แก้วกลางดง ตอนที่ 17
เมียวดีนั่งกอดเข่าครุ่นคิดอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ฟ้าลั่นนั่งกอดเข่าอยู่ด้วยห่างๆ ไม่ค่อยกล้าพูดเพราะตัวเองก็มีคดี
“เอ่อ...ถ้าเมียพ่อนายตายละอีเมียว”
“ไอ้...หมาลั่น”
ฟ้าลั่นเงียบไปได้ครู่ แล้วก็เริ่มใหม่
“โอ๊ย...แต่ถึงไม่ตาย เราก็คงโดนไล่ออกจากบ้าน น้องเชอรี่ของพี่ฟ้า พี่ฟ้าขอลาก่อน”
“ไอ้หมาลั่น! เอ็งเงียบได้แล้ว ถ้าไม่เงียบข้าจะเอารองเท้ายัดปากเอ็ง...เอ็งไม่ต้องทุกข์ร้อน อยู่เฉยๆ เรื่องนี้ข้าจะรับผิดชอบเอง”
“เอ็งจะทำยังไงอีเมียว!”
เมียวดีไม่ตอบแต่ตัดสินใจเด็ดขาด ลุกขึ้น
บัวคลี่กึ่งนั่งกึ่งนอน วงศ์คอยดูแล ขณะที่คนอื่นๆมองอย่างเป็นห่วง
“เอายาลมอีกมั้ยคุณ” ทนงถาม
“ไม่แล้วค่ะ ดีขึ้นแล้ว”
เมียวดีเข้ามาโดยมีฟ้าลั่นตามมาห่างๆ ทุกคนเงียบกริบ อัญชิสาพูดขึ้นทำลายความเงียบ
“หวังว่าคงไม่หาเรื่องอะไรมาอีกนะเมียวดี เพราะคุณน้ายังไม่ค่อยหายดี”
ทรงเผ่ามองหน้า
“เธอออกไปข้างนอกก่อนดีกว่า อั๋นพาเมียวดีออกไปข้างนอกเถอะ ในนี้คุณน้าต้องการพักผ่อน”
“ได้ครับ ไปเถอะเมียวดี”
อั๋นสงสารเมียวดี แต่ขัดไม่ได้ แตะแขนเมียวดีให้ออกไป เมียวดีรั้งไว้ก่อน
“เรา...อยาก ขอเวลานิดเดียว เท่านั้น เรื่องที่เกิดขึ้นเราไม่มีอะไรแก้ตัว เราทำผิดจริง และก็ขอยอมรับทุกอย่าง เราเป็นคนนำไอ้หมาลั่นเอง เรื่องนี้จึงไม่เกี่ยวกับมัน”
ฟ้าลั่นอึ้ง
“อีเมียว!”
“เราขอรับผิดเรื่องนี้คนเดียว เราจะไปจากที่นี่”
ทุกคนตกใจ ยกเว้นอัญชิสา ที่สะใจ
“ฟ้าลั่นทำผิดเหมือนกัน ถ้าอีเมียวมันไป ฟ้าลั่นก็ขอไปด้วย”
ฟ้าลั่นหันไปพยักหน้าให้เมียวดี ประมาณว่าเพื่อนกันก็ไปด้วยกัน เมียวดียกมือไหว้ ฟ้าลั่นไหว้ด้วย
“เราขอบคุณ พ่อนาย ป้าวงศ์” เมียวดีมองหน้าทรงเผ่า “ที่ช่วยดูแลเรา...เรากราบขอโทษเมียพ่อนายอีกครั้ง”
เมียวดีก้มลงกราบที่บัวคลี่ ก่อนจะลุกขึ้น ทนงหันไปหาลูกชาย
“แกไม่พูดอะไรบ้างเหรอเจ้าเผ่า”
“เขา...” ทรงเผ่าตัดใจ “ตัดสินใจไปแล้ว”
อัญชิสารีบเสริม
“ใช่ค่ะ...รู้จักรับผิดแบบนี้ก็ดีแล้ว คิดดูซิคะ ถ้าคุณน้าเป็นอะไรขึ้นมารับผิดชอบแค่นี้มันก็ช่วยไม่ได้หรอกค่ะ”
อั๋นแอบเซ็งอัญชิสา บัวคลี่ถอนใจแล้วพูดขึ้น
“เดี๋ยวก่อนแม่เหมียว ขอยอมรับนะว่าฉันตกใจมากที่เธอเอาเสื้อผ้าออกมาเล่น แต่เสื้อผ้านั้นนะมันก็ไม่ได้เสียหายอะไรมากมาย เอามาซ่อมใหม่ก็ใช้ได้ แต่สิ่งที่ทำให้ฉันเสียใจมากกว่าคือ...”
