หอบรักมาห่มป่า ตอนที่ 6
ชลิตควักเอาไฟฉายอันเล็กๆ เป็นไฟฉายติดอยู่ในกระเป๋าสะพายของชลิตนั่นเองส่องดูตามร่องรอยการชักลากไม้ เดินตามรอยนั้นไป ดาหวันตามหลังมาแบบหงุดหงิดเพราะไม่เข้าใจ
“พี่ชลิต มืดค่ำแล้วนะ จะเดินไปไหน”
“ถ้าเราตามรอยลากนี่ไป เราอาจจะได้เบาะแสอะไรบ้างอย่างก็ได้”
“พี่หมายความว่าไง เบาะแสอะไร ฮึ”
จังหวะนั้นมีเงาคนวูบวาบไปมาอยู่ตามต้นไม้ ชลิตเหลียวมองอย่างระแวดระวัง รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ
“ไปเร็ว หวัน”
ชลิตและดาหวันวิ่งบุกป่าฝ่าดง หลงเข้าป่าลึกมากเข้าไปเรื่อยๆ เสียงเป่าเขาสัตว์ดังขึ้น และรับเป็นทอดๆ วิ่งมาได้สักพัก ชลิตเหลียวซ้ายแลขวา หาที่หลบภัย วินาทีนั้นหน้าไม้อันหนึ่งก็พุ่งตรงเข้ามาไม่รู้ทิศทาง เฉียดหน้าชลิตไปปักต้นไม้ ทั้งสองตื่นตระหนก
เลาซา ยืนอยู่มุมหนึ่ง ถือหน้าไม้ มองผลงานตัวเองอย่างเท่ มองมาที่ทั้งสองคนด้วยแววตาเหี้ยมโหด
เลาซายิงหน้าไม้มาอีกดอก ดาหวันกรี๊ด
ชลิตควักมีดพกออกมาเป็นมีดที่ยึดเอามาจากพาณิชย์ ใช้มีดฟันลูกหน้าไม้ที่พุ่งเข้ามาหา จนลูกหน้าไม้หักครึ่งร่วงลงไป ชลิตยกมีดเก๊กท่าอย่างเท่ หันมาหาดาหวัน
“เท่ มั้ยหวัน พอจะเป็นพระเอกหนังบู๊ได้เปล่า”
“ยังเวิ่นเว้อได้อีก เดี๋ยวก็ได้เล่นหนังผีหรอก!”
ดาหวันรีบฉุดชลิตออกไป ขณะที่เลาซามองชลิตกับดาหวันที่วิ่งไป อย่างหมายมั่นว่าจะต้องตามเก็บทั้งสองคนให้จงได้!
ดาหวันกับชลิตวิ่งหนีมา เจอสมุนเลาซาคนหนึ่งโผล่ขึ้นมาดักหน้าระยะกระชั้น ยกหน้าไม้จะยิง
ชลิตรีบถีบเปรี้ยง จนสมุนคนนั้นกระเด็น ชลิตตรงเข้าไปอัดต่อจนมันเดี้ยงล้มหมดสติไป
จังหวะนั้นเลาซากับสมุนอีก 3-4 คน ก็โผล่มาจากอีกทาง ทั้งหมดยกหน้าไม้ขึ้นเตรียมยิง
เลาซาปล่อยลูกหน้าไม้ออกไป พร้อมๆ กับลูกสมุน
ชลิตตาเหลือก รีบกระโดดชาร์ตดาหวันล้มกลิ้งไปที่พื้น ดาหวันกลิ้งไปทางไม้ไผ่กองใหญ่กองหนึ่ง ลูกหน้าไม้เป็นสาย เฉียดศีรษะทั้งคู่ไปอย่างฉิวเฉียด เลาซาฉุนสั่งลูกน้องเสียงเข้ม
“จับมัน!”
ลูกน้องกรูเข้าไปจะจับตัวชลิตดาหวัน ไว้ท่าความคิดชลิตเอาเท้าถีบไม้ไผ่ทั้งกองร่วงกลิ้งไป พวกสมุนสะดุดล้มลงไปเป็นพรวน แล้วมีแมงป่องไต่ออกมาจากปล้องไม้ไผ่เป็นฝูง เข้าไปไต่กัดพวกสมุนร้องดิ้นพราดๆ กัน
เลาซาชักสีหน้าไม่พอใจ กระโดดตัวลอยขึ้นไปในอากาศ แล้วสปริงกับไหล่ลูกสมุนที่ยืนขึ้นพอดี เลาซาลอยตัวเข้าไปถีบอกชลิตล้มลงไปกอง ดาหวันกรี๊ดลั่น
พร้อมกันนั้นเลาซาก็ชักมีดออกมา พุ่งเข้าไปจะเสียบชลิตที่นอนอยู่กับพื้น ชลิตกลิ้งหลบแต่เลาซาจ้วงแทงอีก ชลิตสบโอกาสถีบเลาซาผงะออกไป...ชลิตคว้าไม้ไผ่เหมาะมือขึ้นมาอันหนึ่งทำเป็นอาวุธประมาณไม้พลอง
ชลิตควงไม้พุ่งเข้าไปตีฟาดเปรี้ยงที่มือเลาซาจนมีดร่วง ชลิตหมุนตัวเอาไม้พลองกระทุ้งท้องเลาซา กระเด็นทรุดไปเจ็บ ชลิตกระโดดตัวลอยขึ้นไป แล้วฟาดลงมาที่เลาซา เลาซาฟุบลงไป
หน้าผากแตกมีเลือดไหลออกมา
“แกเป็นใครฉันไม่รู้ แต่อย่านึกว่าจะรังแกกันได้ง่ายๆ”
ชลิตโยนไม้ไผ่ทิ้ง แล้วรีบฉุดดาหวันวิ่งออกไป สมุนวิ่งเข้ามาดูเลาซา เลาซากลับตวาดไล่
“ไป ตามมันไป!!!”
เวลาเดียวกันนั้นกาซูผลุดลุกขึ้น คำรามก้องอาศรม อย่างอารมณ์เสีย รับรู้ถึงความพ่ายแพ้ของเลาซา
“ไม่ได้เรื่อง!”
กาซูหันไปคว้ามีดหมอขึ้นมา แล้วเดินไปที่ หัวกะโหลกอันหนึ่ง ยกแขนเหนือหัวกะโหลกแล้ว กรีดแขนตัวเองขวับ เลือดไหลหยดลงที่หัวกะโหลก กาซูร่ายมนต์
“จงตื่นขึ้นมา...อสูรกายของข้า!!!”
อสูรกาย ที่กาซูกำลังทำพิธีปลุกอยู่นี้ คือผีดิบที่กาซูเลี้ยงไว้ เป็นชายตัวใหญ่ๆ สูงกว่าคนปกติ มีกล้ามเป็นมัดๆ ศีรษะโล้น หน้าตาอย่างผี ตาแดง ฟัน เล็บแหลมคม เปลือยอกใส่แต่กางเกง มีกำลังมหาศาล
เวลาต่อมาแผ่นดินทั้งผืนป่าบริเวณนนั้นไหวสะเทือน แล้วบังเกิดรอยแยกแตกพุ่งเข้าไปที่เนินดินพูนตรงมุมหนึ่ง
ระเบิดตูมดังขึ้น พูนเนินดินแห่งนั้นกระจาย พร้อมร่างของอสูรกายผลุดลุกขึ้นมานั่ง
อสูรกายลืมตาแดงกล่ำขึ้นมา ร้องคำรามก้องอย่างน่าสะพรึงกลัวออกมา
กาซูหัวเราะออกมาจากอาศรม พร้อมถือกระพรวนอาคมในมือซึ่งร้อยเป็นพวงไว้คอยบังคับอสูรกาย
“อสูรกายของข้า....จงฟังคำสั่งข้า”
กาซูสั่นกระพรวน อสูรกายลุกขึ้นยืนจังก้า
“จัดการคนบุกรุกซะ อย่าให้มันรอดไปได้!”
อสูรกายร้องคำราม ตอบรับแล้วหันเดินออกไป
กาซูกระหยิ่ม ยิ้มเหี้ยมอย่างชอบใจ
ชลิตกับดาหวันวิ่งหนี สมุนเลาซา ที่วิ่งไล่มาข้างหลัง ทั้งสองวิ่งมาถึงทางแยก ต่างคนต่างชี้ไปคนละทางต่างวิ่งออกไป แล้วดาหวันนึกได้ก่อน หันกลับไปตามชลิต
“เฮ้ย อีตาพี่ชลิต ...ทะลึ่งไปทางโน้นทำไม มานี่!”
ดาหวันวิ่งเข้าไปจะคว้าตัวชลิต แต่ไม่ทัน ชลิตดันวิ่งตกลงไปในบ่อทรายดูดเสียก่อน
“เฮ้ย ...โอ้ย”
ทรายดูดร่างชลิตทรุดฮวบไปถึงต้นขา
“พี่ชลิต !!! ฮ้า ...บ่อทรายดูด!”
ชลิตพยายามจะวิ่งขึ้นมา แต่ทรายกลับดูดจมลงไปถึงเอว ดาหวันยิ่งกริ๊ด
“พี่ชลิต ตายแล้ว”
“ยัง...เรื่องอะไรมาแช่งกันล่ะ...เฮ้ย โอ้ย” ชลิตจมลงไปอีกทีละหน่อย
“พี่อยู่เฉยๆ สิ อย่าขยับ ไม่งั้นทรายมันจะยิ่งดูด”
เสียงลูกน้องเลาซาดังโหวกเหวกเข้ามา
“พวกมันมาแล้ว หวันจะล่อมันไปทางอื่นก่อน พี่อย่าพึ่งรีบตายนะ เดี๋ยวหวันจะกลับมาช่วย”
พูดแล้วดาหวันรีบวิ่งออกไป ชลิตมองตาม
“ฮึ่ย... ยายเด็กบ้า...ถ้ายังไม่ได้เขกกะโหลกแก่แดดของเธอ ฉันยังไม่ตายง่ายๆ หรอก” ยิ่งพูดชลิตก็ยิ่งจมลงไปอีก “อ๊ากกก ช่วยด้วย!!”
ดาหวันวิ่งออกมาตรงมุมหนึ่ง หันไปมองเห็นพวกลูกสมุนเลาซา ดาหวันทำแลบลิ้น ปลิ้นตา ใส่ แล้วทำเป็นวิ่งหายไปทางหนึ่ง
“วู้ ทางนี้!! แน่จริงจับให้ได้ซี้ แบร่.....”
พวกลูกสมุนชี้ชวนกันวิ่งตาม ดาหวันรีบกระโดดหลบเข้าไปพงหญ้าข้างทาง สมุนเลาซาวิ่งผ่านไปดาหวันชะเง้อมองเห็นว่าทุกคนผ่านไปแล้วลุกยืน แต่ไม่รู้ว่าร่างอสูรกายยืนอยู่ข้างหลัง กำลังจ้องจะกินเลือดกินเนื้ออยู่
ดาหวันทำกร่างใส่ “โธ่เอ๊ย นึกว่าจะแน่ เจอตัวๆ หน่อยไม่ได้ จะต่อยให้หน้าหงายเลย”
ดาหวันหันกลับไปปล่อยหมัดตุ้ยท้องอสูรกายเต็มๆ หนึ่งหมัด แล้วต้องชะงักเมื่อสัมผัสบอกให้รู้ว่าไม่ใช่ต้นไม้ ดาหวันเงยหน้าขึ้นไปสบตากับอสูรกายอย่างช็อก...แต่ยังมีมารยาทถามไถ่ออกมา
“ขอโทษค่ะ...พี่ไม่ใช่คนใช่มั้ยคะ”
อสูรกายแสยะยิ้มแยกเขี้ยวใส่
“กรี๊ด...”
