xs
xsm
sm
md
lg

เพลงรักบ้านนา ตอนที่ 16

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เพลงรักบ้านนา ตอนที่ 16

เมิน กับทวนนำทีมขบวนกลองยาว รำฟ้อนกันอยู่หน้าร้านเจ๊กตง ขณะที่พร สดและศรีแพรเดินผ่านร้านเจ๊กตง กำลังจะไปเยี่ยมศรีไพรที่โรงพยาบาล ต่างแปลกใจเมื่อเห็นขบวนกลองยาวของชาวบ้าน

“เฮ้ย หยุด นี่มันอะไรกัน เจ๊กตงมีงานฉลองเปิดร้านใหม่รึยังไง ถึงได้มีกลองยาว” พรเข้าขวางขบวน
“มาตีฆ้องร้องป่าวกันเรื่องอะไรน่ะ ลุงมหาเฉื่อย เจ๊กตง พี่เมินด้วย” ศรีแพรถามเรียงตัว
มหาเฉื่อยยิ้มแย้ม
“ชาวบ้านพวกนี้ เขาจะแห่กันไปรับไอ้ศรีไพร ก็มันจะออกจาก โรงพยาบาลไม่ใช่เหรอ”
“ใช่ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพวกชาวบ้านล่ะ”สดถามอย่างไม่เข้าใจ
“เกี่ยวซีครับแม่ ก็เพราะชาวบ้านเขาดีใจที่ศรีไพรปลอดภัย เราจะจัดขบวนไปรับที่หน้าโรงพยาบาล รับรองครับ ไม่ใช้เสียงรบกวนคนไข้” เมินบอก
สด ศรีแพรและพร ต่างตื้นตันใจ เมื่อเห็นความรักของชาวบานที่มีต่อศรีไพร
“เราทุกคนมีความสุข ที่ศรีไพรปลอดภัยครับ” ทวนพูดด้วยท่าทีเก้อๆ เพราะหลงรักศรีไพรเข้าแล้ว
เมินหันไปหาขบวน
“เราทุกคนดีใจที่ศรีไพรจะกลับบ้านใช่มั้ย”
“เฮ้ๆๆๆ”
ทุกคนตะโกนพร้อมกันแล้วปรบมือแสดงความดีใจ

ชิงชัยนัยน์ตาวาวโรจน์ ไปด้วยความโกรธ เมื่อรู้เรื่องที่ชาวบ้านให้การยอมรับศรีไพร
“มีความสุขนักเหรอ ชาวบ้านแห่กันไปรับไอ้ศรีไพรยังกับคนสำคัญ มันคงจะยิ้ม...หัวเราะ...”
“ขาดไปอย่างเดียว...” หลิมพูดขึ้น
“อะไร ไอ้ที่ว่ามันขาดไปน่ะ” เลิศถามอย่างไม่เข้าใจ
“เสียงร้องไห้น่ะซี ไอ้ศรีไพรกลายเป็นผู้นำชุมชน ชาวนาหันไปเชื่อถือมัน มันก็ยิ้ม...หัวเราะ มันจะร้องไห้ได้ยังไง”
ชิงชัยครุ่นคิด
“มีซี ฉันมีวิธีทำให้ไอ้ศรีไพร...ร้องไห้”
“คุณชิงชัย ทำยังไงครับ” หลิมถามอย่างไม่เข้าใจ
“อะไรที่มันรักที่สุดล่ะ” ชิงชัยนึกจะเล่นงานควายของศรีไพร จึงสั่งให้หลิม กับเลิศไปวางยา ทั้งสองคนจึงรีบไปคอก
“นี่ยังไงล่ะ ที่ไอ้ศรีไพรมันรักที่สุด รักๆๆๆ ไอ้ไฉไลเฉิดนี่แหละ” หลิมบอก
“แล้วทำไง”
“ก็ทำให้ไอ้ศรีไพรมันร้องไห้ขี้มูกโป่ง เพราะ...เพราะ...”
หลิมหัวเราะด้วยความสะใจ

ชาวบ้านต่างรำกลองยาว นำศรีไพรซึ่งขี่คอทอกกลับมาจากโรงพยาบาล ทุกคนต่างมีความสุขเมื่อศรีไพรมีอาการปลอดภัย ขบวนพากันเดินมาถึงหน้าบ้าน
“เอาละ ถึงแล้ว เอาไอ้ศรีไพรลงมามันจะได้ขึ้นเรือน” มหาเฉื่อยบอก
“พักผ่อนให้มากๆ นะครับ ศรีไพร” ทวนบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ทวนและศรีไพรมองสบสายตากัน พรรีบเข้ามาแทรก
“เอาละ...ไม่ต้องสั่งลาลูกข้ายังไม่ตาย ไปรับก็ขอบใจทุกคนว่ะ ตอนนี้แยกย้ายกันกลับ”
“พ่อ ไหนๆ พวกชาวบ้านก็มีน้ำใจไปรับน้องแล้ว ฉันว่า...”
ศรีแพรยังพูดไม่จบ พรสวนทันที
“ไม่ต้อง กลับบ้านใครบ้านมัน ข้าวสารในยุ้งไม่มีโว้ย ไม่เลี้ยง”
เมินถอนหายใจหันไปหาศรีแพร
“พาศรีไพรขึ้นไปพักเถอะ เดี๋ยวพี่ก็ต้องพาไอ้ทวนกลับไปนอนทำใจเหมือนกัน”
ทวนอึ้ง
“แก...”
ศรีไพรกวาดสายตามองหา
“พ่อ เจ้าไฉไลเฉิดล่ะ ไม่ได้ผูกไฉไลเฉิดไว้ที่โคนมะม่วงนี่หรือ แสน”
แสนชี้ไป
“อยู่ในคอกนั่นไง”
ศรีไพรวิ่งเข้ามาหาไฉไลเฉิดด้วยความดีใจ
“ไฉไลเฉิด เป็นยังไงบ้าง ไม่เห็นหน้าแกคิดถึงนะ” ศรีไพรเห็นควายนอนนิ่งก็แปลกใจ “เอ๊ะ พ่อ...นี่เจ้าไฉไลเฉิดเป็นอะไรนี่ ทำไมนอนนิ่งๆ ลืมตาค้างล่ะ พ่อ...พ่อ...”
ทุกคนวิ่งกรูเข้ามารุมล้อมควาย ศรีแพรตกใจ
“พ่อ นี่มันตายแล้วนี่”
ศรีไพรชะงักอึ้งใจหายวาบ
“ตาย...ไฉไลเฉิด ตายได้ยังไง”
พรตกใจ
“หา อะไรนะ ไอ้ไฉไลเฉิดมัน...มันตายเหรอ”
ทวนเข้าไปจับตัวควาย
“ไฉไลเฉิด...”
ทุกคนเงียบกริบ ศรีไพรโผเข้ากอดไฉไลเฉิด
“ไฉไลเฉิด ไม่...ไม่นะ ไม่จริง แกยังอยู่ ลุกขึ้นซี นี่แกไม่ดีใจหรือที่ฉันกลับมาแล้ว ลุกขึ้นมาแล้วร้องมอๆ เหมือนอย่างที่แกเคยร้อง ไฉไลเฉิด...ไฉไลเฉิด นี่แก...โฮ...”
ศรีไพรปล่อยโฮ ร้องไห้อาลัยรักไฉไลเฉิด

