ไปไหนมา มานศรี”
หญิงมานศรีอึกอักไม่รู้จะตอบยังไง
“หญิงเอ่อ...ไป...เอ่อ...”
“เอาเถอะ กลับมาปลอดภัยก็ดีแล้ว มีแขกมารอพบ”
หญิงมานศรีแปลกใจ
“ใครคะ”
เทพเดินออกมา
“ผมเองครับ คุณหญิง”
หญิงมานศรีเห็นเทพแล้วตกใจ ถอยกรูด
“คุณเทพ”
เกิดเป็นหงส์ ตอนที่ 14 (ต่อ)
หญิงมานศรีลงนั่ง ไม่ยอมมองหน้าเทพเลยด้วยความกลัวและรังเกียจ เทพลงนั่งมองหน้าหญิงสาว ใจแป้ว และไม่พอใจ
“ทำไมไม่กล้าสบตาผมล่ะครับคุณหญิง”
หญิงมานศรีหันมาสบตา
“คุณเทพสบายดีมั้ยคะ”
“ดีครับ ดีมาก”
“หญิงคิดว่าไม่นะคะ”
“เหรอครับ ทำไมคุณหญิงคิดอย่างนั้นล่ะครับ”
“หญิงเห็นความหวาดระแวง ความกลัวอยู่ในสายตาของคุณ”
เทพอึ้งถูกหญิงสาวจี้ใจดำ หญิงมานศรีสบตากับเทพอย่างไม่หวั่นไหว เป็นสายตาของความสมเพช
“กลัวว่าความลับจะถูกเปิดเผย กลัวว่าสิ่งที่เคยครอบครองจะหลุดมือไป กลัวว่า...ตัวเองจะกลายเป็นคนไม่มีค่า ไม่มีความสำคัญ...และ...ไม่มีตัวตนบนโลกใบนี้ และมันอาจจะเป็นความจริงในไม่ช้า”
เทพตาวาวกร้าวด้วยความไม่พอใจ
หม่อมสรัสวดีคุยกับชายคำรณฤทธีที่มุมหนึ่งของวังกฤตยา
“แม่ตอบตกลงกับคุณเทพไปแล้ว ว่ายินดีจะยกหญิงมานศรีให้อยู่ในความดูแลของเขา”
“แต่ชายไม่ยอม หม่อมแม่เป็นแม่ แต่ไม่ใช่เจ้าชีวิตของน้องหญิง”
หม่อมสรัสวดีหันมามองลูกชายอย่างไม่พอใจ
“ถ้าไม่ยอม ก็หาเงินมาใช้หนี้คุณเทพสิ แต่ถ้าไม่มีปัญญาไม่ต้องมาพูด”
“ชายทำแน่ครับ เพราะชายจะไม่ยอมให้น้องหญิงต้องรับภาระด้วยการแลกกับศักดิ์ศรี”
ชายคำรณฤทธีมองหน้าแม่อย่างเสียใจ หม่อมสรัสวดีหงุดหงิดที่ลูกชายไม่เชื่อฟัง เดินหนีไป
“ชายจะไปเรียนให้ท่านลุงทราบ”
หม่อมสรัสวดีหันขวับมา
“ไม่ได้นะชาย ตอนนี้ท่านลุงก็มองเห็นแม่เหมือนไส้เดือนกิ้งกือ หรือชายจะให้แม่ถูกท่านลุงเหยียบให้จมดิน”
“ชายไม่มีทางเลือกครับ...เราต้องการความช่วยเหลือ หม่อมแม่ควรจะคิดถึงความรู้สึกของน้องหญิงก่อนตัวเอง”
หม่อมสรัสวดีไม่พอใจมาก
“งั้นเธอก็ไม่ใช่ลูกของฉัน”
หม่อมสรัสวดีเดินออกไป ชายคำรณฤทธีหน้าเสีย ตามแม่ไป ต้องการเคลียร์
“หม่อมแม่ เดี๋ยวก่อนสิครับ มันคนละเรื่องกันเลยนะครับ”
แต่หม่อมสรัสวดีก็ไม่สนใจ
เทพจ้องหน้าหญิงมานศรีก่อนจะระเบิดหัวเราะ อย่างนึกขบขัน
“ฮ่ะๆๆๆ”
หญิงมานศรีไม่พอใจที่เขาไม่ได้มีความสลด ลุกขึ้นจะออกไป
“หญิงหมดเรื่องที่จะคุยกับคุณแล้ว...ขอให้คุณเทพโชคดี คงเข้าใจนะคะว่า หญิงหมายความว่ายังไง...เราจะไม่ได้เจอกันอีก ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมา”
หญิงมานศรีเดินหนี เทพเดินมารั้งเอาไว้
“เรายังต้องเจอกันอีก...ชั่วชีวิต”
“คุณเทพ ปล่อยหญิง”
“ผมปล่อยให้คุณหญิงวางท่า เล่นตัวมาพอแล้ว”
หญิงมานศรีตบหน้าเทพทันที
“หยาบคาย”
เทพจ้องหน้าหญิงสาวตาวาวโรจน์
“คุณหญิง”
ทันใดนั้นเขาก็กระชากร่างหญิงสาวเข้ามา พิไลพรกับแม่แล่ม เข้ามาขัดจังหวะ
“หยุดเดี๋ยวนี้นะคะคุณเทพ”
เทพชะงัก หันไปมองพิไลพรอย่างไม่พอใจ หญิงมานศรีสะบัดหลุดจากเทพ วิ่งไปหาพิไลพร
“เชิญคุณออกไปจากที่นี่ เดี๋ยวนี้”
เทพยิ้มหยัน
“คุณหญิงไล่ผมไปไม่ได้หรอก...เพราะที่นี่เป็นวังของผม”
หญิงมานศรี พิไลพรตกใจ ที่เทพไม่ยอมเลิกราลดละ หม่อมสรัสวดีเข้ามา ชายคำรณฤทธีตามเข้ามา ได้ยินเข้าพอดี ทั้งสองคนชะงัก ตกใจ เทพยิ้มเหี้ยม มองไปที่หม่อมสรัสวดีอย่างเย้ยหยันเตรียมขย้ำเหยื่อ
ทิวนั่งเครียดอยู่ในบ้านพักที่กรุงเทพ เข้มเข้ามาหา...
“เข้มโทรไปเช็คกับคนงานที่ทัดเทพ นายใหญ่สั่งตามล่าตัวนายกับผมพลิกแผ่นดินเลย พวกมันรู้จักบ้านนายที่นี่หรือเปล่าครับ”
“ไม่รู้หรอก...ฉันซื้อเอาไว้นานแล้ว ไม่ได้บอกใครแม้แต่พี่น้อง”
“เราจะเอาไงต่อครับนาย”
“อีกไม่นานหรอก ตำรวจได้คำให้การของลุงมิตรเมื่อไหร่...มันต่างหากที่จะเป็นฝ่ายถูกล่า”
ทิวแค้นเทพมาก
หม่อมสรัสวดีเข้าไปคุยกับเทพต่อหน้าทุกคน
“คุณเทพ...เรื่องนี้ เราควรคุยกันเป็นการส่วนตัว”
“หมดเวลาส่วนตัวแล้วครับหม่อม เรื่องนี้ต้องกลายเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องรับรู้ตามข้อตกลงของเรา...เกี่ยวกับคุณหญิง”
หญิงมานศรีอึ้งงง
“ข้อตกลงอะไรคะหม่อมแม่”
ชายคำรณฤทธีพยายามจะให้น้องสาวออกไปจากที่นี่
“หญิง...ไปกับพี่”
“ไม่ค่ะ หม่อมแม่ตกลงอะไรกับคุณเทพคะ”
หม่อมสรัสวดีอึกอัก
“หญิง...”
