xs
xsm
sm
md
lg

หอบรักมาห่มป่า ตอนที่ 16

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


หอบรักมาห่มป่า ตอนที่ 16

บรรยากาศบนศาลาที่อยู่บริเวณใจกลางสวนของวังเมืองลับแลค่ำคืนนี้ ถูกตกแต่งอย่างโรแมนติก ห้อยผ้าผื้นสวยเนื้อบางเบาพริ้วไหว ถูกห้อยแขวนระโยงระยางเป็นระยะ ที่กลางศาลามีตั่งวางสำรับชุดอาหารจัดอย่างสวยงาม บรรยากาศยังถูกประดับประดารอบอาณาบริเวณด้วยดอกไม้ และแสงจากคบไฟจุดไว้เป็นหย่อมๆ

ชบาและดอกเข็มเชิญดนัยและชลิต ที่เวลานี้เปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ในชุดเมืองลับแลเรียบร้อย มาที่ศาลากลางสวน
“เชิญทางนี้เจ้าค่ะ” ดอกเข็มเชื้อชวน
ดนัยกับชลิตตามมาที่โต๊ะที่จัดเตรียมไว้แล้วมองอย่างงงๆ
“นี่มันที่ไหน” ชลิตถาม
“ทำไมต้องพาพวกเรามาที่นี่ด้วย” ดนัยผสมโรงถาม
“คืนนี้เป็นคืนเพ็ญ บรรยากาศดี เจ้าแม่จึงอยากจะจัดเลี้ยงต้อนรับท่านทั้งสองที่อุทยานของเรา”
ดอกเข็มเอ่ยบอก ขณะที่ชบากล่าวด้วยท่าทางเชิดๆ แกมข่ม
“เชิญตามสบาย และ หวังว่าท่านทั้งสอง จะทำตัวดีๆ ให้สมกับที่เจ้าแม่ของเราดีด้วย”
พ฿ดจบชบาก็ค้อนให้หนึ่งวง แล้วเดินออกไป พร้อมกับดอกเข็ม
ดนัยและชลิตยังมอง งงๆ ตื่นตาตื่นใจอยู่ ดอกเข็มกับชบาเดินเข้าไปรวมอยู่ตรงวงดนตรี แล้วดอกเข็มยกมือส่งสัญญาณให้ เหล่านางสนมกำนัลบรรเลงดนตรีพื้นเมืองของชาวเมืองลับแลขับกล่อมสร้างบรรยากาศ
ชลิตมองไปเห็น เจ้าแม่ทั้งสองเดินออกมา ชลิตรีบสะกิดให้ดนัยมอง แสงเพชรและแสงหล้าเต้นรำออกมาด้วยท่วงท่าแบบพื้นเมือง ลีลายั่วยวนสองหนุ่ม ชลิตต้องหันไปกระซิบถามดนัย
“อะไรกันเนี่ย”
จังหวะนั้นแสงเพชรคลี่ผ้าคลุมมาคล้องคอดนัยและดึงตัวให้เข้าไปประชิดนาง จ้องมองตา ดนัยอึ้ง แสงหล้าไม่น้อยหน้าพี่สาว เลื้อยเข้าไปหาชลิต ทว่าชลิตใช้ความพลิ้วแกะมือแสงหล้าออก และคอยหลบเลี่ยงอย่าง
มีมารยาทเมื่อแสงหล้าเข้ามาประชิดตัว
ดนัยเอาแต่ยืนนิ่ง หน้าเครียดเคร่ง เซ็งเป็ด ไม่เล่นด้วยสักที เจ้าแม่แสงเพชรเข้ามาคลอเคลีย และจะจูบดนัย นาทีนั้นเองดนัยก็ทนไม่ได้ ผลักแสงเพชรออก
“หยุด! ผมขอโทษ ผมทำไม่ได้”
บรรยากาศมาคุทันควัน บรรดานางกำนัลนักดนตรีต่างตกใจ หยุดเล่นดนตรี
ดนัยเดินลิ่วออกไปจากแสงเพชรเฉยเลย

ดนัยเดินออกมาหน้าศาลา แสงเพชรตามลง ดึงแขนดนัยไว้ให้หันไปหา พูดด้วยน้ำเสียงขัดเคืองใจ
“ทำไม! เจ้าทำแบบนี้หมายความว่าไง”
ชลิตกับแสงหล้าต้องตามลงมาด้วย ชลิตตกใจรีบปราม
“เฮ้ย ดนัย แกทำอะไรวะ อยากตายรึไง”
ดนัยยังโกรธกรุ่นๆ อยู่ “แกมีแฟนแล้วนะเว้ย จะนอกใจเค้าหรือไง”
พูดจบดนัยก็เข้ามากระชากคอเสื้อชลิตอย่างเอาเรื่อง สีหน้าโกรธชลิตจริงจัง
“ฉันเปล่า แต่มีอะไรก็ค่อยพูดค่อยจากันก็ได้นี่นา”
“ไม่พูดอะไรทั้งนั้น ฉันจะไปจากที่นี่ ฉันไม่อยู่แล้ว”
ดนัยจะเดินออกไปจากตรงนั้น แสงเพชรเข้ามาขวาง ไม่ยอมให้ไป
“เจ้าต้องการสิ่งใดขอเพียงบอกมา ข้าให้เจ้าได้ทุกอย่างอยู่ที่นี่เจ้าจะมีแต่ความสุขสบายเพียบพร้อมทุกสิ่ง”
“ผมไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น ที่นี่มีพร้อมทุกอย่างก็จริง แต่ไม่มีครอบครัวของผม ไม่มีเพื่อน ไม่มีคนที่ผมรัก โลกของผมไม่ใช่ที่นี่ โลกของผมอยู่ข้างนอกโน่น ทุกคนรอผมอยู่ ผมต้องไปแล้ว ลาก่อน”
ดนัยดึงดันแล้วเดินไป ชลิตไปด้วย ก่อนไปชลิตหันมาบอกแสงหล้า
“เอ่อ ขอตัวก่อนนะ”
แสงหล้าเสียใจ ผู้ชายจะหลุดลอยไปต่อหน้า
“ทำไงดีเจ้าคะเจ้าพี่ น้องไม่ยอมนะ”
แสงเพชรโกรธจัด ตะโกนลั่น พร้อมกับซัดเข็มเงินใส่ดนัย
“หยุดอยู่ตรงนั้น!”
ดนัยหลบได้ทันอย่างเฉียดฉิว
แสงเพชรยิ่งแค้นเคืองใจ
“เจ้าไม่มีสิทธิ์ไปไหนทั้งนั้น กฎของเมืองลับแล ไม่มีใครออกจากเมืองไปอย่างมีลมหายใจ ในเมื่อไม่อยู่ก็ตาย เจ้าจงเลือกเอา!”
ชลิตหน้าตาตื่นตกใจกลัว “ถึงตายเลยเหรอ!”
“คิดว่าผมจะกลัวเหรอ ตายเป็นตาย”
ดนัยพูดไม่สะทกสะท้าน ชลิตรีบปิดปากดนัย
“ไอ้ดนัย ไอ้ปากเสีย แกเป็นบ้าอะไรของแก”
ดนัยสะบัดมือชลิตออก
“ฉันยอมตาย ดีกว่าทรยศคนรักเหมือนแก”
“ถ้าแกตายแล้วคนที่รักแกเขาจะไม่เสียใจรึไง”
“แกจะให้ทำยังไง อยู่อย่างไม่มีศักดิ์ศรี ฉันทำไม่ได้” ดนัยพูดอย่างทะนงตน
“แล้วศักดิ์ศรีมันกินได้มั้ย”
ดนัยกับชลิตทะเลาะกัน ผลักอกกันไปมา แทบจะวางมวยชกกัน แสงหล้ามองคนนั้นที มองคนนี้ทีแล้วงงมาก สุดท้ายทนไม่ไหว ตะโกนออกมา
“หยุดซะที”
ดนัยกับชลิตต่างชะงัก
“นี่มันอะไรกัน ใครนอกใจใคร ข้างงไปหมดแล้ว” แสงหล้าปรี๊ด
“อยากรู้ความจริงใช่มั้ย ผมจะบอกให้ ความจริงก็คือเราสองคน….”
ดนัยวางมาดแมนโคตรจะพูดต่อ ชลิตเห็นท่าทางไม่ดี คิดแผนเอาตัวรอดขึ้นได้ รีบพูดแทรกขึ้นมา
“ความจริงก็คือเราสองคนรักกัน”
ไม่พูดเปล่าๆ ชลิตดึงดนัยเข้ามากอดทันที
ดนัยลืมตัว “ใช่!” พอนึกได้โวยกลับ “เฮ้ย ไม่ใช่ แกเป็นบ้าอะไรของแกวะไอ้ชลิต”
“เออ ถึงฉันจะบ้า ฉันก็บ้ารักแกนะเว้ย แกไม่ต้องอายหรอกน่า มาถึงขั้นนี้แล้ว”
ดนัยงงมากรับมุกไม่ทัน ชลิตหันพูดไปกับสองสาว
“เรารักพวกคุณไม่ได้ เพราะเราสองคนรักกัน เราเป็นชายรักชาย เราไม่ชอบผู้หญิง ใช่มั้ยจ๊ะที่รัก”
ชลิตหันมาหวานใส่ดนัย พร้อมออฟชั่นเสริม ทำท่าทางอย่างมีจริตจะกร้าน แล้วดึงดนัยมาหอมแก้มเพื่อความแนบเนียน แต่แอบขยะแขยง ดนัยขนลุก รีบเช็ดแก้ม
“ไอ้บ้า แกเล่นอะไรของแก” ดนัยโวยวาย

ชลิตรีบเอาปิดปากดนัยไม่ให้พูด แล้วยิ้มหยันให้แสงเพชรกับแสงหล้า ดนัยยังคงส่งเสียงอู้อี้ด่าอีกชุด ชลิตจีบปากจีบคอตอแหลต่อ
“เข้าใจแล้วใช่มั้ยยะชะนี!”
แสงเพชรกับแสงหล้าตกตะลึง
“นี่พวกเจ้าสองคน ทำเช่นนี้ได้ยังไง ผู้ชายกับผู้ชาย รักกันได้ยังไง”
“ทำไมจะรักกันไม่ได้ ในเมื่อรู้ความจริงแล้ว เราสองคนก็ขอตัว”
ชลิตดึงดนัยออกไป
“หยุดก่อน!” แสงเพชรสั่ง
“อะไรอีก” ชลิตหันมาถาม
“ข้ารู้แล้ว เจ้าสองคนต้องคำสาปใช่หรือไม่ ถึงได้รักเพศเดียวกันเช่นนี้ ข้าจะช่วยเจ้าเอง ข้าจะทำให้เจ้ากลับมาเป็นชายที่รักหญิง”
แสงเพชรดึงดนัยมากอด
“จะทำอะไร”
“ข้าจะคืนความเป็นชายให้กับเจ้านะสิ”
แสงเพชรดึงดนัยมาจะจูบ แต่ดนัยเบี่ยงหน้าหลบ แสงเพชรเลยหอมแก้มดนัยแทน ดนัยตกใจ หน้าเหวอ ร้องไม่ออก

ไม่ต่างจากแสงหล้าที่กำลังวิ่งไล่กอดปล้ำชลิตพัลวัน ชลิตวิ่งหนีขึ้นไปบนศาลา แล้วสะดุดล้มลง
แสงหล้าตามขึ้นมาคร่อมร่างชลิต หนีไม่พ้น
“ข้าก็จะใช้เสน่ห์ของข้าเปลี่ยนใจพี่เอง”
“ช่วยด้วย” ชลิตร้องลั่น
สายตาชลิตเห็นชัด ว่าแสงหล้าก้มหน้าลงมาจูบ มือชลิตปัดไปโดนคบไฟ ที่จุดไว้แถวนั้นล้มลง ไปโดยผ้าม่าน ไฟลุกพรึ่บขึ้น ชบากับดอกเข็มหันมามองเห็น ร้องตะโกนขึ้นพร้อมกัน
“ไฟไหม้!!!”
แสงเพชร กับแสงหล้าผงะ ตกใจ ดนัยกับชลิตถือโอกาสช่วงชุลมุน กระชากตัวออกมา พากันวิ่งหนีออกไปเลย แสงเพชรกับแสงหล้าร้องตาม ท่ามกลางบรรยากาศโกลาหล นางกำนัลพากันมาช่วยดับไฟ
“ดนัย” / “พี่ชลิต”

ดนัยกับชลิตวิ่งหนีกลับเข้ามาในห้อง ชลิตรีบปิดประตูลงกลอน แถมสองหน่อรีบช่วยกันยกหีบตั่งตู้ที่มองเห็นมาดันติดประตู ชลิตปาดเหงื่อ
“เกือบไปแล้ว...เปลืองเนื้อเปลืองตัวจริงๆ เลย”
ขณะเดียวกันที่หน้าประตู แสงเพชรกับแสงหล้ามาถึง จะเปิดประตูแต่ติดล็อก เลยทุบประตูกันใหญ่
“ดนัย เปิดประตู”
“พี่ชลิตเจ้าขา ออกมาหาแสงหล้าเถอะ”
เสียงดังลอดเข้ามาในห้อง ทั้งสองหนุ่มสะดุ้ง
“นี่ยังตามมาอีกเหรอ พ่อแก้วแม่แก้ว ช่วยไอ้ชลิตด้วย”
ดนัยรีบลุกขึ้นไปตะโกนที่ประตู
“เลิกยุ่งเสียทีเถอะ พวกเรายอมตายในห้องนี้ดีกว่าออกไปพบพวกคุณ”
“จะมากไปแล้วนะ” น้ำเสียงแสงเพชรโกรธจัด ตะโกนสั่ง “ทหาร!! พังประตู”
แสงหล้าเห็นท่าไม่ดีรีบปราม
“เดี๋ยวค่ะ เจ้าพี่ เจ้าพี่ตามใจว่าที่สามีของเราเถอะเจ้าค่ะ ให้เขาขังตัวอยู่ในห้องนี้ ก็ยังดีกว่าหนีไปไหนนะเจ้าคะ”
แสงเพชรนิ่งไป คิดนิดนึงแล้วยอมรับไอเดียน้องสาว “ก็ได้” แสงเพชรตะโกนเข้าไปในห้องบอกดนัย ชลิต “ถ้าพวกเจ้าอยากจะอยู่ในห้องนั้นก็ตามใจ ถึงวันแต่งงานเมื่อไร พวกเจ้าก็หนีไม่รอดอยู่ดี”
แสงเพชรแสงหล้า หันตัวเดินกลับออกปแล้ว ส่วนในห้อง ชลิตกับดนัย ต่างทรุดนั่งลงกับพื้น แบบหมดอาลัยตายอยาก
“จบข่าวแล้ว” ดนัยพึมพำ
“ผู้หญิงสมัยนี้ น่ากลัว” ชลิตบ่นออกมา

