เพลงรักบ้านนา ตอนที่ 18
บุญช่วยตบหน้า สไบกระเด็นไปกองอยู่กับพื้น บุญช่วยตามเข้ามาจิกเส้นผมกระชากให้แหงนหน้าตวาดด้วยความโกรธแค้น ที่สไบเป็นชู้กับชิงชัย
“นังสไบ แกสวมเขาให้ฉัน แกเห็นฉันเป็นควายแก่ ทั้งที่ฉันขุนแกขึ้นมาจากคนใช้ ข้าวของฉันมันไม่มียางเลยใช่มั้ย มันถึงได้เลี้ยงงูเห่าอย่างแกไม่เชื่อง”
สไบตื่นกลัว
“ท่านเศรษฐี อย่า...ไว้ชีวิตฉันเถอะ ที่ฉันทำลงไปเพราะ...เพราะ...”
“เพราะแกมันมักมาก ไม่อิ่มไม่พอน่ะซี”
บุญช่วยตบตีสไบ โดยมีแหว่งหลบอยู่หลังต้นเสาแอบดูด้วยความหวั่นกลัว
“อย่า ฉันกลัวแล้ว ที่ฉันทำลงไปก็เพราะ...ฉันช่วยคุณชิงชัย”
“ช่วยหรือ แกกับมันช่วยฉันให้เป็นควายนะซี ฉันจะฆ่าแก เอาหวายมา...”
บุญช่วยตบตีสไบด้วยความแค้นใจ แหว่งวิ่งออกไปจากห้อง
แหว่งวิ่งเข้ามากอดขาชิงชัยไว้ ชิงชัยร้อนใจรีบลงบันไดเพื่อหนีหน้าบุญช่วย
“ช่วยด้วย ช่วยคุณสไบของบ่าวขาด้วยค่ะคุณชิงชัย ท่านเศรษฐีกำลังจะฆ่า คุณสไบของบ่าวขา”
“ฉันจะช่วยอะไรได้ เรื่องแบบนี้ฉันต้องช่วยตัวเองก่อน”
“รีบไปเถอะครับคุณชิงชัย ไปหลบหน้าท่านเศรษฐีสักพัก พอท่านเศรษฐีหายโกรธค่อยกลับมา” หลิมบอกอย่างร้อนใจ
“ปล่อย...”
ชิงชัยสะบัดร่างของแหว่งกระเด็นไป แหว่งผวาเข้ามากอดขาชิงชัยไว้แน่นระล่ำระลักร้องไห้
“ถ้าคุณชิงชัยไม่ช่วย คุณสไบของบ่าวขาตายแน่”
“ตายหรือ ดี...อยากหาเรื่องใส่ตัวดีนัก ปล่อยนะ ถ้าไม่ปล่อยฉันละก็ แกได้ตายตามนังสไบของบ่าวขาแน่”
ชิงชัยเหวี่ยงร่างของแหว่งกระเด็นออกไป ฟุบอยู่กับพื้นก่อนที่จะเดินลงบันไดไป หลิมกับเลิศมองแหว่งเยาะๆ ก่อนรีบตามชิงชัยลงไป แหว่งร้อนใจเป็นที่สุด
“ทำ...ทำยังไงดีล่ะ... คุณ...คุณชาริณี” แหว่งคิดถึงตัวช่วยขึ้นมาได้
แหว่งหมอบกราบชาริณีที่ปลายเท้า ร่ำไห้น้ำตานองหน้าขอร้องให้ช่วยเหลือสไบ ชาริณียิ้มเยาะ
“ได้...แกจะให้ฉันช่วยนายของแกก็ได้”
“ชะ...ชะช่วย ช่วยจริงๆ หรือคะ งั้นรีบไปห้ามท่านเศรษฐีเร็วๆ เถอะค่ะคุณชาริณี ไม่ยังงั้นท่านเศรษฐีตีคุณสไบหลังขาดแน่ๆ”
“ที่ฉันรับปากจะช่วยนี่ ช่วยลุ้น...ลุ้นให้นังสไบมันตายเร็วๆ กากีอย่างนังสไบน่ะมันสมควรจะถูกพ่อฉันลงโทษจนตายคามือ เพราะมันเลี้ยงไม่เชื่อง”
“คุณ...คุณชาริณี”
แหว่งอุทาน หยุดร้องไห้
“ถ้ามันถูกตีจนตายจริงๆ ละก็ ฉันจะช่วยฝังมัน...ลึกๆ” ชาริณีเย้ยหยัน
พิธีศพของพรจัดขึ้นที่ ศาลาวัดบ้านนา ศรีแพรและสด กอดประคองศรีไพรที่ยังร้องไห้เศร้าโศก กับการตายของพ่อ
“พ่อ ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่าพ่อตายแล้วจริงๆ เมื่อวานนี้ฉันยังเห็นพ่อ...ยังทะเลาะกับพ่อ แต่วันนี้...ฉัน...ฉัน...”
หลวงตาเดินเข้ามา
“ค่อยระงับความเศร้าโศกลงเสียบ้างเถอะศรีไพรเอ๊ย พ่อเอ็งจะได้ไม่กังวลถึงคนข้างหลัง ยามนี้ต้องมีสติไว้นะ”
ศรีแพรเข้าปลอบน้อง
“ศรีไพร...”