เทพตัดบท
“หม่อมสรัสวดียกคุณหญิงให้แต่งงานกับผม โดยมีหนี้สินทั้งหมดและวังกฤตยาเป็นสินสอด”
หญิงมานศรี พิไลพร แม่แล่มตกใจ...ชายคำรณฤทธีหนักใจที่น้องสาวรู้ความจริง หญิงมานศรีมองแม่อย่างเสียใจและผิดหวัง
“จริงเหรอคะ”
สรัสวดีพูดไม่ออกเมื่อเห็นสายตาตัดพ้อของลูกสาว ชายคำรณฤทธีเป็นห่วงความรู้สึกของน้องสาว
“หญิงไม่จำเป็นต้องทำตามความต้องการของเขา”
หญิงมานศรีจ้องหน้าแม่
“หม่อมแม่ตอบหญิงมาก่อนสิคะ ว่าจริงหรือเปล่า”
หม่อมสรัสวดีกล้ำกลืนน้ำตา พยักหน้าอย่างช้าๆ
“หม่อมแม่...”
หญิงมานศรีเสียใจ น้ำตาริน...หม่อมสรัสวดียิ่งเสียใจเข้าไปหาลูกสาว
“หญิง...แม่...แม่...”
หญิงมานศรีถอยหลบ
“หม่อมแม่ทำลายความศรัทธาที่หญิงมีต่อหม่อมแม่ได้ยังไง”
“หญิง แม่ขอโทษ...ที่โกหกหญิง แต่แม่ไม่มีทางเลือก แม่...”
ชายคำรณฤทธี พิไลพร แม่แล่มสะเทือนใจมาก
“หรือว่าหญิงไม่ใช่ลูกแท้ๆของหม่อมแม่ หม่อมแม่ถึงได้ไม่รักหญิงเลย ขายหญิงให้กับผู้ชายเลวๆคนนี้”
“คุณเทพไม่ใช่คนเลว คุณเทพรักหญิงมากนะลูก”
“หญิงรู้ความจริงเกี่ยวกับเขาหมดแล้ว เขาเป็นคนฆ่าพ่อแม่ของคุณทิว ฮุบสมบัติทั้งหมดมาเป็นของเขา ฆ่าทุกคนที่ขวางทางชีวิต ทำทุกอย่างเพื่อสนองกิเลสตัณหา หญิงคือเครื่องมือสุดท้ายที่จะพาเขาไปสู่ฐานะแห่งเกียรติยศ”
หม่อมสรัสวดีอึ้ง...
“ไม่จริง...”
“เขาเป็นคนบาป ไม่ใช่เทพบุตรอย่างที่หม่อมแม่เข้าใจ อีกไม่นานกฎหมายก็จะตามล่าตัวเขาไปสำเร็จโทษ หม่อมแม่กำลังผลักไสหญิงให้ไปตกนรกกับคนเลว”
เทพอึ้ง...แต่ทำเป็นไม่หวั่นไหวกับคำพูดของหญิงสาว
“ไปกันใหญ่แล้วครับคุณหญิง...กล่าวหาผมลอยๆเหมือนนายทิวอีกแล้ว เอาอย่างนี้แล้วกันนะครับ...เคลียร์กันภายในครอบครัวให้เรียบร้อย...ผมจะไปหาฤกษ์งามยามดีรอเอาไว้”
เทพโค้งให้ทุกคน ก่อนจะเดินออกไป หม่อมสรัสวดีทรุดที่รู้ความจริง ไม่คาดคิด ชายคำรณมาปลอบใจน้องสาวที่เสียใจอย่างมาก พิไลพรและแม่แล่มยืนเงียบอยู่ใกล้ๆ
ค่ำนั้น...หญิงมานศรีนั่งร้องไห้เสียใจ มองรูปของพ่อในมือ
“ท่านพ่อขา...ทำไมหม่อมแม่ทำกับพวกเราแบบนี้...ทำไม...”
หญิงมานศรีร้องไห้อย่างหนัก ก้มลงมองภาพของพ่อ
หม่อมสรัสวดีมองรูปของท่านชาย ร้องไห้อยู่ด้วยความเสียใจ
“ฉันทำผิดมากเลยใช่มั้ยคะท่านพี่...สายตาของลูกมันช่าง...ทำให้ฉันเจ็บปวดเหลือเกิน”
ขณะเดียวกันนั้นมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น หม่อมสรัสวดียืนนิ่ง
“เข้ามาเถอะ...”
ชายคำรณฤทธีเข้ามา
“หม่อมแม่ครับ...”
“ชาย แม่เป็นแม่ที่เลวมากเลยใช่มั้ย แม่ทำผิดมาตั้งแต่ต้น เรื่องอัปยศพวกนี้เกิดขึ้นเพราะแม่เป็นต้นเหตุ แม่...เลวอย่างไม่น่าให้อภัย แม่ทำร้ายทุกคน”
“หม่อมแม่ทำผิด แต่หม่อมแม่มีโอกาสที่จะแก้ไขนะครับ”
หม่อมสรัสวดีมองหน้าชายคำรณ
“แม่ยังมีโอกาสอีกเหรอชาย...แม่โดนคุณเทพกดดันมากขนาดไหน ชายก็เห็น...ลูกหญิงก็ชิงชังแม่ แม้แต่มอง น้องก็ไม่อยากจะมอง...แม่เหมือน...ตกนรก”
“โอกาสมีเสมอ ขอเพียงเราไม่ยอมจำนน แล้วน้องหญิงจะกลับมามีศรัทธาในตัวหม่อมแม่เหมือนเดิม”
หม่อมสรัสวดีอึ้ง ครุ่นคิดจะแก้ตัวกับลูกสาว
หญิงมานศรีนั่งเหม่อลอยอยู่ในห้อง หม่อมสรัสวดีเดินมาที่หน้าห้องกับชายคำรณฤทธี เธอมองหน้าลูกชายอย่างไม่แน่ใจ ชายคำรณฤทธีพยักหน้าให้ความมั่นใจกับแม่ หม่อมสรัสวดีตัดสินใจเคาะประตูห้อง
“หญิง...แม่อยากคุยกับหญิง”
หญิงมานศรียังนั่งนิ่ง น้ำตารินออกมาอีกครั้ง ไม่โต้ตอบ หม่อมสรัสวดีใจเสีย เคาะประตูอีก
“หญิง...เปิดประตูให้แม่หน่อยนะลูก หญิง”
หญิงมานศรีนั่งนิ่ง ไม่ตอบ ยังทำใจคุยกับแม่ไม่ได้ หม่อมสรัสวดีร้องไห้ออกมาอย่างเสียใจ ที่ลูกสาวไม่ยอมเปิดประตูเพื่อออกมาคุยด้วย...