บัวคลี่นิ่งไปทุกคนลุ้น
“ฉันจะหานางแบบคนใหม่มาแทนหนูอ้อนต่างหาก เพราะฉะนั้นเธอไม่จำเป็นต้องไปที่นี่หรอก เมียวดี ฟ้าลั่น เพราะเสื้อผ้าชุดนั้นมันไม่ได้ใช้อยู่แล้ว”
อั๋นหน้าเหวอ
“อ้าว...งั้นที่คุณน้าเป็นลม ก็ไม่ได้เพราะว่าโกรธเมียวดีนะซิครับ”
“ใช่จ๊ะ...น้ากลุ้มใจเรื่องนางแบบมากกว่า”
ทุกคนหน้าดีขึ้น อัญชิสาไม่ยอมแพ้
“แต่ยังไง เมียวดีก็มีส่วนล่ะค่ะ คุณน้าไม่สบาย ไหนจะกลุ้มใจเรื่องหาคนเดินแบบ มาเจอเรื่องเมียวดีเข้า ก็เลยยิ่งทำให้ทนไม่ไหว”
ทนงครุ่นคิด
“เอ...ถ้าหนูหวานจะว่าแบบนี้ งั้นให้เจ้าเหมียว มันรับผิดชอบด้วยการเดินแบบเป็นไง”
“แหม...คุณพ่อนี่มีอารมณ์ขันจังเลยนะคะ คุณเผ่า” อัญชิสาประชด
ทรงเผ่าไม่เห็นด้วย
“นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะครับคุณพ่อ เดี๋ยวได้ทำงานของคุณน้าวุ่นกันไปใหญ่”
บัวคลี่โพล่งขึ้นมา
“แต่น้าว่าดีนะ...จริงด้วยซิ รูปร่างยายเหมียวก็พอๆกับหนูอ้อน” บัวคลี่หันไปหาเมียวดี “ว่าไง ยายเมียว อยากเป็นนางแบบกับเขาบ้างมั้ย”
เมียวดีหันไปมองหน้าทรงเผ่า กับอัญชิสา เงียบไปนิด ก่อนตอบเสียงดังฟังชัด
“ถ้าเมียพ่อนายว่าเราทำได้ เราก็จะทำ เราอยากเป็นนางแบบงานนี้”
ทุกคนเฮ ยกเว้น อัญชิสาที่หมั่นไส้ ทรงเผ่าสบตาเมียวดี รู้ว่าหญิงสาวอยากเอาชนะตัวเอง
เชอรี่ ฟ้าลั่น วงศ์อยู่ในครัว เชอรี่ได้ยินที่ฟ้าลั่นบอกก็หัวเราะขำ
“อะไรนะ คุณเหมียวเนี่ยนะจะเดินแบบ ฮะ ๆๆ”
“ขำอะไรเหรอน้องเชอรี่”
“ก็คงต้องต้องรอลิงออกลูกเป็นแมวก่อนนะซิ”
ฟ้าลั่นหัวเราะขึ้นมาบ้าง
“ฮะๆๆ หรือไม่ รอพี่มีลูกกะน้องเชอรี่ก่อน ฮะๆๆ”
“ฮะๆๆๆ ไม่ตลก อย่ามาทำเนียนพี่ฟ้า”
ฟ้าลั่นถึงได้เงียบ วงศ์ที่กำลังค้นตู้ เอามะขามเปียกก้อนใหญ่ออกมา แล้วพูดขึ้นนิ่งๆ
“คงไม่ต้องรอนานขนาดนั้นหรอก เพราะคุณบัวคลี่เธอเป็นนางงามเก่า”
เชอรี่ชะงัก
“มันเกี่ยวอะไรกันล่ะคะ คุณแม่บ้าน คุณเหมียวไปเดินแบบไม่ได้ประกวดนางงามนี่คะ”
วงศ์ยิ้มเป็นนัย แต่ไม่พูดอะไร
“หึ...หึ”
วงศ์เดินออกไป เชอรี่หน้าเหวอ
“อ้าว...คุณแม่บ้าน นั้นจะไม่อธิบายมากกว่านี้เหรอคะ แล้วจะเอามะขามเปียกไปทำอะไร”
เมียวดีในชุดกระโจนอกนั่งอยู่ที่ลาน มีบัวคลี่ค่อยกำกับ วงศ์เอาก้อนมะขามเปียกที่ขยำน้ำ
ขัดตัวให้
“ขัดให้แรงๆเลยนะ เอาให้ขี้ไคลออกให้หมด”
เมียวดีเจ็บ
“อูย...โอ๊ย”
วงศ์จับตัวไว้
“อย่าหนีซิคะ คุณเหมียว”
“ก็มันแสบนี่...แสบชิบ...”
