มาหยารัศมี ตอนที่ 18 อวสาน
เวลานั้นจันทราเดินหลบเลี่ยงผู้คนมาตามทาง มุ่งหน้าไปยังบ้านเช่าในสลัม จันทรายามนี้ไม่เหลือเค้าคุณนายแห่งบ้านมณีกุลสักน้อย ขาเป๋ หน้าตามีแต่ริ้วรอยแผลเป็น น่าเกลียดน่ากลัว จำหน้าเดิมแทบไม่ได้ จันทราเดินเอาผ้าปิดหน้า ลากขาเดินไปตามทาง
“ผีๆๆๆ” เด็กๆ เห็น ร้องไห้จ้าละหวั่น กรี๊ดกันลั่นซอย
จันทราเอามือจับหน้าจับขาตัวเอง น้ำตาคลอ เสียใจ แค้นใจที่ตัวเองต้องมาพิการและใบหน้าเสียโฉม กลายเป็นคนอัปลักษณ์ และยิ่งโกรธแค้นเมื่อคิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาก็ยิ่งแค้นหนัก
คืนนั้น ขณะที่จันทราจะข้ามถนน หนีการตามไล่ของสรรชัยกับธิติรัตน์ รถบรรทุกคันหนึ่งวิ่งมาด้วยความเร็วสูง จันทราหันไปมองเห็นไฟสูงจากรถบรรทุกสาดมาเจิดจ้า และเห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่กลางถนนขวางหว่างกลางจันทรากับรถบรรทุกคันนั้น จันทราหวีดร้องสุดเสียง และฮึดสุดแรงเกิดกระโดดหลบเข้าข้างทาง
จันทราหันไปเห็นรถบรรทุกคันนั้นพุ่งเข้าชนร่างหญิงเคราะห์ร้ายเข้าอย่างจัง เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด ดังสนั่น รถบรรทุกคันนั้นลากร่างหญิงเคราะห์ร้ายไปตามถนน ก่อนจะขับหนีหายไปท่ามกลางความมืดมิด
หญิงชะตาขาดนอนจมกองเลือดอยู่กลางถนน จันทราใจเต้นไม่เป็นส่ำขณะเดินไปยังร่างที่นอนคว่ำหน้าอยู่ จันทราค่อยๆ พลิกร่างนั้นขึ้นมาดู แต่ต้องตะลึงตาค้าง เมื่อเห็นใบหน้าของหญิงคนนั้นมีสภาพเละเทะเต็มไปด้วยเลือด สภาพแทบดูไม่ออกจำไม่ได้ว่าเป็นใคร คงเพราะตอนถูกรถบรรทุกลากใบหน้าครูดไปกับพื้นถนน จันทรากรี๊ดสุดเสียง ทรุดตัวล้มลงด้วยความตกใจกลัว เนื้อตัวสั่นเทา ดวงตามองจดจ้องที่ศพของหญิงคนนั้นแน่วนิ่ง เหมือนคิดอะไรอยู่ในใจ
จันทราตัดสินใจเปลี่ยนชุดกับหญิงเคราะห์ร้ายเดินออกมาตามทาง ขณะที่ด้านหลังท่ามกลางความมืดและกลิ่นเลือดคละคลุ้ง เห็นศพของหญิงคนหนึ่งสวมชุดผู้ป่วยของจันทราและมีชื่อและบัตรผู้ป่วยว่า จันทรา มณีกุล ติดอยู่
นึกขึ้นมาแล้วจันทราน้ำตาไหล ขณะที่เด็กๆ ร้องไห้จ้า เมื่อเห็นจันทราลากขาเดินผ่าน ดวงตา
ของจันทราแข็งกร้าว เต็มไปด้วยความโกรธแค้น
“เพราะพวกแกทำให้ฉันต้องเป็นอย่างนี้ เพราะพวกแก”
จันทราคำรามอีกครั้ง เมื่อหวนคิดถึงอีกเหตุการณ์ในค่ำคืนอันแสนขมขื่น
ในขณะที่จันทราเดินไปตามทางเปลี่ยวและเงียบสงัด โดยไม่รู้ว่ามีผู้ชายคนหนึ่งเดินตามอยู่ จันทรายินเสียงหันไปมอง เห็นชายผู้นั้นมองมาด้วยสายตาประสงค์ร้าย
จันทราหันกลับ รีบเดินไปอย่างระแวดระวัง ชายคนนั้นยังตามติด จันทราสำเหนียกได้ทันทีว่ามันประสงค์ร้ายแน่นอน จันทรารีบวิ่งหนีรวดเร็ว
จันทราวิ่งหนีสุดชีวิต แต่เพราะร่างการอ่อนล้า คนร้ายจึงวิ่งตามมาทัน และกระชากตัวจันทราให้หันมา จันทรากรี๊ดสุดเสียง “ปล่อยฉันนะ ปล่อยฉัน!”
จันทราทั้งกรี๊ดๆๆ ต่อสู้ ขัดขืนเต็มกำลัง คนร้ายไม่ยอม ตบตีจันทราหมายจะปลุกปล้ำข่มขืน
มันลากจันทราเข้าไปบริเวณป่ารกชัฏข้าง ผลักร่างจันทราให้นอนลง
“ฉันบอกให้ปล่อย” จันทราสู้ยิบตา กางเล็บขูดหน้าคนร้ายสุดแรง
คนร้ายโกรธจัด “แก” คว้าขวดแถวนั้นฟาดเข้าหน้าจันทรา
จากนั้นคนร้ายก็ทุบหน้าจันทราอย่างบ้าระห่ำ เหมือนพวกโรคจิต เลือดจันทราพุ่งใส่หน้าคนร้ายเป็นสายพร้อมๆ กับเสียงกรีดร้องโหยหวนอันเจ็บปวดของจันทราดังก้องไปทั่วบริเวณ ก่อนจะเงียบเสียงลง
จันทรานอนนิ่งจมกองเลือด คนร้ายผงะ ตกใจ ทิ้งขวดลง
“มันตายแล้ว!”
ขณะที่คนร้ายหันหลังจะหนี จันทราลืมตาโพลงขึ้นมาอย่างคนไม่ยอมแพ้ จันทรา
คว้าขวดที่แตกเป็นปากฉลามขึ้นมาแทงไปที่ศีรษะคนร้าย มันร้องลั่น ขณะที่จันทราคำราม
“เอ็งตาย!”
จันทราเอาขวดปากฉลามแทงคนร้ายไม่ยั้ง แทงอย่างบ้าคลั่ง จนร่างคนร้ายแน่นิ่ง
ใบหน้าจันทราในยามนี้เต็มไปด้วยเลือดของคนร้าย จันทราเขม้นมองมันอย่างโกรธแค้นสุดขีด ก่อนลุกขึ้นยืนเดินโผเผออกไป แต่จู่ๆ มือของคนร้ายกระชากขาจันทราสุดแรง
จันทราเสียหลักสะดุดล้มลง กรี๊ดสุดเสียง “ว้าย!”
คนร้ายขยับตัวเอาไม้มาทุบท่อนขา จันทรากรีดร้องขึ้นมา แต่คราวนี้น้ำเสียงเต็มไปด้วยความโกรธแค้นและบ้าคลั่ง
จันทรากระชากไม้จากมือคนร้ายอย่างแรง จนมันล้มลง จันทราใช้ไม้กระหน่ำฟาดเข้าที่ตัวคนร้ายอย่างคั่งแค้นจนมันแน่นิ่งไป จันทรายืนหอบหายใจเหนื่อย ดวงตาเลิ่กลั่กลอกแล่กดูก็รู้ว่าไม่ใช่ดวงตาของคนธรรมดา กรีดร้องด้วยเสียงอันโหยหวน
“ใครทำกับฉันมันต้องเจออย่างนี้”
จันทรายกไม้ขึ้นสุดแขนหวดไปที่ร่างคนร้ายเต็มแรงอีกทีอย่างสะใจ
ภายในห้องเช่าที่มีสภาพทรุดโทรม คร่ำคร่า ด้านในมืดและอึมครึม แทบไม่มีแสงเข้า
จันทรายืนส่องกระจกเห็นแต่ความน่าเกลียดบนใบหน้าและสภาพร่างกายของตัวเอง
“ช่างอัปลักษณ์นักจันทรา” จันทราร่ำร้องในใจ “ฉันไม่มีทางปล่อยให้พวกแกเสวยสุขเป็นอันขาด ฉันจะจองล้างจองผลาญพวกแกทุกคน”
จันทราคว้ากรรไกรที่อยู่ตรงหน้าขว้างไปเต็มแรงกระจกแตก
นัยน์ตาในใบหน้าแสนอัปลักษณ์ถมึงทึงของจันทรา เต็มไปด้วยความโกรธแค้น
ค่ำคืนนั้นเดือนแรมนั่งอยู่ในห้อง สภาพห้องของเดือนแรมในวันนี้สวยงาม ต่างจากห้องเดิม ลิบลับ เดือนแรมหยิบการ์ดกับจดหมายที่ธิติรัตน์ให้ขึ้นมาอ่าน เหมือนยินเสียงคุณชายดังก้อง
“ชายห่วงนะ ไม่อยากให้แรมคิดมากเรื่องพ่อ แรมต้องเข้มแข็ง เชื่อมั่นในคุณความดีของตัวเอง ฉันเชื่อว่า ซักวัน แรมจะได้พ่อที่รักแรมที่สุดกลับคืนมาเป็นกำลังใจให้เด็กดีของฉันเสมอ....ธิติรัตน์”
เดือนแรมยิ้มกว้างสุขใจ “วันนี้แรมได้พ่อที่รักแรมที่สุดกลับคืนมาแล้วค่ะคุณชาย”
รุ่งเช้า ธิติรัตน์ เดือนแรม และเมิน เตรียมตัวใส่บาตรกันอยู่ จังหวะหนึ่งเมินบอกน้ำตาคลอด้วยความสำนึกผิด
“ตั้งแต่ที่แม่จากไป...พ่อเพิ่งจะมีโอกาสทำบุญให้กับแม่ก็วันนี้”
“แม่คงดีใจมากค่ะ” เดือนแรมยิ้มปลอบ
“คงเสียใจมากกว่า...ที่พ่อเพิ่งจะนึกถึงแม่”
“ผมว่าคุณราศีเข้าใจครับ ว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร และคุณราศีก็ยังห่วง ถึงได้มาเข้าฝันคุณเมินตลอด” ธิติรัตน์ช่วยปลอบ
“แต่ตั้งแต่...เรื่องร้ายๆ มันผ่านไป ราศีไม่เคยมาเข้าฝันฉันอีกเลย”
“แม่คงหมดห่วงแล้วค่ะ”
เมินพูดน้ำเสียงแน่วนิ่ง “ฉันขอให้เธอไปสู่สุขคตินะราศี”
พระเดินมาถึงแล้ว ทุกคนใส่บาตรตั้งจิตอธิษฐาน
ไม่มีใครทันสังเกตเห็นดอกไม้สวย ดอกเล็กๆ ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า พร้อมกับภาพราศีในชุดสีขาวมอๆ นั่งไหว้พระรอรับส่วนบุญอย่างสงบ เบื้องแรกใบหน้าราศีหมองคล้ำแต่ครั้นพอได้รับผลบุญ ดอกไม้ร่วงหล่นลงมา ดวงหน้าสวยของราศีก็อิ่มเอิบ ผ่องใส เสื้อสีมอๆ ค่อยๆ ขาวกระจ่างขึ้น
ราศรียิ้มเยื้อนมองมาที่เมิน เดือนแรม และธิติรัตน์ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเปี่ยมสุข ก่อนที่ภาพราศีจะเลือนหายไป พร้อมกับการกรวดน้ำของสามคน
ทุกคนอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน มะลิเอ่ยขึ้น
“ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันอย่างนี้ดีจังเลยนะ”
ทุกคนยิ้มมองหน้ากันอย่างมีความสุข
“ก็หวังว่าจะไม่มีเรื่องอะไรทำให้เราต้องพลัดพรากจากกันอีก” เมินว่า พลางหันมาทางเดือนแรม “แรม...พ่อขอโทษนะลูก กับทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมา”
“แรมไม่เคยนึกโกรธคุณพ่อเลยค่ะ แรมเข้าใจ แล้วแรมก็ได้แต่หวังว่า..ซักวันคุณพ่อจะรักแรมแล้วก็เห็นว่าแรมเป็นลูกซักที”
“จริงๆ พ่อรักแรม แล้วก็เห็นว่าแรมเป็นลูกอยู่ตลอดเวลา แต่ความโง่ ความขี้ขลาด ทำให้พ่อไม่กล้ายอมรับแรม...ขอโทษนะลูก”
“พี่ก็ขอโทษนะแรม...ที่ทำไม่ดีกับแรม แล้วก็ยังอุปโลกน์ตัวเองเป็นมาหยารัศมีอีก” เพ็ญประกายเอ่ยขึ้น
“แรมไม่เคยโกรธพี่เพ็ญเลยค่ะ ที่ผ่านมาพี่เพ็ญคือพี่สาวที่ดีที่สุดของแรม..แรมรักพี่เพ็ญค่ะ”
สองสาวโผเข้ากอดกัน ทุกคนมองอย่างอิ่มเอมใจ
ชุติมามองน้ำตาไหลด้วยความตื้นตัน “ขอพี่กอดน้องด้วยคนซิ”
“มาสิคะพี่ชุ
ชุติมากอดเดือนแรมกับเพ็ญประกาย สามคนกอดกันน้ำตาไหล เป็นน้ำตาแห่งความปลื้มปีติ สักครู่หนึ่งชุติมาถอนตัวออก บอกเสียงปนสะอื้น
“ขอบใจเพ็ญกับแรมมากนะที่ให้อ้อมกอดอันอบอุ่นกับพี่...” ไหว้ผู้ใหญ่ทุกคน “ขอบคุณทุกคนนะคะที่เมตตาชุ ทั้งๆ ที่ผ่านมา ชุทำนิสัยไม่ดีตั้งหลายอย่าง แต่ทุกคนยังให้อภัย”
แม้นเทพยิ้มตอบแทนทุกคน “ก็ชุเป็นครอบครัวเดียวกันกับเรา
“ขอบคุณคะพี่ต้อม แต่ชุทราบว่าชุเป็นคนนอก ชุไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับบ้านมณีกุลแม้แต่นิดเดียว ...วันนี้ชุเลยอยากจะกราบลา…”
มะลิฉงน “พูดยังกับจะไปไหน?”