เป็นเวลาเดียวกับที่ เลาซากำลังก้าวขึ้นอาศรมและจะเดินเข้าประตู ธนวัติกับพาณิชย์สวนออกมา ปล่อยหมัดเข้าหน้าเลาซาเต็มหมัด จนร่างของเลาซากระเด็นออกไป ธนวัติกับพาณิชย์ กรูกันเข้ามารุมอัด เลาซา ไม่ยั้ง
“เก่งนักหรือ” ธนวัติเรื่องก่อนหน้านี้
“จัดให้หนักเลย พี่วัติ” พาณิชย์ผสมโรง
เลาซาโดนทั้งเตะ ถูกต่อยอัดจนกระอักเลือดออกมาทางปาก ล้มกลิ้งกระเด็นไปฟุบที่พื้นดินข้างล่าง
ธนวัติตามลงไป อย่างโกรธแค้น แล้วยกปืนออกมาจะยิงเลาซา
“ถึงวันตายของแกแล้ว”
เลาซาอึ้ง ตกใจ ธนวัติกดลั่นไกเสียงดังแก๊กๆ แต่ปรากฏว่ายิงไม่ออก พาณิชย์ตกใจ
“อะไรน่ะ พี่วัติ!!”
ธนวัติเองก็แปลกใจ “ ปืนเป็นอะไรวะ ทำไมยิงไม่ออก”
จังหวะนั้น ธนวัติหันกระบอกปืนมาดู แต่ทันใดนั้นก็เกิดปืนลั่นเฉียดใบหน้าธนวัติ กระสุนพุ่งทะลุไปที่ต้นไม้ด้านหลัง ธนวัติกับพาณิชย์สะดุ้งตกใจ
พร้อมกับที่มีเสียงหัวเราะดังก้องออกมาจากในบ้าน ทั้งหมดหันมอง แล้วเห็นกาซูเดินออกประตูมา
“นี่เป็นแค่อาคมชุดเด็กๆ ของข้า อยากลองของอะไรอีกไหมล่ะ”
“ไอ้หมอผี แก!!”
ธนวัติโกรธขึ้นมา หันกระบอกปืนจะยิงใส่ กาซูทำท่าพลิกมือแวบเดียว มือข้างที่ธนวัติจับปืนก็เหมือนกับถูกบิดในจังหวะเดียวกัน ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นจับอยู่ ธนวัติร้องลั่นอย่างเจ็บปวด
“อย่าคิดว่าการที่พวกข้าทำงานให้เจ้า จะทำให้เจ้ามีสิทธิ์ทำอะไรตามใจชอบ” กาซูบิดมืออีก
ครั้ง “จำไว้...พวกเจ้าไม่มีสิทธิ์รังแกลูกชายข้า!”
เมื่อยังไม่ได้รับคำตอบ กาซูบิดมือธนวัติแรงขึ้นอีก คราวนี้ธนวัติร้องลั่นดังกว่าเดิม จนต้องปล่อยปืนทิ้งลงพื้น
ธนวัติเจ็บจนทรุดลงนั่งกุมมืออยู่ที่พื้นข้างๆ พาณิชย์เห็นแล้วหวาดเสียวกับอิทธิฤทธิ์ของกาซู

เวลานั้นธานีซึ่งเดินตามหลัง มาถึงพอดี เห็นทั้งธนวัติ พาณิชย์ และเลาซา ต่างก็มีสภาสะบักสะบอม ดูออกว่าผ่านการชกต่อยกันอย่างหนัก ธานีตกใจ ว่าเกิดอะไรขึ้น ตวาดเสียงเขียว
“เฮ้ย นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น สงครามกลางป่าหรือไง”
ทุกคนเงียบไม่มีใครตอบอะไร ธานีมองสบตากับกาซู
“ว่าไง กาซู แกรู้เรื่องดีใช่มั้ย เล่ามาเลยว่า พวกมันก่อเรื่องอะไรกัน”
พอรู้เรื่องธานีต่อยหน้าธนวัติ กับ พาณิชย์ ไปคนละหมัด
“กินข้าวหม้อเดียวกันแท้ๆ กัดกันเป็นหมา”
“ไอ้เลาซามันทำร้ายพวกเราก่อนนะ ป๊า แถมมันยังไปช่วย นังวินยาศัตรูของเราให้หนีไปได้อีก” ธนวัติฟ้องขอความเป็นธรรม
พาณิชย์ชี้หน้าเลาซา ฟ้องลั่น “คนทรยศแบบนี้ ยังจะเก็บไว้บูชาอีกเหรอ”
กาซูหันขวับไปมองเลาซา
“ไอ้ลูกทรพี”
กาซูแค่กำมือ แต่แล้วเลาซาก็ดิ้นพราดๆ เหมือนโดนบีบคอ ร่างเลาซาค่อยๆ ลอยขึ้นไปเหนือพื้นดิน เลาซาร้องเจ็บปวด ธนวัติกับพาณิชย์มองตามด้วยสะใจ
“อ๊อย ท่านพ่อ ข้าไม่มีวาสนารับใช้ท่านแล้ว ข้าขอลาตาย” เลาซาร้องลั่น
“ไม่ต้องมาพูดดี ถ้านับถือข้าเป็นพ่อ แล้วไปช่วยมันทำไม” กาซูโมโหจัด
“ข้า… อ๊อย...ข้าไม่อยากให้ใครมายุ่งกับศัตรูของข้า”
“แกพูดอะไร” กาซูงงรับประทาน
เลาซามองไปที่ธนวัติ พาณิชย์ “วินยาเป็นศัตรูของข้า ได้ยินไหม พวกเจ้าไม่มีสิทธิ์ไปฆ่ามัน วินยาต้องตายด้วยน้ำมือของข้าคนเดียวเท่านั้น”
กาซูวาดมือเหวี่ยงขึ้นไปในอากาศ ร่างเลาซาร่วงลงมาที่พื้นดิน
ธานีเห็นก็กังวล “กาซู...”
กาซูรู้ว่าธานีหมายถึงอะไร รีบยกมือห้าม
“ ไอ้เลาซาไม่มีทางหักหลังพ่อของมันเองหรอก ทุกอย่างเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิด”
“แต่ธุรกิจของเรามันไม่ธรรมดานะ ฉันต้องการคนที่จงรักภักดีจริงๆ แบบไม่ต้องกังขา”
“ข้าขอเอาหัวของข้ารับประกัน ไอ้เลาซาเอง ..เสี่ยไม่ต้องห่วงอะไรแล้วล่ะ พาลูกหลานเสี่ยกลับไปก่อนเถอะ”
กาซูพูดและมองมาสายตาเอาจริง ธานี อึ้งไป จำยอมเพราะไม่สามารถทำอะไรได้

เลาซานั่งลงที่มุมหนึ่งในบ้าน คลำลำคอ ที่ถูกพ่อใช้อาคมบีบ กาซูเดินเข้ามาพร้อมขวดยาในมือยื่นให้
บอกออกมา
“เอายาไปทาซะ”
“ท่านพ่อ” เลาซาอึ้งๆ ไป
“เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ เจ้าไม่มีทางหักหลังข้า ไปเข้าพวกกับนังวินยาหรอก”
คำพูดแทงใจดำของพ่อ ทำเอาเลาซาอึ้งๆ สีเจื่อนไปหน่อย แล้วเสรับยามาถือ
“มีแต่ท่านพ่อเท่านั้นที่เข้าใจ ขอบคุณท่านพ่อ ข้าดีใจที่ท่านไม่โกรธข้าแล้ว”
“หึหึหึ ไม่ใช่แค่นั้น ข้าสัญญาข้าจะยกนังวินยาไว้ให้เจ้าฆ่าแต่เพียงผู้เดียว เจ้าต้องเป็นคน ควักหัวใจของมันออกมาให้ข้าดู!”
กาซูตบไหล่เลาซา แต่เลาซากลับสะดุ้งเฮือก
“ข้ารู้ว่าเจ้าเบื่อที่จะต้องคอยรับใช้ไอ้คนเมืองพวกนี้ แต่อดทนอีกนิดเถอะ ให้เรามีเงินมีอำนาจพอที่จะสร้างเขตปกครองของ เราเอง เราก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งพวกมันอีก แล้วถึงเวลานั้นข้าจะคิดบัญชีพวกมันให้เจ้าเอง”
เลาซายังนั่งนิ่งเหมือนไม่ได้ฟังกาซูพูดเลย เพราะมัวแต่คิดเรื่องของวินยา จนกาซูสังเกตเห็นได้
“เป็นอะไรไปอีก ท่าทางของเจ้า จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลยนะ”
“เออ คือ ข้าพึ่งนึกได้ว่า ไอ้เด็กนรกที่อยู่กับวินยาตอนนี้ มันเป็นเด็กคนเดียวกันกับที่มาเล่นงานพวกข้าตอนที่รับเด็กไปขาย แถมมันยังมีพลังจิตคล้ายๆ ท่านพ่อด้วยนะ”
กาซูมองอย่างสนใจ นั่งลงข้างๆ
“งั้นหรือ นอกจากเด็กลีชาน้องชายนังวินยาแล้ว ยังมีคนที่มีพลังเหมือนข้าอีกหรือ หึหึหึ น่าเสียดาย ที่มันจะต้องลงไปเที่ยวนรกตั้งแต่เล็กแต่น้อย”
“ท่านพ่อ ท่านหมายความว่า...”
“ใครที่อยู่ข้างเดียวกับนังวินยา ถือว่าเป็นศัตรูของเราทั้งนั้น เราต้องรีบกำจัดมันก่อนที่มันจะโต และก็มีพลังที่เข้มแข็งกว่านี้”
สีหน้าของกาซูเวลานี้ดูเหี้ยมโหดกว่าที่เคย

ดาเนาวิ่งเล่นกับเพื่อนๆ เด็กชาวชาลันอยู่ในหมู่บ้าน ทั้งกลุ่มส่งเสียงเฮฮาครึกครื้น สนุกสนาน เด็กๆ แย่งกันวิ่งไล่เตะบอลมาทางดาเนา ดาเนาวิ่งไปดักลูกบอลจากเด็กคนหนึ่ง
“ทางนี้ๆๆ”
เด็กคนนั้นเตะบอลเปรี้ยงส่งมาให้ดาเนา แต่บอลลอยหวือข้ามหัวดาเนาเข้าไปในป่า ทุกคนมองตามหน้าเหวอ
“เอ๊า โธ่เอ๊ย”
ดาเนาขยับจะวิ่งไป แต่เด็กๆ รีบคว้าแขนไว้
“ไม่ได้นะดาเนา ตรงนั้น มันป่ารก พ่อแม่ยังไม่ให้พวกเราเข้าไป”
“ฮึ้ย ไม่ต้องกลัว เราอยู่ในป่ามาตั้งแต่เด็กๆ แค่นี้จิ๊บๆ”
ดาเนาตบหน้าอก ทำท่ามั่นใจแล้ววิ่งเข้าไป เด็กๆ ดูกลัวๆ แต่ก็วิ่งตามเป็นดาเนาไปเป็นฝูง

ดาเนากับเด็กๆ วิ่งเฮละโลเข้ามาในป่า ตรงที่ลูกบอลตกอยู่ ดาเนารีบพุ่งไปจะเก็บ แต่ทันใดนั้น อสุรกายก็โผล่ขึ้นมาจากพุ่มไม้ คำรามลั่น เด็กๆ ถอยกรูดอย่างตกใจ

เสียงเด็กๆร้องดังลั่นเข้ามา ขณะที่วินยากำลังเขียนกระดานสอนหนังสือชาวบ้านอยู่ วินยาชะงักมือ มองตามเสียง สีหน้าตกใจ
“เกิดอะไรขึ้น”
เด็กๆ ร้องจ้าขึ้นมาอีก วินยารีบทิ้งชอล์ค คว้าอาวุธหน้าไม้รีบวิ่งออกไปจากห้องเรียนทันที

ดาเนากับเด็กๆ ประจันหน้ากับอสุรกายที่คำรามดังลั่น เด็กอื่นๆ กลัวกันจนฉี่แทบเล็ด
“ไม่ต้องกลัวนะ ดาเนาจะปกป้องทุกคนเอง”
อสุรกายหันมาแฮ่ใส่ เด็กๆ อื่น กรี๊ดวิ่งแตกกระเจิงไปหมด เหลือแต่ดาเนาตามลำพัง ดาเนาหันมอง เด็กๆ
“เพื่อนๆ อย่าพึ่งไป”
อสุรกายยกมืออวดนิ้วแหลมคมขึ้นมา จะจ้วงแทงดาเนา ดาเนาเบี่ยงตัวหลบ แล้วขัดขา อสุรกายหน้าคะมำไป อสุรกายร้องเสียงหลง
“ฮ่าฮ่าฮ่า สมน้ำหน้า ไอ้นิสัยไม่ดี”
อสุรกายลุกขึ้นตีอก อย่างโกรธจัด แล้วพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว
วินยาวิ่งเข้ามาอีกทาง มองเห็นดาเนา เผชิญหน้ากับอสุรกายอยู่ ก็หยิบหน้าไม้ออกมาจะยิงใส่
“ดาเนา”
แต่ในจังหวะที่อสุรกายกระโจนขึ้นไปนั่นเอง วินยาก็เห็นคลื่นพลังบางอย่าง พุ่งออกมาจากตัวดาเนาไปชนร่างของอสุรกายจนกระเด็นลอยไป อสุรกายตกกระแทกพื้น แล้วร้องออกมาอย่างเจ็บปวด ก่อนจะวิ่งหนีไปทันที
วินยามองภาพนั้นอย่างไม่เชื่อสายตา นึกถึงเหตุการณ์คล้ายๆ กันในอดีตตอนตัวเองเด็กๆ ขึ้นมาทันที

