xs
xsm
sm
md
lg

ขุนเดช ตอนที่ 19

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ขุนเดช ตอนที่ 19 

กำนันบุญกับยงยุทธจู่โจมเข้าหากันด้วยน้ำหนักหมัดอันหนักหน่วง ยงยุทธไม่คิดว่ากำนันบุญอายุมากแล้วแต่ เรี่ยวแรงยังเอาเรื่องเลยโดนกำนันบุญจู่โจมด้วยหมัด...เข่า...ศอก เล่นงานจนยงยุทธซวนเซเรรวน
“เป็นไงหมวด...อย่าคิดว่าผมเป็นพวกแก่แล้วแก่เลยนะ ถ้าผมเอาจริงมากกว่านี้ หมวดได้มีพิการแข้งขาหักแน่ แต่วันนี้ผมแค่ต้องการสั่งสอนเบาๆ แค่นั้น ต่อไปหมวดจะได้ เลิกเกะกะขวางทางผมอีก”
กำนันบุญหัวเราะเยาะใส่แล้วจะเดินออกไป ยงยุทธเจ็บขบกรามแน่น
“ตราบใดที่ชั้นยังไม่ตาย...ทางของกำนันไม่มีคำว่าราบรื่นหรอก”
ยงยุทธเอาจริงมากกว่าเดิมวิ่งเข้าใส่และโหมเล่นงานไม่มียั้ง เชิงมวยทุกอย่างประเคนใส่หมด แต่กำนันบุญก็รับมือ ได้อย่างไม่ยากเย็น แถมยังจับแขนหมวดมาบิดจนร้องลั่นผลักจนล้มลุกคลุกคลาน
“ผมถือว่าผมเตือนแล้วนะหมวด แต่ถ้ายังดื้อด้านอยู่แบบนี้ เห็นทีผมคงต้องสงเคราะห์ ให้หมวดได้เลิกอาชีพตำรวจก่อนเกษียณแล้วไปนั่งรถเข็นคนพิการแทน”
กำนันบุญตั้งท่าเอาจริงเข้าไปเล่นงาน กระชากคอเสื้อยงยุทธมากระหน่ำชกใส่ไม่ยั้ง แต่อยู่ๆ ยงยุทธก็ยิ้มแบบเจ้าเล่ห์ใส่ทำเอากำนันบุญแปลกใจ รู้ตัวอีกทีหันไปข้างหลังเลยเจอวีรบุรุษบาปปรี่เข้ามาพร้อมดาบดำ
ฉับ!...ดาบดำของวีรบุรุษบาปเกือบจะเล่นงานกำนันบุญได้ แต่เพราะกำนันบุญรู้ตัวก่อนเลยฉากหลบทำให้คม ดาบพลาดเล่นงานได้แค่เลือดซิบๆ ที่ต้นแขน
“ไม่กล้าสู้กับข้าซึ่งๆ หน้าเลยคิดจะหมาลอบกัดข้างั้นเลยเหรอไอ้วีรบุรุษบาป”
วีรบุรุษบาป ชูดาบขู่เข้าไปช่วยพยุงยงยุทธ
“ขึ้นมาไหวมั้ยหมวด”
ยงยุทธพยักหน้ารับว่ายังไหว
“แกมาช่วยชั้นทำไม”
“จะจัดการกำนันบุญ ลำพังหมวดคนเดียวรับมือมันไม่ได้หรอก”
“ถ้าพวกเอ็งคิดจะร่วมมือกันข้าก็ไม่เกี่ยง ดีซะอีกวันนี้ข้าจะได้กำจัดเสี้ยนหนามให้มัน สิ้นเรื่องสิ้นราวซะที”
กำนันบุญยิ้มร้ายแล้วพนมมือท่องมนต์ดำ ยงยุทธเอามือแตะปืนที่เอวคิดจะใช้ปืนสู้แต่โดนวีรบุรุษบาปห้าม
“ปืนธรรมดาทำอะไรมันไม่ได้หรอก อาคมของมันปกป้องศาสตราวุธได้เกือบจะทุกอย่าง แต่ดาบดำของผมลงอักขระโบราณของทหารพระร่วงไว้เลยพอจะเล่นงานมันได้”
พูดไปไม่ทันขาดคำลมกรรโชกเข้ามาอย่างแรงเพราะอาคมของกำนันบุญ
“งั้นชั้นจะล่อมันเอง แกจัดการมันด้วยแล้วกัน”
ยงยุทธฮึดแรงอีกเฮือกแล้ววิ่งเข้าใส่ แลกหมัดกับกำนันบุญอย่างไม่ยั้ง วีรบุรุษบาปควงดาบพร้อมจะตามเข้าไปจู่โจมอีกแรง แต่งูเห่าตัวเขื่องจากอาคมของกำนันบุญก็เลื้อยมาขวางแล้วจู่โจมเล่นงาน วีรบุรุษบาปจึงใช้ดาบดำฟาดฟันแต่โดนงูเห่าแผลงฤทธิ์ฟาดหางใส่จนกระเด็นดาบดำหลุดมือ
“วีรบุรุษบาป”
ยงยุทธหันไปเลยพลาดท่าถูกกำนันบุญเอามือบีบคออย่างแรง กำนันบุญเล่นงานจนหมวดยงยุทธใกล้จะหมดสติ ทันใดนั้นจ่าแท่นที่ตามเข้ามาเห็นเหตุการณ์วีรบุรุษบาปเพลี่ยงพล้ำเจ็บตัว ยงยุทธโดนกำนันเล่นงาน จ่าแท่นเลย ไปคว้าดาบดำวิ่งเข้าใส่กำนันบุญทันที...ฉับ ดาบดำฟันเข้ากลางอก กำนันบุญร้องเจ็บปวดลั่น.....อ๊ากกกกกก
กำนันบุญรีบปล่อยมือจากยงยุทธแล้วหันมาตาขวางใส่จ่าแท่นอย่างเอาเรื่องสุดๆ งูเห่าอาคมเลื้อยเข้ามาฟาด หางใส่จ่าแท่นจนกระเด็นไปกระแทกต้นไม้สลบเหมือด ดาบดำกระเด็นหลุดจากมือ กำนันบุญบาดเจ็บเอาเรื่องเพราะโดนฟันจำเป็นต้องรีบหลบออกไป
“จ่า...จ่า...”
ระหว่างยงยุทธกำลังเป็นห่วงจ่าแท่น วีรบุรุษบาปรีบลุกมาหยิบดาบดำแล้วตามกำนันบุญไป

ขณะนั้นพวกไอ้นะ ไอ้เนกับลูกน้องกำนันบุญเอาศพผกามานอนที่พื้น
“จะทิ้งศพมันไว้แบบนี้หรือจะเอาไปให้กำนันดู”
“จะแบกไปทำไมให้เมื่อยวะ เดี๋ยวค่อยเล่าให้พ่อกำนันฟังแล้วกันว่ามันตายยังไง แต่ตอน นี้ต้องรีบหาธรรมจักรสัมฤทธิ์ให้เจอก่อน นังผกามันคงซ่อนเอาไว้แถวๆ นี้แหละ”
“เอ้า...ช่วยกันหาเร็ว แยกๆ กันไป”
ไอ้เนสั่งทุกคนให้ออกไปช่วยกันหาธรรมจักรสัมฤทธิ์

อีกด้านหนึ่งของป่าวีรบุรุษบาปไล่ตามกำนันบุญมาแต่หาตัวไม่เจอและบังเอิญได้ยินเสียงพวกลูกน้องของกำนันบุญคุยกัน
“เอ็งหาทางนั้นรึยังวะ”
“ยังเลยพี่”
“ก็รีบไปหาเข้าสิเว้ย”
วีรบุรุษบาปสงสัยเลยเดินเข้าไปแล้วก็เจอพวกลูกน้องกำนันบุญที่กำลังหาธรรมจักรสัมฤทธิ์อยู่
“เจอแล้ว...อยู่ทางนี้”
ลูกน้องเอาธรรมจักรสัมฤทธิ์ที่ผกาซ่อนเอาไว้โดยเอาใบไม้มากองสุมพรางตาไว้มาให้ไอ้เน วีรบุรุษบาปเข้ามาเอาดาบชี้หน้าพวกมัน
“วางลงซะ...นั่นไม่ใช่ของที่พวกเอ็งจะเอาไป”
“ไอ้วีรบุรุษบาป...สอดได้ทุกเรื่องจริงๆ เลยนะเอ็ง เฮ้ย...จัดการ”
ไอ้เนพร้อมกับพวกลูกน้องรุมเข้าสู้กับวีรบุรุษบาป แต่พวกมันก็โดนเล่นงานจนกระเด็นกันไปคนละทิศละทาง
ไอ้เนเข้าจัดการคนสุดท้ายแต่ก็ถูกถีบจนกระอัก วีรบุรุษบาปเอาดาบชี้หน้ามันให้หยุด พวกมันหน้าเสียไม่กล้าหือ
วีรบุรุษบาปเดินไปที่ธรรมจักรสัมฤทธิ์มองด้วยสายตานิ่งอยู่ครู่แล้วเอามือไปแตะ ทันใดนั้นลมก็กรรโชกเข้ามา เพราะวีรบุรุษบาปตั้งจิตอธิษฐานขอเห็นกรรมตัวเอง

วีรบุรุษบาปเห็นภาพตัวเองแต่เปิดผ้าคลุมหน้าออกเผยให้เห็นว่าเป็นขุนเดชยืนจังก้าเผชิญหน้ากับยงยุทธ ต่างฝ่ายต่างกำดาบในมือจ้องเขม็งเอาเรื่องใส่กัน ขุนเดชชักดาบดำออกจากฝักแล้วร้องเสียงดังเรียกกำลังก่อนจะพุ่งเข้าไปประดาบกับยงยุทธอย่างมันส์หยด ประกายไฟจากดาบที่ประทะกันแลบแปลบปลาบไม่หยุด ทั้งสองผลัดกันรุกผลัดกันรับอย่างไม่มีใครยอมใคร แต่ในที่สุดเมื่อทั้งคู่ปรี่เข้าใส่กันอีกครั้ง ยงยุทธก็ตวัดดาบ...ฉับ !
ขุนเดชหยุดชะงัก ก้มมองที่ท้องตัวเองพบเลือดไหลออกมาเต็มไปหมด ดาบดำหลุดจากมือ ขุนเดชพยุงร่างซวนเซไปที่ฐานพระศิลา ยกมือพนมไหว้พระศิลาก่อนจะแน่นิ่งขาดใจตายอย่างน่าเวทนา

ขุนเดชสะดุ้งตื่นจากนิมิตรที่เห็นเพราะไอ้นะโผล่เข้ามายิงปืนใส่...เปรี้ยง! กระสุนเฉียดไปโดนต้นไม้ ขุนเดชจะเอาธรรมจักรสัมฤทธิ์ไปด้วย แต่ไอ้นะไม่หยุดยิง มันรัวกระสุนขวางไม่ยั้ง
“ยืนเซ่ออะไรอยู่วะ...อย่าให้มันเอาธรรมจักรไปได้”
พวกไอ้เนกับลูกน้องรีบเอาปืนมายิงใส่ด้วยไม่ยั้งทำให้วีรบุรุษบาปจำเป็นต้องล่าถอยทิ้งธรรมจักรเอาไว้ พวกไอ้เน รีบไปเอามาแล้วพากันออกไป

กำนันบุญได้รับบาดเจ็บเดินโซซัดโซเซเข้ามาเจอพวกลูกน้องที่พากันมาจากอีกด้าน
“พ่อกำนัน”
“พวก...พวกเอ็ง...เจอธรรมจักรสัมฤทธิ์รึเปล่า”
“เจอแล้วจ้ะ”
ไอ้นะให้กำนันบุญดูธรรมจักรสัมฤทธิ์ที่ลูกน้องอุ้มมาด้วย
“แล้วนังผกาล่ะ”
“นังผกามันตายแล้วจ้ะ”
“ข้าบอกแล้วไงว่าให้จับมันมาเป็นๆ”
“พวกเราไม่ได้ฆ่านังผกานะจ๊ะพ่อกำนัน...มันโดนใครฆ่าก็ไม่รู้ สภาพศพมันอย่างเละเลย”
“ชั้นว่าให้พวกเราช่วยพาพ่อกำนันกลับไปทำแผลก่อนเถอะ เฮ้ย...พยุงพ่อกำนันด้วย”
ไอ้เนกับลูกน้องเข้าไปช่วยพยุงกำนันบุญแล้วพากันออกไป คล้อยหลังได้ครู่วีรบุรุษบาปตามเข้ามาแต่ไม่เจอใครแล้ว วีรบุรุษบาปปลดผ้าขาวม้าออกจากหน้าสีหน้าเจ็บใจ
“ไอ้กำนันบุญ”

คืนนั้นดาราช่วยทายาทำแผลให้ยงยุทธ ส่วนบัวทองช่วยทำแผลให้จ่าแท่น
“อู้ยยยย...เบาๆ มือหน่อยสินังบัวทอง”
“แหมลุงจ่า แค่นี้บ่นเจ็บ ทีตอนเข้าไปช่วยเล่นงานไอ้กำนันบุญไม่เห็นกลัวตาย”
“ตอนนั้นข้าไม่ทันคิดอะไรหรอก เห็นทั้งหมวดทั้งวีรบุรุษบาปกำลังจะตาย ถ้าไม่ทำอะไร สักอย่าง มีหวังตายหมู่แถมพ่วงจ่าเข้าไปด้วยอีกคน”
“ขอบคุณมากนะจ่า ไม่ได้จ่ามาช่วยไว้ผมก็คงแย่จริงๆ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับหมวด ไว้ตบรางวัลผมเป็นเลื่อนขั้นดีกว่า..แหะๆๆ”
“ทำดีหวังตำแหน่งเชียวนะลุง”
จ่าแท่นหันไปมองค้อนหลานสาว
“ทุกคนรอดมาได้แบบนี้ก็ถือว่าโชคยังดี อย่างน้อยก็ได้รู้ว่าจะเล่นงานกำนันบุญให้อยู่หมัด เราต้องเตรียมตัวให้มากกว่านี้”
“แต่ก็น่าเสียดายนะคะอาจารย์ที่เราไม่สามารถตามธรรมจักรสัมฤทธิ์กลับมาได้ สมบัติของชาติเลยต้องตกไปอยู่ในมือพวกมันอีกจนได้”
“ไม่หรอกบัวทอง วันนี้พวกมันอาจจะเอาไปได้ แต่จะอยู่กับพวกมันได้ไม่นานหรอก ชั้นนี่แหละจะตามเอากลับคืนมาให้ได้หมดทุกชิ้น”
ยงยุทธจริงจังเอาจริง แต่ดารากลับดูเป็นกังวลจนยงยุทธมองด้วยความสงสัย