ชุติมาบอกต่อ “ไปตามทางของชุค่ะ...”
“พี่ชุเป็นพี่สาวของเพ็ญ เพ็ญไม่ให้พี่ชุไปค่ะ...”
“แรมก็ไม่ให้พี่ชุไปค่ะ...”
เมินเอ่ยขึ้น “ฉันก็ไม่ให้เธอไป”
ชุติมามองเมินตาค้าง ตกตะลึง คาดไม่ถึง “คุณเมิน!”
เมินเดินเข้าหาชุติมาเอามือลูบผม “เธอเป็นลูกของจันทรา...ฉันก็ถือว่าเธอเป็นลูกสาวของฉันคนหนึ่ง อยู่ด้วยกันนะชุ”
มะลิเสริมขึ้น น้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความเมตตา “อยู่ด้วยกันนะชุ”
ชุติมาจะปฏิเสธ “ชุ...”
แม้นเทพรีบบอก “อยู่ด้วยกันนะชุ”
ชุติมากวาดสายตามองสายตาแห่งความหวังดีที่ทุกคนผ่องถ่ายมาให้....ยิ้มทั้งน้ำตา
ธิติรัตน์ เดือนแรม เมิน และมะลิ สี่คนออกมาเดินเล่นด้วยกันที่สนามหญ้า เดือนแรมไหว้ขอบคุณพ่อเรื่องชุติมา
“แรมกราบขอบคุณคุณพ่อนะคะ ที่เมตตาพี่ชุ
“พ่อก็บอกแล้วไง ชุเป็นลูกของจันทรา ก็เหมือนเป็นลูกของพ่อคนหนึ่ง”
“แล้วแรม...คุณพ่อเชื่อในตัวแรมแล้วเหรอคะ?”
ทุกคนมองหน้าเดือนแรมเป็นตาเดียว เมินถาม “แรมหมายความว่าอย่างไรลูก?”
“แรมอยากตรวจดีเอ็นเอ...อย่างน้อยก็เป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่าแรมคือลูกของคุณพ่อจริงๆ”
“ไม่ต้องแล้วลูก ความจริงมันปรากฏออกมาหมดทุกอย่างแล้ว” เมินบอก
“แต่ยังไง แรมก็ไม่สบายใจอยู่ดี...คุณพ่อกรุณาแรมนะคะ”
เมินคราง “แรม”
มะลิกลับเห็นด้วยกับเดือนแรม “แต่พี่ว่าดีนะ ที่จะให้แรมตรวจดีเอ็นเอ จะได้พิสูจน์ความจริงกันไปเลยแรมเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเธอจริงหรือเปล่า? อีกอย่าง...” มะลิมองหน้าธิติรัตน์ “เพื่อพิสูจน์การเป็นมาหยารัศมี ตามที่พินัยกรรมระบุคุณชายจะได้สบายใจ”
“ผมมั่นใจครับ ว่าแรมคือมาหยารัศมีตัวจริง”
“ขอบคุณค่ะคุณชาย...แต่เพื่อความสบายใจของแรมเอง แรมขอตรวจดีเอ็นเอนะคะ”
เดือนแรมมองทุกคนด้วยสายตาอ้อนวอน
เมื่อห้ามไม่ได้ เมินเข้ามาในบ้าน หยิบกล่องเงินเล็กๆ ยื่นส่งให้เดือนแรม
“นี่คือเส้นผมของแม่เรา....พ่อเก็บเอาไว้...ถ้าแรมอยากตรวจ...เราจะไปตรวจดีเอ็นเอด้วยกัน”
“ขอบคุณค่ะพ่อ”
ทุกคนยิ้มให้กัน
เช้าวันต่อมา หม่อมรัตนาเดินคุยกับเมิน ด้านหลังเห็นธิติรัตน์เดินเคียงเดือนแรม
“ขอบคุณมากค่ะที่คุณเมินกับแรมเข้าใจ ถึงฉันจะเชื่อว่าแรมคือมาหยารัศมีแต่ในเมื่อพินัยกรรมระบุอย่างนั้น ดิฉันจำต้องทำตาม”
“ด้วยความยินดีครับ เพราะมันคือความประสงค์ของท่านชายธีรธำรง”
“ถ้าอย่างนั้น ดิฉันจะให้ทนายพินิจ เป็นธุระเรื่องนี้ให้นะคะ”
ทนายพินิจเดินยิ้มเข้ามา
ชุติมาหลบมาเดินเล่นบริเวณริมน้ำมุมโปรด ชุติมาทอดสายตามองแผ่นน้ำเบื้องหน้าน้ำตาคลอ แม้นเทพเดินมาหา
“ทำไมมาหลบอยู่ที่นี่คนเดียวล่ะชุ”
ชุติมาเหลียวมามองหน้าหมอง “เหงานะค่ะ...แล้วเวลาเหงาๆ ชุชอบมายืนมองน้ำ แล้วก็เหมือนเดิม เวลามองเห็นน้ำ ชุต้องร้องไห้ทุกที”
“แล้ววันนี้ชุยังจะร้องไห้ด้วยความเสียใจอยู่เหรอ? ชุมีครอบครัวแล้วนะ”
ชุติมาหลบตา ซ่อนน้ำตา “ชุทราบค่ะว่าทุกคนดีกับชุ...แต่ความรู้สึกของชุก็ยังโดดเดี่ยวอ้างว้างเหมือนเดิม” ชุติมาสุดจะกลั้นร้องไห้โฮออกมาอีก
“แต่ต่อไป..พี่จะไม่ปล่อยให้ชุโดดเดี่ยวอีกแล้วล่ะ” แม้นเทพบอกเสียงนุ่ม
ชุติมามองหน้าแม้นเทพเป็นเชิงถาม แม้นเทพจับมือชุติมา
“พี่เคยบอกชุแล้วใช่มั้ย? คนเราร้องไห้ก็มีทั้งดีใจเสียใจ วันนี้ชุร้องไห้เพราะความเสียใจแล้ว พี่อยากเห็นชุร้องไห้เพราะความดีใจ”
ขณะพูดแม้นเทพ ถอดแหวนเงินจากนิ้วมือตัวเอง
“พี่รักชุ แต่งงานกับพี่นะ”
แม้นเทพจะสวมแหวนให้ชุติมา ชุติมายิ้มทั้งน้ำตา ขวยเขิน
“พี่ต้อมอ่ะ ชุไม่ร้องไห้หรอก...ชุไม่ได้ดีใจ” ปากพูดว่าไม่ แต่น้ำตาไหลริน
“จะแต่งงานมั้ยล่ะ นาทีทองมีแค่ครั้งเดียวนะ” แม้นเทพเย้า
“แต่งสิ..ชุถือว่าถูกแจ๊คพ็อตเลยนะเนี่ย” ชุติมาหัวเราะเขินๆ
แม้นเทพบรรจงสวมแหวนให้ชุติมา “เงินเดือนของพี่อาจจะน้อยนิดเดียว..ไว้พี่จะเก็บเงินซื้อแหวนวงใหม่ให้ชุนะ”
“ไม่ค่ะ...ชุจะเอาวงนี้....เพราะเป็นแหวนของพี่ต้อม...ชุขอบคุณพี่ต้อม มากนะคะที่ทำให้ชีวิตที่เหลืออยู่ของชุมีคุณค่า”
“พี่จะดูแลชุให้ดีที่สุด พี่สัญญา”
“ขอบคุณค่ะพี่ต้อม...ขอบคุณจริงๆ”
แม้นเทพกอดชุติมาแนบแน่น ชุติมาแนบหน้าลงกับอกแกร่งของแม้นเทพ อบอุ่นใจเหลือเกิน
ชุติมามาบอกข่าวดีกับสุดใจที่แฟลต สองคนคุยกันที่ข้างทางบริเวณแฟลต แม้ใบหน้าของชุติมาดูสดใส แต่ดวงตายังดูหมองเศร้าอยู่ดี
“น้าดีใจด้วย...ต่อไปชุจะได้มีคนดูแล”
“ขอบคุณมากค่ะน้าสุดใจ...” ชุติมาน้ำตาคลอ “แต่ชุก็ยังอดคิดไม่ได้อยู่ดี...วันที่ชุมีความสุข..พ่อกับแม่ก็ไม่อยู่ ชุไม่รู้จะบอกใคร...” ฝืนยิ้ม “แต่ยังดีนะคะที่ชุยังมีน้าสุดใจ” ชุติมาว่า
“แต่ต่อไปชุจะมี” สุดใจทำเสียงล้อๆ “พี่ต้อม...คอยรับฟัง และก็อยู่เคียงข้าง ไม่ว่าชุจะทุกข์หรือสุข น้าขอให้ชุมีความสุขมากๆ นะลูก”
“ขอบคุณค่ะน้าสุดใจ”
สองคนกอดกัน สีหน้ามีความสุข แต่รอยยิ้มของชุติมายังดูหมองเศร้าคิดถึงพ่อแม่อยู่ดี
ชุติมาเดินอยู่ในห้อง ด้วยใบหน้าหมองเศร้า ถึงจะอิ่มเอมกับความรักของแม้นเทพแต่ลึกๆแล้ว ชุติมาก็ยังคิดถึงชำนิกับจันทราอยู่ดี จังหวะหนึ่งชุติมาเดินมาหยิบรูปภาพจันทราขึ้นมามองน้ำตาคลอ
“วันนี้ชุมีความสุข ชุคิดถึงแม่จังเลยค่ะ” มืออีกข้างหยิบรูปชำนิขึ้นมา “แล้วชุก็คิดถึงพ่อค่ะ...” น้ำเสียงเครือสั่น “ชุอยากให้พ่อกับแม่ อยู่กับชุ” ชุติมาเหลียวขึ้นไปมองฟ้า “พ่อกับแม่ไม่ต้องห่วงนะคะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ชุจะเข้มแข็ง รับกับชีวิตใหม่ของชุที่กำลังจะมา”
ชุติมาวางกรอบรูปลงแล้วยิ้มให้ตัวเอง
ส่วนเพ็ญประกายเดินอยู่ที่สนามกับศรัณย์ เพ็ญประกายร้องไห้บอกกับศรัณย์
“เพ็ญคิดถึงแม่จังเลยค่ะ...แม่ไม่น่าจากเพ็ญไปเร็วอย่างนี้เลย”
“แต่ก็ถือว่าท่านพ้นทุกข์ไปแล้วนะครับ”
“ก็อาจจะจริงค่ะ...ที่ท่านพ้นทุกข์ไปแล้ว เพราะตอนที่แม่ยังอยู่ แม่มีแต่ความทุกข์ แม่ทุกข์ที่ไม่ยอมปล่อย จนพลาดทำอะไรผิดๆ เหมือนครั้งหนึ่งที่เพ็ญก็เคยเป็น”
“แต่คุณเพ็ญก็ผ่านมันมาได้แล้ว”
“เพราะคุณศรัณย์”
“เพราะคุณเพ็ญเองต่างหากครับ...” ศรัณย์จับมือเพ็ญประกายเอาไว้ “อย่าร้องไห้อีกนะครับต่อไปนี้ผมจะดูแลคุณเพ็ญเอง...ถึงจะดูแลคุณเพ็ญได้ไม่เท่ากับคุณแม่...รักคุณเพ็ญไม่ได้เท่ากับคุณแม่...แต่ผมสัญญา ว่าจะรักและดูแลคุณเพ็ญให้ดี ที่สุด เท่าที่ผู้ชายคนหนึ่งจะให้กับผู้หญิงคนหนึ่งที่เค้ารักได้ ผมรักคุณเพ็ญ”
เพ็ญประกายมองอย่างซาบซึ้ง น้ำตาคลอ “ที่ผ่านมาเพ็ญเคยวิ่งตามหาความรัก แต่สิ่งที่เพ็ญได้มีแต่ความทุกข์ ความเจ็บปวด เพ็ญเหนื่อย....แต่พอวันนี้ เพ็ญได้รับความรักจากคุณศรัณย์ เพ็ญเลยได้รู้...ความรักที่ไม่ต้องไขว่คว้า ตามหา ความรู้สึกมันอบอุ่น มั่นคง มีความสุขอย่างนี้เอง ขอบคุณมากนะคะคุณศรัณย์ ที่เห็นคุณค่าของเพ็ญ”
ศรัณย์สวมกอดเพ็ญประกายเอาไว้ เพ็ญประกายซุกหน้าลงกับแผ่นอกของศรัณย์ ความรักที่เพ็ญประกายเฝ้ารอคอยสิ้นสุดลงเสียที
มะลิกับพิมนั่งจัดดอกไม้เตรียมไหว้พระมนตอนเช้าเหมือนเดิม จังหวะหนึ่งมะลิเอ่ยขึ้น
“อย่างที่เค้าว่านะพิม ฟ้าหลังฝน มันสดใส”
“แต่กว่าฝนจะตก ฟ้าก็มืดครึ้ม แทบหาหนทางเดินไม่ได้เลยค่ะ” พิมสัพยอก
มะลิยิ้มปลงๆ “เค้าถึงบอก บางอย่างเราต้องรอเวลา เพราะปัญหาบางอย่างเราแก้ไขไม่ได้ภายในวันเดียว แต่เมื่อถึงเวลา มันก็จะคลี่คลายด้วยตัวของมันเอง...”
“พิมดีใจค่ะที่วันนี้ทุกคนมีความสุข”
“ฉันก็ดีใจ....ตอนนี้ก็เหลือแต่ผลตรวจดีเอ็นเอของแรมเพียงอย่างเดียว...แรมก็จะเป็นมณีกุลโดยสมบูรณ์เสียที”
มะลิกับพิมยิ้มให้กัน
เวลาผันผ่านเคลื่อนคล้อย เช้าวันหนึ่งธิติรัตน์ หม่อมรัตนา และทนายพินิจ เดินทางมายังบ้านเมินด้วยหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส
ทุกคนอยู่รวมตัวกันพร้อมหน้าในโถงใหญ่ภายในบ้าน ทนายพินิจบอกด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ผมไปเอาผลตรวจดีเอ็นเอมาแล้วนะครับ...”
