ดอกโศก ตอนที่ 21 อวสาน
ภักดิ์ภูมิยืนคุยกับป้อม เสียงเบาๆ ขณะที่ดอกโศกนอนบนเก้าอี้ยาวหลับอยู่ สามคนอยู่ที่บ้านภักดิ์ภูมิ
“แอนเจล่าออกจากงานไปนานแล้ว” ภักดิ์ภูมิบอก
ป้อมพยักหน้ารับรู้ “อ๋อ....เหรอครับ”
“คุณเป็นเพื่อน?” ภักดิ์ภูมิพูด เป็นเชิงถาม
“เพื่อนตั้งแต่โศกยังเด็ก เราโตมาด้วยกันแต่ตอนโตไม่ค่อยได้พบกัน แต่เราก็ยังเป็นเพื่อนที่สนิทกันที่สุด” ป้อมบอก
“อ๋อ...ดีครับ แอนเจล่าเป็นคนขยัน ทำงานดี”
“เขาดีใจมากที่ได้ทำงานกับคุณ เขาออกทำไมคุณทราบมั้ย”
“อาจจะเป็นเพราะ....แฟนของแอนเจล่าที่ชื่ออัศนัย ไม่อยากให้เธอทำงาน”
ป้อมนึกรู้ทันที “อ๋อ คุณนัย”
“คุณรู้จัก?”
“ผมรู้จัก” ป้อมมีสีหน้าเฉยลง “เขาก็ดี...เขารักโศก แต่บางครั้งก็รักมากไป”
ภักดิ์ภูมิสีหน้าหมองลง ป้อมลอบมองจับกิริยา
ในเวลาเดียวกัน สมหมายกระโจนลงจากเรือน วิ่งเตลิดออกมาพรวดเดียวถึงหน้าปากซอย ถามใครต่อใครจ้าละหวั่น ด้วยน้ำเสียงร้อนรน
“พ่อ...พ่อ ใครเห็นพ่อมั่ง ป้าจาด เห็นตาหวังมั้ย พี่ปองล่ะ เห็นมั้ยว่ากลับมายัง”
ด้านสมปองอยู่ที่ปั๊มน้ำมัน ไม่สำเหนียกสักนิดว่าเกิดเรื่องร้ายกับแม่ และยังคงตั้งหน้าตั้งตาโบก...โบกสุดตัว พร้อมกับร้องเรียกรถราที่วิ่งอยู่ ด้วยเสียงดังลั่น
“เชิญคร๊าบ..น้ำมันบริสุทธิ์ กลั่นอย่างดีคร๊าบ...เชิญคร๊าบ”
รถยนต์คันหนึ่ง แล่นจะเลย เบรกดังเอี๊ยด แล้วถอยเข้าปั้ม
สมปองโค้งแล้วโค้งอีก “ขอบคุณคร๊าบ...”
มีรถแล่นมาอีกคัน สมปองโบก รถแล่นเลยไป สมปอง มองไปเห็นถนนว่าง จึงไปนั่งพัก ล้วงกระเป๋าแกะหมากฝรั่งมาใส่ปาก เอาผ้าเช็ดหน้าสีขาวประจำตัวเช็ดตา พอจะลุก เจ้ยืนจ้อง
“อ้าว...เจ้เกียว”
เจ้จ้อง
“มีอะไรเจ้”
“ทำไมไม่ทำงาน” เจ้จ้องหน้าเขม็ง
“ทำตลอดเพิ่งนั่งพักเนี่ย”
“จ้างมาทำงานไม่ได้จ้างมานั่งพักนะ” เจ้ใส่ไม่ลดละ
สมปองพยายามกลั้นสะกดอารมณ์ บอกดีๆ “ฉันเพิ่งพัก แค่สองสามนาที”
“สองสามนาที รถแล่นผ่านไปเป็นสิบๆ คัน เสียโอกาสไปแค่ไหน” เจ้บอก
สมปองฉุน สวนออกไป “อ้าว เจ้จะไม่ให้พักเลยเหรอ”
“พักได้ แต่ตอนนี้มันรัดอาว” เจ้เดาะพูดฝรั่ง rush hour แต่สำเนียงไม่ผ่าน “มันเสียโอกาส”
สมปองงง “อะไรรัดอาว”
“ก็.....รัดอาวน่ะ รถเยอะ เนี้ย ห้าโมงเย็นมันไม่ควรพัก รถผ่านไปตั้งหลายคัน” เจ้ว่า
สมปองเริ่มอารมณ์มากรุ่นๆ “ได้...ต่อไปฉันจะไม่พักตอนรัดอาวแล้ว”
เจ้ไม่ยอมจบ ยังวอนต่อ “ไม่เห็นต้องให้บอกเลยน่าจะรู้ พักมากี่วันแล้วล่ะ ดีนะที่มาเห็นไม่งั้นจะเสียโอกาสไปอีกเท่าไหร่”
“เจ้....เอายังไงอีก จะบ่นอะไรนักหนา”
“อ้าว ทำไมฉันจะบ่นไม่ได้ ฉันเป็นคนเสียผลประโยชน์”
สมปองฉุนขาด “มันมากมายนักเหรอฉันพักแค่นาทีสองนาที”
“นาทีสองนาที แต่ทุกวันก็เป็นชั่วโมงเหมือนกัน ทำงานให้ชั้นฟรีเหรอเปล่าล่ะ ชั้นต้องจ้างแกไม่ใช่เหรอ” เจ้ตอกกลับไม่ไว้หน้า
สมปองจ้องหน้า แล้วนิ่งไปอึดใจหนึ่ง
“มองอะไร ฟังรู้เรื่องรึเปล่า ชั้นเสียค่าจ้างนะ”
“ก็ไม่ต้องเสีย” สมปองตอกหน้ากลับ
“หมายความว่าไง” เจ้งง ไม่เข้าใจ
สมปองของขึ้นเต็มๆ “ก็หมายความว่าไม่ต้องเสียไงเว้ย....” เสียงดังลั่น
เจ้ยังงง
สมปองบอกชัดๆ “หมายความว่าชั้นลาออก....เข้าใจมั้ยอีเจ้ใจดำ” ถอดชุดเสือ ขว้างลงกับพื้นไม่แยแส เดินหนีไปต่อหน้าต่อตา
เจ้โวยลั่น “เฮ้ย....หยุดนะเว้ย ทำงี้ได้ไง นึกจะออกก็ออก แล้วมาเก็บชุดเนี้ย ถอดโยนไว้งี้ได้ไง”
วอนจะมีเรื่อง เดินตามกระชากไหล่ “ใครจะเก็บวะ”
สมปองหงุดกึก หันมาจับมือเจ้ บีบแน่น
“จ้างคนมาเก็บ....ค่าจ้าง...เอาค่าแรงวันนี้ของกูไป...กูไม่เอา ยกให้” สะบัดแขนเจ้แรงๆ จนเจ้เซหลุนๆ ไป
สมปองเดินอย่างองอาจออกจากปั้มไป
สมปองเดินมาจนถึงซอยปากทางเข้าบ้าน อารมณ์ปรี๊ดยังกรุ่นอยู่ บ่นพึมพำมาตลอดทาง
“อีเจ้มึงใจดำ แล้วยังเสือก” พูดได้แค่ครึ่งคำ “โง่อีก”
ป้าจาดเรียก ร้องบอก “เห็นไอ้หมายตามหาอยู่แน่ะ”
สมปองชะงัก “เรื่องไร ป้าจาด”
“ไม่รู้ พ่อเอ็งด้วยไปไหน” ป้าจาดมองไปเห็นสมหวังเรียกดังลั่น “ตาหวัง...เฮ้ย...ตาหวัง”
สมปองเดินโคลงเคลงไป
“มีอะไรป้า คิดถึงชั้นเรอะ”
ป้าจาดเหน็บเอา “โธ่เอ๊ย....หน้ายังไม่อยากมอง โน่น ไอ้หมายตามหาอยู่”
“ไม่ไปทำงานอีกแระ ไอ้หมายเดี๋ยวเหอะมึง” สมหวังพุ่งเข้าบ้านทันควัน
สมปองอารมณ์ค้าง เข้าบ้านมาตะโกนถามน้องชาย
“มีอะไรไอ้หมาย พูดให้สวยๆนะมึง วันนี้กูอารมณ์ไม่จอยเว้ย พูดผิดหูล่ะก็มีเรื่องถึงสวรรค์เลยมึง”
สมหมายหันมาตาแดงช้ำ “พี่ปอง”
สมปองชะงัก ร้อยวันพันปี ไม่เคยเป็น “อะไร....อ้าว แม่เป็นไร”
“พี่ปอง ชั้นว่าแม่แกตายแล้ว” สมหมายสะอื้นเฮือก
“ไอ้หมาย...ไอ้บ้า” สมปองไม่เชื่อ เบิ๊ดกะโหลก “ปากหรือนั่น” แต่ขณะที่พูดหน้าเหยเกแล้ว เพราะเห็นแม่นอนเงียบ และนิ่ง
สมหมายก้มหน้าซุกกับเข่า ร้องไห้เงียบๆ
“แม่” สมปองครางเบาๆ เข้าไปจ้อง หน้าตาเบี้ยวบูด ไม่กล้าดูแม่ เข้าไปจับมือ “แม่...แม่จ๋า”
ทว่าสมใจยังนอนเงียบกริบ
สมปองผวา “แม่...”
สมหมายบอก “แม่นอนเงียบตั้งนานแล้ว...แม่ตายแล้วพี่ปอง”
สมปองจับมือแม่ “แม่...ได้ยินมั้ย” คราวนี้เสียงดังขึ้น “แม่”
สมหวังวิ่งเข้ามา “ไอ้ปอง เสียงดังซะขนาดนี้มึงอยู่วังรึไงวะ เดี๋ยวก็โดนปาหลังคาหรอก”
สมหมายร้องไห้โฮ “พ่อ แม่ตายแล้ว”
สมปองสะอื้นแล้ว
“ฮะ...ว่าไงนะ” สมหวังหันไปมองสมใจ “เฮ้ย ตายได้ไง อะไรวะอยู่ดีๆ ลุกขึ้นมาตาย ไม่เคยมี มีแต่ในละครเว้ย”
“นี่ไง...แม่ไง” สมหมายบอก
สมปองหันมาบอก “พ่อ....แม่เงียบเลย เรียกไม่ขยับ”
“ดูซิยังหายใจรึเปล่า ไอ้พวกนี้โง่จริง” สมหวังบุกพรวดเข้าไปดู ไปจ้องสมใจ จ้องแบบแหยงๆ เหมือนกัน “ยายใจ...ยายใจ”
สมหวังเอามืออังที่จมูก หน้านิ่วคิ้วขมวด
สมปองร้อนรนไปหมดแล้ว “พ่อ”
สมหวังโพล่งขึ้น “เฮ้ย ยังมีลม แกอังซินังปอง ข้าว่าลมมันพัดนี่ไงขนนิ้วข้ายังกระดิกๆ”
สมปองอังตามอย่างตั้งใจ เอียงคอ หรี่ตา หันมาด่าน้อง “ไอ้หมาย ไอ้บ้า แม่ยังไม่ตายเว้ย”
ไวเท่าความคิดสมหวังอุ้มร่างสมใจ พรวดออกจากบ้าน
สมปองตาม ร้องสั่งสมหมายที่อึ้งคาที่อยู่ “ไอ้หมาย....ไอ้โง่...มานี่”
สมหมายยังเงอะงะอยู่ที่ประตูบ้าน
“ไปตามแท็กซี่สิวะ” สมปองตะโกนบอก
สมหมายกระโจนพรวด ภักดิ์ภูมิมาถึงพร้อมดอกโศกพอดี ป้อมก็มาด้วย
“น้าปอง ยายเป็นอะไร”
“ยายสลบเป็นอะไรไม่รู้กำลังจะพาไปโรงพยาบาล”
ภักดิ์ภูมิรีบบอก “ไปรถผมครับ”
ไม่นานหลังจากนั้น ภักดิ์ภูมิ ดอกโศก และครอบครัวสมอยู่ภายในห้องฉุกเฉินกันพร้อมหน้า ยืนอยู่ต่อหน้าร่างสมใจที่นอนนิ่งบนเตียงคนไข้...สมใจสิ้นใจแล้ว
หมอเจ้าของไข้ตรวจเป็นครั้งสุดท้าย แตะจับชีพจร มองดูเครื่องวัดหัวใจ จอเครื่องขึ้นเป็นเส้นตรง
ดอกโศก หน้าไม่มีสีเลือด ทุกคนจ้องมอง
หมอเงยหน้าขึ้น สีหน้าบอกทุกคนว่ายายไม่อยู่แล้ว
สีหน้านั้นกระแทกเข้าหน้าดอกโศกเต็มๆ
ดอกโศกสั่นสะท้านไปทั้งตัว สั่นจนเห็นได้ถนัด ช็อค ยังไม่มีน้ำตา
สมปองกัดฟันแน่น จนเกร็งไปทั้งหน้า
สมหวัง ก็เหมือนกัน
สมหมายใบหน้าอึดๆๆ แต่แล้วในที่สุดก็ระเบิด “แม่...แม่” สมหมายร้องไห้โฮ เสียงดังก้อง หน้าตาบูดเบี้ยวไปหมด
สมปอง กอดปลอบใจน้องชาย สมหมายยังร้องอยู่อย่างนั้น สมปองกอดน้องแน่นขึ้น เหมือนผู้ชายปลอบผู้ชาย กอดไปตบไหล่ไป
“ไปลาแม่” สมปองลากสมหมายไปกราบแม่ สมหมายกราบที่เท้า สมปองกราบที่หน้าอก พลางบอก “แม่...แม่ไปดีๆ ไม่ต้องห่วงไอ้โศก หนูดูแลให้” สมปองกระซิบบอกแม่ “ไปดีๆ นะแม่ แม่ตายสบาย ไม่เจ็บเลยใช่มั้ยแม่ โศก ลายาย” สมปองถอยออกมา
ดอกโศกยังยืนช็อคอยู่ นัยน์ตาเหมือนยังรวบรวมสติ
สมหวังเดินเร็วรี่ ปรี่เข้าไปหา ก้มลงจูบหน้าผากสมใจ นิ่งนาน น้ำตาหยดลงบนแก้มแหมะ “ยายใจฉันไม่ดีกะแก แต่แก....แกดีกะชั้นทุกที อโหสิให้ฉันด้วย”
สมปองมองหลาน เวทนานัก แล้วเดินเข้าไปกอด กระซิบบอกข้างหู “ยายตายแล้ว”
ดอกโศกมองสมปอง ขมวดคิ้วจนผูกกัน “น้าปอง”
สมปองบอกย้ำ “ยายหัวใจวาย ไม่อยู่กะเราแล้วนะ”
ดอกโศกพยักหน้ารับรู้ “ทำไมล่ะ น้าปอง ทำไมยายถึงหัวใจวาย”
สมปองไม่ตอบ บอกย้ำ “ไปลายายก่อน เดี๋ยวเขาต้องพายายไปห้องเย็น”
“ห้องเย็น” ดอกโศกครางเบาๆ
สมปองพาดอกโศกไปที่ยาย ภักดิ์ภูมิมองตามด้วยความสงสารดอกโศกจับจิต
ดอกโศกยืนมองยายด้วยสายตาที่รวบรวมความรู้สึกได้แล้ว “ยาย”
ใบหน้าสมใจอิ่มเอิบ เหมือนคนหลับ
ดอกโศกเข้าไปกอดยาย แนบหน้ากับหน้ายาย พูดกระซิบ “ยาย ทำไมยายทิ้งหนูไป ทำไมไม่อยู่กับหนูยายไม่ลาหนูด้วยซ้ำ” ดอกโศกซบหน้าน้ำตาเริ่มมาเป็นริ้วๆ แล้วไหลพรากๆ
ภักดิ์ภูมิมองด้วยใจรอนๆ สงสารเหลือเกิน
ดอกโศกหันมามองตา มองสมหมาย มองสมปอง สายตาอ้างว้าง ว้าเหว่เหลือแสน “ยาย” หันกลับไปหายายแล้วช้อนตัวยายมาแนบอก โถมตัวกอดยายเต็มแรง “ยาย....ยายกลับมานะ กลับมาหาหนู” น้ำเสียงตอนนี้สั่นสะท้าน ร้องไห้สะอึกสะอื้น “ยายอย่าไปไหนนะ ยาย ยายกลับมา...อย่าตายนะยาย ยายไม่ตายนะ”
ทุกคนเงียบกริบ น้ำตาไหลซึมกันทั่วหน้า
สมปองมีท่าทีเศร้า แต่พยายามกดข่มไว้ไม่อยากเศร้าให้ใครเห็น ไม่อยากร้องไห้แต่ในที่สุดก็ทนไม่ได้ ปาดน้ำตาแรงๆ แล้วเดินหุนหันออกจากห้อง
หยิบโทรศัพท์ออกมามองโทรศัพท์ด้วยสีหน้าตรึกตรอง
เวลาเดียวกันอัศนัยกำลังอ่านรายงานลับที่บุรีนำมาให้
“พี่บุรี น่ากลัวต้องให้เชียงใหม่ฟ้องเถอะ” อัศนัยพูดเป็นเชิงหารือ
“คุณตระกูลโดนหนักนะคุณนัย เพราะผู้ตรวจบัญชีสารภาพว่าเขาทำให้คุณตระกูลที่กรุงเทพฯ ด้วย” บุรีบอก
อัศนัยถอนใจ “พี่บุรี เรานี่นั่งเป็นไอ้งั่งอยู่ได้ไง”
“ไม่เคยเฉลียวใจเลย คุณเพ็ญพักตร์รู้รึเปล่าเนี่ย”
“ผมว่าไม่รู้หรอก” อัศนัยมั่นใจ เสียงโทรศัพท์ดัง อัศนัยรีบรับ “ฮัลโหล ปอง...” ฟังแล้ว สีหน้าเปลี่ยนเป็นตกใจ “อะไรนะปอง อยู่โรงพยาบาลไหน”
ทุกคนรอร่างไร้วิญญาณของสมใจอยู่ที่หน้าหน้าห้องดับจิต ในโรงพยาบาลแห่งนั้นด้วยใบหน้าหมองเศร้า
สมหวังกระซิบถามสมปอง “ทำไมช้าเขาทำอะไรอยู่”
“เขาทำความสะอาด...ฉีดยา”
ภักดิ์ภูมิอยู่กับดอกโศก ปลอบดอกโศกด้วยกิริยาสงสารสุดๆ
“แอนเจล่าครับ” ส่งผ้าเช็ดหน้าให้ “ไปนั่งตรงโน้นมั้ย”
ดอกโศกส่ายหน้า
“คุณยายไปสบายๆ ไม่เจ็บไม่ปวด แอนเจล่าต้องทำใจนะครับ”
ดอกโศกพยักหน้า
“ถึงเวลาของคุณยาย ถ้าแอนเจล่าร้องไห้มากๆ คุณยายจะเป็นห่วงจะไปไม่เป็นสุขนะครับ”
ดอกโศกครวญคราง “ยายไปไม่ลาแอนเจล่าเลย”
“ดีแล้ว คุณยายไปทันทีอย่างนี้ จิตใจไม่พะวงถึงใคร ไปก็ไปได้ไกลนะแอนเจล่าครับ...”
