xs
xsm
sm
md
lg

เพลงรักบ้านนา ตอนที่ 14

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เพลงรักบ้านนา ตอนที่ 14

พรใช้ปืนยาวยิงขึ้นฟ้า เดินแกมวิ่งเข้ามา โดยมีสดตามมาติดๆ คอยห้ามปรามสามี

“หยุด หยุดเดี๋ยวนี้ เฮ้ย ข้าบอกให้หยุด” พรโวยวาย
“แก ทำอะไรน่ะ อย่ายิงนะ ไม่เห็นหรือไอ้ศรีไพรมันอยู่ ศรีแพรมันก็อยู่ ไอ้แสนก็อยู่” สดร้องห้าม
“ดี อยู่กันพร้อมหน้ายังงี้แหละ ข้าจะได้ฆ่าหมู่ซะให้สิ้นซาก”
ศรีไพร ศรีแพรปราดเข้ามาแย่งปืน พรไม่ยอม ยังยิงขึ้นฟ้า ทุกคนทุ่มตัวลงนอนกับโคลน เพื่อหลบลูกปืน ต่างส่งเสียงร้องโกลาหลด้วยความหวาดกลัว
“พ่อ อย่ายิง นี่ฉันเองพ่อ พ่อจะยิงทำไม ลูกปืนมันถูกนักหรือ เอาปืนมานี่” ศรีไพรพยายามแย่ง
“ไม่ให้โว้ย ข้าจะฆ่าไอ้ทวนไอ้เมิน”
ศรีแพรตกใจ
“ว๊าย พ่อจ๋า อย่านะ อย่าฆ่าพี่เมินของฉัน พ่อฆ่าพี่เมินตายแล้วฉันจะอยู่ได้ยังไง”
“ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่า ไอ้เมินมันตายแล้วเอ็งจะอยู่ได้มั้ย มา...ข้าจะยิงมันแล้วยัดข้อหาบุกรุก”
ทวนร้องเสียงหลง
“พ่อจ๋า อย่า...อย่าช้า...ยิงเลย”
เมินงงที่ทวนอ้อนเหลือเกิน ศรีไพรพยายามอธิบาย
“พ่อ ไม่เอาน่า นายทวนกับนายเมินเขาไม่ได้เป็นผู้บุกรุกหรอก เรามาจับปูจับปลาเอาไปแจกชาวบ้านที่เขาไม่มีอะไรจะกิน จะได้ช่วยคนบ้านนาให้รอดตายไงล่ะ”
พรชะงัก มองหน้าศรีไพร ศรีแพรเห็นอย่างนั้นรีบช่วยยืนยัน
“จริงจ้ะพ่อ ที่น้องทำไปก็เพราะเจตนาดีนะ เรามีข้าวปลาอาหาร เราจะไม่แบ่งปันให้คนที่เขากำลังอดเลยหรือ”
“ฟังลูกพูดมันก็มีเจตนาดีนะ อย่าเอาแต่โมโหนักเลยตาพร รู้จักฟังเด็กมันพูดบ้างเถอะ” สดปราม
“ครับ คุณพ่อ ศรีไพรเห็นว่าในนานี่มีปลาช่อนปลาดุก ก็เลยมาช่วยกันจับไปแจกจ่ายให้ชาวบ้าน เอ้อ...ศรีแพรก็เลยมาช่วยด้วย ทำให้พี่ทวนมีกำลังใจจะทำความดีจ้ะ”
ทวนมองหน้าศรีแพร พรยื่นปากกระบอกปืนไปจ่อที่ปลายคางของทวน
“หยุด อย่ายุ่งกับลูกสาวของข้า เอ็งจะช่วยชาวบ้านพ่อก็ไม่ว่า แต่...ศรีแพร...”
“ฉันเหรอ“ ศรีแพรชี้ที่ตัวเอง
“เออ เอ็งนั่นแหละตัวดี กลับบ้าน...”
“พ่อ พ่อบังคับฉันกลับบ้าน ก็ทีไอ้ศรีไพรล่ะ”
“หน้าตามันมอมแมมยังกับไอ้ไฉไลเฉิดยังงั้น ใครจะไปทำอะไรมัน แต่เอ็ง…พ่อต้องเก็บเอ็งไว้ให้ดี เอ็งจะได้แต่งงานกับพวกอำเภอ”
“พ่อ...” เมินอึ้ง
“ไม่ต้องมาเรียกข้าว่าพ่อ ไป...กลับบ้านเดี๋ยวนี้”
“ไปเถอะลูก เอ็งก็รู้นิสัยพ่อเอ็ง เดี๋ยวหลังลาย” สดตัดบทอย่างไม่อยากให้มีปัญหา
“ไปก็ได้ ฉันกลับก่อนนะพี่เมินพี่ทวน ม่วยเนี้ยว”
ท่าทีศรีแพรอาลัยอาวรณ์เมิน พรยิงปืนขึ้นฟ้า ทุกคนสะดุ้ง หาที่หลบลูกปืนชุลมุน
“ยังจะร่ำไรอีก หรือว่า...ต้องให้ข้ายิงไอ้พวกนี้ทิ้งทีละคน เอ็งถึงจะยอมกลับบ้าน”
“แกนี่มันโหดจริงๆ นะตาพร ลูกสาวคนโปรดของแก ไอ้ศรีไพรน่ะ…” สดกระแทกเสียงประชดพร “มันได้ขึ้นคานแน่...”
สดดึงมือศรีแพรกลับไป พรรีบตาม ทุกคนเงียบกริบ ค่อยๆหันมามองหน้าศรีไพรที่ยกมือขึ้นลูบโคลนออกจากใบหน้า มองตามพรไปด้วยความน้อยใจ

สดดึงมือศรีแพรเดินเข้ามาในบริเวณบ้าน พรแบกปืนระวังหลังท่าทีเคร่งเครียด ศรีแพรกระฟัดกระเฟียด ที่ถูกบังคับให้กลับบ้าน ไม่ให้คบกับเมิน
“พ่อ เมื่อไหร่พ่อจะเข้าใจฉันเสียทีฉันว่ารักพี่เมิน...รักพี่เมิน”
“รักไม่ได้ ไม่ให้รัก คนไม่มีหัวนอนปลายตีนอย่างไอ้พวกนั้น เอามาทำอะไรได้ล่ะ” พรโวยวาย
“ก็แกจะให้ลูกมันเอาไอ้เมินไปทำอะไรล่ะ ฉันว่าแกน่ะ...หวงลูกสาวขึ้นทุกวันนะ ไอ้เมินมันก็ไม่ได้เสียหายอะไรสักหน่อย มันมาช่วยทำนามันก็ขยันขันแข็งดี” สดออกความเห็น
“ยายสด นี่แกหลงคารมปากไอ้เมินคนกระล่อนแล้วหรือ”
พรว่าอย่างไม่พอใจ ศรีแพรรีบแย้ง
“พี่เมินเขาไม่ใช่คนกระล่อนหรอกพ่อ”
“หยุดนะ เดี๋ยวพัดโยงขื่อลงหวายซะหรอก”
“พ่อ ทำไมพ่อถึงไม่ยอมเข้าใจอะไร”
สดส่ายหน้าอย่างรำคาญ
“คนไม่เคยมีความรัก จะเข้าใจอะไรล่ะ ไป ขึ้นเรือน เตรียมผักเตรียมน้ำพริกไปถวายหลวงตาพรุ่งนี้ดีกว่า ลูก เกิดชาติหน้าฉันใด ฉันกรวดน้ำคว่ำขัน ไม่เอาแล้ว...แกน่ะ”
สดมองค้อนประชดพร ก่อนดึงมือศรีแพรขึ้นเรือนไป พรเข่นเขี้ยว ขึ้งโกรธพวกของทวนและเมิน