ดาราเดินออกมาสีหน้าครุ่นคิดหนักใจยงยุทธตามออกมา
“ธรรมจักรสัมฤทธิ์ที่พวกมันได้ไปเป็นหนึ่งในโลหะศักดิ์สิทธิ์โบราณที่พวกมันใช้ทำพิธีสัตตะโลหะบุรุษใช่มั้ยดารา” ดารานิ่งไป “เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว คุณควรต้องไว้ใจผมมากกว่าไปไว้ใจไอ้หมอนั่นได้แล้ว”
“ไม่ใช่ว่าชั้นไม่เคยไว้ใจเธอนะยงยุทธ”
“งั้นทำไมคุณถึงไม่อยากให้ผมจัดการเรื่องนี้เอง ทำไมต้องคอยช่วยเหลือไอ้หมอนั่นลับหลังผมตลอด” ดารานิ่งเงียบ “ว่าไงล่ะดารา..บอกผมมาสิ”
“เพราะชั้นกลัวพวกคุณจะฆ่ากันเองจนตายไปข้างก่อนที่จะหยุดพวกมันได้น่ะสิ วันนี้คุณก็เห็นแล้วว่าถ้าไม่ร่วมมือกันจะไม่มีใครรอดชีวิต แล้วแผ่นดินก็ต้องลุกเป็นไฟเมื่อพวกมันได้อย่างที่ต้องการ” ยงยุทธนิ่งไป ดาราเข้าไปจับมือยงยุทธมาบีบแน่น “ชั้นเชื่อมั่นเธอมาตลอดนะยงยุทธ และเชื่อด้วยว่าเธอจะทำให้ทุกคนในศรีสัชนาลัยหลับได้อย่างเป็นสุข”
“งั้นผมก็อยากบอกให้คุณรู้ด้วยว่า ผมไม่ได้ทำเพื่อทุกคนอย่างเดียว แต่ผมทำเพื่อคุณเพราะผมอยากเห็นคุณหลับอย่างเป็นสุขในอ้อมแขนของผม”
ดาราชะงักไป ยงยุทธยกมือดาราขึ้นมาหอมเบาๆ ก่อนจะเดินจากไป ดารามองตามใจเต้นตึกตักก่อนจะรู้สึกตัวว่าถูกมองจากข้างหลังพอหันไปก็เห็นเป็น...ขุนเดช

ดาราเดินตามขุนเดชเข้ามาในถ้ำศิลา
“ว่ายังไงนะ...เธอสัมผัสกับธรรมจักรสัมฤทธิ์แล้วเหรอ”
“ใช่”
“แล้วเธอเห็นกรรมอย่างที่ตำนานเล่าขานรึเปล่า”
ขุนเดชนิ่งไป มองที่พระศิลาไร้เศียร แล้วภาพนิมิตรตัวเองถูกยงยุทธฆ่าตายก็แวบเข้ามาในความคิด ก่อนจะหันไปตอบดารา
“ไม่...ผมไม่เห็นอะไรเลย”
“แน่ใจนะขุนเดช ยงยุทธเล่าให้ชั้นว่าตอนที่ไปพบศพผกา สภาพศพน่าเวทนามากเหมือนถูกลงโทษให้ตายอย่างทรมาน คล้ายกับการลงโทษคนผิดในนรก จะว่าเป็นฝีมือของพวกกำนันก็คงไม่ใช่”
“ผมไม่เห็นอะไรจริงๆ ส่วนการตายของผกา จะเป็นเพราะฝีมือใครมันก็ไม่สำคัญ เพราะในที่สุดคนบาปก็ต้องถูกตัดสินโทษด้วยบาปที่ตัวเองทำ”
ขุนเดชนิ่งไปเหมือนพูดเตือนใจตัวเอง ดาราเข้ามาแตะบ่าขุนเดชอย่างดีใจ
“ธรรมจักรสัมฤทธิ์เป็นโลหะศักดิ์สิทธิ์ที่พวกมันต้องการเอาไปทำพิธี ในเมื่อเธอสัมผัสแล้วไม่เห็นผลกรรมที่ต้องเจอก็ถือเป็นเรื่องที่น่าดีใจ แสดงว่าเธอไม่ใช่คนบาปเหมือนพวกนั้น”
“เห็นคุณสบายใจขึ้นผมก็ดีใจ ต่อไปคุณจะได้ไม่ต้องมาห่วงผม ไม่ต้องมาคอยช่วยเหลือผมอีก คุณจะได้ไปทำสิ่งที่หัวใจคุณเรียกร้องซะที”
ดาราชะงัก
“ขุนเดช”
ขุนเดชจับบ่าดารามาบีบสองข้างแล้วหน้าจริงจังมาก
“ไอ้หมอนั่นมันเก่งสารพัด แต่เรื่องรักมันไม่ได้ความ ส่วนคุณก็พวกปากแข็งศักดิ์ศรีเยอะ ถ้าจะจับให้ลงเอยกันคงต้องอาศัยเหล้าช่วยแล้วล่ะ”
ดาราเขินหน้าแดง
“คนบ้า”
ดาราทุบขุนเดชแรงๆ อย่างเขินอาย หันหน้าหลบแล้วรีบเดินออกไปแบบอมยิ้มเขินๆ ขุนเดชมองตามแล้วยิ้มส่งก่อนจะหันมาหน้าซีเรียสจริงจังเพราะที่พูดไปก็เพื่อทำให้ดารารู้สึกดีเท่านั้น
ขุนเดชมองไปที่พระศิลาที่ไร้เศียรเหมือนรู้ว่าใครจ้องมองตนอยู่ ซึ่งก็คือนักการยมบาลที่ก้าวออกมาจากหลังพระศิลาแล้วมองเขม็งมาที่ขุนเดช สายตานั้นดูน่ากลัวแต่ขุนเดชพนมมือคุกเข่าไหว้อย่างนอบน้อม
“ข้าน้อยขุนเดช ขอน้อมรับต่อบาปต่อกรรมที่กระทำ เพียงแต่ยังไม่ใช่เวลานี้ เมื่อข้าน้อยปราบคนบาปจนหมดสิ้น...บาปกรรมที่ทำไว้จะขอแบกรับไว้แต่ผู้เดียว”
ขุนเดชก้มลงกราบอย่างตั้งใจเมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกทีนักการยมบาลก็หายตัวไป

ประดับเดินทางมาบ้านกำนันบุญ เมื่อมาถึงเจอเบิ้มรอรับอยู่ที่เฉลียงบนเรือน
“อาการกำนันบุญเป็นยังไงบ้าง”
“ตามหมอมาดูให้แล้วครับ แต่กำนันไม่ยอมพัก ตอนนี้อยู่ในห้องพระ”
ประดับหันมาสีหน้าสงสัย

ภายในห้องพระ กำนันบุญขัดสมาธิร่างกายไม่ค่อยดีอยู่หน้าธรรมจักรสัมฤทธิ์สายตามีความความอยากรู้อยากเห็นและกำลังจะเอื้อมมือไปแตะ แต่มือยังไม่ทันโดนก็หยุดแล้วถอนมือกลับมา
“ทำไมล่ะกำนัน ไม่คิดอยากรู้อยากเห็นเหมือนนังผกามันเหรอ”
ประดับถามพร้อมกับเดินเข้ามา
“คุณประดับ”
“นี่น่ะเหรอธรรมจักรสัมฤทธิ์ วงล้อแห่งกรรมและดวงตายมบาล เมื่อกี้ชั้นเห็นกำนันกำลังจะแตะมัน คงอยากรู้ใช่มั้ยว่าที่เจ็บตัวคราวนี้เพราะดาบดำของไอ้วีรบุรุษบาป จะใช่จุดจบของกำนันรึเปล่า”
“คนอย่างผมไม่มาตายง่ายๆ เพราะดาบดำของมันหรอกคุณประดับ”
กำนันบุญพยายามแสดงว่าตัวเองไหว แต่อาการเจ็บก็ทำให้สีหน้าแสดงอาการเจ็บปวด
“ถ้าไม่ไหวก็บอกมา ชั้นมีหมอฝีมือดีช่วยรักษาให้กำนันฟื้นตัวได้เร็ว”
“ขอบคุณแต่ไม่จำเป็น ผมมีลูกน้องอีกเป็นสิบ ถ้าโดนมันเล่นงานแค่นี้แล้วถึงกับต้อง นอนเจ็บให้พวกมันเห็น พวกมันจะเอาขวัญกำลังใจที่ไหนไปสู้กับไอ้วีรบุรุษบาป”
“หึ...สมแล้วกับที่เป็นกำนันบุญ ทันทีที่ชั้นได้เป็นสัตตะโลหะบุรุษ รับรองว่าชั้นไม่ลืมตบรางวัลให้กำนันอย่างงามแน่...เบิ้ม” ประดับหันไปทางเบิ้ม
เบิ้มรับคำสั่งประดับเข้าไปเอาเอาธรรมจักรสัมฤทธิ์ออกไป กำนันบุญแสดงสีหน้าอาการเจ็บปวดบาดแผลอีก ประดับหันมามองแล้วยิ้ม
“อดทนไว้กำนัน...โลหะศักดิ์สิทธิ์อีกเพียงแค่ชิ้นเดียว ชั้นก็จะได้เป็นสัตตะโลหะบุรุษแล้ว”
ประดับเดินออกไป

กำนันบุญเดินออกมาที่ระเบียงในสภาพเจ็บแต่ฝืนทน ไอ้นะกับไอ้เนเห็นจะล้มเลยรีบเข้าไปประคอง
“เป็นอะไรรึเปล่าครับพ่อกำนัน”
“ปล่อยข้า”
“แต่ชั้นเห็นพ่อกำนันไม่ไหว”
“ใครบอกเอ็งว่าข้าไม่ไหว” กำนันบุญโมโหผลักไอ้นะกระเด็นส่วนตัวเองก็เซจะล้มแต่ฝืน “ข้าไม่เป็นอะไร ไสหัวไปให้หมด”
“เอ่อ...แต่ว่า”
“ไปให้พ้นหน้าข้าเว้ย”
กำนันบุญคว้าแจกันปาใส่พวกไอ้นะไอ้เนเลยต้องรีบวิ่งออกไป กำนันบุญเดินเซไปจนเกือบจะล้ม เลือดซึมออกมาจากแผล ระหว่างนั้นรำพันเดินออกมาเจอพอดี
“พี่กำนัน...พี่กำนัน”
“ไม่ต้องเรียกให้พวกมันมาช่วยชั้น...พา...พาชั้นเข้าไปในห้อง”
“แต่ว่า”
กำนันบุญเอามือบีบหน้ารำพันอย่างบังคับ
“ชั้นสั่ง”
“จะ...จ๊ะพี่”
รำพันช่วยประคองโอบไหล่กำนันบุญพาเข้าไปในบ้าน

รำพันประคองกำนันบุญเข้ามาที่เตียงจัดหมอนให้นอนพักแล้วเปิดเสื้อออกมาพบว่าเลือดซึมจากแผลจนน่าตกใจ
“ตายแล้ว ชั้นว่าปล่อยทิ้งไว้แบบนี้ไม่ได้นะพี่”
“ข้าบอกเอ็งแล้วไงว่าข้าไม่เป็นอะไร โดนหนักกว่านี้ข้าก็เคยผ่านมาแล้ว”
“แต่ว่า...”
“หุบปาก ไม่ต้องพูดมากข้ายิ่งรำคาญ เอาเหล้ามาให้ข้าแล้วเปลี่ยนผ้าพันแผลให้ด้วย”
รำพันรีบหยิบขวดเหล้าใกล้หัวเตียง กำนันบุญกระดกเหล้าเข้าปากอั๊กๆๆ รำพันเอากระเป๋ายามาช่วยทำให้แผลใหม่
“คืนนี้เอ็งต้องอยู่กับข้าที่นี่ ข้าจะได้เรียกใช้สะดวก”
“แล้วทิพย์ล่ะจ๊ะพี่”
“มันโตแล้ว ปล่อยให้มันอยู่คนเดียวบ้างก็ได้หรือเอ็งจะขัดข้า”
กำนันบุญมองหน้าเอาเรื่อง รำพันรู้ว่าถ้าขัดความต้องการแล้วจะโดนอะไร
“จะ...จ้ะพี่”
รำพันก้มหน้าก้มตาทำแผลให้กำนันบุญใหม่ ส่วนกำนันบุญก็เอาแต่กระดกเหล้าเข้าปากไม่หยุด

วันต่อมายงยุทธซ้อมชกมวยกับกระสอบทรายหนักหน่วง มีจ่าแท่นอยู่ด้วยคุยเรื่องกำนันบุญกัน
“ได้ยินว่าหลังจากโดนเราเล่นงานไป ไอ้กำนันบุญมันเอาแต่กบดานเงียบอยู่ในบ้าน ผมว่างานนี้มันคงเจ็บหนักน่าดู เราน่าจะบุกไปจัดการมันเลยนะครับหมวด”
“ข้อหาอะไรล่ะหมวดที่จะทำให้อิทธิพลที่หนุนหลังช่วยมันไม่ได้อีก”
“ขัดขวางการปฏิบัติงานและทำร้ายเจ้าหน้าที่ไงครับ”
“แค่นั้นทำอะไรมันได้ไม่เท่าไหร่หรอก อย่างมันจะเอาให้ติดคุกหัวโตแบบตายในคุกเลย หลักฐานต้องจะๆ แล้วยังต้องสาวไปถึงพวกมันทั้งหมดอีกด้วย”
“เฮ้ออออ...แค่นึกก็เหนื่อยแล้วล่ะครับหมวด” จ่าแท่นถอนใจ
“มันก็อย่างนี้แหละจ่า คนที่ชั่วที่สุดมักจะตายช้าที่สุด แต่ก็ใช่ว่ามันจะไม่ตายเราก็แค่ต้องอึดกว่าไม่ตายก่อนมันก็แค่นั้นเอง”
ยงยุทธให้ข้อคิดจ่าแท่นแล้วชกกระสอบทรายอย่างแรง ระหว่างนั้นขุนเดชเข้ามา
“แค่อึดอย่างเดียวมันไม่พอหรอก มันต้องมีเรื่องของดวงเข้ามาด้วย”
“ไอ้ขุนเดช...แกแวะมามีอะไร”
“มีเรื่องอยากขอร้องให้ช่วยหน่อย”
ยงยุทธมองขุนเดชอย่างสงสัย

ดารากำลังเตรียมสัมภาระใส่เป้พร้อมเดินทางและเตรียมปืนและเครื่องกระสุนพร้อมสำหรับการเดินทางเข้าป่า
“เตรียมของซะเยอะแยะเลย ท่าทางจะต้องไปนานเหรอคะอาจารย์”
“จ้ะ...จนกว่าจะเจอสิ่งที่ชั้นต้องการ”
“อะไรเหรอคะอาจารย์”
ดารานิ่งไปสีหน้าครุ่นนคิดถึงเรื่องที่คุยกับขุนเดชก่อนหน้านี้
“เธอรู้แล้วเหรอว่าโลหะศักดิ์สิทธิ์ชิ้นสุดท้ายที่พวกมันต้องการคืออะไร”
“ตอนที่ผมไล่ตามไอ้กำนันไปผมได้ยินพวกมันพูดถึงวัตถุโบราณบางอย่าง พอตรวจสอบดูแล้วเลยคิดว่าน่าจะเป็นโลหะศักดิ์สิทธิ์ชิ้นสุดท้ายที่พวกมันกำลังตามหา”
“แล้วมันคืออะไร”
“หัวสิงห์ตะกั่วศักดิ์สิทธิ์ อาจารย์ประทีปกับผมเคยไปสำรวจเจอประดับอยู่ที่สถูปโบราณกลางป่าใกล้เส้นทางแม่น้ำแควน้อยเดิม ก่อนที่จะเกิดแผ่นดินไหวใหญ่จนแม่น้ำแควน้อยเปลี่ยนเส้นทางน้ำ”
“ชั้นจำได้ อาจารย์ประทีปเคยเล่าให้ชั้นฟัง”
“ถ้าเราชิงตัดหน้าได้มาก่อนพวกมัน แผนการสัตตะโลหะบุรุษก็ต้องหยุดชะงัก ผมจะไม่ปล่อยโอกาสนี้ให้พลาดอีกแล้ว”
ดาราแอบมองขุนเดชด้วยสีหน้าครุ่นคิด

ดารานิ่งไปจนบัวทองสงสัย
“อาจารย์คะ...อาจารย์” ดาราได้สติ “ตกลงอาจารย์จะไปสำรวจโบราณสถานที่ไหนคะ”
“ไม่ไกลจากที่นี่หรอกจ้ะบัวทอง”
“ขอบัวทองไปด้วยได้มั้ยคะ แม่ก็ยังปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัด บัวทองอยู่คนเดียวเหงาแย่”
“อย่าเลยจ้ะบัวทอง ชั้นไปคนเดียวจะคล่องตัวกว่า”
“อาจารย์ไปคนเดียวเหรอคะ บัวทองนึกว่าอาจารย์ดำรงไปด้วยซะอีก” ดาราชะงักไป
“เอ่อ...ไปด้วยนั่นแหละจ้ะ แต่ว่าไปเจอกันที่โน่น ชั้นต้องรีบไปแล้วล่ะ”
ดารารีบแบกเป้แล้วรีบร้อนออกไปจนบัวทองออดสงสัยไม่ได้