“หญิง...ยังโกรธแม่”
หม่อมสรัสวดียืนร้องไห้ ชายคำรณฤทธีเข้ามาปลอบแม่ที่ร้องไห้อย่างหนัก หม่อมสรัสวดีรำพึงออกมา
“บางที...แค่คำพูด หญิงคงไม่เชื่อ”
หม่อมสรัสวดีคิดแก้ไขความผิดพลาดของตน
ทิวยืนอยู่หน้าบ้าน สูดอากาศ เขารู้สึกมีความหวังกับชีวิตคิดถึงภาพในอดีต...เมื่อประมาณ 6-7 ปีที่แล้ว เขาเข้ามาในบ้านด้วยสภาพที่สะบักสะบอม ตรงรี่จะไปหยิบปืนด้วยความเลือดร้อน บุษบาออกมาเห็น ตกใจ เข้ามาดูอาการของลูกชาย
“ทิว...ไปโดนอะไรมา ทิว”
“ผม...ถูกพวกโจรดักปล้นกลางทางครับคุณแม่ ผมสู้มันไม่ได้ ผมรู้ว่ามันเป็นใคร ผมจะไปเอาปืนไปฆ่ามัน”
ทัดเข้ามาห้าม หน้าเครียด
“หยุดเลย ไอ้ทิว!”
“คุณพ่ออย่าห้ามผม...ผมจะไม่ยอมแพ้ ผมจะเอาคืน”
ทิวเดือดดาลด้วยเลือดร้อนของวัยหนุ่ม
“ตอนนี้มันคงหนีไปไกลแล้ว มันปล้นเอาอะไรของแกไป”
“กระเป๋าเงิน”
“แค่กระเป๋าเงิน แค่จิ๊กโก๋ธรรมดา แต่แกจะเอาอนาคตแกไปแลกงั้นเหรอ”
ทิวอึ้ง
“ถ้าไม่อยากแพ้ ก็ไปฝึกการป้องกันตัวให้เก่งๆ จะได้ไม่มีใครมาทำอะไรแกได้อีก”
บุษบาเห็นด้วยกับทัด
“ทิว...พ่อพูดถูกนะลูก ถ้าไม่อยากถูกรังแก ก็ต้องรู้จักป้องกันตัวเองให้เป็น ทำแบบนี้ มันเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ...และทำให้ลูกกลายเป็นฆาตกรมือเปื้อนเลือด”
ทิวนิ่ง เงียบ ทัดมองหน้าลูกชาย
“พ่อขออย่างเดียวนะทิว...ความชั่วไม่ได้หยุดได้ด้วยความชั่ว”
“แล้วหยุดด้วยความดีงั้นเหรอพ่อ พวกมันเลยได้ใจคิดว่าเราอ่อนแอ คอยรังแกอยู่แบบนี้”
“ไม่ตลอดไปหรอกทิว วันนี้ลูกอาจจะยังไม่เข้าใจ แต่สักวันลูกจะต้องคิดถึงคำของพ่อ เมื่อคราวถึงทางตัน...ความดีจะช่วยชี้ประตูทางออกให้ลูกเสมอ”
บุษบาช่วยพูดเสริม
“ชีวิตเราจะมีค่าและมีความหมาย มีความสุข ไม่ใช่ด้วยเงินทองเกียรติยศ...แต่ด้วยความดีต่างหาก”
“กระเป๋าเงินเสียไปแล้วก็เสียไป โจรพวกนั้นอีกไม่นานก็จะถูกจัดการด้วยกฎหมายหรือไม่ก็ธรรมชาติลงโทษเอง เชื่อพ่อกับแม่นะทิว”
“แม่ไม่เคยเห็นคนชั่วคนไหนมีความสุข สวรรค์อยู่ในอก นรกก็อยู่ในใจ แม้จะยิ้มได้ แต่เป็นรอยยิ้มที่ยิ้มเพื่อบรรเทาความรู้สึกผิดบาปในใจตัวเองเท่านั้น”
ทิวยิ้มให้พ่ออย่างยอมรับ ทัดและบุษบามองลูกชายอย่างภูมิใจ
เมื่อนึกถึงอดีตเรื่องนี้ทีไร ทิวยิ้มรู้สึกมีกำลังใจขึ้นมาอีก
“ขอบพระคุณนะครับที่สอนผมให้เชื่อมั่นเดินบนเส้นทางของความดี...ก่อนที่ผมจะหมดหวัง ลุงมิตรคือประตูทางออกบานนั้น”
ทิวรอวันได้ชำระแค้นเทพ
กรุงเทพยามเช้า...ทิว กำลังจะออกไปข้างนอก ขวัญตาตามออกมา เข้มออกมาด้วย ขวัญตาเข้ามาถาม
“พี่ทิวจะไปไหน”
“เรื่องของฉัน”
“ขวัญตาไปด้วย”
“พักผ่อนอยู่ที่นี่แหละ ไม่ต้องไป”
“แต่...”
“ไม่มีแต่ อยากให้ฉันดูแล ก็เชื่อฟัง”
ขวัญตาอึ้ง ทิวเดินออกไป เข้มตามไป ขวัญตามองทิวอย่างน้อยใจและหงุดหงิด...เข้มตามทิวออกมา ทิวเหล่มอง
“ตามมาทำไม”
“ไปคุ้มครองดูแลนายไงครับ”
“แกอยู่ดูแลขวัญตาอยู่ที่นี่แหละ”
“แต่...”
ทิวเสียงเข้มดุ
“ไอ้เข้ม!”
เข้มจ๋อยๆ
“ครับนาย...ระวังตัวนะครับ”
ทิวอ่อนลง
“ฉันไปไม่นานหรอก ไม่ต้องเป็นห่วง คนอย่างฉัน...ตายยาก”
“เข้มก็ว่างั้นล่ะครับ”
“รีบเข้าบ้านไปเลย ไป๊”
เข้มรีบเข้าบ้าน...ทิวอดขำลูกน้องไม่ได้สายตาของเขามีแววอ่อนโยน เมื่อคิดถึงสิ่งที่กำลังจะไปเจอ
หญิงมานศรีมาสมัครงานที่ออฟฟิศแห่งหนึ่ง หญิงสาวนั่งยิ้ม รอฟังผลอย่างมีความหวัง ขณะที่ผู้จัดการเปิดดูประวัติและผลงานส่วนตัวของเธอ ผู้จัดการปิดแฟ้ม แล้วส่งคืนให้
“ความรู้ การศึกษาของคุณก็ดีนะครับ เสียนิดเดียว ประสบการณ์การทำงานน้อยไปสักหน่อย แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก งานสอนกันได้ ถ้าคุณใจกว้างและไม่อีโก้”
หญิงมานศรีดีใจ
“ขอบพระคุณค่ะ ตกลง...ดิฉัน...เอ่อ...”
“ผมบอกเอาไว้ คุณจะได้เอาไปเป็นข้อคิด ถ้าได้งานที่อื่น”
“อะไรนะคะ!”
