xs
xsm
sm
md
lg

หอบรักมาห่มป่า ตอนที่ 21

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


หอบรักมาห่มป่า ตอนที่ 21

อุ๊บอิ๊บกำลังนั่งแต่งหน้าและแต่งตัวอยู่ที่หน้ากระจกภายในห้อง แจ๋เปิดประตูเข้ามา ตามให้ไปช่วยงาน แต่กลายเป็นทะเลาะกันตามระเบียบ

“นี่เธอ มีน้ำจิตน้ำใจไปช่วยกันทำงานหน่อยได้ไหม มัวแต่แต่งหน้าอยู่นั่นแหละ จะไปให้ลิงป่าที่ไหนดูเหรอ”
อุ๊บอิ๊บหันขวับมาเอาเรื่องทันที
“ปากหล่อนนี่โสโครกเหมือนส้วมเลยนะ”
“หล่อนก็หยุดเห่าได้แล้ว!! นังอุ๊บอิ๊บ”
“มันเรื่องอะไรของหล่อนล่ะ ฉันจะแต่งตัวให้ใครดูก็เรื่องของฉัน ฉันไม่ได้ไปแต่งบนที่ใส่หมวกของหล่อนซักหน่อย”
“ย่ะ ไม่หนักหัวฉันหรอก แต่ฉันอดสมเพชหล่อนไม่ได้”
“แกพูดอย่างนี้หมายความว่าไง ฮ้า นังแจ๋”
“ก็หมายความว่า ต่อให้หล่อนแต่งเป็นนางงามขนาดไหน ดนัยมันก็ไม่สนหล่อนหรอก หัดยอมรับความจริงบ้างนะ ผู้ชายเขาไม่ชอบยังตามตื้อยู่ได้”
อุ๊บอิ๊บกรี๊ดรับไม่ได้ กระทืบเท้าเต้นเร่าๆ “อ๊าย หุบปากเดี๋ยวนี้เลยนะ”
“จี้ใจดำล่ะซี้”
“นังวอนโดนตบ ขอสักทีเถอะ”
อุ๊บอิ๊บตบหน้าแจ๋ไปฉาด แจ๋หันกลับมาเอาเรื่อง
“นึกว่าแกมีมือมีเท้าคนเดียวเหรอ นังชะมดเช็ด”
แจ๋ตบกลับอุ๊บอิ๊บ คราวนี้ตบตีกันวุ่นวาย จนท้ายที่สุดแจ๋ตบจนอุ๊บอิ๊บทนไม่ไหว วิ่งหนีออกไปจากห้อง แจ๋รีบวิ่งตามออกไป

อุ๊บอิ๊บวิ่งหนีออกมาชนกับฉวีวรรณที่กำลังเดินเข้ามา ฉวีวรรณดึงตัวอุ๊บอิ๊บไว้ไม่ให้ล้ม
“อ๊อย”
“เป็นอะไรหรือเปล่า อุ๊บอิ๊บ”
“เป็นสิ เป็นมากด้วย” กระชากตัวเองหันกลับมา
ฉวีวรรณฟังแล้วงง “ฮึ ว่าอะไรนะ”
“แกไม่ต้องมาตีหน้าซื่อหรอก เพราะแกคนเดียว พี่ดนัยถึงได้เปลี่ยนไป”
จังหวะนั้นแจ๋ตามออกมาจากในบ้านพอดี
“นังตัวป่วน ยังจะมาหาเรื่องเพื่อนฉันอีกเหรอ”
“พวกแกมันก็ดีแต่รวมหัวกันรังแกนางเอกอย่างชั้น ฮึ แต่นางเอกสมัยนี้ สู้คนแล้วเว้ย”
แจ๋ง้างมือจะเข้ามาตบ “จะหยุดมั้ย”
อุ๊บอิ๊บกรี๊ดเพราะยังเจ็บตัวอยู่ รีบกระโดดหนีห่างออกไปอีกไกลพอสมควร แล้วค่อยหันกลับมาตะโกนเอาเรื่อง ชี้หน้าฉวีวรรณ
“จำไว้เลยนะ นังหวี ชั้นไม่ยอมให้แกคาบพี่ดนัยไปรับประทานง่ายๆหรอก แกต้องชดใช้อย่างสาสม”
พูดแค่นั้น อุ๊บอิ๊บก็วิ่งหนีหายออกไปเลย ฉวีวรรณมองตามไม่เข้าใจ
“นางเป็นอะไรของนาง ทำไมอยู่ๆ มาเยอะขนาดนี้” ฉวีวรรณสงสัย
“อย่าไปถือคนบ้าเลยหวี เจ้าประคู้ณ ขอให้ยายอุ๊บอิ๊บ ไปแล้วไปลับ อย่าได้กลับมาก่อเรื่องอีกเล้ย”
แจ๋ทำท่ายกมือท่วมหัว

ที่ปางไม้ของธานี ขณะนั้นธนวัติกำลังอารมณ์เสีย กวาดข้าวของบนโต๊ะทิ้งกระจายระบายอารมณ์
“อ๊าก กลุ้มโว้ย”
พาณิชย์ชงเครื่องดื่มบางอย่างอยู่หลังเคาน์เตอร์หันมามอง
“จะเครียดอะไรนักพี่วัติ ป่านนี้ไอ้ดนัยกับไอ้ชลิต มันน่าจะโดนยายเจ้าแม่จับขังลืมอยู่ในเมืองลับแลแล้วละ”
“ฉันอยากแก้แค้นเข้าใจไหม ฉันอยากให้พวกมันเจ็บจนกระอักเลือดไม่ใช่ไปเสวยสุขอยู่ในเมืองลับแลอย่างนั้น”

อุ๊บอิ๊บกลับมาที่ปางไม้ เข้ามาในห้องตัวเอง เปิดลิ้นชักโต๊ะ หยิบมือถือออกมา ยิ้มอย่างกระหยิ่ม
“ดีนะที่ลืมมือถือไว้ที่นี่ หึหึ หลักฐานสำคัญอยู่กับฉันแล้ว นังหวี แกกับน้องสาวแกต้องน้ำตาเช็ดหัวเข่าแน่” อุ๊บอิ๊บมองมือถือคิดแผนชั่วขึ้นมาได้
อุ๊บอิ๊บหัวเราะสะใจ อ้าปากกว้าง “ฮ่าๆๆๆ”
จิ้งจกตัวหนึ่งหล่นปุ ลงมาที่ปากอุ๊บอิ๊บพอดี อุ๊บอิ๊บคาบหัวจิ้งจกไว้เหลือแต่ตัวกับหางโผล่ออกมา
“อ๊าย...” อุ๊บอิ๊บกริ๊ดลั่นลอดฟันออกมา ตาโต หน้าตื่น
เสียงของอุ๊บอิ๊บกริ๊ดดังเข้ามา ในห้องที่ธนวัติกับพาณิชย์อยู่ ทั้งคู่หันตามเสียง
“เสียงยายอุ๊บอิ๊บนี่”

ธนวัติกับพาณิชย์เปิดประตูเข้ามาในห้องอุ๊บอิ๊บ
“อุ๊บอิ๊บ นี่แกยังไม่ตายเหรอ” ธนวัติถาม
อุ๊บอิ๊บยังตาเหลือก กลัวจิ้งจก รีบวิ่งเข้ามาหาชี้ที่ปากตัวเอง บอกให้ธนวัติช่วย
“แกเป็นบ้าอะไร ฮ้า”
“เฮ้ย! จิ้งจก” พาณิชย์รีบกระโดดถอยหนี อย่างแขยง “กินเข้าไปทำไม ยายบ๊อง”
อุ๊บอิ๊บได้แต่เต้นเร่าๆ บอกให้ทุกคนช่วย
“อย่าปัญญาอ่อน แกก็คายออกมาดิ จะคาบไว้ทำไม”
อุ๊บอิ๊บถึงนึกได้ พ่นจิ้งจกออกมา แล้วกริ๊ดลั่นนน แล้วหาเรื่องโทษฉวีวรรณซะงั้น
“แหวะ ทำไมมันถึงมีแต่เรื่องงี่เง่า แบบนี้ ฮือๆๆ เป็นเพราะนังหวีแน่ๆ มันเป็นตัวซวย กาลกิณี ถ้าคืนนี้แกกับพี่ดนัยไม่เลิกคบกัน ก็อย่าเรียกฉันว่า อุ๊บอิ๊บเลย”
“อะไรนะ ฉวีวรรณ? ยายหวีกลับมาจากเมืองลับแลได้แล้วเหรอ” ธนวัติหูผึ่ง
พาณิชย์ถามอย่างสนใจ “แล้วดาหวันล่ะ ดาหวันกลับมาด้วยหรือเปล่า”
“โอ้ย มันก็กลับมาได้ทั้งหมดนั่นแหละ ทั้งพี่ดนัยพี่ชลิตด้วย ครบเซ็ทเลยเชียว”
ธนวัติจับไหล่อุ๊บอิ๊บเขย่ามีความหวัง
“แก ไม่ได้โกหกนะ”
“โอ้ย อุ๊บอิ๊บจะโกหกพี่วัติทำไม ค่ำวันนี้พวกมันนัดกินเลี้ยงรับขวัญกันด้วย ถ้าพี่วัติไม่เชื่อก็ไปดูด้วยตาตัวเองก็ได้”
“งานเลี้ยงรับขวัญเหรอ หึหึ เยี่ยมมาก”
“พี่วัติ จะทำอะไรอีกล่ะ”
“ฉันมีของขวัญชิ้นพิเศษจะให้ไอ้ดนัยกับไอ้ชลิตน่ะสิ พวกมันคาดไม่ถึงแน่”
ธนวัติ ยิ้มร้ายออกมา มีแผนจัดการดนัยกับชลิต

งานเลี้ยงคืนนี้จัดแบบง่ายๆ วินยา สางโป แจ๋ กิมจิ บุญทิ้ง อุ๊บอิ๊บและชาวชาลัน ล้อมรอบกองไฟ ปิ้งเผือก มัน ปลา ไก่ เท่าที่หาได้และผักผลไม้นานาชนิด รองด้วยใบตองเขียว อยู่ที่โต๊ะ และประดับประดาด้วยดอกไม้ท้องถิ่นต่างๆ เท่าที่หาได้ สวย น่ารักๆ แบบบ้านๆ
สางโปเดินเข้ามาหาวินยาที่ดูแลความเรียบร้อยอยู่มุมหนึ่ง
“เอ เจ้าดาเนาไปซนที่ไหน งานเลี้ยงแบบนี้ไม่น่าจะพลาดนะ นายน้อย” สางโปถาม
“ข้าให้ดาเนาหัดเขียนหนังสือทำการบ้านให้เสร็จก่อนน่ะ แล้วถึงจะมางานเลี้ยงได้”

แจ๋และกิมจินั่งกินอยู่มุมหนึ่ง บุญทิ้งปิ้งมันอยู่ใกล้ๆ เหม่อมองหาอุ๊บอิ๊บ
“คุณอุ๊บอิ๊บหายไปไหนหนอ...ทำไมไม่เห็นตั้งแต่กลางวันแล้วหนอ”
มันที่เผาไฟไว้ เกิดไหม้ขึ้นมา แจ๋กับกิมจิโวย
“ไอ้ทิ้ง มันไหม้หมดแล้ว”
“เจริญพร หมดกันแล้ว”
บุญทิ้งตกใจรีบดึงมันออก ร้อนสะบัดมือ
“นั่นๆ ระวังหน่อยดิวะ เป็นอะไรไป ใจลอยพิกล” กิมจิทัก
“แหม ก็ใจมันลอยตามนังปลวกตัวแม่ไปนะสิ” แจ๋ค้อนขวับหันมาพูดกับบุญทิ้ง “บุญทิ้ง! ผู้หญิงดีๆ มีเป็นร้อยเป็นพัน ฉันไม่อยากเห็นแกต้องมาเสียใจเพราะยายอุ๊บ...”
ไม่ทันที่แจ๋จะพูดจบ ดนัยก็เดินเข้ามาขัดจังหวะก่อน ดนัยสีหน้าจริงจัง
“แจ๋ เห็นหวันไหม”
“หวันเหรอ เอ จัดดอกไม้อยู่ทางโน้นมั้ง” แจ๋ชี้บอกตำแหน่ง
ดนัยรีบเดินออกไป
“นี่เขามีเรื่องอะไรกันหรือเปล่า แจ๋ ไอ้ดนัยงี้หน้าเครียดเชียว”
ชลิตเดินเข้ามาจากอีกทาง
“ไอ้จิ เห็นหวีหรือเปล่า”
ทั้งหมดสะดุ้ง ร้องตกใจแล้วหันไปทางชลิต
“โอ้ย พ่อคุณเอ๊ย! เล่นซ่อนหากันหรือไง เดี๋ยวนายมาหายายหวี เดี๋ยวดนัยมาหายายหวัน” แจ๋พูดขึ้นลอยๆ
ชลิตหน้าตาตื่นขึ้นมา กลัวดนัยจะระแคระคาย “ ฮึ ดนัยตามหาหวันด้วยเหรอ”
“เจริญพร ผมไม่โกหกหรอกครับ เมื่อกี้คุณดนัยพึ่งเดินไปทางโน้นเอง”
“ขอบใจนะ”
ชลิตรีบเดินตามไปทางที่ดนัยเดินออกไป ทุกคนมองตามสงสัย
“ฉันว่าดนัยกับชลิตมันท่าทางแปลกๆ ตั้งแต่เมื่อกลางวันแล้วนะ” กิมจิออกความเห็น
“คุณฉวีวรรณกับคุณดาหวันก็เหมือนกันครับ ดูลุกลี้ลุกลนกันยังไงไม่รู้” บุญทิ้งว่า

ดาหวันดึงฉวีวรรณ ออกมาคุยด้วย ที่มุมหนึ่ง ข้างๆ กองไฟ
“หวัน จะรีบไปไหน มีอะไรเหรอหวัน”
“พี่หวี... ถ้าพี่ชลิตมาพูดอะไร อย่าไปฟังนะ”
“ฮึ ทำไมเหรอ ชลิตมีอะไร”
“เอ่อ...คือ” ดาหวันอึกอัก ไม่กล้าพูดออกมา
จังหวะนั้นเอง ดนัยเดินเข้ามาหา เรียกขึ้นเสียก่อน
“หวัน พี่มีเรื่องจะพูดด้วย”
ดาหวันชะงัก ฉวีวรรณหันมองมาทางดนัยสีหน้าลำบากใจกลัวดนัยจะบอกเรื่องที่ทั้งคู่รักกันกับดาหวัน
ฉวีวรรณกลุ้ม “ดนัย”
ชลิตเดินตามหลังเข้ามามอง
“หวี!! ฉันมีเรื่องจะสารภาพ”
ดาหวันจ้องมองชลิต สีหน้าเครียดจัด
“พี่ชลิต”
ดาหวันรีบวิ่งเข้าไปหาชลิต
“อย่าพูดนะพี่ชลิต หวันขอร้อง”
ดาหวันยกมือจะปิดปากชลิต แต่ชลิตจับมือดาหวันรั้งไว้
“ไม่ หวัน ถึงยังไงวันนี้พี่ก็ต้องพูด ไม่มีประโยชน์ที่จะปิดบังอีกต่อไป ยิ่งเก็บเอาไว้ สุดท้ายเราจะต้องเจ็บปวดกันทุกคน”
ฉวีวรรณแปลกใจ “พูดเรื่องอะไรกัน ใครปิดบังอะไร”
ดนัยเองก็แปลกใจ “แล้วใครจะต้องเจ็บปวด ฮ่ะ ชลิต?”
ชลิตโอบดาหวันไว้ ตัดสินใจแน่วแน่ ดาหวันหน้าเครียด แต่ห้ามชลิตไม่ได้
“เรากับหวันรัก…” ชลิตจะบอกว่า...รักกันแต่ยังพูดไม่จบ
“มีคนบุกรุก” เสียงชาวบ้านตะโกนออกมาขัดจังหวะขึ้นเสียก่อน
ดนัย ชลิต ฉวีวรรณ และดาหวันต่างมีสีหน้าตกใจ