ชิงชัยนั่งให้สไบนวดไหล่ โดยมีแหว่งรับใช้อยู่ใกล้ๆ ชิงชัยทำท่าเหมือนเศรษฐีบุญช่วย หัวเราะสนุกสนาน
“ไง ร้องไห้ขี้มูกโป่ง คร่ำครวญถึงควายที่ตายแล้ว เหมือนมันจะขาดใจใช่มั้ย”
หลิมยิ้มรับ
“ครับ เจ้านาย พอไอ้ศรีไพรรู้ว่าไอ้ไฉไลเฉิดเพื่อนคู่หูของมันตายเท่านั้นแหละครับ มันร้องไห้เหมือนน้ำตาจะเป็นแม่น้ำ”
สไบเบ้หน้า
“สมน้ำหน้า รู้จักเสียซะบ้างไม่ใช่มีแต่ได้...ได้...”
“เก๊งเก่งค่ะคุณสไบของบ่าวขา ฆ่าอะไรก็ไม่ฆ่า ฆ่า...ควาย” แหว่งประชดหลิมกับเลิศ
ชิงชัยยิ้มอย่างพอใจ
“ความสูญเสียกับคนยากไร้น่ะ มันเป็นของคู่กัน มันจะไม่เสียแค่ควายหรอกแต่มันจะเสีย...”
ชิงชัยยังพูดไม่จบ ชาริณีก้าวขึ้นบันได ด้วยท่าทีโทรมๆเนื้อตัวเปรอะไปด้วยฝุ่น ใบไม้แห้ง เส้นผมเป็นกระเซิงเดินผ่านไปหน้าตาร่วงโรย เจ็บปวดเพราะถูกจ่าสินขืนใจ ทุกคนหันไปมองชาริณีด้วยความแปลกใจ สไบขยับตัวออกห่างชิงชัย
“เอ๊ะ นั่นคุณชาริณีไปทำอะไรมาคะ คุณสไบของบ่าวขา” แหว่งถามอย่างสงสัย
“ชาริณี...ชาริณี….”ชิงชัยเรียก
ชาริณีเดินไปอย่างไม่สนใจใคร สไบขยับตามออกไป แหว่งรีบผละตามนายไป
“นั่นชาริณีไปทำอะไรมา เฮ้ย...เมื่อคืนนี้...ชาริณีกลับบ้านหรือเปล่า” ชิงชัยมองตามชาริณีด้วยความสงสัย

ชาริณีเดินมาหยุดที่ประตู สไบตามมาเย้ยหยัน
“เมื่อคืนไม่ได้กลับบ้าน เช้าถึงได้ซมซานกลับ ไปทำอะไรมา เนื้อตัวถึงได้มีแต่ฝุ่น ผมนี่มีแต่เศษใบไม้แห้ง เสื้อผ้าก็ขาดเหมือนถูกฉีก”
“หน้าตาก็...อุ๊ย ฝุ่นกับฟางติดหลังด้วยค่ะ คุณสไบของบ่าวขา” แหว่งลอยหน้าลอยตาพูด
สไบมองหยัน
“มีฝุ่นมีเศษฟาง จะให้ฉันเข้าใจว่ายังไง หลังต้องติดดินซีนะ ฝุ่นกับฟางมันถึงได้ติด”
แหว่งหน้าตื่น
“เอ้อ หลังติดดิน ก็...ก็...คาดหมาย อ้า...เดาได้อย่างเดียวเลยค่ะคุณสไบของบ่าวขาว่าจะต้อง...”
สไบพูดต่อทันที
“ลงไปนอนหงายกับพื้น”
ชาริณีหันขวับ หยิบข้าวของขว้างใส่หน้าสไบ และแหว่งด้วยความโกรธ