“ผมเพิ่งรับพนักงานใหม่ไปเมื่อไม่นานนี่เอง ขอโทษที”
หญิงมานศรีคอตก
“นี่เป็นที่ๆสิบแปดแล้ว...ที่ปฏิเสธดิฉัน”
“ขอโทษจริงๆนะ แต่ไม่เป็นไร ทิ้งใบสมัครไว้ ถ้ามีตำแหน่งงานที่เหมาะกับความรู้ความสามารถของคุณ ผมจะติดต่อกลับไป”
หญิงมานศรียกมือไหว้
“ขอบพระคุณค่ะ”
หญิงมานศรีลุก เดินออกไป ผู้จัดการมองอย่างเห็นใจ ให้กำลังใจ
“เวลามีปัญหา...อย่ามองสูงนะ ให้มองลงต่ำๆ”
หญิงสาวแปลกใจ ผู้จัดการยิ้มให้
“ยังมีคนที่ประสบปัญหามากกว่าคุณมากมาย...จะได้ไม่หมดกำลังใจ ถึงยังไง คุณก็ยังดีกว่าคนหลายๆคน ที่อาจจะไม่มีแม้แต่ข้าวสารจะกรอกหม้อ”
หญิงมานศรีอึ้ง ค่อยๆยิ้มออกมาได้ ไหว้ผู้จัดการอีกครั้ง
“ขอบพระคุณค่ะ ที่ให้กำลังใจ...และให้สติ”
“โชคดีนะครับ”
มานศรียิ้มออกไป
หญิงมานศรีนั่งอยู่มุมหนึ่งในสวนสาธารณะ เธอถอนใจคิดมากที่ยังหางานทำไม่ได้ พิไลพรเดินเข้ามาหา
“คุณหญิงคะ”
“พร...”
“เป็นยังไงบ้างคะ”
หญิงมานศรีส่ายหน้า พิไลพรปลอบใจ
“ไม่เป็นไรนะคะ คุณหญิงเป็นคนเก่ง หางานได้ไม่ยากหรอกค่ะ”
“ยากตรงที่ต้องรอ...หญิงไม่รู้จะช่วยหม่อมแม่ พี่ชายได้ยังไงแล้ว”
หญิงมานศรีเริ่มรู้สึกอ่อนแอ อ่อนล้า พิไลพรคิดๆ
“ทำไมไม่ลองปรึกษา...”
“ใครล่ะที่จะยอมยื่นมือมาช่วยเหลือ หญิงไม่มีผลประโยชน์ใดๆที่จะให้ใครเป็นการตอบแทน นอกจากคำว่าขอบคุณ”
“บางคนอาจจะยอมช่วยคุณหญิง โดยไม่คิดจะอยากได้อะไรตอบแทน”
“พรจะให้หญิงเชื่อใจใครแบบนั้นได้อีก ที่ผ่านมาเพราะมองคนในแง่เกินไปไม่ใช่เหรอ เราถึงได้อยู่ในสภาพแบบนี้”
“แต่โลกนี้ยังไม่ไร้สิ้นซึ่งคนดีหรอกนะคะ ลองคิดดีๆนะคะคุณหญิง ว่าจะมีใครได้อีก”
“ถ้าพรหมายถึง...”
หญิงมานศรีคิดถึงทิว
“หญิงไม่อยากเอาเรื่องร้อนใจไปให้เขาอีก เท่าที่เขาเจออยู่ตอนนี้ก็หนักหนาสาหัสพอแล้ว”
พิไลพรมองอย่างเห็นใจ หญิงมานศรีพยายามรวบรวมสติ
“หญิงภาวนานะพร ขอให้พระคุ้มครองคนดีอย่างนายทิว ขอให้เขาได้รับความยุติธรรม ขอให้มีครอบครัวที่อบอุ่น พร้อมตาพ่อแม่...และลูกที่รักกัน เข้าใจกัน”
หญิงมานศรีคิดถึงทิว แต่เป็นความคิดถึงที่เจ็บปวด หญิงสาวพยายามสลัดไล่ความรู้สึก หันไปหาพิไลพรอีกครั้ง พิไลพรยิ้มให้ แล้วเดินฉีกตัวออก ปรากฏร่างของทิวยืนอยู่ มองมาที่หญิงสาวด้วยสายตาอ่อนโยน หญิงมานศรีตกใจ
“นายทิว!”
หญิงมานศรีมองพิไลพรเอาเรื่อง...พิไลพรยิ้มแหยๆ
“ขอโทษด้วยนะคะคุณหญิง...พรทำเพื่อคุณหญิงและคุณทิว...คนดีที่พรรักทั้งสองคนนะคะ”
พิไลพรรีบเดินออกไปทันที หญิงมานศรีสบตาทิว กลัวหวั่นไหว รีบเดินหนี ทิวตาม
“คุณหญิง...”
หญิงมานศรีเดินหนี ทิวเข้ามาจับมือเอาไว้ หญิงสาวชะงัก
“ปล่อยค่ะ”
“คุณหญิงอย่าหนีผมสิ”
“ไม่ได้หนี แต่คงไม่ดี”
“ทำไม คุณกลัวอะไร”
“หรือนายไม่กลัวนายเทพจะหานายเจอ นายกำลังตกอยู่ในอันตราย”
“เป็นห่วงผมใช่มั้ย”
“ใช่!”
ทิวอึ้งดีใจ คิดว่าหญิงสาวกำลังจะเปิดเผยความใน
“ถ้านายเป็นอะไรไป ขวัญตา และลูกของนายที่กำลังจะลืมตาดูโลกจะอยู่กันยังไง”
ทิวผิดหวัง
“ครอบครัวที่ไม่มีผู้นำ ทำให้คนที่อยู่ข้างหลังระส่ำระสายมากได้แค่ไหน ฉันรู้ดี”
“คุณเป็นห่วงผม เพราะเหตุผลนี้เหรอ”
“คิดว่าจะมีเหตุผลอะไรได้อีกล่ะ”
หญิงมานศรีมองทิวแน่วแน่ ทั้งๆที่ใจตัวเองก็ปวดร้าว ทิวพยายามเพ่งมองแววตาของหญิงสาว
“แต่ผมไม่เชื่อ”
“นายอยากได้ยินอะไรจากปากของฉัน”
“คุณก็พูดออกมาสิ คุณรู้”
“ฉันไม่รู้อะไรทั้งนั้น...”