ศรีไพรเข้ากอดพี่สาว
“พี่ศรีแพร แม่ ทำไมคนที่ทำบาปกรรมกับพ่อมันถึงได้ลอยนวล ฉันไม่ยอมหรอก ฉันต้องเอามันเข้าคุกให้ได้”
“ศรีไพร ไว้เสร็จงานศพของพ่อก่อน เราค่อยไปแจ้งความ ให้มันรู้ไปว่าจ่าสินจะไม่จับตัวคนทำผิด” ทวนปลอบ
ศรีไพร ศรีแพรและสดยังคงร้องไห้ด้วยความเสียใจ
จ่าสินยืนพิงต้นไม้ หันหลังให้ชิงชัย แววตาของจ่าสินเปล่งประกายเยาะหยัน แต่ชิงชัยไม่รู้ ชิงชัยเดินไปมาอย่างร้อนใจ
“ก็ไม่น่านี่น้า ยุ่งกับใครไม่ยุ่ง ไปยุ่งกับแม่เลี้ยง ถึงจะถือคติ ยามไร้...เด็ดดอกหญ้า...แซมผม ผู้หญิงคนนั้นก็ไม่น่าจะเป็นสไบ”
“ผมก็แค่เล่นๆ ใครจะไปนึกว่านังสไบมันจะปากโป้ง โพล่งออกมายังงั้น”
“ถ้ามันไม่สาระแน ทำตัวเป็นพยานปากเอก ป่านนี้ผมต้องจับคุณข้อหาฆ่าคนตายไปแล้ว”
ชิงชัยนึกได้
“เออ จริงซีนะ ผมนึกออกแล้วว่าจะแก้ตัวกับพ่อยังไง”
ชิงชัยตื่นเต้นดีใจ
วันต่อมาบุญช่วยหันขวับมาจ้องหน้าชิงชัย ขณะที่ชาริณีมองอย่างไม่เชื่อเรื่องที่ชิงชัยอ้างว่า สไบพูดความเท็จ เพราะต้องการช่วยให้เขาพ้นผิด
“แกว่าอะไรนะ นังสไบน่ะหรือโกหก”
“โธ่ มันจะเป็นไปได้ยังไง สไบเป็นเมียพ่อ แล้วผม...หนุ่มทั้งแท่ง จะมากินแตงเถาตายได้ยังไง ผู้หญิงอย่างนังสไบน่ะ...ผมกินไม่ลงหรอก”
“พี่ชิงชัย แต่ฉัน...” ชาริณีจะแย้ง
ชิงชัยหันไปตวาด
“แกไม่รู้อะไรไม่ต้องพูด นี่เป็นเรื่องของฉันกับพ่อ”
บุญช่วยมองหน้าลูกชาย
“แกพูดจริงหรือ”
“พ่อจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามใจ แต่ถ้าไม่มีพยานระบุที่อยู่ของผมตอนเกิดเหตุ จ่าสินก็ต้องจับผม หรือไง...จ่าสิน”
ชิงชัยแกล้งหันไปหาจ่าสิน
“ผมต้องจับคุณชิงชัย”
“ถึงจะปล่อยทีหลัง ก็ต้องเสียเงินวิ่งเต้นคดี ผมไม่มีอะไรกับสไบจริงๆ นะผมบริสุทธิ์”
ชาริณีไม่พอใจ
“พี่ชิงชัย...”
จ่าสินมองหน้าชาริณีส่งสายตาดุ
“ผมว่าคุณอยู่เฉยๆ ดีกว่านะ”
ชาริณีนิ่งอึ้ง เมื่อสบสายตาเข้มดุของจ่าสิน บุญช่วยเริ่มลังเล เชื่อคำพูดของชิงชัย หันไปทางแหว่ง
“ไปดูนังสไบซิ ข้าหนักมือไปหน่อย”
แหว่งมองสบสายตาของชาริณีด้วยความขุ่นเคือง ก่อนที่จะรีบออกไป
“ไม่มีอะไรก็ดี อย่าให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ข้า...ถือ”
ชิงชัยถอนหายใจอย่างโล่งอก
แหว่งเข้ามาในห้องที่ขังสไบไว้แล้วแก้มัดให้ เนื้อตัวของสไบแตกยับมีเลือดติดตามเสื้อผ้าเป็นรอยหวาย อาการของสไบบาดเจ็บปางตาย แหว่งร้องไห้
“ท่านเศรษฐียกโทษให้คุณสไบ เพราะคุณชิงชัยกับจ่าสินช่วยกันโกหกว่าคุณทำตัวเป็นพยานให้คุณชิงชัยพ้นผิด ท่านเศรษฐีก็เลยให้แหว่งมาแก้มัด คุณสไบของบ่าวขา โธ่...เนื้อตัวแตกยับ หน้าตาก็บวมปูด ทำไมท่านเศรษฐีถึงได้โหดร้ายป่าเถื่อนยังงี้”
ชาริณีก้าวเข้ามา เย้ยหยันสไบ
“มันก็สมกับความผิดของนายแกแล้วนี่ ถึงพี่ชิงชัยกับจ่าสินจะแก้ความผิดให้ เขาก็ทำเพื่อตัวเอง ไม่ได้ทำเพื่อแกหรอกนังสไบ”
“ใจร้าย คุณน่ะมันคนใจร้าย” แหว่งต่อว่า
“ฉันจะใจดี กับคนที่กำลังจะแย่งทุกสิ่งทุกอย่างไปจากฉันได้ยังไง ถึงคราวนี้แกจะรอด แต่สัญชาติเดรัจฉานน่ะมันอดกินของสกปรกไม่ได้หรอก แกพลาดอีกเมื่อไหร่ละก็ ฉันจะยุให้พ่อฆ่าแก”
ชาริณีสะบัดหน้าออกไป สไบกัดฟันนัยน์ตาวาวโรจน์ไปด้วยความแค้น แหว่งมองตามอย่างชิงชัง
“เป็นยักษ์เป็นมารกันทั้งโคตรเลย ไปเถอะค่ะ อย่าอยู่เป็นขี้ข้าคนพวกนี้เลย”
“ไม่ ฉันจะอยู่” สไบแค้นอาฆาตบุญช่วย “ฉันจะอยู่ดูหน้าไอ้คนที่มันทำกับฉัน ตอนที่มันหมดตัว”
สดนั่งอยู่หน้าตู้เสื้อผ้า หยิบผ้าขาวม้าที่พรเคยใช้ขึ้นลูบคลำแล้วร้องไห้ ศรีไพรกอดเอวแม่ไว้ ร้องไห้ไปด้วย
“แม่ อย่าทำแบบนี้เลย ถึงพ่อจะตายไปแล้วแม่ยังต้องอยู่กับพวกเรา ข้าวของของพ่อฉันจะเอาไปบริจาคทาน”
ศรีแพรน้ำตาอาบหน้า
“แม่ต้องกินข้าวกินน้ำบ้างนะ งานศพพ่อ...แม่ก็ไม่ยอมกินยอมนอน”
สดหยิบผ้าออกมา
“พ่อเอ็ง...นี่ผ้าที่พ่อเอ็งคาดเอวไปนาทุกวัน”
“แม่ต้องจำแค่พ่อ อย่าจดจำข้าวของใช้ของพ่อเลย แม่อย่าทิ้งพวกเราไปนะ” ศรีไพรบอกแม่ทั้งน้ำตา
ศรีแพรเข้ากอดสดอย่างเสียใจ แสนเปล่งเสียงร้องไห้ ศรีแพร ศรีไพรรีบดึงตัวแสนเข้ามากอดไว้ ต่างร้องไห้อาลัยรักพ่อที่จากไป
ทุกคนต่างเคร่งเครียดหลังงานศพของพรผ่านไปแล้ว
“เอายังไงดี ไอ้ทวน เรื่องไอ้ชิงชัย” เมินถามเสียงเครียด
“ฉันกับศรีไพรจะไปแจ้งความ ให้ศรีแพรเป็นเจ้าทุกข์ จ่าสินจะไม่รับแจ้งความไม่ได้”
“คดีนี้มันสะเทือนขวัญชาวบ้าน เพราะพ่อตาเอ็งเป็นคนที่ชาวบ้านนาเคารพนับถือ จะทำอะไรก็ลงมือเลยไอ้ทวน เศรษฐีบุญช่วยคงไม่ได้หยุดแค่นี้หรอก” มหาเฉื่อยบอกอย่างหนักใจ
“บ้านมีแต่ผู้หญิงถ้าเกิดอะไรขึ้นใครจะคุ้มกัน” ทอกบอกอย่างเป็นห่วงศรีแพรกับศรีไพร
ทวนมองหน้าเมิน
“แกแต่งงานกับศรีแพรแล้ว แกต้องเข้าไปอยู่ในบ้านนั้น”
เมินไม่สบายใจ
“มันจะเหมาะหรือ คนบ้านนั้นเขากำลังเศร้าโศกกันนะ”
“แล้วพี่จะอยู่ยังไงล่ะ” หมอกแย้ง
เมินบอกทันที...