ทุกคนรอฟัง มองหน้าทนายพินิจอย่างลุ้นระทึก ทนายพินิจหยิบเอกสารออกมาอ่าน
“จากผลการตรวจอีเอ็นเอ พบว่า...นางสาวเดือนแรม มณีกุล คือบุตรของนายเมินและนางราศี มณีกุล”
หม่อมรัตนาอุทานออกมาอย่างปลื้มปิติ “มาหยารัศมี...”
“คุณพ่อ...”
เดือนแรมโผเข้ากอดพ่อ เต็มรัก เมินยิ้มทั้งน้ำตากอดลูกสาวแน่น
“พ่อบอกแล้วไง...ว่าพ่อเชื่อว่าแรมคือลูกสาวของพ่อ...”
“ผมดีใจมากครับ...ที่มาหยารัศมีกับแรมคือผู้หญิงคนเดียวกัน ที่ผมได้มอบหัวใจให้” ธิติรัตน์ยิ้มหน้าบาน
หม่อมรัตนาเสริมขึ้น “งั้นถึงเวลาที่ครอบครัวของเราทั้งสองจะได้เป็นทองแผ่นเดียวกันแล้วนะคะ..ไม่ทราบว่า...คุณเมินเห็นสมควรอย่างไร?”
เมินจ้องหน้า พูดเย้าลูกสาว “ว่าไงแรม?พร้อมจะเป็นเจ้าสาวของคุณชายธิติรัตน์หรือยัง?”
เดือนแรมมองธิติรัตน์ท่าทีขวยเขินไม่ตอบ
เดือนแรมเดินนำหน้ามาตามทาง ธิติรัตน์เดินตามหลัง จับมือเดือนแรมไว้
ระหว่างนั้นเหมือนมีสายตาใครคนหนึ่งจดจ้องมองเดือนแรมกับธิติรัตน์ตลอดเวลา
“ว่าไงจ้ะแรม พร้อมจะแต่งงานกับฉันหรือยัง?”
“ยังค่ะ”
“อ้าว! ทำไมล่ะ?” ธิติรัตน์นิ่วหน้า
“ก็แรมยังเรียนไม่จบเลย จะแต่งงานได้ยังไง?”
“งั้นทันทีที่เรียนจบ แรมแต่งงานกับฉันนะ”
“คุณชายขอแรมแต่งงานง่ายๆแบบนี้เลยเหรอคะ?”
“ง่ายที่ไหนจ้ะแรม? กว่าเราสองคนจะเดินมาถึงจุดนี้ได้ เราต้องผ่านความยากลำบากมาตั้งมากมายเยอะแยะนะ หรือแรมอยากให้ฉันเซอร์ไพร้ส แรมบอกฉันมาเลย อยากให้ฉันเซอร์ไพร์สแบบไหน? ฉันจะทำให้แรม”
“ถ้าบอกแล้วจะเรียกว่าเซอร์ไพร้สเหรอคะ?”
“นั่นสิ!! แล้วจะให้ฉันทำยังไง?” ธิติรัตน์นิ่งคิดสักครู่ “ฉันคิดออกแล้ว”
ธิติรัตน์ดึงเดือนแรมเข้ามากอดและฉวยโอกาสหอมหลายฟอด
เดือนแรมตกใจ “คุณชาย”
“ว่าไง...เธอจะแต่งงานกับฉันหรือไม่แต่ง?”
“คุณชาย” เดือนแรมคราง
“ยิ่งเธอตอบช้าเท่าไหร่ ฉันก็จะหอมเธอมากเท่านั้น”
ว่าแล้วธิติรัตน์ก็ระดมทั้งจูบทั้งหอมเดือนแรมชุดใหญ่ เดือนแรมขืนตัว พร้อมกับเอามือดันหน้าธิติรัตน์ออก
“พอได้แล้วค่ะคุณชาย”
“ว่าไงจะแต่งงานกับฉันหรือไม่แต่ง?” ธิติรัตน์ทำท่าจะหอมอีก
“แต่งค่ะ...”
“ชื่นใจ...ยอดรักของฉัน”
“ขอบคุณค่ะคุณชาย...แรมไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตที่อาภัพของแรม จะมีความสุขได้อย่างวันนี้”
“ฉันบอกเธอแล้วไง ฉันจะทำให้ชีวิตของเธอเป็นเดือนเต็มดวง”
“วันนี้..เดือนแรม..กลายเป็นเดือนเต็มดวงแล้วค่ะ เพราะความรักความเมตตาของคุณชาย”
ธิติรัตน์ตระกองกอดเดือนแรมแนบแน่น เดือนแรมยิ้มอย่างเต็มสุข
เดือนแรมกับธิติรัตน์ไม่คาดคิดว่า จันทรากำลังจดจ้องมองภาพหวานทั้งสองคน สายตาใต้ใบหน้าอัปลักษณ์นั้นเต็มไปด้วยความคั่งแค้นและเกลียดชัง
อ่านต่อหน้า 2 เวลา 24.00 น.
มาหยารัศมี ตอนที่ 18 อวสาน (ต่อ)
ที่บ้านเมินค่ำคืนนี้ มีแต่ร่องรอยของความสุขอบอวลไปทั่ว แม้นเทพ คุยกับเดือนแรม มีเพ็ญประกายอยู่ด้วย
“แล้วแรมตกลงจะแต่งงานกับคุณชายเมื่อไหร่?”
“หลังแรมเรียนจบน่ะค่ะ”
“ก็อีกแป๊บเดียว”
เดือนแรมยิ้มขณะย้อนถาม “แล้วพี่ต้อมล่ะคะ?”
“พี่คุยกับชุ ชุบอกว่าขอเวลาอีกซักพักให้หายเศร้าเรื่องพ่อกับแม่ก่อน...ก็ดี...พี่จะได้แต่งพร้อมแรม กับคุณชาย”
เพ็ญประกายยิ้มบอกข่าวดีของตัวเอง “งั้นเพ็ญจะบอกคุณศรัณย์ให้รอแต่งพร้อมพี่ต้อมกับแรมดีกว่า”
แม้นเทพหัวเราะชอบใจ “ก็ดี จะได้ไม่เปลือง”
สามคนกอดกันหัวเราะ อย่างมีความสุข
วันเวลาผ่านไป
ภายในห้องเช่าราคาถูกอันเหม็นอับ จันทราอ่านข่าวหนังสือพิมพ์
“คุณชายธิติรัตน์ กมเลศ ลั่นพร้อมแต่งงานกับเดือนแรม หรือมาหยารัศมี มณีกุล ทันทีที่เรียนจบ งานนี้คนที่ยิ้มแก้มปริคือ เมิน มณีกุล”
จันทราคั่งแค้นหนัก ฉีกหนังสือพิมพ์ในมือแล้วขยุ้มขว้างไปที่มุมห้อง อาละวาดลั่น กรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง
“ฉันไม่ยอมๆๆๆๆ ทำไมพวกแกถึงได้มีแต่ความสุข แต่ฉันมีแต่ความทุกข์”
จันทรามองตัวเองในกระจกที่แตก สะท้อนเงาของผู้หญิงคนหนึ่งที่ดูไม่ได้เลย จันทราร้องไห้โฮ พูดแผ่วๆ เจ็บปวด ทรุดตัวลงร้องคร่ำครวญ
“ทำไมชีวิตของฉันมีแต่ความทุกข์?”
ภาพจำในอดีตของจันทราตั้งแต่ตอนเป็นสาว ที่มีแต่ความทุกข์ทรมานผุดออกมาในความคิดราวสายน้ำไหล
ภาพอดีตตั้งแต่ตอนจันทรายังสาวสวย แต่ที่บ้านยากถูกพ่อทุบตีเสมอ แม่เข้ามาช่วยก็โดนตบตีไปด้วย
“อย่า..อย่าทำลูก”
“หลีกไป!!” พ่อตบแม่จนล้มลง หันมาชี้หน้าด่าจันทรา “แกต้องหาเงินมาให้ฉันนะจันทราไม่งั้นแกตาย”
ภาพอีกเหตุการณ์จันทราแต่งตัวสวย ยั่วยวน ขายบริการ ต่อมาเมื่อจันทรามีความรักครั้งแรกกับชำนิ กลับถูกชำนิทุบตี ทำร้ายไม่เว้นวัน
พอจันทราเจอหน้าเมิน ก็หลงรักตั้งแต่แรกเห็น ยอมตกเป็นของเมิน
จันทราเดินไปไหนมาไหน มีแต่คนชี้หน้า ก่นด่า
“นี่ไงเมียน้อยคุณเมิน” / “เมียเก็บสิไม่ว่า”
สีหน้าของจันทรามีแต่ความเจ็บปวด
จันทรายังคงนั่งร้องไห้กับความขมขื่นเจ็บช้ำของตัวเอง ก่อนที่ดวงตาจะแข็งกร้าว
ขึ้นมาใหม่
“ฉันไม่ให้พวกแกมีความสุขอย่างเด็ดขาด ไม่ว่านานแค่ไหน ฉันก็จะรอ”
จันซากรีดร้องประกาศก้อง เสียงดังลั่นห้อง
วันเวลาผ่านไป
สรรชัยแต่งตัวพร้อมจะเดินทางแล้ว ขณะดุจแขเดินมาส่งด้ายท่าทางอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด สรรชัยกอดประคองดุจแข
“คุณไหวแน่นะ”
“แน่สิคะ”
สรรชัยมองอย่างห่วงใย “ยังไงกลับมาผมจะพาคุณไปตรวจร่างกาย”
“ไม่ต้องไปหรอกค่ะ แขไม่ได้เป็นอะไรซักหน่อย”
“เอ๊...!!” สรรชัยทำตาเจ้าชู้กรุ้มกริ่ม “หรือว่า...เรากำลังจะมีข่าวดี”
“อะไรคะ?”
“ก็เค้าว่า...ผู้หญิงเวลาท้อง ฮอร์โมนจะเปลี่ยน พอฮอร์โมนเปลี่ยน ร่างกายก็เลยมีอาการเปลี่ยนแปลง”
ดุจแขเย้า “แล้วถ้าแขมีข่าวดีจริงๆ ล่ะคะ?”
“ผมก็จะมีความสุขที่สุด....ที่มีทั้งลูก ทั้งภรรยา”
ดุจแขมองสรรชัยน้ำตาคลอตื้นตันนัก “ขอบคุณมากนะคะสรรชัย...ที่ให้ความรักกับแข ให้โอกาสแข...จนแขรู้สึก...ว่าแขโชคดีเหลือเกินที่ได้พบกับคุณ”
สรรชัยหันไปมองดูรูปสงครามหน้าขรึม “ผมเลว..ที่ทำร้ายคุณอา แต่ผมรับปากว่าจะดูแลคนที่คุณอารัก ให้ดีที่สุด เพราะผมรักเธอ”
สรรชัยหยิบแหวนเพชรทองคำขาววงเกลี้ยงออกมา บรรจงสวมนิ้วนางข้างขวาของดุจแข
ดุจแขร้องไห้ “คุณรู้มั้ย? เพชรเม็ดนี้...เป็นเพชรเม็ดเล็กที่สุดในชีวิตของแข...”
สรรชัยหัวเราะ ดุจแขพูดต่อ
“แต่กลับมีคุณค่า..สำหรับแขอย่างเหลือเกิน ขอบคุณค่ะสรรชัย” ดุจแขกอดสรรชัยแน่น
สรรชัยสัญญา “เราจะอยู่ด้วยกันไปจนตายนะแข…”
“คุณกำลังเดินทาง..จะพูดถึงความตายทำไมคะ?....เดินทางปลอดภัยค่ะแขจะรอ”
“ผมจะรีบกลับมาจ้ะ”
สรรชัยจูบที่หน้าผากดุจแขอย่างละมุนละไม ก่อนหิ้วกระเป๋าเดินทางออกไป
ดุจแขหน้านิ่ว ยกมือกุมหน้าอก สีหน้าว่าเจ็บปวด ดุจแขพูดเสียงแผ่วเบา
“ฉันจะอยู่รอคุณค่ะสรรชัย”
ด้านสรรชัย พอขับรถมาตามทางได้สักระยะ ก็นึกครึ้มใจจึงโทรศัพท์กลับไปหาดุจแข ที่รับสายอยู่ในบ้าน
“ลืมอะไรเหรอคะ?”
สรรชัยยิ้ม “ลืมหัวใจครับ”
“พูดอย่างนี้ก็เป็นด้วย..แต่ไม่เป็นไรค่ะ แขชอบฟัง...ไม่ต้องห่วงนะคะ แขจะดูแลรักษาหัวใจที่คุณให้เป็นอย่างดี”
“ขอบคุณครับ? ทำอะไรอยู่?”
“แขว่าจะออกไปหาหมอหน่อยนะคะ....เผื่อคุณกลับมาจะได้ฟังข่าวดี”
สรรชัยยิ้มตาเป็นประกาย “งั้นถ้ามีข่าวดี รีบโทร.หาผมนะครับ”
ดุจแขบอกรัก “ค่ะ....ฉันรักคุณนะคะ” โดยไม่รู้ว่าจะเป็นการบอกรักและบอกลา
“ผมก็รักคุณ”
พอสรรชัยวางสาย เงยหน้ามองเบื้องหน้า แล้วต้องตกตะลึงตาค้าง เมื่อเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง ใบหน้าน่าเกลียดน่ากลัวสุดๆ สวมชุดทึมๆ มีผ้าโพกหัวปิดบังหน้าตาอัปลักษณ์ เดินลากขาพิการมายืนขวางกลางถนน
“เฮ้ย”
สรรชัยหักรถหลบเข้าข้างทาง แต่ไม่ทันแล้ว รถเสียหลักหมุนติ้วๆ ตามแรงเหวี่ยงและไปชนเข้ากับตอไม้เข้าอย่างจัง ร่างของสรรชัยเลือดท่วม ขาดใจตายลงตรงนั้น
จันทราก้าวออกมาจากข้างทาง มองดูภาพตรงหน้า แสยะยิ้มด้วยความสะใจ
ด้านดุจแขเดินเข้ามาในบ้าน ด้วยท่าทางสับสน เสียงของหมอดังก้อง
“ขอแสดงความยินดีด้วยนะครับ...คุณท้องสามเดือนแล้ว....แต่สำหรับคุณแม่ที่ภาวะหัวใจมีโรคแทรกซ้อน ต้องระวังเป็นพิเศษ”
“หมายความว่ายังไงคะ?”