ทิวและหญิงมานศรีจ้องหน้ากันนิ่ง ไม่มีใครยอมเอ่ยปากขึ้นมาก่อน
“นายรีบกลับไปดูแลขวัญตาเถอะ อย่ามาเสียเวลาและเสี่ยงอันตรายอยู่แบบนี้เลย”
“ผมอาจจะไม่มีเวลาได้อยู่กับคุณแบบนี้อีก”
หญิงมานศรีใจหาย
“อย่าพูดเป็นลางได้มั้ย”
“คุณหญิง...เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้ใช่มั้ย”
หญิงสาวอึ้งไป
“ผมอยากช่วยคุณ ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของไอ้เทพ”
หญิงมานศรีตกใจ และไม่อยากยอมรับความช่วยเหลือจากเขา เธอเดินหนีไปเลย ทิวพูดขึ้น
“เหตุผลเดียวที่คุณไม่รับความช่วยเหลือจากผม คือ...คุณอยากแต่งงานกับไอ้เทพจริงๆงั้นสิ”
หญิงมานศรีชะงัก เดินกลับลิ่วๆไปหาเงื้อมือตบหน้าเขา ทิวรับมือของเธอเอาไว้ได้แล้วกระชากเข้ามาจะประทับจูบ หญิงสาวดิ้นจนล้มลงไปนอนบนพื้นกันทั้งคู่ หญิงมานศรีจะลุกหนี ทิวสวมกอดเอวของเธอเอาไว้แน่นจนไม่สามารถลุกหนีไปได้...ทิวนั่งกอดหญิงสาวจากทางด้านหลังซบหน้ากับผมพูดอย่างแผ่วเบา
“ถ้าอย่างนั้นก็ยอมรับความช่วยเหลือของผม”
หญิงมานศรีนิ่ง พูดโดยที่ไม่หันไปมอง
“ฉันรับไม่ได้ ถ้านายช่วยฉัน แล้วครอบครัวของนายล่ะ มันไม่ใช่เงินน้อยๆเลย”
ทิวอึ้ง
“ฉันจะหาทางของฉันเอง”
หญิงมานศรีหันไปมองหน้าเขาใบหน้าประชิดกัน
“ขอบคุณนะ ฉันจะไม่ลืม...ว่าครั้งหนึ่ง ผู้ชายที่ฉันเคยเกลียดชังเพราะคิดว่าเขาคือซาตาน กลับมีจิตใจที่งดงามและเต็มไปด้วยความปรารถนาดีที่จะช่วยเหลือฉัน”
“เธอเคยช่วยฉัน ฉันก็ต้องช่วยเธอ”
“ในฐานะเพื่อนที่ดีต่อกัน”
“ใช่ เพื่อนที่ดีต่อกัน”
หญิงมานศรีเบือนหน้าหนีซ่อนน้ำตาที่กำลังจะรินไหล ทิวก้มหน้านิ่ง ค่อยๆซบลงกับผมของหญิงสาว หญิงมานศรีกล้ำกลืนอย่างปวดร้าว เหมือนทิวที่ไม่แสดงออกถึงความเจ็บปวด
“พรุ่งนี้สำหรับผม อาจจะมาไม่ถึง เพราะฉะนั้นวันนี้ ตอนนี้ขอผมอยู่อย่างนี้อีกสักพักได้มั้ย ก่อนที่เราจะต้องจากกัน...อาจจะชั่วนิรันดร์”
หญิงมานศรีพยักหน้าช้าๆ
“ก่อนที่เราอาจจะต้องจากกัน...ชั่วนิรันดร์”
ทั้งสองคนนั่งอยู่อย่างนั้นอย่างเงียบงัน นิ่งนาน
เกิดเป็นหงส์ ตอนที่ 14 (ต่อ)
ทางด้านเทพอยู่ในห้องพักของโรงแรม กำลังพักผ่อนอิริยาบถด้วยการอาบน้ำในอ่างคุยมือถือกับล้วน หลังจากให้ล้วนไปสืบจนรู้ว่าธีรพลพาลุงมิตรมารักษาตัวที่ไหน
“คิดไว้แล้วไม่มีผิด...มันต้องเอาไอ้มิตรมารักษาที่นี่ จัดการมัน แล้วไอ้ทิวมันจะต้องออกมาให้ฉันเชือดเอง”
เทพเหวี่ยงโทรศัพท์ลงพื้น....ยิ้มเหี้ยม จิตขึ้นเรื่อยๆ
“คนอ่อนแอ ย่อมเป็นเหยื่อของคนที่แข็งแรงกว่า คนที่ถูกล่าคือแก ไม่ใช่ฉัน ไอ้ทิว”
เทพลุกขึ้นจากอ่าง
ค่ำนั้น...ล้วนและลูกน้องของล้วนในชุดเจ้าหน้าที่บุรุษพยาบาล ใส่หน้ากากอนามัยเดินเข็นเตียงมาจอดที่หน้าห้องลุงมิตร ร.ป.ภ.ที่เฝ้าหน้าห้องลุกขึ้น
“หมอให้มารับตัวไปเอกซเรย์ เช็กครั้งสุดท้าย”
ร.ป.ภ.เพ่งดูหน้าแต่ละคน แต่ละคนลุ้น ร.ป.ภ.พยักหน้า ล้วน พยักหน้ากับลูกน้อง ทั้งหมดเปิดประตูห้องลุงมิตร เข็นเตียงเข้าไป ร.ป.ภ.ลงนั่งเฝ้าหน้าห้องต่อไป
ลุงมิตรนอนหลับอยู่บนเตียง ล้วนเข้ามาประชิดขอบเตียง ในมือถือเข็มฉีดยาที่มีโปแตสเซียมคลอไรด์ ลูกน้องล้วนเข้ามาจับตัวลุงมิตรและปิดปาก ลุงมิตรสะดุ้งตื่น ล้วนจัดการฉีดยาที่เส้นเลือดที่แขนของลุงมิตร ลุงมิตรพยายามดิ้นแต่ก็ไม่หลุด ยาหมดหลอด ลุงมิตรค่อยๆแน่นิ่ง ล้วนพยักหน้าให้ลูกน้องทำตามแผนต่อไป
ลูกน้องล้วนเข็นเตียงที่มีลุงมิตรนอนแน่นิ่งเหมือนแค่นอนหลับออกมาจากห้อง ร.ป.ภ.พยักหน้าให้ ล้วนพูดนิ่งๆ
“หลับอุตุเลยลุง ปลุกก็ไม่ตื่น เลยต้องไปทั้งๆหลับๆแบบนี้”
ร.ป.ภ.ยิ้มให้ ล้วนและลูกน้องรีบเข็นเตียงลุงมิตรออกไป...ลูกน้องล้วนเข็นเตียงลุงมิตรมาตามทางเดินมาถึงมุมเปลี่ยว ปลอดคน ทั้งหมดทิ้งเตียงเอาไว้ แล้วรีบเดินหนีไปทางอื่น ลุงมิตรนอนแน่นิ่ง ไร้ชีวิต
เช้าวันใหม่...ทิวหันไปจะต่อยหน้าต่างที่เป็นกระจกเพื่อระบายแค้น
“โธ่เว้ย!”
แต่แล้วทิวก็ยั้งเอาไว้ ไม่ระบายอารมณ์ลงกับของแต่ก็คับแค้นใจ
“ไอ้เทพ ไอ้...!”