“ข้าจะคอยคุ้มกันอยู่ข้างนอก”
วันต่อมา ทวน เมิน ทอก และหมอก พาศรีไพรและศรีแพร มาแจ้งความที่สถานีตำรวจบ้านนา จ่าสินก้าวออกมายืนขวางบันไดขึ้นสถานีตำรวจ ยิ้มเยาะ
“พูดกันไม่เข้าใจหรือยังไง คุณชิงชัยเขามีพยานยืนยันที่อยู่ วันเกิดเหตุยังไม่เลิกราอีกหรือนี่”
ศรีแพรโมโห
“แก ไอ้...”
“พี่สาวของฉันเป็นผู้เสียหาย เป็นเจ้าสาวที่ถูกนายชิงชัยบุกเข้าไปฉุด แล้วฉันก็เห็นว่ามันยิงพ่อของฉัน จะเชื่อพยาน หรือเชื่อเจ้าทุกข์”
ทวนเดินนำหน้าเมิน ทอกและหมอกขึ้นมาสมทบ
“หน้าที่ของจ่าคือรับแจ้งความแล้วตามจับคนร้าย ถ้าจะมีการไกล่เกลี่ยกันละก็ ขอให้เป็นหน้าที่ของคนที่มีอำนาจมากกว่า...จ่า...ไม่ดีหรือ”
จ่าสินฉุนกึก
“ไอ้ทวน นี่แกดูถูกฉันหรือ”
เมินเข้ามา
“ในฐานะเขยของผู้ตาย ผมว่าจ่ารับแจ้งความซะดีๆ ไม่ยังงั้นผมต้องฟ้องสื่อประเภททีวีหรือไม่ก็หนังสือพิมพ์ ถึงตอนนั้นจ่าต้องตอบคำถามของสังคมยาวนะ”
จ่าสินโกรธ พยายามเก็บอาการ
“ก็ได้ ฉันจะรับแจ้งความ”
จ่าสินและตำรวจในเครื่องแบบ มาจับตัวชิงชัย หลิมและเลิศ บุญช่วยและชาริณีวิ่งตามลงมา
“ก็ไหนว่ามีพยานยืนยันที่อยู่ของลูกฉันวันเกิดเหตุยังไงล่ะ แล้วนี่มาจับชิงชัย ทำไมจ่าสิน”
“ใช่ ฉันนึกว่าคดีมันจบแล้วเสียอีก ทำไมต้องจับพี่ชิงชัย” ชาริณีโวย
จ่าสินถอนใจ
“เจ้าทุกข์ยืนยันจะให้เป็นคดีจนถึงชั้นศาล ผมเลยต้องรับแจ้งความไว้ ไม่ต้องห่วงหรอกท่านเศรษฐี...คดีแบบนี้จับแล้วก็ปล่อยได้”
ศรีไพรเดินนำหน้าทวนเข้า มาพร้อมแสน ทอก และ หมอก
“ก็ลองปล่อยดูซีแม่จะร้องให้ดังๆ แล้วจะส่งเสียงร้อง แบบ...ให้ได้ยินจนถึงหูผู้ใหญ่ ใครดีใครชั่ว ก็จะได้เห็นกันตอนนี้แหละ”
ชิงชัยโกรธ
“ไอ้ศรีไพร...”
ทวนเข้ามามองหน้าจ่าสิน
“จะจับ จะปล่อย ต้องหาเหตุให้มันพอฟังได้ด้วยนะ จ่า ไอ้จับเหมือนจับสุนัขขี้เรื้อนไปปล่อยน่ะ...อย่าทำ”
“ไอ้ทวน” จ่าสินแค้นทวน หันไปพยักหน้ากับตำรวจ “ไป...”
จ่าสินและตำรวจพาชิงชัย หลิมและเลิศขึ้นรถตำรวจออกไป ชาริณีกังวลใจ
“พ่อ...นี่พ่อทำอะไรไม่ได้เลยหรือ”
ทวนมองหน้าชาริณี
“ผมว่าตอนนี้พ่อคุณทำได้อยู่อย่างเดียว หาทนายเก่งๆ เลวๆ มาแก้คดีให้พี่ชายคุณ ไป...ศรีไพร กลับ”
ศรีไพรมองหน้าบุญช่วยด้วยแววตาแค้นเคือง ก่อนหันหลังกลับเดินออกไป ทวนยิ้มเยาะๆ ก่อนเดินออกไป บุญช่วยกัดฟันกรอด
สดล้มป่วยลง เพราะอาการตรมตรอมใจหลังพรถูกยิงตาย ศรีแพรเข้าปรนนิบัติสดด้วยความห่วงใย เมินเข้ามาทรุดตัวลงนั่งใกล้ๆ
“แม่เป็นยังไงบ้าง”
“ตั้งแต่พ่อตาย แม่ไม่ยอมกินข้าวกินน้ำ พี่เมิน...ถ้าแม่เป็นยังงี้ฉันกลัวแม่จะ...”