ดอกโศกไหว้ แล้วรับผ้าเช็ดหน้ามา
อัศนัยอยู่ไกลออกไปจากตรงนั้น เพ่งมองด้วยสายตาหมองเศร้าสุดๆ เห็นสองคนใกล้ชิดกันเหลือเกิน
“อย่าร้องไห้อีกเลยนะครับจะไม่สบาย”
ดอกโศกพยักหน้า พยายามกล้ำกลืน ภักดิ์ภูมิ จ้องอย่างใจละลาย สงสารมาก
ภักดิ์ภูมิถามทุกคน “หิวมั้ยครับ ผมคิดว่าอีกนานคงจะเกินชั่วโมง จะไปทานอะไรก่อนมั้ยครับ”
ทุกคนไม่ไป
“ผมจะไปหาน้ำมาให้ ดื่มอะไรเย็นๆ หน่อย”
ภักดิ์ภูมิเดินออก เจออัศนัยพอดี ต่างคนต่างจ้องกัน วุ่นวายใจทั้งคู่
สมปองหันไปเห็น “คุณนัย”
ดอกโศกหันขวับมา สบตากันแรงๆ กับอัศนัย ดอกโศกก้าวมาก้าวหนึ่งแล้วหยุด ภักดิ์ภูมิ ซึ่งเดินห่างออกมา หน้าหมอง เหลียวมองเห็นชัดด้วยสายตาตัวเองว่า ดอกโศกดีใจที่เห็นอัศนัยมา
อัศนัยเดินเข้าไปหาดอกโศก
ภักดิ์ภูมิหยุด แล้วหันไปมอง
“ดอกโศก” อัศนัยเรียกเสียงอ่อน
ดอกโศกไหว้ทัก “คุณนัย”
“ดอกโศก...ดอกโศก” อัศนัยอัดอั้น พูดอะไรไม่ออก
ดอกโศกก้มหน้านิ่ง
ความรู้สึกในใจอัศนัยนามนี้กดดันสุดๆ อ้าแขนออกแล้วกอดทันที กอดปลอบใจ
“ดอกโศก เข้มแข็งนะคนดีของคุณนัยอย่าให้ยายเป็นห่วง”
ดอกโศกนิ่งอยู่กับอก สะอื้นนิดๆ
“ดอกโศก โธ่...ทำไมละนี่ มันเกิดอะไรขึ้น”
“ยายหัวใจวาย” ดอกโศกบอกด้วยน้ำเสียงสะอื้น
“ยายแข็งแรง หัวใจวายได้ไง”
ดอกโศกส่ายหน้าไม่รู้พยายามดึงตัวออก แต่อัศนัยไม่ยอมปล่อย
“คุณนัยเป็นห่วงดอกโศกเหลือเกิน ดอกโศกเข้มแข็งอย่างที่เคยเข้มแข็งนะ”
“ปล่อยเถอะค่ะ ดอกโศกจะไปหาน้าปอง”
อัศนัย กอดแรงๆ สีหน้าร้าวรานใจเมื่อคิดว่าดอกโศกไม่ใช่คนเดิมแล้ว
ภักดิ์ภูมิ ยังคงยืนมองอยู่ แต่แล้วในที่สุด ก็ตัดสินใจหันหลังกลับ เดินไปเงียบๆ
บ่ายวันนั้นที่วัดแห่งหนึ่ง ควันลอยขึ้นเป็นสาย ร่างสมใจถูกเผาบนเมรุ ควันลอยวนอยู่เหนือปล่องไฟ หมดทุกข์ หมดโศกไปอีกหนึ่งชีวิตแล้ว
หลายวันต่อมา เสียงเคาะประตูดังขึ้น ปรียากมลเดินมาเปิดให้ เห็นสมปองยืนอยู่ สมหมายอยู่ด้านหลังไหว้ปรียากมล
ปรียากมลไม่ทันสังเกตว่าสองพี่น้องสวมชุดดำ “เข้ามาสิ....หมายเข้ามา”
สมหมายเข้ามามองไปรอบๆ อย่างทึ่ง
สมปองเข้ามา ไปนั่งที่โซฟา สีหน้าเฉยสนิท
“ดื่มอะไร แกกินกาแฟหรือน้ำหวาน...หมายกินอะไร นั่งสิแก”
สมปองยังนิ่ง ไม่มองปรียากมล สมหมายนั่ง ขย่มเก้าอี้นิดๆ นุ่มจริงอะไรจริง
“เอ๊า แกจะบ้าหรือปอง มาถึงไม่พูดไม่จา” ปรียากมลมองสมปองพลางขมวดคิ้ว “แต่งชุดดำทำไม ไปงานศพหรือใครตาย”
สมปองเปลี่ยนสายตามาที่ปรียากมล มองแบบทะลุทะลวง
“ปอง”
สมปองพูดทันที “แม่ตายแล้ว”
ปรียากมลช็อคเล็กๆ แต่คุมสติ “เมื่อไหร่”
“เมื่อไหร่....เมื่อไหร่น่ะเหรอ” ความคั่งแค้นในใจสมปองพลุ่งขึ้นมาแล้ว ตะโกนใส่หน้า “ถามทำไม ฆ่าแม่แล้วยังไม่รู้เหรอว่าเมื่อไหร่”
ปรียากมลถามกลับน้ำเสียงเย็นสนิท “แกหมายความว่ายังไง...ฉันฆ่าแม่ หมายความว่าไง”
“อย่างนั้นนั่นแหละ ตรงๆ พี่เป็นคนฆ่าแม่” สมปองย้ำ
ปรียากมลตวาด “แกออกไปจากห้องชั้นเลย มีอย่างเหรอมาพูดจาบ้าบอคอแตก...เป็นบ้าไปรึเปล่า ฮะ นังปอง แกเป็นบ้าไปแล้วเหรอ”
สมปองหันมาทางน้องชาย “ไอ้หมาย”
“แม่ตายวันที่พี่ไปที่บ้าน แม่แกเป็นโรคหัวใจอยู่แต่ไม่มีใครรู้”
สมปองพูดต่อ “ไปราวีลูก แม่ห้ามเท่าไหร่ไม่ฟัง แม่วิ่งตามออกมาขอร้องก็ไม่ฟังแม่วิ่งตามจนแกตาย”
ปรียากมล นิ่งไปอึดใจ “แล้วชั้นตั้งใจเหรอ ถ้าแม่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นโรคหัวใจชั้นจะรู้มั้ย”
“แล้วไปราวีลูกทำไม มันไม่สู้แล้ว จะเอาอะไรก็เอาไป จะเอาใครไปเป็นผัวมันก็ให้แล้ว ไปราวีทำไม”
ปรียากมลเถียงแทบไม่ออกแล้ว “ใครบอกแกว่าชั้นไปราวีมัน ฉันจะไป...”
สมปองไม่สนใจฟัง “ไปด่าไปว่ามันถึงตัวมันยังพูดได้ว่าไม่ไปราวี เฮอะอีคนใจดำ มึงน่ะใจดำยิ่งกว่าอีกา” ความคั่งแค้นแน่นอก พูดใส่หน้าเสียงสั่น “จำไว้เลยว่ามึงฆ่าแม่ มึงฆ่าลูกตายไปคนหนึ่งแล้ว มึงยังฆ่าแม่อีกคน นรกขุมไหนถึงจะพอใส่ตัวมึง ฮะ อีปรียากมล เฮอะปรียากมล เปลี่ยนจากสุดจิตต์...ทุเรศ เปลี่ยนซื่อซะเพราะแต่ใจเลวสิ้นดี”
ปรียากมลพยายามกลั้นอารมณ์ แต่อัดอั้นเต็มทีแล้ว ตวาดเสียงต่ำ “หยุด...อย่าด่าว่าชั้นอีกไม่งั้นเรียก รปภ.มาจับตัวโยนออกไปเลย”
“เออ กูไม่กลัวหรอก มาเลย”
“พี่จิตต์...พี่น่ะ ฆ่าแม่จริงๆ ฉันน่ะเห็นทุกอย่าง แม่แกวิ่งตามจนหมดแรงชั้นเรียกพี่จิตต์พี่ก็ไม่หัน...พี่...ฆ่าแม่” สมหมายพูดย้ำ เสียงสั่นน้ำตาคลอ
“หมาย...ชั้นจะเป็นยังไงก็ไม่เคยคิดฆ่าแม่”
“พี่...พี่นั่นแหละ ฮือ...ฮือ” สมหมายครวญคร่ำ
“พอแล้วไอ้หมาย คนอย่างนี้มันไม่มีวันยอมรับ คนบาป...บาปอย่างนี้ถึงนรกแน่”
สมปองควักกระดาษมาโยนใส่หน้าปรียากมล “แม่เขียนไว้อ่านซะ จะได้รู้ว่าคนอย่างมึงน่ะไม่มีทั้งลูกไม่มีทั้งแม่น่ะ ถูกที่สุด” ฉวยย่ามที่วางไว้บนโต๊ะ “ไปไอ้หมาย”
สองคนออกไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยปรียากมลยืนนิ่ง อึ้ง อยู่อย่างนั้น
อ่านต่อหน้า 2 เวลา 17.00 น.
ดอกโศก ตอนที่ 21 (ต่อ)
อีกวันหนึ่ง ดอกโศกเก็บเสื้อผ้าลงกระเป๋า รูดซิปเรียบร้อยผลักไปแอบไว้ตรงมุมห้อง เตรียมไปอยู่กับย่า ครู่ต่อมาดอกโศกถือรูปยายอยู่ มองจ้อง พร้อมกันนั้นเสียงสมใจตอนร้องเพลง ดอกโศก ก็ดังก้องในหัว
“โอ้ดอกโศก เจ้าโศกใจไฉนกัน...”
ดอกโศกก้มหน้าร้องไห้เหมือนจะขาดใจอยู่นานสองนาน
ในที่สุดตัดสินใจเดินออกจากบ้าน พลางยกปาดเช็ดน้ำตา เห็นฉัตรทองยืนคอยอยู่
สองคนนั่งเคียงกันตรงม้านั่งหน้าบ้าน ในใจแต่ละคนกดดันพอกัน นั่งเงียบๆ สีหน้าเคร่งเครียด
“ยายเธอตายใช่มั้ยแอนเจล่า”
“ใช่” ดอกโศกบอก
ฉัตรทองพูดต่อทันที “คิดมั้ยว่าเป็นเพราะกรรมตามสนอง”
ดอกโศกลุกยืนทันที “ฉันรุ้ว่าเธอจะมาหาเรื่องกับฉัน แต่ถ้าเธอจะก้าวร้าวไปถึงยายฉัน เธอกลับไปได้”
ฉัตรทองยังไม่ยอมขยับ “จริงมั้ยล่ะ”
“ใจคอเธอหาเรื่องกับคนตาย ระวังใจเธอจะไม่เป็นสุข แล้วเธอจะเหมือนตายทั้งเป็น”
“เธอสิตายทั้งเป็น คุณตาคุณยายฉัน คุณพ่อคุณแม่ คุณปู่คุณย่าฉันยังอยู่ทุกคน อยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้ลูกหลาน แต่เธอล่ะ ชั้นรู้มาว่าเธอไม่มีญาติผู้ใหญ่แต่ไม่รู้เลยว่าคนเราจะสิ้นไร้ไม้ตอกได้ถึงขนาดนี้ เพราะเธอไม่มีทั้งพ่อทั้งแม่ปู่ย่าตายาย พี่ป้าน้าอาเธอเค้าก็ไม่เอานี่....ใช่มั้ย”
“ใช่” ดอกโศกบอก
“มิน่า เธอถึงต้องมาแย่งแฟนชาวบ้าน”
ดอกโศกพูดเสียงจริงจัง ไม่ไว้หน้าแล้ว “ใช่ ฉันถึงต้องแย่งแฟนเธอไง”
ฉัตรทองร้อนไปทั้งตัว “หน้าด้าน” กัดฟันพูดในคอ
“ไม่เป็นไร ฉันหน้าด้านแล้วฉันมีคุณภักดิ์ภูมิ...ไม่ต้องมีพ่อแม่ปู่ย่าตายาย มีคุณภักดิ์ภูมิคนเดียวก็พอ”
ฉัตรทองสะอึกขึ้นมา แค้นจนน้ำตาคลอ “ฉันไม่เคยเจอผู้หญิงอย่างเธอ”
“ฉันก็ไม่เคยเจอผู้หญิงอย่างเธอ หลับหูหลับตาหึงคนไปทั่ว จะหึงจะหวงใครจนออกนอกหน้าอย่างนี้ ช่วยตรวจดูให้แน่ใจเสียก่อนว่าที่หึงจนหน้ามืดตามัวน่ะ...ถูกรึเปล่า”
“ฉันเกลียดแก...ดอก...”