ทิวน้ำตาซึม สงสารลุงมิตร
“ฉันอยากเห็นหน้าลุงมิตรเป็นครั้งสุดท้าย ฉันอยากไปลา”
เข้มห้าม
“แต่คุณชายหมอไม่ให้นายไปที่นั่นนะครับ พวกของนายเทพอาจจะดักรอให้นายปรากฏตัว นายจะเป็นอันตราย”
“ทำไม...ทำไมฟ้าต้องเข้าข้างมัน แต่อีกไม่นานหรอก อีกไม่นาน”
ทันใดนั้นเสียงแก้วแตกดังเพล้งมาจากข้างในบ้าน ทิวและเข้มตกใจ
ขวัญตากำลังจะเขวี้ยงจานข้าว กับข้าวลงบนพื้นอีก หลังจากปาแก้วแตกไปแล้ว ทิวและเข้มตกใจเข้ามา
“ทำอะไรน่ะขวัญตา”
“ไม่ต้องกงต้องกินมันแล้ว”
ทิวเข้าไปห้ามเอาไว้ เข้มเข้าไปเก็บกวาดซาก
“เป็นบ้าอะไร ไม่กินได้ยังไง คิดถึงลูกในท้องหน่อย”
“คำก็ลูกในท้อง สองคำก็ลูกไอ้วิวัฒน์ แล้วมีตอนไหนที่พี่ทิวคิดถึงตัวขวัญตาบ้าง”
“ทำไมฉันต้องคิดถึงเธอ”
“พี่รับขวัญตาเป็นเมียแล้ว แต่ไม่เคยดูแลหัวใจ ทิ้งๆขว้างๆให้เหงาอยู่ในเดียวในบ้านที่ไม่มีใคร แม้แต่หางตาก็ไม่เคยหันมามอง เหมือนขวัญตาไม่มีตัวตน”
“ใช่...เธอไม่ได้มีตัวตนในสายตาฉันตั้งแต่วันที่ฉันรู้เช่นเห็นชาติสันดานเธอ”
ขวัญตาตะลึง
“พี่ทิว...”
“ที่ฉันออกตัวรับผิดชอบ เพราะฉันทำเพื่อไอ้วิวัฒน์ และเด็กผู้บริสุทธิ์ ไม่ใช่เพื่อเธอ”
ขวัญตาเจ็บใจ
“อ๊ายย! พี่ทิว!”
“เลิกเห็นแก่ตัวได้แล้ว เธอกำลังเป็นแม่คน มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบลูกในท้อง แม้แต่หมามันยังอุ้มท้อง คลอดลูกและเลี้ยงลูกของมันเป็นครอกได้ แต่เธอเป็นคน ทำตัวอย่าให้อายหมา”
เข้มสะดุ้ง ขวัญตาจุกจนพูดไม่ออก โกรธ เสียใจ จนพาลกับลูกในท้องตีท้องตัวเอง
“ฉันเกลียดแก ฉันเกลียดแก ไอ้มารหัวขน ฉันเกลียดแก”
ทิวเข้าไปห้ามขวัญตาให้สงบสติอารมณ์
“หยุดเดี๋ยวนี้ขวัญตา หยุด”
“ไม่หยุด!”
ทิวอุ้มขวัญตาออกไป เข้มตามออกไปด้วยอย่างเป็นห่วง...ทิวลากขวัญตาที่คลั่งเหมือนเป็นบ้าออกมา ที่ก๊อกน้ำสนามหน้าบ้าน
“ไอ้เข้ม เปิดน้ำ”
เข้มรีบทำตาม เอาสายยางมาให้อย่างงงๆ
“จะรดน้ำต้นไม้ตอนนี้เหรอนาย แดดเปรี้ยงเนี่ยนะ”
“รดต้นไม้ที่กำลังตายซากต้นนี้”
ทิวเอาสายยางที่มีน้ำไหลอยู่ฉีดใส่ขวัญตา
“ว้าย! พี่ทิว หยุดนะ”
“อยู่เฉยๆ จะได้เลิกทำตัวเหี่ยวแห้ง มีชีวิต มีจิตใจที่สมบูรณ์ ไม่แหว่งวิ่น ขาดๆเกินๆแบบนี้”
ขวัญตาร้องไห้หนัก เสียใจ
“ปล่อยขวัญตานะ ปล่อยขวัญตา ปล่อย ฮือๆๆๆๆๆ”
ขวัญตาหมดฤทธิ์ หมดแรง นั่งร้องไห้ เข้มมองอย่างสงสาร ทิวค่อยๆอารมณ์เย็นลง ลดสายยางลง แล้วทิ้งลงพื้น มองขวัญตาอย่างระอาใจ แล้วเดินออกไป ขวัญตายังนั่งร้องไห้อยู่อย่างนั้น เข้มพูดปลอบใจ
“ตัดใจจากนายซะเถอะขวัญตา...ขวัญตาก็รู้ว่านายใจเด็ดขนาดไหน นายมีคนอื่นอยู่ในหัวใจแล้ว ไม่มีทางที่นายจะกลับมารักเธอเหมือนเดิม”
ขวัญตาอึ้งไป เข้มลุกเดินออกไป ขวัญตาร้องไห้อย่างสิ้นท่า หมดหวัง
เทพตบล้วนเปรี้ยง แล้วหันไปตบลูกน้องคนอื่นๆอย่างฉุนเฉียว
“จะยืนหายใจทิ้งกันอยู่ทำไม ไร้ประโยชน์ ออกไปหามันสิวะ หาให้เจอ ว่ามันไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหน กรุงเทพเล็กแค่นี้ ทำไมป่านนี้ยังหาไม่เจอ”
“แต่...”
“ไม่มีคำว่าแต่...”
เทพซัดล้วนไปอีกทีแค้นเคือง ตะโกนอย่างเดือดดาล
“และจะต้องไม่มีคำว่าไม่ได้ ฉันต้องได้ ต้องมี ต้องเป็น ในสิ่งที่ฉันต้องการ ส่งคนไปตามหาไอ้ทิว ส่วนแกไอ้ล้วน...ไปทำงานอีกอย่างให้ฉัน”
“ครับ นายใหญ่” ล้วนกับลูกน้อง รีบออกไป
หญิงมานศรีเดินอย่างรีบเร่ง โทรมือถือไปด้วย เธอหันไปถามพิไลพร
“หม่อมแม่ไปไหน ทำไมไม่มีใครรู้ โทรติดต่อไม่ได้เลย”
“หม่อมอาจจะไปหาเพื่อนก็ได้นะคะ”
“เพื่อนหม่อมแม่ทุกคนที่หญิงรู้จัก ยืนยันว่าไม่ได้นัดพบกัน”
คำรณฤทธีวิ่งเข้ามา
“น้องหญิง...โทรให้พี่มาหา มีเรื่องอะไรจ๊ะ”
“หม่อมแม่ไปไหน พี่ชายทราบมั้ยคะ หญิงเป็นห่วงหม่อมแม่ หญิงกลัวหม่อมแม่เป็นอันตราย”
คำรณฤทธีหน้าเสีย ทุกคนเป็นห่วงสวัสดิภาพของหม่อมสรัสวดี
หม่อมสรัสวดีซัดไพ่ลงกับโต๊ะอย่างอารมณ์เสียภาย ในห้องโรงแรมที่ทำเป็นบ่อนไพ่ โดยมีอีกโต๊ะก็นั่งเล่นกันอยู่ แต่ละคนล้วนดูไฮโซ หม่อมสรัสวดีเก็บกระเป๋า เจ้ามือรีบถาม
“อ้าว...หม่อม จะเลิกแล้วเหรอครับ”
“เออ สิ เสียได้เสียดี คิดว่าจะหาเงินไปใช้หนี้ได้บ้าง นี่อะไร กลับเสียหนักเข้าไปอีก”
“เลิกเล่นเถอะค่ะหม่อม ก่อนจะเสียจนไม่มีอะไรจะเสีย”
“ปากหรือว่าบ่อเกรอะคะคุณพี่ พูดออกมาได้”
หม่อมสรัสวดีคว้ากระเป๋าลุกหนีออกไป ทุกคนมองตามส่ายหน้าเอือมระอา
“เล่นจนจะขายลูกกินอยู่แล้ว ยังไม่เข็ด คนแบบนี้ ไม่เห็นโรงศพไม่หลั่งน้ำตา”
หม่อมสรัสวดีเดินอย่างฉุนเฉียวมาจากโรงแรม ล้วนเดินมาจากมุมหนึ่ง ประกบด้านหลังแล้วเอาปืนที่ซ่อนอยู่ในเสื้อนอก จี้หลัง หม่อมสรัสวดีตกใจจะร้อง
“วะ...”