คนบุกรุกที่ว่าคือ ธนวัติ พาณิชย์ และอุ๊บอิ๊บ ซึ่งปรากฏตัวอยู่ในชุดเสื้อผ้าโทนสีดำทั้งหมด โดยมีมีลูกน้อง 2-3 คน มีอาวุธปืนครบมือติดตามมาด้วย
วินยา สางโป แจ๋ กิมจิ บุญทิ้ง ดาเนา ต่างพากันระวังตัว ดนัย ชลิต ฉวีวรรณ ดาหวันเข้ามา เห็นธนวัติกับพาณิชย์ต่างก็ตกใจ
“เอ๊ะ นี่ พวกแกออกจากเมืองลับแลมาได้ด้วยเหรอ”
ชาวชาลันเตรียมตัวพร้อมจะสู้ พวกลูกน้องของธนวัติก็เตรียมพร้อมยิง
ธนวัติสั่งลูกน้อง “เฮ้ย เก็บปืน”
วินยาพูดออกมาน้ำเสียงกร้าว
“พวกแกมาทำไม! ถ้าคิดจะมาหาเรื่อง กลับไปซะดีกว่า มีคนแค่หยิบมือ พวกแกสู้ไม่ได้แน่
“ใจเย็นสิ วันนี้ฉันไม่ได้มาหาเรื่อง แค่มีความจริงจะบอก”
“ความจริงอะไร” ชลิตสงสัย
“ความจริงที่จะทำให้แกหายโง่ไงล่ะไอ้ชลิต” พาณิชย์พูดด้วยน้ำเสียงเยาะ
ชลิตยังไม่เข้าใจ “แกต้องการอะไรกันแน่”
“มนต์เสน่ห์ของไอ้กาซูจะเสื่อมก็ต่อเมื่อฝ่ายชายจูบกับหญิงที่มีรักจริงเท่านั้น” พาณิชย์บอก
“แกเคยสงสัยมั้ยว่า ไอ้ดนัยมันหลุดจากมนต์เสน่ห์มาได้ยังไง” ธนวัติผสมโรง
“หุบปากซะ!” ฉวีวรรณตวาดสองชั่ว
ธนวัติไม่สนใจเสียงห้าม พูดกับชลิตต่อ “ฉันจะบอกแกให้เอาบุญ…” ธนวัติจ้องจิกตาอย่างสะใจ “ฉันเห็นฉวีวรรณแฟนแก จูบกับไอ้ดนัยเพื่อนรักของแก”
ฉวีวรรณหน้าเครียดทันที แจ๋ กิมจิ บุญทิ้ง วินยา สางโป ต่างพากันตกใจ ชลิตกับดาหวันก็ตกใจ
พาณิชย์เยาะเย้ย “เป็นไงไอ้ชลิต อึ้งไปเลยล่ะสิที่โดนแฟนกับเพื่อนรวมหัวกันหักหลัง”
“โกหก! เป็นแผนของแกจะทำให้พวกเราแตกคอกันน่ะสิ พวกเราไม่เชื่อหรอก” แจ๋ไม่เชื่อ
“เออ ใช่ ไปโกหกที่อื่นไป๊!” กิมจิไล่
“โกหกรึเปล่า ลองถามเจ้าตัวดูดีกว่า จริงมั้ยจ๊ะน้องหวี” ธนวัติหันมาเล่นงานฉวีวรรณ
“ไม่จริงใช่มั้ยหวี มันโกหกใช่มั้ย บอกไปเลย”
ฉวีวรรณอึกอัก ดนัยยืดอกตัดสินใจพูด
“เรื่องที่ธนวัติพูด เป็นความจริง”
ทุกคนตกใจ
“เห็นมั้ย ฉันกะแล้ว” กิมจินึกขึ้นมาได้ “ห๊า!”
“ความจริงก็คือความจริง ไม่มีประโยชน์ที่จะปิดบังไว้อีกต่อไป”
ชลิตเดือดพุ่งเข้าไปกระชากคอเสื้อดนัยขึ้น เขย่า
“แกทำแบบนี้ได้ยังไง แกแอบคบหวีตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ฉันผิดเอง ชลิต” ฉวีวรรณแหวกขึ้นเสียงเข้ม ชลิตชะงัก
“หวี” ชลิตหันมามองด้วยความสะเทือนใจ
“ถึงจะเป็นความรัก แต่มันก็กลับมาทำลายทุกอย่าง เพราะฉันรักคนผิด ฉันไม่ควรรักแฟนของน้องสาวตัวเอง ฉันไม่ควรทำลายความรู้สึกดีๆ ของนาย แบบนี้ ฉันแย่มากๆ ที่ทำให้คนที่รักฉัน อย่างนายกับยายหวันเสียใจ...ฉัน... ฉันขอโทษ”
ฉวีวรรณพูดไปน้ำตาไหลอาบแก้ม ทุกคนอึ้งสะเทือนใจไปด้วย จู่ๆ อุ๊บอิ๊บก็ปรบมือขึ้นเดินออกมา
“ดราม่ามากๆ การแสดงเริ่ดค่า แต่เธอไม่ต้องเสียใจไปหรอกนะ ฉวีวรรณ ยายหวันน้องเธอก็ไม่เบาหรอก เกินหน้าเกินตาพี่สาวด้วยซ้ำ”
อุ๊บอิ๊บยกมือถือออกมา ดาหวันรีบถลาเข้าไปห้าม
“อย่านะอุ๊บอิ๊บ ฉันบอกเลิกพี่ดนัยตามที่เธอต้องการแล้ว เธอต้องรักษาสัญญาสิ”
อุ๊บอิ๊บผลักดาหวันล้มลง
“ฮึย แกมันโง่เอง ช่วยไม่ได้” อุ๊บอิ๊บหันมาพูดกับทุกคน “ดูซะให้เต็มตา”
อุ๊บอิ๊บเปิดคลิปจากโทรศัพท์มือถือให้ทุกคนดู
เป็นภาพดาหวันกับชลิตตอนที่ไล่ทุบๆกัน แล้วดาหวันก้มลงไปจูบกับชลิต
ทุกคนตกใจ
“เป็นไงล่ะ คมชัดมั้ยล่ะ ยายหวันกับพี่ชลิตลักลอบได้เสียกันมานานแล้ว”
ดาหวันรู้สึกผิด ชลิตกุมมือดาหวันไว้
“ไม่จริงใช่มั้ยชลิต..หวัน…คลิปบ้าๆ นี่มันเรื่องโกหกใช่มั้ย”
ชลิตพยักหน้า ยอมรับความจริง
“อุ๊บอิ๊บไม่ได้โกหก”
ดนัยโกรธแทนฉวีวรรณ ปล่อยหมัดเข้าหน้าชลิตไปเต็มๆ
“แกไม่ใช่ลูกผู้ชาย ฉันไม่นึกเลยว่าแกจะเลวได้ขนาดนี้”
“ฉันขอโทษ” ชลิตยอมจำนน
ดนัยโมโหจะเข้าไปต่อยซ้ำอีก
“พูดได้แค่นี้เหรอวะ”
ดาหวันรีบพุ่งเข้าไปผลักดนัยออก แล้วกางแขนป้องชลิต
“อย่าทำร้ายพี่ชลิตนะ ไม่ว่าพี่หรือใครก็ไม่มีสิทธิ์ทำอะไรพี่ชลิตทั้งนั้น”
“หวัน” ดนัยอึ้ง
ดาหวันทำก๋ากั๋น แต่จริงๆไม่ใช่อย่างนั้น
“พี่ชลิตไม่ได้บังคับหวัน พี่ได้ยินมั้ย หวันยอมเขาเอง”
ดนัยอึ้งจ๋อยไป ฉวีวรรณพุ่งเข้ามาด้วยอารมณ์โกรธน้องสาวอย่างแรง
“ยายหวัน! ทำไมทำตัวไร้ค่าแบบนี้ พี่ผิดหวังในตัวหวันจริงๆ”
“แล้วพี่หวีล่ะ ทีพี่หวียังไม่เคยบอกหวันเรื่องที่พี่หวีรักกับพี่ดนัยเลย พี่หวีไม่มีสิทธิ์ว่าหวัน เพราะพี่หวีก็ไม่ต่างจากหวัน”
ฉวีวรรณพลั้งมือ ตบหน้าดาหวัน
ดาหวันเสียใจ ร้องไห้ออกมา “หวันเกลียดพี่หวี”
ดาหวันวิ่งร้องไห้หนีไปทางหนึ่ง
“ยายหวัน”
ฉวีวรรณละสายตามองที่ฝ่ามือตัวเอง เสียใจที่พลั้งมือทำร้ายน้อง แล้ววิ่งหนีออกไปอีกทาง
“หวัน!” / “หวี!”
ดนัยกับชลิตมองหน้ากัน แล้วดนัยตามฉวีวรรณไป ส่วนชลิตตามดาหวันไป แจ๋ กิมจิ บุญทิ้งอึ้งสุดๆ
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย งงไปหมดแล้ว” แจ๋บอก
“เจริญพร ทุกปัญหาย่อมมีทางออก”
“ถูกต้อง และถ้าทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะความรัก ฉันเชื่อว่าทุกอย่างก็ต้องจบลงด้วยความรักแน่นอน”
วินยาพูดอย่างเชื่อมั่น กิมจิ แจ๋ บุญทิ้ง สางโป ไม่สบายใจ เป็นห่วงทั้งสี่คน
ขณะที่ธนวัติ พาณิชย์และอุ๊บอิ๊บยิ้มร้าย สะใจที่ทำให้ทั้งสี่คนแตกคอกันได้

ดาหวันวิ่งร้องไห้ แล้วมาหยุดสะอื้นที่ใต้ต้นไม้มุมหนึ่ง ชลิตตามมา มองหาดาหวัน
“หวัน”
ชลิตเข้าไปดึงตัวดาหวันให้หันมาหา
“เราจะแต่งงานกัน พี่จะไม่ให้ใครมาว่าหวันอีก”
ดาหวันเครียด ส่ายหน้า
“ไม่ หวันไม่แต่ง”
“ทำไมล่ะหวัน พี่รู้ว่าหวันรักพี่”
“หวันไม่อยากได้ชื่อว่าแย่งแฟนพี่สาวตัวเอง ถ้าเราแต่งงานกัน หวันคงมองหน้าพี่หวีไม่ติดไปตลอดชีวิต"
“แล้วพี่ล่ะหวัน หวันไม่แคร์พี่เลยใช่มั้ย”
ดาหวันสบตาชลิตด้วยความปวดร้าว แต่ก็ต้องพูดทั้งที่น้ำตาคลอเบ้า
“พี่เป็นคนดี อีกไม่นานพี่คงหาแฟนใหม่ได้”
“หวันพูดอะไร” ชลิตเสียใจ
“หวันพูดจริงๆ คนดีๆอย่างพี่ ไม่ขาดคนรักแน่ แต่พี่สาวของหวันมีอยู่แค่คนเดียว พี่คงเข้าใจหวันนะลาก่อน…พี่ชลิต”
ชลิตจะดึงไว้ ดาหวันผลักชลิตผงะถอยล้มลงไป แล้วหันเดินหนีออกไปอย่างเร็ว ชลิตได้แต่มองตามหลังดาหวันไปด้วยความเจ็บปวดหัวใจ
ชลิตร้องตะโกนตามหลัง “หวัน หวันทิ้งพี่ได้ แต่ห้ามพี่ไม่ให้รักหวัน...ไม่ได้”
ดาหวันชะงัก ร้องไห้น้ำตาหยดออกมา แต่ไม่ยอมหันกลับมามอง แล้วแข็งใจรีบเดินออกไปก่อนจะใจอ่อน ชลิตมองตามไร้เรี่ยวแรง น้ำตาคลอเบ้า แล้วค่อยไหลรินออกมา

ฉวีวรรณเดินดุ่มๆ สีหน้านิ่งๆ แต่น้ำตาไหลอาบแก้มมาตามทาง เจ็บปวดในใจ ฉวีวรรณเดินมาหยุดยืนอยู่มุมหนึ่ง น้ำตาไหลพรั่งพรูออกมาเป็นสาย เสียงดนัยดังขึ้นมาจากข้างหลัง
“คนดี...อย่าร้องไห้เลยนะ”
ดนัยเข้ามาสวมกอดฉวีวรรณจากข้างหลัง ฉวีวรรณอึ้ง ยิ่งอยากจะร้องไห้ ดนัยพูดขึ้นที่ข้างหูฉวีวรรณ
“ตอนนี้ทุกคนรู้แล้ว ไม่จำเป็นต้องปิดบังอีกต่อไป เธอเองก็ควรยอมรับความจริง…ว่าเรารักกัน”
ฉวีวรรณน้ำตาร่วง แล้วฝืนพูดออกมา
“ไม่ ฉันไม่ได้รักนาย เรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันมาจากความผิดพลาดมาตั้งแต่แรกแล้ว”
ดนัยอึ้งชะงักขึ้นมา
“อะไรนะ”
ฉวีวรรณหันกลับมาหาดนัย พูดขึ้นเจ็บปวด
“เป็นเพราะนายช่วยผิดคน นายคิดว่าฉันเป็นหวัน ที่จริงแล้วคนที่อยู่ข้างๆ นายควรเป็นหวัน ไม่ใช่ฉัน
ถ้าไม่เกิดการผิดฝาผิดตัวตอนวันหมั้น เรื่องทุกอย่างคงไม่กลายเป็นแบบนี้”
“แต่เรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว เราย้อนกลับไปแก้ไขอดีตไม่ได้” ดนัยแย้ง
“เราแก้อดีตไม่ได้ แต่เราแก้ปัจจุบันได้”
“แล้วเธอจะแก้ยังไง” ดนัยสงสัย
“เราไม่ควรอยู่ใกล้กันอีก...เราเลิกกันเถอะ”
ฉวีวรรณปล่อยมือจากดนัยและวิ่งหนีไป
ดนัยเสียใจร้องตามเสียงลั่น “หวี”
ดนัยมึนงง ช็อก เสียใจ เหมือนโดนทุบศีรษะ น้ำตาคลอหน่วย แต่ยังไม่ร้องไห้ออกมา ดนัยวิ่งตามฉวีวรรณออกไป

ดนัยวิ่งเข้ามาหาฉวีวรรณ เหลียวซ้าย แลขวา ตะโกนเรียก แต่ทุกอย่างว่างเปล่า เห็นแค่ใบไม้แห้งที่ร่วงพื้น ปลิวไปตามแรงลม ดนัยหมุนคว้าง แล้วสะดุดล้มลงไปตรงหนึ่ง ฉวีวรรณ ที่แอบอยู่ข้างพุ่มไม้แถวนั้น ขยับจะไปหาแบบเป็นห่วง แต่แล้วกลับชะงัก ปิดปากตัวเองไม่ให้เสียงร้องไห้ดังออกมา แต่น้ำตาไหล พรั่งพรู่

ชลิตนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ จมอยู่กับความเศร้าผิดหวัง ดวงตาฉายความเจ็บปวดในใจ กลีบดอกไม้ป่าค่อยๆโปรยลงมาใส่ตัวชลิต ให้อารมณ์เศร้าๆเหงาๆปวดร้าว แต่สวย

ดาหวันยืนเหงา เศร้าเพราะ รัก ร้องไห้อยู่บนเนินแห่งหนึ่ง หมอกสโมคปกคลุมให้ความรู้สึกเหงาๆ เศร้า โดดเดี่ยวเช่นกัน ดาหวัน น้ำตาไหล พรั่งพรู่ เจียนจะขาดใจ ตัดใจจากชลิตไม่ได้
ฉวีวรรณนั่งมองหินสีชมพูในมือ น้ำตาฉวีวรรณหยดลงไปบนหิน เผาะๆ
ดนัยนอนอยู่กับพื้นหญ้า เหม่อมองไปบนท้องฟ้า คิดถึงฉวีวรรณ
ฉวีวรรณยกหินสีชมพูขึ้นมาดูใกล้ๆ คิดถึงดนัย แล้วเอาหินมาวางไว้แนบอก ปวดร้าว ฉวีวรรณปวดร้าว น้ำตาไหลหยด