“ศรีแพร ทำใจดีๆ ไว้ เดี๋ยวศรีแพรจะล้มลงไปอีกคน ดูแลแม่ให้ดี แม่ยังเสียใจเรื่องพ่อ”
“แม่กับพ่ออยู่กันมานาน ถึงจะทะเลาะเบาะแว้งกันเป็นประจำแต่พ่อก็ไม่เคยทำให้แม่เสียใจ ทำไมพ่อต้องมาด่วนตายตอนที่เรากำลังลำบาก”
ศรีแพรร้องไห้ เมินปลอบ
“ถึงพ่อจะไม่อยู่แต่พวกเราก็ยังอยู่กันครบ อย่าหมดกำลังใจนะ ศรีแพรยังมีพี่มีไอ้ทวนอยู่”
ศรีแพรกอดเมินสะอื้นไห้
“พี่เมิน”
“ตำรวจรับแจ้งความคดีของพ่อแล้ว ไอ้ชิงชัยมันต้องติดคุกแน่” เมินบอกอย่างมั่นใจ
วันต่อมาชิงชัยยกขาขึ้นมาวางบนเก้าอี้ ตรงหน้ามหาเฉื่อย ทอก และหมอก หลิมกับเลิศดึงผ้าเช็ดเหงื่อที่คอเจ๊กตงขัดที่รองเท้าของชิงชัย ทุกคนมองชิงชัยด้วยความแปลกใจ ที่ชิงชัยไม่ติดคุก
“ไอ้หยา อาชิงชัย ลื้อ...ลื้อไม่ติดคุก”
เนี้ยวมองอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“เป็นไปได้ยังไง ฆ่าคนตายทั้งคน ยังมีหน้าออกมาเดินนอกคุกอีก”
“ม่วยเนี้ยว ระวังจะเป็นโรควูบ แล้วไปฟื้นอีกทีพบว่ามี...คนนอนข้างๆ ไม่ต่ำกว่าสามคน” ชิงชัยข่มขู่
มหาเฉื่อยโกรธ ลุกขึ้นเตะเก้าอี้กระเด็น
“เฮ้ย มากไปไอ้ชิงชัย คนหัวสองสีนั่งอยู่นี่ทั้งคน ไม่เกรงกลัวก็น่าจะเกรงใจกันบ้าง”
“กำพร้าทั้งพ่อทั้งแม่ ขาดทั้งญาติทั้งเพื่อนหรือยังไง ถึงไม่มีคนอบรมสั่ง สอนให้รู้จักกาลเทศะ” เนี้ยวด่าอย่างเกลียดชัง
ชิงชัยโกรธชี้หน้าเนี้ยว
“นังม่วยเนี้ยว...เจ๊กตง...เดี๋ยวนี้บังอาจ...”
เจ๊กตงวิ่งเข้าไปหยิบตะบวยชงกาแฟมาตั้งท่ารับ ทอกกับหมอก เดินเข้าไปตั้งท่ามวยคุ้มกันเจ๊กตง
“เออซีวะ บังอาจ อั๊วควรจะบังอาจมาตั้งนานแล้ว ไม่ใช่ปล่อยให้เศรษฐีบุญช่วยกับลูกหลานบริวารข่มขู่ชาวบ้าน”
“งานนี้ท่านมหาเฉื่อยไม่ได้เอาศีลห้ามาด้วย เป็นไงเป็นกัน”
มหาเฉื่อยตั้งการ์ดมวย ชิงชัยชะงักไป ที่เห็นทุกคนไม่กล้วตนเอง
“งั้น...งั้น...”
“ถอยไปตั้งหลักก่อนไม่ดีหรือครับคุณชิงชัย เพิ่งได้ประกันตัวมาใหม่ๆ ยังงี้กลับไปส่งข่าวท่านเศรษฐีก่อนดีกว่าครับ” เลิศบอกอย่างหวาดๆ
ชิงชัยกวาดมองทุกคน
“ไป แล้วจะกลับมาพังร้านใหม่ของลื้อทีหลัง”
ชิงชัย เลิศ หลิมเดินออกไป ทุกคนมองตาม
“ไอ้ชิงชัยได้ประกันตัว...” มหาเฉื่อยพึมพำเบาๆ
ศรีไพรก้าวออกมยืนกลางถนน จ่าสินก้าวออกมาอีกทางหนึ่ง โดยมีสมุนนอกเครื่องแบบตามคุ้มกัน ทวนและแสนก้าวตามหลัง
“ได้ยังไง คดีฆ่าคนตายถือเป็นคดีอุกฉกรรจ์ ซ้ำผู้ต้องหายังเป็นผู้มีอิทธิพลให้มีการประกันตัวได้ยังไง” ศรีไพรโวย
“มันเป็นสิทธิเสรีภาพของผู้ต้องหา ในเมื่อมีหลักทรัพย์มายื่นขอประกันตัวก็ต้องให้”
ทวนเดินเข้ามา
“อ้า ท่านครับ แล้วไม่กลัวว่า...ผู้ต้องหาที่ท่านให้ประกันไป มันจะไม่ไปยิงศีรษะข่มขู่เจ้าทุกข์หรือขอรับ”
จ่าสินมองหยัน
“มันเป็นเรื่องของเจ้าทุกข์ หัวใคร...หัวมัน รักษากันเองซี เก่งนักไม่ใช่หรือ”
“ได้ ถ้าจ่าสินจะให้เจ้าทุกข์รักษาหัวของตัวเอง แบบหัวใครหัวมัน แต่แน่ใจนะ” ศรีไพร ชี้หน้า “ว่า...หัวใครหัวมัน”
จ่าสินไม่พอใจ
“แกจะทำอะไร ถ้าทำผิดฉันจับ...”
“แหม ถ้าแข็งขันยังงี้ตั้งแต่ต้น ป่านนี้ได้ตัวคนร้ายไปแล้ว ไปเถอะศรีไพร เอาซอกลับด้วยนะแสนแสบ สีไปก็แค่นั้นแหละ...ฟังไม่รู้เรื่อง”
จ่าสินโกรธ
“ไอ้ทวนนี่แกหาว่าฉันเป็น...”
ทวนยิ้มหยัน
“คิดออกแล้วบอกด้วยนะ จ่า ไป...ศรีไพร แสน กลับ”
ศรีไพร แสนและทวนเดินออกไป จ่าสินมองตามไปด้วยความโกรธ
ทวนขับเกวียน ให้ศรีไพรและแสนนั่งกลับมาจากในเมือง ศรีไพรนั่งเงียบ คิดแค้นเรื่องพ่อถูกฆ่า จู่ๆ ศรีไพรก็เปล่งเสียงร้องไห้
“พี่ศรีไพร”
ทวนรีบหยุดเกวียน เข้าประคอง
“ศรีไพร เป็นอะไร”
“ทำไม โลกมันถึงได้อยุติธรรมนัก ทำไมคนทำมาหากินอย่างพ่อต้องถูกคนเลวพวกนี้ฆ่าทิ้ง แล้วทำไมคนเลวยังลอยนวลอยู่แต่เรากลับลำบาก ต้องใช้ชีวิตอย่างเสี่ยงตายทุกวันทุกคืน...ทำไม...”
ศรีไพรร่ำไห้ ทวนมองศรีไพรด้วยความรู้สึกขมขื่น
(อ่านต่อหน้า 2)
เพลงรักบ้านนา ตอนที่ 18 (ต่อ)
ศรีแพรนั่งร้องไห้อย่างเศร้าหมอง เมินที่นั่งอยู่ด้วยมองอย่างเห็นใจ...