“ร้องเสียงดัง กระสุนลั่นทันทีนะครับหม่อม ทำตัวปกติ”
“แก...จะทำอะไร”
“ตามผมมา เดี๋ยวก็รู้เอง”
หญิงมานศรีและพิไลพรเข้ามาหาคำรณฤทธี
“ทำยังไงดีคะพี่ชาย...ตามตัวหม่อมแม่ไม่ได้เลย”
“ใจเย็นๆ...”
พิไลพรออกความเห็น
“ไปรอที่วังกันดีมั้ยคะ มือถือหม่อมอาจจะแบตหมดก็ได้ เราอย่าเพิ่งคิดไปในทางร้ายเลยนะคะ”
หญิงมานศรีสบตาพี่ชายอย่างขอความเห็น คำรณฤทธีพยักหน้าเห็นด้วยกับพิไลพร หญิงมานศรีเป็นห่วงแม่มาก
ล้วนนำตัวหม่อมสรัสวดีมาที่ห้องพักเทพ...เทพตบเปรี้ยง! หม่อมสรัสวดีล้มลงอย่างตื่นกลัว เทพย่างสามขุมเข้าหา หม่อมสรัสวดีถอยกรูด
“ยังจะเข้าบ่อนอีกเหรอหม่อม”
“เรื่องของฉัน”
“จะหาเงินมาใช้หนี้ผมเหรอหม่อม”
“เรื่องของฉัน”
“นังหน้าโง่”
หม่อมสรัสวดีถุยน้ำลายใส่
“ถุย! ก็ดีกว่าคนชั่วอย่างแก”
เทพบีบหน้าหม่อมสรัสวดีอย่างแรง และแค้น โกรธ
“งั้น...ถ้าคนชั่วอย่างฉันไม่ได้แต่งงานกับมานศรีโสภาคย์...แก ลูกชายแก คนใช้แก หรือแม้แต่...ลูกสาวแสนสวยและสง่าดุจหงส์งามจะถูกฉันฆ่าล้างโคตร”
หม่อมสรัสวดีตื่นกลัวรนราน
“อย่านะ...ขอร้องล่ะ อย่าทำอะไรพวกเราเลย ฉันจะพยายามหาเงินมาใช้หนี้คุณ นะ ขอร้อง จะให้ฉันทำอะไรก็ได้ ฉันยอมทำทุกอย่าง นะ...”
“กราบเท้าผมสิ”
เทพลุกขึ้น หม่อมสรัสวดีอึ้งแต่ก็จำใจ ยอมกราบแทบเท้า เทพมองยิ้มเหยียดๆ
“คนเราเนี่ย เวลาที่หลังชนฝา ทำให้ทำได้ทุกอย่างจริงๆ”
“คุณยอมรับข้อเสนอของฉันแล้วใช่มั้ย”
“ฉันไม่ชอบให้ใครมาต่อรอง”
เทพถีบหม่อมสรัสวดีกระเด็น
“ทางเลือกสำหรับแกมีสองทางคือ ฉันต้องได้แต่งงานกับมานศรีโสภาคย์ ไม่อย่างนั้นก็ตายยกครัว”
เทพหน้าเหี้ยม เดินออกไป
“ไม่!”
สรัสวดีร้องไห้ปริ่มว่าจะขาดใจ
ค่ำนั้น...หม่อมสรัสวดียืนเหม่อน้ำตาไหลรินอยู่ริมน้ำเจ็บปวดตรึกตรอง...มีสิ่งสำคัญภายในใจที่ต้องตัดสินใจ ทันใดนั้นเสียงมือถือดังขึ้น เธอรีบกดรับ
“หญิงเหรอลูก...มาถึงกันหรือยัง จ๊ะ แม่รออยู่”
หม่อมสรัสวดีวางสาย นิ่งขึ้น เปิดกระเป๋า หยิบตลับแป้งขึ้นมาเช็ดความเรียบร้อยของใบหน้า ตบท้ายด้วยการทาลิปสติกสีสด มองตัวเองในกระจกอย่างมั่นใจก่อนจะเก็บตลับแป้งลงกระเป๋า ยืนอย่างนิ่งสงบ
ในร้านอาหารหรูหรา...หญิงมานศรี และชายคำรณฤทธีนั่งที่โต๊ะอาหาร มองไปที่หม่อมสรัสวดีซึ่งยิ้มแย้มผิดปกติ สั่งอาหารกับบริกร
“สั่งแค่นี้ก่อนจ๊ะ รีบเอาเครื่องดื่มมาก่อนนะ ฉันคอแห้ง”
บริกรโค้งออกไป หญิงมานศรีมองแม่อย่างแปลกใจ
“หม่อมแม่สั่งซะเยอะมากเลยค่ะ ทานกันหมดเหรอ”
“วันนี้แม่อารมณ์ดีจ๊ะ เราไม่ค่อยได้ทานข้าวข้างนอกกันนานแล้ว แม่เลยชวนลูกๆมาที่นี่ ร้านที่ท่านพ่อโปรด แม่คิดถึงบรรยากาศแห่งความสุข...วันที่เรายังอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา”
ชายคำรณฤทธียังสงสัยไม่หาย
“หม่อมแม่หายไปไหนมาครับ”
“แม่ไปจัดการธุระนิดหน่อย...และแม่ก็มีข่าวดีมาบอก ถึงได้มาฉลองกันนี่ไง”
หญิงมานศรีกับชายคำรณมองหน้ากัน แปลกใจ บริกรนำเครื่องดื่มมาเสิร์ฟพอดี
“ดื่มกันก่อน...แล้วแม่จะบอกข่าวดีกับลูกๆทีหลัง ชนแก้วจ๊ะ”
หม่อมสรัสวดีชูแก้วเครื่องดื่มกับลูกชายและลูกสาว หยิงมานศรีและชายคำรณฤทธีชนแก้วกับแม่รู้สึกแปลกๆ เสกสรรค์เข้ามา
“ฉลองเนื่องในโอกาสอะไรกันครับ”
หญิงมานศรี หม่อมสรัสวดี ชายคำรณฤทธีตกใจ เสกสรรค์ยืนยิ้ม หญิงมานศรีไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
ทิวนั่งนิ่ง ตั้งสติ ครุ่นคิดอยู่ในมุมหนึ่งของบ้านพัก เข้มเข้ามาหา
“ขวัญตาไม่ยอมออกมาจากห้องเลยครับนาย ตั้งแต่กลางวันแล้ว ข้าวปลาก็ไม่กิน เคาะเท่าไหร่ก็ไม่ยอมส่งเสียงตอบรับเลย”
“ปล่อยเขาไปเถอะ ให้เขาได้อยู่กับตัวเอง อาจจะได้คิดอะไรขึ้นมาบ้าง”
เข้มพยักหน้าช้าๆ
“เราจะอยู่อย่างหลบๆซ่อนๆแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหนครับนาย”