ศรีไพรหิ้วปลาพวงเล็กๆ มาส่งเสียงเรียกช้อยหน้าบ้านโดยมีทวนและแสน หิ้วพวงปลาเพื่อไปแจกจ่ายชาวบ้าน
“น้าช้อย น้าช้อยจ๋า น้าช้อยอยู่มั้ย”
ช้อยโผล่หน้าออกมา แล้วหน้าตื่น เมื่อเห็นว่าเป็นศรีแพร เหลียวหน้าเหลียวหลังอย่างกังวล ศรีไพรมองอย่างเข้าใจ
“ถ้าน้ากลัวเศรษฐีบุญช่วยเห็น ก็ไม่ต้องลงมาหรอก ฉันเอาปลานี่แขวนไว้หน้าบ้านของน้านะ น้าจะได้เอาไว้แกงให้ลูกกิน ไป...”
“ไปบ้านไหนต่อล่ะ” ทวนถาม
“บ้านไหนก็ได้ เอาไปแขวนไว้หน้าบ้าน”
แสนงง
“พี่จะแจกไปทั่วหมู่บ้านเลยเหรอ”
“คนละตัวสองตัว แบ่งปันกันกินพออิ่ม ไปเถอะเดี๋ยวจะค่ำ”
ศรีไพรและแสน หิ้วพวงปลาออกไปอย่างมีความสุข ทวนมองตามไปด้วยสายตาอ่อนโยนลง เริ่มเห็นคุณความดีในตัวศรีไพร

ทอก หมอกและเมิน ช่วยกันหุงข้าวต้มแกง หลังออกไปช่วยศรีไพรหาปลา ทุกคนร้องเพลงกันอย่างสนุกสนาน แล้วชะงักกึก เมื่อเห็นศรีไพรและแสนมาส่งทวนที่เพิง
“เอ้า นี่ส่วนของนาย ไม่มีข้าวสารฉันอนุญาตให้ไปตวงข้าวเปลือกได้ที่ยุ้งของฉัน” ศรีไพรยื่นพวงปลาให้ทวน
“ผมกินข้าวเปลือกไม่เป็นหรอก ผมไม่ใช่ไก่”
“ก่อนเป็นข้าวสาร ข้าวท่านก็ต้องเป็นข้าวเปลือกมาก่อน คนโบราณไม่มีโรงสีท่านก็ใช้ครกตำข้าว ตำข้าวเปลือกก่อนเอามาฝัด”
ทวนงงๆ เมินหัวเราะ
“ไม่รู้อีกล่ะซี ว่าฝัดน่ะ...คือการแยกเปลือกกับแยกเมล็ดข้าวออกจากกัน ไง…พ่อหนุ่มชาวกรุง พ่อสำอางค์องค์ทรงฤทธ์ แล้วยังงี้จะเป็นเขยชาวนาได้ยังไงมันต้องฉันซี...มันต้องพี่เมินคนนี้ ตำโป้ก...ตำโป้ก...ขยันขันแข็งแรงฤทธิ์ มีคุณสมบัติครบถ้วน...อ้า...เป็นพี่เขยของศรีไพรได้หรือยังจ๊ะ”
เมินหันไปยิ้มหวานให้ศรีไพร
“ยัง…”
“อ๊าว ทำไมถึงยังล่ะ”
“ก็เพราะไม่รู้ว่าขยันขันแข็งแรงฤทธิ์หรือว่า...ดีแค่คุย”
“นั่นไง ดีแต่คุยหรือเปล่า ไอ้ที่ว่าตำโป๊ก...ๆๆ น่ะ”
ทวนหัวเราะร่า เมินหน้าเสีย เริ่มจนมุม ศรีไพรก้าวเข้ามาหยุดตรงหน้าเมิน เชยคางเมินขึ้น
“มันต้องพิสูจน์...”
เมินอึ้งๆว่าศรีไพรจะมาไม้ไหน

เมินตำข้าวเปลือกเพื่อให้เปลือกหลุดล่อนออกจากเมล็ด ก่อนที่ข้าวจะเป็นข้าวกล้อง อยู่ที่ลานบ้านพร เมินนั้นทั้งเหนื่อยทั้งร้อนทั้งไม่คุ้นเคย ทวนส่งเสียงเย้ยหยัน
“เร็วหน่อยโว้ยไอ้เมิน ไหนคุยว่าขยันขันแข็งแรงฤทธานักยังไงล่ะเพื่อน นี่ถ้าแกเป็นผู้หญิง ตำนานๆ โป้กยังงี้ จ้างให้ก็ไม่มีใครมาขอแกไปเป็นผะ...เอ๊ย...เป็นลูกเป็นเมีย มันต้องตำโป้กๆๆ ถี่ๆๆ คนผ่านไปผ่านมาเขาจะเก็บไปลือว่าไอ้หมาเมินตัวนี้ ขยันจริงจริ๊ง...ตัวเอ๊ง...ตัวเอง…”
ทวนทำสุ้มเสียงล้อเลียนเมิน เมินรัวตำถี่ ศรีไพรเดินนำหน้าแสนเข้ามา ยิ้มอย่างพอใจ
“ตอนนี้เข้าใจหรือยังว่าข้าวท่านเป็นของสำคัญเสียยิ่งกว่าเงิน ขาดเงินเราอยู่ได้ แต่ถ้าขาดข้าวเราคนไทยก็อยู่ไม่ได้ พระองค์เจ้าสิทธิพร ท่านเคยกล่าวไว้ว่า เงินทองเป็นมายา ข้าวปลาเป็นของจริง”
“แต่ตอนนี้ท้องร้องจ๊อกๆ หิวข้าวแล้ว” เมินบอกยิ้ม
ศรีแพรยกสำรับอาหาร เจาะจงมาให้เมิน
“พี่เมินจ๋า ฉันทำแกงคั่วปลาหลดกับหน่อไม้สับมาให้พี่เมินจ้ะ โถ พี่เมินทำงานหนักคงเหนื่อย เหงื่อโชกไปทั้งตัวเลย ฉันเช็ดเหงื่อให้พี่เมินนะ”
“ตรงนี้ด้วยศรีแพร นี่...ตรงหัวใจพี่นี่”
“เซี๊ยว นี่ดีนะพ่อกำลังหลับ แม่เลยยอมให้ฉันทำสำรับให้พี่ พี่กินน้ำฝนนี่ก่อนซีจ๊ะ ฉันลอยดอกมะลิมาให้ด้วยนะ”
“ห๊อม...หอม...”
“ไปหอมไกลๆ แก้มฉันหน่อยซีพี่เมิน”
“ก็แก้มของศรีแพรหอมจริงๆนี่”
เมิน ศรีแพรกระจุ๋งกระจิ๋งจีบกัน โดยไม่สนใจศรีไพร ทวน ทอกและหมอกเลยแม้แต่น้อย”
ทุกคนต่างมองมายังศรีแพร ศรีแพรป้อนอาหารให้เมิน ศรีไพรค่อยๆหันไปมองหน้าทวน เพราะอยากรู้ว่าทวนจะเสียใจไหม แต่ในเวลานี้ ทวนกลับรู้สึกเฉยๆ เพราะใจเริ่มเอนเอียงมารักศรีไพรแล้ว