“น้องร้องไห้ทุกวันเพราะคิดถึงพ่อ แม่ก็อาการไม่ดีขึ้น แม่ทำเหมือนแม่จะตายตามพ่อไป”
“อย่ายอมให้แม่แพ้นะ ศรีแพรต้องปลุกแม่ขึ้นมาใหม่ พี่จะอยู่เคียงข้างศรีแพรกับศรีไพร เรายังต้องต่อสู้อีกมาก” เมินให้กำลังใจ
“ฉันก็ใกล้จะหมดกำลังลงทุกที ฉันมองไม่เห็นทางที่เราจะชนะเศรษฐีบุญช่วยได้เลย คนพวกนี้ทำเวรสร้างกรรม แต่ทำไมกรรมเวรถึงไม่ตามสนองพวกมันเสียที พี่เมิน”
เมินดึงศรีแพรเข้ามากอดไว้อย่างปลอบโยน
“มันต้องมีสักวัน...ที่พวกมันจะต้องสูญเสีย”
ชาริณีมือสั่น ตัวสั่น เริ่มมีอาการของคนติดยาเสพติดเปิดลิ้นชัก เปิดตู้เพื่อค้นหายาที่ซ่อนไว้
“ยา...ยา ฉันเก็บไว้ในตู้นี่ มันไปไหน”
ชาริณีก้มลงคลาน เอาหน้าแนบกับพื้นห้อง มองหาที่ใต้ตู้มือควานไปทั่วจนสัมผัสรอบปลายเท้าของสไบและแหว่ง ชาริณีเงยหน้าขึ้นมอง สไบมองด้วยแววตาเย็นชา
“หาไอ้นี่อยู่ใช่มั้ย”
ชาริณีพรวดพราดลุกขึ้น ตาขุ่นขวาง
“แกเข้ามาทำไม”
“เข้ามาช่วยสงเคราะห์”
ท่าทีสไบเยือกเย็นแต่เหี้ยม แสร้งทำดีกับชาริณี เพื่อซ้ำเติมบุญช่วย เพราะแค้นที่ถูกบุญช่วยเฆี่ยนตี
“ไม่ให้คุณลงแดงตายไงล่ะ ตอนนี้ท่านเศรษฐีเข้มงวด สั่งเก็บของไว้ในที่ที่เป็นความลับ มีแต่ฉันเท่านั้นแหละที่...รู้”
“เอามา...”
“ฉันมีให้คุณไม่อั้น ถ้าไม่พอก็ไปหาฉันได้ที่ห้อง เอ้า...เอาไป...”
สไบยื่นยาใส่มือชาริณีก่อนเดินนำแหว่งออกไป แหว่งมองงงๆกับการกระทำของสไบ ขณะที่ชาริณีก้มลงมองยาในมือของตนเอง
สไบเปิดประตูเข้ามา แหว่งตามมาติดๆ ด้วยความร้อนใจ
“คุณสไบ...ทำไมคุณสไบของบ่าวขาทำยังงั้นล่ะคะ ก็ไหนว่าคุณสไบเจ็บนักเรื่องที่ถูกท่านเศรษฐีตีเหมือนทาส”
“ก็เพราะฉันเจ็บน่ะซีฉันถึงต้องเอาคืน เสียแรงที่ฉันรับใช้ ต้องทนมีผัวแก่อย่างเศรษฐีบุญช่วย แต่มันไม่เคยเห็นค่าของฉันเลย”
“แล้ว...แล้ว...”
“ชิงชัยก็เหมือนกัน ฉันทำทุกอย่างเพื่อเขา แต่เขายังเห็นฉันเป็นขี้ข้า เขาก็อีกคน” นัยน์ตาของสไบวาวโรจน์ไปด้วยความแค้น “ที่ต้องใช้คืนฉัน...”
ค่ำคืนนั้นศรีไพรและศรีแพร ช่วยกันป้อนยาให้สดที่กำลังป่วยหนัก หลวงตาและมหาเฉื่อยมาเยี่ยมเพื่อให้กำลังใจแก่สด ทวนและเมินนั่งพับเพียบอยู่ด้วย
“สดเอ๊ย...เอ็งต้องเข้มแข็งนะ ยังมีลูกอีกสามคนต้องพึ่งพาแม่ ไม่มีเอ็งอีกคนแล้วลูกมันจะอยู่ได้ยังไง อยู่กันตามประสาผู้หญิงกับเด็ก หลวงพ่อท่านห่วง”
มหาเฉื่อยบอกอย่างสงสาร สดค่อยๆ ยกมือขึ้นพนม
“พระคุณเจ้า”
หลวงตามองอย่างมีเมตตา
“โยม ความตายน่ะมันเป็นธรรมดาของมนุษย์นะ ถึงเร็วหรือช้ายังไงก็ต้องมาถึง เมื่อครั้งที่พระพุทธองค์ทรงเสด็จโปรดสัตว์ถึงหมู่บ้านหนึ่งที่มีหญิงเพิ่งสูญเสียลูก นางก็ร่ำไห้คร่ำครวญขอให้พระพุทธองค์ทรงชุบชีวิตบุตรให้ฟื้นคืน ทรงให้หญิงนั้นไปหาเมล็ดถั่วจากเรือนที่ไม่มีคนตายมาเพื่อใช้ชุบชีวิต...นางเร่ร่อนเที่ยวขอตามหมู่บ้านร้านถิ่น ไม่ปรากฏว่านางได้เมล็ดถั่วจากเรือนของผู้ใด นางจึงได้คิดว่า...โลกนี้ล้วนเป็นอนิจจัง ไม่มีใครที่จะหนีพ้นความตายได้เพราะความตายเป็นคำพิพากษาที่ติดตัวของมนุษย์มาตั้งแต่เกิด จงรับความจริงเสียแต่โดยดีเถิด โยม”
น้ำตาของสดค่อยๆ ไหลออกมา ผงกศีรษะขึ้นเปล่งคำ
“สาธุ...”