ธนวัติ พาณิชย์และอุ๊บอิ๊บหัวเราะสะใจ ทั้งสามเดินกลับมาที่รถจอดอยู่ มีลูกน้องตาม
“สะใจจริงๆ ตอนเห็นหน้าไอ้ดนัยกับไอ้ชลิต มันรู้ว่าคนที่มันรัก นอกใจมัน” ธนวัติว่า
“อุ๊บอิ๊บหมั่นไส้นังสองคนพี่น้องนี่มานานแล้ว สมน้ำหน้ามันนัก”
ทั้งสามหัวเราะสะใจ แล้วพาณิชย์นึกได้
“เอ๊ะ เดี๋ยวก่อน แล้วเรื่องคลิปนั่นเป็นของจริงรึเปล่า ไอ้ชลิตกับน้องหวัน”
“จริง” อุ๊บอิ๊บแกล้งพาณิชย์
พาณิชย์โวยวาย “หา ฉันต้องรับเดนจากไอ้ชลิตงั้นเหรอ”
“โอ๊ย ล้อเล่นน่า อุ๊บอิ๊บจัดฉากขึ้นมาเองทั้งหมดแหละ พี่ชลิตกับยายหวันแค่เมาเห็ดหมดสติไป แต่ไม่ได้มีอะไรกัน”
เสียงบุญทิ้งดังลอดเข้ามา “จริงรึครับคุณอุ๊บอิ๊บ”
“จะถามอะไรนักหนา ก็จริงสิ” อุ๊บอิ๊บคุ้นเสียงนึกได้หันไปเห็นบุญทิ้งเดินออกมาจากพุ่มไม้มุมหนึ่งแถวนั้น ก็รู้สึกตกใจ “บุญทิ้ง!”
“จิตใจคุณเป็นแบบไหน ใส่ร้ายคนอื่นอย่างนั้นได้ยังไง” บุญทิ้งด่าอย่างโมโห
“อย่ามาทำตัวเป็นพ่อพระแถวนี้ จะบอกให้นะ มากกว่านี้ฉันก็ทำได้ยะ”
บุญทิ้งโกรธที่อุ๊บอิ๊บไม่เลิกทำชั่วเสียที “เจริญพร!! งั้นก็ดี”
บุญทิ้งเข้าไปฉวยมืออุ๊บอิ๊บจะดึงไป
“ปล่อยนะ จะพาฉันไปไหน”
“ถ้ากล้าทำก็กล้ารับสิ ไปสารภาพความจริงให้ทุกคนรู้เดี๋ยวนี้”
อุ๊บอิ๊บจะสะบัดมือหนี บุญทิ้งไม่ยอมปล่อย ธนวัติโมโหเข้าไปต่อยบุญทิ้งกระเด็นออกไป
“ปล่อย”
พาณิชย์ตามเข้าไปถีบอีก
“นี่แน่ะ สาระแนนัก”
“อ๊อย”
บุญทิ้งร้องด้วยความเจ็บปวด ร่างกระเด็นไปตามแรงถีบ
ธนวัติ พาณิชย์ และบรรดาลูกน้อง รีบกรูตามไป
“อย่าให้มันหนีไปได้”
อุ๊บอิ๊บหน้ายุ่งเป็นห่วงบุญทิ้ง
“บุญทิ้ง”
อุ๊บอิ๊บรีบวิ่งตามหลุดเฟรมไป
บุญทิ้งล้มลงไปกับพื้น แล้วพยายามลุกขึ้นจะวิ่งหนี แต่พวกธนวัติ ตามมาล้อมไว้ได้
พาณิชย์ “ไอ้มหาไก่อ่อน!! แกซวยแน่”
พาณิชย์พูดพร้อมกับก้าวเข้าไปกระทืบบุญทิ้งซ้ำ บุญทิ้งหลบหลีกสู้กับพาณิชย์ได้ ธนวัติเลยเข้าไปช่วย จังหวัดนั้นอุ๊บอิ๊บวิ่งตามมา หน้าตาตื่น ตาโต กลัวบุญทิ้งจะเป็นอะไรไป
“บุญทิ้ง” อุ๊บอิ๊บร้องห้าม “พี่วัติ พี่พาณิชย์ พอได้แล้ว”
ธนวัติ กับพาณิชย์ไม่มีใครฟังเสียงอุ๊บอิ๊บ เข้ามารุมกระทืบบุญทิ้ง อย่างเอาเป็นเอาตาย จังหวะหนึ่งลูกสมุนจับแขนบุญทิ้งคนละข้างให้พาณิชย์ซ้อม บุญทิ้งสะบักสะบอมจนเลือดกบปาก พาณิชย์ต่อยหมัดสุดท้าย จนบุญทิ้ง สลบเมือดไปเลย
ธนวัติควักปืนออกมา เล็งไปที่บุญทิ้งจะยิง อุ๊บอิ๊บร้องเสียงหลง รีบวิ่งเข้ามาห้าม
“อย่าพี่วัติ”
“อะไรวะ แกชอบไอ้ซื่อบื้อนี่เหรอ”
อุ๊บอิ๊บรีบออกตัว “บ้าสิ ฉันไม่อยากให้พี่วัติ พี่พาณิชย์มีคดีติดตัวโดยไม่จำเป็น อีกอย่าง เราใช้มันเป็นเครื่องต่อรองกับพวกพี่ดนัยพี่ชลิต ได้นะ”
ธนวัตินิ่งคิด แล้วคล้อยตาม
“เฮอะ อย่ามาแม่พระหน่อยเลย” พาณิชย์หยิบปืนออกมา “พี่วัติไม่ยิง ฉันยิงเอง”
ธนวัติห้ามพาณิชย์
“เฮ้ย อุ๊บอิ๊บมันพูดถูก เก็บมันไว้ใช้งานก่อน”
อุ๊บอิ๊บแอบยิ้มด้วยความดีใจ ธนวัติหันสั่งลูกน้อง

“เอาตัวมันไป ...หาเวรยามเฝ้าอย่าให้หนีไปได้”

อ่านต่อหน้า 2





หอบรักมาห่มป่า ตอนที่ 21 (ต่อ)

ศิริเดินเข้ามาในห้องนอนฉวีวรรณ หยิบรูปฉวีวรรณกับดาหวันที่ตั้งไว้ในห้องขึ้นมาดู ด้วยความคิดถึง ระหว่านั้นเสียงของนงนุช ดังเข้ามาในหัวศิริอีกครั้ง

“สิ่งที่คุณขาดก็คือคุณเอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางจนไม่นึกถึงจิตใจของคนอื่น ที่ลูกๆ คุณหนีไป ก็เพราะพวกแกโดนคุณบังคับเหมือนกัน ใช่ไหมล่ะ”
ศิริกลอกตาไปมา แล้วจ้องมองรูปฉวีวรรกับดาหวัน ทบทวนเหตุการณ์ต่างๆ ที่เคยเผด็จการกับลูกสาว

เหตุการณ์ที่ฉวีวรรณเรียกเขาว่าพ่อใจยักษ์
ตอนที่ดนัยเถียงศิริ “คุณลุงไม่เชื่อผมไม่เป็นไร แต่คุณลุงไม่คิดจะฟังลูกสาวตัวเองบ้างเลยหรือครับ”
ศิริโกรธต่อยหน้าดนัยอย่างแรงจนหน้าหัน ฉวีวรรณและดาหวันพยายามอธิบาย
“พ่อคะ พวกเขาไม่ผิด”
“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น พ่อไม่อยากฟัง”

นึกถึงตรงนี้ศิริมีสีหน้าสลดลง เริ่มคล้อยตามกับที่นงนุชพูด
“หวี หวัน พ่อทำให้ลูกลำบากใจ พ่อมันเอาแต่ใจเกินไปใช่มั้ย”
ศิริ รู้สึกผิด...มีท่าทีอ่อนลง

ดนัยรู้สึกตัวตื่นขึ้นตอนเช้าของวันใหม่ เผลอหลับไปตรงที่เดิมที่อยู่เมื่อคืน ดนัยนึกถึงฉวีวรรณ
ดนัยมาที่บ้านพักของฉวีวรรณ ชะเง้อมองในบ้านที่ปิดประตูเงียบ ดนัยสังเกตเห็นด้านหน้าบ้านไม่มีรองเท้า
“รองเท้าไม่อยู่ หวีไปไหน”
ดนัยเดินมองหารอบๆ บ้าน ไม่ทันระวัง มาชนกับชลิต
“ชลิต”
ชลิตเห็นหน้าดนัยแล้วก็โมโหขึ้นมา
“แกมาทำอะไรแถวนี้ จะทำให้หวันเสียใจอีกใช่มั้ย แกไปไกลๆ เลยนะ”
ดนัยจ้องหน้าชลิตแบบไม่พอใจ หงุดหงิด แต่ไม่คุยด้วย เดินหนี ชลิตยิ่งไม่พอใจ
“แน่จริงอย่าเดินหนีสิ ไอ้เพื่อนทรยศ”
ดนัยโกรธ หันมาชกหน้าชลิตล้มลง ชลิตโกรธ
“ไอ้ดนัย”
ชลิตคำราม พุ่งเข้าชกดนัยบ้าง ทั้งสองชกกันไปมาไม่มีใครยอมใคร

ทั้งสองชกกันเข้าเฟรมมา นัวเนีย สูสี ผลัดกันชกหน้าคนละที จนเหนื่อยหอบ
“ไอ้ดนัย ไอ้บ้า แกมาชกฉันทำไม”
“แกเอาแต่ว่าคนอื่น ไม่ดูตัวเอง” ดนัยว่า
“ทำไม แกมีปัญหาอะไรก็พูดมาเลย” ชลิตงง
“แกทำลายหวัน ทำร้ายจิตใจหวี แล้วยังโกหกชั้นมาตลอด นี่เหรอวะ ชลิต เพื่อนที่ดีเขาทำกันอย่างนี้หรือวะ”
ชลิตพูดไม่ออก รู้สึกผิดเหมือนกัน
“ฉัน”
“แกนั่นแหละเพื่อนทรยศ เพราะความโลเลหลายใจของแกแท้ๆ ทำให้ทุกอย่างมันยุ่งเหยิงไปหมดแบบนี้”
ชลิตกระชาคอเสื้อดนัย หน้าตาจริงจัง
“ไม่ใช่ ฉันไม่เคยหลายใจ ความรักของฉันมีให้หวันคนเดียว”
ดนัยอึ้งไป มองสงสัย
“อะไรนะ”
“ใช่ เมื่อก่อนฉันเคยชอบหวี แล้วเด็กกะโปโลอย่างหวันไม่เคยอยู่ในสายตาฉันเลย แต่ไม่รู้ทำไม ยิ่งรู้จักหวันมากขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างในตัวเขาทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองมีค่า และเขาก็เป็นผู้หญิงคนเดียวที่ฉันอยากปกป้อง อยากร่วมทุกข์ร่วมสุขไปด้วยกัน ฉันไม่เคยรู้ตัวเลยว่ารู้สึกแบบนี้ กับหวัน ตั้งแต่เมื่อไร รู้แต่ว่าตอนนี้หัวใจฉัน ไม่มีที่ว่างให้ใครอีกแล้ว”
ดนัยอึ้ง เริ่มเข้าใจชลิตมากขึ้น
“ฉันก็รู้สึกไม่ต่างจากแก ไม่เคยคิดว่าผู้หญิงอย่างยายป้าหวี จะมาทำให้ฉันรู้สึกว่าโลกนี้มันน่าอยู่ ชีวิตฉันมีคุณค่า”
“พูดอย่างนี้ แน่ใจนะว่าแกจะไม่ย้อนกลับไปหายายหวัน”
“แกไม่ต้องห่วงหรอก สาบานได้ว่าฉันไม่มีทางมองคนอื่นอีกแล้วหวีเป็นคนเดียวที่ทำให้ฉันได้รู้จักคำว่ารักแท้” ดนัยจริงจังมาก
“อย่างที่เขาว่า...ความรักทำให้เรามีชีวิต”
ดนัยมองหน้าชลิต เคลียร์แบบแมนๆ เข้าใจกันแล้ว ดนัยยื่นมือให้ชลิตจับแมนๆ
“ฉันขอโทษ”
“ฉันก็เหมือนกัน”
ดนัยกับชลิตตบไหล่กันแมนๆ แล้วดนัยนึกได้
“เราเสียงดังกันขนาดนี้ทำไมหวีไม่ออกมาดู หรือว่า…”
ดนัยและชลิตต่างเอะใจ รีบแยกย้ายกันไปดูที่บ้านพัก

ดนัยเปิดประตูเข้ามา “หวี!”
ในบ้านว่างเปล่า ไม่มีใคร เสื้อผ้าข้าวของก็หายไปหมด ดนัยเครียด
เวลาเดียวกันนั้น ชลิตเปิดประตูเข้ามาในบ้าน ไม่มีวี่แววของดาหวันเช่นกัน
ชลิตร้องเรียก “หวัน!”

ดนัยและชลิตวิ่งกลับมาเจอกัน
“หวันไม่อยู่”
“หวีก็เหมือนกัน ไม่มีใครอยู่เลย”
สางโปเข้ามาเอ่ยขึ้น
“เขาออกไปกันตั้งแต่เช้ามืดแล้วล่ะ”
ดนัยและชลิตตกใจ

ฉวีวรรณเดินแบกสัมภาระของตัวเองตามหลัง แจ๋ กิมจิ อย่างซึมๆ เหงาๆ อกหัก แจ๋ กิมจิ แบกกระเป๋าข้าวของ เดินบุกป่าอยู่ข้างหน้า กิมจิบ่นขึ้น
“บุญทิ้งมันหายไปไหนของมันเนี้ย มันไม่รู้หรือไงว่าเพื่อนเป็นห่วง” กิมจิบ่น
“บุญทิ้งออกไปตามดนัยกับชลิตนั่นแหละ ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ยังไงมันก็อยู่ที่หมู่บ้านชาลัน เดี๋ยวเราค่อยถามข่าวมันก็ได้” แจ๋
แจ๋พยักเพยิดให้กิมจิดูฉวีวรรณ ที่เดินเหม่อๆ เศร้าๆมา
“แกกับฉัน มาช่วยกันดูยายหวีดีกว่า ดูดิ เดินเซื่องยังกับคนอกหัก”
กิมจิมองตามไปแล้วส่ายหน้าถอนใจ แล้วหันกลับไปมองทางข้างหน้าใหม่แล้วดีใจ
“เฮ้ย! ถนน”
“เฮ้ย จริงด้วย เจอถนนแล้ว”
ทั้งสองกระโดดด้วยความดีใจ แล้วจะวิ่งไป นึกขึ้นได้หันกลับมาดึงฉวีวรรณให้รีบวิ่งไป

แจ๋ กิมจิ จูงฉวีวรรณ วิ่งจากป่าออกมาที่ถนน พอดีกับที่รถกระบะคันหนึ่งแล่นผ่านหน้าไป
“รถกระบะ!” แจ๋ร้องบอก
ฉวีวรรณ แจ๋และกิมจิรีบวิ่งตามรถ
“หยุดก่อน”
“รอด้วยๆๆ”
พอรถจอด ฉวีวรรณ แจ๋ กิมจิ เดินเข้าไปถามคนขับ
“ขอติดรถเข้าไปในเมืองด้วยนะคะ” แจ๋ขอร้อง
คนขับพยักหน้ารับ แจ๋ กิมจิ พาฉวีวรณ รีบวิ่งไปขึ้นท้ายรถกระบะ