ดาราขับรถไปตามถนนคนเดียวสีหน้ามุ่งมั่น เสียงความคิดของดาราดังออกมา
“ขอโทษด้วยนะขุนเดช...ชั้นจะช่วยตัดปัญหาการกระทบกระทั่งกันไม่ให้วีรบุรุษบาปกับยงยุทธต้องลงมือใส่กันอีก ชั้นนี่แหละจะหยุดพวกมันด้วยตัวชั้นเอง”
ดารามีสีหน้าจริงๆ จังแล้วเหยียบคันเร่งรีบเดินทางมุ่งหน้าไป

ที่บ้านพักตำรวจยงยุทธตกใจเมื่อขุนเดชมาเล่าให้ฟัง
“ว่าไงนะ ดาราน่ะเหรอคิดจะไปตามหาโลหะศักดิ์สิทธิ์คนเดียว”
“ใช่...ชั้นพยายามห้ามแล้ว แต่ดาราไม่ฟัง คิดแต่จะตัดปัญหาไม่ให้แกกับวีรบุรุษบาปต้องปะทะกัน”
“หาเรื่องใส่ตัวอีกแล้วนะดารา”
“ปล่อยให้อาจารย์ไปคนเดียวแบบนี้ อันตรายมากเลยนะครับหมวด แถวนั้นไม่ใช่พื้นที่เราดูแลด้วย เกิดไปเจอพวกไอ้กำนันบุญเข้าอาจารย์เสร็จแน่” จ่าแท่นบอก
“ผมไม่ปล่อยให้พวกมันมาแตะต้องดาราได้หรอกจ่า”
ยงยุทธหุนหันรีบเข้าบ้านไปเตรียมข้างของ จ่าแท่นจะตามแต่ขุนเดชยกมือกัน
“อาจ่าไม่ต้องไปด้วยหรอกครับ ให้ยงยุทธตามไปช่วยเหลือดาราคนเดียวดีกว่า”
“จะดีเหรอขุนเดช”
“ถ้าหมวดไม่อยู่แล้วเกิดอะไรขึ้นที่นี่ ใครจะคอยช่วยเหลือชาวบ้านล่ะครับ”
“เอ็งก็พูดถูก แล้วทำไมเอ็งไม่ตามไปช่วยอาจารย์เขาล่ะ”
“ผมมีธุระสำคัญต้องทำครับ”
“ธุระอะไรของเอ็ง...อาจารย์เขาเป็นคนรักของเอ็งไม่ใช่เหรอ”
“ดาราไม่ใช่คนรักผมหรอกครับอาจ่า..ไม่ใช่มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว”
จ่าแท่นฟังแล้วไม่ค่อยเข้าใจคำพูดของขุนเดชนัก เห็นเพียงแต่ขุนเดชพูดไปก็ยิ้มมุมปากแล้วเดินออกไป

ในห้องนอนกำนันบุญรำพันช่วยดูแลเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้กำนันบุญ
“ชั้นเช็ดตัวเสร็จแล้ว พี่ต้องทานยาด้วยนะจ๊ะ ชั้นวางไว้ให้ตรงนี้แล้ว”
“แล้วเอ็งจะไปไหน”
“ชั้นจะไปดูทิพย์หน่อยน่ะจ้ะ เมื่อคืนปล่อยให้อยู่กับยัยหมอนเลยเอาแต่งอแงอาละวาด จนเขาไม่ได้หลับไม่ได้นอนกัน”
“ชั้นว่าถ้าเลี้ยงอยู่บ้านแล้วอาการไม่ดีขึ้น ก็เอาไปอยู่โรงพยาบาลเถอะ”
“ไม่ได้นะจ๊ะพี่...อย่าเอาลูกไปอยู่ที่อื่นเลย”
“แต่ข้ารำคาญมัน...เห็นแล้วขวางหูขวางตา”
“มันไม่ใช่ความผิดของลูกนะจ๊ะพี่ที่ลูกต้องมาเป็นแบบนี้...ถ้าตอนนั้นพี่ไม่...”
“เอ็งจะว่าอะไรข้า...” กำนันบุญเข้าไปบีบปากรำพันอย่างแรง “จะหาว่าข้าไปสร้างเวรสร้างกรรมฆ่าลิงแม่ลูก อ่อนตอนเอ็งท้องเลยทำให้เวรรกรรมตกมาที่นังทิพย์ใช่มั้ย”
รำพันไม่กล้าพูดต่อ น้ำตาเอ่อเสียใจและเจ็บตัวจนกำนันบุญผลักไสจนเซ
“ชั้น...ชั้นสงสารลูกจริงๆ นะพี่ สัมฤทธิ์ก็ตายไปแล้ว ทรัพย์สินเงินทองเราก็มีตั้งเยอะแยะ ชั้นอยากให้พี่เลิกทำงานให้คุณประดับ แล้วไปใช้ชีวิตกันเงียบๆ 3 คนพ่อแม่ลูก”
“เอ็งกำลังขอให้ข้าเลิกทำงานงั้นเหรอ”
“จ้ะพี่...ทำไปก็มีแต่เรื่องเดือดร้อน อย่างที่พี่ต้องมาเจ็บตัวอยู่แบบนี้ไง”
กำนันบุญจิกหน้ามองรำพันอย่างไม่พอใจ
อ่านต่อหน้าที่ 2




ขุนเดช ตอนที่ 19 (ต่อ)

รำพันถูกกำนันบุญจิกหัวลากเข้ามาผลักใส่ทิพย์
“แม่...แม่จ๋า”
“ทิพย์”
สองแม่ลูกกอดกันร้องไห้กระจองอแง กำนันบุญยิ่งรำคาญ
“จะแหกปากร้องไห้ทำไม ที่มีกินดีอยู่ดีทุกวันนี้ไม่ใช่เพราะข้าหาเงินให้พวกเอ็งใช้เหรอ”
“แต่ชั้นเป็นห่วงพี่นะ ชั้นไม่อยากเห็นพี่ไปสร้างเวรสร้างกรรมอีก แค่นี้มันก็ตกมาถึงลูกมากพอแล้ว”
“นังรำพัน...เอ็งโทษข้า...นังปากเสีย”
กำนันบุญกระชากตัวรำพันขึ้นมาแล้วตบจนหน้าหันล้มลงไปกองกับพื้นเลือดกบปาก
“แม่...แม่...ฮือๆๆๆ”
“ถอยไปนังทิพย์” ทิพย์ไม่ยอมปล่อยมือจากรำพันเอาแต่กอดแน่นไม่ยอมและร้องไห้กระจองอแง “ข้าบอกให้เอ็งถอยไป ถ้าไม่ฟังข้าจะเฆี่ยนเอ็งให้หลังลาย”
ทิพย์ยิ่งไม่ฟังกอดแม่แน่นแล้วส่ายหน้าไม่ปล่อยท่าเดียว กำนันบุญเลยยิ่งโมโหหันไปคว้าไม้เรียวที่เหน็บข้างฝา
“พี่กำนัน...อย่าทำลูกเลย...ชั้นไม่ขอร้องพี่กำนันแล้ว ปล่อยเราสองคนแม่ลูกไปเถอะ อย่าทำอะไรเราเลย...ฮือๆๆๆ”
“ปล่อยเหรอ...เอ็งเป็นเมียข้า ข้าหมดเงินทองเลี้ยงพวกเอ็งไปไม่รู้เท่าไหร่ แล้วคิดว่าข้าจะปล่อยไปง่ายๆ เหรอ...หลบไปนังทิพย์”
ทิพย์ไม่หลบยิ่งกอดแม่แน่นเหมือนลูกลิงที่กอดแม่ลิงเอาไว้ กำนันบุญโมโหจัดเงื้อมือจะลงไม้เรียวแต่ระหว่างนั้นได้ยินเสียงร้องของลิงดังก้องไปทั่วกำนันบุญเลยชะงักหันขวับไปมองรอบๆ
“เสียงมาจากไหนวะ”
กำนันบุญหันมองอย่างสงสัยแล้วพอหันกลับมาอีกทีก็ตกใจเพราะภาพที่เห็นทิพย์กอดรำพันเหมือนภาพลิงแม่ลูกอ่อนที่กำนันเคยฆ่าตายตอนหนุ่มๆ กำนันบุญผงะแล้วขยี้ตาอีกทีภาพนั้นจึงหายไป
กำนันบุญลดไม้ลงแต่ไม่ลดความเกรี้ยวกราด
“วันนี้เอ็งรอดตัวไปทั้งแม่ทั้งลูก แล้วก็จำใส่กะโหลก ไว้ด้วยว่าอย่ามาออกความเห็นอะไรกับข้าอีก”
“จะ...จ้ะพี่”
รำพันร้องห่มร้องไห้กอดทิพย์เอาไว้ กำนันบุญหันหลังจะเดินออกไป แต่สายตาที่ทิพย์มองกำนันบุญกลับมีแต่ความจงเกลียดจงชังอย่างรุนแรง พอกำนันบุญเผลอทิพย์ก็ผละจากรำพันปรี่เข้าไปกัดแขนกำนันอย่างแรงทันที
“โอ๊ย!”
ทิพย์กัดแขนกำนันบุญจนจมเขี้ยว กำนันบุญต้องสะบัดตัวทิพย์ออกจนเห็นว่าได้เลือดเป็นแผลที่แขน
“นังบ้าเอ้ย”
กำนันบุญกุมแขนที่ได้เลือดเพราะโดนทิพย์กัดแล้วจะเข้าไปเอาเรื่องกับทิพย์ แต่ประดับเข้ามาซะก่อน
“หยุดได้แล้วกำนัน”
“คุณประดับ”

ไอ้นะช่วยเอาผ้าพันแผลมาพันไว้ที่แขนข้างขวาที่กำนันบุญถูกทิพย์กัด
“เสร็จรึยังวะ”
“เสร็จแล้วจ้ะ”
“เสร็จแล้วก็ถอยไปสิเว้ย”
กำนันบุญผลักไอ้นะกระเด็นแล้วลุกจะไปเอาเรื่องกับลูกเมียต่อ แต่ประดับมาขวางไว้
“พอได้แล้วน่ากำนัน”
“หลบไปครับคุณประดับ นี่เป็นเรื่องภายในครอบครัวผม”
“ชั้นก็ไม่ได้อยากยุ่งเรื่องครอบครัวของกำนันหรอก แต่ไอ้การไปลงมือกับลูกเมียแบบนี้ มันช่วยให้งานของชั้นเดินเข้าสู่เป้าหมายได้เร็วขึ้นรึเปล่า” กำนันบุญชะงัก “ถ้าเปล่าก็เลิกเสียเวลาซะที วันนี้ชั้นจะเอาธรรมจักรสัมฤทธิ์กลับไปทำพิธี และอาจารย์ก้องเกียรติก็คงจะบอกชั้นว่าโลหะศักดิ์สิทธิ์ชิ้นสุดท้ายคืออะไร ระหว่างนี้ชั้นอยากให้กำนันจัดการกับไอ้วีรบุรุษบาปให้เรียบร้อย เพราะชั้นไม่อยากให้มันมาขวางการเป็น สัตตะโลหะบุรุษของชั้นอีก...ว่าไงล่ะกำนัน”
“ครับคุณประดับ”
ประดับมีสีหน้าพอใจก่อนจะพากันออกไปกับเบิ้ม กำนันบุญหันมาหัวเสียมองผ้าพันแขนที่พันปิดรอยแผลถูกทิพย์กัดอย่างหงุดหงิด

อีกด้านหนึ่ง ขุนเดชอยู่ในกระท่อมชักดาบดำออกจากฝักสีหน้าขึงขังจริงจัง ระหว่างนั้นเสียงบัวทองดังเข้ามา
“พี่ขุนเดช...พี่ขุนเดช”
ขุนเดชรีบคืบดาบดำเข้าฝักแล้วหันไปที่บัวทองซึ่งเข้ามาพอดี บัวทองจึงเห็นขุนเดชถือดาบอยู่ในมือ
“นั่นพี่เตรียมตัวจะไปช่วยอาจารย์ดาราเหรอ”
“ดาบหักของพ่อพี่นี่น่ะเหรอ ดาบสนิมจับแถมหักบิ่นจะไปช่วยใครได้ล่ะ”
“งั้นก็เป็นอย่างที่ลุงจ่าบอกชั้นน่ะสิ” บัวทองตีหน้าไม่พอใจทันที “ทำไมพี่ทำอย่างนี้ล่ะ”
ขุนเดชไม่ตอบเดินผ่านบัวทองออกไปจากกระท่อม บัวทองมองตามชักสีหน้าหงุดหงิด

บัวทองตามขุนเดชออกมา
“พี่ขุนเดช...อธิบายให้ชั้นฟังมาเดี๋ยวนี้เลยนะ พี่เป็นคนรักภาษาอะไรถึงปล่อยให้อาจารย์ไปเสี่ยงอันตรายแล้วไม่ไปช่วยเธอ”
“มันเป็นเรื่องของพี่กับอาจารย์ ไม่เกี่ยวกับบัวทอง”
บัวทองไม่พอใจที่ถูกว่าเลยเข้าไปผลักแรงๆ
“นี่แน๊ะ...หาว่าชั้นจุ้นจ้านอีกแล้วเหรอ”
“หรือไม่จริง”
“ใช่...ชั้นมาจุ้นจ้านกับพี่ แต่ชั้นไม่สนหรอกว่าพี่จะว่าชั้นเสียๆ หายๆ ยังไง อาจารย์ดารา เป็นคนดีที่ชั้นรักเหมือนพี่สาวของชั้น เพราะฉะนั้นชั้นก็อยากให้เขาได้คนดีๆ ที่รักและ ห่วงใยเขาจริงๆ”
“งั้นดาราเขาก็คงจะได้พบแล้วล่ะ เพราะยงยุทธคงไม่ปล่อยให้ดาราเป็นอันตรายแน่”
“พี่ขุนเดช”
“พี่กับดาราเรามีแค่มิตรภาพของความเป็นเพื่อนกันเท่านั้น จากนี้ไปคนที่จะดูแลเธอได้ดีที่สุดก็คือยงยุทธ”
ขุนเดชจะเดินออกไป แต่บัวทองรีบตามไปขวางอีก
“เดี๋ยว...แล้วพี่ไม่เสียใจเลยเหรอ”
“ทำไมพี่ต้องเสียใจด้วยล่ะบัวทอง เห็นคนที่พี่รักทุกคนมีความสุขเพียงแค่นี้พี่ก็ตายตาหลับแล้ว พี่มีงานสำคัญต้องไปจัดการ...พี่ไปล่ะ”
ขุนเดชเดินจากไปทิ้งให้บัวทองยืนงุนงง
“พี่ขุนเดช...พี่ขุนเดช”

ในป่าดาราแบกเป้สัมภาระพร้อมกับกางแผนที่เพื่อมุ่งหน้าไปตามหาโลหะศักดิ์สิทธิ์ ดาราดูตามแผนที่ในมือแล้วสีหน้าครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ตอนที่ขุนเดชกางแผนที่แผ่นเดียวกันนี้แล้วชี้จุดให้ดาราดู
“บริเวณนี้แหละที่ผมกับอาจารย์ประทีปเคยไปสำรวจแล้วพบหัวสิงตะกั่วศักดิ์สิทธิ์”
“ดูแล้วไม่ไกลจากที่นี่มาก”
“แต่ในป่านั่นค่อนข้างอันตราย เพราะยังมีน้อยคนที่เข้าไปสำรวจ ถ้าไม่มีแผนที่ติดตัวไปด้วยมีหวังได้หลงป่าแน่นอน”
ขุนเดชบอกดาราแล้วม้วนแผนที่เก็บไปวางที่ชั้น ดารามองแผนที่อย่างสนใจและแอบคิด