จังหวะที่กาซูย่างสามขุมเข้าไปหานาลา แต่นาลากระเสือกกระสนหนี พลางร้องขอชีวิต
“ยะ อย่า อย่าทำอะไรลูกข้าเลย ลูกข้ายังเด็ก ปล่อยลูกข้าไปเถอะ”
กาซูไม่สนใจ หัวเราะเหี้ยมเงื้อดาบจะแทง เด็กทารกสวมสร้อยเขี้ยวเสือทองที่คอ ซึ่งกำลังร้องไห้จ้าราวกับรับรู้ว่าอันตรายกำลังมาถึงตัว และทันใดนั้นเกิดคลื่นพลังประหลาด ทำให้กาซูปวดศีรษะอย่างรุนแรง
“อ๊าก!”
กาซูล้มลงดิ้นพล่านด้วยความเจ็บปวด
“นี่มัน…นี่มันพลังอะไรกัน”

นึกถึงตรงนี้ วินยาก็ได้สติ มองไปที่ดาเนาที่ยืนนิ่งแล้วรีบวิ่งเข้าไปหา
“ดาเนา! เป็นอะไรหรือเปล่า”
ดาเนายืนนิ่งแล้วค่อยๆ หันมาหาวินยาด้วยใบหน้ายิ้มแป้น
“โธ่พี่วินยา จะเป็นอะไร ดาเนาไล่ไอ้อสุรกายนิสัยไม่ดีไปเรียบร้อยแล้ว”
ดาเนายักคิ้วหลิ่วตาแล้ววิ่งไปเก็บลูกบอลขึ้นมา ก่อนจะเดินกลับไป วินยามองตามอย่างครุ่นคิด แล้วรีบเดินตามไป

*ดาเนาไม่เคยรู้เลยว่าเขี้ยวเสือที่ติดตัวไปตั้งแต่เป็นเด็กทารกนั้นคือ “เขี้ยวเสือทอง” เป็นเขี้ยวเสือประดับด้วยทองคำ เป็นเครื่องรางที่เป็นสัญลักษณ์ของผู้ที่จะเป็นหัวหน้าเผ่าชาลัน แต่เมื่อดาเนาหายสาบสูญไปพี่สาววินยาจึงขึ้นมาเป็นแทน

*และดาเนาก็ไม่เคยรู้ว่าตัวเองมีสร้อยเขี้ยวเสือทองมาก่อน เพราะ หลังจากที่ยายเก็บไปเลี้ยง และตั้งชื่อให้ว่าดาเนานั้น ยายก็เก็บสร้อยเขี้ยวเสือทองไว้ เพราะเห็นเป็นของมีค่า กลัวดาเนาซนแล้วจะทำหล่นหาย และยังไม่เคยได้บอกเรื่องนี้กับดาเนาเลย

*ดาเนาเป็นเด็กที่มีพลังพิเศษด้วยตัวเองเหมือนกาซู ไม่ได้มีพลังเพราะเขี้ยวเสือ สำหรับเขี้ยวเสือไฟของวินยา และ เขี้ยวเสือทองของดาเนา เป็นแค่เครื่องรางป้องกันพลังร้ายของกาซูเท่านั้น แต่ไม่ได้ทำให้มีอำนาจพลังจิตพิเศษถึงขั้นยกข้าวของลอยได้

วินยารีบวิ่งตามดาเนามาด้วยความสงสัย
“ดาเนา หยุดก่อน”
ดาเนาหยุดมองวินยาอย่างงงๆ วินยารีบวิ่งไปควักดูที่คอเสื้อดาเนา
“ทำอะไรเนี่ยพี่วินยา จะแต๊ะอั๋งดาเนาเหรอ”
วินยาพลิกดูที่คอดาเนาจนแน่ใจว่าไม่มี เขี้ยวเสือทอง ก็ผิดหวัง
“ทำไมไม่มี”
“พี่หาอะไรของพี่อ่ะ”
แทนคำตอบ วินยารีบควักสร้อยเขี้ยวเสือที่ห้อยคอตัวเองอยู่ออกมาให้ดู
“ดาเนา เธอเคยเห็นไอ้นี่หรือเปล่า”
“อะไร”
“เขี้ยวเสือแบบนี้ แต่เป็นทอง... “ วินยาพูดเน้นย้ำคำอีกครั้ง “เขี้ยวเสือทองน่ะ”
ดาเนาทำท่าคิด แล้วยิ้มร่า
“อ๋อ เคยสิพี่”
วินยาเนื้อเต้นดีใจมาก นึกว่าดาเนาเป็นน้องชายแน่นอนแล้ว
“จริงเหรอ ดาเนา เธอเคยเห็นที่ไหน เอามาให้พี่ดูสิ”
วินยายิ้มอย่างตื่นเต้นสีหน้ามีความหวัง

ดาเนาลากแขนวินยาขึ้นไปที่บ้านสางโป วินยาถามอย่างตื่นเต้น สางโปเดินผ่านเข้ามาหยุดมอง
“ที่นี่เหรอ ไหนล่ะ เธอมีเขี้ยวเสือแบบนี้เหมือนพี่แน่นะ ดาเนา”
“มีซี้ พี่สาว”
ดาเนาวิ่งหยุดที่หน้าภาพวาดรูปเสือ แยกเขี้ยว ที่แขวนประดับอยู่บนผนังบ้านสางโป เอาเก้าอี้มาต่อปีนขึ้นไปยืนใกล้ๆ แล้วหยิบขันน้ำทองเหลืองที่วางอยู่แถวนั้นขึ้นมาถือ
“อะ นี่” ดาเนาชี้ไปที่รูปเขี้ยวเสือ “เขี้ยวเสือ” แล้วชูขันขึ้นมา “แล้วนี่ก็ทอง รวมกันเป็นเขี้ยวเสือทอง ถูกต้องนะค้าบ”
วินยาอึ้งไป หน้าที่ระรื่น หุบลงทันควัน
“ฮิฮิฮิ ชอบมั้ย ชอบมั้ย พี่วินยา เขี้ยวเสือทองของดาเนา”
ดาเนาหัวเราะชอบใจ ขณะที่วินยาผิดหวังตัดพ้อออกมา
“โธ่ ดาเนา อย่าล้อเล่นแบบนี้สิ มันสำคัญกับพี่มากนะ”
ดาเนาทำตัวสงบเสงี่ยมขึ้น มองวินยาอย่างแปลกใจ วินยาเดินเข้าไปหาดาเนา แตะไหล่ดาเนาเบาๆ
“ลองนึกดูดีๆ นะ ดาเนา ดาเนามีสร้อยเขี้ยวเสือทองหรือเปล่า”
ดาเนาเอาแต่ส่ายหน้า
“ไม่มีหรอกพี่วินยา ไอ้เขี้ยวเสือทองอะไรเนี้ย เกิดมาดาเนาก็พึ่งจะเคยได้ยินจากพี่วินยานี่แหละ ดาเนาไปเล่นกับเพื่อนต่อนะ”
ดาเนารีบวิ่งปร๋อออกไปเลย วินยาจะเรียกแต่ไม่ทัน
“ดาเนา ๆ เดี๋ยว” วินยาถอนหายใจแล้วหันไปเห็นสางโปที่ยืนมองอยู่ “สางโป”
สางโปเดินเข้ามาหา “นายน้อย คิดว่าเดานา เป็นนายเล็กลีชาหรือ”

วินยาอึ้งไป ไม่ตอบอะไรออกมา

อ่านต่อหน้า 2





หอบรักมาห่มป่า ตอนที่ 16 (ต่อ)

จู่ๆ อุ๊บอิ๊บก็ร้องไห้คร่ำครวญ และโวยวายออกมา บอกว่าตัวเองเป็นห่วงดนัยจะเป็นจะตาย ภายในคุกเมืองลับแลแห่งนั้น

“พี่ดนัย พี่ดนัย ฮือๆๆๆ พี่ดนัย เป็นยังไงบ้าง พี่ดนัยอย่าพึ่งตายนะคะ”
ทุกคนมองด้วยความรู้สึกเซ็งๆ ระคนรำคาญ บางจังหวะอุ๊บอิ๊บ เอามืออุดหูตัวเองบ้าง แต่บุญทิ้งกลับยื่นผ้าเช็ดหน้าส่งให้อุ๊บอิ๊บ
“นี่ครับ อย่าร้องไห้เลยนะครับ”
อุ๊บอิ๊บยอมรับผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นไป ทำสะอื้น ฮักๆ ฮือๆ บุญทิ้งมองแล้วยิ้มนึกว่าอุ๊บอิ๊บจะเอาไปเช็ดหน้า แต่แล้วอุ๊บอิ๊บกลับทิ้งผ้าเช็ดหน้าลงบนพื้นแล้วเอาเท้าขยี้ๆ บุญทิ้งอึ้ง ใบ้กิน ทำดีไม่ขึ้นเหมือนอย่างเคย
ฟากก๊วนแจ๋ กิมจิ ดาหวัน ฉวีวรรณ ทุกคนพากันชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจ
“ฮึย นี่แน่ะๆๆ” อุ๊บอิ๊บยังใช้เท้าขยี้ๆ ผ้าเช็ดหน้าไม่หยุด
“คุณอุ๊บอิ๊บ นี่ผ้าเช็ดหน้านะครับ” บุญทิ้งพูดเสียงอ่อย
“ฉันว่ามันเหมาะกับเช็ดเท้าฉันมากกว่านะ” ว่าแล้วอุ๊บอิ๊บก็ผลักอกบุญทิ้ง “นายไม่ใช่พี่ดนัย อย่ามายุ่งกับฉันอีก”
แจ๋ทนไม่ได้ เข้ามาเหวี่ยงวีนแทน
“นี่หล่อน ทำอะไรยะ” แจ๋โวยใส่
“ตาบอดเหรอไง แหกตาดูเองสิ” อุ๊บอิ๊บแว้งกลับ
“อีนังอุ๊บ!”
อุ๊บอิ๊บลุกขึ้น เถียงไม่ลดรา “ทำไมยะ หล่อนมีปัญหาอะไร อี-นัง-แจ๋” อุ๊บอิ๊บเน้นๆ สามพยางค์หลังอย่างไม่แคร์
“ฮึ่ย ไม่มีใครเขาอยากสนทนาวิสาสะกับเธอแล้วนะ เหลือแต่มหาบุญทิ้งคนเดียวแหละ ที่ยังหน้ามืดตามัว แผ่เมตตาให้นางเปรตเนรคุณอยู่ได้” แจ๋ใส่ไม่ยั้ง
“อ๊าย... แกว่าฉันเป็นเปรตเหรอ”
อุ๊บอิ๊บตบแจ๋ ถูกแจ๋ตบสวนคืนทันควัน แถมจัดเต็มจนอุ๊บอิ๊บเซกระเด็นไปติดลูกกรง
“ฮือ... พี่ดนัย อุ๊บอิ๊บโดนรังแก ช่วยอุ๊บอิ๊บด้วย ช่วยด้วย...”

จู่ๆ ดนัยกับชลิตในชุดโซโร่ ใส่หน้ากากดำคาดหน้า พร้อมดาบในมือ วิ่งเข้ามาชูดาบวางมาดอย่างเท่
“พวกเรามาช่วยแล้ว”
อุ๊บอิ๊บเห็นแล้วตะโกนกรี๊ดลั่น อย่างดีใจ
“พี่ดนัย! พี่ดนัยจริงๆ ด้วย”
ทุกคนตื่นเต้น วิ่งเข้ามาเกาะที่ซี่ลูกกรง ร้องพร้อมกัน
“ดนัย!! ชลิต!!!”
ดนัยพูดแบบเซ็งๆ อารมณ์เสีย “หมดกัน นี่ฉันอุตส่าห์ปลอมตัวมานะ ช่วยจำไม่ได้กันหน่อยได้ไหม”
“นั่นสิ หาชุดนี่ยังยากกว่าหาทางมาช่วยอีกนะ” ชลิตก็ด้วย
“อย่ามัวแต่โม้เลยน่า พี่ชลิต รีบๆ เปิดประตูเถอะ” ดาหวันเร่ง
“จ้า จัดให้ไม่ต้องห่วง”
ชลิตรับคำดาหวัน แล้ววิ่งเข้ามาที่ประตู แล้วเอาดาบฟันฉับ โซ่คล้องประตูขาดอย่างง่ายดาย ทั้งหมดเปิดประตู กรูกันออกมา
ฉวีวรรณจะวิ่งเข้าไปหาดนัย แต่โดนอุ๊บอิ๊บผลักแล้วอุ๊บอิ๊บก็โผเข้าไปกอดดนัยก่อน
“พี่ดนัยขา พี่ดนัย พี่ดนัยมาช่วยอุ๊บอิ๊บแล้ว ดีใจจังเลยอ่ะ”
ฉวีวรรณหมั่นไส้ เข้าไปกระชากอุ๊บอิ๊บออกมา
“นี่เธอ อย่าหน้าด้านได้ไหม”
อุ๊บอิ๊บกระเด็นไปตามแรงผลักล้มไปโดนบุญทิ้ง แจ๋ และกิมจิ ลงไปกองอยู่ที่พื้นด้วยกัน
“โอ้ย อะไรนะ นังหวี” อุ๊บอิ๊บโวยขณะหันกระดอนไป
ระหว่างนั้นก็มีเสียงทหารพากันกรูเข้ามา ดนัยรีบดึงตัวฉวีวรรณที่ทำท่าจะมีเรื่องกับอุ๊บอิ๊บออกไป
“รีบไป เร็วเข้า”
ชลิตรีบดึงดาหวัน ตามออกไปติดๆ กัน
“เร็ว หวัน”
ดนัยคว้าแขนฉวีวรรณ ชลิตจูงดาหวัน ออกตัวไปก่อน พวกแจ๋ กิมจิ โวยวายต่อว่าอุ๊บอิ๊บให้ลุกขึ้นหนี
“นังอุ๊บอิ๊บ อย่าสำออย ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้เลยนะ”
แต่พวกทหารกรูเข้ามา เอาดาบขู่ทั้งหมด โวยวายลั่น
“จะหนีไปไหน! หยุดเดี๋ยวนี้”
พวก แจ๋ กิมจิ บุญทิ้ง และอุ๊บอิ๊บ ยกมือยอมแพ้ หนีไม่ทันแล้ว
“ยอมแล้วจ้า ไม่หนีแล้วจ้า”