“หมอตรวจพบด้วยว่า...คุณมีอาการหลอดเลือดหัวใจตีบ ซึ่งถ้าไม่ดูแลอย่างดีก็มีความเสี่ยงที่จะหัวใจวายได้”
คำพูดของหมอประโยคนั้นดึงดุจแขกลับมา สีหน้าหมอง
“แขไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ แขจะอยู่กับคุณ..กับลูก ไปจนตาย”
ดุจแขเอามือคลำที่ท้อง มองไปเห็นคล้ายเงาร่างของสรรชัยเดินผ่าน ดุจแขสะดุ้งเฮือก
“สรรชัย.....” ดุจแขงง “สรรชัยคุณกลับมาทำไมคะ?”
ดุจแขเดินตามสรรชัยไปทันที
ดุจแขเดินตามหาสรรชัย พอเข้ามาในห้องน้ำมีเสียงฮัมเพลงเบาๆ เห็นเป็นสรรชัยในสภาพเลือนรางยืนอยู่หน้ากระจก อันเป็นกิจวัตรประจำวันที่เขาชอบทำ ดุจแขเพ่งมองงงงวย
“คุณไม่ไปดูงานแล้วเหรอคะ?”
สรรชัยไม่ตอบ เหมือนจะไม่ได้ยินเสียงดุจแขด้วยซ้ำ เสียงมือถือดังมาจากนอกห้องดัง ดุจแข
สะดุ้งหันมามองอีกที ไม่เห็นสรรชัยแล้ว
ดุจแขหัวใจเต้นระรัว เอามือจับหัวใจ “นี่มันอะไรกัน?”
เสียงมือถือดังไม่หยุด ดุจแขเดินแกมวิ่งออกไปทั้งที่ยังงุนงงและตกใจ
ดุจแขวิ่งออกมารับโทรศัพท์ที่วางทิ้งไว้ด้านนอก “สวัสดีค่ะ”
“นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจนะครับ คุณเป็นญาติของคุณสรรชัยหรือเปล่า?”
ดุจแขใจหล่นวูบ “ค่ะ...มีอะไรคะ?”
“คุณสรรชัยประสบอุบัติเหตุรถพลิกคว่ำ....เสียชีวิต”
“สรรชัย” ดุจแขกรี๊ดสุดเสียง แทบล้มทั้งยืน
ดุจแขพาตัวเองมาอยู่ตรงจุดเกิดเหตุตามที่ตำรวจแจ้งแล้ว เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยนำศพสรรชัยออกมาให้ดู ดุจแขมองตาค้าง อึ้ง ตะลึง ความเสียใจมาเป็นริ้วๆ
“สรรชัย” ดุจแขโผนเข้าไปกอดร่างสรรชัย กรีดร้องขึ้นสุดเสียง “สรรชัยคุณลุกขึ้นมาสิ ลุกขึ้นมา...อย่าทำอย่างนี้”
ดุจแขเขย่าเนื้อตัวสรรชัย ร่างที่โชกไปด้วยเลือดนั้นไม่ตอบ ไม่ไหวติงแม้สักเพียงน้อย ดุจแขเขย่าๆๆ ร่างสรรชัยอีกร้องไห้เหมือนคนเสียสติ
“สรรชัยลุกขึ้นมา...อย่าทิ้งแขไป....” ดุจแขกรีดร้อง
พอเจ้าหน้าที่นำศพสรรชัยขึ้นรถ ดุจแขมองตามยืนร้องไห้ ในอาการหัวใจสลาย
“แล้วต่อไปแขกับลูกจะอยู่กับใคร?”
ดุจแขน้ำตานองหน้า มองดูร่างไร้วิญญาณของสรรชัยจนลับตา อยู่ในอาการช็อค!
วันหนึ่ง หลังจากสรรชัยเสียชีวิตไปแล้วไม่นาน จารุณีแวะมาเยี่ยมดุจแขที่บ้าน ดุจแขยืนนิ่งมองรูปสรรชัย แล้วยกมือขึ้น ค่อยๆ ลูบ รูปนั้นอย่างแผ่วเบา ก่อนจะร้องไห้ออกมา
จารุณีพูดปลอบ “ยังไงสรรชัยก็จากไปแล้ว เธออย่าร้องไห้เลยนะแข ไม่งั้นเดี๋ยวสรรชัยนอนตายตาไม่หลับ”
ดุจแขเอามือลูบท้องแผ่วเบา “แล้วที่เค้าต้องจากลูก จากเมียไปอย่างนี้...เธอคิดว่าเค้านอนตายตาหลับเหรอ?” น้ำตาคลอ คาใจไม่หาย เรื่องการตายของสามี “ฉันไม่เข้าใจ ปกติสรรชัยเป็นคนขับรถระมัดระวังมาก แล้วทำไม...มันเกิดอะไรขึ้น เค้าถึงได้ขับรถพลิกคว่ำอย่างนั้น”
“เค้าถึงได้เรียกว่าอุบัติเหตุไง เธออย่าคิดมากเลยนะ....เดี๋ยวลูกจะเป็นอะไรไป เธอต้องเข้มแข็ง...เพื่อลูกนะแข”
ดุจแขพยักหน้า น้ำตาเต็มหน้า “ฉันจะเข้มแข็งเพื่อลูก..เพื่อลูกของเราค่ะสรรชัย”
ดุจแขมองดูรูปสรรชัยแล้วร้องไห้ออกมาด้วยความรักและคิดถึง
วันต่อมา ธิติรัตน์ เดือนแรม และเจ๊กอไก่ สวมชุดดำเดินเข้ามาในบ้านเมิน เดือนแรมพูดใบหน้าหมอง
“น่าสงสารคุณดุจแขกับลูกจังเลยนะคะ”
“จริงด้วยค่ะ...ตอนอยู่ที่งานศพ แล้วคุณดุจแขบอกว่า..เธอเพิ่งจะรู้จักรักแท้..แต่รักแท้ของเธอก็มาจากไปซะก่อน” เจ๊กอไก่มองธิติรัตน์ นึกได้รีบตบปากตัวเอง “อุ๊ย!ขอโทษคุณชายค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับเจ๊...ระหว่างผมกับแข มันคงไม่ใช่รักแท้..เพราะถ้ารักแท้ ต้องเสียสละ เข้าใจ ให้อภัย พร้อมที่จะอยู่เคียงข้างกันและกันเหมือนอย่างที่คุณสรรชัยทำ”
เจ๊กอไก่พูดด้วยเสียงอ่อนโยน และจริงจัง “แล้วก็เหมือนที่คุณชายทำกับแรม”
เดือนแรมมองจ้องธิติรัตน์ ในขณะที่คุณชายก็มองหน้าเดือนแรมแล้วยิ้มให้
“ฉันบอกกับแรมแล้ว ว่าจะดูแลแรมให้เหมือนอย่างนี้ทุกวัน”
เจ๊กอไก่ขอตัว “เห็นแรมมีความสุขเจ๊ก็ดีใจ งั้นเจ๊ไปหาคุณดุจแขก่อนนะ อยู่คนเดียวคงเหงาน่าดู น่าสงสาร”
“ฝากบอกแขด้วยนะเจ๊..ว่างๆ ผมจะไปหา”
“ค่ะคุณชาย”
เจ๊กอไก่เดินออกไป เดือนแรมมองตามสายตาเศร้า
“น่าสงสารคุณดุจแขจังเลยนะคะ...คงคิดถึงพี่สรรชัยมาก ขนาดแรม ยังอดคิดถึงพี่สรรชัยไม่ได้เลย”
“ก็ยังดีที่ยังมีเจ๊กอไก่ เป็นเพื่อนยามยาก ขนาดเพิ่งจะรู้จักกัน”
“เจ๊กอไก่เป็นคนดี มีน้ำใจค่ะ รักใครก็รักจริง”
คืนนั้น ขณะที่เจ๊กอไก่เดินตรงจะไปยังบ้านดุจแข ในมือหิ้วกระเป๋าประจำตัว บ่นอุบมาตามทาง
“เฮ้อกอไก่นะกอไก่ ดีแต่ห่วงคนนั้นคนนี้ เมื่อไหร่ฟ้าจะมีตา ส่งคนดีๆ มาห่วงฉันซักทีเนี่ย...สวยก็สวย ดีก็ดี...รู้มั้ยไปไหนมาไหนเดินคนเดียวมันเหนื้อยเหนื่อย..”
เจ๊นักปั้นบ่นกระปอดกระแปด โดยไม่รู้ว่า ที่ด้านหลัง มีร่างตะคุ่มๆ ของใครคนหนึ่ง เดินลากขาตามมา ร่างนั้นก้มหน้าก้มตา คลุมด้วยชุดที่ทั้งเก่าและสภาพมอซอ ทั่วศีรษะถูกผ้าพันปิดเอาไว้มิดชิดเห็นแค่ตา แทบไม่เห็นใบหน้า
จังหวะนั้น จู่ๆ ก็มีเสียงหมาหอนดังโหยหวนรับกันเป็นทอดๆ เจ๊กอไก่เม้ง หยุดกึก
“เฮ้ย! ฉันไม่ใช่ผีนะยะ...แค่เดินผ่าน มาหอนรับฉันทำไม?”
เจ๊กอไก่เดินต่อเร็วรี่ อาการเหมือนคนกลัวผี แต่จู่รู้สึกเหมือนมีคนเดินตาม เจ๊กอไก่หยุดเดิน หันไปมอง แต่จุดนั้นว่างเปล่าไม่เห็นมีใคร?
“เอ๊ะ!!หรือว่าหมามันเห็นผีจริงๆ”
เจ๊กอไก่มองระวังหลังอย่างหวาดกลัว แล้วเดินถอยหลัง เอามือกุมสร้อยพระไว้แน่น มองอย่างระแวดระวัง
“อย่าเข้ามานะยะ ฉันมีพระ คุณพระคุณเจ้าเจ้าขา...อย่าเพิ่งจำวัด อย่าเพิ่งหลับนะเจ้าคะ...กอไก่ขอนิมนต์ออกมาคุ้มครองกอไก่ก่อน”
ขาดคำหมาหอนรับกันดังสนั่น เจ๊กอไก่หน้าซีด
“แอร๊ยย...จะหอนอะไรกันนักกันหนายะ?”
เจ๊กอไก่หันหลังจะวิ่ง แต่อารามรีบ ทำให้สะดุดขาตัวเองล้มลง
“ว้าย!!” เจ๊กอไก่ล้มคว่ำหัวคะมำ กระเป๋าหลุดจากมือร้องโอดโอย “โอ๊ย! คนยิ่งรีบๆ อยู่จะล้มทำไมเนี่ย?”
เจ๊กอไก่ก้มลงเก็บกระเป๋าด้วยลักษณะอาการพิรี้พิไรแบบเจ็บ แต่ต้องชะงัก มีมือของใครคนหนึ่งเก็บกระเป๋ายื่นส่งให้ เจ๊กอไก่ยิ้มหวาน เอื้อมมือมารับพลางบอก
“ขอบคุณค่ะ”
เจ๊กอไก่ยิ้มหวาน เงยหน้ามองคนใจดี แต่กลับถูกมือนั้นเอากระเป๋าฟาดหน้าตัวเองอย่างแรง หลายครั้ง เจ๊กอไก่ร้องว้ายล้มลงไปอีก
จันทราขึ้นคร่อมร่างเจ๊กอไก่ ทั้งตบ ทั้งตี ทั้งฟาด ทั้งขีดทั้งข่วน เจ๊กอไก่ร้องลั่น
“โอ๊ย! เจ็บ...เรื่องอะไรมาทำหนูคะ...ปล่อยๆๆอย่าหนูเจ็บ..หนูเจ็บๆๆ โอ๊ย!!”
เจ๊กอไก่ผลักร่างนั้นเต็มแรง แล้ววิ่งหนี ลนลานจนลืมกระเป๋า ร้องลั่น
“ช่วยด้วยค่ะช่วยด้วย กะเทยถูกรังแกช่วยด้วยค่ะ”
เจ๊กอไก่โกยแนบ จันทราคว้ากระเป๋าเดินตาม แรงแค้นในใจพาจันทราที่ขาพิการ ทะยานไปได้อย่างรวดเร็วเหลือเกิน
เจ๊กอไก่หอบแฮ่ก วิ่งหนีเตลิด จังหวะซวย เท้าของเจ๊ดันเหยียบพลาดลงไปในหลุม เจ๊กอไก่ล้มคะมำลง คราวนี้ลุกแทบไม่ไหว เพราะขาพลิก เจ๊นักปั้นร้องไห้หันไปมองด้านหลัง เห็นร่างทะมึนเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้มาขึ้น เจ๊กอไก่ตาเหลือก
“อะไรกันยังตามฉันมาอยู่เหรอ?”
เจ๊กอไก่ฮึดจะลุก แต่ลุกไม่ไหว ได้แต่นั่งแล้วถดตัวถอยห่างออกไป ขณะที่ร่างนั้นเคลื่อน
ตัวเข้ามาใกล้ทุกทีๆ
เจ๊กอไก่มองร่างนั้น ตาไม่กะพริบ ชั่วครู่นั้นเองดวงตาเจ๊กอไก่แปรเปลี่ยนเป็นตกใจ เหมือนจะจำได้ แต่ยังไม่ทันที่เจ๊จะพูดอะไร มือข้างหนึ่งก็ฟาดเข้าที่ใบหน้าเจ๊กอไก่อย่างเต็มแรงหลายต่อหลายครั้งติดกัน เจ๊กอไก่หน้าหันตามจังหวะการฟาดได้แต่ร้องไห้ ยกมือไหว้ ด้วยท่าทีน่าขัน
“โอ๊ย!อย่าทำหนู หนูเป็นกะเทย อย่า!”