ดาราเดินตามแผนที่ที่แอบเอามาจากขุนเดชไปตามทางเรื่อยๆ พยายามมองหาบางอย่างจนในที่สุดก็เจอ ต้นไม้ใหญ่ที่ระบุในแผนที่
“ต้นนี้แน่ที่ขุนเดชระบุในแผนที่ จากตรงนี้ก็ไม่ไกลแล้ว”
สีหน้าดาราดูมีความหวังและมัวแต่ดีใจเลยไม่ทันระวังตัวเมื่อขุนเดชแอบโผล่มาจากข้างหลังแล้วใช้ไม้ซางเป่า ลูกดอกพุ่งไปถูกที่หัวไหล่ของดารา...ฉึก
“โอ๊ย...นั่นใคร”
ดาราดึงลูกดอกออกจากหัวไหล่แล้วมองหาแต่ไม่เจอใครแล้ว ดารารีบเดินดูแต่เดินแค่ไม่กี่ก้าวตาก็เริ่มพร่าและทรงตัวไม่อยู่ร่วงหมดสติไปที่พื้น ขุนเดชเดินเข้ามามองดาราที่หมดสติ
“ขอโทษด้วยนะดารา คุณทำเพื่อผมมามากแล้ว ถึงเวลาที่ผมจำเป็นต้องทำเพื่อคุณและยงยุทธบ้าง”
ขุนเดชเดินออกไปทิ้งดาราให้นอนหมดสติอยู่อย่างนั้น

รถประดับวิ่งมาตามถนนมุ่งหน้ากลับกรุงเทพมีเบิ้มทำหน้าที่ขับรถให้
“แค่ตามหาโลหะศักดิ์สิทธิ์อีกเพียงแค่ชิ้นเดียว นายก็จะได้เป็นสัตตะโลหะบุรุษแล้ว ผมดีใจล่วงหน้าได้เลยใช่มั้ยครับนาย”
“สมัยที่พ่อชั้นเคยยิ่งใหญ่ชั้นไปไหนมาไหนก็มีแต่คนเคารพ แต่ครั้งนี้ชั้นจะยิ่งใหญ่กว่าที่พ่อชั้นเคยเป็น และจะไม่มีใครโค่นชั้นได้ ทุกคนจะต้องเข้ามากราบแทบเท้ามหาบุรุษที่มากด้วยบารมีอย่างชั้น”
ประดับยิ้มดีใจ เบิ้มยิ้มไปด้วยและหันไปมองประดับ แต่พอหันมาอีกทีก็ต้องตกใจเพราะเจอวีรบุรุษบาปมายืน จังก้าขวางถนน
“นายครับ...ดูนั่น”
“ไอ้วีรบุรุษบาป คิดกัดไม่ปล่อยเหรอ ชนมันให้ตายไปเลยอย่าให้มันแย่งธรรมจักรสัมฤทธิ์ไปจากชั้นได้”
“ครับนาย”
เบิ้มเร่งเครื่องพุ่งเข้าใส่ วีรบุรุษบาปยืนถือดาบดำขวางถนนไม่ยอมขยับไปไหน ระหว่างที่รถกำลังพุ่งเข้ามาวีรบุรุษบาปหยิบระเบิดออกมาถอดสลักแล้วกลิ้งไปตามพื้น ประดับเห็นเข้าก็ตกใจ
“เบิ้ม...หลบ”
ตู้ม! ระเบิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว เบิ้มหักรถหลบระเบิดพุ่งออกไปข้างทางจนรถไปจอดแน่นิ่ง
วีรบุรุษบาปถือดาบดำเดินเข้าไปหาแต่ประดับเปิดประตูออกมาจากรถพร้อมกับยิงปืนใส่ทันที...เปรี้ยงๆๆๆวีรบุรุษบาปกระโจนหลบแล้วหนีออกไป ประดับหันไปมองในรถเห็นเบิ้มได้รับบาดเจ็บหัวแตกแต่ไม่ถึงตาย
“เฝ้าธรรมจักรสัมฤทธิ์ไว้ ชั้นจะไปตามล่ามัน”
“ครับนาย”
ประดับไม่ลืมคว้าดาบในรถไล่ตามวีรบุรุษบาปไป

ที่คฤหาสน์ของปราชญ์ปารมีเดินตามหาคุณหญิงที่ห้องโถง
“คุณแม่คะ...คุณแม่...คุณแม่อยู่ไหนคะ” ปารมีหาไม่เจอแต่เห็นพวกคนใช้กำลังจับกลุ่มคุยกันซุบซิบมันส์ปาก
“นี่...จับกลุ่มคุยอะไรกัน” พวกคนใช้ตกใจหุบปากเงียบ ปารมีเข้ามาหรี่ตาจิกมอง “ซุบซิบนินทาอะไรกัน...หา...จะบอกไม่บอก”
“ปละ...เปล่าค่ะคุณปา”
“แต่ชั้นได้ยินนะ แกเอาเรื่องแม่ชั้นมาเล่าให้พวกแกฟังใช่มั้ย” คนใช้หน้าเสีย ปารมีโกรธจัดตบหน้าหันจนเลือดซิบปาก “จำใส่กะโหลกพวกแกไว้ทุกคนเลย ถ้าชั้นเห็นพวกแกซุบซิบนินทาเรื่องในบ้านนี้อีก พวกแกจะต้องเจ็บตัวหนักกว่านี้แน่”
พวกคนใช้ก้มหัวกลัวไม่กล้าสบตาปารมีสักคน

ที่หน้าห้องเก็บสมบัติโบราณของปราชญ์ ลูกน้องประดับพกปืนยืนเฝ้าหน้าประตู คุณหญิงเดินเข้ามาโดยซ่อนบางอย่างไว้ข้างหลัง
“หลบไป...ชั้นจะเข้าไปข้างใน”
“ไม่ได้ครับคุณหญิง คุณประดับสั่งไว้ห้ามทุกคนเข้าไปในห้องนี้นอกจากคุณประดับคนเดียวเท่านั้น”
“แต่ที่นี่เป็นบ้านชั้น ชั้นจะเข้าออกห้องไหนก็ได้...หลบไป” พวกลูกน้องไม่หลบ คุณหญิงยิ่งส่งเสียงดัง “ชั้นสั่งให้หลบไป…หูหนวกเหรอไง”
“คุณหญิงจะเข้าไปทำอะไรครับ”
“ไม่ใช่เรื่องของขี้ข้า” คุณหญิงผลักไหล่จะเข้าไปแต่ถูกลูกน้องประดับจับตัวเอาไว้แล้วแย่งเอาค้อนที่คุณหญิงซ่อนไว้ข้างหลังมา “เอาของชั้นมานะ”
“คุณประดับสั่งไว้แล้วว่า ถ้าเห็นคุณหญิงคิดจะเข้าไปทำลายสมบัติในห้องล่ะก็…ให้พวกผมจัดการเด็ดขาดกับคุณหญิง ส่วนคุณปา…” พวกมันมองหน้ากันเองแล้วยิ้มร้ายๆ “คุณประดับบอกว่าให้เป็นรางวัลกับพวกผม”
คุณหญิงตกใจหน้าเสีย
“พวกแกอย่ามายุ่งกับพวกชั้นนะ…ชั้นจะไม่ยุ่งกับของข้างในอีก”
คุณหญิงรีบถอยหนีออกไปอย่างตื่นกลัว พวกลูกน้องประดับหัวเราะชอบใจ

ปารมีเจ็บใจอยู่กับคุณหญิงหลังจากรู้เรื่อง
“ไอ้ชาติชั่ว...ไอ้สารเลว ปาจะไม่ยอมให้มันทำกับเราแบบนี้โดยไม่ตอบโต้เลยไม่ได้หรอกค่ะคุณแม่”
ปารมีมีสีหน้าแค้นเกลียดชังเป็นอย่างมาก จนคุณหญิงสงสัย
“แกคิดจะทำอะไรอีกหา...ยัยปา”
“ก็ในเมื่อมันแบลคเมล์เราได้ เราก็ต้องแบลค์เมล์มันกลับ ตอนที่คุณพ่อทำงานมันคอยช่วยเหลือคุณพ่อให้โกงกินไปเยอะ ตอนนี้พอมันแทนที่คุณพ่อมันยิ่งโกงกินสวาปามหนักกว่าอีก ถ้าเราเอาหลักฐานไปป่าวประกาศให้ทุกคนรู้ มันดิ้นไม่หลุดแน่”
คุณหญิงเอานิ้วจิ้มหัวลูกสาวทันที
“โธ่เอ้ย...นังโง่ ขืนทำอย่างนั้นแล้วเราจะเหลืออะไร ทุกอย่างในบ้านนี้มีอะไรได้มาอย่างถูกต้องตามกฏหมายบ้าง...หัดคิดก่อนพูดซะมั่ง”
“แล้วเราจะทำยังไงดีล่ะคะคุณแม่”
“แกไม่ต้องห่วง...มันทำชั้นแสบนัก ชั้นก็ต้องมีแผนสำรองเอาไว้แล้วเหมือนกัน”
คุณหญิงกอดอกสีหน้ายิ้มร้าย

เบิ้มรอประดับอยู่ที่รถเอาผ้ามาชับเลือดที่หัวซึ่งเป็นผลจากหัวกระแทกพวงมาลัยจนแตก มีมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งขับตรงเข้ามาเบิ้มหันไปมองอย่างสงสัยไม่ทันไรพวกมันชักปืนออกมาแล้วยิงใส่...เปรี้ยงๆๆ เบิ้มรีบกระโจนหลบคว้าปืนยืงตอบโต้ก่อนจะเข้าไปคว้าเอาธรรมจักรสัมฤทธิ์อุ้มหนีออกไป มือปืนจอดมอเตอร์ไซค์แล้วรีบลงจากรถมาดูที่รถ
“นายประดับไม่อยู่ที่นี่”
“มันคงอยู่แถวนี้แหละ ไม่งั้นคงไม่ให้ลูกน้องมันรออยู่แถวนี้แน่ ข้าจะไปหาตัวมันส่วนเอ็ง ไปจัดการลูกน้องมัน เสร็จงานแล้วจะได้รีบไปรับเงินที่เหลือจากคุณหญิง”
มือปืนแยกย้ายกันออกไป

ประดับไล่ตามวีรบุรุษบาปเข้ามาในโรงนาร้างกวาดปืนไปทั่วหาตัววีรบุรุษบาป
“ชั้นนึกไว้ไม่ผิดว่าแกมันต้องคิดกัดไม่ปล่อยแน่...ตอนนี้ชั้นต้องการโลหะศักดิ์สิทธิ์อีกแค่ชิ้นเดียว ชั้นก็จะกลายเป็นมหาบุรุษที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แกถึงยอมไม่ได้”
วีรบุรุษบาปโผล่มาด้านหลัง ประดับกวาดปืนไปยิง...เปรี้ยง แต่วีรบุรุษบาปกระโจนหลบ
“หึ...แกขวางชั้นไม่ได้หรอกไอ้วีรบุรุษบาป ไม่ว่าแกหรือจะไอ้ยงยุทธ พวกแกจะต้องโดนชั้นไล่ล่า ชั้นจะทรมานพวกแกทีละนิดๆ แล้วนั่งดูแกร้องขอชีวิต”
วีรบุรุษบาปโผล่มาอีกด้าน ประดับยิงใส่อีก...เปรี้ยงๆๆๆจนกระสุนหมด วีรบุรุษบาปชักดาบดำออกมาแล้ววิ่งเข้าใส่...ย๊ากกกกกก ประดับรีบชักดาบที่พกมาด้วยหันไปรับคมดาบทันที
สองคนประลองเพลงดาบกันไปมาอย่างไม่มีใครยอมใคร ฟาดฟันกันจนประกายไฟแลบแปลบปลาบแล้วเข้า มาดันดาบลองกำลังเผชิญหน้ากันเอาเป็นเอาตาย
“แกต่างหากไอ้ประดับที่จะต้องตายด้วยดาบดำของชั้น”
“ดาบดำของแกอาจจะเรียกเลือดจากกำนันได้ แต่มันทำอะไรชั้นไม่ได้หรอกเว้ย”
ประดับกดดาบตัวเองออกไปเต็มที่ วีรบุรุษบาปทรุดรับแรงกระแทกแต่ก็ยังฝืนยื้อดันกลับไป
“แต่ชั้นเห็นกรรมของชั้นแล้ว ชั้นไม่ได้ตายด้วยน้ำมือของพวกแก นั่นแสดงว่าพวกแกโดนดาบดำของชั้นตัดสินประหาร”
“นี่แก...แกแตะต้องธรรมจักรสัมฤทธิ์ ?”
“ชั้นว่าแกก็น่าจะลองดูนะ ดวงตายมบาลจะทำให้แกเห็นว่าเวลาที่แกตายมันทรมาน มากแค่ไหน”
“คนอย่างข้าคือสัตตะโลหะบุรุษ ชายผู้ไม่มีวันตายเว้ย”
ประดับกระแทกออกไปเต็มแรงจนวีรบุรุษบาปกระเด็น ทั้งคู่ควงดาบพร้อมที่เข้าฟาดฟันกันอีกยก

เบิ้มอุ้มธรรมจักรสัมฤทธิ์วิ่งหนีลูกปืนจากพวกมือปืนเข้ามาหลบและพยายามยิงตอบโต้ แต่พอกระสุนจากปืนเบิ้มหมด เบิ้มก็ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก
“ซวยแล้วเรา”
เบิ้มหน้าเครียดเมื่อมือปืนเข้ามาใกล้แล้วจ่อปืนพร้อมจะฆ่า
“เอ็งเสร็จข้าแล้ว”
มือปืนกำลังจะลั่นไกฆ่าเบิ้ม แต่จังหวะนั้นเองแจ็คก็โผล่เข้ามาใช้มือเดียวจับปืนแย่งมาจากมือมันแล้วปลด กระสุนจนหมด
“ไอ้แจ็ค”
แจ็คยิ้มร้ายใส่มือปืนพอมันจะชกแจ็คก็แค่จับหมัดมันแล้วหักแขนดัง…กร่อบ ก่อนจะจับมันมาทุ่มแล้วบีบคอ ตายอย่างสบายๆ แจ็คยิ้มอย่างร้ายกาจ