ฉัตรทองพ่นไม่ทันจบคำ ดอกโศกจ้องหน้าคู่สนทนาด้วย สายตาลึกล้ำ
“แก....ระวังตัวไว้ให้ดี แกจะลองของฉันใช่มั้ย จะลองดีใช่มั้ย แกรู้รึเปล่าว่าฉันลูกใคร”
ดอกโศกพูดตอกใส่หน้า “ไม่รู้หรอก....ไม่ได้อยากรู้”
“งั้นก็รู้ซะว่า พ่อแม่ชั้นสามารถฆ่าคนโดยไม่มีใครจับได้เลย” ฉัตรทองขู่
ดอกโศกไม่แยแส “ก็เป็นความรู้ใหม่ จากที่รู้ทีแรกว่าพ่อแม่คุณไม่ค่อยจะอบรมสั่งสอนคุณ”
ฉัตรทองแทบด่าวดิ้นแล้ว ในขณะที่ดอกโศกสงบมาก มองจ้องฉัตรทอง อย่างสมเพชเวทนา
“คืนพี่ภูมิของชั้นมา...บอกแค่นี้” ฉัตรทองเดินออกไปอย่างเร็ว
สมปองเดินสวนเข้ามา ฉัตรทองไม่มองให้เสียลูกกะตา เดินมาถึง ส่งเงินสามพันยื่นให้มอเตอร์ไซค์รับจ้างที่คอยอยู่แล้วออกไป โดยไม่หยุดเดินด้วยซ้ำ
สมปองมองอย่างสนใจ เหลียวมองตาม เดินกลับมาหาดอกโศกที่กำลังนั่งลงอย่างหมดแรง
“เห็นผู้หญิงที่เดินออกไปมั้ย...เดินเหมือนเดินตามควาย”
ดอกโศกไม่ตอบ ถามออกมา “น้าปองไปไหนมา”
“ก็ไป...แถวนี้แหละหางานใหม่ไง จะไปไหนเนี่ยโศก”
“เปล่า... น้าปองเอาเงินหนูไปใช้นะ”
“ไม่เอา...ยังพอมี” สมปองรักศักดิ์ศรีเสมอ
“จริงนะ” ดอกโศกจ้องหน้าน้า
“จริง...ทำหน้าชอบกล เป็นอะไร”
ดอกโศกยิ้มน้อยๆ “ไม่เป็นอะไร คิดถึงยายนะน้าปอง”
“ยายแกก็ไม่น่าอายุสั้น แกยังไม่แก่เลย” สมปองพูดแล้วก็น้ำตารื้นขึ้นมา “แกยังแข็งแรง ด่าคนได้เป็นไฟ”ถอนหายใจ “จริงๆ แกคงเป็นคนดี สวรรค์ก็เลยพาไปอยู่ด้วย”
ระหว่างนั้นวงแขนของดอกโศก เอื้อมมากอดสมปอง ซบหน้ากับไหล่สมปอง
สมปอง สะอื้นแรงขึ้น...แรงขึ้น จนเป็นดัง ดอกโศกก็ร้องไห้ สะอื้นแรง
“ป้าจาดมอง” สมปองเช็ดน้ำตาแรงๆ “เดี๋ยวก็รู้กันทั้งซอย”
อีกวันหนึ่ง
อัศนัยนั่งอยู่ที่สนามในบ้าน มองทอดสายตาออกไป หนังสืออยู่ในมือ
นึกถึงภาพตอนดอกโศกกับภักดิ์ภูมิคุยกันอยู่ที่โรงพยาบาลขึ้นมา
เสียงหม่อนปลุกให้ตื่นจากภวังค์
“คุณนัย ทานข้าวเถอะค่ะ”
“ยัง...ยังไม่หิว”
“ทานซุปนะ เดี๋ยวป้าเอามาให้”
อัศนัยส่ายหน้า
“จวนค่ำ ยุงเริ่มมาแล้ว เดี๋ยวเข้าบ้านได้แล้วนะคุณนัย”
“ดอกโศกวิ่งเล่นอยู่แถวนี้...นะ ป้าหม่อน จำได้มั้ย”
“จำได้ค่า...แหมบๆ นี่เอง ไม่น่าเชื่อเลย” หม่อนบอก
“สงสาร...” อัศนัยหมายถึงที่เสียยายไป
“ใช่ค่ะ ป้าก็สงสาร ใครจะไปเชื่อว่าเห็นกันหลัดๆ อยู่ๆ ก็มาตาย ท่าทางแกรักหลานที่สุดนี่คุณหนูทำไง้”
“คงไปอยู่กับย่า....ย่ารวย”
“จริง” หม่อนเห็นงาม
“แล้วก็...คงแต่งงาน”
หม่อนไม่ค่อยเห็นด้วย “จริงเหรอคะ....โธ่”
อัศนัยมองไปเบื้องหน้า
“คุณนัยของป้า ตัดใจเสียเถิดนะคะ คิดว่าไม่ใช่คู่กัน”
“ทำไมล่ะป้า เขารักฉันนะป้า ทำไมจะไม่ใช่คู่กัน”
“ก็คุณนัย...ป้าก็พูดยากนะคุณนัย เห็นใจคุณหนูเธอบ้าง เธอมาทีไรก็พบกับคุณปรียาตลอด เดี๋ยวอยู่ข้างล่าง เดี๋ยวลงมาจากข้างบน ใส่ชุดนอนก็มี” หม่อนพรั่งพรูสิ่งที่คิด เข้าใจดอกโศก
อัศนัยฟังอย่างร้าวรานใจ
“เอ้า.....เธอก็หักห้ามความรักที่คุณนัย...ยอม ยอมขึ้นชื่อว่าแย่งมาจากคุณปรียากมล” หม่อนพูดต่อ
หมื่นเอายากันยุง เป็นขวดฉีดๆ มาตั้งให้ แล้วนั่งฟัง
หม่อนไม่หยุดพูด พูดไปเรื่อยๆ “เพราะอะไร เพราะเธอรักคุณนัย คุณนัยน่ะเป็นผู้ชายคนเดียวในชีวิตเธอเลยนะ”
อัศนัยนิ่งอึ้ง หม่อนลุกเดินเข้าบ้านลากหมื่นไปด้วย เสียงสองแม่ลูกพูดดังแว่วๆ มา
“เฮ้อ ทำไมจะต้องมาเป็นแม่เป็นลูกกันน้า”
“พรหมลิขิตแม่” หมื่นว่า
“เออ.....พูดเข้าท่าเป็นครั้งแรกในชีวิต”
“เฮ้ยชีวิตฉันยังอีกยาวนะแม่” หมื่นเถียง
“พอ....พูดได้ครั้งเดียว”
สองแม่ลูกลับตัวไปแล้ว อัศนัยเศร้าซึมลง
นึกถึงคำพูดหม่อนเมื่อไม่นานนี้
“คุณนัยคิดว่าไม่เป็นไร...ไม่เป็นไรน่ะ ผู้ใหญ่ช่ำชองโลกีย์แบบคุณปรียาน่ะสิมีคู่รักคนเดียวกับลูกสาวน่ะเป็นเรื่องเล็ก แต่คุณหนูดอกโศกเธอยังเด็กยังอ่อนต่อโลก เธอไม่ยอมมีคู่รักคนเดียวกันกับแม่แท้ๆ หรอก”
วันหนึ่ง ภักดิ์ภูมิเปิดประตูห้องทำงานเข้ามาแรงๆ ในอาการฉุนเฉียว และเดินตรงดิ่งมายังโต๊ะทำงานอย่างเร็ว
“ฉัตรอยู่นี่”
ภักดิ์ภูมิหันมา เห็นฉัตรทองนั่งสงบมาดนิ่งอยู่ที่เก้าอี้ใหญ่กลางห้อง กิริยาพร้อมเผชิญ
“ไม่พูดกันในห้อง” ภักดิ์ภูมิบอก
“ไม่ต้องหรอกค่ะพี่ภูมิ พูดตรงนี้ก็ได้ ไม่มีใครได้ยิน”
ภักดิ์ภูมิกำลังจะตอบ
ฉัตรทองพูดขัดอย่างถือดี “ถึงได้ยินก็ไม่เป็นไร ยังไงๆ พี่ภูมิก็ถอนหมั้นฉัตรอยู่ดี วันหนึ่งข้างหน้า...ก็ให้มันรู้กันไปซะตั้งแต่วันนี้เลย”
ภักดิ์ภูมิถาม “ฉัตรไปหาแอนเจล่า?”
“ใช่”
“ทำไม”
“ไปทวงพี่ภูมิจากเขา”
ภักดิ์ภูมิอารมณ์กรุ่นๆ “เขาไม่ได้เอาพี่ไป ฉัตรพูดว่าไปทวงได้ไง”
“เขาไม่ได้เอาไป ถ้างั้นพี่ภูมิก็ไปเอง”
“งั้นก็พูดกับพี่สิ ถ้าพี่ไปเอง”
ฉัตรทองสวนคำ “ไม่พูด เพราะพี่ภูมิไม่ฟังฉัตร ไม่มีประโยชน์”
“ฉัตรไปข่มขู่เขา”
“ใช่ จะให้ทำสองหน้า ทำไม่เป็น เกลียดก็ต้องพูดแบบคนเกลียดกัน”
“แล้วได้ผลมั้ยล่ะ”
“ไม่ได้...ฉัตรก็รู้ว่าไม่ได้ รู้ว่าทุกอย่างอยู่ที่พี่ภูมิ พี่ภูมิเป็นผู้ชายมีสิทธิ์เลือกได้ ทิ้งได้ ถอนหมั้นได้”
“ผู้หญิงก็มิสิทธิ์ ไม่เกี่ยวกับเพศฉัตรอย่าสร้างประเด็นเลย”
ฉัตรทองถอนใจเฮือกใหญ่ “โอเค เรียกฉัตรมาพี่ภูมิจะเอายังไง”
“จะบอกฉัตรว่าอย่าไประรานแอนเจล่า พี่กับเขาไม่มีทางเป็นไปได้ เขารักอัศนัย เขามั่นคงกับอัศนัย”
“แต่เขาแต่งานกันไม่ได้ เวลานี้รู้กันไปทั่วแล้วว่าแฟนเก่าคุณอัศนัยเป็นแม่ของแอนเจล่า แม่ลูกรักผู้ชายคนเดียวกัน สังคมประณามอยู่แล้ว”
“ถ้าไม่รู้เรื่องเขาจริงๆ อย่าพูดดีกว่า” ภักดิ์ภูมิปราม
“ไม่พูดก็ได้ แต่แอนเจล่าเป็นอิสระแล้ว พี่ภูมิขอเขาแต่งงานหรือยัง”
“ฉัตร...ฟังพี่ พี่ไม่เคยคิดจะแต่งงานกับใครนอกจากฉัตร พี่ถูกอบรมให้เชื่อผู้ใหญ่ ให้มั่นใจว่าผู้ใหญ่จัดการถูกต้องดีงามแล้วเขาเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้พี่ แต่ตอนนี้พี่ไม่แน่ใจแล้วว่าคุณพ่อ คุณแม่เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้พี่รึเปล่า”
ฉัตรทองอึ้ง อึดอัด...ภายในใจร้อนผ่าว รู้ตัวว่าถูกด่า แต่พยายามสะกด “แน่ใจก็ได้ว่าไม่ใช่...ใช่มั้ย...อยากพูดอย่างนี้ใช่มั้ย พี่ภูมิ”
ภักดิ์ภูมิบอกต่อ “จนถึงวินาทีนี้พี่ยังไม่ได้คิดถอนหมั้น เพราะพี่ตั้งใจจะไม่ทำร้ายคุณพ่อคุณแม่ ทั้งของพี่ ทั้งของฉัตร พี่รุ้ว่าถ้าเราถอนหมั้นพ่อแม่จะเป็นทุกข์มาก”
“ไม่คิดจะถอนวินาทีนี้ แล้ววินาทีไหนที่จะคิด”
“ฉัตร ถ้าพี่พูดถึงขนาดนี้ฉัตรยังไม่รู้เรื่องก็เห็นจะพูดกันต่อไม่ได้” ภักดิ์ภูมิลุกขึ้น “ฉัตรรู้ใจพี่ทุกอย่าง ฉัตรพูดเองว่าฉัตรรักพี่ ฉัตรจะรอให้พี่รักหลังจากที่เราแต่งงานแล้ว ฉัตรบอกฉัตรรอได้”
ฉัตรทองตื้นตันขึ้นมาในอก ก้มลงร้องไห้กับตัวเอง
ภักดิ์ภูมินั่งลงจับมือฉัตรทอง ตบเบาๆ ปลอบใจ
“ไม่ใช่ฉัตรรอคนเดียว...พี่ก็ต้องรอเหมือนกัน”
หลังจากวันนั้น ปรียากมลนิ่งเศร้าซึมอยู่ที่คอนโด ปรียากมลพลิกตัวซบหมอน ไม่ร้องไห้ แต่นัยน์ตาตรึกตรองเสียงกดกริ่งประตู
ปรียากมล กระโดดขึ้น แต่แล้วคิดว่าไม่ใช่อัศนัย ต้องเป็นตระกูลแน่ๆ ก็นั่งลงอย่างเดิม
เสียงกริ่งดังอีก ปรียากมลสองมืออุดหู เสียงกุญแจวางดังกริ๊ก
“เข้ามาได้ยังไง ฉันไม่ได้ล็อคประตูเหรอ”
“ไม่ได้ล็อค ขอโทษนะปรียากมล”
“มาทำไม” ปรียากมลถาม
“ผมรู้ว่า...คุณแม่ของคุณเสีย เสียใจด้วยนะ”
“ขอบคุณ”
“เป็นอันว่าตอนนี้ทุกคนรู้แล้ว เรื่องคุณกับดอกโศก”
“ฮื่อ”
“แล้วเป็นไง ผมเดาว่าดอกโศกคงหนีไปแล้ว”
ปรียากมลฉงน “คุณรู้ได้ไง”
“ผมรู้นิสัยลูกสาวคุณดี เขาเป็นคนยึดมั่นความถูกต้องที่สุดเขาไม่ยอมทำอะไรผิดแน่” ตระกูลมั่นใจนัก
ปรียากมลถามต่อทันที “อะไรผิด”
“มีสามีคนเดียวกับแม่...ไม่ผิดหรือ”