“ฉันไม่รู้จริงๆ ไม่มีลุงมิตร ก็ไม่มีหลักฐานอะไรไปเอาผิดมันได้อีก”
“คนชั่วจะลอยนวลอยู่อย่างนี้ต่อไปจริงๆเหรอครับนาย”
“ไม่หรอกเข้ม ฉันเชื่อในคำพูดของพ่อและแม่ฉัน ไม่หรอก...เมื่อเราเจอทางตันจะมีแสงสว่างที่ประตูทางออกให้เราเห็นเสมอ เพียงแค่เราต้องอดทนและรอคอย”
เข้มไม่ค่อยเห็นด้วย ในขณะที่ทิวเครียด
หม่อมสรัสวดียิ้มแย้มต้อนรับเสกสรรค์
“เชิญนั่งร่วมโต๊ะด้วยกันสิคุณเสก”
หญิงมานศรี ชายคำรณฤทธีและเสกสรรค์แปลกใจที่หม่อมสรัสวดีมาดี เสกสรรค์อึ้งๆ
“หม่อมยินดีต้อนรับผมเหรอครับ นี่ผมหูฝาดไปหรือเปล่า”
“ไหนๆชาตินี้คุณก็ไม่มีสิทธิ์ในตัวลูกหญิงของฉัน ฉันก็ไม่รู้จะรังเกียจและขับไล่คุณไปเพื่ออะไร”
เสกสรรค์จะเดินหนี หม่อมสรัสวดีเรียกไว้
“ไม่อยากฟังข่าวดีของลูกหญิงหรือไง คุณน่าจะอยู่ร่วมแสดงความยินดีกับลูกหญิงหน่อยนะ”
หญิงมานศรีไม่เข้าใจ
“ข่าวดีอะไรคะหม่อมแม่ ช่วงนี้ บ้านเรามีเรื่องร้ายๆที่ยังแก้ปัญหากันไม่ตก”
“มีสิ...ชีวิตคนเราจะเจอเรื่องร้ายๆอะไรกันได้ตลอดเวลา มันก็ต้องมีเวลาฟ้าหลังฝนกันบ้าง...”
เสกสรรค์เข้ามานั่ง
“งั้นก็แถลงข่าวเลยครับ ว่าข่าวดีอะไร”
“ลูกหญิงกำลังจะเข้าพิธีแต่งงานกับคุณเทพ ธงธรรมค่ะ”
หญิงมานศรี ชายคำรณฤทธี เสกสรรค์ ตกใจ หญิงมานศรีร้องลั่น
“หม่อมแม่!”
เทพยืนดื่มเครื่องดื่มอย่างสบายใจ ล้วนเข้ามารับคำสั่ง
“จัดเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้วใช่มั้ย สำหรับการเป็นเจ้าบ่าวของหงส์งามแห่งกฤตยา”
“ครับ”
เทพหัวเราะอย่างสะใจ
“ฮ่ะๆๆๆๆๆๆ ฉันสบายใจอย่างบอกไม่ถูกเลยล้วนเหมือนขึ้นสวรรค์ คิดดูสิ...วันที่ฉันเข้าหอกับคุณหญิง สุดยอดปรารถนาของฉัน...มันจะยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์อีก...ฮ่ะๆๆๆๆ”
เทพหัวเราะอย่างหื่นกระหาย
สาวใช้คนใหม่หน้าตาจิ้มลิ้มกำลังยกสำรับอาหารเดินมาที่มุมหนึ่งคฤหาสน์ ผ่องทิพย์กับบุญปลูกเดินเข้ามา ผ่องทิพย์เตะตาสาวใช้
“เดี๋ยวก่อน”
“คะ”
“มาใหม่เหรอ”
บุญปลูกสอดขึ้นทันที
“ค่ะ มาใหม่ ยังเอ๊าะๆ กระดูกกรุบๆ และอ่อนต่อโลก สุ่มเสี่ยงกับการถูกกินรวบค่ะคุณนาย”
“จะเอาไปให้พี่พวงที่ห้องเหรอ”
“ค่ะ”
ผ่องทิพย์แย่งถาดมาแล้วสาดจานชามที่ใส่ข้าวและกับข้าวใส่สาวใช้ สาวใช้และบุญปลูกตกใจ
“ไปเอามาใหม่ มันหกหมดแล้ว”
สาวใช้ยืนร้องไห้ ใจเสีย
“ร้องไห้อยากกลับบ้านไปหาแม่แกหรือไง! เงียบ”
สาวใช้ยิ่งร้องไห้หนัก
“ไม่เงียบใช่มั้ย”
ผ่องทิพย์ตบสาวใช้เปรี้ยง
“ฉันไล่แกออก ที่ไม่เชื่อฟังคำสั่งฉัน ไป๊!”
สาวใช้อึ้ง ช็อก
“บอกให้ไป!”
“ไปสิ จะให้ซ้ำหรือเปล่า พร้อม”
บุญปลูกเงื้อมือเตรียมตบสาวใช้ สาวใช้ร้องไห้วิ่งหนีไป ผ่องทิพย์หัวเราะลั่นบ้าน ดั่งนางพญา เดินนวยนาด ยิ้มย่องในบ้านหลังใหญ่
“วันนี้ฉันมีความสุขมากที่สุดเลยรู้มั้ย วันที่ฉันเป็นเมียคุณเทพเพียงคนเดียวที่ยืนอยู่ที่นี่ ไม่มีใคร”
“แต่ยังมีคุณพวงอยู่ข้างบนนะคะ”
ผ่องทิพย์มองขึ้นไปด้านบน อย่างมีแผน
“ฉันเคยบอกแล้วใช่มั้ย...แม้แต่พี่สาวแท้ๆ ถ้ามาขวางทางฉัน ฉันก็ไม่เอาไว้เหมือนกัน ยิ่งคุณเทพไม่อยู่แบบนี้ด้วยล่ะก็...”
บุญปลูกสะดุ้งกับความคิดของผ่องทิพย์ ที่ช่างน่ากลัว ผ่องทิพย์ตาวาวโรจน์ด้วยคิดกำจัดพวงทองไปอีกคน
ทิวเดินมาเคาะประตูห้อง
“ขวัญตา ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย ออกมาหน่อย ขวัญตา”
ไม่มีเสียงตอบรับจากในห้อง ทิวเคาะประตูอีกครั้งด้วยความหงุดหงิด
“ขวัญตา ฉันบอกให้เปิดประตู”
เสียงเงียบทิวเริ่มเอะใจ หันไปสั่งการเข้ม
“ไอ้เข้ม พังประตู”
“ครับ!” เข้มกระแทกประตูสองสามที ไม่หลุด
ทิวถีบอย่างแรงหนึ่งทีประตูเปิดออก ทิวมองเข้าไปในห้องไม่มีขวัญตาอยู่ในนั้น
“ขวัญตาไปไหน”
ทิวประหลาดใจมาก
โปรดติดตามตอนที่ 15 พรุ่งนี้