ที่โรงนาร้าง วีรบุรุษบาปกับประดับพุ่งเข้าฟาดฟันกันด้วยเชิงดาบฟาดฟันกันนัวจนวีรบุรุษบาปเป็นฝ่ายได้เปรียบไล่ฟันจนประดับเกือบพลาดท่าเสียที ประดับอาศัยถีบลังไม้ไปขวางแล้วฮึดกลับมาเป็นฝ่ายรุกไล่บ้าง
ระหว่างที่วีรบุรุษบาปกับประดับฟาดดาบกันมือปืนที่เหลือก็ตามเข้ามาแล้วยกปืนเล็งไปที่ประดับ...เปรี้ยง !!
ลูกปืนเฉียดประดับไปเพราะวีรบุรุษบาปผลักกระเด็น มือปืนเลยรัวปืนยิงใส่ไม่ยั้ง ประดับต้องวิ่งหลบลูกปืน
ทันใดนั้นแจ็คโผล่เข้ามาแล้วจัดการแย่งปืนไปจากมือถีบกระเด็น มือปืนลุกขึ้นมาตั้งท่าพร้อมสู้ แจ็คเลยงัดไม้ ตายออกมา
“หมัด...สั่ง...ตาย”
แจ็คเหวี่ยงหมัดใส่มือปืน มันโดนเข้าไปทีเดียวก็ตายคาที่สมชื่อหมัดสั่งตาย
“ไอ้แจ็ค”
ประดับรีบออกมาจากที่ซ่อน ในขณะที่วีรบุรุษบาปยืนตกตะลึงเพราะเจอโจทก์เก่า
“ขอโทษด้วยที่ผมมาช้าไป”
“ไม่ช้าไปหรอกไอ้แจ็ค…แกมาตอนนี้แหละเหมาะเลย คนที่รอดจากหมัดสั่งตายของแกมันอยู่นั่น”
แจ็คหันไปที่วีรบุรุษบาปด้วยสีหน้าดุดันเอาเรื่องชี้หน้าใส่แล้วส่ายมือว่า...NO!
“คราวนี้แกไม่รอดแน่...วีรบุรุษบาป” แจ็คตั้งท่าเชิงมวย นิ้วกลางยกขึ้นนูนพร้อมสำหรับหมัดสั่งตาย
“หมัด...สั่ง...ตาย”
วีรบุรุษบาปรู้จักพิษสงของหมัดสั่งตายดีเลยไม่คิดจะสู้ตอนนี้จำเป็นต้องเอาระเบิดมือออกมาปลดสลักแล้วกลิ้งเข้าใส่ ลูกระเบิดกลิ้งเข้ามาที่เท้าของแจ็คแต่ก่อนที่จะระเบิด แจ็คจัดการเตะลูกระเบิดกระเด็นไปไกล....ตูม
เสียงระเบิดดังสนั่น ควันคละคลุ้งไปทั่ว แจ็คช่วยประดับเอาไว้ได้อย่างปลอดภัย
“เป็นไงบ้างครับนาย”
“ชั้นไม่เป็นอะไร...แกล่ะไอ้แจ็ค”
“โอเค”
“แล้วมันล่ะ”
ประดับมองหาตัววีรบุรุษบาปแต่ไม่พบแล้ว
“ไอ้วีรบุรุษบาป...ชั้นจะให้โอกาสแกหนีไปก่อนและชั้นนี่แหละที่จะเป็นเจ้าชีวิตของแก ชั้นจะเปลี่ยนชะตากรรมสุดท้ายของแกให้ตายด้วยน้ำมือไอ้แจ็ค...หึๆๆๆ”
ประดับยิ้มร้ายอย่างได้ใจ
อ่านต่อหน้าที่ 3




ขุนเดช ตอนที่ 19 (ต่อ)

ยงยุทธเข้ามาตามหาดาราในป่า
“ดารา...ดารา”
ยงยุทธกวาดสายตามองไปรอบๆ แต่ไม่ได้ยินเสียงตอบกลับมาเลยชักเริ่มเป็นห่วง ระหว่างนั้นเองที่ยงยุทธเห็น บางอย่างผิดสังเกตห่างไปจากเขาสักประมาณ 10 กว่าเมตรเลยรีบเดินไปดูพบดารานอนหมดสติอยู่ที่พื้น ยงยุทธตกใจรีบเข้าไปประคองดาราขึ้นมา
“ดารา...ดารา”
ดารายังไม่ได้สติ ระหว่างนั้นยงยุทธพบลูกดอกตกอยู่ที่พื้นใกล้ๆ จึงหยิบมาดูอย่างสงสัย

ยงยุทธพาดารามานอนพักที่ริมน้ำตกเอาเป้หนุนหัวแล้วเอาผ้าชุบน้ำเช็ดหน้าเช็ดตาให้อย่างทะนุถนอม ระหว่างหันไปเอาผ้าชุบน้ำบิดดาราเริ่มรู้สึกตัว ตายังพร่าๆ เห็นแต่แผ่นหลังของยงยุทธเลยไม่รู้ว่าเป็นใคร ความระแวงระวังภัยเลยหันไปคว้าปืนจากเป้มาเล็ง
“ไปให้พ้นนะ ไม่งั้นชั้นยิงจริงๆ”
“ดารา...นี่ผมเอง”
“ยงยุทธ?”
ดารารีบลดปืนลงแล้วรู้สึกยังมึนๆ หัวและอ่อนเพลีย ยงยุทธรีบประคอง
“คุณควรจะนอนพักก่อน ลูกดอกที่ยิงใส่คุณน่าจะมีพิษยานอนหลับติดอยู่ถึงทำให้คุณไม่ได้สติ”
“แต่ชั้นไม่มีเวลา”
“เรื่องตามหาโลหะศักดิ์สิทธิ์ชิ้นสุดท้ายใช่มั้ย…ไม่ต้องห่วงหรอกดารา ผมสำรวจดูรอบๆ บริเวณนี้แล้ว ไม่มีใครเข้ามาเลยมีแต่คุณกับผมเท่านั้น” ยงยุทธช่วยประคองให้ดารานอนพักอย่างเดิม “พักให้ยาหมดฤทธิ์ก่อน คืนนี้เราคงต้องค้างกันที่นี่”
ดาราพยักหน้ารับแล้วนอนตามที่ยงยุทธขอ สายตาของทั้งคู่สบตากันอย่างเป็นห่วงเป็นใย

ขุนเดชกลับมาที่กระท่อม ถอดหมวกและผ้าพันหน้าของวีรบุรุษบาปออกแล้วมองดาบดำที่ชักออกจากฝัก สีหน้าเคร่งเครียดเพราะเจอคู่ปรับอย่างแจ็ค

อีกด้านหนึ่งที่คฤหาสน์ของปราชญ์คุณหญิงเดินไปเดินมาอยู่หน้าโทรศัพท์กับปารมี
“จนป่านนี้แล้วทำไมไอ้พวกที่คุณแม่จ้าง มันยังไม่โทรมารายงานอีกคะ”
“ใจเย็นสิยัยปา ไอ้พวกที่แม่จ้างไปฝีมือไม่ใช่กระจอก ไอ้ประดับมันต้องเสร็จเราแน่”
ปารมีกับคุณหญิงยิ้มให้กันอย่างมีหวังแต่ระหว่างนั้นประดับเข้ามา
“ใครเสร็จใครครับคุณหญิง”
คุณหญิงกับปารมีสะดุ้งโหยงยิ่งหันไปเห็นประดับกลับมาแบบไม่มีรอยขีดข่วนก็ยิ่งตกใจ
“ประ…ประดับ”
ประดับหรี่ตามองอย่างสงสัย
“ทำไมเห็นผมแล้วต้องตกใจด้วย”
สองแม่ลูกไม่กล้าสบตา คุณหญิงรีบคว้ามือปารมีเดินหนีออกไปทันที ประดับมองตามยิ่งสงสัย

คุณหญิงกับปารมีเดินหนีออกมาที่สระว่ายน้ำ แต่ชะงักเพราะเจอแจ็คเข้ามายืนขวางหน้าตาดุใส่ คุณหญิงกับลูกสาวผงะกลัวจะกลับไปทางเดิมก็เจอประดับตามมาบีบแขนคุณหญิงจ้องหน้า
“บอกผมมาซะดีๆ ที่คุณหญิงคิดว่าผมคงจะไม่ได้กลับมาที่นี่อีก เพราะผมคงถูกไอ้มือปืนกระจอกพวกนั้นฆ่าตายไปแล้วใช่มั้ย”
“ปละ...เปล่านะ ชั้นไม่ได้คิดอย่างนั้นเลยนะประดับ”
“อย่ามาทำเป็นไขสือหน่อยเลย ฝีมือคุณหญิงใช่มั้ยที่จ้างพวกมือปืนให้ไปลอบฆ่าผม”
“เปล่านะ...ชั้นไม่ได้ทำ...ชั้นไม่รู้เรื่อง”
ประดับไม่เชื่อจับคุณหญิงเหวี่ยงไปให้แจ็คจับตัวเอาไว้
“คุณแม่” ปารมีจะเข้าไปช่วยแต่โดนประดับล็อคตัวเอาไว้ “ปล่อยชั้นนะ…ปล่อย”
“แกจะทำอะไรลูกสาวชั้น...ปล่อยยัยปานะ”
“ทีอย่างนี้ล่ะเป็นห่วงลูกสาวขึ้นมาเชียว เมื่อก่อนผมไม่เห็นคุณหญิงจะสนใจคุณปาเลย”
“ปล่อยยัยปาไปเถอะนะ ชั้นไม่ได้สั่งมือปืนไปทำร้ายเธอจริงๆ นะประดับ เราสองคนแม่ลูกเชื่อฟังเธอทุกอย่าง เธออยากให้เราทำอะไรเราก็ทำแล้ว ชั้นขอร้องล่ะ”
“เรื่องมือปืนผมหาทางสืบเองไม่ยากหรอก แต่เรื่องที่คุณหญิงคิดจะไปทำลายสมบัติของผม ลูกน้องผมเพิ่งรายงานให้ฟัง”
คุณหญิงชะงักหน้าเสีย
“ชั้นขอโทษประดับ...ชั้นขอโทษ...ต่อไปนี้ชั้นจะไม่ทำอะไรแบบนั้นอีก ยกโทษให้ชั้นด้วยนะ ถ้าเธออยากให้ชั้นทำอะไร ชั้นจะทำให้ทุกอย่าง”
ประดับนิ่งคิดสีหน้าชั่วร้าย
“แม่ชั้นขอโทษแล้ว ปล่อยแม่ชั้นสิ พวกชั้นก็แค่ผู้หญิงไม่มีพิษสงอะไรกับแกหรอก”
“ใช่...พวกแกเป็นแค่ผู้หญิงไม่มีพิษสงอะไร เลี้ยงเอาไว้เฉยๆ ก็คงไม่มีประโยชน์ เพราะฉะนั้นชั้นคงต้องทำให้พวกแกมีประโยชน์สำหรับพวกชั้นสักหน่อย...ไอ้แจ็ค วันนี้แกช่วยชีวิตชั้นเอาไว้...” ประดับมองไปที่คุณหญิง “ชั้นให้รางวัลแก ตักตวงความสุขให้เต็มที่ เพราะ แกต้องช่วยงานชั้นอีกเยอะ”
แจ็คมองคุณหญิงแล้วยิ้มพอใจ แต่คุณหญิงหน้าเสีย
“ประดับ...ไม่นะ...แกอย่าทำอย่างนี้กับชั้น...ชั้นขอร้องล่ะ...อย่านะประดับ”
ประดับไม่สนใจฟังพยักหน้าให้แจ็คพาตัวคุณหญิงออกไป
“คุณแม่...คุณแม่”
ประดับไม่สนใจกลับหัวเราะอย่างสะใจแล้วหันมาเอาเรื่องกับปารมี

ปารมีถูกประดับผลักลงไปบนเตียง ปารมีโกรธแค้นหันไปคว้าแจกันจะทุ่มใส่
“แก…แกมันไอ้ซาตาน ไอ้ชิงนรกมาเกิด”
“หยุดนะคุณปา…ถ้าทำผมเจ็บแม้แต่นิดเดียวล่ะก็ผมส่งคุณไปให้ลูกน้องผมแน่” ปารมีชะงักไม่กล้าทำร้ายประดับรีบวางแจกันทันที “ดีมากที่ยังรู้จักรักตัวเอง จะได้ท่องจำให้ขึ้นใจว่าอย่าทำตัวมีปัญหาแล้วก็อย่าปากเก่ง ด่าผมต่อหน้าลูกน้องอีก เข้าใจมั้ย” ปารมีพยักหน้ารับอย่างกลัว “คืนนี้ผมต้องทำพิธี คุณกับคุณหญิงควรจะอยู่แต่ในห้อง อย่าได้ออกมาเพ่นพ่าน”
ปารมีพยักหน้ารับจนประดับพอใจแล้วเดินออกไป ปารมีทรุดนั่งลงบนเตียงอย่างเสียใจร้องไห้สะอึกสะอื้น
“นี่มันเวรกรรมอะไรของชั้น ทำไมไม่ให้ชั้นตายไปซะเลย ชั้นไม่อยากอยู่อย่างทรมาน อีกแล้ว…ฮือๆๆๆ ชั้นอยากตาย”
ปารมีซุกหน้ากับหมอนร้องไห้โฮอย่างเจ็บปวด

คืนนั้นที่ริมน้ำตก ยงยุทธก่อกองไฟให้ความว่างและไล่แมลงระหว่างนั้นดารามานั่งใกล้ๆ
“ขอบใจมากนะยงยุทธ”
“รู้สึกดีขึ้นแล้วเหรอ”
“จ้ะ…ชั้นขอดูลูกดอกที่ทำให้ชั้นหมดสติไปหน่อยสิ”
ดารารับลูกดอกที่ยงยุทธเก็บไว้มานั่งมองอย่างสงสัย
“น่าแปลกนะดารา ไอ้คนที่มันลอบเล่นงานคุณ มันต้องการอะไรกันแน่ เพราะถ้ามันคิดร้ายกับคุณจริงๆ มันคงไม่ใช้แค่ยาสลบแล้วทิ้งคุณไว้แบบนี้หรอก”
ดารายังมองลูกดอกแล้วครุ่นคิดต่ออีกครู่ก่อนจะฉุกคิดถึงเหตุการณ์ตอนที่คุยกับขุนเดช
“เห็นคุณสบายใจขึ้นผมก็ดีใจ ต่อไปคุณจะได้ไม่ต้องมาห่วงผม ไม่ต้องมาคอยช่วยเหลือผมอีก คุณจะได้ไปทำสิ่งที่หัวใจคุณเรียกร้องซะที”
“ขุนเดช”
ขุนเดชจับบ่าดารามาบีบสองข้างแล้วหน้าจริงจังมาก
“ไอ้หมอนั่นมันเก่งสารพัด แต่เรื่องรัก มันไม่ได้ความ ส่วนคุณก็พวกปากแข็งศักดิ์ศรีเยอะ ถ้าจะจับให้ลงเอยกันคงต้องอาศัยเหล้าช่วยแล้วล่ะ”
“คนบ้า”
ดาราสงสัยว่าเป็นฝีมือขุนเดชเลยอึ้งๆ ไป
“หรือว่า…”
“มีอะไรเหรอดารา คุณเห็นเหรอว่ามันเป็นใคร”
ดารามีสีหน้าอึกอักขึ้นมาทันที
“เอ่อ…ปละเปล่า…ชั้นไม่เห็น”
“แน่ใจนะ”
“แน่ใจสิ…ว่าแต่ว่า…เธอตามชั้นมาที่นี่ถูกได้ยังไง”
“ก็ไอ้ขุนเดชน่ะสิมันไปเล่าให้ผมฟังแล้วก็บอกทางให้ผมมา”
ดารายิ่งอึ้งหน้าเสียรีบหันหน้าหลบไปบ่นพึมพัมคนเดียว
“ขุนเดช...ฝีมือเธอจริงๆ ด้วย…ฮึ่ม กลับไปเธอโดนดีแน่ ยุ่งไม่เข้าเรื่องจริงๆ ยงยุทธเดี๋ยวชั้น…” ดาราพูดไม่ทันจบประโยคหันกลับมาก็เจอยงยุทธถอดเสื้อออกเห็นกล้ามเป็นมัดๆ ดาราเหวอหน้าแดงก่ำ “นั่นเธอถอดเสื้อทำไม คิดอะไรของเธออยู่”
“ทำไมถามอย่างนี้ล่ะดารา ผมเหนียวตัวอยากไปอาบน้ำ”
ดาราชะงักเก้อ
“เอ่อ...คือ...ก็แล้วทำไมไม่บอกชั้นแต่แรกล่ะ”
“อ้าว...ผมอยากอาบน้ำผมต้องบอกคุณด้วยเหรอ”
“ก็เราอยู่กันสองต่อสอง เธอจะมาเที่ยวแก้ผ้าเดินไปเดินมาแบบนี้ได้ยังไง”
“นี่...ทำอย่างกับคุณไม่เคยเห็นผมถอดเสื้องั้นแหละ แล้วตอนเด็กๆ เราก็แก้ผ้าโดดน้ำเล่นกันประจำ”
“หยุด! พอได้แล้ว ชั้นขี้เกียจเถียงเธอ” ดาราเข้าไปทั้งผลักทั้งดันยงยุทธ “จะไปอาบน้ำก็รีบไป ไปไกลๆ ด้วย...
หลังโขดหินโน่นเลย...ไปสิ”
“ครับๆ”
ยงยุทธทำหน้างงๆ ที่โดนดารามีอาการแปลกๆ ใส่แต่ก็เดินเลี่ยงไปอีกด้านของน้ำตก ดาราเห็นยงยุทธไปแล้วก็หันมาหน้างองอนๆ บ่น
“ขุนเดช...ตาบ้า...จุ้นจริงๆ”