ปรียากมลนิ่งไปครู่หนึ่ง “ไม่ผิดหรอก เพราะฉันยังไม่ได้เป็นเมียอัศนัย”
ตระกูลนัยน์ตาวาบทันที
“อย่าคิดอะไรมากไป มันไม่ใช่ที่คุณคิดหรอก”
ตระกูลถอนหายใจเฮือกใหญ่
“กลับไปหาคุณเพ็ญพักตร์เถิด ตรงนั้นปลอดภัยที่สุดสำหรับคุณ”
“จะยังไงก็ตามปรียากมล ผมรักคุณ...มันก็แปลกนะ อาจจะหาเหตุผลไม่ได้แต่ผมก็รักคุณ” ตระกูลมองนิ่งๆ “ลาเลยนะ ขอให้โชคดี”
ปรียากมลยิ้มให้บางๆ “ขอบคุณ ฉันก็จะจำคุณไว้ตลอดไป”
ตระกูลขยับตัวจะเดินออก
“ไปหาคุณเพ็ญพักตร์นะ” ปรียากมลย้ำ
ในเวลานั้นเพ็ญพักตร์ที่ปรียากมลพูดถึง กำลังรับสายโทรศัพท์จากนักสืบ
“แน่ใจนะว่าใช่ รถเบนซ์ กท...” นิ่งฟัง “ใช่ กท.นั้นแหละ ไปที่ไหนนะโรงแรม...” เพ็ญพักตร์พูดย้ำชื่อโรงแรม “เวลานี้ก็ยังอยู่เหรอ ได้เบอร์โทร.มาด้วยบอกมา” จดตามที่นักสืบบอก “โอเค ขอบใจแล้วฉันจะโอนเงินไปให้” กดปิด ดูเบอร์ สีหน้าตรึกตรอง
สองคนจับมือกัน แล้วตระกูลก้าวเดินออกไป พร้อมๆ กับที่ประตูปิดลง
โทรศัพท์ดังทันที ปรียากมลรับ
“ฮัลโหล...” สีหน้าแปลกใจ “ใครพูดนะ คุณเพ็ญพักตร์”
“อยากมาที่บ้านเรามั้ย” เพ็ญพักตร์โทร.จากบ้านรัตนชาติพัลลภ
ปรียากมลอึ้ง “บ้านเรา”
“บ้านที่ฉันอยู่เนื่ย...บ้านของ...พ่อ”
ปรียากมลนิ่งคิดอยู่นาน ก่อนพูดออกไป “คุณคิดว่า...คุณยอมรับฉันได้หรือ”
เพ็ญพักตร์สีหน้าเครียดจัด “ได้สิ...ทำไมจะไม่ได้ โดยไม่ต้องตรวจดีเอ็นเอด้วย”
ปรียากมลตรึกตรองอีก “คุณแน่ใจหรือ”
“ไม่อยากมาเหรอ ถ้าไม่อยากก็ไม่ต้อง แต่คนที่นี่ก็คงอยากพบพี่น้องกันทั้งนั้น” เพ็ญพักตร์ปิดโทรศัพท์ทันที
ปรียากมลสีหน้าจากเครียดผ่อนลง พึมพำเบาๆ “พี่น้อง”
วันรุ่งขึ้น ขณะที่ดอกโศกกำลังจะออกจากบ้าน สมหมายกับสมหวังดูทีวี
สมปองกวาดบ้านอยู่หันมาเห็น “ไปไหนโศก”
“ไปหาน้าสวย...ไป...ลา”
สมปองเข้ามาใกล้ ตบไหล่ “ดี...สงสารน้าเค้า เออ...ตกลง แกเป็นบ้าหรือเปล่า”
“ไม่หรอกน้าสวย แค่ทำอะไรเยอะๆ ไม่เป็นอันตรายกับใคร”
“กับตัวแกเองล่ะ”
“ไม่.....น้าสวยอยู่ในที่ปลอดภัย อาณาจักรของน้าสวย มีคนดูแลอย่างดี”
“ยิ้มมั่งนะโศก...อีกหน่อยไปอยู่กับย่าคงยิ้มออกขึ้นนะแก” สมปองเย้า
สมหมายกระโดดมาหา “ไปส่งมั้ยโศก”
ดอกโศกยิ้มนิดๆ “ไม่ต้องหนูไปเอง”
“เอ๊ะ พูดหยั่งงี้ไม่รู้น่ะสิ....ไอ้ปอง”
“รู้อะไร” สมปองงง
“ชั้นถอยมอ’ไซค์ให้ไอ้หมายมันใช้หากิน”
สมปองตาโต ร้อยไม่เชื่อพันไม่เชื่อ “อย่าฝันพ่อ....อย่างพ่อน่ะเหรอ”
“เออ....ข้านี่แหละ”
สมหมายแฉ “แกเอาเงินแม่นั่นแหละ เงินแกซะเมื่อไหร่”
“เฮ้ย เงินข้าก็มี ที่ย่าแหม่มให้ไว้ไง...เฮ้ย คิดว่าข้าหาเงินเองได้เร้อ...ฝันไปเถอะ”
ดอกโศกหัวเราะนิดๆ ออกจากบ้านไป
“โจรกลับใจเหรอพ่อ” สมปองเย้าพ่อ
สมหวังทีแรกขำด้วย นึกๆ ไปหน้าเสียมาก ตื้นตันเหมือนจะมีน้ำตา
“เออ....แลกด้วยชีวิตแม่เอ็งเลยนะเว้ย”
ลูกทั้งสองคนออกอาการตื้นตันด้วย เข้าไปปลอบพ่อท่าทีน่าขำ
เวลาต่อมาดอกโศกก้มหน้าก้มตาเดินผ่านอัศนัยที่ยืนคอยอยู่ และเดินเลยไปแล้ว อัศนัยใจรอนๆ มองตาม ตัดสินใจไม่ถูก จนเมื่อดอกโศกจะเดินไปอีกทางหนึ่ง อัศนัยจึงเรียก
“ดอกโศก”
ดอกโศกสะดุ้งสุดตัว หันมา
“ไปไหน”
“ไปบ้านคุณตาค่ะ”
“คุณนัยไปส่ง” สายตาอัศนัยเว้าวอน
“ไม่ค่ะ...ดอกโศกไปเอง”
“ดอกโศก มันไกลนะ”
“ไปได้ค่ะ”
“ดอกโศกอย่าใจแข็งนักเลย ให้คุณนัยไปส่งนะ” อัศนัยยังเซ้าซี้ เพราะเป็นห่วง
“ถ้าให้คุณนัยไปส่งดอกโศกจะไม่ให้คุณนัยพูดหลายครั้งหรอกค่ะ คุณนัยรู้จักดอกโศกดีนี่คะ”
อัศนัยหน้าเสีย อึ้งมาก ดอกโศกเดินจากไป
อัศนัยหลับตาไม่อยากเห็น พอลืมตาแล้วต้องชะงัก เมื่อเห็นภักดิ์ภูมิเดินเข้ามาหาดอกโศก ยืนพูดกันอยู่ไม่ไกล อัศนัยหน้าเครียดจัด
ภักดิ์ภูมิเอ่ยขึ้น “แอนเจล่า มิสซิสเบนส์บอกผมว่าแอนเจล่าจะไปหัวหินผมจะไปส่งนะครับ”
“โถ...ไม่เห็นต้องมาเองเลยโทร.มาบอกก็ได้” ดอกโศกรู้ทัน
“โทรศัพท์สัญญาณไม่ดีเลย” ภักดิ์ภูมิอ้าง
“โธ่...” ดอกโศก รู้ทันอีก
“โธ่...นะครับให้ไปส่ง”
“ไม่ค่ะ แอนเจล่าไปเองไม่รบกวนค่ะ...จริงๆ นะคะจะไปเอง”
ภักดิ์ภูมิครางเบาๆ “แอนเจล่า” รู้ทีท่าว่าดอกโศกไม่ยอมสานต่อแน่นอนแล้ว
“ขอบคุณทุกอย่างนะคะ คุณภักดิ์ภูมิ แอนเจล่าจะไม่ลืมว่าคุณดีกับแอนเจล่าที่สุด แอนเจล่านับถือคุณนะคะ”
ไม่ได้ยินตอนสองคนคุยกัน อัศนัยมองดอกโศกเดินไปกับภักดิ์ภูมิ สีหน้าโกรธจริงๆ
ดอกโศกมาถึงหน้าบ้านรัตนชาติพัลลภ กำลังส่งเงินให้คนขับรถแท็กซี่ บอก “ขอบคุณค่ะ”
ดอกโศกชะเง้อดูบ้านคุณตาผ่านประตูเล็ก บ้านหลังใหญ่โตเงียบสงบ ดอกโศกกวาดสายตาไปจับลูกบิดกดหมายจะเปิด ปรากฏว่าล็อค ดอกโศกหยิบโทรศัพท์ออกมากดเบอร์ เสียงอ้นอยู่ในสาย
“ฮัลโหล อภิรมย์....อยู่ที่ไหน”
พริบตาเดียว อ้นวิ่งหน้าตั้งมาจากท่าน้ำ เห็นโอ๋ วิ่งตามอ้นมาห่างกันซัก 10 เมตร ดอกโศกยิ้มนิดๆ เมื่อเห็นท่าวิ่งของอ้นที่สาวแตกเอามากๆ โอ๋วิ่งแซงหน้าอ้น
อ้นร้อง “ว้าย ยัยโอ๋ อวดดีไงมาแซงชั้น หยุดนะ”
สองคนวิ่งมาถึง อ้นหอบอย่างเหนื่อย โอ๋เฉยๆ
“ก็แหม โอ๋ขายาวกว่าพี่อ้นตั้งเยอะทำไมจะแซงพี่อ้นไม่ได้”
อ้นจะเปิดประตู “อ้าว ประตูล็อค โอ๋....” หันไปมองโอ๋
“หือม์....อะไรเหรอพี่อ้น”
“ประตูล็อค” อ้นว่า
“โอ๋เห็นแล้ว”
“ทำไงจะเปิดได้ล่ะ” อ้นถามอีก
“เอ๊า ก็เอากุญแจมาไข เอ๊ะ พี่อ้น...โง่ เหมือนโอ๋ตั้งตะเมื่อไหร่”
“เดี๋ยวนี้เองแหละ”
“โอ๋ว่าโง่กว่านะ นี่ไง กุญแจวิชัยเค้าซ่อนอยู่ตรงนี้ตลอด” โอ๋กำลังจะหยิบ วิชัยวิ่งมาพอดี โอ๋บอก “วิชัยหยิบกุญแจให้หน่อย”
วิชัยหยิบกุญแจ ที่เหนือประตูให้
“มาหาน้าสวยเหรออภิรมย์” อ้นถาม
“โอ๋เห็นน้าสวยหลับอยู่ในห้องคุณตา” โอ๋ยิ้มให้ดอกโศก “โอ๋พาไปนะ...พี่...เดินกันไป”
เสียงอ้นบอกดังๆ “เรียกชื่อเค้าสิไอ้โอ๋”
“เรียกไง” โอ๋ถาม
“เอ้าเค้าชื่ออภิรมย์ฤดี”
“พี่อภิรมย์ฤดี” โอ๋เรียกตาม เป็นครั้งแรก
“โห...ยาวอ่ะ” อ้นขำกิ๊ก
สุดสวยอยู่ในห้องทำงานของพ่อ ยามนี้ไม่แต่งหน้าเลย หน้าสะอาดอ่อน นั่งพิงเก้าอี้หันหน้าไปทางสนามหน้าบ้าน หลับสนิท คอเอียงไปข้างหนึ่ง
เฉลยยืนมองสงสารยิ่งนัก เดินเข้าไปจับคอเอียงให้ตั้งตรงๆ พร้อมกับเอาหมอนรองให้นั่งสบาย
สุดสวยพึมพำ “ขอบคุณค่ะ คุณพ่อ”
เฉลยสุดแสนสงสาร
ดอกโศก อ้น โอ๋ เข้ามา ดอกโศกไหว้เฉลย
“คุณอภิรมย์”
ดอกโศกเข้าไปหาสุดสวย กอดแล้วจูบแก้มเบาๆ
สุดสวยลืมตามามองยิ้มหวาน “ดอกโศก” อ้าแขนกอดแต่งัวเงียหลับไปอีก “มาหาน้าเหรอ...คิดถึง”
เสียงเฉลยบอก “ทานยาค่ะ ฤทธิ์ยา”
“น้าสวยหลับ หนูจะคอยให้ตื่น อ้นไม่ต้องคอยก็ได้เดี๋ยวไปหาที่ตึก”
“ไม่เป็นไรคอยด้วยกัน” อ้นมองโอ๋ว่าจะเอาไง
“โอ๋คอยด้วยนะพี่อ้น”
“งั้นป้าไปดูอาหารก่อน คุณเพ็ญพักตร์มีแขก ไม่ทราบเป็นใคร”
จู่ๆ เสียงร้องกรี๊ดของอุ๊ดังมา ทุกคนตกใจหมด หันขวับไปทางเสียงตั้งใจฟัง แล้วลุกขึ้นวิ่งพรวดออกไปพร้อมกัน
อ่านต่อหน้า 3
ดอกโศก ตอนที่ 21 (ต่อ)
ก่อนหน้าที่ดอกโศกจะมาถึงได้ไม่นาน
ปรียากมลยืนอยู่ในบ้านรัตนชาติพัลลภแล้ว มองเข้าไปในบ้าน มองซ้าย มองขวา สำรวจไปทั่ว แล้วเดินเข้าไปในห้องโถงตึกใหญ่ เดินกรีดกรายมาดูรูปภาพพลเอกสุดเขต และรูปสมาชิกทุกคน ท่าทีนิ่งๆ กิริยาไม่ตื่นเต้น ไม่อยากได้ แต่ดูให้รู้ เพราะตอนนี้รวยแล้ว
สักครู่หนึ่งเฉลยเดินออกมา เอ่ยถามขึ้นเสียงสุภาพ “ขอโทษค่ะ มาหาคุณเพ็ญพักตร์ใช่มั้ยคะ”
“ใช่” ปรียากมลบอก
“ให้เรียนคุณเพ็ญพักตร์ว่าใครจะขอพบคะ” เฉลยถาม
“ปรียากมล”
เฉลยเฉย ไม่รู้จัก “คุณปรียากมล เชิญนั่งก่อนนะคะจะไปเรียนคุณเพ็ญค่ะ”
ปรียากมลตัดสินใจบอกออกไปใหม่ “เรียนคุณเพ็ญพักตร์ว่า สุดจิตต์มาหาก็ได้”
คราวนี้เฉลยหันกลับมามอง อย่างตะลึงตาค้าง “คุณ....สุดจิตต์หรือคะ สุดจิตต์ที่....”