บุญช่วยเดินนำหน้าชิงชัย ชาริณี สไบและแหว่งลงมาจากเรือน ขณะที่กล่ำ ช้อยและชาวบ้าน รออยู่ที่ลานบ้าน ต่างมีสีหน้าทุกข์ยากลำบาก
“เอาเลย ไปตวงข้าวเปลือกในยุ้งของข้าคนละถัง เอาไปยาไส้กันตาย ใครต้องการเงินก็เบิกได้ที่แม่สไบ เห็นมั้ยว่าข้าดูดำดูดีพวกเอ็งกับชาวนาแค่ไหน จะหาใครเมตตากรุณาอย่างข้าเศรษฐีบุญช่วยไม่มีอีกแล้ว” บุญช่วยชมตัวเองเต็มที่
ชาริณีรีบเสริม
“เพราะฉะนั้น...ต้องสำนึกในบุญคุณของพ่อฉันด้วยนะ จะมาอ้างว่าข้าวพันธุ์นี้ไม่มียาง เลยกินแล้วไม่...สำนึก...ไม่ได้”
“ไอ้ศรีไพรมันมีแต่ปลาพวงเดียว มันช่วยให้อิ่มท้องได้สักกี่มื้อเชียววะ แต่ก่อนที่พวกเอ็งจะไปตวงข้าว...”
ชิงชัยแกล้งพูดค้างไว้ สไบรีบพูดต่อ
“โฉนด ไหนล่ะ...โฉนด”
ทุกคนอึ้ง ช้อยรีบถาม
“เอ๊ะ โฉนดอะไรกัน แม่สไบ พวกเรามาขอข้าวไปกรอกหม้อ เพราะไม่มีเงินซื้อข้าวกินจริงๆ”
“ก็โฉนดที่นาของพวกแกยังไงล่ะ ไม่มีโฉนดแล้วจะมาตวงข้าวเปลือกไปกินได้ยังไง”
“ใช่ เอาโฉนดมาทำขายฝากไว้ มีเงินแล้วค่อยมาไถ่คืน โฉนดอยู่กับชาวนาทำประโยชน์อะไรก็ไม่ได้ แต่ถ้าอยู่กับข้าแล้วละก็ พวกเอ็งมีข้าวกิน” บุญช่วยเกลี้ยกล่อม
กล่ำหันมาสั่งช้อย
“เอาโฉนดให้ท่านเศรษฐีไป ข้าจะกู้เงินท่านเศรษฐีเพิ่ม”
“แต่โฉนดเป็นสมบัติของพ่อแม่นะ” ช้อยแย้ง
“แล้วยังไงล่ะ ตอนนี้พ่อแม่ไม่อยู่แล้ว มันก็เป็นของเรา ใครมีปัญหาอะไรวะ กะอีแค่เอาโฉนดขายฝากแลกข้าว” กล่ำโวยวาย
“ไง จะเอาหรือไม่เอา ใครไม่เอาโฉนดมาก็กลับไปอดตายไป๊” สไปไล่
ช้อยและชาวนาคนอื่นๆ ต่างมองหน้ากันด้วยความลำบากใจ


ทวนและเมินต่างเคร่งเครียด เมื่อรู้ว่าชาวบ้านหมดทาง ต้องเอาโฉนดที่นาไปขาย
ให้กับเศรษฐีบุญช่วย ขณะที่นั่งอยู่กับมหาเฉื่อยที่ร้านเจ๊กตง
“ลำบากใจแทนชาวนาโว้ย ไม่เอาโฉนดไปขายฝากก็ไม่มีข้าวกิน แต่ถ้าเอาโฉนดไปขายฝาก ไอ้ขายฝากนี่มันยึดรวดเร็วทันใจนัก” มหาเฉื่อยถอนใจ
“ไม่มีทางเลือกทางอื่นเลยหรือ ลุงมหาเฉื่อย” ทวนถาม
“จะมีทางไหนวะ”
ศรีไพรและแสนเดินเข้ามาฟังเงียบๆ เจ๊กตงบอกทุกคน...
“มันมีทางรอดอยู่ทางเดียว คือต้องเป็นพวกท่านเศรษฐีเท่านั้น ถึงจะมีอภิสิทธิ์พิเศษได้เงินกู้ อั๊วสนับสนุนวิธีของท่านเศรษฐี พอชาวนาได้เงินกู้ จะได้มาใช้หนี้ร้านอั๊ว อั๊วก็เซ็งลี้ฮ้อ ชาวนาก็มีเครดิต”
“เตี่ย คิดเป็นเรื่องเดียวเรื่องรวยนะ” เนี๊ยวรำคาญ
“อ๊าว ก็เตี่ยอพยพมาจากเมืองจีนเพื่ออะไร ไม่ใช่เพื่อการท่องเที่ยวนะโว้ย อาม่วยเนี้ยว แต่เพื่อทำธุรกิจ”
“แล้วนี่...ชาวบ้านก็เลยต้องเอาโฉนดไปขายฝากกับ เศรษฐีบุญช่วยทั้งหมู่บ้านน่ะซี “เมินถาม
ศรีไพรก้าวเข้ามา
“เรายอมให้ชาวบ้านทำยังงั้นไม่ได้นะ”
เจ๊กตงหันมาโวย
“อีกแล้ว นี่ลื้ออีกแล้วหรือวะ ไอ้ศรีไพร อั๊วบอกแล้วใช่มั้ยห้ามไม่ให้ลื้อเหยียบเข้ามาในร้านของอั๊ว ลำพังอาทวนอาเมิน อั๊วก็ลำบากใจเพราะนับถือมหาเฉื่อย”
ศรีไพรไม่พอใจ
“ที่นี่เป็นร้านค้า ใครจะไปจะมาต้องได้”
“ใช่ อั๊วเห็นด้วย เราเป็นร้านค้า เป็นที่รวมของชาวบ้านนา เตี่ยต้องเปิดใจให้กว้าง ไอ้ศรีไพรมันพยายามช่วยชาวบ้านอยู่” เนี้ยวเข้าข้างศรีไพร
“แต่ที่ชาวบ้านไม่ช่วยตัวเอง ก็เพราะกลัวกลัวอำนาจป่าเถื่อน ของเศรษฐีบุญช่วย ถ้าเรายอมให้ที่ดินทุกผืนตกเป็นของเศรษฐีบุญช่วย มันจะใหญ่คับฟ้า ถึงตอนนั้น...คนบ้านนาจะไม่มีที่ซุกหัวนอน...”
ศรีไพรบอกด้วยความรู้สึกสะเทือนใจ คนอื่นๆพลอยอึ้งไปด้วย