ดนัยกับฉวีวรรณวิ่งนำหน้ามา ดนัยหันไปเห็นม้า 2 ตัวผูกอยู่มุมหนึ่ง รีบเรียก ชลิตกับดาหวันที่ตามมาข้างหลัง
“เร็วเข้า ทางนี้”
ดนัยจะดึงมือฉวีวรรณไปอีก
“แล้วพวกแจ๋ล่ะ ดนัย” ฉวีวรรณห่วงทั้ง 4 คน
“ให้ฉันพาเธอไปอยู่ในที่ปลอดภัยก่อน แล้วฉันจะกลับมาช่วยพวกนั้น รีบไปเถอะหวี”
ดนัยรีบดึงฉวีวรรณไปที่ม้า โดดขึ้นหลังม้าแล้วให้ฉวีวรรณซ้อนอยู่ข้างหน้า ขี่ม้าออกตัวไปก่อน
ชลิตกับดาหวันตามมา
“เฮ้ย รอก่อนสิวะ” ชลิตร้องขึ้น
ชลิตพุ่งตัวขึ้นขี่ม้า แล้วดึงดาหวันขึ้นนั่งซ้อน โดยมีพวกทหารตามเข้ามา แต่ต้องชะงัก หลบทางให้ชลิตควบม้าพาดาหวันตามหลัง ดนัยฉวีวรรณออกไป

วิว
เสียงฉวีวรรณกับดนัยคุยกัน ใกล้ๆ กับชายหาดสีขาวสะอาดตา ทะเลสีครามสวยงาม
“เดินยืดเส้นยืดสายกันหน่อยดีกว่า นายผูกม้าดีแล้วนะ”
ดนัยถอดหน้ากากออกแล้วเดินคู่กับฉวีวรรณมาตามทางชายป่า ซึ่งเป็นทางออกชายหาด
“ไม่ต้องห่วงน่า...”
ฉวีวรรณหันไปมองเห็นชายหาด และท้องทะเลสีครามสวยแล้วก็ทำตาโต ดีใจ
“ดนัย ทะเล”
ดนัยมองตาม ใบหน้ายิ้มๆ
“เราน่าจะพ้นเขตเมืองลับแลแล้วล่ะ ถึงได้มีทางออกทะเล”
“อะไรก็ช่างเถอะ อยู่แต่ในป่า ไม่ได้เห็นทะเลเป็นชาติแล้ว งั้นวันนี้เรามาออกทะเลด้วยกันสักวันเถอะนะ”
ฉวีวรรณยิ้มสวยมองมายังดนัย

ดนัยหันมองตาม ฉวีวรรณวิ่งอย่างเริงร่าลงไปที่ชายหาด ตะโกนใส่ท้องทะเล ด้วยท่าทางสดใส น่ารัก
“สวัสดีทะเล คิดถึงทะเลที่สุดเลย วู้ๆๆ”
ดนัย มองตามยิ้มออกมาอย่างมีความสุข ฉวีวรรณจะวิ่งลงไปเล่นน้ำ แล้วนึกได้ หันกลับไปดึงมือดนัย ให้ลงไปเล่นด้วยกัน
ดนัยขืนๆ ไม่อยากลง ฉวีวรรณทำย่นจมูกใส่เป็นเชิงว่าไม่ยอม แล้วจัดการจับแขนดนัยช่วยพับแขนเสื้อขึ้นไปให้ ดนัยแอบมองหน้าฉวีวรรณ ปิ๊งๆ วิ๊งๆ
ฉวีวรรณพับแขนเสื้อให้ดนัยเสร็จแล้ว ก็ดึงมือดนัย ฉุดให้ลงทะเลไปด้วยกัน ทั้งคู่เล่นน้ำทะเล แกล้งสาดน้ำ วิดน้ำใส่กัน อย่างร่าเริงสนุกสนาน
จังหวะหนึ่งดนัยคว้าตัวฉวีวรรณรวบตัวดึงเข้ามากอดไว้ได้ มองสบตากันต่าง และรู้สึกดีๆ ต่อกัน

คู่ของชลิตกับดาหวันเดินลัดเลาะตามชายหาด ตะโกนหา
“ดนัย หวี วู้”
“พี่หวี พี่ดนัย”
ทั้งสองมาหยุดที่มุมริมชายหาด ช่วยกันเหลียวมองหา
“สองคนนั้น หายไปไหนกันน้า” ชลิตมองหาอีก
“หวันบอกแล้ว ให้รีบๆ ตามดูสิ พลัดหลงกันจนได้” ดาหวันบ่น
“โธ่ ม้าที่ขี่นั่นน่ะ ถ้าเป็นคนก็รุ่นอาม่าเราแล้วนะ มาได้ขนาดนี้ก็บุญโขแล้วจ้า” ชลิตแก้ต่าง
ดาหวันค้อนให้ทันที “เบื่อคนแก้ตัว” ดาหวันมองไปเห็นปากถ้ำ “ฮึ ตรงนั้นมีถ้ำด้วย ไปดูกันดีกว่า”
ดาหวันเดินนำเข้าไปในถ้ำ ชลิตตามไปด้วย

ชลิตกับดาหวันเดินเข้ามาในถ้ำ เห็นหีบใส่ของต่างๆ วางอยู่ สี่ห้าอัน
“โฮ นี่มันหีบอะไร เยอะแยะเลยอ่ะ พี่ชลิต”
“เออ พอดีไม่ได้เป็นคนขนมาน่ะ จะรู้มั้ยละ” ชลิตกวน
ดาหวันตีไหล่ชลิต ด้วยความหมั่นไส้
“นี่แน่ะ เถียง..เดี๋ยวตีตายเลยนี่...อ๊ายย ว้าย”
ดาหวันกลับโดนชลิตรวบมือดึงรั้งตัวเข้ามาปะทะอก
“มะ ตีสิ พี่จะได้ตบด้วยปากบ้าง”
“บ้า...” ดาหวันเขิน เอียงอาย
“แต่ก็ชอบใช่มั้ยล่ะ” ชลิตเย้าต่อ
ดาหวันเหยียบเท้าชลิต ชลิตร้องลั่นอย่างเจ็บปวด ดาหวันรีบดึงตัวออกมา
“หวัน พี่เจ็บนะ อ๊อย”
“สมน้ำหน้า ทีหลังจะได้ไม่มาทำนิสัยชลิตๆ กับหวันอีก”
ดาหวันค้อนใส่ แล้วหันเดินหนี ไปเปิดดูที่หีบใบหนึ่ง เห็นข้างในมีพวกเสื้อผ้า เครื่องประดับข้าวของต่างๆ อยู่เต็ม
“โฮ เสื้อผ้าข้าวของเยอะแยะไปหมดเลย อ่ะ ของดีๆ ทั้งนั้นเลยเนี้ย” ดาหวันพูดพร้อมกับรื้อค้นดู
ชลิตตามเข้ามา “ดูๆ ไปแล้ว อาจจะเป็นของของพวกที่เรือแตก หรือไม่ก็ โจรสลัด”
จังหวะนั้นดาหวันหยิบชุดสวยชุดหนึ่งขึ้นมาไม่ใช่ชุดโบราณ แต่เป็นชุดเดรสยาวสวยๆ สีหวานแนววินเทจ
“โฮ สวยจังเลยอ่ะ”
ดาหวันเห็นอีกชุด เป็นชุดผู้ชายแนวลำลองสบายๆ เท่ๆ ใส่เดินเล่นชายทะเล ยกชุดมาทาบตัวชลิต
“โอ้ย น่าจะพอดีเลยนะเนี่ย เยี่ยมเลย จะได้เปลี่ยนเสื้อผ้าเสียที” ดาหวันพนมมือไหว้ขอกับเจ้าของเสื้อผ้า “ท่านเจ้าของขา หวันขออนุญาตยืมใส่สักวันนะคะแล้วหวัน จะให้พี่ชลิตซักคืนให้”
“อ้าว ไหงงั้นล่ะ อีหนู ...พี่เกี่ยวอะไรในท้องเรื่อง”
ดาหวันโยนชุดให้ชลิตชุดนึง แล้วรีบดันชลิตให้ออกไป
“ก็เพราะพี่ก็ต้องเปลี่ยนด้วยไง เหม็นเหงื่อจะแย่แล้วรู้ตัวมั้ย ไปๆ อย่ามายืนงง ออกไปเปลี่ยนข้างนอกโน่นเลย ไปๆๆ”
ชลิตจำต้องออกไปกับเสื้อผ้าชุดใหม่ในมือ ดาหวันหันไปหยิบชุดสวยขึ้นมาดูอย่างพอใจ

ทางด้านดนัยกับฉวีวรรณที่เนื้อตัวเปียกปอน เดินเข้ามาที่หน้าบ้านชาวประมงหลังหนึ่ง เห็นลุงกำลังถักแหอยู่หน้าบ้าน
“ท่าทางเราจะหลุดจากเมืองลับแลแล้วจริงๆ ดูนั่นสิ”
ฉวีวรรณมองตามไป แล้วยิ้มออกมา
“ลุงท่าทางจะเป็นเจ้าของบ้านนะ” ฉวีวรรณรีบเดินเข้าไปหาลุงคนนั้น “ลุงคะ สวัสดีค่ะ คือว่าพวกหนูหลงทางมา อยากจะขอพักอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าสักหน่อยค่ะ”
“เอาสิ ตามสบายเลยนะ มา เข้าไปในบ้านก่อน”
ลุงลุกขึ้น เดินพานำเข้าไปในบ้าน
ฉวีวรรณกับดนัยบอกพร้อมกัน “ขอบคุณค่ะ” / “ขอบคุณครับ”
ฉวีวรรณหันมายิ้มกับดนัย แล้วเดินตามลุงเข้าบ้านไป

เวลาเดียวกัน ชลิตอยู่ในชุดใหม่ทั้งเท่ หล่อ และดูดี กำลังยืนเท่พิงโคนต้นลีลาวดี เด็ดกลีบดอกลีลาวดี เสี่ยงทายรักไม่รัก ทีละกลีบ
“ไม่รัก..รัก...ไม่รัก รัก ไม่รัก”
ชลิตเด็ดกลีบสุดท้ายที่คำว่าไม่รัก แล้วหน้าเจื่อนไปไม่ยอมรับ ชลิตจัดการทิ้งก้านดอกรวมเข้าไปด้วยให้กลายเป็น... รัก
“รัก..” แล้วอมยิ้มกับตัวเอง
“ทำอะไรน่ะ พี่ชลิต”
เสียงดาหวันดังมาจากข้างหลัง ชลิตสะดุ้งหันไปมอง
เห็นดาหวันเดินเข้ามาอย่างสวยและน่ารักมากมาย ชลิตมองดาหวันตาค้าง รู้สึกประทับใจ ดาหวันหันมามองสบตาชลิต แล้วยิ้มให้ ด้วยความรู้สึกเขินๆ
“มองอะไร”
“มองคนสวย...วันนี้ หวันของพี่สวยมาก”
เจอคำชมพร้อมสายตาเยิ้มของชลิต ดาหวันยิ่งเขินทำตัวไม่ถูก ทำปากยื่นใส่
“ขี้ตู่ ...ใครที่ไหน เป็นของพี่?”
“ก็หัวใจของหวันไง..ของพี่”
ดาหวันยิ่งเขินเข้าไปใหญ่ “อย่ามา พี่ชลิต อย่ามา...มั่ว”
“หวันแหละ ...อย่ามาโกหกดีกว่า....” ชลิตยื่นหน้าเข้ามาจ้องตาดาหวัน “จำวันที่เราไปฉลองเรียนจบกันได้มั้ย
ดาหวันคิดถึงอดีต วันที่ชลิตหอมแก้มตัวเองที่น้ำตก
ชลิตยิ้มกริ่ม จ้องตาดาหวันเป็นประกาย
“นับจากนั้น นางสาวดาหวันก็ตกหลุมรักนายชลิตสุดหล่อจนหมดหัวใจ” ชลิตร่าย
“ใครบอก” ดาหวันไม่กล้าสบตา
“มันก็จริงใช่มั้ยล่ะ”
“แหวะ หลงตัวเอง”
ดาหวันผลักชลิตด้วยความเขินแล้ววิ่งหนีออกไปเลย ชลิตมองตามอมยิ้ม แล้ววิ่งตามไปร้องเรียก
“แน่จริงอย่าหนีสิ หวัน หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ”

สองหนุ่มสาววิ่งไล่กัน ราวกับโลกนี้มีเพียงสองคน ดาหวันวิ่งหนี ชลิตวิ่งไล่จับ หยอกล้อกันไปตามชายหาด อย่างมีความสุข จังหวะหนึ่งดาหวันวิ่งหนีชลิตไป แล้วทำผ้าคลุมไหล่ผืนบางๆ ร่วงตกพื้นทราย
ดาหวันวิ่งเลยออกไปไกลพอประมาณถึงจะรู้ตัว หันกลับมาเห็นชลิตหยิบผ้าขึ้นมาถือไว้ในมือ
ดาหวันวิ่งกลับเข้ามาแย่งผ้าคืน ชลิตแกล้งโยกยกผ้าหนี ไปมา แล้วแกล้งทำท่าปาทิ้งลงทะเล ดาหวันใจหายมองตามไปที่ทะเล นึกว่าผ้าตกน้ำไปแล้ว
ชลิตเข้ามาทางด้านหลัง ยกผ้าขึ้นมาคลี่คลุมไหล่ให้ดาหวัน
ดาหวันชะงักเหลียวมองหน้า ชลิตมองสบสายตาดาหวัน แล้วสวมกอดดาหวันจากทางข้างหลัง
อย่างอบอุ่น และอ่อนหวาน ดาหวัน กับชลิต ยิ้มและยืนคลอเคลียกันอย่างมีความสุข

ดนัยกำลังผิวปากไป ทอดไข่เจียวอยู่ ที่เตาหลังบ้าน ฉวีวรรณเดินเข้ามา ในชุดเสื้อกล้าม กับผ้าถุงลายเก๋ๆ แนวๆ แปลกตา แอบมองดนัย อมยิ้ม แล้วขยับตัวไปโดนโต๊ะจนมีเสียงดังกุกกัก ดนัยทอดไข่สุกแล้วนึกว่าลุงเจ้าของบ้านเข้ามา
“ลุง มีจานมั้ย”
ฉวีวรรณเดินเข้าไป หยิบจานยื่นให้ดนัยรับไป นึกว่าลุงส่งให้
“ขอบคุณฮะ ลุง...”
แต่พอหันมาก็เห็นฉวีวรรณ ดนัยอึ้ง มองตาค้าง ฉวีวรรณมองชุดตัวเอง ประหม่า
“เออ ผ้าถุงกับเสื้อของลูกสาวลุงน่ะ เชยล่ะสิ” ฉวีวรรณเขิน
“สวยออก ฉันชอบ”
ดนัยมองฉวีวรรณยิ้มกริ่ม ฉวีวรรณเขิน หลบตา แล้วมองเห็นไข่ในกะทะกำลังไหม้
“ว้าย ไข่ไหม้หมดแล้ว”
ดนัยสะดุ้ง รีบตักไข่ขึ้นมา เห็นไข่ไหม้เต็มๆ ใส่จานวางลงแล้วทำโวยใส่
“โฮ หมดกันเลย เพราะเธอคนเดียวเลย”
“อะไร เรื่องอะไรมาโทษฉันล่ะ”
“ก็...อยากมา น่ารัก แถวนี้ทำไม จิตใจมันเลยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว รู้มั้ย”
ดนัยพูดพร้อมกับส่งสายตาหวานให้ ฉวีวรรณเขิน แต่ทำแหวะใส่เป็นการกลบเกลื่อน
“แหวะ น้ำเน่า..รีบๆ ทอดมาใหม่เลย เร็วๆ ด้วย ฉันหิวข้าวแลว”
สั่งเสร็จฉวีวรรณรีบเดินออกไป ดนัยมองตามอมยิ้มนิดๆ