“ใช่ ฉันเป็นน้องคุณเพ็ญพักตร์”
จังหวะนั้นเสียงเพ็ญพักตร์ดังนำมาก่อน “พจน์ เข้ามาสิ มารู้จักน้องสาวของเราหน่อย”
พจน์ตามเพ็ญพักตร์เข้ามาพร้อมๆ กัน
ปรียากมลหันไป “คุณเพ็ญพักตร์” แล้วไหว้พอเป็นพิธี “คุณพจน์เหรอคะ เป็นพี่ชายฉันเหรอ” ไหว้อีกครั้ง “สวัสดีค่ะ”
พจน์รีบรับไหว้โดยเร็ว
“เอา นั่งก่อนๆ เฉลยไปเชิญคุณตระกูล” เพ็ญพักตร์สั่งเฉลย
“ค่ะ” แม่บ้านชรารับคำแล้วเดินออกไป
“ถ้าคุณอุ๊จะลงมาด้วย บอกไม่ต้องให้คอยอยู่ข้างบนเดี๋ยวฉันจะไปหา” เพ็ญพักตร์สำทับ
“ค่ะ”
เพ็ญพักตร์หันกลับมาหาปรียากมล “พจน์เป็นน้องชายคนที่สาม ตอนที่แม่ของเธอออกไปพจน์อายุ 5 ขวบจ้ะ เธอมีพี่ชายอีกคนชื่อ พฤกษ์ เป็นพี่ชายพจน์ ตอนนั้นน่าจะอายุซัก 7 ขวบ ชั้นอายุห่างจากน้องมาก ตอนนั้นชั้นอายุ 15 และเธอแค่ 2 ขวบ น้องเธอชื่อสุดสวย”
ปรียากมลไหว้พจน์อีกครั้ง
พจน์รับไหว้ มองปรียากมลด้วยนัยน์ตาทึ่งมาก “แต่....เปลี่ยนชื่อใช่มั้ยพี่เพ็ญ เป็นอะไรนะ”
ปรียากมลบอกเอง “ปรียากมล เปลี่ยนชื่อเป็นปรียากมล”
“ก็...ความหมายคล้ายๆ สุดจิตต์รึเปล่า” พจน์ว่า
“ประมาณนั้น” ปรียากมลบอก
พจน์เริ่มยิ้มแย้มขึ้น “พี่เพ็ญไม่เรียกดอกโศกมาหรือครับ”
ปรียากมลหน้าตึงขึ้น รู้สึกร่างกายแข็ง และเกร็งขึ้น
“เปล่า...ไม่ได้เรียก”
“อ๋อ....” พจน์เริ่มรู้สึกถึงบรรยากาศแปลกๆ แต่พยายามทำปกติ “ได้ยินว่าอยู่สิงคโปร์”
“ค่ะ....อยู่ 5 ปี”
“โอ.....อยู่นาน ทำอะไร” พจน์ทึ่ง
ปรียากมลบอก “ก็ทำธุรกิจ คุณเพ็ญพักตร์ มีอะไรอีกมั้ยคะ”
“เดี๋ยวสิ คอยคนอยู่”
ปรียากมลเริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกอยู่เหมือนกัน จึงลุกขึ้นยืนทันที “คอยใครคะ”
เพ็ญพักตร์มองไป “มาพอดี”
ตระกูลเดินเข้ามาเห็นปรียากมล ชะงักนิดหน่อย
สีหน้าปรียากมล เริ่มสำเหนียกความไม่ชอบมาพากล แต่ระงับอารมณ์ไว้
“นั่งก่อนเถอะปรียากมล ไหนๆ ก็มาเจอกันพี่น้อง จะรีบร้อนอะไร เดี๋ยวจะเรียกหลานๆ ให้มารู้จักกันไว้ อ้อ...บ้านนี้ใหญ่โตมั้ย”
“ค่ะ”
“แม่เธอก็เคยอยู่ที่นี่ เสียดายที่ตายแล้ว”
พจน์ไม่รู้เรื่องนี้ “อ้าว....ตายแล้วเหรอ”
“เพิ่งตาย เห็นว่าหัวใจวายใช่มั้ยปรียากมล”
“ใช่”
“น่าสงสาร แต่ก็อาจจะดีแล้วก็ได้เพราะถ้าไม่ตาย คงต้องช้ำใจ”
ปรียากมลแปร่งหู “เอ๊ะ”
เพ็ญพักตร์ถามทันควันโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว “คุณคิดยังไงถึงมาเป็นชู้กับสามีฉัน”
เงียบกริบกันไปทั้งห้อง ตกใจหมด
ปรียากมลลุกพรวด พจน์หน้าตื่น ตระกูลตกใจ
เพ็ญพักตร์เหน็บ “คงจะเป็นตอนที่ยังไม่รู้ว่าเขาคือพี่เขย แต่ตอนนี้รู้แล้ว หรือว่าเธอไม่สนใจเรื่องบัดสีแบบนี้
แม่กับลูกยังจะมีผัวคนเดียวกันนี่นา”
ปรียากมลมีหรือจะยอม “คุณตระกูล ภรรยาคุณเป็นคนทุเรศแบบนี้เอง คุณถึงได้บอกว่าคุณทนอยู่กับเขาไม่ได้แล้วเออจริงด้วย ฉันเห็นด้วยกับคุณจริงๆ นะคุณตระกูล คุณทนอยู่ได้ยังไงตั้งหลายปี กี่ปีนะเท่าอายุลูกสาวคุณใช่มั้ย”
อุ๊ ยืนอยู่ตรงบันได ร้องกรี๊ดขึ้นสุดเสียง
อุ๊ ถลาลงมาจากหัวบันไดวิ่งเหมือนพายุ ลงมาแล้วโถมเข้าไปใส่ปรียากมลจนสุดตัว สองมือผลักเต็มแรง จนปรียากมลเซแซ่ดๆ ไปไกล เกือบล้ม
มือดอกโศกเข้ามาประคองแม่ จับตัวไม่ให้ล้ม อ้น โอ๋ ตามมาติดๆ
ปรียากมลหันไปมองดอกโศก สบตากัน สายตาทั้งสองคน ไม่ใช่รัก ไม่ใช่ดีใจที่พบ เป็นสายตาแห่งความเหินห่าง แต่มีแวบหนึ่งที่รู้สึกพิเศษต่อกัน
ดอกโศกเห็นใจ...ที่แม่โดนอุ๊ทำร้าย ขณะที่ปรียากมลตระหนัก...นี่คือลูกของเรา
เพ็ญตระการยังคงอาละวาด วีน และเหวี่ยงต่อ หน้าทุกคน
“ไป๊...ไป อย่ามายุ่งกับพ่อชั้น อย่ามาว่าแม่ชั้น ไปให้พ้น”
ปรียากมลยืนนิ่ง เพราะไม่เถียงกับเด็ก มีแต่นัยน์ตาวาวเหมือนแสงไฟ
อุ๊น้ำตาเต็มหน้า ชี้หน้าปรียากมล “มาทำไม ใครใช้ให้มา ออกไป ออกไปจากบ้านนี้คุณพ่อ บอกสิว่า เค้าไม่มีอะไรกับคุณพ่อ”
เพ็ญพักตร์พยายามห้าม “อุ๊....ไปกันแม่”
“ไม่ อุ๊จะให้เค้าบอก คุณแม่จะได้ไม่เลิกกะคุณพ่อ”
ทุกคนเงียบ
อุ๊ถามคาดคั้น “คุณแม่....”
“อุ๊ แม่ต้องเลิกกับคุณพ่อ คุณพ่อทำผิดไปมีผู้หญิงคนอื่นแม่ยอมไม่ได้ อุ๊โตขึ้นอุ๊ก็ต้องไม่ยอมเหมือนกัน อย่าลืมที่แม่บอกเมียหลวงก็ต้องไม่เป็น เมียน้อยก็ต้องไม่เป็น” เพ็ญพักตร์หันไปทางตระกูล “ไม่งั้นผู้ชายก็มีอำนาจอยู่บนหัวผู้หญิง เขาจะเหยียบย่ำยังไงก็ได้”
โอ๋มองเพ็ญพักตร์ด้วยความเลื่อมใส อ้นก็เชียร์ด้วยสีหน้า
เพ็ญพักตร์เดินขึ้นบันไดไป
“คุณพ่อ คุณพ่อมีเมียน้อยเป็นเค้ารึเปล่า” อุ๊ตะโกนก้อง
“ฉันขอบอกนะว่าพ่อของเธอน่ะไม่ได้อยู่ในสายตาของฉันเลย บอกให้แม่เธอเอากลับไปเถอะ เขาก็มีประโยชน์กับแม่เธอเหมือนกันนี่เวลาเหงาหงอยน่ะ” ปรียากมลปล่อยของ
“ปรียากมล” ตระกูลหันไปจ้องหน้า
“ก็อย่างที่ฉันพูด ฉันพูดอย่างนี้มาตั้งหลายหนแล้วนี่ว่าให้คุณสงสารเมียคุณ”
อุ๊ไล่อีก “ไปนะ” พูดเสียงต่ำ “ไปให้พ้น ชั้นเกลียดแก ชั้นเกลียดลูกแกด้วยไปให้พ้นทั้งแม่ทั้งลูกอย่ามานับญาติกัน อย่ามาเกี่ยวข้องกัน ชาตินี้ไม่ต้องเห็นหน้ากัน”
“นึกเหรอว่าชั้นไม่เกลียดพวกเธอ ตั้งแต่ตาเธอลงมาถึงแม่เธอ ยายเธอด้วย ตาของเธอเขานั่นแหละ ต้นเรื่องจะบอกให้ถ้าเค้าไม่มีกิเลสตัณหาเรื่องก็ไม่เกิดหรอก”
ปรียากมลพูดจบ หันหลังกลับ เดินออกไป สบตากันดอกโศกเต็มแรง
“กลับเถอะ ไม่ควรมาเหยียบที่นี่อีก ที่นี่มันคือนรก...นรกในใจของคนที่อยู่บ้านนี้ทุกคน”
ปรียากมลเดินออกไปอย่างแรงและเร็ว อุ๊หันหลังวิ่ง ขึ้นบันไดไป ตระกูลวิ่งตามขึ้นไป
พจน์เดินไปหาอ้นกับโอ๋ “กลับเถอะลูก อ้น....โอ๋ ไปกับอานะหลาน”
สองคนหน้าตาเหยเก พจน์แตะลูกและหลานให้ไป
“อภิรมย์....ฉันรักเธอนะ” อ้นบอก
“ฉันก็รักเธออ้น เธอเป็นคนเดียวที่ดีกับอภิรมย์ฤดี ตอนที่เขาว้าเหว่ไม่มีใครซักคน”
อ้นยิ้มทั้งน้ำตา เข้ามากอดดอกโศก
“พี่อ้น” โอ๋มองอ้นเป็นเชิงถามว่า โอ๋จะทำไงดี
อ้นถามกลับ “อะไร”
“แล้วโอ๋ล่ะ” โอ๋กระซิบถาม “โอ๋ ทำไง”
“คิดเองโอ๋” อ้นว่า
โอ๋หันมายืนสักครู่ ไหว้ดอกโศก “โอ๋อยากให้พี่อภิรมย์ฤดีมาที่นี่อีก มาหาน้าสวย แล้วไปเล่นกันหลังบ้าน ไม่ต้องมาหาผู้ใหญ่บนบ้านหรอก เพราะว่าพวกเค้าชอบทะเลาะกัน แล้วก้อพูดว่ากันแรงๆ”
“พี่อุ๊ล่ะ” อ้นถามอีก
“พี่อุ๊เค้าก็ยังเป็นเด็ก ถ้าเค้าไม่อยู่กับลุงตระกูลกับป้าเพ็ญ เค้าอาจจะดีขึ้นมั้ง”
อ้นถูกจริตถูกใจนัก “ไอ้โอ๋ เอ็งโตขึ้นข้ามชั่วโมงเลยว่ะ ชั่วโมงที่แล้วยังเป็นเด็กโง่อยู่เลย” ตบหัวโอ๋ “จูบซะอีกทีก็ให้จูบทีวะ”
“ไปกันเถอะ....ดอกโศก อาไปนะอย่าลืมว่าหลานมีเลือดรัตนชาติพัลลภ...มีอะไรให้ช่วยบอก”
ดอกโศกไหว้ลาพจน์ พจน์พาโอ๋กับอ้นออกไป
ดอกโศกยืนเดียวดายอยู่ในห้องอันกว้างใหญ่อยู่สักครู่ ก่อนจะร้องไห้ออกมาแล้วทรุดตัวลงนั่ง ก้มหน้าร้องอย่างขมขื่นใจ
ระหว่างนั้นมืออัศนัยเอื้อมมาจับเบาๆ ดอกโศกตกใจเงยหน้ามอง แล้วสะบัดตัวเต็มแรง
“ดอกโศก คุณนัยเป็นห่วงเลยตามมา”
ดอกโศกลุกขึ้นเดินหนี
“ดอกโศก อย่าทำยังงี้กับคุณนัยเลยนะ ขอร้องเถิด”
ดอกโศก ยังไม่ยอมหยุด
อัศนัยบอกอีกคำ “จะให้คุณนัยเสียใจไปถึงไหน”
ดอกโศกชะงักกึกทันที
“อย่าทำอะไรมากกว่านี้เลย คุณนัยเสียใจมากไปกว่านี้ไม่ได้แล้วนะดอกโศก นี่มันที่สุดสำหรับคุณนัยแล้วนะ.....” น้ำเสียงอัศนัยเริ่มสั่น “ที่สุดแล้ว”
“จะกลับบ้านค่ะ” ดอกโศกบอก
อัศนัยแตะแขน ดอกโศกเบี่ยงตัว อัศนัยต้องเดินนำหน้าออกไป
อุ๊ยืนมองอยู่หัวบันได เจ็บปวดรวดร้าวอย่างที่สุด
โปรดติดตามตอนต่อไป
อีกบริเวณหนึ่งในบ้าน สม จิ๋ว และ นวลแม่ครัว สามคนออกมาหน้าตาระทึกใจไม่หาย หนึ่งในกลุ่มพูดขึ้นว่า “จะเป็นลม”
“ข้าด้วย” สมบอก
“หนูด้วยน้าสม” จิ๋วว่า
“ความจริงคุณเพ็ญพักตร์แกไล่น้าออกแล้วนะ นี่ยังแอบๆ อยู่เพราะยังไม่ได้เงินเดือนรอได้เมื่อไหร่พ่อเผ่นเลย” สมว่า
“อยากออกเหมือนกัน” นวลบอก
จิ๋วเอาด้วย “ด้วยป้านวล”
สมกวาดตามองไปทั่วบริเวณ “บ้านใหญ่โตจริงนะ...ใหญ่จริงๆ บ้านนี้รวยจริง แต่....จนอะไรรู้มั้ยแก”
สองคนถามพร้อมกัน “อะไร”
“จนความสุขน่ะ มันไม่รู้จะอยู่ตรงไหนน่ะสิ” สมบอก
สามคนเดินออก เสียงจิ๋วว่า “คม....บาดจริงๆ น้าสม”
“เพราะมันใหญ่เกินไป ใหญ่ไม่บันยะบันยัง ใหญ่ไม่เกรงใจใคร” เสียงสมดังมา
ระหว่างนั้นตำรวจเข้ามา 2 คน มีวิชัยพามา
สมเห็น “อ้าว...ไอ้ชัย พาตำรวจมาทำไม มาจับใครวะ แค่เจ้านายทะเลาะกัน ไม่ใช่ฆาตกรรม”
“มาพบคุณตระกูล” ตำรวจบอก
สามคนพ่อแม่ลูกอยู่ในห้องนอน เพ็ญพักตร์วางใบหย่าตรงหน้าตระกูล
“เซ็นซะ แล้วไม่ต้องมีหนังสือแนบท้ายเรื่องทรัพย์สมบัติอะไรทั้งนั้นของทุกอย่างเป็นของฉัน”
อุ๊ ยืนนิ่งหันมาดู
ตระกูล เซ็นทันทีไม่รีรอ วางปากกาแรงๆ