ฉวีวรรณ แจ๋ กิมจิและบุญทิ้งขึ้นมาบนรถ โดยตอนแรกมัวแต่ดีใจกันเลยยังไม่ได้มอง พอปีนขึ้นมาแล้ว มองไปเห็น ดาหวันที่นั่งอยู่บนรถอยู่แล้ว
แจ๋ กับกิมจิแปลกใจที่เห็นดาหวัน “ยายหวัน”
ฉวีวรรณเองก็แปลกใจ “หวัน! มาอยู่ที่นี่ได้ไง”
ดาหวันพูดเชิดๆกับฉวี “พี่ล่ะ มาทำอะไรแถวนี้”
“พี่จะกลับบ้าน”
“หวันก็จะกลับเหมือนกัน”
ฉวีวรรณพูดอย่างงอนๆ “งั้น...พี่กลับหมู่บ้านชาลันก็ได้”
ฉวีวรรณทำท่าจะลงจากกระบะ แต่คนขับดันออกรถพอดี ฉวีวรรณผงะจะล้ม แจ๋กับกิมจิช่วยดึงตัวไว้
“นั่งลง ยายหวี” แจ๋บอก
“สายไปแล้ว ปิ๊กบ้านเฮาเต๊อะ” กิมจิเย้า
ฉวีวรรณจำใจนั่งลง คนละมุมกับดาหวัน ทั้งสองมองตากัน ต่างคนต่างน้อยใจ แล้วดาหวันเมินหน้าหนีไปอีกทาง ฉวีวรรณเสียใจ หันหน้าหนีไปคนละทาง
แจ๋และกิมจิลำบากใจ แต่ก็นั่งลงตรงกลาง รถกระบะแล่นไปบนถนน

ศิริกำลังพูดต่อหน้าคนงาน มีกล่องติดป้ายว่า”กล่องความคิดเห็น” ตรงหน้า
สุภาพ อาหลู่ยืนอยู่ข้างๆ นงนุชเดินผ่านมาแล้วมองเห็นหยุดฟังอย่างสนใจ
“ฉันจะตั้งกล่องแสดงความคิดเห็นไว้ตรงนี้ ใครมีปัญหา หรือเห็นว่าฟาร์มของเราควรจะปรับปรุง
สวัสดิการ ยังไง ก็สามารถเขียนแสดงความคิดเห็นมาได้ รับรองว่าฉันอ่านทุกฉบับ และก็ยินดีปรับปรุงแก้ไข เพื่อให้พวกเราทุกคนที่นี่อยู่กันอย่างมีความสุข”
สุภาพ อาหลู่นำเฮ ดีใจ ขึ้นมา คนงานไชโยดีใจกัน นงนุชยิ้มออกมาได้ ที่เห็นศิริเปลี่ยนไป แล้ว เหลือบไปมองสบตากับศิริที่ยิ้มปลื้มอยู่พอดี ศิริกับนงนุชสบสายตา รู้สึกดีๆ ต่อกัน

ครู่ต่อมาศิริเดินเข้าบ้านมาหยุดอยู่ตรงมุมหนึ่ง แล้วได้ยินเสียงนงนุชเรียก
“คุณศิริ น้ำส้มค่ะ”
ศิริหันไปมองเห็น นงนุชถือแก้วน้ำส้ม เดินเข้ามาหาแล้วยื่นส่งให้
“ฉันคั้นเองนะคะ ลองชิมดูหน่อยล่ะกัน”
“ขอบคุณนะครับ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ส้มนี่ฉันไม่ได้ซื้อสักผล จากสวนของคุณนั่นแหละค่ะ”
“ไม่ใช่สำหรับน้ำส้มเท่านั้นนะครับ แต่ขอบคุณสำหรับน้ำคำของคุณที่เตือนสติให้ผมได้คิดอะไรหลายๆ
อย่าง”
นงนุชยิ้มรับ “คุณรู้แล้วใช่ไหม ความสุขเกิดขึ้นง่ายๆ แค่คุณรู้จักฟังคนอื่นบ้าง”
ศิริยิ้มรับ แล้วยื่นมือออกไปรับแก้วแต่ถือโอกาสกุมมือนงนุชไว้
“ขอบคุณครับ...จากใจจริง”
นงนุชกับศิริ สบตากัน นงนุชเขิน
เสียงทองอินดังเข้ามา “นุช อยู่ไหนน่ะ”
ทั้งสองรีบชักมือกลับ หน้าตาเก้อเขิน ทองอิน สุภาพ และอาหลู่เดินเข้ามาหา
“นั่นไง แหมอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา” สุภาพว่า
“อุ้ยนั่น นายเป็นไข้หรือ หน้าแดงเชียว” อาหลู่ผสมโรง
สุภาพทำหน้ารู้ทัน มองนงนุชกับศิริ “ไข้ใจหรือเปล่าเนี่ย”
ศิริทำท่าจะซัด “อย่ามาทะลึ่ง ...คนเขาคุยเรื่องงานเรื่องการกันหรอกเว้ย”
นงนุชเปลี่ยนเรื่องถามทองอิน “ได้ข่าวดนัย ชลิต แล้วก็ลูกสาวคุณศิริหรือยัง”
ทองอินพยักหน้าตื่นเต้น “ฉันจะมาบอกเธอเรื่องนี้แหละ เมื่อวานก่อนวินยาส่งข้อความมาบอกฉัน แต่พอดีฉันติดภารกิจอยู่ในป่า ไม่มีสัญญาน วันนี้พึ่งจะอ่านข้อความได้”
“มีข่าวอะไรก็รีบๆ บอกมาเถอะ ผมอยากรู้เรื่องหวีกับหวันจะลงแดงแล้ว”
“วินยาบอกว่า ดนัยกับชลิต แล้วก็เด็กๆ ทุกคน กลับมาอย่างปลอดภัย ทั้งหมดอยู่ที่หมู่บ้านชาลัน
ทองอินพูดยิ้มๆ ศิริกับนงนุช และทุกคนดีใจ
“ยายหวียายหวัน กลับมาแล้ว”
“ดนัย โอ้ว ขอบใจมากทองอิน ข่าวดีที่สุดเลย”

ศิริกับนงนุชก้าวขึ้นรถ แล้วศิริขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว ทองอิน สุภาพ อาหลู่ ถือกระเป๋าเสื้อผ้า เป้ วิ่งตามออกมาจากในบ้าน แต่ไม่ทันเสียแล้ว
“นายๆ เดี๋ยวก่อน รอผมด้วย” สุภาพร้องตาม
“โอ้ย จะรีบไปไหนกันเนี้ย” อาหลู่โวย
“ออกตัวเร็วเหลือเกิน สองคนนี้ ท่าทางจะคิดถึงลูกกันสุดๆ”
ทองอินส่ายหน้า มองตามออกไป ด้วยความเข้าใจ

ชลิตกับดนัยเดินดุ่มๆ ไปตามทางออกจากหมู่บ้านชาลัน
เสียงวินยาเรียกขึ้น
“ดนัย ชลิต”
ทั้งสองชะงักหันไปมอง วินยาเดินเข้ามาหาทั้งสองหนุ่ม พูดขึ้นยิ้มๆ ไม่ได้ต่อว่าจริงจังนัก
“จะไปโดยไม่ลาเลยเหรอ”
“โทษทีนะ วินยา ฉันเห็นเธอกำลังยุ่งอยู่”
“อีกอย่าง พวกเราไม่มีทางทิ้งที่นี่ไปไหนแน่ๆ แค่กลับไปปฏิบัติภารกิจของหัวใจก่อน ใช่มั้ยดนัย”
“ตราบใดที่ขบวนการค้าไม้เถื่อนยังไม่หมดไป เราได้เจอกันอีกแน่ๆ วินยา” ดนัยยิ้มรับ
“สัญญา” วินยาขอคำมั่น
ดนัยยื่นมือออกไป
“เพื่อนกัน ไม่ทิ้งกันอยู่แล้ว”
วินยาสบตาดนัยอึ้ง ที่เขายังเห็นเป็นแค่เพื่อนอยู่นั่นเอง วินยาแข็งใจ ยิ้มแมนๆ ยื่นมือออกไปจับมือดนัย
“ขอบใจนะ...เพื่อน”
ชลิตลอบมองวินยาสังเกตอาการโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา

ทั้งสองหนุ่มเดินมาด้วยกัน จังหวะหนึ่งชลิตหันมาถามดนัย
“แกว่า วินยาเขาคิดยังไงกับแก”
“ถามอะไรวะ”
“อ้าว ก็แกไม่รู้สึกอะไรบ้างเหรอ ไอ้ดนัย”
“ฉันกับวินยาเป็นลูกกำพร้าเหมือนกัน เลยคุยกันรู้เรื่องน่ะ”
“แต่ว่าฉันว่า วินยาเค้าห่วงใยแกเป็นพิเศษ” ชลิตตั้งข้อสังเกต
ดนัยหยุดเดินแล้วหันมามองชลิต
“พอเหอะ แค่เรื่องฉวีวรรณคนเดียวฉันก็ปวดหัวจะแย่แล้วนะ อย่ามาหาเรื่องใส่หัวฉันอีกเลย”
ดนัยนึกได้ขึ้นมา
“เฮ้ย ลืมได้ไงเนี้ย โธ่”
“อะไรวะ”
ชลิตถามออกมาด้วยความสงสัย

วินยาเหม่อๆ ไปตามทาง กลับหมู่บ้าน จู่ๆ รถของธนวัติ แล่นพุ่งเข้ามาหาวินยา ด้วยความเร็วสูง
ไวเท่าความคิด วินยาสะดุ้ง รีบกระโดดหลบไปข้างทางได้อย่างเฉียดฉิว ธนวัติเบรกรถเอี๊ยด แล้วถอยหลังกลับมาเพื่อจะชนวินยา
วินยาขยับวิ่งหนีอีก แต่ไปได้แค่สองสามก้าว รถพาณิชย์ก็วิ่งเข้ามาตรงหน้าวินยา
วินยาชะงักอยู่กับที่ เพราะข้างหน้าก็มีรถแล่นพุ่งเข้ามา ข้างหลังก็มีรถถอยหลังเข้ามาหา วินยาเหลียวซ้ายแลขวา สบถออกมา
“ไอ้พวกนรกส่งมาเกิด”
ธนวัติยิ้มกริ่มอย่างสะใจ ส่วนพาณิชย์หัวเราะชอบใจ จังหวะนั้นรถพุ่งเข้ามาเกือบถึงตัววินยาทั้งสองทาง
วินยากระโดดตัวลอยขึ้นไปบนอากาศ แล้วม้วนตัวลงมาใหม่ อยู่บนหลังคารถของธนวัติ
“แกนึกว่าแกจะรอดหรือ นังวินยา”
พาณิชย์โผล่หน้าออกไป แล้วยกปืนขึ้นยิง “เปรี้ยง”
วินยาหลบ ธนวัติหัวเราะชอบใจ แล้วออกรถ วินยายืนอยู่บนหลังคารถธนวัติที่เคลื่อนตัวออกไป โดยมีรถของพาณิชย์ขับไล่จี้ตามหลัง พร้อมรถสมุนขับตามมาติดๆ

วินยาเกาะหลังคารถธนวัติไป แทบจะยืนทรงตัวไม่อยู่ และต้องคอยหลบลูกกระสุน ที่พาณิชย์โผล่จากกระจกรถออกมาไล่ยิง เปรี้ยงๆ เป็นระยะๆ วินยาหลบเฉียดฉิว
ธนวัติกับ กับพาณิชย์ สะใจ เป่าปากเยาะเย้ยอย่างชอบใจ เห็นเป็นเรื่องสนุกที่
“จอดรถ จอด” วินยาตะโกน
“ฮ่าฮ่าฮ่า ไปเกิดใหม่ซะนังวินยา”

พาณิชย์ยิงใส่อีกหลายนัด "เปรี้ยงๆ" ในขณะที่รถแล่นทะยานออกไป

รถธนวัติแล่นมาตามถนน วินยายังยืนอยู่บนหลังคารถ เกาะไว้ รถพาณิชย์ไล่ตามมาข้างหลัง ไล่ยิงต่อเนื่อง รถสมุนขับตามมาติดๆ วินยาหลบ แล้วมองเห็นต้นไม้ใหญ่อยู่ริมทาง ตัดสินใจกระโดดลอยตัวไปที่ต้นไม้ แล้วเดินบนลำต้น แล้วกระโดดไปยืนที่คบไม้
รถพาณิชย์แล่นเข้ามา วินยาปามีดสั้นไปปักที่หน้ารถพาณิชย์สุดแรง ปรากฏว่ากระจกร้าวแตกเป็นเม็ดๆ พาณิชย์ตกใจร้องลั่น เห็นปลายมีดที่โผล่เข้ามาข้างใน
พาณิชย์ เหยียบคันเร่ง รถพุ่งเข้าไปชนท้ายรถธนวัติ ธนวัติตกใจ ร้องลั่น แล้วรถทั้งคู่ พุ่งลงไปตกข้างทาง รถสมุนที่ตามหลังมาห่างๆ เลยเบรกทันไม่ได้ไปชนด้วย ธนวัติกับพาณิชย์ รีบเปิดประตูรถลงมา แล้วกลิ้งหลบ ก่อนที่รถทั้งสองจะระเบิดเสียงดังตูม

วินยากระโดดลงมาจากต้นไม้ ลงมายืนบนพื้นดิน ยิ้มสะใจ
“ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว”
ธนวัติกับพาณิชย์ที่หนีออกมาได้ อยู่ที่มุมหนึ่งมองมายังวินยาอย่างอาฆาต
“แก ตาย” ธนวัติยิงใส่วินยา
วินยาหลบกระสุนไปลูก แล้วหมุนตัวกลับมา ยกมีดสั้นออกมา ตีลูกกระสุนอีกลูก กระสุนวิ่งกลับไปที่ธนวัติพุ่งเข้าไปหา ธนวัติรีบกลิ้งตัวหลบ กระสุนพุ่งเข้าไปที่ต้นไม้ข้างหลังธนวัติแทน ทำให้กิ่งไม้ไหม้ไฟลุกพรึ่บขึ้นมา ธนวัติ กับพาณิชย์ยิ่งเดือด ธนวัติสั่งสมุนเสียงลั่น
“ฆ่ามันให้ได้ ไป”
พวกสมุนกรูเข้าไปสู้กับวินยา วินยาสู้อย่างไม่เกรงกลัว

วินยาฟาดฟันทั้งเตะทั้งต่อย แล้วปรากฏว่า เท้าเหยียบสะดุดเถาวัลย์ พลาดล้ม สมุนพุ่งเข้ามาจะแทง
ดนัยกระโดดเข้ามา เตะสมุนกระเด็น ชลิตกระโดดเข้ามาจากอีกทาง เตะสมุนอีกคนแล้วศอกใส่อีกคนร่วง

วินยาร้องออกมาอย่างดีใจ “ดนัย”
“ขอเอี่ยวด้วยคน” ดนัยบอก
ชลิตตะโกนเข้ามาขอแจมเหมือนกัน
“ฉันด้วย! เห็บมนุษย์พวกนี้ มันต้องช่วยกันบี้ให้หมด”
สมุนอีกชุดเข้ามา ชลิตจัดการ เตะ ต่อยซัดจนร่วงไปอีก ดนัยเข้าไปช่วยชลิต จนจัดการกับพวกสมุนได้หมดราบคาบ ธนวัติ กับ พาณิชย์วิ่งตามเข้ามา เห็นชลิตกับดนัย ก็โมโห
“ไอ้พวกบ้า มาได้ไงวะ” ธนวัติตะโกน
“กลิ่นชั่วพวกแกมันน้อยเสียเมื่อไหร่” ชลิตว่า
“กรรมชั่วต้องสนองแกบ้างแล้ว” ดนัย
ดนัย กับ ชลิต กระโดดเข้าถีบยอดอก ธนวัติ พาณิชย์ พร้อมกันโดยที่สองชั่วยังไม่ทันตั้งตัว
“อ๊าก” ดนัยและชลิตประสานเสียง
ธนวัติกับพาณิชย์ล้มตึงปืนร่วงจากมือ ดนัยกับชลิตหยิบปืนขึ้นมาเล็งไปที่ธนวัติกับพาณิชย์
สองวายร้ายรีบพากันวิ่งหนีตาย ดนัยกับชลิตยิงออกไป เปรี้ยงๆๆ ชลิตจะวิ่งตามไป ดนัยห้ามไว้
“พอก่อน ไปดูวินยาดีกว่า”
ทั้งสองวิ่งกลับเข้ามาหาวินยา
“วินยา เป็นไงบ้าง เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
“ข้าไม่เป็นไรหรอก สบายมาก”
ดนัยยื่นมือไปให้วินยาจับ วินยาอึ้งๆ แล้วก็จับมือดนัย ลุกขึ้นมายืน
“ขอบใจมากนะ ดนัย”
วินยามองดนัยซึ้งใจ