วงศ์กระแอม ให้สัญญาณพร้อมส่งสายตาดุ เมียวดีเลยเงียบยอมทน บัวคลี่สั่งการต่อ
“เดี๋ยวเสร็จแล้วก็เอาผงขมิ้นลงแล้วก็น้ำมะขามขัด แล้วก็ขมิ้นอีกทีนะแม่วงศ์”
เมียวดีตาเหลือก
“ห๊า! อีกรอบเหรอ...เดี๋ยวก็กลาย เป็นไก่ย่างขมิ้นกันพอดี”
วงศ์ส่งเสียงเข้มใส่
“จะไม่ทำเหรอคะ คุณเหมียว งั้นพอแค่นี้ก็ได้นะคะ”
เมียวดีจ๋อยๆ
“ก็ได้ๆ จะทำอะไร ก็ทำ”
เชอรี่กับฟ้าลั่นแอบดู อยู่มุมหนึ่ง ฟ้าลั่นแอบเชียร์เมียวดี
“สู้เขานะ อีเมียว”
อัญชิสายืนมองอยู่กับ ทรงเผ่าและ ทนง อัญชิสามองหยัน
“เดี๋ยวนี้สปงสปามีตั้งเยอะแยะ มานั่งขัดตัวกับน้ำมะขาม ลงขมิ้น มันจะทันกินเหรอคะ”
“ก็ใช่นะ มันอาจจะดูไม่ทันสมัย แต่เคล็ดลับโบราณแบบนี้แหละ ที่ทำให้คุณบัวคลี่เค้าได้สายสะพายมาแล้ว” ทนงพูดอย่างภูมิใจ
ทรงเผ่าแปลกใจ
“นี่คุณพ่อกำลังจะบอกว่า คุณน้ากำลังจะส่งเมียวดีเข้าประกวดหรือครับ”
ทนงยิ้ม
“เรียกว่า เด็กปั้นของน้าเราเลยล่ะ”
สองคนพ่อลูกแอบขำกัน แต่อัญชิสาแอบส่ายหน้าเยาะ
เมื่อถึงเวลาซ้อมเดิน บัวคลี่แตะคางเมียวดีให้เชิดขึ้น ข้างบนมีหนังสือวางไว้บนหัว เมียวดีเดินแล้วหนังสือหล่น
เธอพยายามเลี้ยงหนังสือได้เล็กน้อย ก็หล่นอีก บัวคลี่ไม่ได้ดั่งใจเดินให้ดู พร้อมยกมือไหว้อย่างนางงาม และสอนโบกมือ วงศ์ขัดขึ้น
“คุณคะ เดินแบบค่ะ ไม่ใช่ประกวดนางงาม”
“อ๋อๆ” บัวคลี่กลับมาเข้มต่อ “จำไว้ หน้าต้องเชิด ไหล่ต้องตรง พร้อมกับคิดในใจอยู่เสมอว่า ฉันสวยๆ ๆ ฉันต้องได้ตำแหน่ง...อุ๊บ!”
บัวคลี่รีบปิดปากที่หลุดอีก
วงศ์เอารองเท้าส้นสูงมาวาง เมียวดีหน้าเหวอ
“โอ้โห้ สูงขนาดนี้ ถ้าเดินได้ต้องไปเล่นกายกรรมแล้วล่ะมั่ง”
บัวคลี่ใส่รองเท้าสูงเดินเฉิบๆ เข้ามา ยกมือประมาณเห็นมั้ย แค่นี้เอง
“นับตั้งแต่นี้ต่อไป เธอต้องทำให้มัน เหมือนเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของเธอไม่ว่าจะกิน เดิน นอน โอเค้”
เมียวดีได้แต่อ้าปากค้างพูดไม่ออก
วันใหม่...เมียวดีใส่รองเท้าส้นสูงล้างแก้วอยู่ในครัว มองซ้ายมองขวาไม่เห็นใคร เธอแอบนั่งที่โต๊ะ ถอดรองเท้าด้วยความเมื่อย และเจ็บเท้าเพราะรองเท้ากัด
“อู๊ย...เจ็บชะมัด”
“อยากสวยก็ต้องอดทน นี่คือกฎข้อที่หนึ่งที่เธอควรจำไว้”
หญิงสาวหันไปเห็นทรงเผ่ายืนมอง เธอรีบใส่รองเท้าแต่ชายหนุ่มเร็วกว่า ก้มลงจับเท้าขึ้นมาดู
“ทำไมไม่บอกคุณน้า หรือแม่วงศ์ ปล่อยให้รองเท้ากัดขนาดนี้ได้ยังไง”
“อย่า...เราไม่อยากให้เมียพ่อนายเสียใจ เรายังไหว”
ทรงเผ่าส่ายหัว ก่อนจะเดินไปเปิดลิ้นชักที่ตู้ ค้น แล้วก็หยิบขวดยาออกมา
“ยาของแม่วงศ์ ฉันเห็นแกใช้มาตั้งแต่ฉันเป็นเด็ก ไม่ว่าจะยุงกัด หัวแตก ปวดขา เป็นลม ขวดเดียวอยู่ คงพอใช้ได้”
ทรงเผ่า เอามาทาให้เมียวดี
“งั้นคงเป็นยาดี ถึงแก้ได้หลายอย่างขนาดนี้ อู๊ยเบาๆ ซินาย”
เมียวดีก้มลงมาโวยเมื่อทรงเผ่าทายาหนักมือ จังหวะเดียวกับชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมา เจอกันพอดี
ต่างคนต่างชะงักกันไปเมื่อสบตากัน
“เธอทำแบบนี้ เพื่อคุณน้าบัวคลี่จริงๆ เหรอเมียวดี มันไม่ใช่ตัวเธอเลย”