ดาหวันกริ๊ดลั่น ตาค้าง
ชลิตโดนทรายดูจะจมไปถึงอกแล้ว
“ช่วยด้วย...เจ้าป่าเจ้าเขาช่วยด้วย ผมยังไม่อยากตาย ผมขอจับพวกช้างลากไม้ให้ได้ก่อน”
ขณะที่ดาหวันเองวิ่งหนีอสูรกายที่วิ่งกวดไล่ตามอยู่ข้างหลัง
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย”
เวลาต่อมาชลิตก็โดนทรายดูดถึงคอแล้ว
“ช่วย...ด้วย”
บนคบไม้ด้านบน กระรอกวิ่งไต่กิ่งไม้ไปชน สายเถาวัลย์ที่ติดแง่งไม้อยู่ หล่นผวะลงไป
ในจังหวะที่สายเถาวัลย์เหวี่ยงมา ชลิตเอาปากงับจับไว้ได้พอดีอย่างเหลือเชื่อ
ดาหวันวิ่งหนีอสูรกายที่วิ่งไล่ตามใกล้เข้ามาทุกที วิ่งมาจนถึงหน้าเนินดินสูง ไปต่อไม่ได้แล้ว ดาหวันตระหนก พยายามจะปีนขึ้นไป แต่ไม่ทัน อสูรกายย่างสามขุมเข้ามาใกล้ คำรามก้อง ดาหวันเหลียวมองหวาดกลัว แล้วหันจะปีนต่อ
“อย่าเข้ามา...!”
อสูรกายตรงเข้ามากระชากดาหวัน ดาหวันกรี๊ดลั่น ร่างของดาหวันลอยไปหล่นตุ้บที่ตรงหนึ่ง
อสูรกายตรงเข้ามาจะเล่นงานดาหวันอีก ดาหวันถดถอยหนี เหงื่อแตกหวาดกลัวสุดชีวิต
“อย่า ช่วยด้วย...”
อสูรกายเงื้อมมือขึ้นจะแทงดาหวันแล้ว มีดของชลิตพุ่งแหวกอากาศเข้ามา แทงที่ไหล่อสูรกาย เจ้าอสูรกายกรีดร้อง ผงะไป ชลิตยืนจังก้า ตวาดลั่น
“ไอ้ปีศาจ ฉันจะส่งแกลงนรกเอง”
ดาหวันหันไปมองชลิต ร้องอย่างดีใจ
“พี่ชลิต!”
ดาหวันรีบวิ่งเข้าไปหาชลิต อสูรกายดึงมีดออกจากตัว แล้วแผลที่ถูกแทงก็สมานหายดี ทั้งสองตะลึง
“เฮ้ย”
“พี่ชลิต!!! มันแทงไม่ตาย!!”
อสูรกายย่างสามขุมเข้ามาอีก ชลิตควักปืนที่ยึดเอามาจากพาณิชย์ออกมายิงเปรี้ยงๆๆ แต่อสูรกายไม่สะทกสะท้าน เดินเข้ามาอีก
ชลิตลองใหม่ ยิงอีก
“เปรี้ยงๆ” แต่อสูรกายก็ยังเดินหน้าเข้ามาหา แถมคำรามลั่น
“อ๊ายย ยิงไม่เข้าด้วย นี่มันตัวอะไร”
“ไม่ต้องกลัวหวัน มีอย่างหนึ่งมันสู้เราไม่ได้แน่”
“อะไรอ่ะ พี่ชลิต”
“หนีเร็ว!”
ชลิตรีบฉุดดาหวันแล้ววิ่งหนีออกไปอีก ดาหวันกรี๊ดลั่นป่า
ชลิตพาดาหวันวิ่งลัดเลาะไปตามทาง อสูรกายตามหลังมาติดๆ อย่างไม่ลดละ ชลิตพาดาหวันวิ่งเข้ามาถึงบ่อทรายดูด แล้วตะโกนบอกให้ดาหวันหลบ
“หลบ!”
ดาหวันกับชลิตโดดแยกหลบไปคนละข้าง อสูรกายที่ตามมาเบรกไม่ทัน กระโจนลงไปในบ่อทรายดูด โดยทรายดูดลงไปร้องโวยวายลั่น
ชลิตกับดาหวันมายืนมองด้วยความสะใจ
“เยี่ยมไปเลย เรารอดตายแล้ว”
ดาหวันกับชลิตตีมือกัน ดีใจ กำจัดอสูรกายได้
“เห็นมั้ย อยู่กับเฮียแล้วดีเองน้อง” ชลิตคุยโอ่พลางหันไปมองอสูรกายชี้หน้า “แกก็เหมือนกัน
อย่านึกว่ามีกำลังแล้วจะชนะฉันได้ ต้องมีสมองด้วยเว้ย ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”
จังหวะนั้นเลาซาก็เข้ามา พร้อมกับใช้มีดจี้หลังชลิตทันที ชลิตตะลึง ดาหวันตกใจ บรรดาสมุนต่างตามเข้ามาเพียบ ด้วยอาวุธครบมือ เล็งล้อมไว้ไม่ให้หนี
“ภาษิตชาวป่าบอกไว้ว่า อย่าหัวเราะเสียงดัง เพราะเสียงร้องไห้จะตามมา”
เลาซาเยาะ สีหน้าชลิตเวลานั้นเครียดจัด
ขณะที่กาซูกำลังบำเพ็ญภาวนาอยู่นั้น ประตูอาศรมก็ถูกถีบด้วยเท้าของธนวัติเปิดออก พาณิชย์ ธานี ก้าวเข้ามา ยังไม่ให้เห็นว่าเป็นใคร
กาซูพูดขึ้นทั้งๆที่หลับตา
“อุตส่าห์มาถึงที่นี่เลยเหรอ เสี่ย”
เท้าของธานี ก้าวเข้ามาหยุดยืนตรงหน้ากาซู ซึ่งกำลังลืมตาขึ้น แล้วเหลียวไปมองธานี
“มาตามคนหายงั้นหรือ?”
เวลาเดียวกันนั้นอสูรกายจับชลิตทุ่มลงไปกับพื้น ตรงหน้าเลาซา ชลิตจุกและเจ็บ เลาซาสั่งอสูรกาย แล้วสั่นกระพรวน เหมือนของกาซูผู้เป็นพ่อ
“กลับไปได้แล้ว”
อสูรกายหันเดินออกไป ชลิตมองตามเก็ทขึ้นมาทันที
“ที่แท้แกเป็นพวกเดียวกับไอ้หน้าผีนั่น”
เลาซาเตะหน้าชลิต กระเด็นไปออกไป เลือดกบปาก ดาหวันที่โดนสมุนกุมตัวอยู่ข้างๆ กรี๊ดลั่น
“อย่าทำเค้านะ....”
“มีปัญหาอะไรงั้นรึ” เลาซาหันไปพูดกับชลิต
ชลิตเช็ดเลือดที่มุมปากแล้วว่าต่อ “ก่อนฉันตาย ฉันก็น่าจะรู้ได้นะว่าใครเป็นคนฆ่า แล้วมันจะฆ่าฉันทำไม”
“ใช่ พวกเราไม่เคยรู้จักแกมาก่อน เราไปทำอะไรให้งั้นเหรอ ถึงต้องมาฆ่าแกงกันอย่างนี้” ดาหวันรีบแทรกขึ้น
“ก็ได้ ข้าจะสงเคราะห์ให้เอาบุญ ....”
พูดเท่านั้น เลาซากระชากคอเสื้อชลิตขึ้น
“ดงผีฟ้า เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของพวกข้า พวกแกไม่ควรล่วงล้ำเข้ามา!”
“ที่ศักดิ์สิทธิ์ หรือว่า ที่ผิดกฎหมายกันแน่”
ชลิตมองอย่างจับผิด เลาซาชักสีหน้า
“พวกแกใช่มั้ย ที่ใช้ช้างลากไม้!!!”
เลาซาต่อยหน้าชลิตอีกโครม ชลิตหงายเงิบลงไป
“ไม่มีหลักฐาน ถือว่าใส่ความ”
จังหวะนั้นเลาซายกมีดขึ้นมาเตรียมจะแทงชลิต ดาหวันสะบัดตัวจากลูกสมุนวิ่งเข้ามาขวางหน้าชลิต
“อย่าทำเค้านะ ...ฆ่าฉันดีกว่า”
ชลิตตกใจ “หวันออกไป” หันไปทางเลาซา “อย่าทำอะไรดาหวัน ฆ่าฉันคนเดียวก็พอ”
“ผัวเมียคู่นี้ รักกันจริงนะ” เลาซาหัวเราะชอบใจ
“เราไม่ได้เป็นอะไรกัน” ดาหวันกับชลิตพูดพร้อมๆ กัน
“พวกแกนึกว่าข้าโง่เหรอ ถ้าไม่ได้รักกัน แล้วจะมาตายแทนกันทำไม”
ดาหวันกับชลิตมองหน้ากัน ต่างคนต่างอึ้ง ลึกๆ ก็เหมือนว่าจะเป็นอย่างนั้น แล้วดาหวันรีบหันกลับมาจะแก้ตัว
“ไม่จริง ...เราเป็นแค่...
แต่เลาซาไม่สนใจฟัง
“ไม่ต้องพูดมาก ไม่ว่าพวกเจ้าจะเป็นอะไรกัน มันก็ต้องตายอยู่ดี!”
เลาซาจะแทงมีดลงมาที่ดาหวัน ชลิตรีบผลักดาหวันออกไป แล้วเอาตัวบังแทน ดาหวันกรี๊ดดด มีดกำลังจะจ้วงถึงอกชลิตอยู่แล้ว
นาทีเป็นนาทีตายนั้น ก็มีเสียงสมุนสำเนียงชาวเขาดังแทรกขัดจังหวะ
“หยุดก่อน หยุดก่อน”
เลาซาลดมีดลง หันไปมอง
“พ่อกาซูสั่งให้เอาตัวสองคนนี้ไปพบ นายใหญ่ต้องการตัวมัน!”
“อะไรนะ!!”
เลาซามองงงๆ
ฉวีวรรณเหนื่อยกาย หัวใจก็อ่อนล้าจึงฟุบหลับอยู่ข้างๆ ดนัยลืมตาตื่นขึ้นมามองเห็น
ดนัยอึ้ง ประทับใจ มองฉวีวรรณไม่วางตา
ฉวีวรรณสัปหงก สะดุ้งตื่นขึ้น แล้วลนลานจะ เช็ดตัวให้ดนัย
“ตายแล้ว หลับไปได้ยังไง เช็ดตัว!!.” นึกขึ้นมาได้ “เออ ..ต้องเช็ดตัวอีกรอบ!”
ฉวีวรรณหันไปหยิบผ้าชุบน้ำที่กาละมังข้างๆ บิดแล้ว จะมาเช็ดตัวให้ดนัย พอหันกลับมา เห็นดนัยอมยิ้ม เอาแต่จ้องหน้าตัวเองอยู่
“ฉันว่า ฉันจะตัวเปื่อยเพราะ เธอเช็ดตัวนี่แหละ”
“คนบ้า นี่นายตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ก็ทันเห็น พยาบาล ละเมอแทนคนเจ็บก็แล้วกัน”
ฉวีวรรณเขิน ...ทำท่าจะทุบ
“เจ็บแล้วยังจะปากดี นี่แน่ะ”
ดนัยยกมือข้างที่ปกติ จับมือฉวีวรรณไว้ แล้วกลายเป็นดึงฉวีวรรณลงมาปะทะอกตัวเอง
ฉวีวรรณตะลึง ตาโต ขยับจะลุกขึ้น แต่ดนัยกอดเอาไว้ไม่ปล่อย
“ดนัย...”