วันต่อมา ชาวบ้านทยอยกันนำโฉนด มาส่งให้สไบเพื่อแลกข้าวเปลือก ช้อยกำโฉนดที่นาแน่น ร้องไห้ไปด้วย กล่ำเร่งให้ช้อยส่งโฉนดให้สไบ เพราะต้องการเงินไปซื้อยาเสพติด
“เอ็งจะร้องไห้ทำไมวะ ข้ายังไม่ตายซักหน่อย แต่ถ้าเอ็งมัวแต่ยึกยัก มีหวังข้าลงแดงตาย”
“แต่ที่นานี่...เราต้องทำกินนะ...”
บุญช่วยรีบบอก...
“ข้าก็ให้เอ็งทำกิน มีเงินมาไถ่ก็เอาโฉนดคืนไป เงินที่ไอ้กล่ำผัวเอ็งเอาไป เท่าไหร่แล้ว...”
สไบรีบบอก
“หกหมื่น แลกกับที่นาแปลงเล็กๆไม่เห็นจะคุ้มเลย ไม่เอาก็ถอยไป จะได้ไม่เสียเวลาคนอื่น”
ศรีไพรเดินนำหน้าแสนเข้ามา รีบบอก...
“คิดดูให้ดีนะน้า ขายฝากน่ะมันยึดเร็วนะ แค่น้ามาไถ่คืนช้าแค่วันเดียวนายทุนก็มีสิทธิ์ยึดแล้ว”
ชิงชัยหันไปมอง
“ไอ้ศรีไพร เอ็งเข้ามาได้ยังไงนี่”
ชาริณีโบกมือไล่
“ออกไป จะออกไปดีๆ หรือจะให้คนของพ่อฉัน ลากแกออกไป”
ศรีไพรพยายามพูดกับช้อย
“น้า คิดให้ดีนะ น้าเอาโฉนดมาขายฝากแล้ว น้าจะมีปัญญาไถ่คืนหรือ”
บุญช่วยตวาดถาม
“หรือว่าเอ็งรับรองปากท้องของคนพวกนี้ได้ เอ็งมีข้าวเปลือกอยู่ในยุ้งสัก เท่าไหร่กันเชียว ช่วยให้ชาวนาอิ่มได้สักกี่มื้อ”
ศรีไพรเดินเข้ามาจ้องหน้าบุญช่วยอย่างเอาเรื่อง แล้วหันไปประกาศ
“ทุกคน...ฟังทางนี้ เก็บโฉนดเอาไว้ แล้วไปตวงข้าวเปลือกที่ยุ้งของฉัน”
“พี่ พี่ศรีไพร...” แสนอุทานด้วยความตกใจ

ชาวนาหันมามองหน้ากัน ต่างลังเล

อ่านต่อวันพรุ่งนี้








เพลงรักบ้านนา ตอนที่ 14 (ต่อ)

พรยกผ้าขาวม้าขึ้นซับเหงื่อเพราะเสียดายข้าว ขณะมองไปยังทวน เมิน ทอกและหมอก ที่กำลังช่วยกันตวงข้าวเปลือกส่งให้ชาวบ้าน

“พ่อจ๋า นี่จ้ะน้ำฝน ฉันลอยดอกมะลิให้ด้วย” ศรีแพรส่งขันน้ำให้
พรมองค้อนไปทางสด
“ทีหลังเอาดอกตำแยโรยมาเลย ข้าจะได้คันปาก ไม่ต้องหุบอยู่ยังงี้”
“ตาพร แกนี่เป็นยังไงนะ มันก็พี่น้องเราทั้งนั้น นั่นก็หลานชายแก นั่นก็สะใภ้ โน่นก็ลุง นี่ก็พี่น้องฝ่ายย่า คนบ้านนาด้วยกันทั้งนั้น”
“พ่อทำนาแต่ไม่ได้ขายข้าว เพราะเศรษฐีบุญช่วยไม่ซื้อข้าวพ่อ พ่อจะปล่อยให้ข้าวท่านฝ่อเพราะไม่มีคนกินหรือยังไง”
ช้อยเมียงๆ มองๆ ไม่กล้าเข้ามาขอข้าว ศรีไพรจึงเป็นฝ่ายเดินเข้าไปหา ช้อยหลบสายตา
“น้า ไปตวงข้าวซี แบ่งๆกันไปกินกันตายนะ”
“ไม่ ข้าไม่...”
“ทำไมล่ะน้า หรือว่า...น้า...”
ช้อยร้องไห้โฮ
“ไอ้กล่ำมันเอาโฉนดไปขายฝากเศรษฐีบุญช่วย มันจะเอาเงินไปซื้อยา โจรปล้นยังเหลือบ้าน ไฟไหม้ยังเหลือที่ดิน แต่ไอ้ติดยานี่...มันไม่เหลืออะไรเลยโฮ...”
“โธ่ น้า...”
ศรีไพรดึงตัวช้อยเข้ามากอดไว้ด้วยความสงสาร ทวนหันมามองศรีไพรด้วยแววตาอ่อนโยน

สดและศรีแพร ประคองร่างของพรขึ้นเรือน เพราะพรมีอาการความดันกำเริบ เพราะเครียดที่ศรีไพรตวงข้าวเปลือกแจกจ่ายชาวบ้านนา
“พ่อ พ่อนอนพักก่อนนะ อย่าเครียดนะพ่อนะ เครียดมากเดี๋ยวพ่อหน้ามืดเป็นลม”
สดพยายามอธิบาย
“ทำทานน่ะมันเป็นกุศล ช่วยคนอื่นเป็นมงคลกับชีวิต แกจะขี้เหนียวไปถึงไหนนะ ตาพร”
“ข้าว ข้าวในยุ้งของข้าไม่มีเหลือแล้ว ไอ้ศรีไพร มันทำยังกับมันจะหาเสียงไปเป็นนักการเมือง”
“ข้าวหมดเดี๋ยวเราก็เกี่ยวใหม่ ยุ้งของพ่อเคยขาดข้าวเสียที่ไหน พ่อมีความขยันพ่อจะกลัวอะไร เดี๋ยวพี่ทวนพี่เมินเขาก็ช่วยเกี่ยวข้าวขึ้นยุ้ง”
ขณะเดียวกัน เสียงเมิน ร้องเพลงเกี้ยวศรีแพรอยู่ที่หน้าต่าง พรโกรธ สะบัดศรีแพรและสดออกไปคว้าปืนไล่ยิงเมินที่หน้าต่าง
“ไอ้เมิน เผลอไม่ได้เชียว เผลอทีไรร้องเพลงเกี้ยวลูกสาวข้าทุกที นี่แน่ะ...มันต้องยิงเป็นจังหวะ นี่...นี่แน่ะโว้ย”
สดและศรีแพรมองสบสายตากัน ต่างส่ายหน้าด้วยความเบื่อหน่ายในความขี้งก และขี้หวงของพร
เมื่อทุกคนกลับไปหมดแล้ว แสนเปิดประตูยุ้งข้าวโผล่หน้าออกมาตะโกนขณะที่ศรีไพรยืนพิงเกวียนรออยู่
“พี่ ดีใจมั้ย ข้าวหมดยุ้งเลยจ้ะ แล้วพรุ่งนี้เราจะเอาข้าวที่ไหนหุงล่ะ”
“ก็ไปซื้อข้าวร้านเจ๊กตงมาหุง”
“ก็เจ๊กตงตัดสวาทขาดสะบั้นกับพี่แล้วนี่ นี่ถ้าเศรษฐีบุญช่วยรู้เข้า เศรษฐีบุญช่วยจะทำยังไง”
“นั่นน่ะซี ทำยังไง”
ศรีไพรถอนหายใจเฮือก เริ่มกังวลระแวง