เจ๊กอไก่ร้องลั่น จันทราขึ้นคร่อมร่างไว้ทั้งตบ ทั้งตี ทั้งข่วน ก่อนจะบีบเค้นคอเต็มแรง เจ๊กอไก่ ตาเหลือก ร้องแทบไม่ออก ลิ้นจุกปาก
“อย่า!ปล่อย...หนูยังไม่ได้แต่งงาน ปล่อยหนู”
มือของจันทรากดแรงลงที่คอเจ๊กอไก่อีก คราวนี้เจ๊กอไก่ตาเหลือกจริงๆ
บังเอิญมีคนเดินผ่านมาเห็นเหตุการณ์ก็ร้องตะโกนเสียงดังลั่น
“เฮ้ย!ทำอะไรน่ะ?”
เจ๊กอไก่ร้องสุดเสียง “ช่วยด้วยค่ะช่วยด้วย”
พลเมืองดีวิ่งมา จันทรารีบเดินลากขา ชิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว
เจ๊กอไก่ลุกขึ้นหอบแฮ่กเหมือนมีชีวิตใหม่ พลเมืองดีถามอย่างเป็นห่วง
“เป็นอะไรคุณ?”
“เป็นกะเทยค่ะ”
เจ๊กอไก่หัวเราะแหะๆ ที่รอดตายหวุดหวิด
จันทรายืนเพ่งอยู่อีกมุม จ้องเจ๊กอไก่ตาเขียว เสียดายนักที่พลาดโอกาสทอง
เจ๊กอไก่สะบักสะบอม น่วมไปทั้งตัว หน้าตาเต็มไปด้วยรอยเล็บ ดุจแขถามอย่างเป็นห่วง แม้จะยังเศร้าเรื่องสรรชัยอยู่ แต่ปากกัดเจ็บตามนิสัย
“ตายเจ๊...ไปถูกหมาที่ไหนฟัดมาคะ?”
“หมาที่ไหนคะคุณดุจแข คนชัดๆ แต่เป็นคนที่หน้าตาอัปลักษณ์น่าเกลียดน่ากลัวมาก พูดก็พูดเถอะค่ะยังกับผีแน่ะค่ะ” เจ๊กอไก่ทำท่าขนลุกขนพอง สยดสยองประกอบด้วย
“ผี?”
“ค่ะตอนแรก เจ๊นึกว่าผี แต่พอถูกตีศอกตอกเข่า แถมถูกขยุ้มด้วยเล็บ เจ๊เลยรู้ว่าคนไม่ใช่ผี”
“แต่แปลกนะคะ เค้าจะมาทำร้ายเจ๊ทำไม?”
“นั่นน่ะสิคะ...เจ๊ก็แปลกใจอยู่ เครื่องประดับ ทองหยอง เพชรนิลจินดาเจ๊ก็ไม่มีซักอย่าง” มองดูกระเป๋าตัวเอง “กระเป๋าก็ของปลอม ก็ไม่รู่มันจะมาเอาอะไร..เออถ้าเป็นผู้ชาย จะมาปล้นสวาทเจ๊ก็ว่าไปอย่าง”
ดุจแขงงไม่หาย “แล้วเค้าจะมาทำร้ายเจ๊ทำไม?”
“เจ๊ก็ไม่ทราบค่ะ มาถึงก็ทั้งตบทั้งตี ราวกับโกรธแค้นกันมาตั้งแต่ชาติไหน เอ...หรือจะเห็นว่าเจ๊สวยกว่าก็ไม่รู้” สีหน้ามั่นมากต้องใช่แน่ๆ เลยค่ะ เค้าต้องเห็นว่าเจ๊สวยกว่าแน่ๆ”
ดุจแขปล่อยเสียงหัวเราะออกมาได้ เจ๊กอไก่อมยิ้ม “ฮั่นแน่ะ! ฮาใช่มั้ยคะ ฮา?”
ดุจแขพยักหน้ายิ้มๆ แต่นัยน์ตาหมองจัด เจ๊กอไก่จับมือดุจแขพูดปลอบ
“เจ๊ดีใจนะที่คุณแขยิ้มได้อีก..คุณแขคะ...ถึงคุณสรรชัยจะจากไปแล้ว..แต่หัวใจรักของเค้ายังอยู่ คุณแขต้องดูแลตัวเองดีๆนะคะ ลูกที่เกิดมาจะได้แข็งแรง..อย่าลืมว่าลูก เป็นสมบัติที่มีค่าที่สุด...ที่คุณสรรชัย มอบให้กับคุณแขค่ะ”
ดุจแขได้ฟังถึงกับน้ำตาคลอ “ค่ะเจ๊..” เอามือลูบท้องเบาๆ “ลูกเป็นสมบัติที่มีค่าที่สุด...ที่สรรชัยมอบไว้ให้แข แขจะรักและดูแลเค้าให้ดีที่สุด...ให้สมกับความรักของพ่อเค้าที่มีให้กับแข ขอบคุณค่ะ”
ดุจแขจับมือเจ๊กอไก่ สองคนยิ้มให้กัน
เจ๊กอไก่แวะมาหาเดือนแรมที่บ้านเมินในวันต่อมา เลยถูกเดือนแรมแซวเข้าให้
“ตอนที่คุณดุจแขโทร.มาเล่าให้ฟัง แรมยังคาดไม่ถึงเลยนะคะเนี่ย..ว่าเจ๊กอไก่ของแรมจะพูดอะไรได้ซึ้งขนาดนี้”
เจ๊กอไก่หน้าง้ำ“หื้อ!!น้องแรมก็..ทำยังกับเจ๊เก่งแต่ด่า”
“ก็เจ๊ไม่เคยพูดอะไรกับแรมอย่างนี้นี่คะ” เดือนแรมกอดกะเทยนักปั้นแน่นเข้า “นอกจากทำให้แรมเห็นอย่างเดียว ว่าเจ๊พร้อมจะอยู่เคียงข้างแรมเสมอ”
“ก็เจ๊รักน้องแรมนี่คะ”
“ถ้ารักแรม...งั้นหักแรมซักสิบเปอร์เซ็นแทนหกสิบเจ็ดสิบเปอร์เซ็นได้มั้ยคะเจ๊?”
“หือ…น้องแรมนี่...เดี๋ยวเจ๊ตีตาย เจ๊เคยหักที่ไหน หกสิบเจ็ดสิบเปอร์ เจ๊หักแค่สามสิบเปอร์เซ็นต์เอง อุ๊ปส์” เอามือตบปากตัวเอง “ประกาศทั่วประเทศอย่างนี้ เดี๋ยวไม่มีเด็กเข้าสังกัด”
เห็นธิติรัตน์เดินมา เจ๊กอไก่นึกได้
“แต่ยังไง คุณชายกับน้องแรมก็ต้องระวังตัวนะคะ ทุกวันนี้โรคจิตมันเยอะจู่ๆ คนบ้าที่ไหนก็ไม่รู้ เข้ามาทุบมาตีเจ๊...แล้วเจ๊เพิ่งอ่านข่าวเจอ มีคนโรคจิตเอาน้ำกรดมาเที่ยวไล่ฉีดใส่คนด้วย คนทุกวันนี้มันน่ากลัว ไม่รู้ใครเป็นใครเราต้องระวังค่ะ”
“ผมจะดูแลแรมให้ดีที่สุดครับ”
“เผื่อมาถึงเจ๊ด้วยก็ดีนะคะ...เออว่าแต่จะไปไหนกันคะเนี่ย?”
“พาแรมไปลองชุดเจ้าสาวนะครับ”
“งั้นเจ๊ไม่กวนล่ะ กลับก่อนนะคะ...แรม...งานหน้าเจ๊หักสิบเปอร์เซ็นพอไปล่ะ”
เดือนแรมตะโกนตามหลัง “ขอบคุณค่ะเจ๊”
สองยิ้มให้กันมองตามเจ๊กอไก่จนลับตัวไป
บริเวณทางเดินจะออกจากบ้าน ธิติรัตน์จับมือเดือนแรมพูดเสียงหวาน
“หวังว่าต่อจากนี้ คงไม่มีเรื่องอะไรให้เราต้องทดสอบหัวใจกันอีกแล้วนะแรม”
“ค่ะคุณชาย”
สองคนยิ้มให้กันอย่างมีความสุข ธิติรัตน์พาเดือนแรมขึ้นรถแล้วขับออกไป
จันทราค่อยๆ เดินลากขาเข้าบ้านไป
เมินพลิกอัลบั้มดูรูปราศีกับจันทรา พลางถอนหายใจ หน้าเศร้า คิดในใจ “ถึงเธอสองคนจะไม่มีชีวิตอยู่ แต่เธอสองคนยังมีชีวิตอยู่ในใจฉันมาดูความสุขของลูกด้วยกันนะ ทั้งลูกทั้งหลานของเรากำลังจะแต่งงาน”
มะลิเดินเข้ามา “อ้าว อยู่คนเดียวเหรอ? แล้วเด็กๆ ไปไหนกันหมด”
“ไปลองชุดแต่งงานกันน่ะครับ”
มะลิยิ้มสุขใจ “มิน่า..ตาต้อมหายไปตั้งแต่บ่าย” พลางทรุดตัวลงนั่ง “แล้วเราทำอะไรอยู่”
“คุยกับจันทรา ราศีอยู่นะครับ....จริงๆ แล้วทั้งสองคนน่าจะมีโอกาสได้อยู่ดูความสุขของลูก” เมินว่า
“เมิน...คนตายไปแล้วก็คือจบ อย่าย้ำคิดย้ำทำ ไม่อย่างนั้นชีวิตเธอจะไม่หลุดพ้นจากความทุกข์ซักที”
“ยังไงผมก็ทุกข์ เพราะที่ผ่านมาผมเป็นต้นเหตุของเรื่องทุกอย่าง ถ้าผมรักเดียวใจเดียว ไม่นอกใจราศี ก็คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้ และถ้าผมอยู่กับจันทราและรักเธอทั้งหมดของหัวใจ เรื่องก็ไม่จบลงแบบนี้...เรื่องมันวุ่นวายเพราะผมโลเลหลายใจ”
“เรื่องมันจบไปแล้ว ปล่อยให้มันจบๆ ไป อย่าไปพูดถึงมันอีก”
จันทราแอบฟังอยู่มุมหนึ่งของห้อง คำรามเสียงกราดเกรี้ยวอยู่ในใจ
“เรื่องมันยังไม่จบ....บอกได้เลยว่าเรื่องมันยังไม่จบ!”
จันทราค่อยๆ หมุนตัวเดินออกไป
ขณะที่แป้นทำงานอยู่ มองด้วยหางตาเห็นร่างของใครคนหนึ่งเดินผ่านไป แป้นชะงัก
“ใครน่ะ?”
แป้นวางงานในมือเดินตามไป เห็นหลังใครคนหนึ่งเดินอาการไม่ปกติ ลากขาไป
เวลานั้นชุติมากับเพ็ญประกายถือถุงเสื้อผ้าข้าวของมาด้วยกัน แป้นวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา
“มีอะไรแป้น?”
“แป้นเห็นใครก็ไม่รู้ค่ะ เดินเข้ามาในบ้าน แต่งตัวประหลาดๆ เสื้อสีน้ำตาลเก่าๆ ตุ่นๆ รุ่มร่ามๆ เอาผ้าโพกหน้าเอาไว้ แถมยังเดินลากขากระเผลก”
“ใครน่ะ?” ชุติมาสงสัย
“แป้นไม่ทราบค่ะ คุณเพ็ญกับคุณชุไม่เห็นเหรอคะ?”
สองคนส่ายหน้าบอกพร้อมกัน “ไม่เห็น”
“แปลกมาก....ขาพิการขนาดนั้น ทำไมเดินได้เร็วนัก หรือว่าเค้าจะยังแอบอยู่ในนี้”
สองสาวมองหน้ากัน “แอบอยู่ในนี้”
แป้นมั่นใจ “ไม่งั้นจะหายไปไหนเร็วนักคะ?”
“ลองหาดูกันก็ได้”
“จะดีเหรอพี่ชุ?”
“ดีสิ...เผื่อเป็นผู้ร้าย” ชุติมาคว้าท่อนไม้แถวนั้นขึ้นมากระชับในมือ “จะได้ทุบหัวแตก”
ชุติมาเดินนำไป สองคนตามติด
ชุติมา เพ็ญประกาย และแป้นเดินตามหาคนร้ายจนทั่ว เหมือนว่าสามสาวถูกจ้องมองจากจันทราตลอดเวลา จันทราแอบมองอยู่ คิดแค้นในใจ
“ไม่มีฉัน แกสองคนยังมีความสุขได้ใช่มั้ย นังลูกชั่ว อย่าหวังเลยว่าฉันจะให้พวกแกมีความสุข”
จันทราทั้งเสียใจ น้อยใจ และโกรธแค้น จนน้ำตาไหลริน
สามคนมองจนทั่วก็ไม่เห็นใคร
ครู่ต่อมาสองพี่น้องคุยกันในห้อง เพ็ญประกายเอ่ยขึ้น
“คงไม่มีอะไรหรอกพี่ชุ”
“ฮื่อ! แป้นคงตาฝาดน่ะ” ชุติมาว่า
“แต่เพ็ญรู้สึกสังหรณ์ใจยังไงไม่รู้” ท่าทีหวาดกลัว “เค้าว่า ใกล้มีงานมงคล มักจะมีเรื่องอะไรที่ไม่ดี”
“ไม่มีอะไรหรอกน่า คิดมาก....เดี๋ยวหน้าก็เหี่ยว เป็นเจ้าสาวที่ไม่สวยหรอก”
ชุติมาปลอบ แต่สายตาของสองพี่น้องก็ดูวิตกกังวลอยู่ดี ก่อนที่ชุติมาจะโพล่งขึ้น
“แล้วแรมล่ะ?”
“ยังไม่เห็นกลับมาเลยค่ะ แต่แรมไปกับคุณชายคงไม่มีอะไรน่าห่วงหรอกค่ะ”
ชุติมาพยักหน้าวางใจ
ธิติรัตน์มาส่งเดือนแรมที่หน้าบ้านแล้ว ธิติรัตน์จับมือเดือนแรมมากอบกุม
“ฉันอยากให้ถึงวันแต่งงานของเราเร็วๆ จังแรม”
“ทำไมคะ?”