“กอดหน่อยนะ”
ฉวีวรรณอึ้งไปอีก พูดไม่ออก ดนัยมองตาฉวีวรรณ แล้วเริ่มเปิดใจ พรั่งพรูความรู้สึกออกมา
“ตอนเด็กๆ เวลาที่ฉันไม่สบาย แม่ก็จะมาเฝ้าฉัน เช็ดตัวให้ฉันแล้วก็นอนกอดฉันอย่างนี้ทุกคืน ...จนฉันรู้สึกว่า ฉันหายไข้ได้เร็ว เพราะนอนกอดแม่นี่แหละ...”
“แต่ฉัน...ฉันไม่ใช่แม่นายนะ”
“แต่กอดของเธอก็อุ่น..อุ่นกว่าผ้าห่มทุกผืน...”
ฉวีวรรณสบตาดนัยจะละลาย
“ไม่อยากให้ฉันหายเร็วๆหรือไง” ดนัยอ้อนนิดๆ
ทั้งสองสบตากันนิ่ง ใจส่งถึงใจ แล้วฉวีวรรณค่อยๆ ก้มลงซบที่แผ่นอกดนัย
ดนัยอมยิ้มมีความสุข ฉวีวรรณพึมพำกับอกดนัย เขินๆ ตัวเอง หลุดฟอร์ม
“พรุ่งนี้นายต้องรีบหายนะ”
“อือ...”
ฉวีวรรณยิ้มเขิน แล้วทำเป็นมีหลักการ
“งั้นฉันจะอนุโลมให้ แค่คืนนี้คืนเดียว คืนนี้เท่านั้นที่ฉันจะ เอ่อ...เป็นผ้าห่มให้นาย แล้วพรุ่งนี้ เราค่อยมาเป็นศัตรูกันต่อ”
ดนัยไม่ตอบเงียบไป ฉวีวรรณเรียก
“ดนัย...”
ดนัยยังไม่ตอบ ฉวีวรรณเลยผงกศีรษะไปมอง ก็เลยเห็นว่าดนัยหลับไปแล้ว
“หลับไปแล้วหรือ....”
ฉวีวรรณมองหน้าดนัยที่หลับอยู่ ...อ่อนโยน เสียงความคิดของฉวีวรรณดังขึ้นอีก
“เวลานายหลับ ดูนายไม่เหมือน นายดนัยขี้เก๊ก เอาแต่ใจ บ้าอำนาจคนนั้นเลยนะ นายดู ใจดี อ่อนโยน แล้วก็อบอุ่นมากๆ เฮ้อ..” ฉวีวรรณถอนหายใจ “ดนัย...นายเป็นคนยังไงกันแน่นะ ฉันชักสับสนไปหมดแล้ว”
ฉวีวรรณวางศีรษะลงกับอกของดนัย มองอย่างครุ่นคิด รู้ตัวเองว่าเริ่มแอบมีใจให้ดนัย
แจ๋ กิมจิ และบุญทิ้ง ย่องมาที่มุมเต็นท์ตรงมุมหนึ่ง เหลียวซ้ายแลขวาเห็นปลอดคน
“ปลอดคนแล้ว ถึงเวลากำจัดคนชั่ว” แจ๋หันทางกิมจิกับบุญทิ้ง “นี่พวกแกเตรียมอาวุธชีวภาพพร้อมแล้วใช่มั้ย”
บุญทิ้งยกกล่องพลาสติกอันหนึ่งขึ้นมา กิมจิ ก็ชูกระติกน้ำแข็งขนาดกลางขึ้นมา
“พร้อม!” บุญทิ้ง กิมจิบอกพร้อมกัน
“ดี...งั้นแยกกันไปปฏิบัติงาน ...”
“เจริญพร...เอ๊ย พวกเรา ไฟท์ติ้งครับ!”
ทุกคนยกมือสู้ๆ ไฟท์ติ้ง แล้วแยกย้ายกันออกไป
กิมจิกับแจ๋เดินย่องมาไม่ทันมอง ชนเข้ากับอาหลู่และสุภาพที่ถือลังเสบียงอาหารแห้ง หล่นกระจาย
“ว้าย ตาเถรหก แจ๋ ขอโทษนะคะ”
กิมจิรีบวางกระติกของตัวเองลง เข้าไปช่วยอาหลู่เก็บของ
“ผมช่วย”
สุภาพวางกระติกน้ำแข็ง ลงข้างๆ ของกิมจิ แบบเดียวกัน สีเดียวกัน และขนาดเดียวกัน
“ไม่ต้องๆ นี่ดึกแล้วนะ ไปนอนกันเถอะ” สุภาพบอก
“อาหลู่เก็บเองได้ ไม่ต้องห่วง” อาหลู่ว่าตาม
“งั้น แจ๋กับกิมจิ ไปก่อนนะพี่ นอนหลับฝันดี กู้ดไนท์ค่ะ”
กิมจิไม่ทันมองหยิบกระติกขึ้นมาผิดใบ แจ๋รีบดึงตัวกิมจิออกไป
แจ๋กับกิมจิเข้ามาที่รถสมุนคันหนึ่ง แจ๋ รีบสั่งกิมจิ
“จัดไปเลย กิมจิ เอาให้สนาน”
กิมจิยกกระติกน้ำแข็งขึ้น หัวเราะร่วน
“พรุ่งนี้รถของพวกมันต้องเต็มไปด้วยความขยักแขยงน่าคลื่นไส้”
แจ๋ทุบไหล่กิมจิ
“ลีลาเยอะเหลือเกิน สาดไปเสียทีสิ”
กิมจิเปิดฝากระติกสาดไป เป็นแค่น้ำเปล่าธรรมดาเท่านั้น กิมจิกับแจ๋อึ้ง
“เฮ้ย น้ำเปล่า!!! เป็นไปได้ยังไง หรือว่าปาฏิหาริย์มีจริง” กิมจิงง
“ปัญญาอ่อนจริงๆ นะสิแก” แจ๋ผลักกิมจิ “ไอ้บ๊องผักดอง..แกหยิบกระติกมาผิดแล้ว!”
“เฮ้ย!! งั้น อาวุธชีวภาพของเราก็... กึย พี่สุภาพ!!!”
กิมจิตะลึงหน้าเสีย นึกขยะแขยงแทนสุภาพขึ้นมา
อ่านต่อหน้า 2
หอบรักมาห่มป่าตอนที่ 6 (ต่อ)
สุภาพที่สองคนเป็นห่วง นั่งอยู่ที่เก้าอี้สนามกับอาหลู่ และกำลังกินขนมกันไป ดูดีวีดีหนังจากทีวีเล็กๆ กันไปสบายใจเฉิบ สุภาพจ้องดูหนังไม่วางตา ยกแก้วน้ำส่งไปที่อาหลู่ ที่ดูหนังอยู่อย่างไม่วางตาเช่นกัน
“น้ำซิ ..อาหลู่”
อาหลู่ยกกระติกน้ำขึ้นมา เปิดฝา แล้วรินหนอนจากกระติกใส่แก้ว เพราะตาดูหนังไม่ได้มอง
สุภาพหยิบแก้วหนอนขึ้นไปจะดื่ม แจ๋กับกิมจิ วิ่งหน้าตื่นเข้ามา
“อย่ากิน!” แจ๋กับกิมจิตะโกนพร้อมกัน
แต่ไม่ทันเสียแล้ว สุภาพเห็นหนอนระยะประชิดปาก ตะลึง ช็อก ร้องลั่น ตาเหลือก สุภาพทำหนอนในแก้วเทราดตัวเอง
“อ๊าก หนอน!!”
อาหลู่มตะลึง มองหนอนในกระติกที่ตัวเองถือไว้ แล้วทิ้งกระจายอลหม่านร้องกลัวตกใจ
“ใคร ฝีมือ..ใคร!!!”
สุภาพคำรามใส่ แจ๋กับกิมจิมองหน้ากันคิดในใจ...ซวยแน่
ทางฝั่งบุญทิ้งเข้าไปในเต็นท์ธนวัติ มองดูเหมือนว่าไม่มีคนอยู่ บุญทิ้งยกกล่องหนอนขึ้นชู พนมมือ
“สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ...อโหสิกรรมนะครับ”
บุญทิ้งขยับเข้าไปที่หมอนใบหนึ่งกำลังจะเปิดกล่อง แต่อุ๊บอิ๊บซึ่งนอนคลุมโปงห่มผ้าอยู่ พลิกตัวมาดึงแขนบุญทิ้งล้มลงไปกอดกัน อุ๊บอิ๊บละเมอออกมา
“พี่ดนัย...”
อุ๊บอิ๊บยื่นปากเข้ามาทำท่าจะจูบ บุญทิ้งตาค้าง
“พี่ดนัย จุ๊บ จุ๊บ ก่อนสิคะ...”
อุ๊บอิ๊บลืมตาขึ้นมาเห็นเป็นบุญทิ้ง กรี๊ดสนั่น บุญทิ้งร้องตกใจไปด้วยเหมือนกัน
บริเวณลานกลางแคมป์ ศิริเดินเข้ามา ต่อว่า แจ๋ กิมจิ และบุญทิ้งที่นั่งพ่นยากันหอบตัวเองไปด้วย สุภาพ,อาหลู่,อุ๊บอิ๊บอยู่อีกด้าน
“ก่อเรื่องกันไม่เว้นกลางดึกกลางดื่น แจ๋ กิมจิ บุญทิ้ง พวกเธอโตเรียนจบมหาวิทยาลัยกันแล้วนะ”
แจ๋ กิมจิ หน้าม่อย ยกมือไหว้
“แจ๋ ขอโทษนะคะ คุณลุง แจ๋ไม่ได้ตั้งใจจะแกล้งพี่สุภาพ พี่อาหลู่หรอกนะคะ”
“ฮึ้ย...ไม่คิดจะแกล้งแต่คิดจะปล้ำใช่มั้ยยะ เธอถึงได้ส่งนายบุญทิ้งบ้ากามไปปล้นสวาทฉันถึงในเต็นท์” อุ๊บอิ๊บสบโอกาสฟ้องขึ้น
“อย่าให้ผมต้องอาบัติเลยนะครับ ผมไม่ทราบจริงๆ ว่าคุณเข้าไปนอนในเต็นท์คุณธานี”
“อย่ามาแก้ตัว คิดจะจับฉันเพื่อยกระดับเข้าสู่สังคมไฮโซใช่มั้ย บุญทิ้ง”
กิมจิกับแจ๋หันมองหน้ากันเหลือเชื่อ
“แรงจริงอะไรจริง คิดได้ยังไง...” กิมจิพึมพำ
“ฮึมม เดี๋ยวคุณแจ๋จัดให้” แล้วแจ๋ก็หันไปทางอุ๊บอิ๊บ “นี่คุณอุ๊บอิ๊บขา ถึงบุญทิ้งมันจะซื่อแต่มันก็ไม่โง่ ใฝ่ต่ำไปปล้ำชะมดโบท๊อกซ์หรอกนะคะ”
“นังแจ๋! จะมากไปแล้วนะ”
แจ๋ชี้ว่าอุ๊บอิ๊บต่อ คืนนี้อุ๊บอิ๊บแต่งชุดนอนเซ็กซี่ ไม่เข้ากับบรรยกาศป่า แต่ดีที่มีเสื้อคลุมเอาไว้
“เธอน่ะซี้ สมองน้อย ดูสิ กลางป่ากลางเขา ดูแต่งตัวเข้ายังกับจะไปเต้นรูดเสา นี่ถ้าไม่อายผีสางนางไม้ ก็หัดละอายใจตัวเอง บ้าง เอ๊ะ หรือว่า หน้ามันไม่เคยมียางก็เลยไม่รู้จักอาย”
อุ๊บอิ๊บอ้าปากจะเถียง แต่แจ๋ไม่เว้นช่องให้แทรก อุ๊บอิ๊บเถียงไม่ทัน เลยกริ๊ดลั่นแทน
“อ๊าย...”