“อุ๊จะไปอยู่กับคุณพ่อ”
เพ็ญพักตร์ นิ่งสนิท รู้อยู่แล้ว
“บ้านนี้ใหญ่ อุ๊ไม่อยากอยู่”
“อุ๊ไปกับพ่อ พ่อพาอุ๊ไปอยู่บ้านคุณย่า”
“ดี....ไปเลย บ้านคุณย่ามีสองห้องนอน อุ๊นอนกับคุณย่าดีแล้ว อบอุ่นดี”
อุ๊เริ่มหน้าเสีย
“ชั้นรู้ว่าเงินที่คุณขายหุ้นให้ปรียากมล คุณเอาเข้าบัญชีตัวเองไม่บอกชั้นว่าคุณขาย แต่บอกว่าอัศนัยขาย”
อุ๊ หันมามอง
เพ็ญพักตร์พูดต่อ “คุณไม่ท้วงเรื่องทรัพย์สิน เพราะคุณคงคิดว่ามีเงินก้อนนั้นอยู่ ยี่สิบเจ็ดล้านคุณคงคิดว่าคุณสบายแล้ว”
อุ๊หน้าไม่ดีมองพ่อ
“คุณจะเอายังไง มันอยู่ในบัญชีส่วนตัวผม คุณไม่มีสิทธิ์อยู่แล้ว” ตระกูลบอก
เพ็ญพักตร์บอกทันที “ชั้นแจ้งตำรวจให้อายัดไว้” เดินเข้ามามองหน้า
“คุณทำไม่ได้หรอก ไม่เห็นแก่ลูกเหรอ”
“ชั้นแจ้งไปแล้ว คุณสู้ไม่ได้หรอกเรื่องนี้พยานหลักฐานชัดเจน ไปได้แล้ว ไปตั้งแต่คืนนี้ชาตินี้อย่าให้ชั้นเห็นหน้าผู้ชายทุเรศๆ อย่างคุณอีกเลย”
จิ๋วเคาะประตู แล้วเข้ามา “มีตำรวจมาพบคุณตระกูลค่ะ”
สม จิ๋ว นวล และวิชัย คนใช้ทั้งสี่ยืนอยู่อีกทาง เพ็ญพักตร์ กับเพ็ญตระการ ยืนมองมาจากบนหัวกระได ตำรวจพูดกับตระกูล แต่ตระกูลเถียงออกมา 2-3 คำ แล้วเดินคอตกตามตำรวจไปโดยดี ก่อนจะไป ตระกูลเงยหน้ามอง สบตาเมียและลูก...แล้วก้มหน้าไป
“คุณแม่ คุณพ่อทำอะไร” อุ๊ถามเสียงสั่นไปทั้งตัว “ตำรวจจับทำไม”
“คุณพ่อโกงอานัยไปหลายสิบล้าน ให้คนแต่งบัญชี”
“คุณพ่อต้องถูกจับใส่คุกเหรอคุณแม่ คืนนี้เลยเหรอ”
“ก็ถ้ามีเงินประกันก็ไม่ต้อง” เพ็ญพักตร์ว่าท่าทีเมินเฉย
“คุณแม่ประกันสิ” อุ๊ร้องขอ
เพ็ญพักตร์สวนออกมา “ไม่มีทาง” แล้วหันหลังเดินหนีไปต่อหน้า
อุ๊เรียกตามหลัง “คุณแม่...คุณแม่”
เวลานั้นสุดสวยนั่งยิ้มพริ้มเพราอยู่ ทั้งที่เขาจะฆ่ากันตายทั้งบ้าน แต่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย
“น้าสวยขา” อุ๊เรียกซ้ำ
สุดสวยหันกลับมาอุ๊อย่างช้าๆ อุ๊ลุ้นระทึก หัวใจจะวาย
“กี่บาท” สุดสวยถามราวกับอุ๊มาขอเงินซื้อขนม
อุ๊หันไปมองเฉลย กิริยาโล่งอกโล่งใจมาก แล้วบอกน้า “ไม่รู้”
“ไม่ใช่บาทค่ะ เป็นแสน” เฉลยว่า
สุดสวยชี้สั่ง “โทรศัพท์” เฉลยส่งให้ รับมากดเบอร์โทร.ออกทันที
“ปกรณ์ ชั้นมีตังค์เท่าไหร่” นิ่งฟัง แล้วหูผึ่ง ตาโต “กี่ล้านนะ อุ๊ย โอ้โฮ...เยอะงั้นเชียว”
สุดสวยไม่ยอมบอกจำนวนเงิน ใครได้ยินคงแทบด่าวดิ้นเพราะอยากรู้
“ชั้นจะเอาตังค์ เอามาเป็นแสนกี่แสนน่ะเหรอ ไม่รู้ เป็นแสนแล้วกัน” กดปิดทันที
สุดสวย ยิ้มย่องกับอุ๊ สีหน้าท่าทีน่าขำมาก เหมือนเด็กที่ได้ของถูกใจยักคิ้วให้อุ๊
อุ๊อัดอั้นอยู่นาน เปล่งเสียงหัวเราะปนร้องไห้ออกมาเต็มแรง
อัศนัยพาดอกโศกมาส่งให้สมปองที่บ้าน สมปองออกมารอรับ ดอกโศกซมซานเข้าไปในอ้อมกอดน้าสาว
สมปองอึ้งปนงง มองตาอัศนัยเป็นคำถาม “มีอะไร” พูดโดยไม่มีเสียง
“พาเข้านอนนะปอง ถ้าตัวร้อนให้กินยา พรุ่งนี้ฉันจะมาแต่เช้า มาเล่าให้ฟัง อ้อ ฉันจะพาดอกโศกไปส่งหัวหินนะ วันไหนเขาจะไปปองต้องบอกฉันด้วย” อัศนัยกำชับสมปอง
ไม่นานต่อมา อัศนัยเดินเข้าในบ้าน ด้วยท่าทางเหนื่อยล้า “พรุ่งนี้ปลุกตี 5 นะป้าหม่อน”
หม่อนหันไปทางลูกชาย “ไอ้หมื่น”
“ตั้งนาฬิกาปลุก...จัดให้” หมื่นรับคำ
“ไปไหนค้าแต่เช้า” หม่อนสงสัย
อัศนัยบอกพร้อมกับมองหน้าหม่อน “ไป....หาดอกโศก ป้าหม่อน เอาใจช่วยฉันด้วย”
หม่อนมองตอบด้วยสายตารับรู้ “เต็มร้อยเลยคุณนัย ป้าน่ะรักคุณหนูมากกว่าคุณนัยเสียอีกนะ”
อัศนัยยิ้มขำๆ พูดเย้าออกมา “จริง....ส่งป้าหม่อนไปดีกว่ามั้ง”
หมื่นพลอยพยักตามเคย “หมื่นด้วย...”
“เห็นจะจริง สองคนฉันยอมแพ้เลย”
หม่อนยิ้มเยื้อนให้กำลังใจ “คุณนัย....ป้าบอกแล้วความรักมันมีพลังนะ”
อัศนัยขำอีก “โห....คมนะ”
หม่อนสำทับ “จริง.....อย่าดูถูกป้า รู้จักนะคำนี้ คุณนัยส่งไปให้หมดเลยนะพลังความรักน่ะ”
อัศนัยก้าวเดินยาวๆ เข้าซอยในเช้าตรู่วันต่อมา แต่ขนาดนั้นก็ยังไม่ทัน ดอกโศกไปแล้ว
สมปองบอก “ไปแล้ว”
“ไปไหน” อัศนัยอึ้ง
“หัวหิน”
“ฉันบอกจะมาแต่เช้า ทำไมปองไม่ให้คอยฉันก่อน” อัศนัยบ่น
“ฉันยังไม่รู้เลยว่ามันจะไปหัวหินวันนี้”
“ก็ต้องดึงไว้ให้ได้สิปอง ฉันบอกว่าจะไปส่ง” อัศนัยรำพัน
สมปองส่ายหน้า “คุณนัย...ต่อให้ฉันเอาโซ่ล่ามมันด้วยไอ้โศกน่ะ....ไม่รู้จักมันเร้อตัวเอง”
อัศนัยเซไปนั่ง เสียใจสุดๆ
“ไปกับใคร ใครพาไป มีคนมาพาไปใช่มั้ย...ฮะ ปอง ใครมาพาไป”
สมปองยิ้มขำ รู้ทัน “เอาน่า...ไม่ใช่คนที่คุณนัยกลัวหรอกน่า”
“ใคร” อัศนัยหมายถึงไปกับใคร
สมปองบอกยิ้มๆ “ไอ้ป้อม”
ดอกโศก ตอนที่ 21 (ต่อ)
ดอกโศกมาถึงหัวหินนั่งโศกซึ้ง มองทะเลเบื้องหน้า ทอดสายตาไปไกลยังโค้งขอบฟ้า ป้อมเดินเล่นอยู่บนหาดทราย แต่สายตาจ้องจับอยู่ที่ดอกโศก มีความในใจซ่อนเร้นอยู่ ไม่เคยกล้าบอก สีหน้าป้อม...น่าสงสารนัก
ที่โรงแรมสายชลเวลานั้น มิสซีสเบนส์ อยู่กับเอ็ดดี้ กำลังคุยกับทัศนะผู้จัดการโรงแรม
“ฉันเซ็นทุกอย่างที่ต้องเซ็นอยู่บนโต๊ะแล้วนะ คุณทัศนะ” หญิงชราเอ่ยขึ้น
“ครับ มิสซิสเบนส์ ผมดีใจที่กลับมานะครับ” ทัศนะบอกกิริยานอบน้อม
“จะว่าฉันทิ้งโรงแรมของเราไปนาน....ไม่ใช่ เพราะฉันเชื่อมือคุณมากกว่า คุณบริหารได้ดีตลอดมา ขอบใจนะ”
“ขอบคุณครับ ผมสั่งรถแล้วครับกลับบ้านใช่มั้ยครับ” ทัศนะบอก
“เอ็ดดี้มีที่จะไปไหม” หญิงชราหันมาทางหลาน
“ไม่มีครับแกรนด์มา กลับบ้านดีกว่า ผมเป็นห่วงแอนเจล่า”
คุณย่าทำตาเหล่ๆ เอ็ดดี้ พร้อมกับชี้หน้าล้อๆ อย่างรู้ทัน “ห่วงเพราะแอนเจล่าไม่ได้อยู่คนเดียวมากกว่า”
“ถูกต้องอย่างยิ่งครับแกรนด์มา ผมเป็นห่วงเพราะเหตุนั้นจริงๆ”
“โอเค ไปกันได้ อ้อ คุณทัศนะ อาจจะมีคนมาถามหาฉันหรือเอ็ดดี้ หรือคุณแอนเจล่า”
เอ็ดดี้ทักท้วง “ไม่อาจครับแกรนด์มา…..มีแน่”
“ใช่…จะมีแน่ๆ คุณทัศนะ ฉันไม่ต้องการพบใครเลย คุณไม่ต้องบอกว่าเรามีบ้านอยู่ที่ไหน”
“ให้ผมตอบว่า...”
“ตอบว่า I know nothing (ฉันไม่รู้อะไรเลย) เท่านั้น”
“โดยเฉพาะบ้าน ให้รู้ไม่ได้เลยนะคุณทัศนะ” เอดดี้สำทับ
สามคนไม่รู้ว่าเวลานั้น บริเวณไกลออกไปหน่อย อัศนัยซุ่มมองอยู่แล้ว
มิซีสเบนส์ เอ็ดดี้ ป้อม และดอกโศก มาถึงบ้านพักหลังงาม
เป็นบ้านหลังสวย ตกแต่งอย่างมีรสนิยม คนทำงาน และทำหน้าที่เฝ้าบ้านชื่อยุพิน ซึ่งเป็นคนพื้นเพหัวหิน เข้ามาคอยดูแล
เสียงเพลงหัวหินสิ้นมนต์รัก “หัวหินเป็นถิ่นสัญญา....” ดังแผ่วๆ ขับคลอ มาจากในบ้าน
“เอ็ดดี้ เดี๋ยวลุก เดี๋ยวนั่งทำไม” เสียงมิสซีสเบนส์ดังขึ้น
เอ็ดดี้ชะเง้ออยู่ในบ้าน
“แอนเจล่าไปไหน นานมากแล้วนะ”
ยุพินเอาน้ำชาใส่ถาดมาให้
“ขอบใจยุพิน” มิสซีสเบนส์บอก
ยุพินถาม “ขนมมั้ยค้า”
“ไม่ต้อง” หญิงชราดื่มน้ำชา ในถ้วยชาดีไซน์สวยงามสไตล์ผู้ดีอังกฤษ หันมาทางเอ็ดดี้ “เอ็ดดี้”
“ครับแกรนด์มา”
“ฟังเพลงสิ เพลงนี้ชื่อ หัวหิน เพราะนะ เพลงไทยเพราะมาก”
“ฟังเพลงไทยด้วยหรือแกรนด์ม่า เอามาจากไหน”เอ็ดดี้ฉงน
“มันอยู่คู่บ้านนี้ ตั้งแต่ย่าซื้อไว้หลายปีที่แล้ว....ฟัง...เพลงเศร้านะ”
สองคนนิ่งฟัง หญิงชราดื่มด่ำอยู่กับเสียงเพลง แต่เอ็ดดี้สักครู่ก็ชะเง้ออีก
“เอ็ดดี้ เด็กชายคนนั้นไม่ใช่คู่แข่งของเธอหรอก อย่าใจร้อน” มิสซีสเบนส์หมายถึงป้อมนั่นเอง
“เขาเป็นเพื่อนเก่าตั้งแต่เด็ก เขามาด้วยกัน แอนเจล่าไม่ไปไหนกับใครง่ายๆ ครับ” เอ็ดดี้ดูกังวลไม่หาย
“เธอต้องไม่...วุ่นวาย เธอต้องนิ่งๆ เด็กชายคนนั้นเขานิ่งๆ เขามีแต่สายตา แต่...” หญิงชราค้างคำ
“ผมก็เห็นว่าเขามีสายตา แต่อะไรแกรนด์มา”
“แต่...แอนเจล่าไม่เห็นหรอก” มิสซีสเบนส์บอก
“แน่ใจหรือครับแกรนด์มา”
“สายตาคนแก่นะเอ็ดดี้”
“กับผมล่ะครับ”
หญิงชรานิ่งไปอึดใจ “ก็ไม่เห็น....I’m sorry” ท้ายคำพูดเสียงเบาๆ
เอ็ดดี้หน้าเสีย “ไม่เห็นเลยหรือครับแกรนด์มา”
มิสซีสเบนส์แนะนำ “เธอก็ทำให้เห็น เธอมีโอกาสมากกว่าใคร”
ดอกโศกกับป้อมขึ้นบ้านมาพอดี
มิสซีสเบนส์เดินไปรับ สวมกอด จูบทักทายกันเบาๆ สองที
“ไปไหนมา”
“เดินเล่นค่ะ ทะเลสวย ย่าเสร็จงานที่โรงแรมแล้วหรือคะ”
“เสร็จแล้ว เอ็ดดี้ แอนเจล่าเดินเล่นเสร็จแล้วนี่”
“ผมจะไปกับใคร ผมจะไปเดินเล่นเหมือนกัน”
“ไม่เป็นไร ไปกับย่า”
“ไม่เหนื่อยหรือครับย่า”
“เหนื่อย” มิสซีสเบนส์ตอบทันที “เหนื่อยมากทีเดียว เดินไหวมั้ยยังไม่รู้”
สองคน เอ็ดดี้กับดอกโศก เดินเล่นอยู่ที่หาดทรายหน้าบ้านพัก
ดอกโศกหน้าเฉยเมย หลังจากที่รู้ว่าทั้งหมดเป็นแผนของเขา
“please…….Angela” เอ็ดดี้ขอร้อง
ดอกโศกเดินเร็วมากขึ้น
“แอนเจล่า อย่าโกรธนะ” เอ็ดดี้บอก
ด้านอัศนัยมาถามหาดอกโศกกับทัศนะที่โรงแรม
“ผมไม่ทราบครับ” ทัศนะบอก