เมื่อบุญช่วยรู้ว่าศรีไพรรู้ช่วยเหลือชาวบ้าน ก็โมโหมาก จึงสั่งให้หลิมกับเลิศ ไปเผายุ้งข้าวของศรีไพร และเผาร้านเจ๊กตงด้วย เพราะจะได้ไม่ต้องที่ซื้อข้าว
ค่ำคืนนั้น หลิมกับเลิศ จึงแอบเข้าไปเทน้ำมัน เพื่อจะเผายุ้งข้าว
ทันใดนั้นศรีไพรกระโดดเข้ามาเตะที่ถังน้ำมันกระจาย แสนวิ่งเข้าไปกัดมือของเลิศที่กำลังจะขีดไม้ขีดไฟ ศรีแพรใช้ไม้รัวตีหลิมและเลิศ ต่างต่อสู้กัน ไฟเริ่มลามจากกองฟางไปยังน้ำมันที่หก ลุกพรึ่บขึ้น พรและสดเห็นเหตุการณ์ตะโกนดัง...
“เฮ้ย อะไรกันวะ นั่นใครน่ะ ใครทำอะไรกับยุ้งข้าวของข้า”
“เร็ว ตาสด ไฟ...ไฟกำลังไหม้ยุ้งข้าว แกไปดับไฟ ฉันจะไปตามชาวบ้านมาช่วยกัน”
สดวิ่งออกไป หลิมร้องตะโกน
“เฮ้ย ถอยโว้ย”
หลิม เลิศวิ่งหนีออกไป ศรีแพร ศรีไพร แสนช่วยกันดับไฟ
ช่วงเวลาเดียวกันนั้น ขณะที่ทวน เมิน ทอก และหมอกกำลังนอนหลับก่ายกันอยู่หน้าเพิง เนี้ยววิ่งลัดป่าช้าส่งเสียงร้องตะโกนอย่างตื่นตระหนก
“พี่ทวน พี่ทวนช่วยด้วย ช่วยเตี่ยดับไฟที ไฟ...ไฟไหม้”
ทุกคนสะดุ้งตื่น ร้องออกมาพร้อมกัน
“ไฟไหม้”
“ไฟไหม้ อยู่ๆ มันก็ลุกพรึ่บขึ้นมา เนี้ยวเลยวิ่งมาตามพี่ทวน ช่วยด้วยช่วยเตี่ยด้วย”
“ไป เร็ว ไฟไหม้”
ทวนบอกแล้ววิ่งนำไป
“เฮ้ย รอด้วย”
เมิน และทุกคนวิ่งตามทันที

ศรีไพร ศรีแพร พร และแสนช่วยกันดับไฟอย่างร้อนใจ
“เฮ้ย ทางนี้โว้ย เอาน้ำมาสาดทางนี้ไอ้แสน” พรร้องเรียก
“เดี๋ยวก่อนพ่อ ทางนี้ก่อน…”
“ข้าบอกให้มาทางนี้ มันลามจะขึ้นไปถึงยุ้งข้าวแล้ว เร็วๆ ซีวะ”
ศรีแพรมองตะลึง
“พ่อ...ทำยังไงดีล่ะ มันลามขึ้นไปโน่นแล้ว”
“ไปเอาน้ำมาอีก ถอย ฉันเอง….”
“โธ่ ยุ้งข้าวของข้า ไม่มียุ้งข้าวแล้วข้าจะอยู่ได้ยังไง เพราะเอ็งเชียวชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านดีนัก”
“พ่อ ด่าอะไรตอนนี้ล่ะ ช่วยกันดับไฟ”ศรีไพรหันกลับมาโวย
“ไง ไอ้คนดีศรีสังคม ไฟไหม้ยุ้งข้าวยังงี้แล้ว มีมนุษย์หน้าไหนมาช่วยเอ็งมั้ยล่ะ”
ทันใด สดวิ่งนำหน้าชาวบ้านมาช่วยกันดับไฟ ตะโกนมาแต่ไกล
“มีซีวะ เอ้า พวกเรา ถังน้ำอยู่นั่น คนละไม้ละมือ ช่วยกันดับไฟโว้ย”
ชาวบ้านช่วยกันเข้ามาดับไฟ พรถูกชนเซถลาออกไป พรมองไปยังชาวบ้านที่เข้ามาช่วยดับไฟ ด้วยความรู้สึกตื้นตันใจ