ที่กระท่อมขุนเดช ขุนเดชกำลังฝึกเพลงดาบอย่างตั้งอกตั้งใจเพื่อไว้รับมือกับไอ้แจ็ค แต่จู่ๆ ก็จามออกมาเสียงดัง
“ฮัดเช้ย !...” ขุนเดชนิ่งไปแล้วยิ้มออกมา “สงสัยจะมีคนแอบด่าลับหลัง…พยายามเข้านะ ยงยุทธ…ดารา ชีวิตของชั้นสละได้เพื่อให้เพื่อนรักมีความสุข”
ขุนเดชหันมาซ้อมเพลงดาบต่อ ระหว่างนั้นบัวทองเดินเข้ามา
“พี่ขุนเดช”
“บัวทอง...มืดค่ำแล้วมาทำอะไรที่นี่”
“ชั้นอยู่กับแม่ที่วัด แต่มีเรื่องต้องแวะมาถามพี่ก่อน”
“ก่อนจะถามพี่ พี่ขอถามบัวทองก่อน”
“ถามอะไร”
“ตอนเล็กๆ บัวทองทำให้หน้าคำปันปวดหัวเพราะนิสัยช่างซักช่างถามแบบนี้รึเปล่า”
บัวทองชะงักตีหน้าดุใส่ทันที
“พี่ขุนเดช”
ขุนเดชยิ้มกวนแล้วเดินไปที่กระท่อม บัวทองจิกหน้ามองตามอย่างเคืองๆ

บัวทองตามมาผลักหลังขุนเดชอย่างไม่พอใจ
“นี่แน๊ะ...พี่ขุนเดชบ้า”
ขุนเดชหัวเราะ
“ไม่มีเรื่องจะถามพี่แล้วใช่มั้ย”
“หึ...ชั้นมาก็อยากรู้แค่ว่า อาจารย์ดารากับหมวดยงยุทธกลับมากันรึยัง”
“อยากรู้ก็ไปดูที่บ้านยงยุทธสิ มาถามพี่ทำไมให้เสียเวลา”
“นี่...พี่จะพูดจาดีๆ ไม่กวนโมโหชั้นสักคำได้มั้ย”
“พี่ไม่ได้อยากกวนโมโห แต่พี่รู้ว่าบัวทองไม่ได้อยากรู้เรื่องสองคนนั่นหรอก อยากรู้ว่าพี่เป็นยังไงมากกว่า”
บัวทองชะงักอึ้งหันหน้าหลบไปบ่น
“โธ่เอ้ย...รู้ดีไปซะทุกเรื่องเลย ฉลาดให้มันน้อยหน่อยไม่ได้ เหรอไง”
“แอบว่าพี่ให้หัดโง่บ้างใช่มั้ย”
บัวทองตกใจหันมาเจอขุนเดชยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ จนหน้าเกือบชนกัน ทั้งคู่สบตากันไปมาอยู่ครู่ บัวทองก็ดันขุนเดช ออกแล้วไม่กล้าสบตาอีก
“ไม่ต้องห่วงความรู้สึกพี่หรอกบัวทอง ถ้าพี่บอกว่าพี่ทำใจไว้แล้ว พี่ก็หมายความตามนั้น”
“งั้นต่อไปนี้พี่ก็ต้องอยู่คนเดียวนะ เพราะอาจารย์รักหมวด ส่วนชั้น...ชั้น...”
“บัวทองรักวีรบุรุษบาป”
บัวทองนิ่งไปมองขุนเดชอย่างเป็นห่วง ขุนเดชเข้ามาปัดผมบัวทองอย่างนุ่มนวล
“ชีวิตพี่เลือกที่จะทำเพื่อคนอื่น เพราะฉะนั้น...แค่มีคนคิดถึงพี่เวลาที่พี่ไม่อยู่ แค่นั้นพี่ก็สุขใจแล้ว”
“พี่ขุนเดช”
บัวทองสงสารจนเผลอน้ำตาซึมออกมา ขุนเดชเอานิ้วปาดน้ำตาให้
“คืนนี้พี่เดินไปส่งบัวทองที่บ้านแล้วกันนะ”
ขุนเดชยิ้มให้เพื่อให้บัวทองรู้สึกผ่อนคลาย

ยงยุทธโชว์กล้ามมาดแมนล้างตัวอาบน้ำอยู่ในน้ำตก
“ดาราน้ำเย็นดีนะ ไม่สนใจลงมาอาบน้ำให้สดชื่นหน่อยเหรอ...ดารา”
ดาราอยู่ที่กองไฟได้ยินเสียงยงยุทธเรียก ตะโกนกลับไปแบบไม่หันไปมอง
“รีบๆ อาบแล้วรีบๆ ขึ้นมาสักทีเถอะ พรุ่งนี้ชั้นต้องออกเดินทางแต่เช้า”
“แต่น้ำเย็นชื่นใจดีนะ ผมกับคุณไม่ได้เล่นน้ำด้วยกันนานแล้วนะ”
“ตาบ้า”
ดาราหันไปหยิบก้อนหินจากพื้นแล้วรีบเดินไปที่ริมตลิ่ง
“ชั้นบอกว่าชั้นจะนอนพักแล้ว ถ้าเธอยังไม่หยุดส่งเสียงหนวกหู ชั้นจะให้เธอแช่อยู่ในน้ำนั่นทั้งคืนเลย...นี่แน๊ะๆ”
ดาราขู่พร้อมกับเอาก้อนหินปาใส่ ยงยุทธหันหลบพัลวัน
“คุณโดนลูกดอกยานอนหลับสลบไปตั้งหลายชั่วโมง ยังจะนอนอีกเหรอ”
“ยงยุทธ”
ดารายิ่งงอนปาหินใส่ไม่หยุด ยงยุทธโกรธบ้างรีบลุกขึ้นจากน้ำเด้งพรวดขึ้นมา
“ถ้าคุณไม่หยุดเล่นงานผม ผมเอาคืนจริงๆ นะ”
ดาราชะงักเหวอที่เห็นยงยุทธโผล่ขึ้นจากน้ำแบบข้างล่างนุ่งกางเกงขาสั้นตัวเดียว
“กรี๊ดดดดดดดด! ลามก...ลามกที่สุด”
ดารารีบเอามือปิดตาแล้ววิ่งกลับไป ยงยุทธก้มดูตัวเองแล้วตกใจ
“เฮ้ย!...มิน่าทำไมลมมันเย็น”
ยงยุทธรีบเอามือกุมเป้าแล้วลงไปแช่น้ำต่อ

ดาราล้มตัวลงนอนที่โคนต้นไม้หน้างอนๆ
“คนบ้า…คนผีทะเล…ขอแช่งให้เธอเป็นปอดบวม โดนปลาตอด เหยียบหินบาดเท้า หัวโขกพื้น จมน้ำตายไปเลย”
ดาราบ่นไปได้ครู่ก็อดอมยิ้มกลั้นขำยงยุทธไม่ได้ ระหว่างนั้นเองที่อยู่ๆ เธอก็รู้สึกคันยุบยิบตามเนื้อตัว พอพลิกตัวดูตรงพื้นที่นอนก็ตกใจเพราะนอนทับรังมดแดงไปเต็มๆ
“ว๊ายยยยยย...มดแดง” ดาราเด้งลุกขึ้นมาเกาคันคะเยอไปทั้งตัวจนทนไม่ไหว “ยงยุทธ ช่วยชั้นด้วย”
ดารารีบวิ่งไปที่น้ำตกทันที

ดาราวิ่งมาที่น้ำตกคันตัวยิบยุบยับไปหมดทั้งตัว
“ยงยุทธ...ช่วยชั้นด้วย…ชั้นนอนทับรังมด”
“รีบลงมาในน้ำเร็ว”
“แต่ชั้นว่ายน้ำไม่เป็น”
“ไม่ต้องห่วง...ผมช่วยคุณเอง…รีบลงมาเถอะ”
ดาราตัดสินใจกระโจนลงไปในน้ำ…ตูม! ทุกอย่างเงียบไปเพราะดาราไม่โผล่ขึ้นมา ยงยุทธเป็นห่วงที่เห็นดาราเงียบไปความมืดทำให้ดำลงไปก็ไม่เจอ
“ดารา…ดารา”
ระหว่างนั้นดาราทะลึ่งพรวดขึ้นมามือไม้ตะเกียกตะกาย
“ช่วยด้วยยงยุทธ...ช่วยชั้นด้วย”
ยงยุทธรีบว่ายเข้าไปแล้วดึงดาราให้มาเกาะตัวเองเอาไว้
“ใจเย็นๆ คุณไม่เป็นอะไรแล้ว เกาะผมไว้ ผมไม่ปล่อยให้คุณจมน้ำตายแน่”
ดาราเกาะคอยงยุทธแน่นแล้วค่อยๆ สงบลง
“อย่าปล่อยให้ชั้นจมน้ำนะ”
“คุณรัดคอผมแน่นแบบนี้ คุณไม่จมหรอก แต่ผมนี่แหละจะจม”
“คนบ้า”
ดาราทุบเข้าให้แล้วสองคนก็สบตากันใบหน้าแทบจะชนกัน บรรยากาศสวยงามแถมยังเปียกปอนด้วยกันทั้งคู่ ใจเต้นตึกตัก หน้าใกล้ชิดเหมือนมีแรงดึงดูด เหมือนจะจูบกันแต่ยงยุทธหยุดไปเอง
“อากาศเริ่มเย็นแล้ว ผมพาขึ้นขึ้นไปผิงไฟดีกว่า เดี๋ยวจะไม่สบาย”
ยงยุทธประคองพาดาราว่ายน้ำกลับเข้าฝั่ง ในขณะที่ดารามองยงยุทธอย่างประทับใจ

ยงยุทธเติมฟืนในกองไฟให้แรงขึ้น ส่วนดาราไปหลบเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ และเอาชุดที่เปียกตากกับราวเชือกที่ขึงไว้ ยงยุทธเห็นดาราไม่เสร็จเลยหันไปดู
“เสร็จรึยังดารา…ไม่รีบมาผิงไฟเดี๋ยวก็ปอดบวมแย่หรอก”
“หันมาทำไม…หันกลับไป”
“ผมขอโทษ” ยงยุทธหันกลับมาเติมฟืนได้ครู่ดาราที่สวมเสื้อเชิ้ตหลวมๆ ของยงยุทธซึ่งตัวยาวมาถึงเข่าก็เข้ามานั่งใกล้ๆ “ดีนะที่ผมเอาเสื้อผ้ามาเผื่อ แต่คุณน่ะสิไม่เอาอะไรมาเลยนอกจากปืนกับแผนที่”
“ชั้นตั้งใจว่าจะรีบไปหาโลหะศักดิ์สิทธิ์ให้เจอแล้วจะได้รีบกลับ ไม่ได้คิดว่าจะต้องมาติดอยู่ในป่าซะหน่อย…ฮัดชิ้ว”
ยงยุทธเห็นดาราจามก็เป็นห่วง เอาเสื้อแจ็คเก็ตมาสวมทับให้อีกชั้นนึง
“ไม่ทันไรหวัดจะถามหาแล้ว”
ดาราเผลอมองยงยุทธที่ดูแลเป็นห่วงเป็นใยใจเต้นตึกตัก
“ขอบใจนะ” ดารารู้สึกใจเต้นไม่เป็นส่ำหันไปเอามือผิงไฟกลบเกลื่อนความรู้สึกแต่ก็เผลอใกล้ไฟเกินไปทำเอาร้อนมือผ่าวๆ “โอ๊ย! ร้อนๆๆๆ”
ยงยุทธรีบจับมือดารามาเป่า
“ระวังหน่อยสิ เดี๋ยวมือก็พองหรอก”
ยงยุทธเป่ามือให้ดาราจนเธอรู้สึกหายร้อน ดาราจึงดึงมือกลับ
“ขอบใจนะยงยุทธ”
“วันนี้คุณเป็นอะไรไป ดูท่าทางคุณกลัวที่จะอยู่ใกล้ผม” ยงยุทธถามอย่างสงสัย
“ชั้นเปล่านะ”
“ดารา…ผมดูออกนะ เพราะขุนเดชใช่มั้ย” ดาราชะงัก “ถ้าคุณลำบากใจที่เราสองคนจะมาอยู่กันตามลำพังแบบนี้ ในเมื่อคุณกับขุนเดชยังคบหากันอยู่ คืนนี้ผมจะไปนอนตรงโน้น คุณจะได้สบายใจ”
ยงยุทธพูดอย่างตัดพ้อและน้อยใจแล้วลุกเดินออกไปทำให้ดารามองตามอย่างหนักใจ

ยงยุทธล้มตัวลงนอนหัวหนุนเป้ตัวเองสีหน้าเศร้าๆ ระหว่างนั้นดาราเดินเข้ามาใกล้ ยงยุทธรู้ตัวแต่ไม่หันไป
“ที่นอนคุณผมดูให้แล้ว รับรองไม่มีมดไม่มีแมลงมารบกวนคุณแน่”
ดารามองยงยุทธนิ่งแล้วตัดสินใจ
“ยงยุทธ…ชั้นอยากให้เธอรู้ไว้นะว่า…ชั้นรักขุนเดช”
ยงยุทธหน้าเสียยิ่งเจ็บปวด
“ผมรู้ มันเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เราเป็นเด็กแล้ว และผมก็คงไปเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้”
“ใช่ ชั้นรักขุนเดชมานานมากและก็จะรักขุนเดชตลอดไป ในฐานะที่เขาคือเพื่อนที่ดีที่สุด” ยงยุทธชะงักแล้วรีบหันกลับมาที่ดาราอย่างไม่เชื่อหู “ตอนนี้ระหว่างชั้นกับขุนเดช เรามีแต่คำว่ามิตรภาพที่ดีต่อกันเท่านั้น ถ้ามากกว่านั้นมันเป็นไปไม่ได้”
“หมายความว่าคุณกับมัน?…เกิดอะไรขึ้นเหรอดารา” ยงยุทธถามอย่างสงสัย
“อย่าถามชั้นเลยนะยงยุทธ” ดาราถอดเสื้อแจ็คเก็ตคืนให้ “ชั้นอุ่นขึ้นแล้วล่ะ…ขอบใจนะ” ดาราให้ยงยุทธรับเสื้อไป แต่ยงยุทธกลับตามไปสวมกอดเธอจากด้านหลัง ดาราชะงักอึ้ง “ยงยุทธ”
“ผมขอโทษ...แต่ผมไม่รู้จะทำยังไงแทนคำพูดที่ผมอยากจะบอกคุณ ขอแค่หนึ่งนาทีที่ผมจะกอดคุณไว้แบบนี้แทนความในใจที่ผมมี...ได้มั้ยดารา”
ดารานิ่งไปครู่ก่อนจะหันกลับมาแล้วซบหน้าลงที่แผ่นอกเขาอย่างน้ำตาคลอ