หญิงสาวชะงัก แล้วก็ตัดใจพูดไม่จริง เพื่อไม่ให้เขาสงสัย
“ก็แล้วแต่นายจะคิดเราไม่มีสิทธิห้ามนาย แต่ถ้าไม่เตรียมตัวเราจะเป็นคุณนายตำรวจได้ยังไง”
ทรงเผ่าอึ้งไปอย่างเจ็บปวด กับคำพูดของหญิงสาว
“ฉัน...เข้าใจแล้ว”
ทรงเผ่าวางขวดยาแล้วเดินออกไป เมียวดีมองตามเสียใจ แต่ต้องกลั้นไว้
ค่ำคืนนั้น บรรยากาศหน้างานเดินแฟชั่นโชว์ มีแขกไฮโซจับกลุ่มทักทายกัน บัวคลี่ยืนอยู่กับทนง และรำพา มีนักข่าวกำลังสัมภาษณ์และถ่ายรูปอยู่
“งานเดินแบบในวันนี้ จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยนะคะ ถ้าไม่มีผู้มีจิตกุศล บริจาคสมทบทุนให้กับทางสมาคมของเรา...ถือว่าประสบความสำเร็จมากค่ะ”
“งั้นข่าวที่ว่ามีคนบริจาคถึง 3 ล้าน ก็เป็นความจริงใช่มั้ยคะ” นักข่าวถาม
นักข่าวอีกคนถามบ้าง
“ใครกันคะ คุณบัวคลี่ พอจะเปิดเผยได้ไหมคะ”
สาทิศที่เดินเข้ามาในงาน ท่าทางมาดมั่น รำพาหันไปเห็น ตาโตรีบชี้ไป
“แหม...พูดถึงก็มาเลย นั่นไงคะ เสี่ยใหญ่ที่บริจาคให้สมาคมของเรา”
รำพารีบเข้าไปดึงตัวสาทิศเข้ามา
“มาทางนี้เลยคะ คุณสาทิศ นักข่าวกำลังสัมภาษณ์อยู่เลยนะคะ”
รำพาบอกกับทุกคน
“น้องๆนักข่าวขา นี่ไงคะ เสี่ยสาทิศ ผู้บริจาคเงิน 3 ล้านบาทให้กับสมาคมของเราค่า”
นักข่าวถ่ายรูป สาทิศยิ้มร่า บัวคลี่เข้าไปทักทาย
“ดิฉันเป็นตัวแทนของสมาคม ขอบคุณคุณสาทิศด้วยนะคะ”
สาทิศยิ้มแย้ม
“ไม่เป็นไรครับ เศษเงินแค่ไม่กี่ล้าน แต่ถ้ามันช่วยสร้างอนาคตให้เยาวชนของเราได้ ผมก็ยินดีจ่ายครับ”
รำพาปลาบปลื้ม
“นักธุรกิจน้ำใจงาม รู้จักคืนกำไรให้กับสังคมแบบนี้ หายากนะคะ”
สาทิศอมยิ้มปลื้ม ทนงเขม่นในความขี้โอ่ของสาทิศ แต่ทักขึ้นมายิ้มๆ
“ถ้าเป็นการช่วย โดยไม่หวังผลตอบแทนมันก็น่าสรรเสริญนะครับ”
สาทิศชักสีหน้าเล็กน้อย แล้วเล่นละครเนียนๆ ทนงมองหน้า
“คุณสาทิศคิดยังไงหรือครับ ถึงได้บริจาคเงินให้เด็กที่ติดยาเสพติดเยอะขนาดนี้”
“ผมเป็นคนมีอดีตน่ะครับท่าน”
รำพาถามอย่างสนใจ
“ยังไงหรือคะ”
“ผมเสียน้องชายไปเพราะยาเสพติด ผมเลยไม่อยากให้เด็กๆต้องหมดอนาคต หรือเสียชีวิตอย่างน้องชายผม”
บัวคลี่อินไปด้วย
“โธ่...อย่างนี้นี่เอง ดิฉันเสียใจด้วยนะคะ”
สาทิศพยักหน้ารับ แล้วสร้างภาพต่อ
“ผมอยากช่วยเด็กๆ ทดแทนที่ผมช่วยน้องผมไม่ได้ แล้ว...ใครก็ตามที่ขายยาเสพติดมันจะไม่ใช่แค่อาชญากร แต่มันคือศัตรูของผมด้วยครับ”
บัวคลี่ รำพา ทุกคน ปรบมือ ปลาบปลื้ม มีทนงที่มองสาทิศแบบ เคลือบแคลงสงสัยว่าดูดีเกินจริง
“เยี่ยมมากค่ะ คุณสาทิศ”บัวคลี่ยิ้มชื่นชม
“สุดยอดค่า...” รำพาปลื้มมาก
ช่างทำผมแต่งหน้าให้เมียวดีอยู่ที่ห้องแต่งตัวหลังเวที...เมียวดีที่แต่งหน้าเสร็จแล้ว สวยงาม หันมาหาพวกช่างแต่งหน้า
“ว้าว เกิด แจ่มมากๆ ค่ะ คุณน้องขา” ช่างแต่งหน้าชม
“กินหนมจีบพุงกางแน่ๆค่ะ คุณเหมียว” ช่างผมเย้าแหย่
เมียวดียิ้มแย้ม
“ไม่มีหรอก ใครที่ไหนจะมาจีบเรา”
อั๋นยื่นหน้าเข้าไปดูห้องน้ำ อย่างสำรวจดูว่ามีอะไรหรือเปล่า
“ในห้องน้ำ เคลียร์!”