อุ๊บอิ๊บหยิบเหยือกน้ำสาดไปโดนแจ๋จนเปียกปอน แจ๋โมโหจะวิ่งเข้ามาเอาเรื่อง กิมจิ บุญทิ้งดึงไว้สุภาพก็ดึงอุ๊บอิ๊บที่ทำท่าจะเข้าไปตบแจ๋ ศิริตวาดลั่นอย่างเหลืออด
“หยุด! ใครไม่หยุด ฉันจะส่งกลับกรุงเทพเดี๋ยวนี้!”
ทั้งสองฝ่ายเงียบสงัด ศิริด่าต่อ
“พวกเธอนี่ยังไงกัน ฉันกลุ้มเรื่องลูกสาวก็พอแล้ว อย่าหาเรื่องไม่เป็นเรื่องมาให้ฉันปวดหัวอีกได้ไหม”
“นั่นสิครับ.. อยู่กลางป่ากลางเขาน่าจะสามัคคีกันไว้นะครับอย่าแบ่งพรรคแบ่งพวกกันเลย”
“อาหลู่เห็นด้วย” อาหลู่ยกมือเห็นด้วยกับสุภาพ
“อุ๊บอิ๊บเป็นคนรักสงบอยู่แล้วค่ะ แต่ถ้าใครมารุกรานอุ๊บอิ๊บก็สู้ไม่ถอยเหมือนกัน”
อุ๊บอิ๊บเชิดใส่พวกแจ๋แล้วเดินออกไปเลย แจ๋มองตามหมั่นไส้ ยี้ใส่
“สวยๆ จ้า แม่นางเอกคนดี”
“แจ๋!” ศิริตวาดเอา
“คุณลุง...” แจ๋หันมายิ้มสีหน้าเจื่อน
“ไม่ต้องมาพูดแล้ว แจ๋...ลุงขอร้องล่ะนะ อย่าก่อเรื่องอีกไม่อย่างนั้นจะหาว่าลุงใจร้ายไม่ได้นะ”
ศิริพูดแล้วเดินกลับที่พักตัวเองสุภาพกับอาหลู่ตาม ขณะที่สามสหายแจ๋ กิมจิ บุญทิ้ง มองหน้ากันเซ็งๆ
พอเดินออกมาที่หน้าเต็นท์ ศิริครุ่นคิดมา ขณะที่สุภาพและอาหลู่ตามหลัง จังหวะหนึ่งศิริหยุดกึกเหมือนนึกอะไรได้ สุภาพเบรกไม่ทัน อาหลู่หัวทิ่มหัวตำชนกับสุภาพ
“เฮ้ย เดินยังไงวะ” สุภาพโวย
“จะหยุดก็ไม่บอก” อาหลู่เอาด้วย
“ฉันนอนไม่หลับจริงๆ ภาพนายดนัยโดนยิงกับยายหวียังติดตา ฉันว่าฉันไปคุยกับธานีแล้วก็นายวัติสักหน่อยดีกว่า...”
ศิริทำทางจะเดินไปทางเต็นท์ธานี สุภาพเรียกขึ้น
“เสี่ยธานีไม่อยู่หรอกครับ ขับรถออกไปกับคุณวัติคุณพาณิชย์”
“ฮึ กลางดึกกลางดื่นเนี่ยนะ”
“ครับ ก็ตั้งแต่นายเข้านอนไปแหละครับ”
ศิริสงสัย “เอ เมื่อหัวค่ำก็ไม่เห็นบอกอะไรฉันสักคำ ธานีมันพาลูกหลานไปไหนนะ”
บริเวณทางเดินในดงผีฟ้า เลาซาขี่ม้านำอยู่ข้างหน้า โดยมีลูกสมุนอีกคนขี่ม้าตามไป ที่เหลือเดินเท้าไป ส่วนชลิตกับดาหวันถูกมัดมือโยงกับม้าท้ายขบวน ลากไปคุยกันไป
“กรรมเวรอะไรเนี่ย พ่อจ๋าช่วยหวันด้วย ...ทำไมหวันถึงได้ซวยอย่างนี้ เจอผู้ชายติงต๊องฉุดผิดตัวไม่พอ ยัง ต้องมาเจอขบวนการอุบาทว์ลักลอบตัดไม้อีก”
“ให้มันน้อยๆ หน่อย แม่คุณ เอาดีเข้าตัว เอาชั่วให้คนอื่นนะ”
“ก็เถียงสิว่าไม่จริง พี่น่ะทั้งติงต๊องทั้งปากเสียสุดๆ”
“ค่า น้องนางฟ้า น้องไม่วุ่นวายแก่แดด เจ้าเล่ห์ ขี้โกง เลย น้องแสนดีมากๆ จนพี่อยากจะเอาไปคืนพ่อซะตั้งแต่คืนแรกที่เจอเลย” ชลิตประชดชุดใหญ่
“พี่ชลิต! หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ”
ดาหวันเบี่ยงตัวมาชนชลิตอย่างหมั่นไส้จนชลิตเซไป แล้วทั้งคู่ก็แกล้งกันไปแกล้งกันมาโวยวายเสียงดัง จนสมุนคนหนึ่งเดินเข้ามาที่ทั้งสองคนเอ็ดเอา
“อะไรกันน่ะ เงียบๆ หน่อยได้ไหม”
“โทษทีพี่ พอดี น้องผมเขาปวดท้อง”
ดาหวันตาโต เม้งที่ชลิตเล่นมุกโดยไม่บอกไม่กล่าว ชลิตหลิ่วตาให้ดาหวันเล่นละคร ดาหวันสวมบทบาททันที ร้องเจ็บปวดขึ้นมา
“อ๊อยย อู้ยย ไม่ไหวแล้ว อู้ยย ปวดเหลือเกิน”
“หยุดก่อนเว้ย” สมุนคนนั้นหันไปสั่งม้า ด้วยสำเนียงชาวเขา พอม้าหยุด สมุนเลาซาก็เข้าไปดูที่ดาหวัน ที่กำลังร้องโอดโอย
“เป็นอะไร”
“ปวดท้องน่ะพี่ ไม่รู้เป็นอะไร อ๊อยไม่รู้ว่าโรคกระเพาะหรือว่าไส้ติ่ง โอ้ย ๆ เกิดไส้ติ่งแตกขึ้นมา หนูคงแย่แน่ๆ ฮือ ฮือ ฮือ”
ชลิตเห็นมีดที่เหน็บหลังสมุนคนนั้น รีบอาศัยจังหวะเผลอเข้าไป ดึงมีดมาอย่างทุลักทุเล
โดยมีดาหวันพยายามถ่วงเวลา
“ข้าจะไปบอกพี่เลาซา”
ดาหวันรีบดึงรั้งตัวสมุนเอาไว้
“อุ้ยๆ ไม่ต้องจ้า ฉันไม่ปวดแล้ว”
สมุนงง ชลิตขยิบตาให้เล่นต่อเพราะยังไม่ได้มีด ดาหวันปวดใหม่
“อ๊อย ปวดจ้าปวด ปวด เออ ปวดขาเนี่ย พี่ ป๊วดปวด”
สมุนเลาซาก้มไปดูขาดาหวัน ชลิตดึงมีดไปได้สำเร็จ รีบหันหลังหลบไม่ให้สมุนเห็น ดาหวันหายเป็นปกติทันที
“อุ้ยตาย หายแล้ว แหม พี่นี่ต้องมีของแน่เลย ดูซิ มาดูแป๊บเดียว หนูหายเลย”
“ไม่เป็นไร แน่นะ” สมุนเลาซาถาม
“จ้า หายสนิทเลยล่ะ ขอบคุณนะพี่”
ชลิตผสมโรงขอบใจ สมุน1 เกาหัวงงๆ แล้ว เดินกลับไป พอสมุนลับไปแล้ว ดาหวันรีบหันมาถามชลิต
“ได้เรื่องมั้ย พี่ชลิต”
“ไม่ได้เรื่อง แต่ได้มีด”
ชลิตยกมีดให้ดูแล้วรีบเอามีดตัดเชือกให้ดาหวัน แล้วดาหวันรับมีดไปตัดเชือกให้ชลิต ทั้งสองเหลือบมองพวกสมุนแต่ไม่มีใครสังเกตเห็น ว่าเวลานั้นความซวยกำลังมาเยือนเพราะม้าลากเชือกเปล่าไป
ชลิตกับดาหวันพากันวิ่งหลบลงไปที่ข้างทาง
เลาซาขี่ม้าเข้ามาถึงหน้าอาศรม พร้อมขบวนลูกน้อง เลาซา ลงจากม้าแล้ว ตะโกนขึ้นไป
“พ่อ ข้ากลับมาแล้ว”
กาซูยืนอยู่ที่หน้าระเบียงบ้านอยู่แล้ว
“ทุกอย่างเรียบร้อยใช่มั้ย”
“ไม่มีคำว่า ไม่ สำหรับ พ่อข้าอยู่แล้ว ทุกอย่างที่พ่อต้องการ ต้องได้เสมอ!”
“ดี!” กาซูหันไปข้างในอาศรม “เสี่ย จะไม่มาดูผลงานลูกชายข้าบ้างเหรอ”
ธานีหัวเราะออกมา พร้อมธนวัติกับพาณิชย์
“นายใหญ่!” เลาซาอุทาน
“ฉันนึกอยู่แล้วว่า กาซูกับลูกชายจะไม่ทำให้ฉันผิดหวัง” ธานีอวยให้
“ชลิตกับดาหวันอยู่ไหนหรือ” ธนวัติถามอย่างเร่งร้อน
“พวกมันหลงเข้าไปที่ทางขนไม้ ข้าจับมัดอยู่ข้างหลังโน้น” เลาซารายงาน
“ตามที่ขอไว้นะ คุณอา ...ผมจะลั่นไกเด็ดชีวิตไอ้ชลิตเอง!!”
พาณิชย์พูดพร้อมกับควักปืนออกมา เดินดุ่มไปที่ท้ายขบวน พาณิชย์ยกปืนขึ้นเล็งและจะยิง แต่ปรากฏว่าทุกอย่างว่างเปล่า เห็นแต่สายเชือกที่ขาด
“เฮ้ย มันหนีไปแล้ว!!” พาณิชย์ตะลึง
“อะไรนะ”
ทั้งหมดรีบวิ่งตามเข้ามาดู แล้วอึ้ง ธนวัติโวยวายไม่พอใจ
“ห่วยแตก! ปล่อยให้มันหนีไปได้ยังไงวะ”
หนีมาจนถึงกลางทุ่งหญ้าสวยๆแห่งหนึ่ง ชลิตล้มลงนอนข้างๆ ดาหวันที่เหม่อคิดอะไรบางอย่างอยู่ ชลิตเช็ดหน้าเช็ดตาพอหายมอมแล้ว ดาหวันถามขึ้น
“พี่ว่านายใหญ่ของพวกมันเป็นใคร ทำไมมันถึงอยากพบเรา มันรู้จักเราด้วยเหรอ”
“ก็ไม่รู้เหมือนกันนะ ...แต่สักวันเราต้องหาความจริงเรื่องนี้ให้ได้ พวกเห็นแก่ตัว ทำลายธรรมชาติฉันไม่ปล่อยไว้แน่”
“อินจังเลยนะ พี่ชลิต” ดาหวันสัพยอก
“ป่าเป็นสมบัติของชาติที่เราควรจะช่วยกันรักษาไว้นี่หวัน...”