ท้องฟ้าในยามอรุณรุ่ง ตะวันขึ้นที่ขอบฟ้า ศรีแพรดับตะเกียงที่หน้าบันได ก่อนเดินขึ้นเรือน ศรีแพรมองเข้าไปในเรือนเห็นสดกำลังเตรียมขันข้าวใส่บาตรก็ตื่นเต้น ดีใจ ยิ้มทั้งน้ำตาคลอดวงตา
สายวันนั้น ศรีแพรและเมิน เดินคุยกันอยู่บนคันนา เธอค่อยคลายความเศร้าหมองลง
“แม่ดีขึ้นแล้วละพี่เมิน เทศน์ของหลวงตาคงโดนใจแม่ ทำให้แม่ลุกขึ้นมาสู้ใหม่”
“พี่ดีใจด้วยที่แม่ดีขึ้น หลวงตานี่ท่านมีธรรมมะที่มีธรรมชาติในตัวธรรมจริงๆ เสียแต่ว่าท่านไม่ค่อยจะเทศน์โปรดสัตว์”
“ต่อไปนี้แม่คงตักบาตรทุกวัน ลูกศิษย์ก็คงจะไม่อดแล้วละ”
“แล้วแมวซื่อๆ ตัวนี้ล่ะ จะให้มันนอนหนาวหง่าวอยู่อีกนานแค่ไหน”
“จนกว่าแม่กับศรีไพร จะนึกขึ้นมาได้ว่าเราแต่งงานกันแล้ว”
เมินกับศรีแพร เบียดไหล่มองสบสายตากันด้วยความรัก
ศรีไพรใช้ปืนยาวของพร ยิงปืนตัดกิ่งไม้ร่วงลงมา ท่าทีเงียบขรึม คั่งแค้น ทวนก้าวเข้ามา มองศรีไพรด้วยความห่วงใย
“คิดจะทำอะไร”
“ถ้ากฏหมายเอาคนชั่วไม่อยู่ ฉันนี่แหละจะจัดการกับมันเอง ปืนกระบอกนี้พ่อทิ้งไว้ ดี...”
“อย่านะศรีไพร ไม่ใช่หน้าที่...”
ทวนยังพูดไม่จบ ศรีไพรขัดขึ้นอย่างคั่งแค้น
“แล้วจะให้ฉันทำยังไง ปล่อยให้มันฆ่าเรายังงั้นหรือ”
“บ้านเมืองยังมีขื่อมีแป อย่าใช้วิธีเลือดล้างเลือดเลย ถ้าไม่เชื่อกฎหมาย คนก็หันมาใช้กฎหมู่กันหมด ศรีไพร...ฟังนะ เศรษฐีบุญช่วยไม่หยุดแค่นี้ แล้วความตายของพ่อก็หยุดอะไรไม่ได้”
ศรีไพรหันมามองหน้าทวน เริ่มสงบจากอาการคั่งแค้นลง ทวนดึงศรีไพรเข้ามากอดไว้อย่างปลอบโยน
“เราจะสู้ด้วยกัน...”
วันต่อมา ทอก หมอกและเมิน แบกเครื่องมือหาปลา เดินไปยังลำคลอง ทอกกับหมอกเป็นกังวลเรื่องที่เมินแต่งงานกับศรีแพรแล้วแต่ยังไม่ได้เข้าหอ ใช้ชีวิตคู่เสียที
“แล้วนี่พี่เมินของฉันจะเป็นแมวหง่าว นอนหนาวดีดหน้าแข้งไปอีกนานแค่ไหน” ทอกถอนใจแค้นๆ “เฮ้อ พูดแล้วเจ็บใจไอ้ชิงชัยแทนพี่ข้าว่ะ นี่ถ้ามันไม่ทำเรื่องยุ่งๆ คืนนั้น ป่านนี้ก็...”
“ก็ถึงว่าน่ะซี กว่าจะได้แต่งงานก็เหนื่อยทำนาแทบตาย แต่งแล้วยังไม่ได้ร่วมหออีก” หมอกบอกอย่างเห็นใจ
เมินหน้าสลดลง
“ช่างเถอะน่ะ ไว้ให้ศรีแพรพร้อมเสียก่อน ฉันรอได้”
ทอกมองเมินอย่างเห็นใจ
“พี่รอได้ แต่ฉันรอไม่ไหว ฉันเป็นกำลังใจให้พี่”
หมอกตบไหลทอก
“เอาเถอะน่ะไอ้ทอก นายังไม่เสร็จ ยังต้องเกี่ยวต้องนวด ต้องขนข้าวขึ้นยุ้งอีก ยังอีกยาว ยิ่งพี่ทวนกับไอ้ศรีไพร...เอ๊ะ...นั่น...”
ทุกคนชะงักก้าว มองออกไปยังคลอง แล้วหลบวูบเมื่อเห็นทวนพายเรือให้ศรีไพรเก็บผักบุ้ง ท่าทีทั้งสองมีความสุข
“ไอ้ทวน โอ...ไอ้เพื่อนยาก ถ้าศรีไพรดีขึ้นเมื่อไหร่เพื่อนได้ร่วมหอ เพราะฉะนั้นแกต้องทำดีกับศรีไพรมากๆ ฉันจะได้หายหนาวซะที...” เมินบอกอย่างมีหวัง
ทวนพายเรือให้ศรีไพรเก็บผักบุ้ง ทั้งสองร้องเพลงคู่กัน หยอกล้อกันอย่างมีความสุข ชิงชัย หลิม เลิศ ยืนจ้องมองอยู่ที่ฝั่งคลอง ชิงชัยมองอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“ไอ้ทวน ไอ้ศรีไพร ข้าไม่อยากเชื่อเลยว่าไอ้สองคนนี้มันรักกัน ก็เมื่อก่อนเห็นมันเกลียดกันยังกับอะไรดี”
“ไม่มีตาพร บ้านไม่มีผู้ชายคอยคุ้มกัน ไอ้เมินแต่งงานแล้วก็ยังไม่ได้ย้ายเข้าไปอยู่บ้านนั้น สงสัยไอ้ศรีไพรมันคงจะหาแนวร่วมครับ” หลิมออกความเห็น
ชิงชัยแปลกใจ
“แนวร่วมหรือ...”