ภายในห้องเก็บสมบัติโบราณของปราชญ์ ธรรมจักรสัมฤทธิ์ถูกนำมาตั้งไว้ที่ทิศอาคเนย์ (ตะวันออกเฉียงใต้)
ประดับนั่งอยู่ที่กลางวงพิธีให้อาจารย์ก้องเกียรติทำพิธีเรียกพลังเหนือธรรมชาติของโลหะศักดิ์สิทธิ์โบราณจากธรรมจักรสัมฤทธิ์ให้ไหลเข้าสู่ร่างของประดับและสะกดมันไว้ให้อยู่แต่ในนั้น
อีกห้องคุณหญิงถูกแจ็คจับแขนพามาส่งที่ห้อง
“ปล่อยชั้นได้แล้ว...ไอ้สารเลว”
แจ็คยิ้มชอบใจเชยคางคุณหญิงแล้วหัวเราะออกไป คุณหญิงมองตามเจ็บใจแต่ทำอะไรไม่ได้
“คุณแม่คะ”
“ยัยปา”
สองแม่ลูกโผเข้าสวมกอดกันแล้วร้องห่มร้องไห้ปานจะขาดใจด้วยกันทั้งคู่
“เราจะต้องโดนมันข่มเหงรังแกแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่คะคุณแม่”
“แม่…แม่ไม่รู้…ฮือๆๆๆ เวรกรรมอะไรของชั้น…ชั้นไม่อยากโดนรังแกแบบนี้อีกแล้ว”
“ปาก็เหมือนกันค่ะคุณแม่…ปาอยากตาย…ฮือๆๆๆ”
สองแม่ลูกกอดกันร้องไห้น่าเวทนาในเวรกรรมที่ได้รับ

ที่พิธีกรรมรวบรวมโลหะศักดิ์สิทธิ์ พลังอำนาจจากธรรมจักรสัมฤทธิ์ถูกอาจารย์ก้องเกียรติเรียกออกมาให้เข้าสู่ร่างของประดับ ประดับหัวเราะอย่างพอใจ
“ผมรู้สึกดีจริงๆ อาจารย์ก้องเกียรติ นี่ขนาดยังขาดโลหะศักดิ์สิทธิ์อีกหนึ่งชิ้น แต่ผมก็รับรู้ได้ถึงอำนาจอันยิ่งใหญ่ที่ผมจะได้ครอบครองในอีกไม่นาน ฮ่าๆๆๆ” อาจารย์ก้องเกียรติมองประดับที่ฮึกเหิมแล้วแอบมีสีหน้าหนักใจ “ทำไมอาจารย์มองผมด้วยสายตาแบบนั้น”
“เปล่าไม่มีอะไร”
ประดับไม่พอใจกระชากคอเสื้ออาจารย์ก้องเกียรติ
“หรือว่าอาจารย์ยังคาใจเรื่องที่ผมทำไว้กับท่าน”
“ผมรู้สึกผิด...ผิดที่ช่วยให้คนอย่างคุณได้เป็นสัตตะโลหะบุรุษ” อาจารย์ก้องเกียรติโพล่งออกมา
ประดับฉุนเลยชกหน้าอาจารย์ก้องเกียรติจนล้มเลือดซิบมุมปาก
“อย่างไอ้แก่นั่นมันไม่ได้เหมาะที่จะมีอำนาจบารมีอีกแล้ว ชั้นต่างหากที่เหมาะ”
“แต่คุณมันโหดเหี้ยมเกินไป ยิ่งถ้าผมช่วยให้คุณยิ่งใหญ่จนไม่มีใครทำอะไรคุณได้ ผมจะยิ่งรู้สึกผิด”
ประดับยิ่งโมโหเลยชักปืนออกมาแล้วเล็งอาจารย์ก้องเกียรติ
“อาจารย์ก็รู้เรื่องประวัติศาสตร์ดี…ตอบผมมาหน่อยสิ นโปเลียน เจงกิสข่าน ฮิตเล่อร์ จอมคนที่ยิ่งใหญ่พวกนั้นมีใครที่อ่อนแอ ไม่เด็ดขาดบ้าง”
“มันก็ใช่…แต่คนพวกนั้นขึ้นมายิ่งใหญ่ได้ต้องมีคนตายเป็นแสนเป็นล้าน”
“ยังไงคนมันก็ต้องตายทุกวันอยู่แล้ว และถึงแม้ทุกคนจะถูกตราหน้าว่าเป็นคนโหดเหี้ยม แต่ชื่อของพวกเขาก็ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์…ใช่มั้ยอาจารย์” อาจารย์ก้องเกียรติพยักหน้ารับ “หึๆๆ…ผมไม่สนหรอกว่าผมจะถูกตราหน้าว่ายังไง แต่ถ้าชื่อผมจะถูกจารึกไว้ในประวัติ ศาสตร์ว่าผมคือจอมคนที่เหนือกว่าพวกนั้น ผมจะแลกทุกอย่าง…ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตคนอีกเป็นร้อยเป็นพันเพื่อให้ได้โลหะศักดิ์สิทธิ์ชิ้นสุดท้าย ผมก็จะทำ”
“งั้นผมก็คงห้ามคุณไม่ได้แล้ว”
“ถูกต้อง อาจารย์ต้องสนับสนุนผม เราจะได้ยิ่งใหญ่ไปด้วยกัน ทีนี้ก็บอกผมมาได้แล้ว โลหะศักดิ์สิทธิ์ชิ้นสุดท้ายคืออะไร”
อาจารย์ก้องเกียรติมองหน้าประดับ

ขุนเดชเดินมาส่งบัวทองที่หน้าบ้านคำปัน
“ส่งชั้นแค่นี้ก็พอแล้วจ้ะพี่ขุนเดช”
ขุนเดชมองเข้าไปในบ้าน
“น้าคำปันเข้าวัดปฏิบัติธรรม แล้วมีใครอยู่เป็นเพื่อนบัวทองรึเปล่า”
“ลุงจ่ามาอยู่ด้วยจ้ะ อีกเดี๋ยวแกก็คงกลับมาแล้ว พี่ขุนเดชกลับไปพักผ่อนเถอะ”
ขุนเดชพยักหน้ารับ
“นอนหลับฝันดีนะบัวทอง”
ขุนเดชเดินออกไป บัวทองมองตามแล้วเอามือแตะที่สร้อยคอพระร่วงนั่งเนื้อเหล็กดำที่สวมคออยู่
“พี่ขุนเดชจ้ะ”
“มีอะไรเหรอบัวทอง”
“ขอชั้นดูดาบดำของพ่อพี่หน่อยได้มั้ย”
ขุนเดชมองอย่างสงสัย
“บัวทองอยากดูดาบของพ่อพี่ทำไม”
“ขอชั้นดูหน่อยเถอะ...นะพี่ขุนเดช”
บัวทองแบมือขอดูดาบ ขุนเดชมองดาบดำตัวเองแล้วนิ่งไป จนเมื่อบัวทองชักออกมาก็ปรากฏเป็นดาบดำหัก
อ่านต่อหน้าที่ 4




ขุนเดช ตอนที่ 19 (ต่อ)

ที่คฤหาสน์ของปราชญ์ ประดับมองอาจารย์ก้องเกียรติอย่างสงสัยเมื่อรู้ว่าโลหะศักดิ์สิทธิ์ชิ้นสุดท้ายคืออะไร
“ว่าไงนะอาจารย์ โลหะศักดิ์สิทธิ์ชิ้นสุดท้ายคือดาบดำ อาวุธของทหารพระร่วงเหรอ”
“ใช่…มันคืออาวุธที่ทรงอานุภาพ มีพลังเหนือศาสตราวุธทั้งปวง ยิ่งถ้าเป็นดาบดำของวีรบุรุษบาปยิ่งต้องได้มาทำพิธี”
“ทำไมต้องเป็นดาบดำของมันด้วย”
“ดาบดำของมันผ่านการลงทัณฑ์ ส่งวิญญาณคนเก่งๆ มีฝีมือให้ลงนรกมาแล้วมากมาย วิญญาณของพวกนั้นอาจจะอยู่ในนรก แต่พลังของความอาฆาตแค้นไม่ได้ตามลงนรกไปด้วย มันยังสถิตย์อยู่ในดาบดำเล่มนั้น”
“มิน่าล่ะ…ทุกครั้งที่มันฆ่าคนที่เราส่งไปจัดการ มันถึงได้ดูเก่งกาจขึ้นไปด้วย เวลาที่กำนันบุญใช้อาคมเล่นงานมัน มันก็รอดไปได้เพราะดาบดำของมัน”
“ถ้าคุณอยากเป็นสัตตะโลหะบุรุษ คุณต้องเอาดาบดำของวีรบุรุษบาปมาให้ได้ เพราะมันคืออาวุธชิ้นเดียวที่สร้างและทำลายสัตตะโลหะบุรุษได้”
ประดับหันมาหรี่ตาร้ายกาจ
“ดาบดำของไอ้วีรบุรุษบาป หึ! ชั้นไม่ปล่อยให้แกใช้ดาบดำมาทำลายชั้นได้หรอก”

บัวทองดูดาบดำหักของขุนเดชแล้วคืนให้
“มีอะไรเหรอบัวทอง ทำไมอยู่ๆ ก็มาสนใจดาบของพ่อพี่”
“พระร่วงนั่งที่พี่ให้ชั้นติดตัวไว้ป้องกันภัย ถูกหล่อขึ้นมาจากเหล็กเดียวกับดาบเล่มนี้ใช่มั้ยจ้ะ”
“ใช่…ตอนที่พ่อพี่ตีดาบเล่มนี้ขึ้นมา พ่อเอาเหล็กที้ใช้ตีดาบมาหล่อเป็นพระร่วงนั่งไว้คุ้มครองป้องกันภัย”
“งั้นที่พี่เคยบอกชั้นว่าพ่อพี่จะคอยช่วยปกป้องภัยให้ชั้น ดาบหักของพ่อพี่ก็คงจะปกป้องพี่ด้วยใช่มั้ย”
“ที่แท้บัวทองก็เป็นห่วงพี่”
“จ้ะ…ชั้นอยากจะคืนพระร่วงนั่งให้พี่ แต่พี่ไม่ยอมรับคืน”
“ขอบใจนะบัวทอง…พี่ดูแลตัวเองได้ พี่ไปนะ”
ขุนเดชจะเดินออกไป บัวทองตัดสินใจตามเข้าไปกอดเขาจากข้างหลังทำเอาขุนเดชชะงัก
“พี่ขุนเดช…ชั้นอยากให้พี่ขุนเดชกับวีรบุรุษบาปเป็นคนเดียวกัน”
“ทำไมพูดแบบนั้นล่ะบัวทอง”
“ก็ชั้นไม่อยากให้พี่ต้องอยู่คนเดียว”
“เด็กโง่เอ้ย…พี่ไม่อยู่คนเดียวหรอก ถึงบัวทองจะรักพี่น้อยกว่าคนอื่น แต่ไม่ว่าพี่จะไปอยู่ที่ไหน พี่ก็จะเฝ้าดูบัวทอง สัญญาว่าจะไม่มีวันไหนเลยที่พี่จะไม่คิดถึงบัวทอง” ขุนเดชช่วยปาดน้ำตาที่ซึมบนใบหน้าบัวทองอย่างอ่อนหวาน แล้วได้ยินเสียงจ่าแท่นดังเข้ามา “อาจ่ามาแล้ว…พี่กลับนะ”
ขุนเดชยิ้มให้แล้วเดินจากไป บัวทองมองตามอย่างเสียใจ

วันต่อมา ดาราเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดเดิมที่ตากแห้งเรียบร้อยแล้วและเข้ามาใกล้ยงยุทธที่ยังหลับอยู่
ดารามองยงยุทธด้วยสายตาแห่งความสุขและดีใจจนตื้นตัน ลูบผมเขาอย่างทะนุถนอม
“ขอบคุณมากนะยงยุทธที่ทำให้ชั้นรู้สึกว่าชั้นเป็นสิ่งเดียวในโลกที่สำคัญที่สุดสำหรับคุณ”
ดาราก้มลงไปหอมหน้าผากยงยุทธเบาๆ แล้วหยิบเป้เดินจากไป

ดาราเดินตามแผนที่ของขุนเดชเข้ามายังโบราณสถานรกร้างในป่าและพยายามตามหาหัวสิงห์ตะกั่วโลหะศักดิ์ สิทธิ์ตามที่ขุนเดชบอกมา แต่หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ
“มันน่าจะอยู่แถวนี้ไม่ใช่เหรอ”
ดาราเริ่มมีสีหน้าสงสัย ระหว่างนั้นได้ยินเสียงคนเข้ามา ดารารีบหยิบปืนจากเป้ออกมาระวังตัว
“ผมเองดารา”
“ยงยุทธ”
“ทำไมถึงมาที่นี่คนเดียว คุณควรจะให้ผมมาด้วยนะ”
“ชั้นไม่อยากกวนเธอ อีกอย่างกลัวว่าคนของพวกกำนันจะมาแย่งเอาไปก่อน”
“แต่ระหว่างทางที่ผมมา ผมไม่เจอรอยเท้าใครเลย แสดงว่ายังไม่มีใครมาที่นี่”
“ถ้ายังไม่มีใครมาที่นี่ แล้วโลหะศักดิ์สิทธิ์ชิ้นสุดท้ายที่ขุนเดชบอกมาอยู่ไหนล่ะ”
“คุณหาไม่เจอเหรอ”
ดาราพยักหน้ารับ
“ชั้นหาจนทั่วแล้ว ไม่มีร่องรอยเลย”
ยงยุทธมีสีหน้าครุ่นคิดได้ครู่
“ผมว่าโลหะศักดิ์สิทธิ์ชิ้นสุดท้ายมันไม่มีอยู่ที่นี่มาตั้งแต่แรกแล้ว”
“หมายว่ายังไงยงยุทธ”
“เราโดนไอ้ขุนเดชมันหลอกน่ะสิ”

ทางด้านขุนเดช ขณะนั้นกำลังนอนกระสับกระส่ายอยู่ในกระท่อมเพราะฝันถึงสิ่งที่กำลังกังวล ขุนเดชฝันเห็น
วีรบุรุษบาปต่อสู้กับแจ็คและถูกหมัดสั่งตายเล่นงานจนเกือบปางตาย...ขุนเดชสะดุ้งลุกขึ้นมาเหงื่อแตกเต็มหน้า แล้วหุนหันหยิบดาบดำของวีรบุรุษบาปที่วางอยู่ข้างตัวขึ้นมาชักออกจากฝัก หน้าตาขึงขังเอาจริง

คำปันนั่งสวดมนต์ภาวนาอยู่ในโบสถ์ แต่จิตใจกลับไม่สงบ สวดมนต์จบก็ถอนใจออกมาเฮือกใหญ่
“ถ้าจิตโยมยังไม่สงบ ไม่ว่าจะปฏิธรรมยังไงก็ไม่มีทางค้นพบทางออกที่ต้องการหรอกโยม”
“หลวงลุง”
“อาตมาเห็นโยมเข้าวัดมาปฏิบัติธรรมหลายวันแล้ว มีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจอะไรอยู่เหรอ”
“เอ่อ…คือ”
“ถ้าพูดไม่ได้ก็ไม่เป็นอะไร แต่อย่าลืมว่าความจริงคือสัจจะ ไม่ว่าจะหลีกจะเลี่ยงยังไง ทุกชีวิตก็ต้องเวียนว่ายอยู่ในทางของสัจจะ”
“ดิชั้นเข้าวัดตั้งใจปฏิบัติธรรมเพื่อเผื่อแผ่กุศลให้กับขุนเดชเจ้าค่ะหลวงลุง”
“ขุนเดช…ทำไมโยมต้องแผ่กุศลให้ขุนเดชด้วย”
คำปันหน้าเครียดพนมมือมองหลวงลุงอย่างยากที่จะตัดสินใจพูด