ร้านค้าของเจ๊กตงถูกไฟไหม้วอดวายทั้งร้าน เจ๊กตงร้องไห้โฮ เนื้อตัวมอมแมมไปด้วยเขม่าไฟ
“โธ่ๆๆๆ ร้าน...ร้านค้าของเจ๊กตง ความหวังความฝันของเจ๊กตง ตั้งแต่อั๊วโล้สำเภามาจากเมืองจีน มีเสื่อผืนหมอนใบไข่ไก่อีกโหลนึง โธ่ๆๆๆ วอดวายไม่มีอะไรเหลือ โธ่ๆๆๆ อาม่วยเนี๊ยว”
เนี้ยวพยายามปลอบ
“เตี่ยจ๋า อย่าร้องไห้เลยจ๊ะเตี่ย เราก็ช่วยกันดับไฟจนสุดความสามารถแล้ว พี่ทวน พี่เมิน กับไอ้พวกนี้ก็มาช่วย...”
เจ๊กตงหันไปโวย
“แต่มาช้า ไปทำอะไรอยู่วะ อั้วให้ลื้อไปตามมันมาช่วยดับไฟ ทำไมมาเอาตอนไหม้หมดแล้วเหลือแต่ตอ”
เนี้ยวหน้าแหย
“ก็ทางจากร้านไปเพิงพักพี่ทวนพี่เมิน ต้องป่านป่าช้านี่ อั๊ว...อั๊วกลัวผี”
เจ๊กตงหันไปตี
“นี่แน่ะ...หน้าสิ่วหน้าขวานยังมีหน้ามากลัวอีก อีลูกม่ายรักลี ลื้อมัวแต่ไปทิ้งหูทิ้งตาให้อาทวนใช่มั้ย”
ทวนรีบห้าม
“เจ๊กตงครับ อย่าตีม่วยเนี้ยวเลยครับ มันเป็นเหตุสุดวิสัยจริงๆ มาถึงไฟก็ไหม้หมดแล้ว”
“ใช่ครับ แทนที่เจ๊กตงจะร้องไห้ฟูมฟาย มาช่วยกันสงสัยดีกว่าว่าไฟไหม้ได้ยังไง” เมินออกความเห็น
เจ๊กตงถอนใจเฮือก
“มันไหม้ยังไง อั๊วจะไปรู้ได้ยังไงวะ อยู่ๆ มันก็ลุกพรึ่บขึ้นมา”
เนี้ยวนึกขึ้นมาได้
“เตี่ย แต่ก่อนไฟลุกน่ะอั๊วได้กลิ่นน้ำมัน”
“น้ำมัน...งั้นต้องเป็นการวางเพลิงแหง๋เลย พี่ทวน” ทอกสงสัย
“ใช่ ไม่ยังงั้นไฟมันจะลุกท่วมร้านเจ๊กตงได้ยังไง ไฟช๊อตมันต้องค่อยๆไหม้” หมอกออกความเห็น
เจ๊กตงร้องไห้โฮ
“โธ่ๆๆ เจ๊กตง ทีนี้เจ๊กตงจะทำยังไงดี”
สุมิตรขับมอเตอร์ไซค์สรรพสินค้า ร้องเพลงมาแต่ไกล
“อีนี้...นมัสเตเจ๊กตง อีนี้...แขกแปลกใจ ร้านเจ๊กตงอยู่ที่ไหน ทำไมเหลือแต่ตอ”
“เมื่อกี้นี้แขกไปบ้านของอาศรีไพร อีนี้มีตอ เมื่อคืนนี้มีคนมาเผายุ้งข้าวบ้านอาศรีไพร”
“หา จริงเหรอ” ทวนตกใจ
“เฮ้ย พูดชุ่ยๆ น่ะไอ้บัง” เมินดุ
“อีนี้แขกพูดจริงๆ เมื่อคืนนี้ชาวบ้านแห่กันไปช่วยอาศรีไพรดับไฟ ไฟเลยไม่ไม้ยุ้งข้าว อีนี้...ไม่มีชาวบ้านมาช่วยเจ๊กตงดับไฟ ก็หมายความว่าไอ้มือเพลิงมันจงใจเผาร้านเจ๊กตง ไม่ให้ชาวบ้านหรืออาศรีไพรมาซื้อข้าวร้านเจ๊กตงน่ะซี”
ทวนพยักหน้า
“เข้าเค้า...”
“แต่ไม่เป็นอะไร๋ อีนี้แขกมีข้าวสารอาหารแห้งพร้อมจำหน่าย อ้า เจ๊กตงจะซื้อกี่ถุงจ๊ะ อาม่วยเนี้ยวคนสวยจ๋า”
ทวน เมิน ทอกและหมอก พากันวิ่งไปที่บ้านศรีไพร ขณะที่เจ๊กตงหันมาตวาดสุมิตรแว๊ด
“อีนี้...อยากจะกินหมูมั้ยวะไอ้แขก อีนี้...ไฟไหม้ร้านอั๊ว ลื้อจะทำวิกฤติของอั๊วให้เป็นโอกาสของลื้อใช่มั้ย นี่แน่ะ ไอ้บัง”
“อย่า...เตี่ย...”
เจ๊กตงไล่เตะต่อย สุมิตรรีบขึ้นรถหนีไป
“ใคร ใครวะ ใครเผาร้านเจ๊กตง อั๊วจะต้องสืบให้ได้ว่าใครเผาร้านของอั๊ว” เจ๊กตงหายใจหอบด้วยความแค้น

เจ๊กตงและเนี้ยว เนี้อซึ่งเนื้อตัวมอมแมมไปด้วยเขม่าไฟ คลานเข้ามาแอบฟังใต้ถุนบ้านบุญช่วย เพราะอยากรู้ว่าใครเป็นคนเผาร้านตัวเอง ขณะที่บุญช่วยโวยวายด้วยความโมโห ที่ชาวบ้านไปช่วยดับไฟไหม้ยุ้งข้าวศรีไพร
“มีชาวบ้านไปช่วยดับไฟหรือวะ ใคร ชาวบ้านหน้าไหนกล้าไปช่วยมัน แล้วร้านเจ๊กตงล่ะ”
“ร้านเจ๊กตงไหม้ทั้งร้าน พวกไอ้ทวนไอ้เมินมาช่วยไม่ทันครับ ท่านเศรษฐี” หลิมรายงาน
ชาริณีงง
“พ่อ พ่อสั่งไอ้พวกนี้ไปเผาร้านเจ๊กตงทำไม”
“ต้องเผา ไม่ให้ไอ้ศรีไพรมันไปซื้อข้าวที่นั่น”
เจ๊กตงขยับปากด่าเมื่อรู้ความจริง แต่เนี้ยวรีบปิดปากไว้ สไบพูดขึ้น...
“นี่ถ้าเจ๊กตงรู้...”
ชิงชัยแทรก...
“มันจะไปรู้ได้ยังไง ไอ้เจ๊กตงวันๆ มันเอาแต่งก ไม่มีใครในบ้านนาชอบขี้หน้ามันหรอก ดีเหมือนกัน เผาร้านเจ๊กตงซะ ได้ที่ป่าช้ามาทำศูนย์การค้า จะได้ไม่รกลูกตาร้านเจ๊กตง”
เจ๊กตงกระโดดเตะลมด้วยความแค้น แต่เนี้ยวรั้งไว้
“ไอ้หลิม เอ็งไปจัดการพวกชาวบ้านที่ช่วยไอ้ศรีไพรดับไฟ”
เนี้ยวยังปิดปากเจ๊กตง ขณะที่ฟังบุญช่วยสั่งอย่างตระหนก

ชาวนาหลายคนพากันเดินกลับบ้าน หลังช่วยศรีไพรดับไฟที่ยุ้งข้าว หลิมกับเลิศกระโดดออกมาขวางทาง พร้อมไม้หน้าสามในมือ
“ไอ้เลิศ ไอ้หลิม...” ชาวนาตกใจ
“ไหน ไอ้หน้าไหนวะ ที่กล้าขัดคำสั่งของท่านเศรษฐี สั่งแล้วใช่มั้ยไม่ให้ยุ่งกับไอ้ศรีไพร” หลิมตวาด
เลิศชี้หน้าชาวนา
“ใครวะ เอ็งใช่มั้ยที่ไปช่วยมันดับไฟเมื่อคืน”
“เออ พวกข้านี่แหละ เอ็งจะทำไมวะ ไอ้เลิศ” ชาวนาพูดอย่างไม่กลัว
เลิศขยับเข้าหา...
“ข้าจะสั่งสอนเอ็ง ที่เอ็งกล้าท้าทายท่านเศรษฐี หนอย...ไม่ยอมให้ท่านเศรษฐียึดโฉนดแล้วยังทรยศเจ้านายของข้าอีก เอาโว้ย ตีกบาลมันให้แบะ เอาเลือดหัวมันไปสังเวยท่านเศรษฐี”
หลิมกับเลิศขยับไม้ ชาวนาเตรียมสู้ เจ๊กตงและเนี้ยวโผล่เข้ามาพร้อมอาวุธไม้หน้าสาม เนี้ยวโยนให้ชาวนา
“เฮ้ย หยุด...อยากจะเจอพลังภายใน วิชามารสายฟ้าของเจ๊กตงมั้ย เจ๊กตงมาจากเมืองจีน อาชีพเก่าเป็นกุ๊กอยู่สำนักเขาคุนลุ้น”
เจ๊กตงชี้หน้า หลิมกับเลิศ ไม่พอใจ
“ไอ้เจ๊กตง”
“ใช้วิชามารสั่งสอนมันเลยเตี่ย มันเผาร้านเรา มันเผาความหวังความฝันของเตี่ย” เนี้ยวยุ
เจ๊กตงโกรธจัด ตะโกนลั่น
“สู้ๆๆ”
เจ๊กตง กับชาวนาช่วยกันต่อสู้กับพวกของหลิมและเลิศ ไล่ตีหลิมและเลิศออกไป เนี้ยวคอยซ้ำจนทั้งคู่หนีกระเจิงไป
“มันหนีไปแล้ว มันต้องไปฟ้องเศรษฐีบุญช่วยแน่ สู้กับไอ้พวกนี้ไม่เห็นจะยากเลย” ชาวนาบอก
“ว๊ากกก รู้ยังงี้อั๊วสู้กับพวกมันตั้งนานแล้ว ต่อไปนี้...อั๊วจะใช้กำลังภายในสู้กับพวกของเศรษฐีบุญช่วย” เจ๊กตงตั้งท่ามวยจีนหน้าตาเหี้ยมเกรียม