จังหวะนั้นดาหวันมองชลิตยิ้มๆ อย่างปลื้มๆ
“หวันไม่นึกเลยว่าพี่จะมีมุมเท่ๆ อย่างนี้ด้วย”
ชลิตนึกขึ้นมา แล้วยิ้ม
“อืมม์ อินเพื่อส่วนรวมไปแล้ว ก็ยังมีเรื่องส่วนตัวอีกเรื่องที่พี่..ยังอินอยู่ในหัวใจ”
“ฮึ เรื่องอะไรอ่ะ”
ชลิตไม่ตอบ กลับมองดาหวันสีหน้ายิ้มๆ
“เอ้า ทำไมไม่พูดล่ะ พี่อินเรื่องอะไรก็บอกมาสิ”
“มีคนดีๆ ยอมตายพร้อมพี่”
ดาหวันอึ้ง วาบหวามขึ้นภายในใจ ภาพตอนที่ดาหวันสะบัดตัวจากลูกสมุนวิ่งเข้ามาขวางหน้าชลิตผุดขึ้นมาในความคิด
“อย่าทำเค้านะ ...ฆ่าฉันดีกว่า”
ระหว่างนั้นชลิตก็มองสบตาดาหวันอีกทีด้วยความรู้สึกดีๆ ... ยิ้มให้อย่างจริงใจ
“ขอบใจนะ หวัน ขอบใจจริงๆ”
ดาหวันสบตาตอบชลิตแล้ว เขินๆ หลบตาไปทางอื่น
“ไม่ต้องขอบใจหรอกน่า หวันก็ทำไปแบบ... เคยเรียนเนตรนารีมาก่อน เนตรนารีต้องบำเพ็ญประโยชน์ต่อส่วนรวมและเป็นมิตรกับคนทั่วไป..”.
ชลิตหัวเราะเอาๆ “ไม่ต้องมาแก้เขินหรอกน่า..พี่รู้นะว่าหวัน กลัวหวีจะขึ้นคานใช่มั้ยละ”
ดาหวันฟังแล้วอึ้ง ชะงัก มองหน้าชลิต จ๋อยๆไปหน่อย
“ถ้าพี่เป็นอะไรไป หวีเขาคงไม่แต่งกับใครหรอก พี่ก็เหมือนกัน นอกจากหวีแล้ว พี่จะไม่แต่งงานกับใครเด็ดขาด”
ดาหวันอึ้งๆ ไม่อยากจะฟังซะงั้น
“หวัน ง่วง นอนแล้วนะ”
ดาหวันหลับตาลง
“ฮึ เมื่อกี้ยังคุยกันดีๆ ตอนนี้ หน้าบึ้งซะแล้ว อารมณ์เสียเรื่องอะไรเหรอ”
“ถ้าพี่อยากจะกลับไปแต่งกับพี่หวี ก็รีบๆ หาทางออกจากป่านี้ให้ได้ก็แล้วกัน”
ดาหวันประชด แล้วหันตะแคงหนีไปอีกข้าง ชลิตมองตามยักไหล่
“เฮ้ออ อะไรของเค้าเนี่ย ...เด็กแก่แดดเข้าใจยากจริงจริ๊ง”
ชลิตนอนลงไปหลับตา ดาหวันลืมตาแอบหันกลับไปมองชลิต อีกครั้งด้วยความหวั่นไหวในใจ ดาหวันหันกลับมามองดาวบนฟ้า
“ดาวจ๋า...หวันนอนไม่หลับ ใจยังเต้นตึกๆ เวลาที่อยู่ใกล้ๆ แล้วมันก็ไม่ใช่ เพราะพี่ดนัยด้วยสิ...แต่มันเป็นเพราะพี่... ฮือ แย่แล้ว ดาวจ๋าลบความรู้สึกบ้าๆ นี้ออกไปที หวันต้องคิดถึงพี่ดนัยเท่านั้น...พี่ดนัยๆๆๆๆ”
ดาหวันหลับตาปี๋ ข่มใจตัวเองไม่ให้หวั่นไหว
สมุนคนหนึ่งวิ่งเข้ามารายงานกาซู ซึ่งเวลานี้รับรอง สามคนอยู่อีกห้อง
“ข้าออกตามทั่วแล้ว ยังไม่เจอเลย”
ธนวัติที่นั่งเก้าอี้อยู่มุมหนึ่งแหวกขึ้น
“เหลวไหล! ถ้าหาทั่วมันก็ต้องเจอสิ!”
สมุนผงะ กาซูโบกมือให้ออกไปก่อนหันไปพูดกับธนวัติ
“ออกไป...ไม่ต้องห่วงหรอก ข้ารับปากแล้ว ยังไงข้าก็ต้องจับตัวสองคนนั้นมาให้ได้
“รอให้มันไปแจ้งตำรวจเสียก่อนดีมั้ยว่าเราค้าไม้เถื่อน แล้วค่อยไปจับมันน่ะ ทำงานชักช้า หละหลวมแบบนี้ ป๊าไม่น่าเอามาเป็นหุ้นส่วนเลย”
เจอธวัติด่า กาซู กับเลาซา หน้าตึงขึ้นมาเพราะไม่สบอารมณ์ ธานีมองเห็นรีบแก้แทนทันที
“วัติ แกอย่าใจร้อนให้มากนักเลย ..ไม่มีใครรู้จักป่าดงผีฟ้านี่ดีเท่ากาซูกับเลาซาแล้ว อีกอย่างที่สำคัญที่สุด คนที่ไว้ใจได้มันไม่ได้หาได้ง่ายๆ”
ธานีหันไปหากาซู
“ลูกชายฉันมันเพิ่งเข้ามารับงานจากฉัน แกอย่าถือสาเลยนะกาซู”
“หึหึ คนจะทำงานใหญ่ได้ ต้องหนักแน่น แล้วรู้จักเลือกฟังในสิ่งที่ควรฟัง...อะไรที่ไร้สาระข้าไม่เคยใส่ใจอยู่แล้ว”
ธนวัติมองหน้ากาซู รู้สึกไม่ค่อยกินเส้นกันเท่าไร พาณิชย์พิงหน้าต่างอยู่ขยับพูดขึ้นไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่
“ผมว่า ไม่เห็นต้องคิดอะไรมากเลย ..ไอ้ชลิตกับดาหวัน ไม่รู้สักหน่อยนี่ครับ ว่าพวกเราอยู่เบื้องหลัง มันแค่หลงเข้ามาในปางไม้ก็เท่านั้น”
“แต่ถ้าไม่รีบจัดการ มันจะเป็นภัยมาถึงตัว”
“พรุ่งนี้ข้าจะออกล่าตัวมันสองคนเอง” เลาซาอาสา
“พรุ่งนี้ไม้ล็อตใหม่จะขึ้นไม่ใช่เหรอ ไปทำหน้าที่ของแกเถอะ เลาซา”
เลาซารับคำ ธานีหันทางพาณิชย์ และธนวัติ
“ส่วนหน้าที่ผู้ล่า เป็นของแกสองคน”
“ครับ ป๊า พวกเราจะไม่ทำให้ป๊าผิดหวัง”
ธนวัติรับคำ ยิ้มร้ายๆ ผุดขึ้นบนใบหน้าอีกคำรบ
อ่านต่อหน้า 3
หอบรักมาห่มป่า ตอนที่ 6 (ต่อ)
บรรยากาศบนเรือนแพยามเช้าช่างสวยงามนัก ดนัยที่หลับอยู่ค่อยๆ รู้สึกตัว ลืมตาตื่นขึ้นมาซึมซับรับเอาความงามของธรรมชาติ สีหน้าสีตาดูสดชื่นขึ้นมาก ดนัยมองหาฉวีวรรณแต่ไม่เจอ
“หวี...”
ดนัยลุกจะไป แต่เจ็บแผลที่หัวไหล่นิดนึง พอคลายลงก็ลุกขึ้นออกไป ดนัยเดินมองหาฉวีวรรณ ร้องเรียกไปด้วย
“หวี...ฉวีวรรณ”
ดนัยมองไปทางหนึ่งแล้วชะงัก เมื่อเห็นร่างของฉวีวรรณกำลังถือแหไปทอดปลาอยู่ที่สันทรายกลางน้ำ ดนัยมองแปลกใจ
“นั่นเค้าไปทำอะไรน่ะ”
ขณะที่ฉวีวรรณทอดแหลงในธารน้ำ แล้วกลับลื่นไถลลงไปในน้ำจนเปียกปอน ฉวีวรรณตีน้ำ อย่างอารมณ์เสีย ดนัยแอบมองภาพนั้นพร้อมกับยิ้มขำ
ฉวีวรรณยังอยู่บนสันทราย จัดแหให้เข้าที่แบบเก้ๆ กังๆ เตรียมจะทอดลงไปใหม่ ฮึดเอาจริง
“เมื่อกี้แค่ซ้อม ...เอาจริงแล้วนะ”
ฉวีวรรณทอดแหลงไปใหม่ แล้วเหมือนว่าจะได้ปลา รีบสาวขึ้นมา ปรากฏว่ากลายเป็นก้อนหินติดขึ้นมาแทน ฉวีวรรณเบ้ปาก เซ็งสุดๆ
“โธ่เว้ย ไม่ได้เรื่องเลย...” ฉวีวรรณทรุดนั่งลงริมสันทราย เหม่อออกไปบ่นกับตัวเอง “จับไม่ได้สักตัว ทำยังไงดีเนี่ย”
จังหวะนั้นเสียงดนัยก็ดังลอดเข้ามา
“อย่าจับปลาสองมือซี้”
ฉวีวรรณหันไปตามเสียง เห็นดนัยนั่งยองๆ อยู่ข้างๆ
“ว้าย!” ฉวีวรรณหันไปทุบไหล่แขนข้างที่ไม่ได้เจ็บ “อีตาบ้า ตื่นมาก็ปากมอมเลยนะ”
ดนัยแสร้งทำเป็นเจ็บแขน งอก่องอขิงล้มลงไป เจ็บจะตาย
“โอ้ย...”
ฉวีวรรณตกใจรีบเข้าไปดูเป็นห่วง
“เฮ้ย ดนัย!! ฉันไม่ได้ตั้งใจ อย่าเป็นอะไรนะ อย่าพึ่งตายนะ ดนัย”
ดนัยค่อยๆ ยิ้มเผล่ออกมา
“ล้อเล่น”
ฉวีวรรณโมโหเอามือไปหยิกท้องดนัย
“ร้ายนักนะ ผู้ชายเจ้ามารยา”
“โอ้ย อู้ยย ก็ป้าหวีตีแขนไม่โดนยิง แล้วฉันจะเจ็บได้ไง”
“เถียง” ฉวีวรรณบิดท้องอีกที คราวนี้ดนัยร้องดังลั่น ฉวีวรรณยิ้มอย่างสะใจ
“จะล้อเล่นอีกมั้ย”
ดนัยปัดป้องพัลวัน แต่กลับกลายเป็นผลักฉวีวรรณล้มลงไป ดนัยเซล้มตามลงไปหอมแก้มฉวีวรรณหนึ่งฟอด
ฉวีวรรณชะงักตาโต ดนัยถอนหน้าขึ้นมามองสบตากับฉวีวรรณ ดนัยมองจ้องด้วยความรู้สึกดีๆ ฉวีวรรณหลุบตาอย่างเขินๆ แล้วผลักดนัย ตัวเองวิ่งออกไปเลย
“หวี ...”
ครู่ต่อมาฉวีวรรณวิ่งเข้ามาที่มุมหนึ่ง...หยุดยืน จับแก้มที่โดนหอมเบาๆ เขินๆ ยิ้มๆ อายๆ
“คนบ้า....”