ดนัยยื่นกระดาษพับๆ ให้วินยา
“นี่เป็นวิธีเพาะต้นกล้าไม้ที่เราเคยคุยกันไว้ ฉันจดไว้ให้เธอแล้ว แต่ลืมเอาให้เธอเสียสนิท”
วินยารับไป “ดีเลย ชั้นจะเพาะต้นกล้าไม้ไว้รอ พวกนายต้องกลับมาปลูกป่าด้วยกันนะ อย่าลืม
“ไม่ต้องห่วง ไม่มีวันลืม” ดนัยว่า
“มีแต่ป่าเท่านั้นที่จะป้องกันภัยน้ำท่วม ภัยแล้ง และสารพัดภัยให้มนุษย์ ฉันขอจองสักร้อยต้นเลยนะ วินยา” ชลิตบอก
“ขอบใจพวกนายมาก โชคดีนะ” วินยายกมือขึ้นลา
ดนัยกับชลิตยกมือลาเช่นกัน
“ลาก่อน”
“ไปนะ วินยา”
วินยายิ้มรับ แล้วต่างคนต่างหันหลังเดินไปคนละทาง ดนัยกับชลิตก้าวไปได้อีกสองสามก้าว เสียงวินยาดังขึ้น
“พาฉวีวรรณกับดาหวันมาให้ได้นะ”
ดนัยกับชลิตหันมอง วินยาหันกลับไปมองดนัย ยิ้มให้อย่างจริงใจ
“ง้อให้สำเร็จล่ะ”
ดนัยขยิบตาให้ “ขั้นเทพ ชัวร์อยู่แล้ว”
“ขี้คุยชะมัด ให้มันจริงเหอะวะ” ชลิตหมั่นไส้ เยาะขำๆ
วินยายิ้มๆ แล้วค่อยหันกลับไป ต่างคนต่างเดินห่างกันออกไป
เวลาต่อมาดนัยกับชลิต แบกเป้ข้าวของ เดินดุ่มๆ ไปตามทาง วินยามองตามชลิตกับดนัย ที่เดิน ห่างไกลออกไปเรื่อยๆ วินยาที่แอบมองดนัยอยู่บนต้นไม้ แววตาเศร้า
“ดนัย ฉันจะเก็บความรู้สึกนี้ไว้ให้ลึกที่สุด นายจะเป็นคนๆ เดียวที่อยู่ในใจของฉันตลอดไป”

วินยามองตามสีหน้าหม่นเศร้า

อ่านต่อหน้า 3





หอบรักมาห่มป่า ตอนที่ 21 (ต่อ)

พอลงจากรถดาหวันก็วิ่งนำคนอื่นเข้ามาในบ้าน ถลาแซงหน้าทุกคนเข้ามาก่อน

“พ่อจ๋า หวันกลับมาแล้วจ้า”
ทุกอย่างเงียบงันไม่มีเสียงตอบ ฉวีวรรณ แจ๋ และกิมจิ เดินถือสัมภาระตามเข้ามา
“ดู ยายหวัน ออกตัวทำคะแนนกับลุงศิริก่อน...” แจ๋ยังพูดไม่จบก็ร้องออกมา “ว้าย”
เพราะปรากฏว่าฉวีวรรณทิ้งกระเป๋าลงโครม แล้วรีบวิ่งขึ้นบนบ้านไปก่อน ออกตัวเร็วและแรงไม่แพ้น้องสาว
“พ่อ!”
ดาหวันรีบวิ่งตามไปอย่างเร็วเช่นกัน
“พ่อจ๋า”
“เยอะไปเปล่า ดูยายสองพี่น้องนี่สิแจ๋ แข่งกันไปหาพ่อเป็นเด็กๆ ไปได้” กิมจิส่ายหน้า

ฉวีวรรณกับดาหวันเข้ามาจับลูกบิดประตูห้องนอนศิริพร้อมกัน ต่างคนต่างชะงัก ปั้นปึ่งใส่กัน แล้วฉวีวรรณถือโอกาส ชิงเปิดประตูเข้าไปก่อน พอเปิดประตูห้องพ่อเข้ามา กลับไม่เจอใครอยู่ในห้องเลย
“พ่อ หวีกลับมาแล้ว”
“หวันมาหาพ่อแล้วจ้า”
ปรากฏในห้องว่างเปล่า ทั้งสองนางงง
ฉวีวรรณกับดาหวันพูดขึ้นพร้อมกัน “พ่อหายไปไหน”
ทั้งสองสาวชะงัก หันมามองกัน
ฉวีวรรณและดาหวันพูดพร้อมกันอีกครั้ง “ทำไมต้องพูดพร้อมกันด้วย”พอนึกได้ก็สะดุ้งอีก “เฮ้ย”
กิมจิ กับแจ๋ ตามเข้ามาพร้อมคนสาวใช้
“พอได้แล้ว” กิมจิบอก
“ฉันล่ะเพลียแทนคุณลุงศิริจริงๆ ที่มีลูกสาวอย่างแกสองคน” แจ๋ว่า
ฉวีวรรณรีบหันไปถามคนรับใช้ “ส้มป่อย...พ่อชั้นอยู่ไหน”
ส้มป่อยสาวใช้หญิงตอบเป็นภาษาเหนือ “นายออกไปกับคุณนงนุชตั้งแต่สายๆ แล้วค่ะ”
“หึ ไปกับคุณแม่พี่ดนัยเหรอ! ไม่น่าเชื่อ” ดาหวันประหลาดใจ
“เจ้า เห็นว่าจะไปหาคุณหนูที่หมู่บ้านอะไรสักอย่างนี่ล่ะคะ นายรีบไปจนลืมกระเป๋าเสื้อผ้า พี่สุภาพ กับพี่อาหลู่ เลยต้องขับรถขนกระเป๋าตามหลังไปค่ะ” ส้มป่อยรายงาน
“ว้า ...สวนทางกันหรือนี่”
“สาธุ ขอให้พ่อกับน้านงนุชทางปลอดภัย อย่าทะเลาะกันเลยนะคะ”
ฉวีวรรณนึกถึงศิริ

รถของศิริแล่นฉิวลุยเข้ามาในป่าหน้าตาบึ้งตึง นงนุชมองอย่างกลัวๆ
“นี่คุณ ขับช้าๆ หน่อยได้ไหม ฉันยังไม่อยากเป็นผีเฝ้าป่า”
“คุณกลัวก็ลงไปเลยไป ผมไม่ได้ขอร้องให้คุณตามขึ้นมาเลยนะ”
ศิริไม่สนใจ เหยียบคันเร่งให้รถเร็วขึ้นอีก นงนุชทนไม่ไหว
“นี่ ขับช้าๆ เป็นไหม มานี่เลย ฉันขับเองดีกว่า”
นงนุชพยายามจะแย่งพวงมาลัยศิริ ศิริปัดมือออก
“อย่ามายุ่งสิ เดี๋ยวรถก็ข้างทางเหมือนคราวก่อนหรอก ปล่อย”
นงนุชไม่ยอม พยายามจะแย่งพวงมาลัยศิริ ศิริเอาตัวดันไว้ ทันใดนั้นก็มีเสียงปืนดังปัง ก่อนรถจะเซถลาไป ศิริรีบเบรก ร้องลั่น
“เฮ้ย ! อะไรวะ”
“กรี๊ด เราโดนยิง”
ศิริกับนงนุชโผกอดกันอย่างลืมตัวแล้วก้มลงไปหลบกระสุนด้านล่าง แต่ทุกอย่างกลับเงียบสนิท ไม่มีเสียงปืนยิงตามมาอีก
“เงียบไปแล้ว”
“พวกมันไปแล้วใช่ไหม” นงนุชถาม
ศิริกับนงนุชรู้สึกตัวว่าอยู่ในอ้อมกอดของกันและกันก็ตกใจ รีบผละออก แล้วพากันลงจากรถ

นงนุชย่องลงจากรถ หันมองซ้ายขวาอย่างกลัวๆ แล้วรีบเดินมาหาศิริที่ก้มๆ เงยๆ อยู่หน้ารถ
“รีบไปจากที่นี่เถอะคุณ ถ้าพวกมันซุ่มดักยิงเราอยู่ล่ะ”
ศิริตอบอย่างรำคาญนิดๆ “ไม่มีใครซุ่มทั้งนั้นแหละ”
“คุณรู้ได้ยังไง”
“เพราะเราไม่ได้ถูกยิง นี่ รถมันยางแตก”
ศิริชี้ให้ดูยางหน้าที่แบนแต๊ดแต๋ นงนุชมองอึ้งๆ แล้วถอนใจ
“แล้วจะทำยังไง มียางอะไหล่หรือเปล่า”
“ไม่มีอ่ะ”
“แล้วจะทำยังไงเนี่ย ตายแล้ว อยู่ตรงไหนก็ไม่รู้”
นงนุชมองไปรอบๆ อย่างกังวล แต่ศิริมองไปตามถนนเห็นรอยยาง ก็ยิ้มออก
“ผมรู้ว่าเราอยู่ที่ไหน ตามมาเถอะ”
ศิริเดินนำนงนุชไป นงนุชงงๆ แต่ก็รีบตามออกไป

ดาเนาเดินกินกล้วยมาตามทาง อย่างร่าเริงอยู่ ระหว่างนั้นดาเนามองไปเห็นชายชาวชาลันคนหนึ่ง กำลังนั่งป้อนข้าวให้ลูกอยู่ที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง
ดาเนาหยุดมองสนใจ กินกล้วยไม่ลง ดาเนามองภาพที่พ่อเป่าข้าวให้ลูก ก่อนจะป้อนเข้าปากลูกชาย
อย่างสะเทือนใจ เด็กชายชาวป่าอยากมีพ่อกับเขาบ้าง น้ำตาคลอขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
จังหวะนั้นวินยาก้าวเข้ามาแตะบนบ่าดาเนา
“ดาเนา”
ดาเนาสะดุ้งหันกลับมามองวินยา ขณะที่วินยาเห็นดาเนาจะร้องไห้ เลยถามขึ้นมาอย่างเป็นห่วง
“ฮึ ร้องไห้ทำไม ดาเนาเป็นอะไร”
ดาเนามองวินยา ร้องไห้
“ดาเนาอยากมีพ่อ ฮือฮือ พ่อดาเนาอยู่ที่ไหน”
ดาเนาโผเข้าไปกอดวินยา สะอื้นฮักๆ วินยาลูบหลังปลอบด้วยความสงสาร

ดาเนานอนหลับอยู่บนเตียง วินยาขยับผ้าห่มให้อย่างใส่ใจ สางโปเดินเข้ามาหา
“เป็นอย่างไรบ้าง นายน้อย”
“ร้องไห้จนหลับไปแล้ว”
“เด็กหนอเด็ก” สางโปส่ายหน้า ถอนหายใจ
“ข้ารู้ดีว่า ดาเนารู้สึกยังไง เพราะข้าเอง ก็กำพร้าพ่อแม่เหมือนกัน”
“นายน้อย” สางโปเป็นห่วง
“ข้าไม่เป็นไรหรอก ข้ารู้ดีว่า ท่านพ่อท่านแม่ ไม่ต้องการเห็นข้าอ่อนแอ” วินยานึกได้ขึ้นมา “เออ สางโป..นอกจากเลาซา ไอ้กาซูมันยังมีทายาทที่ไหน อีกหรือเปล่า”
“ไม่มีหรอก ...นายน้อยถามทำไม”
“ตอนที่ดาเนามาช่วยข้า ไอ้กาซูมันบอกว่า ดาเนาเป็นลูกชายมัน”
“เหอะ มันมั่วแล้ว ไม่มีทางที่ดาเนาจะเป็นลูกคนชั่วๆ อย่างนั้น”
“ข้าก็คิดเหมือนท่าน ข้าแค่อยากถามให้แน่ใจ”
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ก็ไปคุยเรื่องปลูกป่ากันต่อเถอะ”
“ดี ข้าได้วิธีเพาะกล้าไม้จากดนัย อยากจะลองไปอยู่พอดี”
พอวินยากับสางโปเดินออกจากห้องไป ดาเนาหลับอยู่ค่อยลืมตาขึ้นมา มองออกไปอย่างครุ่นคิดนึกถึงคำพูดกาซู ที่บอกว่าเป็นพ่อของตัวเอง
“เจ้าคือลูกของข้าที่หายตัวไปตั้งแต่เด็ก เจ้าจึงมีพลังเหมือนกับข้า ข้าจำได้แล้ว ข้าดีใจเหลือเกินที่เจ้ายังไม่ตาย ถ้ารู้แต่แรก ข้าจะไม่ทำร้ายเจ้า”
ดาเนาครุ่นคิดอย่างหนัก
“พ่อ? แต่เขาเป็นคนไม่ดี คิดอีกทีเขาก็พลังเหมือนกับเรานะ โอ้ย ทำไงดีล่ะ เราจะรู้ความจริงได้ยังไง”
ดาเนาส่ายหน้ากลุ้มใจไปมา ลุกขึ้นนั่งคิดอีก สีหน้าแววตาองดาเนาเวลานี้อยากรู้ความจริง