คลื่นซัดสาดเข้าหาฝั่งเสียงดังซู่ซ่าเป็นระยะ ฉวีวรรณนั่งรออาหารอยู่ที่โต๊ะริมทะเล มีกระบอกไม้ไผ่ใส่ดอกไม้แบบบ้านๆ วางประดับน่ารัก พอดีๆ
จังหวะนั้นฉวีวรรณเหลียวไปมองดนัยทีเดินถือจานไข่เจียวอันใหม่เข้ามา ดนัยเอาจานอีกใบปิดจานไข่เจียวประกบเอาไว้
“มาแล้วคร้าบ ไข่เจียวแสนอร่อยตามใบสั่งคุณฉวีวรรณ”
“แน่ใจ...เหรอว่าอร่อยนะ”
“อย่ามาขอเพิ่มก็แล้วกัน เพราะทำแบบนี้ได้แค่จานเดียว”
“นายนี่ขี้โม้จริงๆ นี่ถ้าไม่สมราคาคุยล่ะก็ ฉันไม่กินจริงๆด้วยนะ”
“ยายป้าหวี อย่ามัวแต่บ่นนักเลย รีบๆ ชิมเสียที”
ฉวีวรรณย่นจมูกใส่ แล้วหันไปเปิดจานที่ครอบออก สายตาของฉวีวรรณมองดูไข่เจียวในจาน ทอดสวยๆดูดี บีบซอสมะเขือเทศ เป็นรูปหัวใจ และ เขียนคำว่า “ รัก” อยู่ตรงกลาง
ฉวีวรรณ ไม่นึกว่าดนัยจะเซอร์ไพรส์กุ๊กกิ๊ก จึงยิ้มออกมา แล้วเงยหน้าขึ้นสบตาดนัย ซึ่งดนัยจ้องมองสบตาฉวีวรรณรออยู่แล้วพร้อมกับยิ้มๆ
“ไข่เจียวจานนี้ ทำจากใจเลยนะ มีอยู่แค่จานเดียว แล้วก็คงจะทำอยู่ครั้งเดียว เพื่อเธอคนเดียวเลยนะ ฉวีวรรณ”
ฉวีวรรณยิ้มปลื้ม ทนไม่ไหวแล้ว ลุกขึ้น แล้วเดินเข้าไปสวมกอดดนัยอย่างน่ารักและอบอุ่นแทนคำขอบคุณ
“ขอบใจมากนะ ที่ทำอะไรน่ารักๆ อย่างนี้ให้ฉัน”
ดนัยดึงตัวฉวีวรรณออกมาจ้องมองหน้า
“ถ้าน่ารัก ก็รักเสียทีสิ ฉันอยากได้ยินเหมือนกัน ว่าเธอรักฉันหรือเปล่า”
ฉวีวรรณชะงัก อ้ำอึ้ง กลายเป็นอาการอึกอักในเวลาต่อมา ขณะที่ดนัยรอฟังอยู่อย่างใจจดใจจ่อ
“บอกมาสิ หวี ...เธอคิดยังไงกับฉันกันแน่”
ฉวีวรรณอึกอัก รู้สึกผิดอีกแล้วที่ตัวเองจะมาชอบแฟนของน้องสาวจึง รีบบอกปัด
“มีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่านี้อีกเยอะแยะ อย่าพูดเรื่องนี้อีกเลย”
ฉวีวรรณเดินหนีออกไปอีกทาง ดนัยมองอย่างงงๆ แล้วเดินตามไป

ฉวีวรรณเดินมาที่ริมชายหาด เหม่อมองออกไปที่ทะเล สีหน้าหนักใจ เวลานั้นเสียงความคิดฉวีวรรณดังขึ้น
“....พี่ขอโทษนะ หวัน พี่ต้องห้ามใจตัวเองให้ได้....”
ดนัยเดินตามเข้ามา
“ทำไมเธอถึงชอบวิ่งหนี มันยากมากหรือ ถ้าจะบอกว่ารักฉัน”
ฉวีวรรณถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วหันกลับมา
“นายไม่เข้าใจหรอก”
ฉวีวรรณจะเดินไป ดนัยขยับขวางอีก ฉวีวรรณชะงักมองหน้า
“หรือว่า เธอไม่เคยรักฉันเลย ....”
“นี่ พูดไม่รู้เรื่องเหรอ ทำไมเรื่องแค่นี้ต้องมาบังคับให้พูดด้วย” ฉวีวรรณแกล้งทำเป็นฉุน
“ถ้ามันแค่นี้ ก็ไม่น่ายากที่จะพูดนี่ ทำไมยังลังเลที่จะตอบ” ดนัยยังคาดคั้นจะเอาตอบ
“...ก็เพราะ ฉันมีแฟนอยู่แล้วนะสิ” ฉวีวรรณโพล่งออกมา แบบหาเรื่องแก้ตัว
ดนัยเนื้อตัวเย็นชามองนิ่งๆ อย่างปวดใจ
“ฉันยังรักชลิตอยู่ เข้าใจมั้ย”
“ไม่จริง ฉันไม่เชื่อ” ดนัยแย้งขึ้นมา
“ฉันไม่ได้คบกับชลิตแค่วันสองวันเท่านั้นนะ ความผูกพันของเรามันมีมากมายเกินกว่าที่ความหลงชั่วข้ามคืนจะมาลบล้างได้” น้ำเสียงฉวีวรรณจริงจัง
“เธอพูดอย่างนี้ หมายความว่าไง หวี ความรักของเรามันเป็นแค่เรื่องชั่วข้ามคืนเหรอ”
“ระหว่างเรามันไม่ใช่ความรักต่างหาก ดนัย มันก็แค่ความหลงชั่วครั้งชั่วคราว เหมือนน้ำค้างตอนดึกที่พร้อมจะเหือดแห้งไปในตอนเช้าที่พระอาทิตย์ส่องแสงมาไงล่ะ”
ฉวีวรรณพูดจบก็ก้าวเดินหนีผ่านดนัยออกไปทันที

ดนัยมีสีหน้าเคร่งเข้ม เขากัดกรามแน่น แล้วหันไปดึงตัวฉวีวรรณให้หันกลับมา ฉวีวรรณตกใจ แต่ยังไม่ทันร้องอะไรออกมา ดนัยก็โน้มตัวเข้าไปจูบประทับทีริมฝีปากฉวีวรรณทันที
ฉวีวรรณตะลึง ออกแรงดิ้น พร้อมกับทุบไหล่ดนัยอยู่สักครู่ แล้วมือก็ค่อยๆ อ่อนยวบสิ้นเรี่ยวแรงจะขัดขืนไป
สักครู่หนึ่งดนัยก็ถอนใบหน้าขึ้นมามองฉวีวรรณพร้อมกับยิ้มกริ่ม
“รักหรือหลง ...รู้หรือยัง”
ฉวีวรรณเถียงไม่ออก ดนัยก้มลงไปจูบอีกครั้งอย่างละมุนละไม

จังหวะนั้นเองดาหวันกับชลิต ซึ่งเดินจับมือจูงกันเข้ามา เห็นภาพดนัยกับฉวีวรรณกำลังจูบกันอยู่อย่างดูดดื่ม ทั้งคู่ตะลึงงัน
“พี่หวี”
“ดนัย”
ดนัยกับฉวีวรรณได้ยินเสียงร้องทัก ทั้งคู่สะดุ้งรู้สึกตัว หันมองไปเห็นดาหวันกับชลิตยืนจับมือกันอยู่ ต่างคนต่างตกตะลึง ซึ่งกันและกัน ดาหวันรู้สึกตัวก่อน มองจ้องฉวีวรรณอย่างตัดพ้อ ไม่อยากจะเชื่อสายตา
“พี่หวี ...พี่หวีกับพี่ดนัยทำแบบนี้ได้ยังไง”
ฉวีวรรณผละออกจากดนัย แล้วรีบปฏิเสธ
“ไม่นะ หวัน มันไม่ใช่อย่างนั้น ฟังพี่อธิบาย...”
ฉวีวรรณยังพูดไม่จบ ดาหวันขัดจังหวะพูดสวนขึ้นมาทันควัน
“พี่หวียังจะแก้ตัวอีกเหรอคะ หวันเห็นตำตาหวันแล้วว่าคนที่หวันรักหวันไว้ใจ กลับเป็นคนมาแทงข้างหลังหวันเอง”
“ถ้าจะมีใครผิด ก็โทษพี่เถอะ อย่าไปว่าหวีเลย” ดนัยบอกพร้อมกับมองไปที่ชลิตกับดาหวัน ยังเห็นทั้งคู่จับมือกันอยู่อย่างลืมตัว ดนัยจึงเอ่ยถามขึ้น “แล้วแกล่ะชลิต มีอะไรจะพูดไหม ว่า แกคบดาหวันแบบไหน”
ชลิตกับดาหวันเหลือบมองไปเห็นว่ามือตัวเองยังกอบบกุมกันอยู่ ดาหวันตกใจ รีบดึงมือออก
“มันไม่ใช่อย่างนั้นนะพี่ดนัย! หวันกับพี่ชลิต เป็นอย่างอื่นไม่ได้หรอกค่ะนอกจากเป็นพี่เป็นน้องกัน”
ชลิตเศร้าไม่อยากโกหกอีกต่อไปแล้ว
“หวัน”
“พี่อยู่เฉยๆ เถอะ” ดาหวันหันไปพูดต่อกับพี่สาว เพราะกลัวฉวีวรรณกับชลิตจะผิดใจกัน “พี่หวี...อย่าเข้าใจพี่ชลิตผิดๆ นะ พี่ชลิตไม่ได้ทำอะไรเสียหาย พี่ชลิตยังรักพี่หวีอยู่”
ดนัยได้ยินก็ของขึ้นมองมายังชลิตแล้วพูดเย้ยออกมา
“ให้ผู้หญิงออกหน้าหรือไอ้ชลิต ยังเป็นผู้ชายอยู่หรือเปล่าวะ”
ชลิตเดือดสวนขึ้นมาบ้าง
“แล้วแกล่ะ.. ฉันไม่นึกเลยว่าคนที่สวมเขาให้ฉันกับหวันจะเป็นแกไอ้ดนัย! ไอ้เพื่อนทรยศ
“แกหยุด พูดเดี๋ยวนี้เลยนะ ไอ้ชลิต”
“ฉันไม่พูดก็ได้ ให้หมัดมันพูดแทนแล้วกัน!!”
ชลิตปล่อยหมัดต่อยเข้าบริเวณใบหน้าดนัยทันทีจนร่างดนัยกระเด็นออกไป ดาหวันกับฉวีวรรณ กรีดร้องอย่างตกใจ เพราะเรื่องลุกลามไปกันใหญ่ ชลิตตามเข้าไปต่อยแลกหมัดกันกับดนัย ไม่มีใครยอมใคร ฉวีวรรณตะโกนก้อง
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ อย่าทะเลาะกัน”
“พอได้แล้ว หยุด” ดาหวันร้องสุดเสียง

แต่ไม่เป็นผล ชลิตกับดนัยไล่ต่อยกันไปมาผลัดกันรุกผลัดกันรับ ชลิตหลบหมัดดนัย แล้วสวนกลับ ดนัยโดนต่อยกระเด็นล้มใส่แห อวนที่แขวนค้างไว้ ระเนระนาด ชลิตตามเข้ามา หยิบขวดแก้วใกล้มือขึ้นมาทุบเป็นปากฉลาม เข้าไปขู่ดนัย
“ชลิต แก”
“ยอมรับผิดซะ ไม่งั้นฉันไม่ปล่อยแกแน่....”
“แกอย่ามาหาเรื่อง ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด!”
ชลิตเดือดพุ่งเข้ามาหาดนัยหมายจะแทงด้วยความโมโหดนัยเอี้ยวตัวหลบทัน ฉวีวรรณกับดาหวันวิ่งตามเข้ามาร้องห้าม แต่ไม่มีใครฟังเสียง
ชลิตไล่แทงดนัยไปจนมุม ชลิตแทงเข้าบริเวณท้องของดนัยเต็มๆ ดนัยตะลึงตาค้างอย่างเจ็บปวด ฉวีวรรณตกใจร้องลั่น
“ดนัย”
ดนัยพลิกตัวถีบชลิตออกไปได้ ชลิตเซไปตามแรงถีบชนเข้ากับฉมวกปลายแหลมข้างหลังพอดิบพอดี ชลิตกระอักเลือดออกมาอย่างเจ็บปวด ดาหวันถึงกับช็อก ครวญครางออกมา
“พี่ชลิต”
จังหวะนั้นดนัยกับชลิตต่างหันมามองหน้ากัน แล้วทั้งคู่ก็กระอักเลือดออกมา ล้มลงไปตายพร้อมๆ กัน
ฉวีวรรณกับดาหวัน ช็อกสุดขีด ประสานเสียง
“กรี๊ด”

แท้จริงแล้วฉวีวรรณกับดาหวัน กำลังนั่งสับปะหงกหลับนกพิงผนังคุกอยู่ด้านหนึ่ง และต่างก็ละเมอกรีดร้องออกมา เวลานั้นสองพี่น้องทั้งร้องทั้งดิ้นไปดิ้นมา จนศีรษะทั้งสองคนมาโขกกันดังโป๊ก
“ดนัย อย่าตายนะ ดนัย โอ้ย” ฉวีวรรณร้องกรี๊ดๆ หัวไปโขกกับน้องสาว
“พี่ชลิต อย่าเป็นอะไรนะ อู้ย” ดาหวันเองก็กรีดร้อง ดิ้นสุดแรงจนหัวโขกกับฉวีวรรณ