ชายหนุ่มถอยหลังออกมา เจอกับทรงเผ่าที่เปิดประตูห้องน้ำอีกห้องมาชนกันเข้าพอดี ทั้งสอง สะดุ้ง ผงะกันออกไป
“เฮ้ย”
“โห พี่เผ่า...ใจหายหมดเลยนะเนี้ย”
“แกมาทำลับๆล่อๆ อะไรแถวนี้วะ นี่อย่าบอกนะว่าเป็นพวก เสือซ่อนเล็บ”
อั๋นรีบมั่วไปเรื่องอื่น
“จะบ้าหรือพี่...ถ้าเป็นเกย์ แล้วผมจะจีบ เมียวดีทำไม”
ทรงเผ่าอึ้ง อั๋นเขินๆ ชี้ๆทรงเผ่า
“อะ อะ อย่าแซวนะครับ...ผมเขิน”
“อย่างแก เขินเป็นด้วยเหรอ”
“เขินสิพี่ ก็บอกแล้วว่าคนนี้ผมรักจริงหวังแต่ง”
ทรงเผ่าหน้าตึงขึ้นมาอีก อั๋นยิ้มๆ เพ้อต่อ
“นึกถึงวันที่ผมได้แต่งงานกับเมียวดี มันคงเป็นอะไรที่ผมคงมีความสุขที่สุดในโลกเลยนะพี่ ถ้าจะตายก็ตายตาหลับล่ะครับ”
“พูดอะไร ของแก ยังกับแช่งตัวเอง”
“ผมไม่ถือหรอกฮะ อย่าลืมเชียร์ผมด้วยก็แล้วกันนะ ว่าที่พี่เขย”
อั๋นเดินอมยิ้มออกไป ถอนหายใจอย่างโล่งอกที่เอาตัวรอดมาได้ ทรงเผ่าหนักใจ ถอนหายใจเฮือก
อ่านต่อหน้า 2 พรุ่งนี้
แก้วกลางดง ตอนที่ 17
เมียวดีในชุดเดรส สวย เก๋เดินโพสแบบนางแบบ ออกมาที่กลางห้องแต่งตัว แตกต่างจากเมียวดีคนเดิมที่เคยเป็นโดยสิ้นเชิง ช่างแต่งหน้าแต่งผม กรี๊ดกร๊าด ชมไม่ขาดปาก ฟ้าลั่น กับ เชอรี่ ยืนมองตะลึงตาค้าง
“แม่เจ้า สวยขาด” เชอรี่พูดออกมา อย่างลืมตัว
ฟ้าลั่นตะลึงๆ แล้วทำแค่นหัวเราะเยาะ
“หึหึ...สวยเหมือนไอ้ลิงจ๋อสิ เดี๋ยวๆมันก็ต้องออกลิงออกค่าง เหมือนเดิม”
เมียวดีแกล้งมองจิกตาส่งจูบให้ ฟ้าลั่นช็อคหงายหลังตึงไปเลย เชอรี่ตกใจรีบเข้าไปดูเห็นฟ้าลั่น ชักกระตุกอยู่
“ว้าย...พี่ฟ้า ตายเปล่าเนี้ย”
เมียวดีเข้ามามองฟ้าลั่นแบบ เป็นเมียวดีตามปกติ
“โธ่เอ๊ย ไอ้หมาลั่น นึกว่าจะแน่...เป็นลมซะแล้ว”
ฟ้าลั่นมองเมียวดีตาค้าง ยกนิ้วให้ แล้วสลบไปอีก
“สุดยอด...คร๊อก...”
เมียวดีหัวเราะขำฟ้าลั่น แล่บลิ้นหลอก เชอรี่หันมาต่อว่าเมียวดี
“คุณเหมียวเนี่ย จริงๆเลยนะ แต่งตัวสวยเป็นนางฟ้าแล้วยัง มาเล่นเป็นเด็กกะโปโลเหมือนเดิมเลย”
“ก็เราเป็นคนเดิมนี่ เชอรี่ ถึงจะแต่งตัวยังไง แค่ไหน เราก็ยังเป็นเราอย่างนี้แหละ”
“อุ๊ย...คุยกับคุณเมียวแล้วปวดหัวจริงๆ”
ทันใดนั้นเสียงอัญชิสาดังเข้ามา ทุกคนหันไปมองเป็นตาเดียว
“เด็กป่าก็อย่างนี้แหละ ไม่ค่อยรู้จักกาลเทศะ”
“คุณหวาน”
อัญชิสาเดินเข้ามามองเมียวดี หัวจรดเท้า
“แต่งตัวเสร็จแล้ว ก็ไปสแตนบายสิ มายืนเป็นเบื้ออยู่ทำไม”
เมียวนิ่งเชิด หวานถากถางต่อ
“ฉันพูดไม่ได้ยินหรือจ๊ะ เมียวดี”
“หูเราไม่ได้หนวก ทำไมจะไม่ได้ยิน”
“แล้วทำไมยังไม่ไปอีก...” อัญชิสาทำเป็นนึกได้ “อุ้ยตาย! โทษที เห็นเธอแต่งตัวเป็นนางแบบไฮโซแล้วจะรู้ภาษาอังกฤษด้วย ลืมไปเลย ว่ากำพืดเดิม เธอมันมาจากป่าจากเขา ไม่รู้หรอกว่า สแตนบายแปลว่าอะไร”
“พี่ทีมงานบอกว่า ถึงเวลาเมื่อไร เขาจะมาตามเราไปสแตนบายหลังเวทีเอง”
อัญชิสาชักสีหน้า
“นี่เธอ...”