ดนัยวิ่งตามเข้ามา ฉวีวรรณเก๊กปึ่ง เข้มใส่ ดนักอึกอักๆ
“หวี...ฉัน”
“ไม่ต้องพูดมาก ...กลับไปได้แล้ว ....ฉันจะจับปลา”
ฉวีวรรณหันลุยน้ำลงไป
“ฉันช่วย”
ฉวีวรรณชะงักหันกลับมา
“แขนเจ็บอยู่ไม่ใช่เหรอ อย่าหาเรื่อง”
“ไม่เจ็บแล้ว ...ฉันได้ยาดี”
ดนัยแกล้งชี้ๆ ที่แก้มตัวเอง ล้อๆ ฉวีวรรณทั้งฉุนทั้งอาย วิดกวักน้ำใส่ ดนัยหลบๆ ฉวีวรรณค้อนขวับแล้วเดินหนีไป
ดนัยมองตามยิ้มอย่างชอบใจ
เช้าวันเดียวกันนั้นศิริยืนดื่มกาแฟอยู่มุมหนึ่ง แล้วมองไปเห็นที่รถธนวัติมีรอยโคลนเปื้อนเต็มล้อไปหมด ธานีเดินเข้ามาหา
“พี่ศิริมาอยู่นี่เอง ...อาหารเช้าพร้อมแล้วนะครับ”
“เมื่อคืน นายกับเด็กสองคนนั่นไปไหนกันมา”
ธานีอึ้งไปนิดนึงแล้วทำเป็นไม่มีอะไร
“อ๋อ ผมพาเจ้าวัติกับพาณิชย์เข้าไปหาหมอในเมืองน่ะครับ คือว่าพาณิชย์มันแพ้อากาศนิดหน่อย”
“แต่ดูสภาพรถนายแล้ว มันน่าจะลุยเข้าป่ามากกว่าเข้าเมืองนะ นายไปไหนมากันแน่”
ในขณะที่ศิริจ้องรอเอาคำตอบ ธานีอึ้งคิดหาคำตอบ เสียงปืนดังลั่นขึ้นมา ทั้งสองสะดุ้งตกใจ
“ฮึ เกิดอะไรขึ้น!!!”
“เรารีบไปดูก่อนเถอะ พี่”
หมีตัวหนึ่งขู่คำรามอยู่ที่มุมหนึ่งใกล้ๆ แค้มป์ ธนวัติยิงเปรี้ยงไปอีกนัด โดนแขนสมุนคนหนึ่งล้มลง หมีตกใจวิ่งหนีไป ธนวัติยิงเปรี้ยงๆ ตามไปอีก แล้วเรียกพาณิชย์ให้วิ่งตามไปด้วยกัน
“ไป พาณิชย์”
ศิริกับธานีวิ่งเข้าเห็น
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ หยุด”
ธนวัติ กับ พาณิชย์ชะงักหันมา
“คุณลุงครับ หมีมันจะรื้อเต็นท์เรานะครับ” ธนวัติแย้งขึ้น
“นายจะไม่สนใจคนเจ็บที่นายพึ่งยิงไปบ้างหรือ”
“ผมไม่ได้ตั้งใจนะครับคุณลุง” ธนวัติเถียง
ธานีรีบแก้แทนลูก
“เออ พี่ศิริครับ วัติมันไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำหรอกครับ มันกลัวว่าหมีจะทำร้ายคนอื่นมากกว่า” ธานีตะโกนสั่งลูกน้อง “เฮ้ย ช่วยกันพาคนเจ็บไปส่งโรงพยาบาลซะ ค่าใช้จ่ายทั้งหมดฉันจัดการเอง”
พวกสมุนช่วยกันนำคนเจ็บออกไป ธานีหันกลับมาพูดกับศิริ หัวเราะๆ ชิลๆ
“ไม่ต้องซีเรียสนะครับพี่ศิริ เรื่องเล็กๆ น้อยๆ”
“ฉันไม่เคยคิดว่า ชีวิตเป็นเรื่องเล็กนะ ไม่ว่าชีวิตคนหรือสัตว์ก็ตาม”
“แต่ถ้าเราไม่จัดการมันก่อน มันก็จะแว้งกัดเราได้ทีหลังนะครับ”
“ลุงรู้ แต่ที่ลุงพูดเพราะลุงเห็นว่า วัติทำเกินกว่าเหตุมาหลายทีแล้ว โดยเฉพาะเมื่อวานนี้ ลุงห้ามแล้ว วัติก็ยังยิงนายดนัย”
“คนอย่างนั้น มันก็ไม่ต่างจากพวกสัตว์ป่า พูดด้วยดีๆ รู้เรื่องที่ไหนล่ะครับ” พาณิชย์แทรกขึ้นมา
“ถูกต้อง แล้วผมมั่นใจว่าผมแม่นผมถึงได้ยิง” ธนวัติคุยโอ่
“แล้วที่ต้องหามส่งโรงพยาบาลเมื่อกี้นี้ล่ะ เพราะความแม่นของวัติด้วยหรือเปล่า”
ถูกศิริแขวะ ธนวัติอึ้งไป อยู่ในอารมณ์ขึ้งโกรธ ศิริเสียงอ่อนลง เอ็นดู แต่ก็แรงอยู่ในที
“วัติ ถ้าวัติลำบากใจ ...วัติก็ไม่จำเป็นต้องมาเหนื่อยยากอยู่ในป่าแบบนี้นะ จะกลับกันก็ได้ ลุงไม่ได้ว่าอะไร”
ธนวัติอึ้ง มองหน้าธานี ธานีทำเป็นน้อยใจ
“พี่ศิริพูดอย่างนี้ก็เท่ากับดูถูกน้ำใจ ผมกับทุกคน พวกเรามาด้วยใจ ใจจริงๆ แต่ถ้ามันไม่มีค่าก็ไม่เป็นไรครับ” ธานียกมือไหว้ศิริ “ผมขอโทษแทนลูกหลานด้วยแล้วก็ลาพี่เลยนะครับ”
ธานีแกล้งทำเดินออกไป สีหน้าธานีพูดนับไม่ออกเสียง
“1-2-3”
“เดี๋ยวก่อน ธานี!
ศิริร้องเรียก ธานีแอบยิ้มกริ่ม แล้วหันไปตีหน้าขรึมจริงจัง
“ครับ พี่ศิริ”
“อย่าพึ่งเข้าใจผิดเลยนะ ที่ฉันพูดไปทั้งหมด เพราะฉันเป็นห่วง กลัวจะเกิดเรื่องลุกลามได้...ไม่ได้มีเจตนาจะไล่ใครหรอกนะ”
“ผมก็ว่าแล้ว ว่าพี่ศิริไม่ใช่คนแบบนั้น ต่อไปนี้ผมจะคอยกวดขัน ความประพฤตินายวัติกับพาณิชย์ให้มากกว่านี้ พี่ศิริไม่ต้องห่วงนะครับ”
ศิริสบายใจขึ้นพยักหน้ารับ มองๆ ไปที่ธนวัติ และพาณิชย์ ทั้งสองยกมือไหว้ ศิริพยักหน้ารับ
“อย่าใช้แต่ปืนแก้ปัญหา ใช้ปัญญาดีกว่านะหลาน”
พอคล้อยหลังศิริไปแล้ว ทั้งสามธนวัติ ธานี และพาณิชย์มองตามด้วยสีหน้าร้ายกาจ อารมณ์ขุ่นอย่างไม่พอใจ
ทางด้านดนัยกับฉวีวรรณ เวลานี้นั่งอยู่ที่ระเบียงครัวในมุมหนึ่ง มีจานปลาย่างของแต่ละคน
ฉวีววรณแกะปลาย่างออกกินอย่างเอร็ดอร่อย ดนัยนั่งมองหน้าอยู่
“ป้าหวี ป้อนหน่อยสิ”
เจอดนัยอ้อน ฉวีวรรณถึงกับสำลัก
“อะไรนะ!!”
“ก็ถ้าอยากให้กิน ก็ป้อนสิ”
“นี่ไม่ใช่เด็กแล้วนะ ตัวก็โตเท่าโคไพรแล้ว”
“แต่ฉันกินมือเดียวมันถนัดที่ไหนล่ะ นะ ป้าหวี น่านะ”
ฉวีวรรณเหลือบมองเห็นกระจาดพริกขี้หนูที่ชั้นวางของข้างๆ ตัว แล้วยิ้มกริ่ม
“ก็ได้ หลับตาก่อนสิ เดี๋ยวฉันจะป้อน”
ดนัยยิ้มกริ่ม ฝันหวานหลับตาลง ฉวีวรรณรีบหยิบพริกมาประกบเข้ากับเนื้อปลา ป้อนใส่ปากดนัย
“อะ อ้าปาก...อั้มม”
ดนัยเคี้ยวกร้วบลงไปเต็มคำ แล้วชะงักหน้าเหยเก สัมผัสรสเผ็ดของพริกเต็มๆ ฉวีวรรณหัวเราะชอบใจ อย่างอารมณ์ดี
“เป็นไง อาหย่อยมั้ยละ ปลายัดไส้พริกสูตรหวีเอง ฮิฮิฮิ”
ดนัยร้องอ๊ากอย่างเผ็ด แล้วรีบลุกวิ่งไปหาขันน้ำแถวๆ นั้น แล้วยกขึ้นมาดื่มอักๆ ฉวีวรรณยิ่งมองยิ่งขำ , ดนัยกินน้ำหมด แล้ว ซี้ดปาก หน้าแดง
“เผ็ดจริงๆ ยายป้าหวี เล่นกันอย่างนี้เลยเหรอ”
“นายอยากมาอ้อนหาเรื่องเอง ช่วยไม่ได้”
ฉวีวรรณลอยหน้าลอยตาใส่ ดนัยทำท่าจะเข้ามาเอาเรื่อง แล้วเสียงมือถือของดนัยดังขึ้น ดนัยชะงัก หยิบมือถือจากกระเป๋ากางเกงออกมาดู เป็นเบอร์แม่
“แม่....”
ดนัยกังวล ฉวีวรรณเข้ามาถาม
“มีอะไรเหรอ”
ดนัยยื่นมือถือให้ฉวีรรณ
“รับสายแม่ฉันให้ที”
“อ้าว ทำไม นายไม่พูดเองล่ะ”
ดนัยมีอาการลำบากใจ
“ฉันกลัวฉันจะหลุด ฉันไม่อยากให้แม่รู้ว่าฉันเจ็บ...”
ฉวีวรรณฟังแล้วนิ่งคิด อึ้งไป รู้สึกเห็นใจเลยรับมือถือจากดนัยไปกดรับสายแทน ดนัยเปิดเสียงคุยแบบลำโพง จึงได้ยินทั้งสองคน
“สวัสดีค่ะ คุณอา”
เป็นนงนุชที่โทรหาลูกชายจากบริเวณสนามหญ้าหน้าบ้านนั่นเอง นงนุชฟังเสียงปลายสาย ถามขึ้นอย่างแปลกใจ
“ฮึ นั่นมือถือดนัยหรือเปล่าคะ”
ขณะที่ฉวีวรรณพูดตอบ โดยมีดนัยคอยฟังอยู่ข้างๆ
“ใช่ค่ะ ...พอดีว่าดนัย” ฉวีวรรณมองหน้าดนัยไม่รู้จะโกหกยังไง แต่แล้วก็นึกได้ “เออ..ดนัยเค้า...เค้าพากวางป่าไปรักษาอยู่ค่ะ ยังไม่สะดวกจะคุยค่ะ”
ดนัยยิ้ม พร้อมยกนิ้วให้ว่าฉวีวรรณเจ๋ง
“ค่อยโล่งอกไปหน่อย เมื่อคืนอาฝันไม่ดีเลย เห็นดนัยมีเลือดท่วมตัวเลย ดนัยไม่ได้บาดเจ็บแน่นะ หนู....”