แล้วทั้งสองก็ลืมตาตื่นขึ้นมาเพราะหัวโขกกัน ต่างฝ่ายต่างหันมองเห็นหน้ากันเอง แล้วกรี๊ดตกใจขึ้นมาอีกรอบพร้อมๆ กัน
“อ๊าย”
กิมจิ แจ๋ และบุญทิ้ง ที่นั่งดูอยู่ฝั่งตรงข้าม พลอยตกใจตามไปด้วย
“เฮ้ย หยุด... ปวดหูโว้ย” กิมจิตวาดเล็กๆ
คราวนี้ฉวีวรรณกับดาหวันถึงได้เงียบ และเริ่มรู้สึกตัวว่า...เหตุการณ์เหมือนจริงคือฝันไปนั่นเอง

“แหม นี่ฝันว่ากินนกหวีดเข้าไปหรือไง ถึงได้กรี๊ดกันไม่หยุด” กิมจิแขวะอีก
ฉวีวรรณกับดาหวันถึงได้กวาดสายตามองกันไปรอบๆ แล้วพากันโล่งอกที่ทุกอย่างเป็นแค่ความฝัน
“ฉันฝันไปหรือนี่ ฮู้ ...ยอดเลย” ฉวีวรรณถอนหายใจ
.ค่อยยังชั่วหน่อย ...แค่ฝันร้ายไปเอง เฮ้อ ใจหายหมดเลย” ดาหวันฝันเหมือนพี่สาวก็เลยโล่งใจ
“อะไร นี่เธอสองคนทำท่าแปลกๆ นะ นี่มีฝันเรื่องเดียวได้ด้วยหรือ” แจ๋ดักคอ
“คุณหวี กับ คุณหวันอาจจะฝันว่าไปตีแบดด้วยกันก็ได้นะครับ คุณแจ๋” บุญทิ้งว่า
“ฝันว่าตีโต้กันด้วยใช่มั้ยล่ะ” กิมจิผสมโรง
“เจริญพร... ฮะ!!”
กิมจิเบิ๊ดกะโหลกบุญทิ้งไปที “นี่แน่ะ ตีแบด จะบ้าหรือไง มีเหรอคนอะไรมันจะมาฝันบ้าเรื่องเดียวกันพร้อมกันได้”
“แต่อย่าลืมนะครับว่า ที่นี่เป็นเมืองลับแล เรื่องที่เป็นไปไม่ได้อาจจะเป็นไปได้ก็ได้ครับ”
ทุกคนฟังบุญทิ้งแล้วอึ้งกันไป
“ถูก มหาบุญทิ้งพูดมีเหตุผล” แจ๋ออยอรับรองคำพูดมีหลักการของบุญทิ้ง
ก่อนที่จะถูกเม้าท์แตกไปกว่านี้ ฉวีวรรณหันไปมองหน้าดาหวัน
“ไม่ใช่หรอก หวันไม่มีทางเป็นอย่างในฝัน มันเป็นคนละเรื่องไม่เกี่ยวกัน”
“เป๊ะเลยพี่หวี หวันก็ไม่เชื่อเหมือนกันว่าพี่หวีจะทำตัวอย่างนั้น มันก็แค่ความฝันเพ้อเจ้อของหวันเท่านั้นแหละ” ดาหวันเสริม
“นี่ฉันมึนตึ้บไปหมดแล้วนะ ตกลงพวกเธอสองศรีพี่น้อง ฝันเรื่องอะไรกัน”
ทั้งฉวีวรรณกับดาหวันอึกอักไม่อยากจะพูด อุ๊บอิ๊บได้โอกาสก็หัวเราะเสียงแหลมแทรกเข้ามาทันที
แจ๋รำคาญรีบหันไปตวาด “นี่หล่อนหอนทำไมยะ ใครเหยียบหางหล่อนเหรอ”
อุ๊บอิ๊บลุกขึ้นยืนกอดอก โพสท่าจิกปลายเท้าอยู่ที่มุมหนึ่ง พ่นออกมาอย่างไม่แคร์คำพูดแจ๋
“หุบปากไปเถอะนังแจ๋ ฉันอยากจะแฉความบัดสีของนังสองนารีพี่น้องนี่เต็มแก่แล้ว”
ฉวีรวรรณลุกขึ้น อย่างเอาเรื่อง
“นี่ฉันก็เหลืออดกับเธอมาหลายทีแล้วเหมือนกันนะ ตกลงจะเอายังไง”
“แหม ก๋ากั๋นจริงนะ คุณพี่ คุณพี่ไม่อยากรู้ความจริงที่เป็นต้นเหตุของฝันร้ายในชีวิตคุณพี่หรือคะ” อุ๊บอิ๊บเยาะ
“เธอพูดเรื่องอะไรของเธอ”
“อุ้ย เดี๋ยวนะคะ เรื่องนี้มันต้องอุปกรณ์ประกอบฉาก”
อุ๊บอิ๊บหลิ่วตามองไปทางดาหวัน แล้วทำทีเป็นตบกระเป๋าตัวเองหามือถือ แต่จริงๆ แล้วอุ๊บอิ๊บไม่ได้เอามือถือมาด้วย ลืมอยู่ที่บ้านปางไม้
“เอ มือถืออุ๊บอิ๊บ อยู่ไหนนะ ในนั้นมีแต่คลิปแรงๆ แซ่บเว่อร์เสียด้วยสิ”
ดาหวันหูผึ่งขึ้นมา ตกใจกลัวอุ๊บอิ๊บจะแฉความลับของตัวเองกับชลิต
“เอ เอ อยู่ไหนน้า เดี๋ยวได้เอามาเปิดประกอบการบรรยายธรรม ฮิฮิฮิ”
ดาหวันรีบถลาเข้าไปดึงตัว แล้วดันอุ๊บอิ๊บไป
“มานี่ เดี๋ยวฉันช่วยหา” ดันอุ๊บอิ๊บไปแล้วดาหวันก็หันมาพูดกับทุกคน “ไม่ต้องห่วงนะหวันจัดการเองค่ะ"
อาการที่ดาหวันออกโรงอาสา ทำเอาทุกคนมองตามอย่างงง

ดาหวันผลักอุ๊บอิ๊บเข้าไปกับผนังห้องขัง ห่างจากทุกคนมากพอสมควร ดาหวันจิกหางตา กระซิบเข่นเขี้ยว แต่ถามเสียงเบา เพราะไม่อยากให้ใครได้ยิน
“นี่เธอกำลังทำอะไร อุ๊บอิ๊บ”
“ฉันก็จะเอาคลิปที่ เธอไปฟิตเจอริ่งกับพี่ชลิตให้พี่สาวเธอดูนะสิ”
ดาหวันกระแทกอุ๊บอิ๊บกับผนังห้อง “อย่านะ ยายบ้า ฉันเลิกกับพี่ดนัยตามที่สัญญาแล้วนะ เธอก็ไม่มีสิทธิ์เอาคลิปไปให้ใครดู”
“ก็ใช่..เธอเลิก!!! แต่เพราะพี่สาวเธอน่ะสิ ทุกอย่างถึงต้องเป็นโมฆะ”
“พี่หวีมาเกี่ยวอะไรด้วย เธออย่ามามั่วนะ”
“คนอย่างฉันไม่มีมั่วอยู่แล้วยะ ฉันเห็นมากับตาว่าพี่สาวของเธอจูบ...”
แต่ยังไม่ทันที่อุ๊บอิ๊บจะพูดจบ จิ้งจกตัวหนึ่งก็หล่นลงมาที่อกเสื้อของอุ๊บอิ๊บพอดี อุ๊บอิ๊บมองเห็นกรี๊ดลั่นวงแตก เอาแต่ดีดดิ้นรอเอะอะโวยวาย ลั่นห้องขัง
“อ๊าย...ช่วยด้วยๆๆ อ๊าย จิ้งจก ช่วยด้วย...”
อุ๊บอิ๊บดีดดิ้นร้องโวยวายอยู่อย่างนั้น
บุญทิ้งจะวิ่งเข้าไปช่วย แต่โดนกิมจิดึงตัวไว้
“คุณอุ๊บอิ๊บ...ผมช่วย...”
“อะ อะ อย่านะ มหาบุญทิ้ง แกจะไปควักไปล้วงเขาได้ยังไง อาบัติหมด เฮ้อ!!” กิมจิทำส่ายหน้า แล้วเนียนเดินเข้าไป “มานี่ฉันจัดการเอง”
แจ๋มองอยู่รีบดึงหูกิมจิทันที
“หยุดนะ! ไอ้ลามก นึกว่าไม่รู้เหรอ”
“อ๊อย อู้ย ไม่ไปแล้วจ้า ล้อเล่นๆ”

อุ๊บอิ๊บเอาแต่ร้องกรี๊ดๆ ดาหวันกับฉวีวรรณพยายามจะช่วยแต่โดนอุ๊บอิ๊บปัดมือออกแล้วในจังหวะหนึ่งที่อุ๊บอิ๊บไม่ระวัง จนเสียหลักล้มลงศีรษะไปโขกกับลูกกรง สลบไปเลยในทันที ฉวีวรรณ แจ๋ กิมจิ บุญทิ้ง ดาหวัน ตกใจวิ่งเข้ามาดู
“โธ่ ยายอุ๊บอิ๊บ หมดกันเลย ไม่รู้เรื่องกันพอดี” ดาหวันบ่นออกมา ฉวีวรรณทันได้ยิน
“เรื่องอะไรหรือ หวัน”
“เออ ไม่มีอะไรหรอกพี่หวี หวันพูดไปเรื่อยเปื่อยน่ะ”
“งั้น เดี๋ยวเราช่วยดึงยายนี่ไปทางโน้นดีกว่า อากาศถ่ายเทกว่า เดี๋ยวก็คงฟื้นเองแหละ”
ทุกคนช่วยกันเข้าไปจัดการอุ๊บอิ๊บคนละไม้ละมือ มีเพียงดาหวันแอบถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายที่ไม่ทันได้รู้บอกตัวเองว่าช่างมัน...แล้วเดินตามทุกคนไป

ทางด้านสุภาพและอาหลู่ ช่วยกันเข็นพาศิริที่นั่งอยู่บนรถเข็นออกมาด้านนอก อาการของศิริสงบลงแล้ว
“หมอบอกให้ออกมาพักผ่อน เปลี่ยนบรรยากาศบ้าง นายจะได้ไม่เครียด”
ศิริเอาแต่ซึมเศร้า ไม่มีชีวิตชีวา อาหลู่กระสับกระส่ายเพราะปวดท้อง
“เป็นอะไรของแกอาหลู่ อย่าบอกนะว่าไม่สบายอีกคน”
อาหลู่ยังไม่ทันได้ตอบ แต่ดันผายลมออกมาเสียก่อน สุภาพได้กลิ่นรีบเบือนหน้าหนี
“อื้อหือ ไม่ต้องบอกฉันก็รู้แล้ว ไปไกลๆ เลยไป๊”
“เดี๋ยวมานะ” อาหลู่รีบวิ่งออกไป
สุภาพเข็นรถไปหยุดที่มุมหนึ่ง พยายามเอาอกเอาใจดูแลศิริ
“แหม ลมเย็นสบายเชียว นายนั่งพักตรงนี้ก่อนนะครับ ผมเคยอ่านหนังสือ การกำหนดลมหายใจเข้าออกช่วยให้จิตใจสบาย ผ่อนคลายได้ นายลองทำตามผมนะ หายใจเข้า…หายใจออก…หายใจเข้า…หายใจออก…” สุภาพทำท่าสูดหายใจลึกให้ศิริดู
“แหม ผ่อนคล๊าย ผ่อนคลาย ลองดูสิครับนาย”
สุภาพคะยั้นคะยอ ศิริทำตามอย่างเสียไม่ได้ สุภาพหายใจเข้าออกแล้วเริ่มเคลิ้ม ตาเริ่มปรือ และหลับไปในที่สุด
“อ้าว ไอ้สุภาพ ตกลงใครเฝ้าใครกันแน่เนี่ย”
ศิริหันไปเห็นเด็กหญิงวัยประมาณ 10 ขวบ และ 8 ขวบ สองคนพี่น้องจูงมือกันมากับแม่ ศิรินึกถึงลูกสาวทั้งสอง
“เหมือนยายหวี ยายหวันตอนเด็กๆ เลยนะ”
ศิริยิ้มอย่างมีความสุข แล้วเข็นรถตามเด็กหญิงทั้งสองคนไป ขณะที่สุภาพหลับไม่รู้เรื่อง

ศิริเข็นรถเข้ามา ตามดูเด็กหญิงทั้งสองที่กำลังเล่นกันอยู่อย่างน่ารัก แม่ของเด็กกำลังคุยอยู่กับพยาบาล  จังหวะนั้นศิริไม่ทันสังเกตเห็นว่ามีนงนุชยืนดูเด็กเล็กๆ ที่ตู้กระจกโรงพยาบาลอยู่อย่างคิดถึงลูกเหมือนกัน ศิริบ่นขึ้นมาด้วยความคิดถึงฉวีวรรณกับดาหวัน
“ตอนเด็กๆ ลูกติดพ่อมาก ทั้งพี่ทั้งน้องแข่งกันงอแง ไม่ยอมให้พ่อไปทำงานจนพ่อต้องพาไปที่ฟาร์มด้วย ไม่มีสักวันที่เราจะอยู่ห่างกัน”
ศิริยิ้มเมื่อนึกถึงเรื่องราวในอดีต
“เดี๋ยวนี้กลายเป็นพ่อซะอีกที่ใจจะขาดเวลาลูกไม่อยู่”
นงนุชได้ยิน จึงหันมามองศิริ
“ผมขอโทษที่พูดเพ้อเจ้อนะครับ ผมคิดถึงลูกน่ะครับ”
“ไม่เพ้อเจ้อหรอกค่ะ พ่อแม่ทุกคนก็เป็นแบบนี้ ที่คอยตามไม่ใช่ไม่ไว้ใจ แต่เพราะกลัวว่าลูกจะมีอันตรายต่างหา สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับพ่อแม่ก็คือความปลอดภัยของลูก แต่ลูกไม่เคยเข้าใจ”
นงนุชพูดอออกไปเพราความกังวล เป็นห่วงดนัย

ศิริมองนงนุชอย่างแปลกใจ ที่นงนุชเข้าใจความรู้สึกของตัวเองได้ดีอย่างนั้น

อ่านต่อหน้า 3





หอบรักมาห่มป่า ตอนที่ 16 (ต่อ)