ขุนเดชออกมาจากกระท่อมกวัดแกว่งดาบดำ ฟาดฟันอากาศอย่างบ้าคลั่ง เชิงดาบหนักหน่วงแต่อยู่บนความ หวาดระแวงกับคู่ปรับที่มองไม่เห็นว่าจะสามารโค่นมันได้ยังไง
“ชั้นจะไม่ยอมตายเพราะหมัดสั่งตายของแกเด็ดขาด...ไอ้แจ็ค”
ขุนเดชฟาดฟันดาบจนเหนื่อยหอบ แต่ก็ไม่หยุดฮึดลุกขึ้นมาฟาดฟันดาบดำกลางอากาศอีก ระหว่างนั้นเสียงคน เดินเข้ามาขุนเดชหันปลายดาบดำไปชี้หน้า
“ไอ้แจ็ค”
แจ็คยิ้มร้ายใส่ขุนเดชแล้วชักดาบออกมาชี้ไปที่ขุนเดชเหมือนกัน
“วันนี้คือวันตายของแก”
แจ็คฟาดดาบใส่ ขุนเดชยกดาบดำขึ้นมารับ งัดแรงใส่กันอย่างเต็มที่ จนขุนเดชดันมันกระเด็นแล้วเปิดฉากฟาด ฟันกันด้วยเชิงดาบอย่างรุนแรง หนักหน่วงและมันส์สุดๆ

ทางด้านคำปัน เธอตัดสินเล่าความจริงให้หลวงลุงรู้
“ขุนเดชคือวีรบุรุษบาปเจ้าค่ะหลวงลุง”
หลวงลุงอึ้งไปทันที
“ว่ายังไงนะโยม”
คำปันน้ำตาซึมด้วยความเสียใจ
“ดิชั้นรู้เรื่องนี้มาได้สักพักนึงแล้ว และพยายามขอร้องให้ขุนเดชหยุด แต่ดิชั้นก็ทำให้เขาหยุดไม่ได้ ทางเดียวที่พอจะช่วยได้ก็หวังพึ่งบุญกุศลเผื่อแผ่ให้เวรกรรมของเขา ผ่อนหนักเป็นเบาเจ้าค่ะ”
หลวงลุงมีสีหน้าหนักใจขึ้นมาทันที
“ในที่สุด…สิ่งที่หลวงพ่อสุขเป็นห่วงก็หนีไม่พ้นความจริง ขุนเดชเอ็งไม่น่าเลย”
“หลวงลุงคะ พวกเราทุกคนรักขุนเดช แต่ไม่มีใครห้ามขุนเดชได้ แต่ถ้าเป็นหลวงลุง บางทีเขาอาจจะฟัง” คำปันรีบเข้าไปกราบแทบเท้าหลวงลุง “ช่วยขุนเดชด้วยเถอะค่ะหลวงลุง”
หลวงลุงมองคำปันแล้วมองไปที่พระพุทธรูปในโบสถ์อย่างครุ่นคิด

ขุนเดชสู้กับแจ็คด้วยเชิงดาบแลกกันฟาดฟันใส่อย่างไม่มีใครยอมใคร แจ็คฟันอย่างหนักหน่วงและได้เปรียบ แต่ขุนเดชก็ใช้เชิงดาบตวัดจนดาบในมือแจ็คกระเด็นไปปักพื้น แจ็คเหลือแค่มือเปล่า
“ดาบดำของชั้นจะลงทัณฑ์คนบาปอย่างแกด้วยความตาย” ขุนเดชร่ายรำเพลงดาบเดือนดับ “ฟ้า…ดินเป็นพยาน…ดาบเดือนดับ”
ขุนเดชปรี่เข้าไปใช้เพลงดาบเดือนดับฟันใส่แจ็ค แต่กลับถูกแจ็คใช้มือเปล่ารับดาบอย่างง่ายดาย...หมับ!
“ไม้ตายของแก..ใช้กับข้าไม่ได้หรอก”
แจ็คถีบขุนเดชกระเด็นแล้วเหวี่ยงดาบดำทิ้ง ขุนเดชเจ็บจุกแต่ก็รีบลุกขึ้นมาใช้มือเปล่าเข้าปะทะเชิงมวยกับแจ็คต่อ สองคนถาโถมทั้งหมัดเข่าศอกแลกกันไม่มีใครยอมใคร

หลวงลุงเดินเข้ามาที่กระท่อมมองหาขุนเดช
“ขุนเดช...ไอ้ขุนเดช”
หลวงลุงหาขุนเดชไม่เจอก็แปลกใจ ระหว่างนั้นได้ยินเสียงขุนเดชอยู่อีกด้านของกระท่อมจึงเดินไปดู แล้วหลวงลุงก็เห็นขุนเดชกำลังต่อสู้อยู่คนเดียว หลวงลุงมองอย่างแปลกใจ
“ขุนเดช”
ขุนเดชไม่ได้ยินหลวงลุงแต่จ้องเขม็งไปข้างหน้าซึ่งขุนเดชเห็นเป็นแจ็ค
“ชั้นจะไม่ยอมตายเพราะหมัดสั่งตายของแก”
ขุนเดชปรี่เข้าไปไล่ชกทั้งหมัดเข่าศอกประเคนใส่ไม่ยั้งแต่ก็ทำอะไรแจ็คไม่ได้แถมยังถูกศอกกลับผงะกระเด็น
“แกจะต้องถูกฝังทั้งเป็นเพราะหมัดสั่งตายของข้า....หมัด...สั่ง...ตาย” แจ็คงัดท่าไม้ตายออกมา สันนิ้วกลางโหนกนูน ขุนเดชตั้งท่ารับอย่างเคร่งเครียด “ย๊ากกกกกกก”
แจ็คใช้หมัดสั่งตายพุ่งเข้าใส่ ขุนเดชสู้ไม่ได้โดนหมัดสั่งตายเล่นงานกระแทกเข้าที่ขมับอย่างแรงจนยืนตัวแข็ง แจ็คถอยออกมาหัวเราะเยาะใส่ ขุนเดชเข่าทรุดโงนเงน
แจ็คหันหลังให้แล้วเดินหายไป ซึ่งทั้งหมดคือภาพของแจ็คที่ขุนเดชหวาดกลัว ขุนเดชล้มลงหลวงลุงรีบเข้ามาที่ขุนเดชทันที
“ขุนเดช...ขุนเดช”
“หลวง...หลวงลุง”
ขุนเดชหมดสตินิ่งไป หลวงลุงมองแล้วถอนใจเฮือกใหญ่อย่างเวทนา

ขุนเดชนอนอยู่ที่แคร่หน้ากระท่อมมีคำปันเอาน้ำมาช่วยเช็ดหน้าเช็ดตาให้จนรู้สึกตัว
“น้า...น้าคำปัน”
“ขุนเดช...หลวงลุงเจ้าคะ...ขุนเดชรู้สึกตัวแล้ว”
ขุนเดชแปลกใจตัวเองนึกว่าตัวเองตายไปแล้วเพราะหมัดสั่งตาย เลยหันไปมองหลวงลุงที่ยืนอยู่ตรงโขดหิน
ขุนเดชเข้ามากราบหลวงลุง
“ขอบคุณหลวงลุงมากครับที่มาช่วยชีวิตผมไว้”
หลวงลุงหันมาถอนใจ
“เฮ้อ...ข้าไม่ได้ช่วยอะไรเอ็งเลยนะขุนเดช”
“แต่ผมจำได้ว่าผมถูก...”
“เอ็งไม่ได้ถูกใครทำร้าย ทั้งหมดที่เอ็งเห็นและกำลังต่อสู้อยู่ มันคือความหวาดกลัว ความแค้นที่ฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกของเอ็งกับวีรบุรุษบาปต่างหาก”
ขุนเดชชะงักไป
“หลวงลุง”
“น้าขอโทษด้วยนะขุนเดช น้าจำเป็นต้องเล่าความจริงให้หลวงลุงฟัง เพราะน้าอยากช่วยขุนเดชให้พ้นจากเวรกรรม”
“เอ็งโกหกข้าตั้งแต่วันที่เอ็งกลับมาอยู่ที่ศรีสัชนาลัยแล้วใช่มั้ย”
“ผมกราบขอขมาหลวงลุงที่ต้องโกหกมาตลอด แต่ชีวิตผมถูกลิขิตให้เป็นทหารพระร่วง ผมถึงเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องเป็นเพชรฆาตตามเข่นฆ่าพวกคนบาป”
“แล้วถ้าข้าจะขอบิณฑบาตให้เอ็งเลิก...เอ็งจะยอมฟังข้ามั้ย”
ขุนเดชนิ่งไป คำปันเข้าไปจับแขนขุนเดชด้วยสายตาวิงวอนอีกคน

อีกด้านหนึ่งยงยุทธพาดารากลับมาที่บ้านคำปัน
“พี่ขุนเดชน่ะเหรอจ้ะ หลอกให้อาจารย์กับหมวดไปตามหาโลหะศักดิ์สิทธิ์ด้วยกัน”
บัวทองถามอย่างแปลกใจ ดารากับยงยุทธมองหน้ากันแล้วมีอาการเขินๆ กันเองจนบัวทองอดยิ้มขำตามไม่ได้ ดารารีบตีแขนบัวทอง
“หัวเราะอะไรบัวทอง”
“เปล่าค่ะอาจารย์”
“แต่ชั้นเห็นเธอขำนะ หึ…คอยดูนะ…ชั้นจะตามไปเอาเรื่องขุนเดชที่ทำให้ชั้นต้องไปติดอยู่ในป่าทั้งคืน โดนทั้งมดกัดแถมยังเกือบจมน้ำตาย”
“แต่ผมคงไม่ไปเอาเรื่องมันหรอก”
“ทำไมล่ะยงยุทธ”
ยงยุทธไม่ตอบ บัวทองเลยช่วยตอบแทนให้
“ก็ถ้าพี่ขุนเดชไม่เปิดทางให้ หมวดกับอาจารย์จะมีโอกาสปรับความเข้าใจกันเหรอคะ”
ยงยุทธชอบใจที่บัวทองพูดเลยแอบยกนิ้วโป้งให้ ดาราหันมางอนยงยุทธแอบตีแขน
“นี่แน๊ะยงยุทธ”
ดาราหันมาหยอกล้อกับยงยุทธ ตอนแรกบัวทองยิ้มที่เห็นทั้งคู่มีความสุข แต่นึกไปแล้วก็อดสงสารขุนเดชขึ้นมา ไม่ได้เหมือนกัน ระหว่างนั้นจ่าแท่นเข้ามา
“อ้าว...หมวด…อาจารย์ กลับกันมาแล้วเหรอครับ ตกลงเป็นยังไงกันครับ”
“เรื่องมันยาวน่ะจ่าเดี๋ยวไว้ผมเล่าให้ฟัง”
“ครับผม…งั้นผมขอรายงานเรื่องที่ผมไปรู้มาให้หมวดทราบก่อนแล้วกันนะครับ”
“มีอะไรเหรอจ่า”
“มีข่าวมาว่าไอ้แจ็คมันกลับมาที่ศรีสัชนาลัยอีกแล้วน่ะสิครับหมวด”
“ว่าไงนะจ่า”
ยงยุทธตกใจกับสิ่งที่จ่าแท่นบอก

ขุนเดชมีสีหน้าเคร่งเครียดต่อหน้าหลวงลุงและคำปัน
“ตอบหลวงลุงไปสิขุนเดช พวกเราทุกคนไม่มีใครอยากเห็นขุนเดชทำบาปทำกรรมต่อไปอีกแล้ว”
“ผมอยากหยุดฆ่าคนครับหลวงลุง”
“ขุนเดช”
“แต่ถึงวันนี้ผมจะบอกหลวงลุงว่าผมยอมหยุด แต่บาปกรรมที่ผมทำไว้มันก็ไม่ได้หายไปไหน ยังไงผมก็ต้องตามไปชดใช้ในนรก เพราะฉะนั้นผมคงทำตามที่หลวงลุงขอบิณฑบาตไม่ได้”
“ขุนเดช...นี่ขนาดน้าขอให้หลวงลุงมาช่วยพูดแล้ว เธอยังไม่ฟังอีกเหรอ ทำไมล่ะขุนเดช...ทำไม”
คำปันเขย่าแขนขุนเดชแล้วน้ำตานองหน้า ขุนเดชเอาแต่เงียบไม่พูดสักคำ
“พอเถอะโยมคำปัน ที่ขุนเดชพูดมามันคือความจริง ที่อาตมาก็ไม่สามารถไปเปลี่ยนวิถีแห่งความจริงได้”
“แต่หลวงลุงคะ”
“ไม่มีใครหลีกหนีเวรกรรมพ้น บาปใดใครก่อมันผู้นั้นย่อมต้องชดใช้ต่อบาป เมื่อขุนเดชคิดว่าตัวเองยอมรับต่อบาปและเห็นว่ามันคือหน้าที่ที่ต้องสานต่อให้จบ อาตมาก็คงไปเปลี่ยนใจขุนเดชไม่ได้”
ขุนเดชเข้าไปกราบแทบเท้าหลวงลุง
“ผมกราบขอบคุณหลวงลุงครับ ถ้ามือผมไม่เปื้อนเลือด คนบาปก็จะไม่รู้จักความกลัว”
ขุนเดชกราบเท้าหลวงลุงแล้วหันไปหยิบดาบดำขึ้นมามองดาบดำอย่างแน่วแน่แล้วลุกเดินออกไป
“หลวงลุงคะ...ห้ามขุนเดชเถอะค่ะ...หลวงลุง”
หลวงลุงยังนิ่ง คำปันเลยรีบตามไป

คำปันรีบตามขุนเดชที่ยังไปไม่พ้นกระท่อม
“เดี๋ยว…ขุนเดชจะไปไหน”
“อีกไม่นานหน้าที่ของผมก็จะจบลงแล้วครับน้า แต่พวกมันแข็งแกร่งมากกว่าที่ผมจะรับมือได้ ผมจำเป็นต้องฝึกเพลงดาบเดือนดับเพิ่มเติมเพื่อไม่ให้มีข้อผิดพลาดอีก”
หลวงลุงเดินตามมา
“แต่ข้าเคยได้ยินเรื่องเพลงดาบเดือนดับมาจากนายเดื่อง มันมีคำเตือนที่เอ็งไม่ควรจะมองข้ามไป”
“ผมทราบครับหลวงลุง”
ขุนเดชชักดาบดำออกจากฝักแล้วเพ่งมองสีหน้าจริงจังเมื่อนึกถึงอดีตตอนที่ขุนเดชเคยแอบดูพ่อฝึกเพลงดาบเดือนดับแล้วพยายามฝึกตาม จนถูกพ่อตีแล้วสอนเรื่อง ไม่ให้ฝึกเพลงดาบเดือนดับ เพราะถ้าฝึกไม่ดีจะเสพติดการฆ่า
ขุนเดชหันกลับมาที่หลวงลุงทั้งคู่สบตากัน จนคำปันสงสัย
“คำเตือนอะไรเหรอขุนเดช”
“เพลงดาบเดือนดับเป็นเพลงดาบของเพชรฆาตโบราณ ผู้ที่ฝึกเพลงดาบนี้ถ้าจิตใจไม่เข้มแข็งพอจะกลายเป็นผู้เสพติดการฆ่า กระหายเลือดไม่ต่างจากสัตว์ป่าครับน้าคำปัน”
คำปันตกใจ
“ขุนเดช…ความแค้น ความจงเกลียดจงชังของเอ็งต่อคนบาป และวิญญาณของพวกคนบาปที่เอ็งฆ่ามันฝังอยู่ในดาบดำเล่มนี้ ข้าเตือนเอ็งไว้ก่อนว่าถ้าเอ็งควบคุมไม่ได้ ผลที่จะตามมาจะทำให้เอ็ง…”
“ผมทราบครับ แต่ผมต้องทำให้ได้ครับหลวงลุง…ผมลาล่ะครับ”
ขุนเดชยกมือไหว้หลวงลุง และมองคำปันอย่างตัดสินใจก่อนจะเดินออกไป คำปันน้ำตาไหลอาบแก้ม
“ขุนเดช”
จบตอนที่ 19 
ติดตามอ่านขุนเดชตอนต่อไป พรุ่งนี้



กำลังโหลดความคิดเห็น