ศรีไพรกอดเนินดินที่ฝังไฉไลเฉิด ร้องไห้คร่ำครวญ ศรีแพรและสดกอดประคองศรีไพร ทุกคนต่างเศร้าหมองกับการตายของไฉไลเฉิด
“ไฉไลเฉิด ใครฆ่าไฉไลเฉิด หัวใจมันทำด้วยอะไรมันถึงได้ฆ่าควายได้ลงคอ ควายไปทำอะไรให้มัน ทำไมมันต้องวางยาฆ่าไฉไลเฉิดด้วย”
ศรีแพรเข้าปลอบน้องสาว
“ศรีไพร หักอกหักใจเสียบ้างเถอะ น้อง ไหนๆ ไฉไลเฉิดมันก็ไปแล้ว ขอให้มันไปดี”
พรเจ็บแค้น
“ใช่ คนที่ทำบาปกกรรมกับควาย มันต้องไปเลวกว่าที่ไฉไลเฉิดไป”
ศรีไพรเอามือเคาะหลุมศพ
“ไปดีนะ ไฉไลเฉิดนะ พี่จะจำไว้ไม่ลืมเลย ว่าเราเคยไถนา เคยลงหนอง เคยย่ำข้าวด้วยกัน ถ้าชาติหน้ามีจริงขอให้เราได้เกิดมาเป็นพี่น้องกันอีก พี่จะล้างแค้นไอ้คนที่มันทำกับเอ็ง...โฮ”
ศรีไพรร้องไห้ กอดเนินดิน อาลัยรักไฉไลเฉิด ทวน เมิน ทอก และหมอก ต่างพากันเศร้าไปด้วย ก่อนจะพากันกลับไปที่เพิงหลังป่าช้า
“แกว่านี่ฝีมือใคร” ทวนถามขึ้น
“คนที่รู้ว่าความตายของเจ้าไฉไลเฉิด บั่นทอนกำลังใจของศรีไพร” เมินบอก
“ถ้ามันมาจากโรงฆ่าสัตว์ มันยังแก้ตัวได้ว่าฆ่าควายเป็นอาหาร แต่นี่เจ้าไฉไล เฉิดมันเป็นควายแก่ อยู่กับลุงพรมาจนเหมือนคนในครอบครัว” ทอกบอกอย่างเศร้าใจ
“ฉันว่าเรื่องนี้มันต้องเกี่ยวกับเศรษฐีบุญช่วยแน่” หมอกบอกอย่างมั่นใจ

วันต่อมา เศรษฐีบุญช่วยกำลังยืนชี้หน้าทวน เมิน ทอก และหมอก
“เกี่ยวกับข้ายังไงวะ ไอ้ทวน ไอ้เมิน พูดดีๆ มีหลักฐานอะไร มากล่าวหาว่าควายตายเพราะข้า”
“มันอาจจะตะกละ กินไม่เลือก ไม่...มันก็ไม่แสนรู้จริง ถ้ามันแสนรู้จริงมันต้องรู้ซีว่าหญ้าที่มันกินเข้าไปน่ะคลุกยาฆ่าหญ้า” ชิงชัยเหยียดหยัน
เมินจ้องหน้าชิงชัย
“แกรู้ได้ยังไงว่ามันตายเพราะยาฆ่าหญ้า”
“รู้ได้ยังไง” ทวนถามย้ำ
ชิงชัยอึกอัก
“เอ้อ...ก็ควายมันกินอะไรเป็นอาหารล่ะ มันกินหญ้ามันก็ต้องตายเพราะหญ้าน่ะซี แล้วหญ้าน่ะเขาก็ใช้ยาฆ่าหญ้าปราบกันทั้งนั้น ใครเขาออกแรงถางมันทิ้งล่ะ”
บุญช่วยมองหน้าทวนกับเมิน
“เอ็งสองคนคิดให้ดีนะ ทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับข้ามีประโยชน์อะไร ตายไปจะไร้ร่องรอยเหมือนควายนะ”
ชิงชัยยิ้มหยัน
“ใช่ แถวๆ นี้กำลังจะมี...ไข้โป้ง...ระบาด”
บุญช่วย ชิงชัย หลิม และ เลิศ หัวเราะเย้ยหยัน เมิน กับทวนหันมาสบสายตากัน ด้วยความแค้น

ศรีไพรเดินอยู่ตามคันนา มองไปรอบๆ ผืนนา คิดถึงไฉไลเฉิด พร ศรีแพร สดและแสนยืนมองอยู่ไกลๆ
“พ่อ ตั้งแต่เจ้าไฉไลเฉิดตายนี่ น้องเอาแต่เงียบจนฉันไม่รู้จะทำยังไงแล้ว คนกับควายเคยผูกพันธ์กัน เคยเล่น เคยไถนา เคยกินเคยนอนด้วยกัน แล้วจู่ๆก็ต้องมาตายจากกันแบบนี้ เป็นฉันก็...” ศรีแพรบอกอย่างสงสารน้องสาวจับใจ
“ให้เวลาน้องเอ็งสักพัก มันคงไม่ฆ่าตัวตายตามควายหรอก มันยังมีอะไรต้องทำอีกมาก” สดถอนใจ
“ความผิดของฉันเองพ่อ ฉันไม่ควรทิ้งไฉไลเฉิดอยู่บ้านตัวเดียว แล้วแห่ไปรับพี่ศรีไพรเลย” แสนบอกเศร้าๆ
“ไม่ใช่ความผิดของใครหรอก คนที่ผิดคือคนที่ฆ่ามัน” พรมองศรีไพรอย่างสงสาร