อัศนัยซักต่อ “เมื่อกี้ มิสซิสเบนส์อยู่แถวนี้ ขอโทษนะครับเธอบอกว่าจะไปไหน”
“เธอไม่บอก” ทัศนะยืนกระต่ายขาเดียว ไม่รู้
“ไม่น่าเชื่อนะครับ” อัศนัยพูดเสียงสุภาพ แต่นัยน์ตาจิก “เจ้าของโรงแรมไม่บอกผู้จัดการ”
“เชื่อเถอะครับคุณ”ทัศนะตอบกลับด้วยน้ำเสียงสุภาพจริง สมเป็นคนบริการ “เธอกลับบ้านของเธอกระมังครับ ผมเดา แต่เธอไม่บอกจริงๆ”
“บ้านเธออยู่ไหน”
“นั่นเป็นความลับอย่างยิ่งครับ เธอไม่ยอมให้ใครรู้เลย”
เมื่อไม่ได้เรื่องใดๆ อัศนัยเดินเดียวดายกลับมาที่บริเวณชายหาด เดินได้สักครู่ชายหนุ่มก็ทรุดตัวลงนั่งด้วยใบหน้าหมองเศร้า ก่อนจะกดโทรศัพท์หาใครคนหนึ่งที่คิดถึงเหลือเกินแล้ว แต่ทว่าคนที่รับไม่ใช่เจ้าของเบอร์
“ฮัลโหล...อ้าวปองเหรอ โทรศัพท์ดอกโศกเขาไม่ได้เอาไปเหรอ”
สมปองอยู่ในชุดพนักงานรักษาความปลอดภัยหญิง เตรียมเริ่มงานใหม่อีกครั้ง หลังจากงานเด็กปั๊มไม่รุ่ง
“มันทิ้งไว้ ไม่เอาไป ยังไม่ไปหัวหินอีกเหรอคุณนัย” นิ่งฟัง “อ๋อ ไปแล้ว แล้วไง อ้าวยังไม่เจอ ก็โรงแรมย่ามัน...” ฟังต่อ “อะไรไม่เจออีก ใจเย็นคุณนัย หัวหินแค่นั้นเอง เดี๋ยวก็หาเจอ”
อัศนัยเย้า “เคยมาเหรอ”
สมปองหัวเราะ “แหะๆ...ไม่เคย ก็มันหัวๆ หินๆ จะใหญ่โตอะไรหนักหนา”
“ทำอะไรอยู่”
“จะไปทำงาน”
“ได้งานแล้วเหรอปอง เออดีใจด้วย”
ป้าจาดผ่านมาพอดี สมปองซ้อมตะเบ๊ะปั๊บ ป้าจาดเหวอ
“ซ้อม ป้าจาด ซ้อม”
อัศนัยงง “อะไรปอง”
“เปล่าพูดกับป้าจาด รู้ว่างานอะไรแล้วจะหนาว คุณนัย...ค่อยๆหาไปนะน่าจะเจอมันไม่น่ายาก”
“ไม่หรอกปอง ฉันจะเจอเขาได้ไง ในเมื่อเขาหนีฉัน...ใจคอ เขาจะหนีฉันตลอดชีวิตรึไง” อัศนัยว่า
“คุณนัย....คุณนัยรักไอ้โศกมันใช่มั้ย หาสิ....หามันให้เจอ มันหนีไปป่าหิมพานต์รึเปล่าล่ะ” สมปองสัพยอก
“ถ้าดอกโศกหนี...ไม่ต้องไปไกลขนาดนั้น...ฉันก็ไม่มีวันหาเจอหรอกปอง...ปองไม่รู้จักดอกโศกเหรอ....เขาใจแข็งเหมือนใคร”
วางสายสมปองแล้ว อัศนัยก็นั่งคอตกท่าทีน่าสงสารมาก
เย็นมากแล้ว ดอกโศกกับเอ็ดดี้ ยังเดินเล่นอยู่ด้วยกันที่ชายทะเล
“อย่าโกรธเลยน้าคร๊าบ” เสียงเอ็ดดี้เอ่ยขึ้น
ดอกโศกยังเดินเฉย
“please……please…”
ดอกโศกงอนอยู่ “ทีหลังบอกดีๆ ฉันก็มากับคุณ”
เอ็ดดี้ยกมือพลางบอก “สัญญา”
“เพราะคุณ แกรนด์ม่าจึงต้องทำเรื่องไม่ดีอย่างนี้” ดอกโศกติง
“โอเค....ผมไม่ทำอีกแน่ๆ ผมสัญญา double สัญญา”
“เอ็ดดี้.....ยังมีอะไรที่คุณทำให้แกรนด์ม่าต้องเสียหายอีกมั้ย”
“โธ่...แอนเจล่า” เอ็ดดี้คราง
“มีมั้ยเอ็ดดี้” ดอกโศกคาดคั้น
เวลาต่อมามิสซีสเบนส์ยืนพูดกับดอกโศกอยู่มุมหนึ่งที่ชั้นบนของบ้านพัก ป้อมอยู่อีกมุมที่ชั้นล่าง กำลังมองดูรถของมิสซีสเบนส์ที่จอดอยู่
“เราจะไปทานอาหารฝรั่งกัน ย่าคิดว่าป้อมไม่น่าจะไปด้วย”
“ไม่เป็นไรค่ะ เพราะหนูจะไม่ไปเหมือนกัน”
หญิงชราปราม “แอนเจล่า ไม่ทำอย่างนี้กับย่า”
“ย่าอย่าทำกับหนูสิคะ เขาเป็นเพื่อนหนู”
“แต่เขาไม่เหมาะนะแอนเจล่า เขาไม่มีเสื้อผ้าที่เหมาะสม”
“ก็หนูไม่ไปไงคะ”
“เราจะมีดินเนอร์กับโรส กับแฟมมิลี ของโรส เขาเป็นเพื่อนที่ดีของย่า หนูต้องไปนะแอนเจล่า”
ดอกโศกยืนกราน “หนูอยากให้ป้อมไปด้วย หนูจะไม่ทิ้งเขาอยู่บ้านคนเดียว”
หญิงชราถอนใจยาว หันไปเห็นเอ็ดดี้เดินเข้า พูดเบาๆ กับเอ็ดดี้
“ป้อม” ดอกโศกตะโกนลงไปเรียก
ป้อมเงยหน้ายิงฟันขาวตาหยี “อะไรเหรอโศก”
“หิวข้าวมั้ย”
“ท้องร้องแล้วร้องอีก กินอะไรล่ะ บ้านนี้ไม่มีอะไรให้กินเลย”
ดอกโศกเดินลงบันได ไปหาป้อมอย่างรวดเร็ว
“งั้นเอ็ดดี้อยู่กับแอนเจล่า ย่าต้องไปแล้ว” มิสซีสเบนส์สรุป
“ครับย่า” เอ็ดดี้มองไป
ไม่มีดอกโศกแล้ว เอ็ดดี้ก้าวยาวๆ ไม่มองข้างนอก
“แอนเจล่าไปแล้ว”
“เอ็ดดี้ เขาเป็นเด็กดื้อและฉลาดที่เงียบๆ”
“ภาษาไทยเขาเรียกดื้อเงียบ” เอ็ดดี้ว่า
“เธอจะไหวมั้ยเอ็ดดี้ เขายากมากนะ....ยากมาก”
เอ็ดดี้หน้าเสีย
“ถ้าเวลานั้นมาถึง เอ็ดดี้ยังทำไม่ได้ ก็ต้อง....ทำใจ”
หญิงชราบอกเอ็ดดี้ และเหมือนว่าจะบอกตัวเองเช่นกัน
ดอกโศกนั่งอยู่กับป้อม ทานข้าวกันเงียบๆ ในร้านอาหารเล็กๆ ริมถนนติดชายหาด อัศนัยนั่งหันหลัง ดื่มเบียร์อยู่
“โศก จะหนีใคร ต่อใครไปถึงไหน” ป้อมเอ่ยขึ้น
“หนีอยู่คนเดียว ใครต่อใครที่ไหน แกก็พูดเรื่อยเปื่อย”
“คนที่บ้านไง แกก็หนีเขา หลานคุณย่าน่ะ” ป้อมรู้ทัน เขาหมายถึง...เอ็ดดี้
“ฉันอาจไม่หนีเขาซักวันก็ได้”
“แล้วคนที่ชื่อภักดิ์ภูมิล่ะ” ป้อมยิงตรง
ดอกโศกอึ้งปนทึ่ง “แกรู้ได้ไง”
“ไม่มีอะไรของแกที่ฉันไม่รู้” ขณะพูดป้อมมองจ้องหน้า
ดอกโศกจ้องหน้าตอบ แล้วนึกรู้ เข้าใจ ครางเบาๆ “ป้อม”
ป้อมพูดต่อ “เด็กๆ เราเท่ากัน ต่อมาแกก็อยู่สูงกว่าฉันมาก อยู่บ้านใหญ่”
ดอกโศกพูดต่อ “ทั้งๆ ที่ฉันต่ำต้อยที่สุดที่ในบ้านหลังนั้น”
“แต่ยังไงฉันก็ต้องเจียมตัว” ป้อมพูดออกไปแล้วก้มหน้านิ่ง “เพราะขนาดนั้นชั้นก็ต่ำกว่าแก”
“ป้อม...แกเป็นเพื่อนที่ดีของชั้น...เราเป็นเพื่อนกันไปอย่างนี้นะ”
“ชั้นรู้ แกเป็นเพื่อนที่ดี ช่วยชั้นมาตลอด ชั้นสิไม่เคยช่วยอะไรแกเลย” ป้อมตระหนัก
“ช่วยโดยการเป็นเพื่อนชั้นไง อย่างวันนี้ วินาทีนี้ ฉันมีเพื่อนคนเดียวคือแก”
ป้อมฟัง มองสายตาเพ่งไป
“ชั้นว่าชั้นเห็นคุณนัย นั่งหันหลังให้เรา เค้าไม่เห็นเรามั้ง”
ดอกโศกตกใจ “จริงเหรอ ชั้นต้องหลบเค้า”
ป้อมจ้องหน้า “โศก...สงสารเค้ามั่งมั้ย”
ดอกโศกนิ่งงันไป ความตื้นตันพลุ่งขึ้นมา “สงสาร ฉันสงสารเขา” ความเสียใจมาเป็นริ้วๆ ดอกโศกสะอื้นนิดๆ “ใจจะขาดแล้ว” แล้วก้มหน้าลงไป
ป้อมมองอย่างเห็นใจมาก
ดอกโศกข่มอารมณ์ เอ่ยขึ้น “ไปทางไหนดี”
“เออ งั้นแกค่อยๆ ลุก แล้วเดินหลบๆ ไปทางโน้นนะ” ป้อมวางแผน
ดอกโศกสงสัย “แกล่ะ”
“ชั้นจะทำเป็นเมา...นอนไม่ให้เค้าเห็นหน้า เออไปเลยโศก” ป้อมมองไปที่เดิม “อ้าวคุณนัยไปแล้วโศก”
ดอกโศกรู้ดีว่าอัศนัยเองก็เห็น “เราหนีเค้าไม่พ้นหรอก”
ค่ำมากแล้วดอกโศกเดินมากับป้อม สองคนอยู่ที่ชายหาด
“มาทางนี้....ทางนี้” ป้อมบอก
“ป้อม ยืนอยู่ตรงนี้เถอะ”
“ทำไมล่ะ” ป้อมฟังแล้วงง
“เดี๋ยวคุณนัยเขาก็มาตรงนี้”
“จริงเหรอโศก....แกรู้ทันเค้าขนาดนี้เหรอโศก”
อัศนัยก้าวออกมาจริงอย่างว่า เอ่ยทักทาย “ป้อม”
“ครับคุณนัย” ป้อมไหว้
“หวัดดี สบายดีเหรอป้อม”
“ครับ คุณนัย”
“ก็แปลว่า ตอนนี้ไม่มีปัญหาที่เคยมีแล้วสิใช่มั้ยป้อม”
“ครับคุณนัย เพราะโศกครับ เค้าช่วยผมไว้”
“ป้อม มีปัญหาอะไรบอกได้มั้ย....ยาเสพติดเหรอ”
“ไม่ใช่ครับ....ผม ผมไปทำเรื่องผิดศีลธรรม ผิดแบบตั้งใจเพราะมีกิเลสตัณหามันมัวเมาน่ะ คุณนัย.....ยับยั้งใจไม่ได้ ต้องชดใช้เขาเป็นเงิน ไม่งั้นผมก็ต้องตาย”
ป้อมมองไปทางอัศนัย
“ดอกโศกเป็นห่วงป้อมมาก เขาคงอยากได้ยินว่าป้อมจะไม่ทำอีก”
“ครับ...บทเรียนรุนแรงมากครับ จำจนตายเลย” ป้อมหันไปหาดอกโศก “โศก...ขอบใจนะ แกเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน ฉันจะไม่ลืมเลยว่าฉันเกิดใหม่เพราะแก”
เหมือนว่าป้อมเองจะตระหนักชุดถึงจุดยืนที่ควรเป็นระหว่างตัวเองกับดอกโศกแล้ว
อัศนัยมองเพ่งพิศ พิจารณาดอกโศก เห็นสีหน้าบ่งบอกว่าประทับใจ
สายตาอัศนัยยามนี้ ทั้งรัก ทั้งเสียดาย ทั้งเสียใจ
ดอกโศกปล่อยผมยาวสยาย ไม่รวบอย่างที่เคยเห็น นั่งอยู่กับอัศนัย ดอกโศกนั่งบนโขดหินสูงกว่าที่อัศนัย
สองคนนั่งกันเงียบๆ ก่อน ต่างคนต่างคิด มองไปในทะเล
สักครู่อัศนัยก็หันมามองดอกโศก มองนิ่งๆ ใจสะท้อนมาก
ดอกโศกหันมา “คุณนัย”
“ดอกโศก คุณนัยต้องเสียดอกโศกไปจริงๆ หรือนี่” อัศนัยถามซ้ำ ถามย้ำคำนี้กับดอกโศกนับครั้งไม่ถ้วน
ดอกโศกสะเทือนใจนัก พยายามกลั้นน้ำตาสุดแรงเกิด
“สิบกว่าปี....ที่ดอกโศกเป็นดอกรักในหัวใจคุณนัย”
คำพูดนั้นกระตุ้นเตือนความทรงจำแสนงามงด ดอกโศกน้ำตาเริ่มคลอ
“คุณนัยจำได้ วันนั้นดอกโศกพูดว่า ‘ดอกรักบาน ในหัวใจ ใครทั้งโลก แต่ดอกโศก บานใน หัวใจฉัน’…”
อัศนัยพูดด้วยเสียงเบา ช้าๆ แต่ชัดเจน
“ใครทำให้ดอกโศกบานในหัวใจดอกโศกก็ได้ ขออย่าให้เป็นคุณนัย” อัศนัยพูดคำนี้แล้วหัวเราะผืนๆ “วันนั้นที่ดอกโศกพูดอย่างนี้เลย คุณนัยจดไว้....กลัวลืม”
ดอกโศกัดฟัน ไม่อยากร้องไห้
“สุดท้าย ดอกโศกนั่นเองที่ทำให้ดอกโศกบานในหัวใจคุณนัย”
ดอกโศกกลั้นไม่ไหว ก้มหน้าลงร้องไห้จนตัวสั่น อัศนัยผวาเข้าไปหมายจะประคอง ดอกโศกถอยห่างอัศนัยหยุด
ดอกโศกมองหน้าอัศนัยนิ่ง น้ำตาหลั่งพร่างพราย อัศนัยเจ็บในหัวใจที่สุด ยืนนิ่งอัดอั้นตันใจ ดอกโศกยังร้องไห้อยู่อย่างนั้น ก้มหน้าเช็ดน้ำตาให้ตัวเอง เสียงร้องไห้ดังบาดหัวใจอัศนัยมาก
อัศนัยเข้าไปคุกเข่าหน้าโขดหินที่ดอกโศกนั่ง จับมือดอกโศกไว้ทั้งสองมือ
“ดอกโศก...ดอกโศกจ๋าคุณนัยไม่ยอมเสียดอกโศกให้ใคร” อัศนัยมองหน้าแน่วนิ่ง “ใครจะมาเอาดอกโศกไปไม่ได้ คุณนัยจะไม่ยอมเป็นอันขาด”