ฉวีวรรณเหลือบมองหน้าดนัยที่อึ้งเพราะสะเทือนใจกับคำพูดของแม่ จำใจโกหกตอบออกไปตรงข้ามแทน
“เปล่าค่ะ ดนัยสบายดี แล้วก็ ....คิดถึงคุณอามากๆ ด้วยค่ะ เมื่อคืนเขายังเล่าเรื่องของคุณอาให้หนูฟังเลยค่ะ”
นงนุชมีน้ำเสียงสบายใจขึ้น
“....ถ้าขี้คุยได้อย่างนี้ก็ไม่น่าจะมีอะไรจริงๆ ...อาค่อยโล่งอกหน่อย...อาฝากบอกดนัยด้วยนะจ๊ะ ให้เขาโทรกลับหาอาด้วย อาคิดถึงแล้วก็เป็นห่วงเขามาก”
“ค่ะ แล้วหนูจะบอกเค้าให้”
นงนุชวางสายไป ฉวีวรรณกดปิดมือถือยื่นคืนให้ดนัยที่ยืนนิ่งอึ้งอยู่
“อะ ดีแล้วที่โกหก ไม่งั้นแม่นายคงกินไม่ได้นอนไม่หลับแน่”
ดนัยมองหน้าฉวีวรรณด้วยความรู้สึกสะเทือนใจ ที่ทำให้พ่อของฉวีวรรณไม่สบายใจเหมือนกัน ดนัยรีบวิ่งออกไป ฉวีวรรณมองตามอย่างงง
“ดนัย เดี๋ยว”
ดนัยวิ่งมาหยุดที่ริมตลิ่ง แล้วร้องตะโกนออกไป ระบายอารมณ์ ฉวีวรรณวิ่งตามเข้ามา เป็นห่วง
“ฉันมันเลว ฉันไม่ดีเอง...”
“ดนัย นายเป็นบ้าไปแล้วเหรอ”
“พอแม่โทรมาฉันก็เลยคิดได้ แม่ฉันยังเป็นห่วงฉัน แล้วพ่อเธอจะไม่ห่วงเธอได้ยังไง ฉันรู้สึกผิดจริงๆ”
“จะว่านายผิดก็ไม่ถูก ทั้งๆที่มีโอกาสแล้วฉันก็ยังตามนายมาเอง”
ดนัยไม่นึกว่าจะได้ยินฉวีวรรณตอบอย่างนี้
“หวี...”
“ฉันก็มีส่วนผิดพอๆ กับนายนั่นแหละ อย่าคิดมากไปเลย”
“ยังไงฉันก็เป็นต้นคิด ฉันก็ควรเป็นคนจบเรื่องวุ่นวายนี้ด้วยตัวของฉันเอง”
“นายจะทำอะไร”
ดนัยชี้ไปที่แพไม้ไผ่ที่ผูกติดไว้ ริมตลิ่งปิ๊งไอเดียขึ้นมา
“ป้าหวีเห็นแพไม้ไผ่นั่นไหม ...ถ้าซ่อมสักหน่อยก็น่าจะใช้ได้”
“อย่าบอกนะ ว่าจะถ่อแพน่ะ!!!”
“ใช่ มันทุ่นแรงดีออก แล้วถ้าเราล่องไปตามแม่น้ำ เราน่าจะได้เจอหมู่บ้านหรือท่าน้ำ ที่เราพอจะต่อเข้าเมืองได้ง่ายกว่าการเดินเท้านะ”
ดนัยหันกลับมายิ้มให้ฉวีวรรณ
“ฉันจะพาหวีกลับไปหาพ่อ แล้วก็จะขอขมาท่านด้วย”
ฉวีวรรณมองหน้าดนัยอึ้งอย่างนึกไม่ถึง
ธนวัติกำลังซ้อมลูกสมุน เตะ ถีบ อย่างกับเป็นกระสอบทราย แค้นระบายอารมณ์ที่โดนศิริด่าหลายครั้งติดๆ กัน โดยเฉพาะเมื่อเช้านี้
“ไม่ไหวแล้วโว้ยยย ไอ้แก่ศิริ ปากดีนัก”
ลูกน้องล้มไปกองกับพื้น ธานี พาณิชย์มาห้าม ,ลูกน้องรีบเผ่นออกไป
“พอได้แล้ว ไอ้วัติ”
“ผมอยากต่อยหน้าไอ้แก่นั่นจริงๆ ชอบทำเป็นทรงภูมิสั่งสอนโน้นนี่แต่จริงๆ นะ ปอด ไม่เอาไหนเลย”
“เออน่า ไว้ให้พวกแกจับตัวลูกสาวมันมาเป็นเมียได้ก่อนเถอะแล้วแกจะกระทืบมันยังไง ฉัน
จะช่วยด้วย” ธานีอวยส่งลูกชาย
“คุณอานี่เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดจริงๆ นะครับ ผมดีใจนะที่ผมไม่มีเพื่อนแบบคุณอา”
ธานีตบศีษะพาณิชย์
“ไอ้ปากไม่มีหูรูด ...เดี๋ยวก็กระทืบหลานก่อนเพื่อนเสียดีมั้ย”
“อู้ย ล้อเล่นน่าคุณอา ....ตกลงว่าวันนี้ ผมต้องตามไอ้แก่ศิริไปด้วยหรือเปล่า”
“ขืนไปกับมันแล้วเจอลูกสาวมันก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี เพราะฉะนั้น ฉันจะเป็นคนประกบไอ้ศิริเอง แก พาณิชย์แกะรอยไปบนภูเขา ส่วนแก เจ้าวัติลงไปทางใต้”
“ครับพ่อ เราจะต้องเจอตัวสี่คนนั้น ก่อนไอ้แก่ศิริให้ได้”
ธนวัติยิ้มเหี้ยมออกมาทางใบหน้า
ด้านดนัยกำลังจับมือฉวีวรรณขึ้นมา แล้ววางก้อนกรวดสีชมพูบนมือฉวีวรรณ เป็นก้อนเล็กขนาดประมาณเหรียญสิบบาทสีชมพูใสมากๆ
“ฉันให้ ...”
ฉวีวรรณมองงง
“ก้อนกรวดสีชมพู....”
ดนัยมองหน้าฉวีวรรณพูดต่อ
“ใช่ ฉันแอบไปเก็บตอนเราไปจับปลากัน....”
“แล้วนายให้ฉันทำไม...”
“ถึงมันจะเป็นแค่ก้อนกรวดธรรมดา แต่ฉันอยากให้เธอรู้ว่ามันมีค่าที่ใจ...เพราะกรวดก้อนนี้บรรจุความรู้สึกดีๆที่ฉันมีต่อเธอถึงมันจะเป็นเวลาช่วงสั้นๆ ในเวลาที่โหดร้ายที่สุด ฉันก็รู้สึกว่าฉันโชคดีที่มีเธออยู่ข้างๆ...” ดนัยจับมือฉวีวรรณกำกรวดไว้ “เก็บมันไว้คอยระลึกว่า วันหนึ่งเราเคยได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันมานะหวี”
ดนัยยิ้มให้ฉวีวรรณอย่างซาบซึ้งใจ ฉวีวรรณก็ยิ้มตอบด้วยความตื้นตันใจ เป็นความรู้สึกดีๆ ที่ทั้งคู่มีต่อกัน
หลังจากนั้นแพก็ล่องออกไปตามกระแสน้ำ ฉวีวรรณเอาไม้ไผ่ถ่อแพอย่างทะมัดทะแมง
ดนัยยังมีอาการเจ็บๆ แผล เอามือจับไหล่ แล้วแข็งใจจะลุกขึ้นไปเพื่อถ่อแพเอง ฉวีวรรณมองเห็น รีบยกไม้ไผ่มาดันจี้กันไว้
“อะ อะ อย่ากวน อย่ายุ่ง นั่งอยู่เฉยๆ ฉันจะถ่อเอง”
ดนัยจำใจต้องนั่งลงไป ดูฉวีวรรณถ่อแพไป
พ้นมาอีกโค้งน้ำฉวีวรรณถ่อแพมา เหงื่อซึมหน้าผาก...ดนัยนั่งมองอมยิ้ม แล้วแซวออกมา
“เหนื่อยยัง ไม่อยากกินแรงผู้หญิง”
“อย่ามาดูถูกกันนะ..ผู้หญิงอย่างฉันทำอะไรได้อีกตั้งหลายอย่างที่นายนึกไม่ถึง”
“ฉันเห็นแล้ว ทั้ง เปิ่น โก๊ะ เชย ป่วน ชวนเหวี่ยง... ไม่มีใครเกินป้าหวี
“อะไร อะไร...เจ็บแขน แล้วอยากเจ็บปากอีกเหรอ”
“ไม่อยากเจ็บแล้ว แต่อยากรู้ว่า...” ดนัยเว้นวรรค
“รู้ว่าอะไร” ฉวีวรรณถามทันที
“...เธอเกลียดฉันน้อยลงบ้างหรือยัง...หวี
ฉวีวรรณอึ้ง มองสบตาดนัยที่มองอยู่แล้ว มีแวววิบวับในดวงตาคู่นั้น... ฉวีวรรณยังไม่ทันตอบอะไร เสียงนกเหยี่ยวบนฟ้าดังเข้ามา ทั้งสองเหลียวมอง
เหยี่ยวตัวหนึ่งบินร่อน วนไปวนมาบนท้องฟ้า เหนือศีรษะคนทั้งสอง ธนวัติยืนจังก้าอยู่ในแพ พร้อมเหล่าสมุนที่ถ่อแพ เข้าโค้งน้ำเลี้ยวตามหลังมาลิบๆ ดนัยมองเห็นธนวัติ สีหน้าเครียดขึงขึ้นมา
“ไอ้ธนวัติ!!”
ธนวัติยกปืนขึ้นเล็งแล้วยิง
“เปรี้ยง ๆๆ”
ฉวีวรรณกับดนัยรีบก้มหลบ แล้วดนัยรีบหยิบไม้ไผ่ขึ้นมา ถ่อแพเอง เร่งจ้ำ เสียงธนวัติตะโกนสั่งลูกน้อง
“เร็วเข้า!!!”
ดนัยเร่งจ้ำถ่อไป ทั้งๆ ที่เจ็บแขน ธนวัติยิงเข้ามาอีก ชุดใหญ่ ฉวีวรรณกับดนัยหลบ
ธนวัติยิงใกล้เข้ามาอีก ในที่สุดแพที่ไม่แข็งแรงมากนักก็แตก ไม้ไผ่กระจาย!! ดนัยกับฉวีวรรณโจนลงน้ำ แล้วดนัยเรียกฉวีวรรณให้วิ่งไปด้วยกัน
“หวี ทางนี้...”
ทั้งสองพากันวิ่งลุยน้ำ หลบกระสุน ขึ้นตลิ่งตรงไปทางหนึ่ง
ธนวัติยิงไล่ตามหลัง
“ปัง ปัง ปัง”
ดนัยกับฉวีวรรณวิ่งหนีไปจนลับตาในป่า ขณะที่บริเวณริมตลิ่งธนวัติกับลูกสมุน กรูขึ้นจากแพมาบนฝั่ง ธนวัติตะโกนสั่งก้อง
“กระจายกำลังออกไป อย่าให้มันหนีไปได้”
ทุกคนกรูออกไปตามไล่ล่า ธนวัติมองเหี้ยมๆ แล้วเดินออกไป
ดนัยกับฉวีวรรณวิ่งไป แล้วดนัยเจ็บแขน ทรุดลงไป
“ดนัย”
“ยิ้มให้ทีซิ จะได้มีแรง”
“อีตาบ้า ยังจะพูดเล่นอีก ไป...”
ฉวีวรรณฉุดดนัยให้ลุกขึ้น วิ่งออกไป โดยธนวัติ ถือปืนย่างสามขุม บุกพงตามล่า พร้อมสมุนติดตาม จังหวะหนึ่งดนัยกับฉวีวรรณวิ่งลงเนินมา แล้วเลี้ยวออกไปอีกทางหนึ่ง
ธนวัติกับสมุนวิ่งไล่ล่ามาจนถึงริมเนิน ธนวัติ เห็น ดนัยกับฉวีวรรณวิ่งอยู่ข้างล่าง ธนวัติยกปืนยิงเปรี้ยงๆๆ ดนัยกับฉวีวรรณรีบวิ่งหลบกระสุน จนลับตาออกไปอีก ธนวัติฮึดฮัดรีบวิ่งหาทางตามไป
ดนัยกำลังหันไปดึงมือฉวีวรรณ วิ่งฝ่าดงไม้ ทั้งคู่หนีเข้ามาในดงผีฟ้า โดยไม่รู้ตัว
“เร็ว หวี”
ดนัยหันหน้ากลับมา โผล่พ้นดงไม้ แล้วตะลึง ตกใจ
“เฮ้ย!!”