ทางด้านวินยากำลังนั่งคุยอยู่กับสางโป พอเล่าถึงตอนที่ตัวเองได้เห็นพลังพิเศษของดาเนาให้สางโปฟังแล้ว วิยาก็พูดออกมาอย่างมั่นใจ

“ฉันรู้สึกแปลกๆ ตั้งแต่ได้เห็นหน้าดาเนาครั้งแรกแล้ว ยิ่งมาเห็นกับตาว่าเขามีพลังพิเศษ ฉันก็ยิ่ง
มั่นใจว่าเขาต้องเป็นคนเดียวกับลีชาแน่ๆ”
“แต่ถ้าดาเนาเป็นนายเล็กลีชา เขาก็ต้องมีสร้อยเขี้ยวเสือสิ...นายน้อย”
“สร้อยอาจจะตกหายไปก็ได้”
สางโปถอนหายใจ
“นายน้อยก็เห็นกับตาไม่ใช่หรือว่านายเล็กลีชาตกน้ำตายไปแล้ว นายน้อยอย่าหลอกตัวเองให้มัน
เจ็บปวดอีกเลย”
สีหน้าวินยาทั้งเจ็บปวดและแค้นเคืองใจ
“แล้วสางโปจะให้ฉันทำยังไง ปล่อยให้ทุกอย่างกลืนหายไปกับกาลเวลา แล้วคอยนั่งดูคนที่ฆ่าพ่อแม่ ฆ่าน้องฉัน ลอยหน้าลอยตาทำลายชาติบ้านเมืองอย่างนั้นน่ะหรือ” วินยาตัดพ้อ
“นายน้อยใจเย็นๆ ก่อน” สางโปปลอบ
วินยาลุกขึ้นด้วยอารมณ์แค้นเคืองพวยพุ่ง
“ฉันทนต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว”
วินยาหันจะวิ่งออกไป สางโปตกใจรีบลุกไปห้าม
“นายน้อย นี่จะทำอะไร”
“อย่างน้อย ฉันก็ควรไปจัดการกับไอ้คนที่ฆ่าพ่อแม่ ฆ่าน้องฉันน่ะสิ วันนี้เป็นไงเป็นกัน”
วินยายืนยันที่จะไป แต่สางโปขยับมายืนขวาง
“ถอยไป สางโป”
“อย่านะ นาย...”
สางโปยังพูดไม่ทันจบคำ วินยาก็ยกมือขึ้นแตะที่จุดชีพจรตรงหน้าอก และ คอ สางโปสะดุ้ง แล้วหมดสติ ล้มลงไปเลย
“ขอโทษนะ สางโป”
วินยาพูดจบก็ผลุนผลันไป ปล่อยให้สางโปนอนสลบอยู่อย่างนั้น

ในขณะเดียวกันนั้นกาซูนั่งสมาธิอยู่ภายในอาศรมที่ปิดสนิทบรรยากาศมืดๆ ทึมๆ จังหวะที่กาซูบริกรรมคาถาทำปากขมุบขมิบ จู่ๆ ก็เกิดลมพัดวูบหนึ่ง จนเทียบตรงหน้าดับ กาซูลืมตาขึ้นมองทันที
แม้ว่าภายในอาศรมจะเต็มไปด้วยความมืดมิด แต่กาซูสัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวจากบางอย่าง จึงลุกขึ้นยืนทันที
“ใครน่ะ?”
ขาดคำ ประตูอาศรมกาซูก็พังโครม ปรากฏร่างของวินยายืนตระหง่านอยู่ตรงนั้น
“ข้าคือเจ้าหนี้ชีวิตของพวกเจ้า”
กาซูยืนงง เพราะยังไม่รู้ว่าใคร แต่ทันใดนั้นวินยาก็ปามีดใส่กาซูทันที กาซูตกใจกระโจนหลบ มีดไปโดนโต๊ะเครื่องรางภายในอาศรมหล่นระเนระนาด กาซูโมโหจัด พุ่งตัวไปคว้าคบเพลิงแล้วซัดไปทางหน้าประตู แต่วินยากระโดดหลบ
แสงไฟที่ติดอยู่ที่ประตูส่องให้เห็นหน้าวินยาชัดเจน
“นังวินยา”
วินยาพุ่งตัวเข้ามาเล่นงานกาซูต่อทันที กาซูตั้งตัวไม่ติด เซไปทางโต๊ะเครื่องราง คิดจะใช้ตัวช่วยเอื้อมมือไปหยิบกระพรวนมาเพื่อเรียกอสุรกาย แต่วินยาไวกว่า รีบปามีดไปขัดขวาง จนเฉี่ยวแขนเสื้อกาซูขาด
“คิดจะใช้ตัวช่วยเหมือนเดิมสินะ ไอ้ขี้ขลาด”
วินยาชักมีอีกอันพุ่งเข้ามา กาซูมองอย่างตกใจแล้วหลบ
“นังบ้า”
กาซูตั้งตัวไม่ติด ถูกวินยารุกหนัก จึงตัดสินใจหนีออกจากอาศรมไป วินยารีบตาม

วินยาวิ่งตามกาซูที่วิ่งนำหน้า เห็นอยู่ลิบๆ แต่ครั้นพอวินยาวิ่งตามเข้ามาที่กลางป่า กลับไม่เห็นร่างกาซูแล้ว
วินยาเหลียวมองรอบตัว ระแวดระวัง อย่างสังเกตถึงความผิดปกติรอบบริเวณนั้น
“ไอ้หมอผีกาซู แน่จริงก็อย่าหนีสิ ออกมาเลย ออกมาสู้กันให้ตายกันไปข้าง”
ขาดคำ จู่ๆ ที่บริเวณพื้นดินที่วินยายืนอยู่ก็ระเบิดบึ้มขึ้นมา วินยาวิ่งหลบหลีก ว่องไว มีเสียงระเบิดติดๆ กันสองสามลูก
แต่ตั้งตัวได้ วินยาก้มลงแล้ววางมือทาบกับพื้นดิน วัดการเคลื่อนไหวจากผืนดิน และรู้ตำแหน่งที่กาซูอยู่ วินยาขว้างมีดออกไปอย่างรวดเร็ว
มีดพกของวินยาพุ่งออกไปในอากาศ แล้วไปปักเข้าที่ลำต้นของต้นไม้ต้นหนึ่ง ที่ไม้ต้นนั้น ค่อยๆ ปรากฏร่างของกาซู ที่ใช้วิชาพรางกาย ปรากฏขึ้นมา
เห็นชัดว่ามีดเล่มนั้นปักตรึงอยู่เหนือหัวกาซูไปเพียงนิดเดียว กาซูอึ้ง สีหน้าโกรธจัด มองวินยาอย่างเอาเรื่องราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“พลาดไปแค่เซนเดียว ไม่งั้นข้าได้ส่งคนชั่วรกโลกลงนรกไปแล้ว” วินยาเย้ย
กาซูยิ่งโกรธจัด “นังเด็กเมื่อวานซืน โอหังเกินไปแล้ว!!”
กาซูมองวินยาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ แล้วจู่ๆ ก็เกิดลมพายุกรรโชกพัดโบกรุนแรงไปทั่วบริเวณ
วินยาผงะไปหน่อยตามแรงลม แต่ก็ไม่หวั่น ยังคงตั้งมั่น ยืนหยัดเย้ยเยาะกาซูออกมา
“ไง ไอ้หมอผีกระจอก มีฝีมือแค่เรียกลมหัวเขาแค่นี้เองน่ะหรือ”
“นังวินยา!!!”
“ข้าอยู่ข้างเดียวกับความถูกต้อง ความดีคือพลังของข้า คนชั่วอย่างเจ้าไม่มีทางชนะข้า ได้
ยินมั้ย เจ้าไม่มีทางชนะข้า”
วินยาชี้หน้าด่า อย่างไม่เกรงกลัว พลางหยิบดาบสั้นออกไป เปิดฉากพุ่งเข้าใส่กาซูทันที
-กาซูหลบหลีก แล้วสบถลั่น
“นังโง่อวดดี แกมันรนหาที่ชัดๆ”
กาซูเพ่งพลังจิตใส่วินยา จนวินยาชะงักเหมืองโดนพลังมหาศาลปะทะร่าง แต่แล้วก็มีแสงพุ่งออกมาจากเขี้ยวเสือ ดันพลังนั้นย้อนกลับไปที่ซัดร่างกาซูกระเด็นตัวลอย ล้มลงยู่มุมหนึ่ง ร้องออกมาอย่างเจ็บปวด
“อ๊อก นี่ แก”
“เขี้ยวเสือ สามารถต้านพลังของแกได้ แกทำอะไรข้าไม่ได้หรอกไอ้หมอผีนรก”
จังหวะนั้นเองวินยาก็กระโจนเข้าใส่พร้อมกับดาบสั้นในมือ
“แกอย่ามีชีวิตอยู่อีกเลยไอ้กาซู”
วินยาเงื้อมีดดาบสุดกำลัง จะแทงเข้าที่กาซู

ในเสี้ยวนาทีแห่งความตายนั้น จู่ๆ เลาซาก็โผล่เข้ามาขวาง แล้วซัดวินยาจนกระเด็นไป
“หยุดนะ! เจ้าจะทำอะไร”
วินยาทรุดลงที่พื้นแล้วค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมอง เห็นเลาซายืนขวางกาซูอยู่ วินยาแค่นยิ้มออกมา
“อยู่กันพร้อมหน้าแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน จะได้ลงนรกไปพร้อมๆกัน”
วินยาตั้งท่าจะบุกเข้ามาสู้อีก เลาซากระโจนเข้าไป แล้วสู้กันดุเดือด ผลัดกันรุกผลักกันรับ วินยาออกอาวุธด้วยดาบสั้นอย่าเอาจริงเอาจัง ขณะที่เลาซาได้แต่หลบไปมา ไม่กล้าลงมือ
“จัดการมันเลยเลาซา ฆ่ามันซะ” กาซูตะโกนบอกลูกชาย
แต่เลาซายังคงยั้งมือไว้ ทำแค่ป้องกันตัวเอง ไม่กล้าลงมือทำร้ายวินยา
จังหวะที่วินยาฟันดาบเข้ามาอย่างร้อนรนนั้น เลาซาหาโอกาสจับมือบิดกดไว้ แล้วคำรามสั่งน้ำเสียงเข้ม
“ถ้ายังไม่อยากตาย ก็ยอมแพ้ซะ”
วินยายิ่งฮึดสู้อย่างเดือดดาลใจ ออกแรงผลักแล้วถีบจนร่างเลาซากระเด็นไป
วินยาได้ใจฟันดาบสั้นเข้าไปหาเลาซา ดาบถูกแค่ถากๆ ที่แขนเลาเซาจนเป็นแผลและเลือดซึ่มออก
เลาซาเสียจังหวะล้มลงไปข้างๆ กับกาซูผู้เป็นพ่อ วินยาย่างสามขุมเข้ามาอย่างผู้ชนะ
“พวกเจ้าต่างหากที่ต้องยอมแพ้ ข้ารอวันนี้มานานแล้ว ไปลงนรกได้แล้ว”
วินยาตะโกนก้อง เงื้อดาบขึ้นแล้วกระโจนเข้าใส่อย่างกล้าหาญ แต่จังหวะนั้นกาซูกระชากลูกหน้าไม้ที่หลังเลาซาออกมา แล้วปาพุ่งไปใส่ที่วินยาทันที เลาซาตกใจ
“ท่านพ่อ”
แต่ช้าเกินไป หน้าไม้ของเลาซาพุ่งเป้าตรงไปโดนที่ไหล่ของวินยาทันที ร่างของวินยากระเด็นถอยหลังออกไปอย่างแรง และถอยไปจนไม่รู้ตัวว่าสุดขอบหน้าผา วินยาโงนเงนเพราะทรงตัวไม่อยู่ หงายร่างร่วงตกหน้าผาไป
“กรี๊ด....” วินยากรีดร้อง พร้อมๆ กับร่างร่วงตกหน้าผาไปต่อหน้าสองพ่อลูก

เลาวิ่งตกใจ รีบพุ่งไปที่หน้าผา แล้วหยุดยืนมองลงไป อึ้ง กลัวว่าวินยาตายไปจริงๆ กาซูหัวเราะอย่างสะใจเดินตามเข้ามา
“ฮ่าฮ่าฮ่า สะใจจริงโว้ย ดูสิ ไอ้เลาซา นี่ไงล่ะ จุดจบของนังผู้หญิงสามหาวอวดดีกับข้า”
เลาซายังอึ้งอยู่ กาซูหันมาเรียก
“เลาซา ไอ้เลาซา”
เลาซาค่อยๆ หันไปมอง เจอกาซูมองมาอย่างจับผิดอยู่แล้ว
“เจ้าเป็นอะไรทำไมทำหน้าแบบนั้น อย่าบอกข้านะว่าเจ้าเสียใจที่มันเป็นอะไรไป”
เลาซาอึ้ง แล้วทำวางมาดเข้มแก้ตัว “ใช่ ข้าเสียใจ”
“ฮึ” กาซูแปลกใจ
“ข้าเสียใจที่ข้าไม่ได้เป็นคนฆ่ามัน ไหนท่านว่าจะให้ข้าเป็นคนจัดการไงล่ะ”
กาซูได้ฟังก็ค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมาได้ แล้วหัวเราะร้ายกาจด้วยความพอใจ แต่แล้วกลับใช้หลังมือตบผัวะที่หน้าเลาซา
เลาซาหน้าหันไปตามแรงตบ กำหมัดแน่นอย่างกดดัน ในใจยังแอบเป็นห่วงวินยาไม่หาย
“ฝีมืออ่อนหัดอย่างที่ข้าเห็นเมื่อกี้น่ะเหรอ จะจัดการนังนั่นได้ เจ้ากำลังจะเสียทีมันแล้วด้วยซ้ำ”
เลาซาหลบสายตา แล้วทรุดลงคุกเข่ากลบเกลื่อน
“ข้าขอโทษ ข้า มัวแต่พะวงเป็นห่วงท่านพ่อ กลัวว่านังผู้หญิงบ้าเลือดนั่นจะลอบทำร้ายท่านอีก”
กาซูส่ายหน้า อารมณ์เสีย
“ฮึยยย ไม่เข้าท่า”
กาซูหันขวับวิ่งลงไปตามทางลาดชันของเหว เลาซามองอย่างตกใจ
“ท่านพ่อ ท่านจะไปไหน”
“ก็ไปดูให้เห็นกับตาว่านังนั่น มันเป็นผีเฝ้าป่าน่ะสิ”
พูดจบกาซูก็กระโจนหายลงไป เลาซาหน้าตื่นขึ้น กลัววินยาจะได้รับอันตราย รีบตามไป