“ถึงเราไม่รู้ภาษาอังกฤษ แต่เรารู้ว่า เรามีหน้าที่อะไร แล้วเราควรจะฟังคำสั่งของใครบ้าง”
อัญชิสาฉุน ช่างแต่งหน้า ช่างผมสองคน คิกคักชอบใจที่เมียวดีพูด
“เจิดค่ะ”
อัญชิสามองช่างทั้งสอง เหวี่ยง จิก ช่างจ๋อยไป อัญชิสาหันมาพูดกับเมียวดี
“ฉันพูดเพราะฉันหวังดีกับเธอนะเมียวดี แต่ถ้าเธอยอกย้อนฉันแบบนี้ ฉันก็คงต้องเรียนให้คุณน้าบัวคลี่ทราบแล้วล่ะ”
อัญชิสาทำท่าจะหันออกไป ฟ้าลั่นที่สลบอยู่ ลุกขึ้นมานั่งกะทันหัน อัญชิสาตกใจ
“ว้าย”
ฟ้าลั่นชี้ไปที่ประตู
“นั่นประตู...เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา แล้วตรงไปฟ้องเลย”
“พวกอวดดี ไม่ต้องมาท้าฉันหรอก”
อัญชิสาสะบัดหน้าพรืด เดินลิ่วออกไป ฟ้าลั่นหันมายักคิ้วกับเมียวดี ช่างหน้าช่างผม หัวเราะกันคิกคัก เมียวดีมองตามออกไป ส่ายหน้าถอนใจ
อัญชิสาเดินเข้ามาที่มุมหนึ่งที่ลับตาคน อย่างอารมณ์เสีย
“เด็กบ้า แต่งเนื้อแต่งตัวเข้าหน่อย ทำคอแข็ง”
ทันใดนั้นมือสาทิศก็โผล่ออกมา ล็อกคอดึงเข้ามุมลับตาคน อัญชิสาตกใจดิ้นขลุกขลัก
“ว๊าย...ปล่อย ฉันนะ...ปล่อยฉันนะ”
อัญชิสาจะทุบ สาทิศจับมือไว้
“จำผัวไม่ได้หรือจ๊ะ ที่รัก”
“คุณสาทิศ!”
สาทิศยิ้มกริ่มแล้ว ก้มลงมา ซุกไซร้ทันที อัญชิสารีบห้าม
“พอเถอะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้าหรอก นี่มันงานใหญ่โต อย่ามาทำรุ่มร่ามแถวนี้”
สาทิศชะงัก
“ขอโทษที ผมลืมไป ว่าคุณมันผู้ดีไฮโซ”
“ไม่ต้องมาแขวะหวานหรอกนะ คุณเองไม่ใช่เหรอที่อยากจะเข้ามาอยู่ในวงสังคมชั้นสูงแบบนี้เหมือนกัน”
สาทิศยิ้ม แล้วเอามือไล้ที่แก้ม อัญชิสาเบาๆ
“คุณเป็นคน ที่รู้ใจผมที่สุดเลยนะ หวาน...มีเงินมันก็ดีอย่างนี้ซื้อได้ทุกอย่าง ไม่ว่า จะเป็นชื่อเสียง เกียรติยศ หรือแม้กระทั่ง หัวใจคน”
อัญชิสาปัดมือสาทิศออก ตัดบท
“อย่ามาพูดจาเพ้อเจ้ออยู่เลยค่ะ งานกำลังจะเริ่มแล้วนะ”
“ใช่...งานใหญ่ที่มีเม็ดเงินมหาศาลเสียด้วย”
อัญชิสาชะงัก
“คุณพูดอะไรน่ะ งานอะไร”
“ก็งานเดินแบบของคุณนี่แหละ ผมถือว่ามันเป็นงานที่มีมูลค่ามากที่สุด แล้วคุณจะต้องเป็นดาวเด่นของงานนี้แน่นอน ผมรับประกันได้”
อัญชิสาเชิด เข้าใจว่าสาทิศ เยินยอ ไม่รู้เรื่องว่าสาทิศหมายถึงการส่งยา
“มันชัวร์อยู่แล้ว ถ้าไม่เด่นที่สุด ก็ไม่ใช่หวานน่ะสิ...”
อัญชิสาเชิด เดินออกไปเลย สาทิศมองตามยิ้มมีแผน
อั๋นเซ็นสมุดเยี่ยมเสร็จ แล้วหันออกมาหมุนปากกาที่เซ็นทำทีเหมือนจะ เก็บเข้าอกเสื้อสูทเนียนๆ
แล้วพูดขึ้น
“เคลียร์ ยังไม่พบผู้ต้องสงสัย”
สารวัตรอยู่ในรถโอบีที่จอดอยู่ที่ลานจอดรถโรงแรม ใส่เฮดโฟนดูจอมอนิเตอร์ภาพในงานมุมต่างๆ มีตำรวจเจ้าหน้าที่อีกคนคอยควมคุม สารวัตรพูดโต้ตอบกับอั๋น
“มันต้องแฝงตัวเข้ามาแน่...จับตาดูผู้หญิงในชุดสีฟ้าให้ดี”
อั๋นเดินเข้ามา ที่มุมหนึ่ง กวาดสายตามองไปรอบๆสแกนหาผู้หญิงในชุดสีฟ้าแล้วสะดุดตากับหญิงวัยกลางคนในชุดสีฟ้าคนหนึ่ง เธอทำท่าลับๆล่อๆ เหมือนซ่อนอะไรไว้ที่กระเป๋า อั๋นมองตาลุก
“สารวัตรศักดิ์สิทธิ์จริงๆ พูดปุ๊บ ป้าแกมาปั๊บเลย”
หญิงชุดฟ้า หลบหลีกผู้คนออกไปจากงาน อั๋นดึงเสื้อสูทขึ้นนิดๆ พูดสื่อสารกับปากกา
“หญิงชุดฟ้าปรากฏตัวแล้วฮะ ผมกำลังตามไปทาง เก้า นาฬิกา”
อั๋นรีบเดินตามหญิงคนนั้นไป
เมียวดีล้วงไปในกระเป๋าถือของนางแบบ นางหนึ่ง ที่วางไว้ในห้องแต่งตัว
“ไม่พบอะไรน่าสงสัย ใบนี้ผ่าน”
เมียวดีเข้าไปค้นกระเป๋าอีกใบที่วางไว้ในห้องเช่นกัน ทันใดนั้นทรงเผ่าเข้ามาในห้อง
“ทำอะไรน่ะ”
เมียวดีสะดุ้งแล้วรีบ ซุกกระเป๋าก้มหน้างุด
“เปล่า”
“ยังจะเปล่าอีก ฉันเห็นนะว่าเธอซ่อนกระเป๋าไว้น่ะ ริเป็นขโมยแล้วเหรอเรา”
“เราไม่ใช่ขโมย”
“ไม่ใช่แล้วมาค้นกระเป๋าคนอื่นทำไม”
“เอ่อ ก็...เรา...เรา...”