ดนัยมองเห็น สมุนเลาซายืนคุมบน กองไม้ซุงเถื่อนอยู่
“อะไรกันน่ะ...” ฉวีวรรณถาม
“ไม้เถื่อน!!”
สมุนเลาซาคนหนึ่ง หันมาเห็นตะโกนลั่น
“เฮ้ย จับมัน”
สมุนทั้งหมดกรูเข้ามาหาดนัย
“หวี หลบไปก่อน”
“ไม่ ฉันจะช่วยนาย”
ฉวีวรรณหยิบไม้ท่อนขนาดเหมาะมือขึ้นมาถืออย่างทะมัดทะแมง
“เข้ามาซี้”
สมุนจะพุ่งเข้ามา ดนัยต่อยหน้ากระเด็น ฉวีวรรณ เข้าไปที่สมุนอีกคนเอาไม้ฟาดจน สลบลงไป สมุนสองคนที่เหลือตรงเข้าไปเล่นงานดนัยอีก ดนัยกระโดดตัวลอยเข้าไปถีบยอดอก สมุนทั้งสองคนพร้อมกัน ทั้งสองกระเด้งตัวลอยลงไปจุกอยู่กับพื้น
สมุนคนหนึ่งทำท่าจะลุก ฉวีวรรณพุ่งเข้าไปเอาไม้ตีจนสมุนสลบเหมือด ดนัยยกนิ้วให้ฉวีวรรณ
“เจ๋งมาก ฉวีวรรณ”
“แน่นอน คนสวยทำอะไรก็เก่ง”
เสียงช้างร้องแปร๊นเข้ามาจากอีกทาง ทั้งสองหันไปมอง เห็นเลาซากำลังไสช้างเข้ามาที่ดนัย กับฉวีวรรณ ในมือถือหน้าไม้ ทั้งคู่ตกใจ
“อ๊ายย ช้าง...”
ดนัยวิ่งหนี ส่วนฉวีวรรณมองตาค้างตัวแข็งวิ่งไม่ออก ดนัยต้องหันกลับมาดึงแขนออกไป
“ยืนให้มันเหยียบเหรอ ไป”
จังหวะนั้นเองเลาซายิงหน้าไม้มาที่ดนัย ทั้งสองรีบหลบหลีก และหนีวุ่นวายวิ่งหลบออกไป
ฉวีวรรณกับดนัยวิ่งลุยป่า หนีสุดชีวิต โดยมีเลาซาไสช้างไล่ล่า ยิงหน้าไม้มาใส่ เป็นชุด
เสียงหน้าไม้แล่นปักต้นไม้ ฉึก ฉึก ฉึก ไล่หลังดนัยฉวีวรรณที่วิ่งหนีไป
จังหวะหนึ่งดนัยกับฉวีวรรณวิ่งหนีมาเจอ ธนวัติกับสมุนวิ่งมาตรงหน้า
“ไอ้ดนัย”
ดนัยกับฉวีวรรณตกใจ
“แย่แล้ว”
ฉวีวรรณร้องอย่างตกใจ ธนวัติยกปืนยิงมาทันที
“หวี ถอย”
ดนัยฉุดฉวีวรรณ วิ่งกลับไปทางเก่า แต่เลาซากำลังไสช้างเข้ามาหา ทั้งคู่ ส่วนธนวัติกับลูกน้อง ก็ยกปืนยิงเปรี้ยงๆ ไล่ล่าตามมาข้างหลัง ดนัยกับฉวีวรรณวิ่งมาเจอ ลาซาที่ไสช้างเข้ามา ลุ้นระทึก
“มันมาแล้ว”
ดนัยกับฉวีวรรณหันไปอีกทาง ก็เห็น ธนวัติตามเข้ามาใกล้แล้ว ฉวีวรรณมองตามอย่างตระหนก
“ทางนี้ก็ช้าง ทางโน้นก็ลูกปืน”
ฟังฉวีวรรณแล้วดนัยมองตามด้วยสีหน้าเครียด แต่แล้วดนัยก็มองเห็นเถาวัลย์ข้างๆ สองเส้น รีบส่งให้ฉวีวรรณหนึ่งเส้น ของตัวเองอีกสาย
“ไปเลย”
“ฉันกลัวความสูง”
“กลัวตายก่อนดีมั้ย”
ดนัยรีบผลักฉวีวรรณแรง ฉวีวรรณกรี๊ด ร่างลอยละล่องออกไปกับเถาวัลย์ ดนัยถีบตัวเองกับต้นไม้ แล้วเหวี่ยงตัวเองออกไปเฉียดแค่เส้นยาแดงผ่าแปด
เลาซาไสช้างเข้ามาเป็นจังหวะเดียวกับที่ ธนวัติวิ่งเข้ามา เลาซาตาเหลือกธนวัติมองอย่างตกใจ เลาซาร้องขึ้น
“อย่ายิง!! นี่ข้าเองเลาซา”
ดนัยกับฉวีวรรณที่หล่นจากเถาวัลย์ลงไปที่มุมหนึ่งถัดออกไป ชะงักตาค้างกัน แล้วทั้งสองรีบหันกลับไปมองอย่างรวดเร็ว ธนวัติจ้องหน้าเลาซา มองอย่างถนัดตา
“ไอ้เลาซา”
ดนัยมองทั้งคู่ รู้กระจ่างใจทันที
“มันเป็นพวกเดียวกัน ..พวกค้าไม้เถื่อน”
“ไอ้ธนวัติ แกมันเลวกว่าที่ฉันคิด!!”
ธนวัติหันไปมองยกปืนขึ้นเล็ง
“พวกแกไม่มีสิทธิ์หายใจอีกแล้ว
ธนวัติพูดพร้อมกับยิงเปรี้ยงๆ ไปที่ดนัยกับฉวีวรรณ ทั้งสองกระโดดหลบแยกกันออกไป ฉวีวรรณกลิ้งมาอีกทางหนึ่ง ธนวัติรีบตามเข้าไปล็อกตัว
“มานี่”
“ปล่อยฉันนะ”
ดนัยกลิ้งไปอีกมุม ไหล่ข้างที่เป็นแผล กระแทกกับต้นไม้ เลือกทะลักซึมจากแผล
“โอ้ยย”
“ฆ่ามัน!!”
ธนวัติสั่งเลาซาเสียงเหี้ยม เลาซาไสช้างเข้าไปหาดนัย ใกล้จะดึงตัว ฉวีวรรณกรี๊ดลั่นอย่างจะเป็นจะตาย
“ดนัย!!”
ช้างใกล้เข้ามาเกือบจะถึงดนัย เลาซาไสช้างอย่างคึกคะนอง หัวเราะพุ่งเข้าไป จังหวะนั้นจู่ๆวินยา ก็ทะยานแหวกอากาศจากต้นไม้สูงตรงมุมหนึ่งของบริเวณนั้น เข้ามาถีบหน้าเลาซากระเด็นตกจากหลังช้าง
วินยา คนนี้คือนักรบสาวกะเหรี่ยง วัย22ปี สวย เก่งต่อสู้ เด็ดเดี่ยว เมื่อพ่อถูกฆ่าตาย น้องชายหายสาบสูญ จึงต้องรับหน้าที่เป็นผู้นำ ต่อสู้กับพวกค้าไม้เถื่อน เป็นคนเอาจริงเอาจัง แต่ภายในใจก็มีความอ่อนไหว ต่อมาวินยาแอบหลงรักดนัย แต่ไม่กล้าเปิดเผยความรู้สึก
วินยาตีลังกาม้วนลงไป ตั้งหลัก อย่างเท่สวยงาม เลาซาเงยหน้าขึ้นมา เรียกเสียงเครียดด้วยความเจ็บใจ
“วินยา!! แส่ทำไมวะ”
“ข้ามีหน้าที่รักษาป่า แล้วก็จัดการคนชั่วๆ อย่างพวกแกนะสิ”
วินยาหันไปมองสบตาดนัย
“หนีไปซะ”
พวกบรรดาสมุนธนวัติกรูเข้ามาจะทำร้ายวินยา แต่วินยาเตะต่อยคล่องแคล่ว ธนวัติยกปืนขึ้นมาจะยิงดนัย ฉวีวรรณเห็นจึงรีบกัดมือธนวัติ แล้วสะบัดออก รีบวิ่งเข้าไปหาดนัย
“ดนัย ไปเร็ว”
ฉวีวรรณรีบประคองดนัยลุกขึ้นมา ดนัยขืนตัวไว้
“ยังไปไม่ได้” ดนัยปฏิเสธ
“ทำไม”
จังหวะนั้นวินยาโดนถีบกระเด็นมาล้มตรงแถวหน้าดนัย เลาซางัดมีดออกมาจะแทงซ้ำ ดนัยรีบพุ่งเข้าไป ขวางจับมือเลาซาบิดอย่างแรงจนมีดร่วง ดนัยซัดเลาซาจนล้มลงไปแล้วหันมามองวินยา
“ฉันหนีไปคนเดียวไม่เป็น ถ้าจะรอดก็ต้องรอดด้วยกัน”
วินยามองดนัยอย่างปลื้มในแววตานิดหนึ่ง ทั้งๆ ที่ดนัยจะหนีไปได้แล้วก็ได้ แต่ยังแมนโครตกลับมาช่วยอีก ธนวัติยกปืนขึ้นมาเล็งจะยิงดนัย ฉวีวรรณมองเห็นก่อนร้องตะโกนลั่น
“ดนัย”
ไวเท่าความคิด วินยามองไปที่ช้างเอามือจับปาก แล้วผิวปากเสียงดังปรี๊ดเป็นสัญญาณ ช้างยกขาชู ร้องแปร๊น พุ่งไปทางธนวัติ และสมุนที่เหลือ ธนวัติ หน้าเหวอ ร้องลั่นกลัวตาย ธนวัติยกปืนจะยิง ถูกช้างปัดปืนกระเด็น แล้วฟาดงวงใส่จนร่างธนวัติกระเด็นไปอีกทางหนึ่ง ธนวัติรีบร้องให้สมุนช่วย
“พวกแก จัดการมันสิ”
สมุนคนหนึ่งวิ่งเข้ามา ช้างเอางวงรัดแล้วจับโยนไป กระแทกพื้นเจ็บร้องครวญคราง ธนวัติเห็นท่าไม่ดี รีบวิ่งเผ่นแน่บออกไป
“ช่วยด้วย” ธนวัติร้อง
วินยาหัวเราะเยาะ
“สมน้ำหน้า พวกทำลายป่านัก”
“ไปกันเถอะ” วินยาหันมาพูดกับดนัย
ดนัยทำท่าจะไป แต่แล้วก็ทรุดตัวลง เลือดจากแผลไหลทะลักอาบแขน
“โอ้ยย”
วินยาตกใจ ฉวีวรรณก็ตกใจขยับจะเข้าไปจับตัวดนัย แต่วินยาตัดหน้าประคองดนัยไว้ก่อน
“แข็งใจไว้ ฉันไม่ปล่อยให้นายตายแน่”
วินยาบอกอย่างมุ่งมั่น แล้วดึงตัวดนัยไปต่อหน้าฉวีวรรณ ที่ได้แต่มองตามอย่างอึ้งๆ สีเจื่อนสนิท
อ่านต่อพรุ่งนี้