วันต่อมา ศรีไพรก้าวขึ้นมายืนบนลังสูงกว่าคนอื่นๆ ที่มาร่วมประชุมกันกลางลานกว้าง เธอกวาดสายตาแน่วแน่ไปยังทุกคน ท่าทีเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
“เราจะรวมตัวกันต่อสู้กับอิทธิพล กำจัดสิ่งชั่วร้ายที่กำลังทำร้ายชุมชนของเราเมื่อเรารวมตัวกัน กำลังของเราก็มีพอที่จะต่อต้านคนเลวได้ พี่น้อง...ความสามัคคีจะทำให้เรามีอำนาจต่อรอง อย่ากลัวอำนาจป่าเถื่อน เราต้องสู้กับมัน”
“หลวงตามา...” ทวนบอก
เมินแปลกใจ
“เอ๊ะ ก็นี่มันจะเพลแล้ว หลวงตาออกบิณฑบาตทำไมน่ะ”
ทุกคนหันไปมอง หลวงตาถือบาตรเดินนำหน้ามหาเฉื่อยเหมือนไปบิณฑบาตร ศรีแพรมองอย่างสงสัย
“หลวงตา...หลวงตามาบิณฑบาตรหรือจ๊ะ ก็นี่มัน...”
ทุกคนมองขึ้นไปยังตะวัน เลยเวลาเพลไปแล้วต่างแปลกใจ หลวงตาก้าวเข้ามาหยุดตรงหน้าชาวบ้าน
“เพลก็เรื่องของเพล อาตมามาบิณฑบาตร”
“แต่ว่า...อาหลวงพ่อ ก็ตอนนี้ตะวันขึ้นตรงหัว อ้า...เลยเวลาฉันเพลไปแล้วไม่ใช่หรือครับ หลวงพ่อ ท่านมหาเฉื่อย” เจ๊กตงถามอย่างแปลกใจ
มหาเฉื่อยถอนใจ
“ก็เตือนท่านแล้วท่านก็ไม่เชื่อ ท่านยืนยันจะมาบิณฑบาตโปรดสัตว์ให้ได้”
หลวงตามองไปที่ชาวบ้าน
“อาตมาขอบิณฑบาตอาวุธทุกชนิด”
ศรีไพรชะงักอึ้ง
“หลวงตา...”
“ไม่ว่าจะเป็นปืนผาหน้าไม้ มีด เหล็กขูดชาฟ สนับมือ ระเบิด เอ็ม 79 ทำทานกับพระสงฆ์ด้วยเถอะโยม ของพวกนี้มีไว้ในครอบครอง ก็รังแต่จะทำให้มีแต่ความรุนแรงเสียหาย คนดีๆ ต้องเดือดร้อนล้มตายไปโดยไม่รู้เรื่องด้วย”
“เอ้อ...หลวงตา”
ศรีไพรหันไปมองชาวบ้าน ทุกคนเงียบ หลบสายตาของหลวงตา ท่าทีของหลวงตาสงบนิ่ง ศรีไพรดึงปืนพกในเอวออกมาวาง คนอื่นๆ ดึงอาวุธที่ซ่อนไว้ในตัวออกมาวางกองรวมกัน หลวงตาหันไปหามหาเฉื่อย
“เอาละมหาเฉื่อย โปรดสัตว์แล้วอาตมาจะกลับไปจำวัดนะ ไอ้ทวนไอ้เมิน เอ็งเก็บอาวุธพวกนี้ไปไว้บนศาลา ไป...ท่านมหาเฉื่อย”
“ขอรับหลวงพ่อ โอย...กว่าชาวบ้านจะเข้าใจคำสอนของหลวงพ่อ เล่นเอาลุ้นกันเหนื่อย นิมนต์กลับไปจำวัดเถอะครับ หลวงพ่อ”
มหาเฉื่อยถอนหายใจอย่างโล่งอก เดินหิ้วปิ่นโตตามหลวงพ่อกลับไป แสนร้อนใจ เข้ามากระซิบศรีไพร ทวน เมิน ทอกและหมอกขนอาวุธตามไป
“พี่ ไม่มีอาวุธคู่มือแล้ว เราจะสู้กับพวกเศรษฐีบุญช่วยยังไง”
“มี นี่ไง...” ศรีไพรยิ้มอย่างมีเลศนัย ดึงหนังสติ๊กออกมาจากกระเป๋ากางเกง


บุญช่วยเจ็บแค้นที่ช้อยแข็งข้อไปเข้าพวกกับศรีไพร
“ไอ้พวกชาวนามันไปเข้าพวกกับไอ้ศรีไพร แล้วต่อต้านข้าหรือวะ สไบ...”
“ค่ะ”
“เอาโฉนดที่นาที่ชาวนาขายฝากไว้ มาตรวจดูวิว่าใครครบกำหนดยึด แกไปยึดมาให้หมด อย่าให้เหลือแม้แต่แปลงเดียว เราจะเปิดโอกาสให้ชาวนาเปลี่ยนใจอีกครั้ง ถ้าใครยังแข็งก็ยึดๆๆ แล้วไล่มันออกจากที่นา” บุญช่วยสั่งอย่งโกรธจัด
“จะได้รู้ว่าโทษที่กล้าอวดดีกับพ่อฉัน มันเป็นยังไง หนูจะจัดการเรื่องโฉนดนั่นเอง” ชาริณีเสนอตัว
“ไม่ต้อง ฉันจัดการได้” สไบแย้งเสียงแข็ง
“แต่ฉันเป็นลูกพ่อนะ ฉันต้องดูแลธุรกิจของพ่อฉัน”
ชิงชัยเห็นด้วย
“ดี รู้จักแบ่งเบาภาระบ้าง ไม่ใช่เอาแต่ใช้เงิน”
“คุณชิงชัย”
สไบอุทานด้วยความแปลกใจ มองหน้าชิงชัย ชาริณีแบมือไปที่สไบ
“เอากุญแจมานี่”
“กุญแจไม่ได้อยู่ที่ตัวฉัน”
“งั้นอยู่ที่ไหน”
“อยากได้ก็ตามมา”
สไบสะบัดหน้าออกไป ชาริณีรีบตามออกไป แหว่งรีบตามไป
“คุณสไบของบ่าวขา”
ชิงชัยถอนใจ
“ถ้าชาริณีรู้จักทำตัวให้เป็นประโยชน์ ไม่ใช่เอาแต่นั่งๆ นอนๆ อยู่บนกองเงินกองทองยังงี้ ก็ค่อยยังชั่วหน่อย” ชิงชัยหันมาหา บุญช่วย “พ่อ...”
“อะไร”
“เรามีคนปรุงยาแล้ว จะเริ่มกันเมื่อไหร่ดี”
“เริ่มเร็วที่สุดยิ่งดี คราวที่แล้วแกก็ทำย่อยยับไปหลายล้าน จ่าสินต้องระวังตัวแจกลัวถูกจับได้ แกต้องถอนทุนคืนให้พ่อ”
“ผมจะจัดการเรื่องนั้นเอง ส่วนเรื่องยึดที่นา พ่อต้องจัดการ เราจะได้มีพื้นที่ทั้งตำบลเพื่อผลิตยาบ้า”
สองพ่อลูกหัวเราะให้กัน อย่างพอใจในแผนการ