“ไม่ต้องมาแก้ตัวเลย”
ทรงเผ่าดึงแขนเมียวดีหันหน้ามาหน้าใกล้กัน ทำให้สามารถพินิจเธอได้ชัด ทรงเผ่า อึ้งตาค้าง กับความสวยของหญิงสาว เมียวดียังไม่เข้าใจเถียงฉอดๆ ชายหนุ่มกลับไม่ตอบโต้สักคำ จนเธอเองก็มึนไปเหมือนกัน
“เราไม่ได้ทำอะไรผิดนะ นายนั่นแหละ อยู่ๆ มาหาเรื่องเรา ว่างนักหรือไง ถึงได้คอยมาจับผิดเราอยู่ได้”
ทรงเผ่ายังจ้องเมียวดีไม่วางตา
“นาย!...นี่ฟังเราพูดหรือเปล่า”
ทรงเผ่าสะดุ้ง เขินๆ
“ฉัน...เอ่อ...”
เมียวดีเข้าใจไปอีกอย่าง
“มองหน้าอย่างนี้จะหาเรื่องอีกใช่มั้ย”
“เปล่า...คือ ฉันอยากจะบอกว่าวันนี้เธอ...เธอ...”
ทรงเผ่าจะบอกว่าสวยมาก แต่ก็ไม่กล้าพูด เปลี่ยนใจเป็นเข้มเหมือนเดิม
“เธอนั้นแหละ อย่าเที่ยวไปหาเรื่องวุ่ยวายอะไรอีก งานนี้มีแต่ผู้ใหญ่ทั้งนั้น”
“แค่นี้ใช่มั้ย ที่นายเป็นห่วง”
ทรงเผ่าอยากพูดแต่ไม่กล้า
“ไว้รอดูแล้วกันว่าเราได้หรือเปล่า...ไม่ว่างทะเลาะกับนายแล้ว”
เมียวดีผลักเขากระเด็นออกไป
“เฮ้ย...”
ทรงเผ่ามองออกไป เห็นเมียวดีวิ่งออกประตูไปลิบๆ ก็บ่นเบาๆ
“เมียวดี!...มีอีกอย่างที่ฉันอยากบอก วันนี้เธอสวยมาก”
ทรงเผ่า มองตามไปด้วยความปลื้ม แต่เมียวดีวิ่งลับไปแล้ว ไม่ได้ยิน
เมียวดีวิ่งหนีมาหลบที่ซอกผนังมุมหนึ่ง ทรงเผ่าวิ่งตามมาเหลียวซ้ายแลขวา มองหาไม่เจอ แล้วเลยวิ่งออกไปอีกทาง
“หายไปไหนแล้ว ไวจริงๆ เลย”
พอทรงเผ่าออกไป เมียวดีค่อยโผล่หน้าออกมาจากที่ซ่อน ย่นจมูกใส่
“ถ้าหาเจอ ก็ไม่ใช่อีเมียวซิ”
เมียวดีหันเดินออกไปอีกทาง
หญิงกลางคนเดินถือกระเป๋าหนีบ เดินลิ่วไปทางหนึ่ง อั๋นสะกดรอยตามมาด้านหลัง อยู่ห่างๆ พอประมาณ เมียวดีเลี้ยวมุมตึกออกมา แล้วชนกับหญิงวัยกลางคน กระเป๋าหนีบร่วง เมียวดีตกใจ รีบจะไปหยิบกระเป๋าที่หล่นคืนให้ หญิงคนนั้นรีบตะครุบไม่ให้จับกระเป๋า
“ขอโทษนะป้า”
“อย่ายุ่ง”
หญิงทำท่าจะวิ่งหนีออกไป อั๋นรีบโดดออกมาขวางหน้าแล้วหยิบตราตำรวจจากอกเสื้อออกมาชู
”หยุด นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ”
หญิงคนนั้นตกใจ
“ว้าย”
“ของอยู่ที่ไหน”
“ฉัน...ฉันไม่รู้”
หญิงคนนั้นหันจะวิ่งหนีไปอีกทาง เมียวดีกระโดดไปล็อกตัวไว้
“จับได้แล้ว หมวด”
“ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดนะ มาจับทำไม ปล่อยนะ”
อั๋นรีบเข้าไปฉวยกระเป๋าหนีบขึ้นมา
“ยังจะปากแข็งอีกเหรอป้า ถ้าไม่ใช่ยาไอซ์ แล้วจะเรียกว่าอะไร”
อั๋นหยิบของจาก กระเป๋าหนีบขึ้นมาโชว์ อย่างมาดมั่น หญิงคนนั้นพูดขึ้น
“ออเดิฟ!”