“ไม่มีใครเอาดอกโศกไป ดอกโศกไม่เป็นของใคร” ดอกโศกเงยหน้ามอง
“ดอกโศก สัญญาจริง....จริงๆ นะ ดอกโศก” อัศนัยดีใจนัก
“แต่ดอกโศกก็ไม่เป็นของคุณนัย.....เป็นของคุณนัยไม่ได้”
ฟังแล้วอัศนัยรู้ดีว่านี่คือ โอกาสสุดท้าย สุดท้ายจริงๆ จ้องหน้าดอกโศกนิ่งนานก่อนจะทรุดตัวลงนั่งจากที่คุกเข่าอยู่
มือร่วงหลุดจากมือดอกโศก หลุดลอยพร้อมๆ หัวใจที่หลุดลอยไปด้วย
สองคนนั่งอย่างคนที่หัวใจสลายอยู่นานสองนาน นานจนเห็นเป็นเพียงเงาดำ ทาบบนภาพท้องทะเลใกล้ตะวันลับดวง
เสียงเพลงหัวหินสิ้นมนต์รัก ดังแผ่วๆ พลิ้วตามสายลมทะเลมา
เอ็ดดี้นอนซึมอยู่ในบ้าน เพลงหัวหินดังแผ่วๆ มิสซีสเบนส์ลอบมองหลานชายสงสารนัก
อีกวันหนึ่งอัศนัยเสียใจหนัก กลับมาทำงาน สีหน้าเศร้าหมอง อัศนัยพยายามปลุกตัวเอง ทำงาน....อ่านเอกสารบนโต๊ะ
มีโทรศัพท์เข้า อัศนัยโต้ตอบ บุรีมองลอดประตูเข้ามา รับรู้อารมณ์นายจ้างรุ่นน้อง
เวลาต่อมาอัศนัยดูลายที่วินและเต้ยออกแบบ พยักหน้าว่าดีแล้ว ทำต่อไปได้ สองคนออกไปทิ้งให้อัศนัยอยู่คนเดียว ด้วยทีท่าเศร้าซึมอย่างเคย
ครู่ต่อมาอัศนัยเดินออกมาจากห้องทำงาน บุรีคอยอยู่
“รู้ข่าวคุณตระกูลมั้ยครับ คุณนัย”
“ประกันตัว เขาจะสู้คดีเหรอพี่บุรี”
“ผมก็ไม่ทราบ แต่คนเรารู้ตัวว่าโกง จะสู้ทำไมให้เหนื่อย เอาเวลาที่สู้ไปรับโทษดีกว่ารู้ตัวอีกทีอาจจะพ้นโทษแล้วก็ได้” บุรีว่า
“เพิ่งได้ยิน พี่บุรีพูดยาวๆ รู้มั้ยครับเขาไปอยู่ที่ไหน”
อยู่มาวันหนึ่ง เมียน้อยตระกูล เก็บของลงกระเป๋า เหมือนคิดดีแล้ว เตรียมตัวจะไปแล้ว ประตูเปิดเข้ามา ตระกูลยืนผมยุ่งอยู่
“พี่....” เมียน้อยเข้าไปประคอง
ตระกูลอัดอั้นตันใจมาก น้ำตาเริ่มมาแล้ว
“พี่ขา...พี่เป็นอะไร”
ตระกูลมองแล้ว เดินโซเซไปที่เตียง ล้มลงนอนคว่ำหน้า...เงียบอยู่ เมียน้อยจะเข้าไปประคอง ตระกูลโบกมือไม่ต้อง
เมียน้อยถอยออกมา มองอย่างชั่งใจ แล้วเข้าไปอีก
“โว๊ย บอกว่าไม่ต้อง...ไม่ต้องโว้ย...ไม่ต้องมีใครเล้ย...ไปให้หมด ทุกคนไปให้หมด”
นัยน์ตาเมียน้อยจดจ้องอยู่ที่กระเป๋าเดินทาง ท่าทางคิดหนักมาก
“ไป๊....ไม่มีความหมายก็ไม่ต้องอยู่ ไป๊...ไปเว้ย”
เมียน้อยถึงจุดสุดท้ายของควาอดทน เดินไปที่กระเป๋าหยิบของตัวเองมา เดินตรงไปที่ประตู หันมามองตระกูลที่ยังนอนเงียบ
เมียน้อยจ้องตระกูล
“เป็นเมียเก็บไปอย่างนี้แหละ...สบายแล้ว”
“มีใครสบายเท่า ถึงเดือนก็ได้เงิน...ถึงเดือนเงินก็ถึงมือ ทำอะไรมั่งล่ะ....เดือนนี้มาหานับครั้งได้”
คำพูดทั้งเหยียด ทั้งเย้ย ทั้งหยัน ดังก้อง
ตอนเช้าอีกวันหนึ่งดอกโศกกับเอ็ดดี้ ยืนพูดกันอยู่ สีหน้าดอกโศกแน่วนิ่ง
“ฉันเสียใจเอ็ดดี้ ฉันให้ร่างกายที่ไม่มีหัวใจกับคุณไม่ได้”
“ผมเข้าใจแอนเจล่า....ผมเข้าใจ” น้ำเสียงเอ็ดดี้สั่นด้วยอารมณ์
“ขอบคุณ คุณเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน”
“เพื่อนก็รักเพื่อนได้...ใช่มั้ย” เอ็ดดี้ยิ้ม
สองคนจับมือกัน
ป้อมยืนมองจ้องอยู่อีกทาง สายตาสงสัยมาก คิด....ว่าจะทำยังไงดี
วันรุ่งขึ้น เอ็ดดี้อยู่กับคุณย่าบนระเบียงบ้าน เห็นดอกโศกอยู่ที่ชายหาดไกลๆ
“แกรนด์มา”
“yes…Eddie” หญิงชราหันมา คอยฟัง
“หลานของแกรนด์ม่าเป็นผู้หญิงที่ผมไม่เคยพบในชีวิต ผมหาไปทั้งโลกก็ไม่มีวันพบ”
ป้อมนิ่งฟังอยู่ใต้ถุน
“ผมโชคดีที่รักแอนเจล่า โชคดีที่มีแอนเจล่ามาให้ผมรัก”
มิสซีสเบนส์รู้ดีว่าหลานหมายความว่ายังไง อ้าแขนกอด ตบหลังเบาๆ ปลอบใจ
“แต่โชคร้ายที่แอนเจล่าไม่รักผม” ใบหน้าเอ็ดดี้หมองเศร้าสุดๆ
“ปู่ย่าของเอ็ดดี้ที่อเมริกา ขอให้เอ็ดดี้กลับไปเยี่ยมบ้าง เอ็ดดี้อยู่กับย่าทูนหัวของเธอนานเกินไปแล้ว”
“ครับ แต่แกรนด์ม่าไม่ใช่ย่าทูนหัว ผมไม่มีย่าทูนหัวแต่ผมมีย่าจริงๆ สองคน”
ฟังแล้วคุณย่ามีสีหน้าตื้นตัน พูดเย้า “ที่นั่น เอ็ดดี้อาจจะได้เจอดอกโศก อีกดอกหนึ่ง”
“ครับ” เอ็ดดี้หัวเราะนิดๆ
สองย่าหลานกอดกันเดินออกจากระเบียงเข้าบ้าน
“Do you know that ดอกโศก is a flower,don’t you? - รู้หรือไม่ว่าดอกโศกคือดอกไม้”
“Of course I know. - ครับ ผมรู้อย่างแน่นอน”
ป้อมได้ยินทั้งหมด คิดหนัก เข้าใจแล้ว
ดอกโศกยังเดินเศร้าหมองอยู่บนชายหาด สักครู่นั่งลงสีหน้ายังเศร้าหมองเหมือนเดิม
ป้อมหยิบโทรศัพท์มาทันที
เวลาเดียวกันอัศนัยอยู่ที่ออฟฟิศ บุรี วิน และเต้ยอยู่ด้วย อัศนัยกำลังเอาเรื่องวินกับเต้ย
“ถ้าทำงานไม่ตามที่สั่งแบบนี้ ก็ไม่ต้องทำกันอีกต่อไป”
เต้ยกับวินเหวอมาก
“แต่คุณนัยสั่งแบบนี้นะครับ” บุรีท้วง
อัศนัยอึ้งไปชั่วขณะ “ขอโทษ” นั่งลงแรงๆ ยกมือกุมขมับ
ขณะที่สามคนยังยืนเหวอๆ โทรศัพท์ดัง อัศนัยรับโทรศัพท์
“ฮัลโหล...” แล้วค่อยดูเบอร์ “อ้าว ป้อม มีอะไรเหรอ...ดอกโศกเป็นอะไรรึเปล่า...เปล่าเหรอ เขาให้ป้อมโทร.หาฉันเหรอ.......มีอะไร” อัศนัยดีใจ ยิ้มหน้าบาน ก่อนจะกดปิด มองนิ่งไปข้างหน้าสักครู่
ท่าทีสามคน หน้าตาตลกมาก มองจ้อง
อัศนัยลุกพรวด เดินออกไป แล้วกลับมาอีก “ขอโทษ....ขอโทษนะ” ออกไปอีก แล้วกลับมาอีกที “อยากกินอะไร ขนมอะไรมั่ง หรือของทะเล อะไรมั่งจะซื้อมาฝาก...” อัศนัยนิ่ง ตื้นตันใจ “จากหัวหิน
ที่บ้านพักริมทะเลหัวหินในวันต่อมา
ดอกโศกพูด ชี้แจงมิสซีสเบนส์ กิริยาเหมือนจำเป็นต้องทำอะไรบางอย่าง ท่าทีเศร้านิด คุณย่าพยักหน้า เห็นด้วย เอ็ดดี้ฟังอยู่ด้วย หน้าเศร้า แต่ก็พยักหน้า
ป้อมขึ้นมา บอกเบาๆ “คุณนัยมา”
ดอกโศก ตกใจหันไปมอง ที่ชายหาด อัศนัยเดินตรงเข้ามาอย่างมั่นคง หยุดมอง
ดอกโศกหันไปมองป้อมนัยน์ตาสงสัย ป้อมทำนัยน์ตาให้รู้ว่าเป็นคนบอกอัศนัยเอง
ดอกโศก เดินออกไปชายหาด
เอ็ดดี้ มองหน้าคุณย่า มิสซีสเบนส์ตบแก้มเบาๆ เป็นเชิงปลอบใจ
เอ็ดดี้ส่ายหน้าไม่เป็นไร แต่หน้ายังเศร้าไม่คลาย สองคน เดินขึ้นบ้าน
ป้อมโทรศัพท์ออกทันที “ฮัลโหล น้าปอง....มีเรื่องจะบอก....เรื่องสำคัญ”
เวลาต่อมา ดอกโศกเดินเข้าไปหาอัศนัย ขณะเดียวกันอัศนัย กำลังเดินมาแต่ไกล เดินมาเรื่อยๆ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ดอกโศกหน้าสงบนิ่ง จนเมื่อมาถึง สองคนยืนประจันหน้ากัน มองหน้ากัน สายตาดอกโศกยังโศกเศร้า ส่วนอัศนัยนัยน์ตาเป็นประกาย มีความหวัง
“ดอกโศกมีเรื่องจะบอกคุณนัย”
“ดอกโศกมีเรื่องจะบอกคุณนัย”
อัศนัยคอยฟัง
“มีสิ่งหนึ่งที่ดอกโศกอยากทำและต้องทำให้คุณนัย”
อัศนัยยังคงตั้งใจฟัง
“เป็นเครื่องยืนยันว่าคุณนัยเป็นรักเดียว รักแรก รักสุดท้ายของดอกโศก”
นัยน์ตาอัศนัยมองมาอย่าง ซาบซึ้ง ประทับใจ มองนิ่งนาน สองคนยืนประจันหน้ากัน
ช่วงบ่ายวันนั้น ปรียากมลอยู่ภายในห้องพักที่คอนโด นอนซบหน้าแขนข้างหนึ่งทาบไปบนจดหมายของสมใจที่สมปองเขวี้ยงให้
เป็นจดหมายที่เขียนด้วยลายมือโย้เย้ ตัวใหญ่บ้าง เล็กบ้าง ปรียากมลอ่านทุกตัว ราวกับฟังคำพูดสอนจากปากของแม่
“อยากบอกสุดจิตต์ว่า แม่ผิดไปแล้ว แม่ทำไม่ดี แม่สำนึกแล้ว อยากให้กลับมาหาแม่ คิดถึงแกนะ สุดจิตต์ อยากบอกว่า อย่าโกรธแม่เลย ไม่อยากให้สุดจิตต์ทำผิดกับลูก ลูกแกอาภัพมากนะ ตั้งแต่เกิดเลย อย่าเกลียดลูกเลย จะทำให้แกไม่มีความสุขนะสุดจิตต์ ขอให้พระคุ้มครองสุดจิตต์ อย่าให้เกลียดลูก เป็นกรรมเวรติดตัวต่อไป”
ปรียากมลกดโทรศัพท์มือถือโทร.ออก
“ปอง...บอกฉันหน่อย ลูกฉันอยู่ที่ไหน....”
วันรุ่งขึ้นภายในโบสถ์ฝรั่งเล็กๆ ริมหาด
สองคนยืนตรงหน้าพระ ที่ทำพิธีแต่งงาน ยืนเตรียมพร้อมแล้ว...นัยน์ตาอัศนัยและดอกโศกเหลือบมองกันอย่างสุขใจ
ระหว่างนั้น ประตูโบสถ์เปิดออก ปรียากมลก้าวเดินเข้ามา แต่งตัวเรียบร้อยมิดชิด ใบหน้าไม่แต่งหน้าจัดจ้านอย่างเคย เดินเข้าไปช้าๆ เดินไปจนเกือบถึง สองคนหันมามอง ตกตะลึงพอสมควร
ปรียากมลเดินไปจนถึงตัว มองหน้าลูกสาวเต็มดวงตา สองคนสบตากันอย่างมีความในใจ ผ่องถ่ายความเสียใจ ความอัดอั้นต่อกัน แล้วปรียากมลก็เดินเข้าหาดอกโศก พร้อมกับสวมกอด ดอกโศกเกร็งตัวอยู่ชั่วอึดใจแล้วค่อยๆ ผ่อนกาย
ปรียากมลกอดนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง น้ำตาคลอเต็มหน่วยตาเมื่อผละตัวออกมา
ก่อนจะหันมาทางอัศนัย “ดูแลเขาให้ดี” เสียงนั้นแผ่วเบาแทบเป็นกระซิบ
อัศนัยก้มหัวรับคำพึมพำเบาๆ “ขอบคุณ”
ปรียาหันหลังกลับ ก้าวออกไปช้าๆ เดินเป็นทางยาว
ข้างหลังปรียากมล พระทำพิธีต่อยินเสียงเบาๆ
สองคนใส่แหวนแต่งงานให้กันและกัน เป็นแหวนทองเกลี้ยงทั้งสองวงสุดท้ายเสียงพระบอก “You may kiss the bride.”
อัศนัยจูบแผ่วเบาที่ริมผีปากดอกโศก ดอกโศกหลับตาพริ้ม น้ำตาไหลริน
ปรียากมลเปิดประตูโบสถ์ออกก้าวเดินไป พร้อมๆ กับที่ประตูโบสถ์ค่อยๆ ปิดลง
จบบริบูรณ์