“ก็วันนี้แรมสวยมาก สวย..สวยจนฉันไม่รู้จะบอกยังไง?..ฉันกลับก่อนนะ”
“อ้าว!ทำไมรีบกลับนักล่ะคะ?” เดือนแรมฉงน
ธิติรัตน์ยื่นหน้ามากระซิบ “ก็...ขืนอยู่ใกล้แรมนานๆ ฉันกลัวฉันอดใจไม่ไหว” พลางทำตาเจ้าชู้ใส่ “เลยกลับบ้านก่อนดีกว่า...พรุ่งนี้เจอกันนะแรม”
ธิติรัตน์ยื่นหน้ามาหอมแก้มแผ่วเบาหนึ่งฟอด แล้วเดินไปขึ้นรถ เดือนแรมมอง ตะโกนตามหลัง
“ขับรถดีๆนะคะ”
“จ้ะ” ธิติรัตน์หันมาตอบพร้อมรอยยิ้ม เดินไปต่อ
เดือนแรมยิ้มกว้างมองตามธิติรัตน์ที่ขับรถออกไป แล้วจึงเปิดประตูเล็กเดินเข้าบ้านไป
จันทราซึ่งหลบซ่อนตัว รอคอยเวลาอยู่ภายใต้ความมืดมิดของต้นไม้ใหญ่ ค่อยๆ ก้าวออกมาเดินตามเดือนแรม ด้วยแรงอาฆาตมาดร้ายที่ฉายโชนชัดเจนในใบหน้าแสนอัปลักษณ์
เดือนแรมเดินเข้าบ้าน ขณะที่ด้านหลังจันทราลากขาเดินตาม สัญชาตญาณของเดือนแรมรู้สึกเหมือนคนเดินตาม เดือนแรมหันหลังกลับไปมอง แต่ไม่เห็นใคร เดือนแรมฉงน หันตัวกลับไปเดินต่อ
จันทราลากขาเดินตาม เดือนแรมเหลียวขวับ เห็นเพียงชายเสื้อแวบๆ เหมือนคนหลบฉากเข้าหลังพุ่มไม้
เดือนแรมตะโกนเสียงดังไม่กลัว “ใคร?”
เงียบไม่มีเสียงตอบ เดือนแรมกวาดตามองหาอาวุธ เจอไม้ท่อนหนึ่งขนาดเหมาะมือ คว้าไม้ขึ้นมากำแน่น ค่อยๆ ก้าวเดินตรงไปยังพุ่มไม้ด้วยความอยากรู้
เดือนแรมเดินย่องไป ช้าๆ ใกล้พุ่มไม้ทุกทีๆ
จู่ๆ มือของแม้นเทพ เอื้อมมือแตะบ่า เดือนแรมตกใจหันมาเงื้อไม้จะฟาด
แม้นเทพคว้ามือแรมไว้ “อย่าแรม”
“พี่ต้อม”
“มีอะไรเหรอ?”
“แรมรู้สึกเหมือนคนตามแรมมา พอแรมหันไปดูก็เห็นเค้าหลบอยู่หลังพุ่มไม้”
แม้นเทพคว้าไม้ในมือเดือนแรมมาถือไว้เอง แล้วค่อยๆ เดินไปยังพุ่มไม้อย่างระมัดระวัง เดือนแรมเดินตาม พอไปถึงพุ่มไม้ แม้นเทพก็เอาไม้ฟาดๆๆ ลงไปอย่างแรง ทุกอย่างปกติ ไม่มีคน ไม่มีอะไรทั้งนั้น แม้นเทพเข้าไปดู
“ไม่มีอะไรนี่แรม?”
“สงสัยแรมจะตาฝาด” สีหน้าลังเล “แต่เหมือนแรมเห็นคนจริงๆ ใส่เสื้อสีตุ่นๆ น้ำตาลเก่าๆ”
“ใครจะลอบเข้ามา...”
แม้นเทพเดินสำรวจอีกรอบ แต่ก็ไม่เห็นมีอะไร แม้นเทพเดินกลับมาหาเดือนแรม
“ถ้าเป็นหัวขโมยมันคงหนีไปแล้วล่ะ พี่ว่าแรมรีบเข้าบ้านเถอะ...แล้วต่อไปดึกๆ ดื่นๆ อย่าออกมาเดินคนเดียว ถึงจะเป็นบ้านเรา แต่ทุกวันนี้มันอันตราย”
แม้นเทพพาเดือนแรมกลับเข้าบ้านไป ท่าทีเดือนแรมยังสงสัยไม่หาย
เดือนแรมครุ่นคิดอยู่ในห้อง มั่นใจว่าเห็นชายเสื้อและคนหลบอยู่หลังพุ่มไม้
“เราไม่ได้ตาฝาด..เราเห็นจริงๆ...ใคร?”
เดือนแรมยังสงสัยค้างคาใจ
ในห้องเช่าเวลานั้น จันทราโกรธเกรี้ยวมากขึ้นทุกขณะ ที่พลาดโอกาสถึงสองหน
“วันพระไม่มีหนเดียว ยังไงแกก็ไม่รอด นังแรม รวมทั้งลูกชั่วทั้งสองคน นังชุติมา นังเพ็ญประกาย”
จันทราคว้ายามากิน ลักษณะเหมือนคนบ้าเข้าไปทุกที
สุดใจถามชุติมาด้วยความเป็นห่วง ขณะเดินคุยกันมา
“ชุไม่เป็นอะไรแน่นะ”
“แน่สิคะ...” ชุติมามองอย่างสงสัย “ทำไมน้าสุดใจถามอย่างนี้?”
“น้าฝันร้าย....ฝันว่าคุณจันทรา...มาทำร้ายชุ”
จันทราแอบมองอยู่
สีหน้าชุติมาเศร้าลง “แม่ไปดีแล้วค่ะน้าสุดใจ”
“น้าก็ขอให้เป็นอย่างนั้น แต่น้าก็อดสังหรณ์ใจไม่ได้...น้าขอโทษนะ...น้ารู้สึกว่าคุณจันทรายังอยู่ใกล้ๆเรา เมื่อเช้าตอนที่ออกจากแฟลตก็เหมือนมีคนสะกดรอยตามมา”
ชุติมาหน้าสลดลงอีก “น้าสุดใจเคยถูกแม่ทำร้าย น้าสุดใจเลยยังกลัวแม่อยู่...” ชุติมาจับมือสุดใจปลอบ พร้อมกับขอโทษ “ชุขอโทษแทนแม่ด้วยนะคะ....ที่แม่ทำไม่ดี
จันทราตาเขียวปั๊ดมองชุติมาอย่างโกรธเกรี้ยว ชุติมาพูดต่อ
“ต่อไป..ชุจะดูแลน้า...ไม่ให้น้าอยู่โดดเดี่ยว...น้าอโหสิกรรมให้แม่นะคะ”
สุดใจยิ้มรับ “จ้ะ”
ใบหน้าแสนอัปลักษณ์ของจันทรายิ่งโกรธมากขึ้น เมื่อเห็นชุติมากอดสุดใจ
“วันนี้น้านอนค้างกับชุนะคะ ชุเป็นห่วง”
“จ้ะ”
สองคนเดินเข้าไปด้านใน จันทราหัวเสียมาก เดินหันหลังกลับร่ำร้องในใจ
“ดวงของแกมันดีจริงๆ นังสุดใจ” มองชุติมาตาเขียว “นังชุติมา นังลูกชั่ว แกด่าฉัน แกเข้าข้างคนอื่น ฉันไม่มีทางอโหสิกรรมให้พวกแก แล้วฉันยังจะจองล้างจองผลาญจองเวรจองกรรมพวกแกทุกคน”
ด้านกะเทยฟลุคหลง นั่งซักผ้าอยู่ในห้องน้ำ ในห้องเช่า เสียงน้ำจากก๊อกไหลซู่ซ่าเสียงดัง อีกทั้งในห้องยังเปิดเพลงเสียงดังสนั่น
ฟลุคหลงจึงไม่รู้ว่าประตูห้องที่แง้มอยู่ กำลังถูกเปิดเข้ามา พร้อมกับร่างของจันทราที่ย่องเข้ามาอย่างเงียบกริบ แล้วปิดประตูลงอย่างแผ่วเบา
ฟลุคหลงร้องเพลงไป ซักผ้าไป จันทราหยิบเชือกไนล่อนที่วางอยู่ตรงมุมห้องขึ้นมา จันทราจับขึงออกด้วยสองมือ สายตากร้าว ค่อยๆ เดินย่องไปข้างหลังฟลุคหลง แล้วได้จังหวะเหมาะก็เอาเชือกตวัดรัดคอดึงร่างฟลุคหลงลงอย่างรวดเร็ว ฟลุคหลงไม่ทันระวัง ร้องสุดเสียง
“โอ๊ย”
ฟลุคหลงล้มหัวฟาดพื้น จันทราไม่รอช้า จับหัวโขกลงกับพื้นเต็มแรง ฟลุคหลงเห็นใบหน้าจันทรา มองตะลึงเพราะน่าเกลียดน่ากลัว จนจำไม่ได้
“ทำฉันทำไม?”
“แกรวมหัวกับนังสุดใจทำร้ายฉัน แกตาย” จันทราคำราม
ฟลุคหลง ตกใจ จำได้ ตะลึงตาค้าง “คุณจันทรา อย่า...อย่า”
ฟลุคหลงร้องได้แค่นั้น ก็เงียบเสียงลง เพราะถูกจันทราจับหัวโขกลงกับพื้นสุดแรงจน
ขาดใจตาย คาที่
นัยน์ตาของจันทรามองร่างฟลุคหลง นอนตายจมกองเลือด สาแก่ใจมาก
จันทราเดินลากขาออกไปย่างใจเย็น เสียงน้ำจากก๊อกยังไหลซู่ๆ เหมือนเดิม
ติดตามอ่านตอนต่อไป
มาหยารัศมี ตอนที่ 18 อวสาน (ต่อ)
วันต่อมาสุดใจเดินเข้าไปในร้านอาหารตามสั่ง และสั่งเมนูง่ายๆ คว้าหนังสือพิมพ์บนโต๊ะขึ้นมา พอไล่สายตาอ่านข่าวพาดหัวหน้าหนึ่ง สุดใจก็ตกใจหน้าซีดเผือด
“ฟลุคหลง....ฆาตกรรมสยอง กลางกรุง..พยานระบุ ก่อนตาย มีผู้หญิงหน้าตาอัปลักษณ์ ขาพิการมาหาผู้ตายที่ห้อง....ใครกัน?”
นัยน์ตาสุดใจตื่นตระหนก นึกประหวั่นพรั่นพรึง และสงสารฟลุคหลงจับใจ
เจ๊กอไก่นั่งอาการตื่นเต้นคุยอยู่กับดุจแขที่บ้าน “เจ๊ก็สงสัยมากๆ ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใครกัน”
“ฆาตกรในข่าวน่ะเหรอคะ?”
“ใช่ค่ะ!! พูดก็พูดเถอะ”
ดุจแจอึ้ง สงสัย “ทำไมเจ๊?”
“ก็....ลักษณะมันเหมือนกับผู้หญิงที่หน้าตาอัปลักษณ์ที่มาทำร้ายเจ๊น่ะสิคะ”
“จริงเหรอคะ?”
“อู้ย! แต่ละวัน ธุระเจ๊ก็เยอะแล้ว เจ๊ไม่ว่างพอที่มาหลอกคุณแขหรอกค่ะ”
ดุจแขหน้าซีด เจ๊ก็ไก่ว่าอีก
“และที่สำคัญ...เจ๊ว่าผู้หญิงที่อาจจะฆ่าฟลุคหลง กับคนที่ทำร้ายเจ๊...มีลักษณะเหมือนคนๆเดียวกัน และยิ่งคิดเจ๊ก็ว่า...ผู้หญิงคนนั้นเหมือนคุณจันทรา ยังไงคุณแขระวังตัวด้วยแล้วกัน อยู่ลำพังคนเดียวแบบนี้ แถมยังท้องยังไส้เจ๊เป็นห่วง”
“ขอบคุณค่ะเจ๊...แต่แขอยู่ในบ้าน คงไม่มีอะไร?”
ดุจแขพูดปลอบใจตัวเอง
ค่ำคืนที่เงียบสงัด ดุจแขที่มีอาการอ่อนแรงแบบคนแพ้ท้องเดินออกมาทิ้งขยะที่หน้าบ้าน ทิ้งขยะเสร็จ ดุจแขชะงัก คิดไปถึงคำพูดของเจ๊กอไก่ที่คุยกันเมื่อช่วงกลางวัน
“และที่สำคัญ เจ๊ว่าผู้หญิงที่อาจจะฆ่าฟลุคหลง กับคนที่ทำร้ายเจ๊...มีลักษณะเหมือนคนๆเดียวกัน และยิ่งคิดเจ๊ก็ว่า...ผู้หญิงคนนั้นเหมือนคุณจันทรา”
ดุจแขหน้าซีด “คุณจันทราตายไปแล้ว ถ้ามาก็ผีแล้ว”
ดุจแขกลัวจัด รีบเดินเข้าบ้าน จนลืมปิดประตู
จันทราแอบดูอยู่ตลอดเวลา รอจนดุจแขเดินเข้าไปในบ้านก็เดินตรงไปที่ประตู มือของจันทราเปิดประตูเข้าไป ก่อนจะค่อยๆ เดินลากขาเข้าไปในบ้าน ท่าทางของจันทราไม่รีบร้อนอะไรเลย
ดุจแขอาเจียน โอ้กอ้ากในห้องน้ำ มือจันทราเปิดประตูห้องเข้ามาแล้ว ดุจแขสะดุ้งเฮือกที่ได้ยินเสียงคนเปิดประตูห้อง ถามเสียงดังข่มความกลัว
“ใคร?” เงียบกริบไม่มีเสียงตอบ “ฉันถามว่าใคร?”
ไม่มีเสียงตอบอีก ดุจแขเดินออกมาจากห้องน้ำ เห็นประตูห้องเปิดแง้มอยู่ ใจสั่น
“มีคนเข้ามา”
พูดไม่ทันขาดคำ มองจากประตูที่เปิดแง้มอยู่ ดุจแขเห็นเหมือนใครคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น
“ใคร?” เงียบไม่มีเสียงตอบ
ดุจแขรีบเดินไปคว้าปืนที่โต๊ะหัวเตียงเดินออกไปด้วยท่าทางระมัดระวัง
ดุจแขเปิดสวิชท์ไฟด้านนอก แล้วค่อยๆ เดินถือปืนออกมาจากนอกห้อง กวาดตามอง
ทุกมุม แต่ไม่เห็นใคร ดุจแขใจสั่น
“แกเป็นใคร? ออกมาเดี๋ยวนี้นะ ไม่งั้น ฉัน ยิง!”
ดุจแขกวาดปืนไปรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นใครอีก ทุกอย่างเงียบ
“อย่าบอกนะว่าผี”
ดุจแขลดปืนลง สีหน้าตระหนก
จันทราเคลื่อนตัวเข้าไปหาดุจแขจากด้านอย่างเร็วรี่ เชือกในมือตวัดรัดเข้าที่คอของดุจแข
ราวกับอัตโนมัติ ดุจแขผงะหงาย ตาโต
“แกเป็นใคร?”
ดุจแขจ้องคนตรงหน้า ดวงตาตื่นตะลึง...ก่อนพูดเสียงผะแผ่ว ไม่ค่อยมีเสียงเพราะถูกเชือกรัดคอ
“คุณจันทรา นี่คุณยังไม่ตายเหรอ?”
พูดไม่ทันจบดุจแขก็ถูกจันทราผลักล้มลงไป จันทราขยับขึ้นคร่อมออกแรงรัดคอเพิ่มขึ้น ดุจแขจะขาดใจแล้ว
“ช่วยด้วยๆๆ”
มือของจันทราออกแรงดึงเชือกรัดแน่นขึ้น ดุจแขดิ้นรน ต่อสู้สุดกำลัง จนข้าวของในห้องทั้งหนังสือ กล่องใส่ทิชชู่ ต่างๆ ในห้องกระจุยกระจาย ก่อนที่ดุจแขจะหมดสติไป
มือของจันทราคลายเชือกในมือออก ก่อนจะลากร่างไร้สติของดุจแขไป
เวลาเดียวกันนั้นธิติรัตน์เดินเข้ามาด้านในพลางบ่น “ทำไมแขไม่ปิดประตู?”
ธิติรัตน์เห็นสภาพห้องรกเรื้อ เหมือนมีคนต่อสู้กัน ธิติรัตน์ตกใจ กวาดตามองร้องเรียก
“แข...แข”
แล้วรีบตามหาดุจแขทันที
ธิติรัตน์วิ่งหาดุจแขตามห้องต่างๆ อย่างร้อนใจ “แข..คุณอยู่ไหนแข?”
ในห้องนอนว่างเปล่า...ธิติรัตน์ยืนอึ้ง ใจคอไม่ค่อยดี ท่ามกลางความเงียบ ยินเสียงคนลับมีด ดังแว่วมา แต่บาดหัวใจอย่างเหลือเกิน ธิติรัตน์หันหน้ามองไปตามเสียง ใจเต้นไม่เป็นส่ำ
ที่ภายในห้องครัวเวลานั้น ร่างดุจแขนอนหมดสติอยู่ ส่วนจันทราลับมีดอย่างช้าๆ อย่างใจเย็น
ธิติรัตน์เดินตามเสียงมา หัวใจเต้นรัวเร็ว ธิติรัตน์เพ่งมองเห็นด้านหลังของใครคนหนึ่ง นั่งลับมีดอยู่ และตรงหน้าคือร่างดุจแขนอนหมดสติ
“อย่า!!”
ธิติรัตน์กระโจนเข้าไปหาร่างจันทราแล้วผลักออกอย่างแรง ร่างนั้นล้มลง แต่ยังมีฤทธิ์พลิกกลับมาจะเอามีดมาแทง ธิติรัตน์หลบ หักข้อมือบิดจนมีดหล่นลงกับพื้น ดุจแขได้ยินเสียงมีดหล่น ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองภาพตรงหน้า
“คุณชาย”
“แข”
มือของจันทราผลักธิติรัตน์ออกแล้ววิ่งหนีออกไปอย่างเร็วรี่ ทั้งๆ ที่ขาเป๋ไม่ปกติ
“หยุด! หยุด” ธิติรัตน์รีบตามจันทราออกไป
ธิติรัตน์วิ่งตามออกมา เห็นหลังจันทราวิ่งไปลิบๆ เร็วมาก ทั้งที่ขาพิการ พอตั้งท่าจะตามไป แต่ดุจแขที่เดินตามมาในสภาพแบบอ่อนแรงร้องเรียก
“คุณชาย”
“แข”
ธิติรัตน์รีบเข้ามาประคองดุจแขด้วยความเป็นห่วง
ขณะที่ด้านนอก จันทราเดินลากขากระเผลกไป อย่างช้าๆ แต่ดูน่ากลัว ราวกับอสุรกายที่ปรากฏร่างยามค่ำคืน
ธิติรัตน์ดูแลดุจแขให้ยาดมและผ้าเย็นซับหน้า ที่ลำคอดุจแขมีรอยช้ำแดง
“ขอบคุณมากค่ะ...ถ้าคุณชายไม่มาหา แขคงตายไปแล้ว”
“ผมเป็นห่วง...ห่วงสภาพจิตใจของแข ไม่มีคุณสรรชัยแล้วแขจะเป็นยังไง? ไม่นึกเลยจริงๆ ว่ามาถึง จะเจอเรื่องน่ากลัวอย่างนี้ แล้วมันเรื่องอะไรกัน เค้าถึงได้มาทำร้ายแขอย่างนี้”
“ตอนแรกแขก็ไม่รู้ แต่พอเห็นหน้าเค้าชัดๆ แขมั่นใจค่ะคุณชาย”
“มั่นใจว่า…”
“คนร้ายคือคุณจันทรา”
“มันจะเป็นไปได้ยังไง คุณจันทราตายไปแล้ว”
“เค้ายังไม่ตายค่ะ...แล้วตอนนี้แขก็มั่นใจ ฆาตกรที่ฆ่าฟลุคหลง ทำร้ายเจ๊กอไก่ รวมทั้งปรากฏตัวให้ใครต่อใครเห็น คือคุณจันทรา...”
ธิติรัตน์ อึ้ง ตะลึง ไม่เคยคาดคิด
“คุณจันทราเค้าไม่ยอมไปจากเราค่ะคุณชาย..และแขก็มั่นใจ ว่าเค้าจะกลับมาเพื่อทำร้ายเราทุกคน”
ธิติรัตน์วิตกกังวลหนัก นึกห่วงเดือนแรมขึ้นมาครามครัน
เวลาผ่านไป ไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้น วันนี้บริเวณบ้านเมิน ที่ถูกตกแต่ง ด้วยบรรยากาศของการแต่งงานในสวน ดอกกุหลาบสีขาวแซมใบไม้สีเขียวสว่างกระจ่างไปทั้งงาน บ่าวสาวหล่อสวยคู่ใครคู่มัน
ธิติรัตน์เดินเคียงเดือนแรม แม้นเทพคู่ชุติมา เพ็ญประกาย มีศรัณย์เคียงข้าง สามคู่ชู้ชื่นแต่ละคู่เดินเกาะแขนกันมา ก่อนแยกย้ายทักทายแขกเหรือ ทุกคนสวยหล่อในชุดสีขาว แขกในงานมองคู่บ่าวสาวด้วยใบหน้าปลาบปลื้มยินดี
ธิติรัตน์แม้จะยิ้มแย้มแต่ก็ดูเหมือนจะกังวลตลอดๆ เพราะคอยเหลือบมอง สำรวจไปรอบๆบริเวณงานเป็นระยะๆ เดือนแรมจับสังเกตเห็น มองแล้วถามขึ้น
“คุณชาย มีอะไรรึเปล่าคะ?”
“เปล่าจ้ะแรม ไม่มีอะไรจ้ะ” ปากว่าเปล่าแต่สีหน้ายังกังวล
เดือนแรมมองไม่วางใจ “แต่ดูเหมือนคุณชายมีอะไรกังวลในใจ?
ธิติรัตน์ยิ้มให้แตะแขนเบาๆ “ไม่มีอะไรจริงๆ คงตื่นเต้น ที่ได้เจ้าสาวสวยและ น่ารักกว่าใครๆ”
ศรัณย์ได้ยิน “อ้าว!! ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะ? เจ้าสาวของฉันก็สวย น่ารักเหมือนกันนะชาย”
เพ็ญประกายยืนยิ้มแป้น แม้นเทพแซวเจ้าสาวตัวเอง
“เจ้าสาวของผม..ก็สวย..น่ารักเหมือนกัน”
ชุติมายิ้มแก้มแทบแตก
ดุจแขสวมชุดคลุมท้องเดินเข้ามาพร้อมกับเจ๊กอไก่
“เพื่อนแข เป็นเจ้าบ่าว เจ้าสาว ที่ทั้งสวยทั้งหล่อ น่ารักที่สุดเลยค่ะ”
“เหมือนนางฟ้า เหมือนนางสวรรค์ เห็นแล้วอิจฉา”
เห็นวีระเดินมา เจ๊กอไก่เรียก “คุณวีระ”
“ครับ
“ว่างรึเปล่าคะ?”
“ว่างครับ เจ๊มีอะไร?”
“ช่วยเป็นเจ้าบ่าวให้เจ๊หน่อย”
ธีระเจอมุกนี้รีบบอก “งั้นผมไม่ว่างแล้วครับ...มางานแต่งหน้าอยู่” พร้อมกับทำท่าออกสาวเอามือแตะพัฟเหมือจะแต่งหน้า
“แต่งงานค่ะ ไม่ใช่แต่งหน้า ฮั่นแน่ะ!เขินเจ๊ล่ะสิ” เจ๊กอไก่คล้องแขนหมับ “มะๆ เจ๊ขอควงหน่อย”
“ขอบใจนะแข...ใกล้คลอดแล้วยังอุตส่าห์มา” ธิติรัตน์ยิ้มแย้มกับดุจแข
“เพื่อนแต่งงานทั้งที ไม่ใช่คู่เดียว แต่ตั้งสามคู่ ไม่มาได้ยังไง ..ยินดีด้วยนะคะทุกคน ยินดีจริงๆ”
พิมเดินเข้ามาบอก “พิธีจะเริ่มแล้ว คุณให้เชิญเข้าข้างในค่ะ”
ทุกคนยิ้มเดินตามพิมเข้าไป วีระแซวเจ๊กอไก่
“เสร็จงานนี้นอกจากนายชายกับแรม เราได้พระเอก นางเอกอีกหลายคู่เลยนะเจ๊”
“เอางานเก่าให้รอดก่อนเถอะค่ะ เดโม่เทปที่ส่งไป ช่องยังไม่ให้คำตอบเลย”
สองคนหัวเราะคิกคักเดินตามกันไปข้างในบ้าน
หม่อมรัตนา กับมะลินั่งอยู่บนโซฟา เห็น 3 คู่บ่าวสาวเดินเข้ามา มะลิถามแป้น
“อ้าว!แล้วนายเมินไปไหน? ตะกี้ยังเห็นอยู่เลย แป้นไปตามคุณเมินทีซิ”
“ค่ะ” แป้นเดินออกไป ขณะที่บ่าวสาวเดินเข้ามา
แป้นจะเดินเข้าไปในบ้าน แต่หางตาเหลือบเห็นใครคนหนึ่ง ยืนอยู่ แป้นชะงัก
“ใครน่ะ? ใคร?” เงียบไม่มีเสียงตอบ แป้นเดินเข้าไปด้านในด้วยอยากรู้
“ฉันถามว่าใคร? ทำอะไรอยู่ตรงนั้น”
แป้นกวาดตามองไปเบื้องหน้า แต่จันทราเดินมาข้างหลัง อย่างแผ่วเบา ก่อนจับคอแป้นหมุนหักคอดังกร๊อบ ร่างของแป้นทรุดลง ตาเหลือก ขาดใจตายอยู่ตรงนั้น
จันทรายิ้ม เป็นรอยยิ้มของคนวิปริตจิตวิปลาสชัดๆ
“ต่อไปถึงคิวของพวกแกแล้ว”
จันทราสะบัดหน้ามาแสยะยิ้ม
ด้านเมินยังอยู่ในห้อง เปิดลิ้นชักหยิบกล้องถ่ายรูป เพื่อจะมาถ่ายรูปในงาน เมินเปิดเช็คกล้อง เห็นเป็นภาพที่ธิติรัตน์แอบถ่ายตอนจันทราทรมานแรม เมินถอนหายใจ ก่อนปิดกล้องดึงเมมโมรี่การ์ดออกมา
“วันนี้วันมงคล ฉันจะลืมทุกสิ่งที่เธอทำจันทรา”
เมินหักเมมโมรี่การ์ดทิ้งและวางกล้องไว้ ก่อนเดินลงไป
จันทรายืนอยู่ มองตาม สีหน้าจันทราที่มองมา มีแต่ความเจ็บช้ำ
เจ้าบ่าว 3 คน นั่งที่พื้น บรรจงสวมแหวนให้กับเจ้าสาวของตัวเอง และเจ้าสาวสวม
แหวนให้เจ้าบ่าว แต่ละคนสีหน้าอิ่มเอมใจ ก่อนที่หม่อมรัตนาจะยื่นกำไลฝังเพชรให้คุณชาย
“นี่จ้ะชาย...สำหรับมาหยารัศมี”
ธิติรัตน์รับมา เห็นกำไลสลักชื่อชัดเจน ...มาหยารัศมี
“สำหรับมาหยารัศมี เจ้าสาวของฉัน”
“สะใภ้แห่งวังศิลาลาย” หม่อมรัตนายิ้ม
ธิติรัตน์สวมกำไลให้เดือนแรม ทุกคนยิ้มปลื้ม เมินอวยพรลูกสาว
“มาหยารัศมี ลูกต้องทำหน้าที่ศรีภริยาและหน้าที่สะใภ้ให้คู่ควรกับวังศิลาลาย ดังที่ท่านชายได้ประสงค์ไว้”
“ค่ะคุณพ่อ”
มะลิเอ่ยขึ้นในฐานะแขกผู้ใหญ่ “คุณชาย แม้นเทพ ศรัณย์ ต่อไปเป็นผู้นำครอบครัวแล้ว จิตใจต้องหนักแน่น มั่นคง ไม่อย่างนั้นครอบครัวจะมีปัญหาได้”
เจ้าบ่าว 3 หนุ่มยกมือไหว้ “ครับคุณป้า” / “ครับคุณแม่”
มะลิหันมาทาง 3 เจ้าสาว “ชุติมา เพ็ญ แรม สิ่งสำคัญที่สุดของลูกผู้หญิงคือความอ่อนโยนอ่อนหวาน แต่งงานแล้วต้องให้เกียรติสามีนะลูก หนักนิดเบาหน่อยต้องรู้จักอภัยให้กัน”
“ค่ะคุณป้า” 3 สาว ซาบซึ้ง และตื้นตันใจ
“มีความสุขมากๆ นะลูก แล้วก็มีหลานให้พวกเราไอ้อุ้มกันเร็วๆ” หันมามองเมินกับมะลิ “นะคะ”
เหล่าผู้ใหญ่ยิ้มรับคำมีความสุข ทุกคนในงาน ยิ้มแย้มเบิกบาน จู่ๆ พิมวิ่งเข้ามาหน้าตาตื่น
“เกิดเรื่องใหญ่ค่ะคุณ”
มะลิฉงน “มีอะไรพิม?”