บริเวณทางลาดชันในหุบเหว กาซูกับเลาซาวิ่งเข้ามา กวาดสายตาหาร่างวินยา
“หาศพมันให้เจอ ถ้ามันยังไม่ตายก็ฆ่ามันซะ”
เลาซาพยักหน้ารับอย่างอึดอัด กาซูไม่ทันได้สังเกตุรีบวิ่งไปอีกทาง พยายามใช้เท้าแหวกพงหญ้ามองหาร่างของวินยา
เลาซากวาดสายตามองทั่วบริเวณทั้งใกล้และไกลออกไป เพื่อหาวินยาด้วยความเป็นห่วง จังหวะหนึ่งเลาซาเหลียวมองขึ้นไปบนปากเหวเพื่อหาระยะตก แล้วค่อยๆ เดินสำรวจอย่างช้าๆ

เลาซาเดินสำรวจมาเรื่อยๆ จนได้ยินเสียงครางเบาๆ จึงหันไปตามต้นเสียงทันที เห็นร่างของวินยานอนแน่นิ่งอยู่ข้างโขดหินใหญ่ เลาซาพึมพำออกมาเบาๆ
“วินยา”
พร้อมกับวิ่งเข้าไป แล้วตรวจจับชีพจรดู ยิ้มออกมาอย่างโล่งใจที่เห็นว่าวินยายังไม่ตาย แค่หมดสติไปเท่านั้น
“เลาซา เจอมันหรือยัง” เสียงตะโกนของกาซูดังลอดเข้ามา
เลาซาสะดุ้งตื่นตกใจ หันรีหันขวางกลัวกาซูจะมาเห็น พยายามคิดหาทางช่วยวินยา พลันสายตเหลือบไปเห็นกระต่ายป่าตัวหนึ่ง
กาซูกวาดสายตามองหาวินยาอยู่รอบๆ ตัว แต่ไม่พบ ก็เริ่มหงุดหงิดมองหาตะโกนเรียกเลาซา
“ไอ้เลาซา เจ้าอยู่ที่ไหน”
เสียงเลาซาดังเข้ามา
“ท่านพ่อ ทางนี้!!”
กาซูหันตามเสียงเลาซา แล้วรีบวิ่งออกไป

กาซูวิ่งเข้ามาหยุดยืน ไกลจากจุดที่เลาซาอยู่
“ว่าไง วะ”
กาซู มองไปเห็นเท้าที่โผล่ลอดออกมา ในขณะที่เลาซาหันหลังอยู่ในลักษณะท่าคร่อมอยู่บนร่างของวินยา เลาซายกมีดสั้นสูงเหนือหัวแล้วจ้วงแทงลงไปที่ลำตัววินยาสุดแรง กาซูมองภาพนั้นอย่างตื่นตะลึง
เสียงมีดแทงกินเนื้อดัง...สวบ พร้อมๆ กับเลือดพุ่งกระเด็นถูกใบหน้าเลาซา กาซูมองอยู่ด้วยความระทึก
เลาซาหันกลับมาหากาซู พร้อมมีดที่เปื้อนเลือดสดๆ ยังคาอยู่ในมือ มีหยดเลือดกระเซ็นอยู่ตามใบหน้ากาซูเห็นสภาพเลาซาแล้วตาลุกวาว ร้องถามอย่างตื่นเต้น
“เลาซา นี่เจ้า เจ้า...ฆ่านังวินยา”
เลาซาพูดออกมานิ่งๆ “มันตายแล้ว” แล้วชูมีดเปื้อนเลือดให้พ่อดู
กาซูเป็นปลื้มหัวเราะร่า
“ดีมากลูกชายข้า ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าเก่งมาก สิ่งที่ข้ารอคอยมาถึงแล้ว ในที่สุด ศัตรูหมายเลข 1 ของข้าก็ลงนรกไปเรียบร้อยแล้ว”
เลาซาเดินออกมาหา กาซู เอ่ยออกมา
“ข้าล้างแค้นให้ท่านสำเร็จแล้ว เรากลับกันเถอะ”
กาซูยกมือห้าม “เดี๋ยว ข้าอยากเห็นศพนังวินยาว่ามันจะเละเทะ ทุเรศทุรังแค่ไหน”
กาซูขยับเดินเข้าไป เลาซาห้ามไม่ทัน
จะคว้าแขนแต่ก็ไม่ทันอีก เลาซาหน้าตื่นขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
“ท่านพ่อ!!”
กาซูก้าวเดินเข้าไป เลาซามองตามอย่างลุ้นจัด ว่าพ่อจะจับได้ไหม กาซูเดินใกล้เข้าไปเกือบจะเห็นศพอยู่แล้ว เลาซาหลับตาลง คิดว่างานนี้คงจบข่าว โดนกาซูจับได้แน่แล้ว
จู่ๆ เสียงมือถือของกาซูก็ดังขึ้น กาซูชะงัก เลาซาลืมตาขึ้นมอง อย่างมีความหวัง กาซูดูเบอร์เป็นธานีโทร.เข้ามา กาซูพูดมือถือกับธานี
“เสี่ย หรือ” กาซูฟังแล้วมีสีหน้าเคร่งขึ้นมา “ไม่ต้องห่วง ข้าจะไปรีบไปเดี๋ยวนี้แหละ”
กาซูรีบหันหลังกลับมาทางเดิม แล้วเดินขึ้นไปด้วยท่าทีรีบร้อนมากๆ
“เสี่ยมีเรื่องด่วนให้ทำ รีบไปกันได้แล้ว”
เลาซาทำเป็นรับคำหน้าเฉยชา “ข้าล้างคราบเลือดก่อนนะท่านพ่อ ข้าจะรีบตามไป”
เลาซามองจนแน่ใจว่า กาซูเดินพ้นไปจากบริเวณนั้นแล้ว เลาซารีบเดินกลับไปที่ วินยานอนสลบอยู่ คุกเข่าลงข้างๆ
ข้างๆ ตัวของวินยามีซากกระต่ายที่ตายแล้ว เลือดไหลนองอยู่กับพื้นดิน จากการถูกเลาซาแทงแทนวินยานั่นเอง
เลาซาหยิบซากกระต่ายชูขึ้น แล้วเหวี่ยงออกไปหลังโขดหิน
“ข้าจะรีบกลับมาให้เร็วที่สุด...รักษาลมหายใจของเจ้าไว้นะ วินยา”
เลาซามองร่างสลบไสลของวินยาด้วยความเป็นห่วงแล้วหักใจรีบลุกเดินออกไป

อาหลู่เดินผิวปากเข้ามาอย่างสบายตัว เจอสุภาพนั่งหลับอยู่คนเดียวก็แปลกใจ อาหลู่เข้าไปสะกิดสุภาพ
“ตื่นๆ นายหายไปไหนแล้ว”
สุภาพตกใจตื่น
“นายก็อยู่นี่ไง”
สุภาพหันไปมองคนที่ตัวเองกอดคออยู่ข้างๆ แต่ไม่ใช่ศิริ กลายเป็นคุณลุงแก่ๆ คนหนึ่ง สุภาพตกใจสุดขีด
“เฮ้ย ไม่เห็นแวบเดียว ทำไมแก่เร็วขนาดนี้ล่ะนาย”
อาหลู่หมั่นไส้เขกหัวสุภาพดังโป๊ก
“ใช่นายซะที่ไหนล่ะ”
“แล้วนายหายไปไหน”
ทั้งสองคนหน้าตาตื่นตกใจ

ที่แท้นงนุชกำลังเข็นรถให้ศิริอยู่ และเดินคุยกันมา โดยที่ทั้งสองยังไม่รู้ว่า ต่างฝ่ายเป็นพ่อแม่ของ ดนัยกับฉวีวรรณ
“บังเอิญเหลือเกินนะครับ คุณกับผมเหมือนกันไม่มีผิด ลูกเราหายตัวไปทั้งคู่” ศิริบอก
“คุณยังดีที่รู้ว่าจะไปตามหาลูกได้ที่ไหน แต่ฉันสิ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าลูกอยู่ที่ไหนเป็นตายร้ายดียังไง” นงนุชหน้าสลดไป
“รู้แล้วจะมีประโยชน์อะไรล่ะครับ ในเมื่อผมดันป่วย ไปตามหาลูกไม่ได้ ยิ่งคิดยิ่งเจ็บใจตัวเอง”
“คุณต้องดูแลตัวเองให้ดี แข็งแรงแล้วจะได้ไปตามหาลูก ถ้าคุณเป็นอะไรไป แล้วใครจะช่วยลูกคุณ จริงไหมคะ”
ศิริเชื่อคำปลอบนั้นอย่างง่ายดาย
“แล้วลูกคุณไม่ติดต่อมาบ้างเลยรึครับ” ศิริถามขึ้นมา
“ไม่เลยค่ะ” นงนุชถอนหายใจ อย่างกลัดกลุ้ม
“เด็กเดี๋ยวนี้มันใช้ไม่ได้เลย ทำให้แม่เป็นห่วง” ศิริบ่น ถูกนงนุชแย้งจนอึ้ง
“ลูกฉันไม่ใช่คนเหลวไหลค่ะ ฉันเชื่อว่าเขาคงมีเหตุผลที่หายตัวไปอย่างนี้ ฉันมั่นใจว่าฉันรู้จักเขาดีที่สุด คุณเองก็เหมือนกัน คุณย่อมรู้จักลูกคุณดีที่สุด คุณต้องรู้ว่าทำยังไง ลูกถึงจะยอมกลับมาหาคุณ ฉันเชื่อว่าคุณทำได้ คุณต้องพาลูกกลับมาได้แน่ค่ะ”
ศิริอึ้งไป นงนุชพูดให้คิดขึ้นมาได้
เวลานั้น มีเจ้าหน้าที่หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาหานงนุช เอ่ยขึ้น
“คุณมาอยู่นี่เอง ดิฉันเจอคนไข้ที่คุณตามหาแล้วนะคะ”
นงนุชแสดงอาการดีใจ “จริงเหรอคะ” นงนุชรีบหันมาทางศิริ “ถ้างั้น ฉันขอตัวก่อนนะคะ”
“ดีใจด้วยนะครับ”
“ขอให้คุณโชคดีเช่นกันนะคะ เอ้อ ฉันชื่อนงนุชค่ะ”
“ผม…ศิริครับ”
นงนุชรีบตามเจ้าหน้าที่ออกไปอย่างเร่งร้อน ศิริมองตาม รู้สึกประทับใจนงนุชมากๆ จังหวะนั้นเสียงสุภาพก็ดังขึ้น
“นาย!”
สุภาพกับอาหลู่รีบร้อนเข้ามา พากันรุมกอดศิริยกใหญ่ พลางร้องไห้เหมือนเด็ก
“นายอยู่นี่เอง หาแทบแย่ ฮือๆๆ” สุภาพร้องเป็นเด็ก
“ทีหลังอย่าหายไปแบบนี้อีกนะนาย อาหลู่กลัว ฮือๆๆ” พรานป่าจอมโก๊ะ เอาด้วย
ทว่าศิริไม่สนใจสุภาพกับอาหลู่ เอาแต่มองตามหลังนงนุช คิดอยากรู้จักผู้หญิงคนนี้ให้มากกว่านี้

ครู่ต่อมาเจ้าหน้าที่พานงนุชมาที่ห้องคนไข้ห้องหนึ่ง ที่เตียงมีผ้าคลุมหน้าคนไข้ที่เสียชีวิตแล้ว มีญาติ 2-3 อยู่รอบๆ เตียง ต่างพากันร้องไห้เสียใจ ระงม
“นี่ค่ะ คนไข้ชื่อดนัย ที่คุณตามหา เราเสียใจด้วยนะคะ คุณมาไม่ทัน” เจ้าหน้าที่บอกอย่างเห็นใจ
นงนุชฟังแล้วใจหาย “ไม่จริง ดนัย”
นงนุชเสียใจมาก เข้าไปกอดร่างนั้นทันที
“ดนัย ฟื้นสิ ดนัย”
คุณป้าคนหนึ่ง อายุมากกว่านงนุช หันมาตวาดทั้งน้ำตา โกรธนงนุชเอามาก
“เธอเป็นเมียน้อยไอ้ดนัยใช่มั้ย หนอย ฉันคิดแล้วว่ามันต้องซุกเมียน้อยไว้อีก” ป้านางนั้นพูดแทบเป็นตวาด
“เมียน้อย?” นงนุชงง
หญิงคราวป้านางนั้นดูจะโกรธเอามากๆ “ไอ้ดนัย ไอ้ผัวเลว แกฟื้นขึ้นมาเดี๋ยวนี้เลยนะ”
พร้อมกับเข้าไปเขย่าร่างที่นอนอยู่บนเตียง มือคนตายตกลงมาข้างตัวตามแรงเขย่า นงนุชมองเห็นชัดว่าเป็นมือที่เหี่ยวย่น นงนุชสงสัยครามครัน รีบเปิดผ้าดูหน้า เห็นเป็นชายแก่ นงนุชอึ้งไปรำพึงออกมา
“นี่ไม่ใช่ดนัย ลูกชายฉัน ฉันไม่รู้จักคนคนนี้”
นงนุชพยายามอธิบาย แต่หญิงนางนั้นไม่ฟัง เอาแต่อาละวาดท่าเดียว จนญาติๆ ต้องช่วยกันจับตัวไว้
เจ้าหน้าที่รีบพานงนุชออกจากห้องไป สีหน้าของเจ้าหน้าที่ตกใจเต็มที่
“ดูจากข้อมูลแล้ว มีคนไข้ที่ชื่อดนัย มีแค่รายนี้เท่านั้นค่ะ ต้องมีการเข้าใจผิดกันแน่ๆ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ยังไงก็ขอบคุณมากนะคะ”
เจ้าหน้าที่เดินออกไป นงนุชทรุดตัวลงนั่ง รู้สึกโล่งอกที่ไม่ใช่ลูกชายของตน
“ฉันควรจะดีใจหรือเสียใจดีเนี่ย โธ่ ดนัย ลูกอยู่ที่ไหน แม่ใจจะขาดแล้ว แม่กลัวจะต้องเจอลูกในสภาพนี้ แม่คงทำใจไม่ได้แน่”

นงนุชใจคอไม่ดีขึ้นมา รู้สึกเป็นห่วงดนัยจับใจ

อ่านต่อตอนที่ 17




กำลังโหลดความคิดเห็น