ชาริณีนอนซมอยู่บนเตียง สไบเปิดประตูเข้ามา แหว่งยกถาดอาหารมากระแทกวาง ชาริณีสะดุ้ง ผวาลุกขึ้นนั่ง ท่าทีหวั่นกลัว แต่เมื่อเห็นสไบจึงขว้างหมอนใส่หน้า
“แกเข้ามาทำไมในห้องฉัน”
สไบมองอย่างเกลียดชัง
“ท่านเศรษฐีสั่งให้เข้ามาดูแลปรนนิบัติคนป่วย ปวดหัวตัวร้อน มีอาการไข้หนักหรือไม่...ไม่ทราบ”
“ออกไปจากห้องของฉัน แล้วไม่ต้องยื่นหน้าเข้ามาถ้าฉันไม่ได้สั่ง เอาขยะนี่ ออกไปด้วย” ชาริณีตวาดไล่
แหว่งไม่พอใจ
“นี่อาหารเช้านะคะ คุณสไบของบ่าวขา แน้...มาหาว่าอาหารเช้าฝีมือแหว่งเป็นขยะ”
สไบพูดเยาะๆ
“กินอาหารนี่ซะ ไม่กินแล้วตายนะ เลือกเอาจะอยู่ใช้เงินที่พ่อกับพี่ชายหาไว้ให้ใช้ หรือจะตายแล้วทิ้งสมบัติไว้ให้อดีตขี้ข้าอย่างฉันใช้ ไป นังแหว่ง”
“ค่ะ คุณสไบของบ่าวขา”
สไบและแหว่งสะบัดยิ้มเยาะออกไป ชาริณีมองตามไปด้วยความแค้นเคือง
“เรื่องอะไรฉันจะตาย แล้วทิ้งเงินเอาไว้ให้พวกแร้ง”
ชาริณีกินอาหารในถาดอย่างมูมมาม มือสั่นสะท้าน เธอจ้องมองมือของตนเอง ที่เริ่มปรากฏอาการของคนติดยา

ศรีไพรนั่งกอดเข่าเศร้าหมอง คิดถึงไฉไลเฉิดอยู่ที่บันได ศรีแพรและแสนเข้ามา พยายามปลอบโยน ต่างนั่งลงประกบศรีไพร
“สบายใจขึ้นบ้างหรือยังน้องพี่ ไฉไลเฉิดตายไปแล้วแต่พวกเราต้องอยู่ต่อไปนะ ศรีไพรน่ะยังมีภาระต้องทำอีกมาก”
“ใช่ พี่ไม่ยิ้มไม่หัวเราะยังงี้ ชีวิตฉันขาดอะไรไปก็ไม่รู้ ไม่ใช่ฉันคนเดียว แต่พี่ศรีแพร พ่อ แม่ แล้วก็....”
แสนนิ่งไป ศรีไพรจึงถามอย่างสงสัย
“ใคร”
ศรีแพรยิ้มๆ
“แน้ อยากรู้มั้ยล่ะว่าใครกินไม่ได้นอนไม่หลับ เพราะเป็นห่วงน่ะ”
ศรีไพรอึ้งไป
“เอ้อ...”
“ถ้าอยากรู้ละก็...”
แววตาของศรีไพรค่อยๆ กระเตื้องจากอาการเศร้าโศก

วันต่อมา ขณะที่ไปช่วยทำนา ทวนมองไปยังศรีไพรที่ยังคงยืนกอดอกเศร้าหมอง ทุกคนที่ช่วยกันทำนา กังวลไปกับท่าทีของศรีไพร สดหันไปคุยกับพรอย่างหนักใจ
“ข้าว่าลูกทุกข์โศกมากไปนะ บ้านเราไม่เคยมีเสียงหัวเราะเหมือนตอนที่ไฉไลเฉิดยังอยู่”
พรมองหน้าสด
“แกจะให้ข้าหัวเราะ ทั้งที่...มองไปไหน มีแต่คนอาลัยรักควายกันยังงั้นเหรอ”
“ก็ทำเรื่องดีๆ เรื่องที่ศรีไพรมันจะหายเศร้าโศกซี”
“เรื่องอะไร เรื่องดีๆ”
สดมองไปยังเมินและศรีแพร ที่กำลังช่วยกันทำนาอยู่ พรมองตาม เห็นท่าทีของศรีแพรและเมิน ต่างกำลังมีความสุขตามประสาคนรักกัน
“ก็เรื่อง...”
“แก...แกอย่าบอกข้านะว่าแกจะ...”
“เจ้าเมินมันก็ไม่ใช่คนอื่น ไอ้ที่เขาลือว่ามันเลว แกเคยเห็นมันเลวมั้ย ข้าว่า...มันก็ขยันขันแข็งดีนะ”
พรหน้าตื่น
“แก...นี่แกจะ...”
“อย่าหวังว่าจะได้เป็นพ่อตาพวกอำเภอเล้ย หาคนที่เขาอยู่ใกล้ๆ คนที่รักลูกของเราจริงๆ ไร่นามีเยอะแยะ แกจะเอาทรัพย์สินสมบัติ มาทำอะไรอีกหรือว่าตายแล้วจะเอาไปด้วย”
“แก...” พรโกรธ ลุกขึ้นแผดเสียง “เฮ้ย กลับๆๆ กลับบ้าน”
ศรีแพรอึ้งงง
“พ่อ ทำไมล่ะ”
“ไม่ต้องถาม ไป กลับบ้านให้หมด ไอ้ศรีไพร...”
“พ่อ...”
พรคว้าข้อมือศรีไพรกับ ศรีแพรคนละข้าง
“พ่อบอกให้กลับบ้าน”
พรลากลูกสาวกลับบ้าน สดโกรธมาก
“ฮึ กลับก็กลับ...ไป ไอ้แสน กลับ”
สดกระชากแขนแสนออกไป ทุกคนงงงัน มองตามไป
“พ่อเป็นอะไรน่ะ”
เมิน ถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ

เมื่อถึงบ้าน สดขว้างกระบุงกระจาดลงกับพื้น โกรธเหมือนของขึ้น ศรีแพร ศรีไพรและแสนยืนกอดกันอยู่ที่มุมห้อง ต่างหวั่นหวาดที่พ่อแม่ทะเลาะกันจนลืมเศร้าโศกถึงควาย
“เป็นอะไร้ ก็ของขึ้นน่ะซี แกจะให้บ้านหลังนี้มีแต่เรื่องร้องห่มร้องไห้ ไม่มีเรื่องเป็นมงคลเลยหรือยังไง”
“เรื่องมงคลของแก มันเรื่องอัปมงคลของฉัน”
“ยังไง มันเลวร้ายตรงไหน กะอีแค่ฉันจะรับเจ้าเมินเป็นเขย”
“อุ๊ย ว้าย แม่จ๋า...”
ศรีแพรดีใจจนลืมตัว พรหันไปตวาด
“หุบปาก”
ศรีแพรสลดลงทันที หันมากอดศรีไพรไว้แน่น
“มันยังทำนาไม่ครบตามกำหนด จะยกลูกสาวให้มันได้ยังไง”
“พ่อ ฉันไม่ถือจ้ะ” ศรีแพรรีบบอก
พรมองหน้าศรีแพรส่งสายตาดุ
“ถ้าไม่หุบปากล่ะก็ พ่อจะเอาขันใบนี้แหละขว้างเอ็ง” พรหันมาทางสด “ไหน มันมีคุณสมบัติอะไรนอกจากจน”
“ฉันกัดก้อนเกลือกินได้จ้ะ พ่อ” ศรีแพรขัดขึ้นอีก
พรหันขวับมา เอาขันชี้หน้า
“เดี๋ยวเถอะ เดี๋ยวพัดขว้างซะจริงๆ นังนี่” พรหันไปหาสดอีกครั้ง “แล้วแกรู้มั้ยว่ามันหายไปไหนมาสิบปี”
“ฉัน...เอ๊ย แม่ไม่อยากรู้หรอก” ศรีแพรแย้ง
พรโมโหเงื้อขันในมือ
“เดี๋ยวพัดดดด”
สดรีบห้าม
“อ๊ะๆ อย่านะตาพร อย่าตีลูกนะ ใครสนเรื่องของใคร ใครอยากรู้ว่าใครหายไปไหนมา ก็คนมันรักกัน แกจะเก็บลูกไว้ทำไม”
ศรีแพรรีบเสริมแม่
“ฉันไม่เป็นหรอกคุณนายน่ะ ฉันจะเป็นชาวนา”
“พี่ศรีแพร เงียบน่ะ...”
ศรีไพรรีบปิดปากศรีแพร เมื่อเห็นพรหันขวับมาด้วยความโกรธ สดได้ทีตั้งเงื่อนไขขู่
“หรือว่า...แกอยากจะให้ลูกสาวทำเรื่องฉาวโฉ่ หนีตามผู้ชาย”

พรได้ฟังที่เมียว่าก็อึ้งไปทันที

อ่านต่อวันพรุ่งนี้










เพลงรักบ้านนา ตอนที่ 16 (จบตอน)

ค่ำคืนนั้น หลวงตาและมหาเฉื่อย ช่วยกันค้นตำรายาโบราณของวัด โดยมีทวนช่วยอยู่ด้วย ทวนอ้าปากหาว ก่อนจะคลานหลบ หลวงตาหันไปเห็น

“จะไปไหนไอ้ทวน”
“เอ้อ อ้า ดึกแล้ว...เอ้อ...ไอ้พวกนั้น...”
“อยู่ช่วยข้าค้นตำรายาผีบอกก่อน ง่วงก็นอนซะที่นี่แหละ”
“พระคุณเจ้าจะหาสูตรยาไปทำไมขอรับ” มหาเฉื่อยถามอย่างแปลกใจ
“เอาเถอะน่ะ แล้วก็รู้เองแหละ ไอ้ทวน...เอ็ง...อยู่...”
“ครับ...หลวงตา”
ทวนรับคำอย่างไม่เต็มใจนัก เพราะกลัวว่าเมินจะทรยศหนีไปบ้านพร

เวลาต่อมาบรรยากาศบ้านเรือนไทยเวลานี้เงียบสงัด เมินค่อยๆ คลานออกมาจากมุม หลบหลังพุ่มไม้พร้อมกับขยับจะส่งเสียงหอน
“พี่เมิน วิธีนี้ได้ผลแน่นะ” ทอกขัดขึ้น
“มีคนเขาใช้แล้วได้ผล”
“งั้นฉันช่วย ชาติที่แล้วฉันเคยเกิดเป็นหมาตัวผู้ พี่เป็นหมาตัวเมียนะ” หมอกแนะ
เมินงงๆ
“ทำไมวะ”
“มันต้องหอนให้รับกัน มีอารมณ์ความรู้สึกเหมือนสุนัขเดือนสิบสองหน่อย” หมอกหอนโชว์ “บรื้อออว์...ยังงี้”
เมินหอนตาม
“บรื้ออออว์”
“เอ้กอี๊เอ้กเอ้กกกกก” ทอกทำเสียงไก่
หมอกเขกหัวทอก
“นี่แน่ะ นั่นมัน...ไก่เว้ย...ไก่”
ทันใดนั้น ห่อผ้าลอยละลิ่วจากหน้าต่าง ลงมาทับทอกกับหมอก ก่อนท่อนขาของตัวหุ่นลองเสื้อโผล่พ้นชายซิ่นยื่นออกมา ทุกคนตาโตเพราะคิดว่าเป็นขาของศรีแพร
“ศรีแพร”
ศรีไพรโผล่หน้าออกมาจากหน้าต่างยิ้มขบขัน แสนยกตัวหุ่นลองเสื้อโชว์
“ไม่ใช่พี่ศรีแพรหรอก หุ่นลองเสื้อของพี่ศรีแพรน่ะ ไปหอนไกลๆ ไป๊ สุนัขไม่มีสัญชาติ”
ศรีแพรโผล่มาอีกคน
“ใช่ แล้วไอ้ที่โยนลงไปน่ะ ไม่ใช่เสื้อผ้าหรอก รักจริงต้องเข้าตามตรอก ออกตามประตู หน้าต่าง...ห้าม”
ศรีไพร ศรีแพร และแสนหัวเราะกันคิกคัก ความสุขเริ่มกลับมาในครอบครัว เมิน ทอก หมอกทำหน้าเจื่อนๆ เมื่อรู้ว่าถูกหลอก