“เขาว่าตอนนี้ยายสดก็ดีขึ้นแล้ว ครอบครัวไอ้ศรีไพรมันกำลังฟื้นตัว ทำยังไงดี ครับคุณชิงชัย” เลิศถามขึ้น
ชิงชัยนิ่งคิด
“ตอนนี้ธุรกิจเรากำลังแย่ คนหันไปพึ่งยาผีบอกของหลวงตากันหมด มันต้องแก้ที่ต้นเหตุ”
หลิมงงๆ
“แก้ที่ต้นเหตุ แก้ที่ไหนครับ”
ชิงชัยยิ้มเหี้ยม
“แก้ที่ยาผีบอกของหลวงตาฉุน”
ค่ำคืนนั้นหลิมกับเลิศแอบเข้าไปที่วัด บริเวณที่หลวงตาและมหาเฉื่อยทำการบำบัดให้คนติดตา แล้วทุบโอ่งใส่น้ำทุกใบจนแต่หมด วันรุ่งขึ้นหลวงตา และทุกคนมาเห็นเข้าก็พากันชะงัก
“หมด ไม่มีเหลือเลยยาผีบอกของหลวงพ่อ แล้วนี่จะเอายาที่ไหนมาบำบัดคนไข้อีก” มหาเฉื่อยบ่น
หลวงตาส่ายหน้าปลงๆ
“เออ มันหมดแล้วก็แล้วไปเถอะ”
“แล้วไม่ได้ซีขอรับพระคุณเจ้า ยังมีลูกหลานที่ยังบำบัดต่อเนื่อง แล้วจะเอายาผีบอกที่ไหนมาอีก”
“จริงๆ แล้วผีเผอไม่ได้บอกข้าร๊อกกกกก”
ทุกคนต่างแปลกใจ
“อ้าว แล้วใครบอกล่ะครับหลวงตา” ทวนถามอย่างสงสัย
“ครับ หลวงตา ใครบอก” เมินถามย้ำ
“ข้านี่แหละบอกเอง”
มหาเฉื่อยหน้าเหวอ
“หา งั้นในโอ่งนี่ก็ไม่มีอะไรนอกจากรากไม้”
“มีความสัตย์อย่างเดียวก็ถมไปแล้ววววว”
ทุกคนต่างมองหน้ากัน ทำหน้าเจื่อนๆ
“อ้า แล้วพระโกหกนี่ ผิดศีลข้อมุสาวาทามั้ยขอรับ พระคุณเจ้า” มหาเฉื่อยถามอย่างแปลกใจ
“ไม่ผิดร๊อกกกก...มันอยู่ที่เจตนาน่ะโย้มมมม...” หลวงตาตอบคางยาน เสียงยาน
วัยรุ่นที่เลิกยาเสพติดแล้ว มารวมกันที่ร้านเจ๊กตง กำลังเชียร์มวยตู้ทางโทรทัศน์อย่างเมามัน เจ๊กตงเสียงดังกว่าคนอื่น
“ซ้าย...ซ้ายสับศอก ขวา เข่า...หนุมานถวายแหวน น่าน...มันต้องยางง้าน”
สุมิตรขับรถกระบะบรรทุกสินค้าเข้ามา ส่งเสียงร้องเพลงอินเดีย
“ฮัดช้า อีนี้...ขอนมัสเตทุกท่านที่เคารพ ดูมวยเอามันห้ามวางมวยห้ามเล่นพนัน อีนี้มีดจ้ะนายจ๋า ใครปวดแสบปวดร้อนมียาหม่อง ใครคอแห้งมีน้ำอัดลม”
“เฮ้ย เอากาแฟสดมาที่นึง” เจ๊กตงตะโกนสั่ง
สุมิตรลงจากรถแล้วเอากาแฟสดมาให้
“อีนี้ได้จ้ะเจ๊กตงจ๋า”
“เตี่ย ของในร้านก็มี ทำไมต้องไปสั่งของแขก” เนี้ยว ถามอย่างสงสัย
เจ๊กตงยิ้มแย้ม
“อีนี้ใจกว้างๆ หน่อยอาเนี้ยวของเตี่ย อีนี้ประเทศเราเปิดการค้าเสรี ให้ไอ้แขกมันทำธุรกิจบ้าง มันอยู่บ้านนา เดี๋ยวมันก็กลายเป็นคนบ้านนา”
สุมิตรยิ้มดีใจ
“อีนี้เจ๊กตงมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง อ้า...อีนี้เมื่อไหร่อาหมวยเนี้ยวจะเปลี่ยนใจจากพี่ทวน มารักแขกเสียทีจ๊ะ”
เนี้ยวฉุนกึกเงื้อมือขู่
“ฮึ เดี๋ยวพัดดดด”
ชิงชัยเดินนำหน้าหลิมและเลิศ ส่งเสียงวางอำนาจมาแต่ไกล
“เฮ้ย ถอยไป ใครรองใครเท่าไหร่ มา”
เจ๊กตงมองชิงชัยอย่างไม่พอใจ
“อีนี้อั๊วไม่อนุญาต ให้มีการเล่นพนันมวยในร้านของอั๊ว”
ชิงชัยมองกวนๆ
“จะเล่นซะอย่างมีอะไรมั้ย”
เจ๊กตงจ้องหน้าไม่กลัว
“มี อั๊วไม่ให้ลื้อกับพวก เข้ามาในร้านของอั๊ว”
เลิศโกรธแทนนาย
“หนอยแน่ะ อยากกลับเมืองจีนแบบวูบเดียวถึงมั้ย ใครบังอาจห้ามคุณชิงชัย ไม่ให้เหยียบร้านนี้ ใคร...ใครวะ”
หลิมมองกวาดด้วยสายตาข่มขู่
“ถามหน่อยว่าใคร แน่แค่ไหนลุกขึ้นมาเลย”
“ใครวะ” ชิงชัยตวาดลั่น
ทุกคนลุกขึ้นยืน เดินหน้าเข้าใส่ชิงชัยกับพวก ชิงชัยหน้าตื่น
“เฮ้ยๆๆๆ นี่มันอะไรกัน อย่านะ...ยังงี้มันรุมนี่หว่า”
เนี้ยวชี้หน้า
“ออกไป ไม่มีใครเขาต้อนรับพวกแกอีกแล้ว คนบ้านนาเลิกยาได้เขาก็หันไปทำมาหากิน ไม่มีใครไปกู้เงินเศรษฐีบุญช่วยอีกแล้ว”
“ใช่ แกไม่ใช่เจ้าของบ้านนา ไม่มีใครเป็นหนี้แก” ชาวบ้านคนหนึ่งตะโกนขึ้น
เจ๊กตงมองอย่างเอาเรื่อง
“จะไปดีๆ”
สุมิตรท่าทางขึงขัง
“หรือว่าจะใช้บริการแขก มีบริการส่งถึงที่ทั้งในยามหลับยามตื่น อีนี้ลดให้ในราคาพิเศษระหว่างโปรโมชัน”
ชิงชัยมองไปรอบๆ เห็นท่าทีของพวกวัยรุ่นเอาเรื่อง ชิงชัยชี้หน้าอาฆาต
“ไปก็ได้วะ จำไว้ พวกแกจะต้องเจ็บตัว”
ชิงชัยกับพวกออกไป ทุกคนในร้านส่งเสียงเฮ เจ๊กตงมองตามไป ทำหน้าเหี้ยม
“สู้กับผู้มีอิทธิพล ไม่ยาก...”
สไบและแหว่งเดินลงมาจากบันได สวนทางกับชิงชัยซึ่งหัวเสียกลับมาจากร้านเจ๊กตง ชิงชัยหันไปสั่ง
“ร้อน ไปเอาน้ำมากินหน่อย”
“อยากกินน้ำก็ไปตักเองซี”
สไบเดินเชิดหน้า นำหน้าแหว่งลงบันไดไป ชิงชัยยิ่งโกรธ ส่งเสียงตะโกนตาม
“เฮ้ย ทำไมใช้ไม่ได้วะ นังสไบมันเป็นอะไรของมัน วันๆ เอาแต่ทำหน้าเป็นยักษ์ เจ็บใจว่ะ...”