บุญทิ้งอยู่ในสภาพอิดโรย นั่งครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่ในมุมหนึ่งของโรงเก็บของ บุญทิ้งปรือตาขึ้นเมื่อได้ยินเสียงอุ๊บอิ๊บ
“ฉันให้คนไปซื้อข้าว กับ น้ำหวานมาให้นาย”
“คุณอุ๊บอิ๊บ” ภาพเลบอๆ ของอุ๊บอิ๊บชัดเจนขึ้น
อุ๊บอิ๊บยิ้มให้บุญทิ้ง
“นายโดนมัดอยู่อย่างนี้ กินเองคงไม่สะดวก รอเดี๋ยวนะ”
อุ๊บอิ๊บกุลีกุจอ หยิบกล่องข้าวออกมาจากถุงก๊อบแก๊บ ข้างๆ มีแก้วน้ำกระดาษใส่น้ำหวาน อุ๊บอิ๊บจัดการเทน้ำปลาพริก คลุกข้าวให้
บุญทิ้งมอง แล้วอึ้ง เพราะไม่เข้าใจ
“นายไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เมื่อวาน หิวล่ะส”
อุ๊บอิ๊บยกช้อนข้าวจะป้อนให้บุญทิ้ง แต่บุญทิ้งกลับไม่ยอมอ้าปาก
“กินซิ ไม่หิวหรือไง”
“หิวครับ แต่ไม่ใช่ข้าว”
“เอ๊ะ”
“ผมหิวความถูกต้อง”
อุ๊บอิ๊บหน้าตึงขึ้นมา ปึ่งขึ้นมา
“คุณทำให้พี่น้องและเพื่อนฝูงเข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้ว”
“ดีสิ ยิ่งทะเลาะกันยิ่งดี”
“แต่มันบาปนะครับ”
“บาปก็บาปสิ ฉันไม่สน ฉันสนแค่ว่าถ้าฉันไม่ได้เป็นแฟนพี่ดนัย คนอื่นก็ต้องไม่ได้เหมือนกัน ในเมื่อฉันไม่มีความสุข ใครก็ห้ามมี ทั้งนังหวีนังหวัน
บุญทิ้งทั้งผิดหวัง และเสียใจมาก
“ที่ผ่านมา ไม่ว่าใครจะว่าคุณไม่ดียังไง ผมก็ยังเชื่อมั่นว่าคุณจะยังมีความดีหลงเหลืออยู่ในหัวใจบ้าง แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าผมคิดผิด คนอย่างคุณเปรียบเหมือนปทปรมะ” (อ่านว่า ปะทะปอระมะ)
“นายว่าอะไรฉัน”
“ปะทะปรมะ หมายถึง บัวใต้น้ำ”
อุ๊บอิ๊บทะลึ่งลุกพรวดขึ้นด้วยความโกรธ
“นายว่าฉันโง่ดักดานเหรอ!”
“ไม่ใช่ครับ พวกบัวใต้น้ำอาจจะฉลาด เรียนสูงก็ได้ แต่หัวใจเขามันมืดบอด เหมือนบัวที่จมอยู่ในโคลนตม”
อุ๊บอิ๊บปากล่องข้าวใส่บุญทิ้ง ข้าวหกเลอะเทอะ เต็มหน้าเต็มตาบุญทิ้ง ต่างคนต่างอึ้งไป อุ๊บอิ๊บมองบุญทิ้งด้วยความน้อยใจ เสียความรู้สึก
“นายโง่ นายมันไม่เคยเข้าใจอะไรเลย”
อุ๊บอิ๊บวิ่งหนีออกไปเลย บุญทิ้งหน้านิ่งๆ มองตามอุ๊บอิ๊บไป ปวดใจไม่ต่างกัน
ด้านอุ๊บอิ๊บวิ่งออกมาน้ำตาไหลร่วง วิ่งไปร้องไห้ไป วิ่งเตลิดเปิดเปิงไปไกลมากๆ อย่างไม่รู้ตัว อุ๊บอิ๊บวิ่งร้องไห้มา ไม่ทันสังเกตอะไรทั้งนั้น อุ๊บอิ๊บเปิดประตูโรงไม้เข้าไปเลย ผ่านยามที่นั่งหลับอยู่ไม่รู้เรื่อง

อุ๊บอิ๊บวิ่งเข้ามาในโรงไม้ที่มืดๆ ทึมๆ ไม่มีใครอยู่ในนั้น อุ๊บอิ๊บเข้าไปทรุดนั่งร้องไห้ สะอึกสะอื้น ตัดพ้อบุญทิ้งอยู่มุมหนึ่ง
“ฮืออๆๆๆๆ ฉันอุตส่าห์ดีกับนาย ทำไมนายทำแบบนี้กับฉัน คนบ้า คนซื่อบื้อ นายเป็นใคร ทำไมฉันต้องแคร์คำพูดนายด้วย ฮือๆๆๆ”
อุ๊บอิ๊บร้องไห้น้ำตาไหลพรั่งพรู่

ด้านดาหวันเดินนำแจ๋ กิมจิ อยู่ในสุสานของวัดที่มีเจดีย์ธาตุตั้งเรียงรางไปทั่ว กิมจิเดินเบียดแจ๋และบุญทิ้งเพราะกลัวผี
“อะไรของแก เดินดีๆ สิ กลางวันแสกๆ กลัวอะไร” แจ๋ถามอย่างรำคาญ
“ผี!!” กิมจิอุทาน
กิมจิว่าพลางกระโดดมาเกาะแจ๋ ซึ่งถึงตรงเจดีย์พอดี
“ฮึ่ย ไอ้บ้า กลัวหน้าตัวเองดีกว่ามั้ย”
“ถึงแล้วค่ะ” ดาหวันร้องบอก
แต่ปรากฎว่าฉวีวรรณนั่งอยู่ตรงหน้าเจดีย์ธาตุของแม่แล้ว ซึ่งมีป้ายชื่อ วิลาวัลย์ พรรณสุข
ดาหวันชะงัก ไม่คิดว่าจะเจอฉวีวรรณที่นี่ ฉวีวรรณก็ตกใจเช่นกัน
“หวี แหม ใจตรงกันเลยนะ” แจ๋ทัก
“หวันกลับล่ะ”
“จะรีบไปไหนล่ะหวัน ไหนๆ ก็มาแล้ว มานั่งด้วยกัน มา”
แจ๋จัดแจงดึงดาหวันไปนั่งข้างฉวีวรรณ ดาหวันวางช่อดอกไม้ แต่มีช่อดอกไม้ของฉวีวรรณวางอยู่ก่อนแล้ว เป็นช่อดอกกุหลาบขาวทั้งคู่
“สองคนนี้ใจตรงกันเลยนะ” กิมจิเปรย
“พ่อเคยบอกว่าแม่ชอบดอกกุหลาบสีขาว”
ฉวีวรรณพนมมือ ทำเป็นพูดกับหลุมศพแม่ แต่กระทบดาหวัน
“แม่จ๋า หวีนึกว่าคนบางคนเขาจะลืมไปแล้วเสียอีก”
ดาหวันไม่พอใจ พนมมือไหว้แม่ แล้วพูดกับแม่แต่กระทบฉวีวรรณบ้าง
“แม่จ๋า หวันไม่มีทางลืมเรื่องของพ่อกับแม่อยู่แล้ว แม่อย่าไปฟังคนเจ้ากี้เจ้าการ ชอบคิดแทนคนอื่นนะจ๊ะ”
“เอาเข้าไป แข่งกันฟ้องเข้าไป เดี๋ยวแม่ก็มาหาหรอก”
คำพูดของแจ๋ ทำเอากิมจิกลัว กระโดดมานั่งเบียด
“ไอ้แจ๋! ไอ้ปากเสีย เดี๋ยวก็มาจริงหรอก”
“มาจริงก็ดีสิ หวีอยากให้แม่มาเตือนสติเด็กดื้อให้รู้จักคิดเสียบ้าง จะได้ไม่ทำตัวเสื่อมเสีย” ฉวีวรรณแขวะน้องสาว
ดาหวันเองก็ไม่ยอมแพ้ “แม่ไปเตือนคนที่ดีแต่ว่าคนอื่นไม่รู้จักดูตัวเองจะดีกว่า”

ฉวีวรรณและดาหวันหันมาจ้องหน้ากัน แล้วต่างงอน สะบัดหน้าหนีไปคนละทาง ดาหวันก้มกราบแม่ แล้วผุดลุกขึ้น
“หวันกลับละ”
ดาหวันสะบัดเดินหนีไปเลย
“อ้าว เดี๋ยวสิ หวัน”
“รีบตามหวันไปเถอะแจ๋” ฉวีวรรณบอก
แจ๋รีบตามดาหวันไป กิมจิมอบรอบตัวแล้วรู้สึกวังเวง รีบตามแจ๋ไปด้วย
“รอด้วย!”
ฉวีวรรณมองตามดาหวันไปแล้วรู้สึกผิดที่พูดไม่ดีกับน้อง
“ปากเสียอีกแล้วเรา เฮ้อ!”

พอดาหวันกลับมาถึงบ้าน ก็เจอชลิตรออยู่
ดาหวันตกใจ “พี่ชลิต”
ชลิตดีใจมาก รีบมากุมมือดาหวัน
“หวัน พี่คิดว่าจะไม่ได้เจอหน้าหวันอีกแล้ว”
ดาหวันสะบัดมือ
“มาทำไม ไปซะ หวันไม่มีอะไรจะคุยกับพี่ชลิตแล้ว หวันพูดชัดเจนแล้ว พี่ยังไม่เข้าใจอีกเหรอ”
“อย่าทำเย็นชากับพี่อย่างนี้สิหวัน”
“หวันจะทำยิ่งกว่านี้อีก ออกไปซะ ออกไป หวันบอกให้ออกไป”
ดาหวันหันรีหันขวางไปคว้าของใกล้ตัว ปาใส่ชลิต โดยไม่หยุดมือ แต่ ชลิตก็ไม่หลบ
“พี่ไม่ไป เอาสิ จะขว้างจะปาอะไรก็เชิญ หรือจะฆ่าพี่ให้ตาย พี่ก็ยอม แต่พี่จะไม่ไปไหนทั้งนั้น พี่จะยืนอยู่ตรงนี้จนกว่าหวันจะหายโกรธพี่ จนกว่าเราจะเป็นเหมือนเดิม”
ดาหวันหยิบกระถางต้นไม้จะขว้างแต่ ค้างไว้ ยิ่งรู้สึกเจ็บปวด
“ออกไปจากบ้านหวันเดี๋ยวนี้นะ หวันไม่อยากเห็นหน้าพี่ ไม่เข้าใจรึไง”
ดาหวันปากกระถางต้นไม้ ไปเกือบโดนชลิต เฉียดไปแค่ปลายเท้า ดาหวันตะโกนเรียกคนงาน
“มีใครอยู่บ้าง”
คนงานผู้ชาย 2 คนวิ่งเข้ามา
“จับตัวผู้ชายคนนี้ออกไปจากฟาร์ม แล้วอย่าให้เข้ามาอีก”
คนงานเข้ามาจับตัวชลิต ชลิตขัดขืน ไม่ยอมไป
“ปล่อย”
“เร็วเข้าสิ พาออกไปไกลๆ เลย”
ดาหวันสั่งสียงจริงจัง คนงานหิ้วปีกชลิตออกไป
“หวัน อย่าทำอย่างนี้สิ หวัน”
ดาหวันมองแล้วใจอ่อน เลยต้องหันหลังให้ ไม่อยากเห็นหน้าชลิต และปิดหู ไม่อยากได้ยินเสียง
ดาหวันบอกกับตัวเองออกมาเบาๆ “ห้ามใจอ่อนเด็ดขาดนะดาหวัน ห้ามใจอ่อน”

คนงานลากชลิตมาโยนทิ้งหน้าประตูรั้ว ชลิตจะวิ่งเข้าไป แต่คนงานขวางไว้
“คุณหวันสั่งไว้ ห้ามเข้า ออกไป ไป”
คนงานปิดประตูล็อก ชลิตเข้าไม่ได้ เสียใจ
“หวัน”

ฉวีวรรณนั่งเศร้า ร้องไห้อยู่กับเจดีย์ธาตุของแม่
“แม่จ๋า…หวีทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับแม่ไม่ได้ หวีเป็นพี่ที่ไม่ดี ดูแลน้องไม่ได้ แล้วยังพูดจาแย่ๆ กับหวันอีก หวีขอโทษนะคะแม่ หวีขอโทษ”
ดนัยก้าวเข้ามาเงียบๆ ฉวีวรรณได้ยินเสียงฝีเท้า ดีใจ คิดว่าดาหวัน ฉวีวรรณดีใจ
“หวัน”
แต่พอฉวีวรรณหันไปเห็นดนัยยืนอยู่ก็รู้สึกตกใจ
“ดนัย”
ฉวีวรรณรีบเช็ดน้ำตา
“ถ้าอยากปรับความเข้าใจกับน้อง ทำไมไม่พูดกับน้องอย่างตรงไปตรงมา พูดจากความรู้สึกที่แท้จริงของเธอล่ะ”
“มันเรื่องอะไรของนาย”
“รู้มั้ย ปัญหาของเธอก็คือ ปากกับใจของเธอ ไม่เคยตรงกัน”
“อย่ามาพูด ฉันไม่อยากฟัง”
ฉวีวรรณผลักดนัยกระเด็นออกไป แล้ววิ่งหนีออกไป ดนัยมองตาม
“หวี” ดนัยวิ่งตามฉวีวรรณออกไป

ฉวีวรรณวิ่งเข้ามาถึงริมท่าน้ำ ดนัยตามเข้ามาหาดึงแขนไว้
“หวี หยุดก่อน”
ฉวีวรรณสะบัดดนัยออก “นายแหละหยุด เลิกยุ่งกับฉันเสียที”
“ฉันไม่ใช่คนอื่นคนไกลที่ไหนนะ ฉันเป็นคนที่เธอรักไม่ใช่เหรอ”
ฉวีวรรณยกมือขึ้นปิดหูตัวเองไม่อยากรับรู้อีกแล้ว
“พอได้แล้ว ฉันไม่อยากได้ยินอะไรทั้งนั้น”
ดนัยดึงมือฉวีวรรณออก “แต่เธอต้องฟัง ฉันไม่ยอมให้เธอเอาแต่ใจตัวเองแล้ว”
“ปล่อย”
ฉวีวรรณจะสะบัดมือดนัยออก แต่ดนัยดึงมือฉวีวรรณไว้ไม่ยอมปล่อย แล้ว พูดใส่เป็นชุด อย่างเหลืออด
“ไม่ว่าเรื่องของยายหวัน หรือเรื่องของเรา มันเกิดขึ้นเพราะเธอทำเรื่อง ง่ายให้เป็นเรื่องยาก ทั้งที่รักกันเธอก็กลับพูดจาแย่ๆ ให้ทุกคนเข้าใจผิด ทำเลวๆ ใส่ทั้งยายหวันแล้วก็ชั้น เธอเป็นอะไร หวี เป็นบ้าหรือเปล่า”
ฉวีวรรณฉุนขาด ตบหน้าดนัยผัวะทันที ดนัยนิ่งอึ้งไป
“นี่เป็นข้อพิสูจน์ว่าฉันไม่ได้บ้า อยากจะเกลียดฉันก็เกลียดไปเลย..ยินดี”
ฉวีวรรณวิ่งหนีออกไป ดนัยมองตามอย่างร้าวรานใจ แล้วตะโกนขึ้นตามหลัง
“ฉวีวรรณ ยายบ้าเอ๊ย”
ฉวีวรรณวิ่งหนีมาถึงที่ตรงหนึ่ง แล้วหมดแรงสะอื้นตัวโยน ทรุดลงไปนั่งร้องไห้ น้ำตาเป็นเผาเต่า

ส่วนดนัยเดินเรื่อยเปื่อยไปตามริมน้ำ ใบหน้านิ่งเรียบ ฉายแววเครียดและกลุ้มใจ ดนัยพิงขอบกำแพงท่าน้ำ เหม่อลอยเศร้าสร้อย เห็นคู่รักชายหญิงที่เดินจับมือกันมาแล้วกระหนุงกระหนิง ต้องรีบเมินหน้าหนี เหม่อมองออกไปที่ริมน้ำ ในใจเศร้าหนักกว่าเดิม

ชลิตไม่ยอมไปไหนจนมืดค่ำ นั่งอยู่หน้าบ้านดาหวันนั่นเอง ดาหวันแอบมองชลิตอยู่ที่หน้าต่างจากห้องนอน เหมือนจะรู้ชลิตเหลือบตาขึ้นมองไปที่หน้าต่างมองสบตาดาหวัน แต่ดาหวันหลบวูบ ไม่ยอมใจอ่อน จังหวะหนึ่งดาหวันโถมตัวไปบนเตียง นอนร้องไห้ น้ำตาไหลหยดเป็นทาง
ชลิตเศร้าใจมองไปเห็นไฟที่ห้องดาหวันดับลงแล้ว
ในที่สุดก็ชลิตออกมาจากหน้าบ้าน เดินเหงาไปตามริมถนน
ดาหวันมาแอบมองที่หน้าต่าง ตรงที่ชลิตนั่งแล้วปรากฏว่า วางเปล่าไม่เห็นใครอยู่แล้ว ดาหวันใจหาย