วันต่อมา มหาเฉื่อยคุมให้ทอกและหมอก กลิ้งโอ่งมังกรมาตั้งเรียงรายที่ชานศาลา ทวนขนรากไม้ตามตำราของหลวงตา มากองไว้หน้าเตาไฟแล้วส่งเสียงหัวเราะเย้ยหยันเมิน
“สมน้ำหน้า ไปมาไม่ชวนก็ยังงี้แหละ นี่ดีนะ...ศรีไพรยังมีอารมณ์ขัน ไม่ยังงั้นแกโดนลูกปืนไปแล้ว” ทวนชะงัก “เดี๋ยว...เดี๋ยวก่อน...แกว่าศรีไพรวางแผนหลอกแกใช่มั้ย”
“ทั้งศรีไพร ศรีแพร แล้วก็เจ้าแสนแสบ”
ทวนยิ้มพอใจ
“ก็แสดงว่าศรีไพรดีขึ้นแล้วน่ะซี”
“ถึงต้องมีงานมงคล ไล่อัปมงคลยังไงล่ะ ฉันรู้นะว่าเดี๋ยวนี้ใจแกเปลี่ยนไปแล้ว”
ทวนอึ้งไป
“เอ้อ...ก็...”
“หรือแกจะปฏิเสธ ว่าแกไม่มีเยื่อใยอาลัยรักศรีไพร ฉันจะได้จีบศรีไพรอีกคน”
“อย่า...” ทวนคำราม
“นั่นไง ถ้าพี่ไม่ได้รักไอ้ศรีไพร ทำไมพี่ต้องคำราม แถมยังกัดฟันกรอดๆ” ทอกแซวขำๆ
“เอาละ ไอ้พวกนี้ เอาโอ่งใบนี้มาตั้งไว้นี่ เดี๋ยวจะได้ก่อไฟ ฟืนฟางเตรียมไว้ หลวงพ่อท่านจะได้ปรุงยา” มหาเฉื่อยสั่ง
“ยา...ยาอะไรลุงมหา” เมินถามอย่างแปลกใจ
หลวงตาส่งเสียงมาแต่ไกล พร้อมยกรากไม้สมุนไพรมาด้วย
“ยาผีบอกว่ะ ไอ้ยาขนานนี้แหละ โบราณท่านว่ากินเข้าไปแล้ว...อ้วกดีนัก...” หลวงตารำพึงด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจริงจัง

วันต่อมา…เด็กหนุ่มชาวบ้านหลายคน นุ่งผ้าขาวม้า ส่งเสียงอาเจียนหลังกินยาขับไล่พิษของยาเสพติด มหาเฉื่อย เมิน ทวน ทอกและหมอกคอยดูแลช่วยเหลือการบำบัด
“เอ้า รับสัตย์แล้วเอายานี่กรอกเข้าไป กลืนเข้าไปให้ถึงสำไล้ข้างในเลยนะ มันจะได้ไปกระทุ้งเอาพิษออกมา” หลวงตาแนะนำ
ช้อยดึงกล่ำซึ่งมีสภาพทรุดโทรมเข้ามา
“มา...มาให้หลวงตาฉุนเอามารในตัวเอ็งออกซะดีๆ ไม่ไหวแล้วหลวงตา ช่วยไอ้กล่ำมันด้วยเหอะ มันไม่เป็นผู้เป็นคนแล้ว”
หลวงตามองหน้ากล่ำ
“กล่ำเอ๊ย อยากเป็นคนหรืออยากเป็นสัตว์ล่ะ”
มหาเฉื่อยเห็นสภาพกล่ำแล้วถอนใจ
“สงสัยอาการมันจะหนักครับหลวงพ่อ”
“ถ้าอยากเป็นคน ก็ต้องเอาสัตว์ร้ายที่อยู่ในตัวเอ็งออกมา”
เมินส่งยาสมุนไพรให้
“นี่ครับ ยาสมุนไพร หลวงตาปรุงจากรากไม้ในป่าช้า”
กล่ำลังเล ก่อนรับยาไปกรอกใส่ปาก อาเจียนพุ่งตามออกมา

+ + + + + + + + + + + +

พร สด และแสนนั่งล้อมวงรอสำรับอาหาร ต่างเตรียมกินข้าว ศรีไพรยกสำรับออกมา ท่าทีของศรีไพรดีขึ้น คลายความเศร้าโศกเรื่องไฉไลเฉิด พรมองหาศรีแพร
“ศรีแพรล่ะ”
“อยู่บนคานจ้ะ พ่อ” ศรีไพรประชด
พรสะอึก กินข้าวไม่ลง เหลือบสายตามองสด สดมองค้อน ยิ้มเครียด
“ฮึ อยู่บนคาน” พรคำรามเบาๆ ด้วยความแค้นใจ
ทางด้านศรีแพร นั่งอยู่บนง่ามกิ่งไม้ โยนผลไม้ลงมาให้เมินรับอยู่ใต้ต้น
“พ่อเริ่มจะใจอ่อนแล้วละพี่เมิน นี่ถ้าไม่ได้แม่กับศรีไพรละก็ พี่เมินไม่มีหวังได้แอ้มฉันหรอก”
“ศรีแพร อย่าพูดกับพี่ยังงี้นะ พี่เป็นผู้ชายเดี๋ยวพี่มีแรงฮึดขึ้นมาละก็...”
“ทำไม พี่จะปล้ำฉันหรือ ถ้าพี่จะปล้ำฉันพี่ขึ้นมาปล้ำข้างบนนี่ซิ มา...ม๊ะ”
เมินชะงักลังเล
“พะ...พะ...พี่ พี่กลัวความสูง”
“กลัวความสูง แล้วกลัวความขาวมั้ย” ศรีแพรยั่วยวน
“โอย พี่ไม่ไหวแล้ว ศรีแพรพูดยังงี้ดูถูกพี่นะ พี่ปีนต้นไม้ไม่เก่งเหมือนไอ้ทวน แต่พี่...”
เมินเขย่าต้นไม้ ร่างของศรีแพรตกลงมาในอ้อมแขนของเมิน จมูกของศรีแพรชนกับแก้มของเมิน