พิมปากคอสั่น “แป้น...แป้น”
ทุกคนรีบตามพิมมาเห็นแป้นนอนตายตาเหลือกอยู่ เพ็ญประกายกรีดร้อง
แม้นเทพดูศพแป้น “แป้นถูกหักคอตาย”
“แป้นถูกหักคอตาย...ใครกัน? เป็นคนร้าย”
จันทราเดินก๋าเข้ามาทางด้านหลังกลุ่มคน คว้าคอเดือนแรมเอาไว้ เดือนแรมตกใจร้องสุดเสียง
“ว้าย!!
ทุกคนหันขวับมามอง เห็นผู้หญิงหน้าตาอัปลักษณ์แต่งตัวสกปรกเนื้อตัวมอมแมม ยืนเอามีดจ่อคอเดือนแรมอยู่ ทุกคนตกใจตะลึง
เมินมองจ้อง ตกใจเสียงสั่น “จันทรา...”
ชุติมากับเพ็ญประกาย ตกใจและคาดไม่ถึง “แม่...”
จันทราหัวเราะก้อง “นึกว่าจะมีความสุขจนจำฉันไม่ได้ซะแล้ว”
“ปล่อยแรมนะครับคุณจันทรา”
จันทราลดเสียงเยาะ “คุณช้ายยย...ฉันใช้เวลามานานหลายปี ที่จะตามล้างแค้นพวกคุณ...แล้วฉันจะมาปล่อยนังแรม...ด้วยคำพูดแค่นี้เหรอ?”
“แม่!!ปล่อยแรมนะแม่...แม่อย่าทำผิดอีกเลยนะแม่” ชุติมาร้องขอ
“หุบปากเดี๋ยวนี้นังลูกชั่ว มันทำลายชีวิตฉันจนพังขนาดนี้ แกยังจะเข้าข้างมันอีกเหรอ?”
“ไม่มีใครเข้าข้างใครนะแม่...แต่เพ็ญไม่อยากให้แม่ทำผิดอีก....” เพ็ญประกายร้องไห้ “แม่อย่าทำร้ายใครอีกเลยนะจ้ะ พวกเราทุกคนให้อภัยแม่ รอแม่กลับมาอยู่ด้วยกันเหมือนเดิม”
จันทราตวาด “อย่ามาเรียกฉันว่าแม่....พวกแกก็แค่เกาะสายรกฉันมาเกิด”
เมินพูดเกลี้ยกล่อม “จันทรา...เชื่อฉันนะ..ฉันพร้อมให้อภัยเธอ เรายังกลับมาเป็นครอบครัวเดียวกันได้ ปล่อยแรม”
“ฉันไม่ปล่อย !!แกคิดว่าฉันจะเชื่อน้ำหน้าพวกแกเหรอ? พวกแกทำลายชีวิต ฉันจนย่อยยับ มาวันนี้ ฉันก็จะทำลายชีวิตพวกแกให้ย่อยยับเหมือนกัน นังแรมมานี่”
จันทราลากเดือนแรมออกไป ทุกคนกรูกันตามออกไป แม้นเทพ เหมือนคิดอะไรอยู่ ผละออกไป มะลิบอกพิม
“พิมเอาโทรศัพท์มานี่...ฉันจะแจ้งตำรวจ”
“ค่ะๆ” พิมยื่นมือถือให้ทันใจ
“191 นะคะ ฉันมีเหตุร้ายแจ้งค่ะ”
แม้นเทพกลับมาบ้านเปิดลิ้นชักโต๊ะทำงาน หยิบปืน วิ่งออกไปเร็วรี่
จันทราลากแรมออกไป โดยเอามีดจี้เอว ทุกคนตามไปพูดเป็นเสียงเดียวกัน “ปล่อยแรม”
“คุณจันทรา ผมขอร้อง ปล่อยแรม ผมรับปากจะไม่เอาผิดคุณ ไม่ว่าเรื่องใดๆ ก็ตาม”
ธิติรัตน์ขอร้องแต่ไม่เป็นผล
“ไม่! ต่อให้ฉันติดคุก ร้อยปีพันปี ฉันก็ไม่สนใจ ถ้าฉันได้ฆ่าปาดคอนังแรม มันสะใจกว่าเยอะ”
มือข้างหนึ่งของจันทราล็อคคอแรม ส่วนอีกข้างถือมีดฉวัดเฉวียนใกล้ๆ หน้าเดือนแรม หัวเราะสะใจราวกับคนบ้า “จริงมั้ยจ้ะแรมจ๋า...แรมคนสวย ลูกสาวของแม่ราศีคนสวย....” จันทรามองจ้องหน้า “หน้าสวยๆ คงจะสวยตายล่ะ ถ้ามีรอยแผลเป็นเต็มหน้า” พลางเอามีดมาวนเวียนหน้าแรม ทุกคนต่างระทึกขวัญ
“อย่า! อย่าทำแรม” เดือนแรมอ้อนวอน
“หุบปาก ฉันเกลียดแกนังแรม...จะดัดจริตไปถึงไหน? นังแอ๊บ..จะตายแล้วยังออเซาะผู้ชายอยู่ได้ ขอซักแผลบนหน้าแกเถอะน่า”
จันทรายกมีดขึ้นเตรียมแทง ทุกคนกรี๊ดร้องห้าม
“อย่า”
แม้นเทพวิ่งเข้ามาด้านหลัง ยิงปืนออกไปดังเปรี้ยง เสียงปืนดังก้อง กระสุนพุ่งเข้าใส่ที่มือของจันทราจนมีดกระเด็นหลุดไป ธิติรัตน์กระโจนเข้าไปคว้าตัวเดือนแรมออกมา จันทราไม่ยอม คว้ามีดที่หล่นขึ้นมาทั้งที่มือเจ็บ เตรียมจะวิ่งหนี
“หยุดคุณจันทรา ไม่งั้นผมยิง”
จันทราไม่สนใจฟัง วิ่งหนีไปอย่างเร็วรี่ แม้นเทพจะยิงจริง ทั้งเพ็ญประกายทั้งชุติมาร้องเสียงหลง
“แม่...”
ชุติมาขอร้อง “พี่ต้อมอย่ายิงแม่ อย่า”
แม้นเทพชะงักกึก เมินเตือนสติ “รีบตามไปเร็ว”
ดุจแข กับเจ๊กอไก่ มาโอบตัวเดือนแรมไว้ ธิติรัตน์วิ่งตามไปไล่ๆ กับเมินและแม้นเทพ
โดยมีศรัณย์ วีระ ชุติมา เพ็ญประกาย วิ่งตามไปติดๆ ท่ามกลางความชุลมุนตกอกตกใจของทุกคน
เวลานั้นเจิมเดินอยู่ข้างถนนบริเวณละแวกบ้านเมิน ท่าทางโทรมสุดขีด
“โอ๊ย!ตั้งแต่นังจันทรามันตายไป ฉันเพิ่งรู้ถึงความลำบาก...หวังว่าคุณเมินจะเห็นใจฉันบ้างนะ....ว่าที่ผ่านมา ฉันถูกนังจันทรามันบังคับ แหม! จะแฉความลับนังจันทราแลกเงินให้หมดเลย”
เจิมเดินยิ้มมาตามประสา เป้าหมายคือบ้านเมิน
เจิมเดินมาถึงหน้าบ้าน เห็นรถจอดมากมาย ด้านในผู้คนเยอะแยะแตกตื่น
“เฮ้ย! มีงานอะไรกันวะ?”
ยังไม่ทันที่เจิมจะพูดอะไรต่อ จันทราก็วิ่งลากขาออกมา เจิมหันไปเห็นจันทราตกใจ แต่จำไม่ได้
“เฮ้ย! ผี”
จันทรามองเจิม แต่ประสาทหลอนเห็นเป็นชำนิ จันทราหัวเราะเหมือนคนขาดสติ
“ไอ้ชำนิ แกทรยศฉัน ตาย..ตายซะเถอะแก”
จันทราโผนทะยานเข้าไปหาเจิม จ้วงมีดแทงเข้าที่ท้อง เจิมร้องสุดเสียง
“โอ๊ย”
ทุกคนที่วิ่งตามมา ต่างตะลึงกับภาพตรงหน้า
“คุณจันทรา”
“แม่!!” ชุติมากับเพ็ญประกายร้องลั่น
เจิมช็อกตาเหลือกลานมองหน้าจันทรา เห็นเป็นจันทราอย่างชัดเจนจำได้
“จันทรา...แกฆ่าพี่ทำไม?”
จันทรามองหน้าเจิม เห็นเป็นเจิมจริงๆ จันทราตกใจ
“พี่เจิม”
“แกฆ่าพี่ทำไม?”
เจิมพูดแค่นั้นก็ขาดใจตายคาที่ จันทราเหลือบมองมือตัวเองที่จับด้ามมีดค้างอยู่ที่
ท้องของเจิม จันทราตกใจปล่อยมีดร่วงหลุดมือ กรี๊ดลั่น
“ไม่...ฉันไม่ได้ทำ ไม่...”
เมินกับธิติรัตน์ตรงเข้าไปกระชากตัวจันทราออกมา
รถตำรวจวิ่งเข้ามาพอดิบพอดี เจ้าหน้าที่ตำรวจกรูเข้ามาช่วยกันจับล็อกตัวจันทราไว้ ขณะที่จันทราตาเหลือก ดิ้นพราดเหมือนคนเสียสติ ร่ำไห้ พูดซ้ำๆ คำเดิม
“ไม่..ฉันไม่ได้ฆ่าใคร? ฉันไม่ได้ทำร้ายใคร มีแต่คนทำร้ายฉัน ไม่ๆๆ” จันทราหวีดร้องดังก้อง
เพ็ญประกายกับชุติมากอดกันร้องไห้โฮ ใจจะขาด “แม่..โธ่แม่...แม่!”
เมินมองภาพตรงหน้าอย่างอเน็จอนาถ ทุกคนต่างพากันสลดใจ มองภาพจันทราถูกตำรวจลากตัวไป
วันต่อมา เมินนั่งร้องไห้เสียใจกับทุกเหตุการณ์ร้ายๆ ที่เกิดขึ้น ชายสูงวัยเอาแต่โทษตัวเอง
“จันทราต้องมีจุดจบอย่างนี้เพราะฉัน”
“อาจจะสบายสำหรับจันทราก็ได้...ที่ได้อยู่ในโลกของตัวเอง ปล่อยให้จันทราอยู่ในโลกของเค้าเถอะ”
“แม่จะหายมั้ยคะ?” เพ็ญประกายถามขึ้น
ชุติมากอดปลอบเพ็ญประกาย “ถึงจะหายหรือไม่หาย แม่ก็คือแม่ของเรา พี่จะพาเพ็ญไปเยี่ยมแม่บ่อยๆ”
“ผมก็จะไปด้วย” ศรัณย์บอก
“พี่ก็จะไปเหมือนกัน” แม้นเทพว่า
“พวกเราทุกคน จะไปเยี่ยมคุณน้าด้วยกันค่ะ” เดือนแรมบอก
“พี่หมอจะช่วยดูแลอีกทางครับ...ซักวันคุณจันทราคงจะหายดี” ธิติรัตน์ว่า
“เพราะความโลเลหลายใจ ความมักมากของผู้ชายทำให้ครอบครัวต้องพังทลายลงแบบนี้ เอาฉันเป็นตัวอย่าง แต่อย่าเอาเป็นเยี่ยงอย่าง...เป็นหัวหน้าครอบครัว ต้องเข้มแข็ง หนักแน่น รักเดียวใจเดียว”
เมินคร่ำครวญด้วยความรู้สึกผิด
บริเวณริมน้ำแห่งนั้น ธิติรัตน์เดินจูงมือเดือนแรมเดินเคียงกันมา
“ฉันรู้นะแรม คุณค่าของความซื่อสัตย์มีค่าขนาดไหน ฉันสัญญา ว่าฉันจะมีเธอคนเดียว มีสายตาไว้มองเธอคนเดียว มีหัวใจรักมอบให้เธอเพียงคนเดียว”
เดือนแรมมองด้วยสายตาหวั่นๆ “คุณชายสัญญากับแรม หรือสัญญากับมาหยารัศมีคะ?”
“ในนามมาหยารัศมี...ฉันทำเพื่อท่านพ่อ...ในนามของแรม ฉันทำด้วยหัวใจ ฉันไม่เห็นว่ามันจะต่างกันตรงไหน? ในเมื่อผู้หญิงที่ฉันรักคือเธอ คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าฉันคนนี้” ธิติรัตน์พูดคำมั่น
“ขอบคุณค่ะคุณชาย...สำหรับแรม ไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน..คุณชายก็คือผู้มีพระคุณ...คนที่แรมเทิดทูน คนที่...แรมรักสุดหัวใจ แรมสัญญาว่าชีวิตที่เหลืออยู่ แรมจะทำทุกอย่างเพื่อคุณชายค่ะ”
ธิติรัตน์จุมพิตที่หน้าผากของเดือนแรมอย่างแผ่วเบา และละมุนละไม เดือนแรมมองจ้องหน้าแล้วยิ้มให้ ก่อนจะยื่นหน้าขึ้นมาจุมพิตที่แก้มธิติรัตน์อย่างนุ่มนวลเช่นกัน
จบบริบูรณ์