ดาหวันเดินออกมาที่หน้าประตูบ้าน เปิดออกไป เหลียวซ้ายแลขวา ปรากฏว่าถนนหนทางก็ว่างเปล่า ไม่มีใคร ดาหวันเหลือบมองไปเห็น ดอกบัวที่วางอยู่หนึ่งกำ
ดาหวันอึ้ง ค่อยๆ เดินเข้าไปหยิบดอกบัวกำนั้นขึ้นมาดู ที่ดอกบัว มีการ์ดเล็กๆ เสียบอยู่ ดาหวันหยิบการ์ดขึ้นมาอ่าน
ข้อความที่เขียนบนการ์ดเล็ก “พี่รักหวัน” ...ชลิต
ดาหวัน น้ำตาคลอขึ้นมา แม้จะซาบซึ้งแต่ก็ต้องตัดใจ
ดาหวันกำกอดดอกบัว ไว้แนบอก เหมือนกอกชลิตไว้ ...น้ำตาไหลออกมาอีก

ชลิตซึ่งกำลังเหม่อมองออกไป ริมสะพาน คิดถึงแต่ใบหน้าดาหวัน

อ่านต่อหน้า 4





หอบรักมาห่มป่า ตอนที่ 21.4 (ต่อ)

คืนเดียวกันนั้น วินยากำลังซ้อมดาบอยู่กับสางโปจังหวะนั้นวินยารุกไล่ จนเอาดาบจี้คอสางโปไว้ได้

“ข้ายอมแพ้” สางโปยอมแพ้ 
วินยาดึงดาบกลับ
“นับวันท่านก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ”
“เราต้องเตรียมตัวให้พร้อม ถ้ามีโอกาสจัดการไอ้กาซู แล้วก็พวกที่ตัดไม้เถื่อนเมื่อไร ข้าจะไม่ยอมให้พลาดอีกเด็ดขาด” วินยาพูดอย่างจริงจัง
“ไม่ต้องห่วงหรอก ฝีมือนายน้อยตอนนี้ บั่นคอไอ้เลาซาได้สบายแล้ว”
วินยาอึ้ง ชะงักไปครู่หนึ่งเหมือนมีความในใจ เมื่อได้ยินชื่อเลาซา

วินยาเดินเข้ามาในห้อง ทอดถอนใจ แล้วเหม่อออกไปอย่างใช้ความคิด นึกถึงเรื่องของเลาซา
เสียงความคิดของวินยาดังขึ้นมา
“เลาซา ระหว่างเจ้ากับข้าคือรอยต่อของความดีและความชั่ว ระหว่างมิตรแท้ และ ศัตรูคู่อาฆาต และที่มากไปกว่านั้น...ระหว่างคนรู้ใจกับคนรักข้างเดียว...มันแค่เส้นบางๆ กางกั้นเท่านั้นจริงๆ”
วินยาผินหน้าออกไปนอกหน้าต่าง เหม่อลอยครุ่นคิดถึงเลาซา
เลาซากระชากเสื้อตัวเองทีเดียว ขาดเป้นทางยาว เห็นแผลเก่าที่หน้าอก แผลที่วินยาเคยแทงไว้ในอดีต
“ยังจำแผลนี้ได้ไหม แผลเก่าที่เจ้าเคยฝากเอาไว้”
วินยาเอามีดแทงเลาซา วินยาหน้าซีดเผือดไป เลาซาพูดต่อพรั่งพรู่ความรู้สึก
“บาดแผลภายนอกไม่เคยเจ็บเท่าแผลที่อยู่ในใจ...” เลาซาหันมองวินยายื่นหน้าเข้ามาหาวินยาน้ำเสียงเข้ม “รู้มั้ยแผลแผลนี้เตือนข้าว่าอะไร”
วินยาผงะไป นึกไม่ถึง “เลาซา”
“แผลนี้เตือนข้าเสมอว่า อย่าหลงกลของความรัก เขาทำดีกับเราแค่ชั่วครั้งชั่วคราว แล้วเขาก็ทิ้งเราให้อยู่กับความเจ็บปวดชั่วชีวิต”
วินยาพยายามจะอธิบายแต่เลาซาขัดขึ้นมาเสียงเคร่ง
“อย่ามาหลอกกันเลยดีกว่า ข้ารู้ดีว่าเจ้าไม่มีทางรักคนอย่างข้าอยู่แล้ว”

เลาซา โดนขังอยู่ในกรงไม้ ซึ่งเป็นกรงสูงเท่าตัวคนสามารถยืนได้ กว้างพอประมาณ กรงไม้ตั้งอยู่กลางแจ้ง มีกองไฟสุมให้แสงสว่างข้างๆ พร้อมกับสมุนเฝ้าอยู่ 2 คน
สีหน้าของเลาซาเวลานี้ ฉายแววความเจ็บปวดออกมา เขากำลังครุ่นคิดถึงเรื่องของวินยาอยู่เช่นกัน
เลาซาลูบแผลที่หน้าอก สะกดความเจ็บปวดเอาไว้ไม่ให้น้ำตาไหลออกมา
สมุนคนหนึ่ง ไขกุญแจเอาจานข้าวเข้ามาให้
“กินข้าว” สมุนพูดแล้ววางจานลง
เลาซาถือโอกาสนั้น พุ่งเข้าไปผลักสมุนสุดแรงเกิด จนร่างกระเด็นไปชนขอบกรงเลือดอาบหน้า เลาซาวิ่งออกมา เจอ สมุน อีก4 คนดาหน้าเข้ามาสู้
เลาซาบ้าเลือด สู้ตาย หยิบท่อนไม้ที่ติดไฟ มาเหวี่ยง แล้วจัดการ สมุนล้มลงไปบาดเจ็บ สมุนอีก 2 เอาดาบเข้ามาฟันสู้ จนคบไฟในมือเลาซาหล่นดับไป
เลาซาสู้ด้วยมือเปล่ากับสมุน 2 คนนั้น และใช้ดาบจัดการสมุนคนหนึ่งได้ คว้าเอาเอาดาบของสมุน มาฟันสู้กับสมุนอีกคน เลาซาแทงสมุนล้มตายลงไปคนแล้วคนเล่า สมุนคนหนึ่งกลัว ตั้งท่าจะวิ่งหนีออกไป เลาซาปาดาบไปปักกลางหลังสมุน จนร่างทรุดลงไปจมกองเลือดตายคาที่ เลาซาวิ่งหนีไปทางหนึ่ง

เลาซาวิ่งหนีไปในป่า ลัดเลาะหลบเลี้ยวไปตามทาง วิ่งมาได้ซักครู่ แต่แล้วอยู่ๆ ก็เกิดอาการปวดหัวอย่างจังล้มลงไปกับพื้น ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ดิ้นไปมาอย่างทรมาน แล้วเลาซาค่อยเอ่ยขึ้น
“อ๊าก ท่านพ่อ ข้ารู้นะว่าเป็นฝีมือท่าน”
เสียงกาซูหัวเราะดังกึกก้องไปทั้งป่าแห่งนั้น น้ำเสียงฟังดูมีอำนาจและสะใจ
จังหวะหนึ่ง เลาซาเจ็บปวดมากยิ่งขึ้นร้องลั่น แล้ว จู่ๆ เหมือนควบคุมตัวเองไม่ได้ เลาซาลุกขึ้นมาเดินถอยหลังออกไป

ที่แท้เลาซาถอยหลังกลับเข้ามาอยู่ในกรงอีกครั้ง ประตูกรง โซ่ลอยขึ้นมาคล้องประตูได้เอง แม่กุญแจลอยไปคล้องโซ่ กดล็อกได้ด้วยตัวเอง ด้วยอำนาจมนต์ดำของกาซู
“ท่านพ่อ ปล่อยข้าออกไปเถอะ ข้าจะไม่ทำผิดอีกแล้ว ข้าสัญญา”
เลาซาเหมือนโดนต่อยกระเด็นไปปะทะขอบกรงอีกด้าน ร่างร่วงลงมาเจ็บปวดไปทั้งร่างกาย เสียงกาซูดังขึ้นอีก
“ข้าไม่ได้โง่ อย่ามาหลอกข้าด้วยคำพูดสับปลับของเจ้า”
“ให้โอกาสข้าอีกครั้งเถอะ ท่านพ่อ”
“ไม่ต้องพูดอีกแล้ว อยู่ในนี้ไปจนกว่า ข้าจะกลับมาพิพากษาโทษ”
เสียงกาซูที่ดังสะท้อนก้องไปทั้งผืนป่า ค่อยเงียบไป
เลาซายังคงบิดตัวเร่าๆ ร้องครวญครางว่าปวดหัวๆ อยู่กับพื้นกรง

ดนัยกับชลิตเดินเข้ามาคนละทาง โดยยังอยู่ในอาการเหม่อเศร้าอยู่กับเรื่องความรักของตัวเองจังหวะนั้น ทั้งสองหนุ่มหล่อเล็กๆ เดินชนกันโครม
“อ๊อย”
ดนัยชลิตผงะ ตกใจแล้วคลำศีรษะป้อยๆ ครั้นพอชลิต เห็นดนัยก็ชี้หน้าร้องขึ้นพร้อมกัน “เฮ้ย”
“แกมาที่นี่ได้ยังไง” ดนัยถามก่อน
“แล้วแกล่ะ ปฏิบัติการง้อ ประสบความสำเร็จมั้ยวะ” ชลิตถามกลับ

ทองอินวางแก้วน้ำใบบัวบก ลงตรงหน้าดนัยกับชลิต ที่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่กันเรียบร้อยแล้ว
“กินซะ น้ำใบบัวบก แก้อกหัก” ทองอินบอก
“อย่าพึ่งด่วนสรุปสิพี่ทองอิน” ดนัยแย้ง
“ถูก สงครามยังไม่จบ อย่าพึ่งนับศพทหาร” ชลิตก็เอาด้วย ไมยอมรับ
ทองอินหัวเราะชอบใจ เยาะขำๆ ออกมา
“พวกแกนี่มันปากดีจริงๆ ขนาดด่านลูกสาวเขาก็ยังสอบไม่ผ่าน นับประสาอะไรกับด่านพ่อตา หัวแบะแน่ๆ พวกแก”
“เรื่องลุงศิริน่ะ เอาไว้ก่อน เพราะยังไม่ได้เจอ”
“เฮ้ย ไม่เจอได้ไง ก็เขาไปหาลูกสาวเขาที่หมู่บ้านชาลัน เขาก็น่าจะได้เจอกับพวกแกบ้าง” ทองอินฉุกคิดขึ้นมาได้
“มาตอนไหนล่ะพี่ กว่าพวกเราออกมาจากหมู่บ้านก็บ่ายแล้ว ไม่เห็นลุงศิริมาเลย”
“แย่แล้วละ” ทองอินเครียดขึ้นมาทันที สีหน้าไม่สบายใจ
“อะไรหรือพี่ทองอิน” ดนัยถามอย่างเป็นห่วง
“เขาออกกันไปตั้งแต่เช้าแล้ว มันก็น่าจะถึงก่อนพวกนายจะออกมา แต่ถ้าไปไม่ถึงแบบนี้ มันก็...อาจจะเกิดเรื่องไม่ดี”
“นั่นสิ มืดค่ำแล้วด้วย หลงทางหรือเปล่า” ชลิตเป็นห่วงเหมือนกัน
“ดนัยโทรเข้าเครื่องแม่เราทีซิ ถามดูด้วยว่าอยู่ที่ไหน”
“ฮึ แม่หรือฮะ แม่นุชมาเกี่ยวอะไรด้วย” ดนัยสงสัย
“ก็เขาไปกับคุณศิริด้วย” ทองอินบอก
ดนัยลุกพรวดขึ้น ตกใจ “อะไรนะฮะ แม่ไปกับลุงศิริหรือฮะ”
“ใช่ นุชเขาเป็นห่วงเรามาก เลยตามคุณศิริไปด้วย”
“แม่”
ดนัยกังวลรู้สึกเป็นห่วงขึ้นมาทันที

ธานีเข้าไปดูการขนไม้แปรรูป อยู่ที่มุมหนึ่ง หัวหน้าคนงานเข้ามารายงาน
“คืนนี้ลูกค้าจะมารับไม้กี่โมง”
“เที่ยงคืนครับ”
“งั้นเตรียมทุกอย่างให้พร้อม อย่าให้มีแมลงสาปที่ไหนมาสอดแนมได้”
หัวหน้าคนงานรับคำแล้วเดินออกไป สวนกับคนงานอีกคนที่วิ่งหน้าตื่นเข้ามา
“นายครับนาย เกิดเรื่องใหญ่แล้วครับ นายศิริมาที่นี่”
“โทรเลื่อนส่งของไปก่อน วันนี้ฤกษ์ไม่ดีแล้ว” ธานีหน้าเครียดขึ้นมา
“ครับ” หัวหน้าคนงานรับคำแล้วเดินออกไป)
ธานีมองออกไป อย่างแค้นใจ
“ไอ้ศิริ! มันมาทำอะไรวะ”

ศิริกับนงนุชยืนอยู่ในห้องรับแขก นงนุชออกอาการหงุดหงิดมาก นงนุชพึมพำออกมา
“นี่ถ้าฉันรู้ว่าคุณจะพามาที่นี่ ฉันไม่มาหรอก” นงนุชนึกได้ “เออ ไหนๆ ก็มาแล้วอย่าให้เสียเที่ยวจะดีกว่า”
นงนุชหยิบมือถือตัวเองขึ้นมาถ่ายรูปบ้านธานี
“นี่คุณทำอะไร”
“ก็ถ่ายรูปบ้านพ่อค้าไม้เถื่อนไง”
“อะไรนะ!” น้ำเสียงศิริฉุนขาด
นงนุชมองดูที่มือถือตัวเองอย่างเซ็งๆ เพราะแบตดันหมด
“บ้าจริง แบตหมดตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย”

เวลาเดียวกัน ดนัยกดปิดมือถือ สีหน้าเครียด กังวล ทองอินกับชลิต กระตือรือร้นอยากรู้
“เป็นไงบ้าง ดนัย...แม่เราไม่รับสายเหรอ”
“ไม่มีสัญญานเลยฮะ เหมือนปิดเครื่อง”
“ต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ๆ”
คำพูดชลิตทำให้ ทั้งสองคนพลอยเป็นห่วงกังวล

ศิริฉวยมือถือจากมือนงนุชไป
“เอ๊ะ เอามือถือฉันคืนมานะ”
“ไม่ จนกว่าคุณจะถอนคำพูดก่อน”
“ทำไมต้องถอน ทองอินเคยบอกฉันว่านายธานี เป็นพ่อค้าไม้เถื่อนรายใหญ่ เสียแต่ว่ายังไม่มีหลักฐานเด็ดๆ มัดตัวมันเท่านั้นเอง”
“หยุดสบประมาทเพื่อนผมได้แล้ว”
“คุณนั่นแหละ เข้าข้างคนชั่ว ทำลายชาติ”
“ธานีเป็นคนดี ไม่มีทางค้าไม้เถื่อน”
ศิริโพล่งขึ้น แล้วปามือถือนงนุชไปที่ประตูห้อง มือถือหล่นที่พื้นเฉียดเท้าธานีที่เดินเข้ามาพอดี ธานี ปั้นหน้ายิ้มแต่ใจเสือเอาเรื่อง
“ขอบคุณนะครับพี่ศิริ ที่เชื่อมั่นได้ตัวผมมากว่าข่าวลือ” ธานีมองจิกตาไปที่นงนุชไม่วางตา
นงนุชหน้าตึง รู้ว่าธานีเพ่งเล็ง ศิริรีบเข้าไปเอาใจ
“อย่าไปถือสาป้าแกเลยนะ ธานี ยายคนนี้ปากเปราะ เหมือนลูกชายเขานั่นแหละ”
ธานีมองนงนุชอย่างพินิจ “ลูกชาย? อย่าบอกนะว่า คุณเป็นแม่ของ...”
นงนุชยิ้มท้าทายไม่กลัว “ค่ะ ฉันนี่แหละ แม่ของดนัย”
ธานีอึ้ง นงนุชพูดต่อ
“ไม่ใช่แค่ปากเปราะเหมือนกันนะคะ เวลากัดก็กัดไม่ปล่อยเหมือนกันอีกด้วย”
ธานีหัวเราะขึ้นมา ทำทีเป็นขำ
“ฮ่าฮ่าฮ่า คุณนี่ มีอารมณ์ขันนะครับ ใครจะไปว่าผู้หญิงสวยๆ เป็นหมูเป็นหมาได้ลงคอ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ คุณนงนุช”
ธานียื่นมืออกไป นงนุชมองเมิน แล้วเอามือกอดอกตัวเองแทน
“ไม่ต้องรู้จักก็ได้ เดี๋ยวก็ไปแล้ว”
ธานีหน้าตึง ศิริหัวเราะรีบแก้ต่างให้
“เอ่อ คือ นงนุชเขาหมายความว่า พวกเราไม่อยากรบกวนอะไรมาก พอดีรถพี่ยางแตก เลยอยากให้นายช่วยหาคนไปเปลี่ยนยางให้หน่อย”
“เรื่องขี้ผงครับพี่ หึหึ เดี๋ยวผมจัดการให้ทั้งเรื่องรถ แล้วก็หาคนไปส่งพวกพี่ ให้ถึงที่เลยล่ะครับ” ธานีพูดขณะมองนงนุชยิ้มจิก
ธานีผุดยิ้มซ่อนร้าย มีแผนกำจัดทั้งสองในใจ