พรนั่งอ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์อยู่ ขณะที่ สด ศรีไพรและแสน ทำงานอยู่ที่ลานบ้าน ศรีแพรวิ่งผ่านทุกคนขึ้นไปยังเรือนหันรีหันขวางหาสบู่
“หาอะไรน่ะพี่ศรีแพร”
ศรีไพรถามอย่างสงสัย เมื่อเห็นท่าทางร้อนรนของพี่สาว
“เอ้อ อ้า สะ...สบู่ เอ้อ...น้ำยาฆ่าเชื้อที่เอ็งใช้คราวที่แล้วยังอยู่มั้ย”
ศรีไพรงงๆ
“คราวที่แล้ว คราวไหน”
“ก็คราวที่...ที่...ที่...”
ศรีไพรกับแสนตาโต สดมองศรีแพรด้วยความสงสัย
“พี่...นี่พี่...พี่...พี่โดนพี่เมินจูบเรอะ” แสนโพล่งขึ้น
สดตาเหลือก
“หา อะไรนะ โดนไอ้เมินมันจูบแก้ม เหมือนคราวที่...”
สดกับแสนหันมาจ้องหน้าศรีไพร พรทำหนังสือพิมพ์หลุดจากมือ ผลุดลุกขึ้นยืนอย่างตื่นตระหนก
“นี่...นี่หมายความว่าไอ้เมินมันจูบเอ็งเรอะ ปืน...ปืนข้าอยู่ไหน ปืน...ปืน”
พรวิ่งขึ้นไปหยิบปืนแล้ววิ่งลงมา ทุกคนตกใจ
“พ่อ นั่นพ่อจะไปไหนน่ะ”ศรีไพรเรียกอย่างตกใจ
“ต้องไปฆ่าไอ้เมินแน่ ไป...ไปเร็ว ไปห้ามพ่อเอ็ง”
สดรีบวิ่งออกไป ศรีไพรกับแสนรีบวิ่งตาม
“พ่อ เดี๋ยวก่อน ฟังให้จบก่อนซี พ่อ...”
ศรีแพรรีบวิ่งตามไปอีกคน

เมินค่อยๆ บรรจงลูบคลำแก้มข้างที่โดนศรีแพรจูบ พร้อมกับแปะพลาสเตอร์รักษาความสดไว้ ทุกคนมองกริยาของเมินด้วยความสงสัย
“แก้มไปโดนอะไรมา ฉันไม่เห็นแกมีแผลเลย ทำไมต้องใช้พลาสเตอร์รักษาความสด” ทวนถามอย่างไม่เข้าใจ
เมินยิ้มฝัน
“ต้องรักษาไว้ เพราะรอยนี่...เป็นรอยที่ฉันจะจำไปจนตายเลย”
ทอกเข้ามามองหน้าทวนอย่างสังเกต
“รอยช้ำก็ไม่มี รอยฝ่ามือก็ไม่ปรากฏ”
หมอกมองๆแล้วชะงัก
“ชักจะสงสัยแล้วว่ามันเป็นรอย...”
“จะ...จะ...จูบ”
ขาดคำของทวน พรยิงปืนขึ้นฟ้าเปรี้ยง แล้วก้าวเข้ามาหน้าตาโกรธจัด ทุกคนกระโดดเข้ากอดกันแน่น
“ใช่ รอยจูบ สารภาพแล้วก็ไปตายซะเถอะ ไอ้เมิน ไอ้หมาขโมย”
พรไล่ยิง เมินวิ่งไปรอบๆ ทวน ทอกและหมอก สด ศรีไพร และแสนวิ่งเข้ามารั้งแขนของพรไว้
“พ่อ อย่า...”
สดกระชากแขน
“แกจะบ้าหรือตาสด อยากติดคุกตอนแก่หรือไง”
“พ่อ ฟังก่อนซี ยิงแล้วฟังทีหลังเดี๋ยวไม่ทันนะ” ศรีไพรเตือนสติ
ศรีแพรวิ่งเข้ามาเป็นคนสุดท้าย
“ใช่ พ่อ พี่เมินเขาไมได้จะ...จูบฉันหรอก ตะ...แต่...แต่ว่าฉัน...ฉันเป็นคนจะ...จูบเขาเองแหละจ้ะ พ่อจ๋า” ศรีแพรพูดอย่างกลัวๆ เขินๆ
ทุกคนตะลึง พรหันขวับมาจ้องหน้าศรีแพรอย่างตื่นตระหนก
“เอ็ง...จะ...จูบ...ไอ้เมิน”