“คุณสไบของบ่าวขาหรือครับ” หลิมบอกขำๆ
ชิงชัยเจ็บแค้นใจ
“เจ็บใจไอ้เจ๊กตง มันทำเทียมเลียนแบบไอ้ศรีไพร นี่ขนาดข้าสั่งให้เอ็งไปทุบโอ่งใส่ยาผีบอกของหลวงตาฉุนแล้วเชียว ไอ้เด็กพวกนั้นยังเลิกยาได้ ทำยังงี้...”
“ฆ่าตัดตอนธุรกิจของท่านเศรษฐีชัดๆ” เลิศยื่นหน้าเข้ามาพูดสอด
สดที่เพิ่งหายป่วย เดินนำหน้าศรีแพรและศรีไพรลงมาจากเรือน เพื่อออกไปทำนา
“แม่...แม่เพิ่งจะหาย แม่ไม่ต้องไปนาหรอก แดดร้อนเดี๋ยวแม่ไม่สบายอีก อยู่บ้านเถอะแล้วให้ไอ้แสนไปกับฉัน” ศรีไพรห้ามอย่างเป็นห่วง
ศรีแพรเข้ามาจับแขนสด
“ไม่ต้องห่วงพวกเราหรอกแม่ พี่เมินพี่ทวนกับไอ้พวกนั้น ไปรออยู่ที่ท้องนาตั้งแต่เช้าแล้ว”
สดหน้าสลดลง
“ไม่ได้ไปนาตั้งหลายวันแล้ว แม่คิดถึงท้องนา ที่ที่พ่อของเอ็งอยู่”
ศรีแพรอึ้งไป
“แม่...”
“งั้นก็ให้แม่ไปด้วยเถอะพี่ศรีแพร แต่ห้ามไม่ให้แม่ทำงานหนักนะ แสน เอ็งเฝ้าบ้านนะ ถ้ามีอะไรจุดประทัดทันที นี่ แล้วห้ามไปซุกซนที่ไหนล่ะ”
“จ้ะ...”
“ไป แม่”
ทั้งสามเดินออกไป แสนมองตามไปอย่างเหงาๆ ก่อนมองดูประทัดในมือ
คนงานเฝ้ากระท่อมนั่งหลับอยู่ ชิงชัยเดินนำหน้าหลิมกับเลิศเข้ามาเขกศีรษะคนงาน
“เฮ้ย ตื่น จ้างมาเป็นยามไม่ได้จ้างมาใบ้หวยนะ ห้ามหลับ”
“ครับ นาย”
“กลางวันแสกๆ ยังงี้ไม่เป็นไรหรอกครับคุณชิงชัย ยามเข้มงวดเวลากลางคืน นกแสกยังไม่กล้าบินผ่านเลยครับ” หลิมออกรับแทน
“ดี เข้าไปดูของข้างในกัน”
ชิงชัยเดินนำหน้าหลิมกับเลิศเข้าไปในกระท่อม ยามหลับต่อ แสนค่อยๆ โผล่หน้าออกมาจากมุมที่ซ่อนอยู่
วิ่งหลบยามเข้าไปหลังกระท่อม ก่อนจะจุดประทัดตับยาวหย่อนเข้าไปในกระท่อม แล้ววิ่งหนีออกไป เสียงประทัดแตกเป็นตับ ชิงชัย หลิม เลิศวิ่งออกมาจากกระท่อม ล้มตัวลงกลิ้งหลบด้วยความตื่นตระหนก
พวกที่อยู่ในท้องนา ทุกคนวิ่งมารวมกัน มองออกไปยังเสียงของประทัด สดตกใจตัวสั่น ศรีแพรรีบกอดสดไว้
“เสียง...เสียงปืน ปืนอีกแล้วใช่มั้ย ปืน...ช่วยด้วย...เสียงปืน”
“แม่...ไม่ใช่เสียงปืนหรอก เสียง...เสียง...”
ศรีไพรพูดได้แค่นั้น ทวนพูดต่อให้
“ประ...ทัด”
เมินมองแล้วจับทิศทางตามเสียง
“ดังอยู่ไกลๆ แถวๆ...กระท่อมท้ายนาบ้านเศรษฐีบุญช่วย”
“ไม่ใช่เสียงปืนแน่นะ” สดถามอย่างกลัวๆ
ศรีแพรส่ายหน้า
“แม่จ๋า ไม่ใช่เสียงปืนหรอก แม่คงขวัญเสียตั้งแต่คราวพ่อตาย แม่...ขวัญมานะแม่นะ”
“ใครเอาประทัดไปเล่นเป็นตับๆ ยังงั้น” ทวนถามอย่างแปลกใจ
ศรีไพรหน้าเคร่งเครียด
“รู้แล้วว่าใคร”
แสนถอยก้าวหนี ศรีไพรก้าวรุกเข้ามาเพื่อตีแสนด้วยไม้เรียว
“พี่ อย่านะ อย่าตีฉันเลยฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะขัดคำสั่งพี่เลยนะ”
ศรีไพรโกรธ
“ไม่ตั้งใจ แต่เอาประทัดไปจุดที่นั่น สั่งแล้วใช่มั้ยว่าประทัดนี่ มีไว้สำหรับจุดบอกเหตุเผื่อมีใครเข้ามาเผาบ้านเรา พวกพี่จะได้กลับมาช่วยดับไฟทัน ทำแบบนี้มันเสี่ยงรู้มั้ย มา...มาให้ตีซะดีๆ ไม่มีพ่อแล้ว พี่เป็นพ่อเอ็งนะ แสน”
“พี่ ก็ฉันคิดถึงพ่อ คิดถึงเจ้าไฉไลเฉิดนี่” แสนร้องไห้ ศรีไพรชะงักไม้ในมือ “จะให้ฉันทำยังไง ถ้าไม่ใช่เพราะพวกนั้น พ่อกับเจ้าไฉไลเฉิดก็ไม่ตายหรอก ฉันจะโตเร็วๆ ฉันจะล้างแค้นให้พ่อ”
ศรีไพรทิ้งไม้ ดึงแสนเข้ามากอดไว้
“แสน...”
ศรีไพรร้องไห้ แต่ทำทีเข้มแข็ง
“อย่าร้องไห้ นี่พี่นะ...พี่ไม่ตีน้องหรอกแต่พี่ห่วงน้อง ถ้าน้องเป็นอะไรไป พี่กับแม่จะอยู่ยังไงล่ะ อย่าทำแบบนี้อีก...นะ...อย่าทำ”
สองพี่น้องกอดกันร้องไห้ ศรีแพรและสดก้าวเข้ามา ต่างเศร้าสลดใจกับการกระทำของแสน
จบตอนที่ 18
อ่านต่อ ตอนที่ 19 วันพรุ่งนี้