ศิริดึงนงนุชออกมาจากบ้าน อย่างเอาเรื่อง
“โอ้ย ปล่อยฉันนะ ฉันเจ็บนะ ปล่อย”
นงนุชสะบัดออกแรง หลุดจากมือศิริ
“นี่คุณปูนนี้แล้วอย่าซ่าให้มันมากได้ไหม นิสัยเหมือนลูกเด๊ะเลยนะ”
“คุณล่ะ แค่พูดความจริงว่าเพื่อนรักคุณขายไม้เถื่อน ทำไมต้องโกรธด้วย”
“หยุดเลยนะ ถ้าคุณสบประมาทธานีอีกคำเดียว ผมกับคุณไม่ต้องพูดกัน”

จังหวะนั้นมีรถเก๋งคันหนึ่งแล่นมาจอดเทียบที่ปางไม้ สมุนคนหนึ่งเปิดประตูรถลงมาพูดกับศิริ
“นายธานี ให้ผมไปส่งคุณครับ”
“ขอบใจมาก”
ศิริเดินไปขึ้นรถ นงนุชยังยืนจุ๊ย ทำปั้นปึ่งอยู่ ศิริชะโงกหน้าต่างออกมา
“ไม่อยากไปเจอลูกชายแล้วเหรอ โอ.เค.” ศิริหันไปพูดกับสมุนธานีที่มาขับรถให้ “ไปเลยน้อง”
รถจะออกตัว นงนุชรีบวิ่งตามขึ้นรถตามไปนั่งเบาะหลังกับศิริ
“เดี๋ยวก่อน รอฉันด้วย”

ทางด้านสุภาพขับรถไปด้วยสีหน้าเครียดๆ อาหลู่นั่งอยู่ข้างๆ
“ฉันขับย้อนมาที่เส้นทางลัด เผื่อว่าจะเจอนาย”
“นายไปไหนของนายน้า ทำไมโทรไปก็ไม่รับสาย” อาหลู่บ่นก่อนจะนึกได้ขึ้นมาได้ “หรือว่านาย
แอบไปจู๋จี๋ดู๋ดี๋กับคุณนงนุช!! ฮิฮิฮิ”
สุภาพหัวเราะผสมโรงด้วยแล้วหันมาตวาดใส่
“ไอ้ลามก หุบปากไปเลย นายศิริเป็นสุภาพบุรุษพอ ไม่มีทางล่วงเกินคุณนงนุชหรอก”
“แหม อาหลู่ก็พูดเล่นๆ ไม่อยากให้พี่สุภาพเครียด”
“ไม่ต้องพูดมากเลยแก โทรหานายอีกทีสิ”
อาหลู่หยิบมือถือของสุภาพที่วางไว้ข้างรถ ขึ้นมากดโทร.ออก

มือถือของศิริ ตกอยู่พื้นรถของศิริตรงที่นั่งคนขับ มีเสียงสัญญานดังขึ้น ที่หน้าจอมือถือ มีชื่อ “สุภาพ” ขึ้น และข้อความเตือน “ไม่ได้รับ 50 สาย”
ในขณะที่บรรดาสมุนกำลังหิ้วแกลลอนน้ำมันเดินเข้ามา ชายที่เป็นหัวหน้า พูดมือถืออยู่กับใครคนหนึ่ง อยู่ตรงมุมหนึ่ง
“ทุกอย่างเป็นไปตามที่นายสั่ง ทุกคนต้องคิดว่านายศิริเกิดอุบัติเหตุรถระเบิด”
หัวหน้าสมุนผุดยิ้มร้ายออกมา
สมุนที่เหลือ เปิดถังน้ำมัน แล้วเทราดรถของศิริจนท่วม

รถสมุนธานียังคงขับแล่นไปตามทาง ส่วนภายในรถ ศิริคลำทั่วตัวหามือถือ
“ฮึ มือถือ อยู่ไหนเนี่ย เอาไปลืมไว้ที่ไหนวะ”
เวลาเดียวกันนงนุชที่มองข้างทางอยู่ฉุกคิดขึ้นมาได้
“เอ๊ะ นี่มันไม่ใช่ทางไปหมู่บ้านชาลันนี่”
สมุนเหลือบมองนงนุชผ่านกระจกข้าง แสยะยิ้มร้าย
“ทางลัดน่ะครับ” วายร้ายคนหนึ่งโกหก
“อย่ามาโกหก นี่แกจะพาพวกฉันไปไหน จอดรถเดี๋ยวนี้เลยนะ”

นงนุชโวยวาย ศิริหน้าตื่น หัวหน้าสมุนจุดไฟแช้กแล้วเดินเข้าไปใกล้รถ กำลังจะจ่อไปที่สายน้ำมัน
จังหวะนั้นแสงไฟจากรถของสุภาพ สาดเข้ามาใส่ ทั้งหมดตกใจ หัวหน้าชะงักมือ หันไปมอง
สุภาพกับอาหลู่ เปิดประตูรถลงมา สุภาพถือปืนสั้น เล็งใส่พวกสมุน อาหลู่ถือชแลง ที่เอามาจากในรถสุภาพออกมาขู่ด้วย
“หยุด ไม่งั้นตาย”
พวกลูกน้องธานีอึ้งไป ไม่นึกว่าจะมีคนมาเห็น

สมุนธานีที่ขับรถมาเบรกรถดังเอี๊ยด นงนุชกรี๊ดลั่น มีสีหน้าตื่นตระหนก ศิริหน้าคะมำชนขอบประตูอย่างแรง
“คุณศิริ” นงนุชเห็นก็รู้สึกเป็นห่วง
“ไม่ต้องห่วงผม ไปเร็ว”
ศิริรีบเปิดประตูรถ พานงนุชวิ่งหนีออกไป สองวายร้าย เปิดประตูรถตามลงมา แล้วควักปืนขึ้นมาเล็ง
สมุนธานี ยิงปืนดัง
“ปังๆๆ”
ศิริดึงนงนุชหลบไปทางหนึ่ง

ขณะเดียวกันอาหลู่ เข้าไปค้นตัวพวกสมุน เอาปืนต่างๆ ออกมาหมด
“ปลดอาวุธเรียบร้อยแล้วพี่สุภาพ” อาหลู่บอก
สุภาพเล็งปืนไปที่หัวหน้า
“พวกแกเป็นใคร จะเผารถนายข้าทำไม”
“ปล้น!”
สุภาพเอาปืนตบหน้าสมุน เลือดออกปาก
“โกหก”
“จะปล้นแล้วเผาทำไมวะ”
หัวหน้าสมุนทำเป็นมองไปข้างหลังสุภาพอาหลู่ ตะโกนขึ้น
“นายศิริ”
สุภาพกับอาหลู่ ตกใจ หลงกลหันไปมองตาม หัวหน้าพุ่งเข้ามาชาร์จสุภาพล้มลงไป แล้วแย่งปืนมาได้
สมุนที่เหลือก็เข้าไปรุมอาหลู่ ซ้อมจนกระอัก สุภาพกับอาหลู่โดนยำเละ จนกระเด็นมากองรวมกัน สภาพเลือดอาบ
“พี่สุภาพ เอาไง”
“ชาติเสือต้องไว้ลาย ชาติชายก็หนีสิโว้ย”
สุภาพเผ่นแน่บอาหลู่วิ่งตาม หัวหน้ากับลูกสมุนวิ่งไล่จับติดๆ

ด้านศิริพานงนุชวิ่งหนี ในขณะที่พวกสมุน 2 คน ยังไล่ตามยิง ศิริ นงนุช ไม่ลดละ

สุภาพและอาหลู่วิ่งหนีมาหลบอยู่ที่มุมหนึ่ง ลูกสมุน 2 คนวิ่งตามมา สุภาพกับอาหลู่ โผล่จากที่ซ่อนตีหัวสมุนจนสลบไปทั้งคู่ แล้วหัวหน้าสมุนกับลูกน้องอีกคน วิ่งตามหลังเข้ามาอีก ยกปืนยิงใส่สุภาพอาหลู่ เปรี้ยงๆ ๆ สุภาพอาหลู่วิ่งหนีออกไปอีก

ส่วนศิริและนงนุชวิ่งหนี สมุนธานี ที่ยิงไล่หลังมา จังหวะหนึ่งนงนุชหกล้ม ศิริวิ่งกลับมาฉุดมือนงนุช
“เร็วเข้า คุณนุช”
สมุนไล่มายิง เปรี้ยงๆ อีก นงนุชกรี๊ดลั่น ศิริรีบจูงมือนงนุชพาวิ่งหนีเข้าไปที่โรงไม้โดยไม่ได้คิดอะไร

ศิริกับนงนุชวิ่งหนีตาย เข้ามาในโรงไม้ สายตาของทั้งศิริและนงนุช มองเห็นกองไม้แปรรูป กองอยู่เต็มไปหมด และมีบางส่วนที่เป็น ท่อนไม้ใหญ่ ตอไม้ที่ยังแปรรูปไม่เสร็จพร้อม อุปการณ์การเลื่อยไม้ตั้งอยู่ครบครัน
ศิริกับนงนุชมองอย่างอึ้งตะลึง
“นี่มัน”
“ไม้เถื่อนแปรรูป ครบวงจรเลยล่ะ”

ส่วนทางด้านสุภาพกับอาหลู่วิ่งหนีมาจนสุดทาง ถึงเหวตื้นๆ แห่งหนึ่ง อาหลู่ดึงตัวสุภาพไว้ไม่ให้ไถลลงไป
“เหว! ระวัง”
หัวหน้ากับสมุนลูกน้องวิ่งตามเข้ามา หัวหน้ายกปืนเล็ง
“แกหนีไม่รอดแล้ว”
สุภาพยกมือบอกยอมแพ้ “อย่า พี่ชาย”
“ข้าลูกโทน ไม่มีน้องเว้ย” ชายหัวหน้าวายร้ายบอกฉุนๆ
“ซะงั้น” อาหลู่ว่า
“อย่าลืมหนมจีนน้ำพริก กับ หนมปลากริมไข่เต่า ใส่บาตรให้ฉันด้วย” สุภาพบอก
“ของอาหลู่..พิซซ่าหน้าเจนะ” อาหลู่ของมั่ง
“ข้าไม่ใช่บุรุษไปรษณีย์ ไม่รับฝากเว้ย”
“คนใจร้าย” อาหลู่บ่น
“ตายซะ” หัวหน้าเล็งปืนใส่เตรียมยิง
“เดี๋ยวๆ ตอบฉันมาก่อน แกทำงานให้ใคร”
หัวหน้าไม่ตอบเล็งปืน ยิงเปรี้ยงทันที สุภาพกับอาหลู่ตกใจ ผงะถอยออกไป ไถลลื่นแล้วร่างก็เลยกระเด็น ร่วงตกเหวไปทันคู่
“อ๊าก” สุภาพกับอาหลู่ร้องตะโกนออกมาพร้อมกันอย่างหวาดกลัว

ทางฝ่ายศิริกับนงนุช หันจะเดินกลับออกมา สมุน 2 คนเปิดประตูแล้วยิงเข้ามา โดยไม่ฟังเสียงอะไรทั้งสิ้น
“ปังๆๆ”
“หลบ” ศิริตะโกนบอก
ศิริกับนงนุช กระโดดหนี ล้มลงไป ที่กองไม้มุมหนึ่ง สมุน 2 คนยิงปืนเข้ามาอีก ศิริกับนงนุชหลบๆ อยู่ที่กองไม้ตรงหนึ่ง
ในที่สุดศิริกลัวนงนุชจะเป็นอันตราย ตัดสินใจตะโกนออกไป
“อย่ายิง ฉันยอมแล้ว”
สมุนทั้งสองชะงักมือ
“คุณศิริ” นงนุชมองศิริเป็นห่วง
“อยู่เฉยๆ ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น”
ศิริยกมือยอมแพ้ ก้าวออกมาจากที่หลบ
“อย่ายิง ฉันยอมแล้วจริงๆ” ศิริออกมา หยุดพูดต่อ “แกจะปล้นอะไรก็เอาไป แต่ปล่อยผู้หญิงไปซะ”
สมุนทั้งสองถือปืนเล็งเข้ามา พร้อมหัวเราะเยาะ
“ฮ่าๆๆ แมนจริงๆ นะ นายศิริ”
“พวกแกมันเลี้ยงเสียข้าวสุก ธานีไม่น่ามีลูกน้องชั่วๆ อย่างพวกแกเลย”
รถกระบะตำรวจที่จับดนัยกับฉวีวรรณขับเข้ามา
นงนุชร้องอย่างดีใจ “คุณศิริ รถตำรวจ” ศิริมองตามไปอย่างมีความหวัง
“เรารอดแล้ว”
รถตำรวจที่แล่นเข้ามาเลี้ยวหันมุมมาให้ศิริเห็นว่า เป็นรถคันเดียวกับที่จับลูกสาวไป ศิริหน้าถอดสีไ
“นี่มัน...รถที่จับตัวยายหวี...”
รถกระบะเบรกกึก ธานีเปิดประตูรถลงมา ยิ้มกริ่ม ศิริตะลึง
“ธานี”
“หึหึ ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ พี่ศิริ ผมจะมาช่วยปลดปล่อยพี่ให้พ้นทุกข์อยู่เลยนะ”
“ฉันเคยเห็นรถคันนี้ จับตัวยายหวีกับดนัยไป แกคิดจะฆ่าปิดปากลูกสาวฉันกับดนัย เพราะทั้งสองคนรู้เรื่องแกค้าไม้เถื่อนใช่มั้ย” ศิริชี้หน้าธานี
“นับว่าเป็นข่าวดี ก่อนที่พี่จะตาย เซลสมองของพี่ก็เริ่มทำงานแล้ว”
“ไอ้ชั่วเอ๊ย”
ศิริโกรธมากลืมตาย พุ่งเข้าไปต่อยหน้าธานี หนึ่งเปรี้ยง ธานีผงะกระเด็นออกไป ศิริกำหมัดจะตามเข้าไปต่อยอีก ธานีหันกลับมาพร้อมยกปืนเล็งตรงหน้าศิริ ศิริง้างหมัดค้าง
“แน่จริงต่อยสิ จะได้รู้กันไปว่าหมัดกับลูกปืนอะไรจะแน่กว่ากัน”
“อย่าทำอะไรคุณศิริเลยนะ แกอยากได้อะไรก็พูดมาเลย”
ธานีเหลือบมองนงนุช แล้วยิ้มกริ่ม
“ชีวิตพวกแกทั้งคู่”
ธานียกปืนเล็งที่ศิริ ขึ้นไกปืน ศิริตกใจ นงนุชกรี๊ดลั่น ธานีลั่นไก
“เปรี้ยง”

เสียงลูกปืนพุ่งตัวออกไปกลางอากาศ

อ่านต่อตอนที่ 22




กำลังโหลดความคิดเห็น