วันต่อมา ศรีไพรกับแสน พยายามนวดเฟ้นสด ขอร้องให้สดเห็นใจในความรักของศรีแพรกับเมิน
“น่า นะ แม่...แม่ยังบอกว่าบ้านเรามีแต่เรื่องเศร้าโศก ไม่มีเรื่องเป็นมงคลเลย ถ้าแม่ทำให้พ่อใจอ่อน ยอมรับพี่เมินเขาเป็นเขย...”
แสนรีบพูดต่อ
“บ้านเราก็จะมีแต่ขนมอร่อยๆ ในงานมงคลสมรส”
สดเขกกระบานแสน
“นี่แน่ะ เห็นแก่กินนักเจ้าแสน ก็ไหนเมื่อก่อนทำตัวเป็นไม้เบื่อไม้เมากับเจ้าพวกนั้นนัก ตอนนี้จะยกพี่สาวให้เขาแล้วหรือ”
“พี่เมินเขาก็เป็นคนใช้ได้นะ อย่างน้อยเขาก็เป็นกำลังสำคัญของเรา ในการสู้กับเศรษฐีบุญช่วย” ศรีไพรบอก
“แม่ น่า...นะ...นะ...แม่นะ...นะ” แสนคะยั้ยคะยอ
“เอา...แม่จะลองพูดกับพ่อเอ็ง”
สดพยักหน้ารับ และได้ไปพูดกับพรให้เห็นใจ ในความรักของศรีแพรกับเมิน
“ไม่ให้ ข้าไม่มีวันยกลูกสาวให้มัน” พรปฏิเสธทันที
“แกจะเก็บมันไว้บนคานซีนะ”
“เปล่า แต่ข้าจะให้ศรีแพรลูกข้า แต่งงานกับคุณปลัด คุณปลัดย้ายมาใหม่ บั้งยังงี้เหลืองอร่าม ข้าเชิญคุณปลัดมากินข้าวบ้านเราพรุ่งนี้ ในฐานะ...ว่าที่เขยขวัญ” พรยิ้มอย่างมั่นใจ


วันต่อมา รถยนต์แล่นเข้ามาจอด ปลัดก้าวลงมาจากรถ ครู่หนึ่ง รองเท้าส้นสูงสวมเท้าอวบๆ ของเมียปลัดก้าวลงตามมา พรวิ่งลงมาจากบันไดด้วยความดีใจ สด ศรีแพร ศรีไพรและแสนตามลงมาจากเรือน
“คุณปลัดคนใหม่มาแล้ว เร็วๆ เข้ายายสด ทำหน้าแต่งผมเรียบร้อยหรือยังลงไปต้อนรับคุณปลัดเร็วๆ ลูกล่ะ...ลูกศรีแพรของพ่อ ลงไปต้อนรับคุณปลัดเร็วๆ เผื่อจะได้เป็นคุณนาย”
“นี่ ไม่ต้องออกอาการบ้ายศยังงั้นหรอก เดี๋ยวตกกะไดหัวทิ่มจะไม่ได้เป็นพ่อตาคุณปลัดซะ ตาพร” สดแดกดัน
“แกละพูดมาก พูดไม่เป็นก็หุบปากไว้...เชิญครับคุณปลัด เชิญบนเรือน กระผมให้ลูกสาวทำสำรับคับค้อนไว้รับรองคุณปลัด อ้า ศรีแพรลูกสาวของกระผมคนนี้มีฝีมือเรื่องงานบ้านงานเรือน” พรพูดเจื้อยแจ้วแล้วชะงักเมื่อมองเห็นปลัดเต็มๆตา “เอ๊ะ...คุณปลัด...”
ปลัด พร้อมภรรยารูปร่างอ้วนใหญ่ยืนส่งยิ้มให้ ทุกคนชะงัก
“สวัสดีครับนายพร ขอบคุณนายพรอย่างสูงที่ให้เกียรติเชิญผมมาทานข้าวที่บ้านเป็นการต้อนรับ ผมไม่ได้มาคนเดียวหรอกครับ นี่ครับ...พันธุรัตน์วดี ภรรยาของผมครับ” ปลัดแนะนนำ
เมียปลัดยกมือไหว้
“สวัสดีค่ะ อิฉันเป็นภรรยาคุณปลัดค่ะ”
พรกับสดรับไหว้อึ้งๆ
“ภรรยา...เมีย...คุณนายคุณปลัด” สดพึมพำ
ทุกคนต่างตกใจเมื่อเห็นรูปร่างของภรรยาปลัดคนใหม่
“หา คุณปลัดมีเมียแล้วเรอะ” พรผิดหวัง

เมื่อปลัดกลับออกไปจากบ้านได้สักครู่ สดหันมาเย้ยหยันพร ที่คุณปลัดคนใหม่มีเมียแล้ว ท่าทีพรสิ้นเรี่ยวแรง เพราะผิดหวังในตำแหน่งพ่อตาคุณปลัด
“ไงล่ะ ว่าที่พ่อตาหน้าใหญ่เท่าใบลานของคุณปลัดท่าน ท่านมีเมียแล้ว แล้วลูกสาวของอิฉันจะไปอยู่เป็นอะไรของคุณปลัด...หา”
“คุณนายพันธุรัตน์วดี มีน้ำหนักขนาดนั้นพี่ศรีแพรคงรับมือไม่ไหวละมั้ง พ่อ” ศรีไพรบอกขำๆ
“หรือพ่ออยากจะเป็นพ่อตาคุณปลัด จนต้องให้พี่สาวของแสนไปกินน้ำใต้ศอก คุณนายพันธุรัตน์วดี” แสนต่อว่า
พรแผดเสียงอย่างหัวเสีย พาลๆ
“เออ ช่วยกันรุมข้าดีนัก เอาซี อยากได้เขยอย่างไอ้เมินนัก ให้มันเอาเงินเอาทองเอานาคมาวางตรงหน้าข้า แล้วข้าจะยกลูกสาวให้”
สด แสน ศรีไพร และ ศรีแพร ต่างกระโดดโลดเต้นดีใจ
“แต่...” พรพูดขึ้น
ทุกคนชะงัก หันมามองพร
“แต่...อะไรอีกล่ะพ่อ” ศรีไพรถามอย่างสงสัย
พรทำหน้าเหี้ยม กอดอก ค่อยๆ หันมาแยกเขี้ยว
“ไอ้มุขเก่าๆ เสื่อมโทรม แบบที่เอาใบเงินใบทองกับใบนาคใส่พานขันหมากมาสู่ขอน่ะ...งดซะ...ข้ารู้ทันโว้ย”

ทุกคนหน้าสลดลงทันที

อ่านต่อวันพรุ่งนี้









กำลังโหลดความคิดเห็น