สไบดึงกุญแจพวงใหญ่ที่เหน็บเอวออกมาไขกุญแจห้องเก็บสมบัติ ชาริณีเข้ามากระชาก แย่ง
“เอากุญแจมานี่ ไหนแกบอกว่าแกไม่มีกุญแจติดตัวไงล่ะ”
“ฉันไม่ให้...”
“แกจะเอากุญแจไขเชฟ แล้วยักยอกสมบัติของแม่ฉันใช่มั้ย เอามานี่”
ชาริณีเข้าแย่ง สไบยื้อไว้ไม่ยอมให้
“ไม่ให้ ไม่ใช่หน้าที่ของคุณ”
“แต่พ่อฉันสั่งให้ฉันดูแลเรื่องยึดโฉนด เอามา...”
“ว๊าย คุณสไบของบ่าวขาระวังค่ะ”แหว่งโวยวาย
ชาริณีเข้าแย่งพวงกุญแจ สไบจวนตัวโยนให้แหว่ง ชาริณีหันขวับ วิ่งเข้ามาแย่ง แหว่งโยนกลับให้สไบ ต่างโยนกันไปมา ชาริณีกระโดดรับ กุญแจหลุดมือลอยละลิ่วหายไปในอากาศ สไบตกใจ
“ตายแล้ว กุญแจเซพ แก...เพราะแกคนเดียว”
“เพราะแก นี่ถ้าแกยอมส่งให้ฉัน มันคงไม่เป็นยังงี้หรอก” ชาริณีเถียงเสียงแข็ง
“จะเถียงกันอีกนานมั้ยคะ คุณสไบของบ่าวขา ไปเร็วค่ะ ลงไปหาข้างล่าง” แหว่งบอก
“ไป...”
ทั้งสามคนต่างวิ่งแข่งกันลงเรือนไป

ชาริณี สไบ และแหว่งวิ่งแข่งกันมายังใต้ถุนเรือน ต่างลนลานหากุญแจแต่ไม่พบ
“กุญแจ กุญแจเซพหาย แกเอาไปซ่อนที่ไหน” ชาริณีโวยวาย
“ฉันจะเอาไปซ่อนที่ไหน ฉันกำลังหาอยู่นี่ เจอมั้ยนังแหว่ง”
แหว่งส่ายหน้า
“ไม่เจอค่ะคุณสไบของบ่าวขา หาไม่เห็นเลยค่ะ”
“มันอยู่ไหนนี่ แกเห็นมันกระเด็นออกมาทางนี้แน่นะ”
“ค่ะ เห็นมันลอยละลิ่วข้ามหัวแหว่ง แล้วหายวับไปกับตาเลยค่ะ”
ชาริณีกวาดตามอง
“มันต้องตกลงมานอกหน้าต่าง มันต้องอยู่แถวนี้”
ทั้งสามยื้อแย่งกันหา ขณะเดียวกัน ศรีไพรซุ่มอยู่กับแสนมองกุญแจในมือแล้วยิ้ม

ค่ำคืนนั้น พรยกตะเกียงชึ้นส่อง มองหาศรีไพรและแสน สดและศรีแพรตามออกมาติดๆ ด้วยความกังวล
“ไงพ่อ เจอมั้ย ในมุ้งไม่มี ห้องแม่ก็ไม่มี แล้วไอ้ศรีไพรกับไอ้แสนมันจะไปไหน นี่เกือบตีหนึ่งแล้วนะ” ศรีแพรถามอย่างเป็นห่วง
พรหน้าเครียด
“มันไปไหนวะ ที่คอกไอ้ไฉไลเฉิดก็ไม่มี”
สดคิดๆอย่างกังวลใจ
“จะว่ามันออกไปตีรันฟันแทงกับพวกเศรษฐีบุญช่วย มันก็ไม่มีอาวุธแล้ว หลวงตาฉุนท่านบิณฑบาตรไปหมด”
“ไอ้ศรีไพรนี่มันยังไงวะ ทำไมต้องทำให้พ่อปวดหัวกับมันนัก ขืนให้มันอยู่เป็นลูกข้าต่อไป มีหวังข้าต้องตายเพราะความดันขึ้น” พรบ่นอย่างหงุดหงิด
“แล้วแกจะให้มันทำอะไร” สดถามเสียงแข็ง
“ก็ให้มันมีผัวซะ มันจะได้ไม่ไปยุ่งเรื่องของชาวบ้าน ไอ้ทวนไงล่ะ...ไอ้คนไม่มีหัวนอนปลายตีนอย่างไอ้ทวนน่ะ แกชอบมันนัก เห็นว่ามันเป็นคนขยันไม่ใช่หรือ จับมันแต่งงานกับลูกสาวคนเล็กของแกซะดีมั้ย”
พรกระแทกเสียงประชดอย่างโกรธจัดก่อนเข้าเรือนไป ศรีแพร หันมาสบสายตาสด ต่างตื่นตระหนกไปกับความคิดของพร
“แม่ ได้ยินมั้ยพ่อพูดว่ายังไง”
“ดะ...ได้ ได้ยินเต็มสองหูเลย พ่อเอ็งจะจับไอ้ศรีไพรแต่งงานกับไอ้ทวน” สดมองหน้าพรเหวอๆ อย่างนึกไม่ถึง
ช่วงเวลาเดียวกันนั้น...
ศรีไพรและแสน ไปแอบอยู่ที่หน้าต่างบ้านเศรษฐีบุญช่วย โดยมีกุญแจพวงใหญ่ห้อยอยู่ที่เอว ศรีไพรดันร่างของแสน
“ขึ้นไปเร็วไอ้แสน”
“จ้ะ พี่”
ศรีไพรส่งตัวแสนขึ้นไปก่อนจะโหนตัวตามขึ้นไป
ทางด้าน ทวน ทอกและหมอก นอนหลับสนิทอยู่ที่เพิง เมินหวีผมเสก ณ หน้าทองอยู่ที่กระจกบานเล็กๆ ก่อนย่องข้ามตัวทวน ทอกและหมอกเพื่อไปจีบศรีแพร
“นอนหลับฝันดีแล้วจะมีรางวัลให้อย่างงามนะเพื่อน”

เมินกำลังจะย่องผ่าน ทันใดนั้น ทวนก็คว้าขาของเมินไว้ ไม่ยอมให้ไป เมินเซ็งไปทันที

อ่านต่อวันพรุ่งนี้







กำลังโหลดความคิดเห็น