อั๋นสะดุ้งแล้วดูออฟเดิฟในมือ หน้าแตก เมียวดีเหวอไปด้วย
“เฮ้ย...”
“อ้าว!”
หญิงคนนั้นสะบัดตัวออกจากเมียวดี มาหันมาต่อว่าอั๋น
“เห็นชัดหรือยังคะ นี่มันออเดิฟค่ะ ไม่ใช่ยาอ๊ง ยาไอซ์อะไรกัน”
“โธ่...แล้วป้าทำตัวลับๆ ล่อๆ ทำไมล่ะครับ”
“เอ้า...ฉันแอบหยิบออเดิฟในงานมาเลี้ยงแมวจรจัด ขืนทำประเจิดประเจ้อก็อายแขกในงานแย่สิ”
“เฮ้อ เวรกรรม พลาดของจริงเลยนะเนี่ย”
หญิงคนนั้นหันมาหาอั๋นยื่นมือให้จับ
“ถ้าฉันทำผิดนัก ก็จับฉันเลยสิคะ จับเลยค่ะ คุณตำรวจ จับเลย”
“คุณป้า เอ๊ย...คุณพี่ ใจเย็นนะครับ”
หญิงคนนั้น ได้ยินคำว่าคุณพี่ค่อยสีหน้าดีขึ้นหน่อย
“มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดน่ะครับ ผมขอโทษคุณป้าเอ๊ย...คุณพี่ด้วยนะครับ” อั๋นจ๋อยสนิท
ช่วงเวลาเดียวกันนั้น ทรงเผ่ามองหาเมียวดีในงาน เขาพบฟ้าลั่น กำลังโพสท่าเป็นผู้ดีถือแก้วไวน์อยู่ ให้เชอรี่ถ่ายรูปจากกล้องมือถือ ทรงเผ่ารี่เข้าไปถาม
“ฟ้าลั่น เชอรี่ เห็นเมียวดีไหม”
เมียวดีทรุดลงนั่งที่บันไดหนีไฟ อย่างเหนื่อยอ่อน อั๋นตามเข้ามาบ่นเซ็งๆ
“เฮ้อ...หน้าแตก หมอไม่รับเย็บเลย ไม่รู้จักดูให้ดีก่อน ฉันเนี่ยมันแย่ๆจริง ๆ เล๊ย”
เมียวดีหลุดปากพูดเรื่องสายตำรวจไป
“ช่างเถอะหมวด คนร้ายก็คงยังอยู่ในงานนี่แหละ สายบอกว่า แฝงตัวอยู่ในหมู่นางแบบไม่ใช่เหรอ”
อั๋นมองแปลกใจ เมียวดีรู้ได้ไง หญิงสาวลุกขึ้นยืน
“เราจะช่วยหมวดจับผู้ร้ายเองนะ เราจะพลาดท่าอีกไม่ได้แล้ว”
เมียวดีจะเดินไป อั๋นหันไปถาม
“เฮ้ย...นี่ เธอ รู้เรื่องสายตำรวจได้ไง”
เมียวดีชะงัก อึ้ง แล้วรีบแก้ตัว
“เปล่าๆ เราเดาเอาน่ะ”
เมียวดีจะไปอีก อั๋นดึงมือไว้ ทำหน้าจริงจัง
“เรื่องนี้เป็นความลับราชการ สำคัญมากนะ เธอพูดมาตรงๆดีกว่า อย่ามาโกหกฉันเลย”
เมียวดีเจื่อนๆ อึกอัก
“เอ่อ...คือ เรา...เราบังเอิ๊ญ...ได้ยินนะ”
เมียวดีเล่าให้อั๋นฟังว่า ก่อนหน้านี้เธอแอบฟังอั๋นคุยมือถือกับสารวัตร...
‘เท่าที่ผมสังเกตดูตอนนี้ยังไม่พบอะไรน่าสงสัย...อะไรนะครับ นางแบบเหรอ แต่พวกนางแบบที่มาเดินก็เป็นพวกคุณหนูไฮโซทั้งนั้น ดูไม่น่ามีใครเป็นสายส่งของพวกมันอย่างที่สารวัตรได้ข่าวเลยนะครับ’
เมียวดีจ๋อยๆ
“แต่ เราไม่ได้แอบฟังจริงๆ นะ”
อั๋นคิดอยู่นิด แล้วก็คิดได้ อย่างจริงจัง
“แล้วเธอก็เลยยอมมาเดินแบบ เพื่อช่วยฉันจับผู้ร้ายใช่มั้ย เพราะผู้หญิงอย่างเธอไม่น่าอยากทำอะไรแบบนี้หรอก ถึงจะคุณน้าบัวคลี่ขอร้องก็เถอะ ฉันคิดอยู่เหมือนกันว่าเธอรับปากง่ายเกินไป ใช่มั้ย”
“ก็ คงงั้นแหละ”
อั๋นเสียงเข้มมาก
“เมียวดี!”
เมียวดีตกใจ คิดว่าอั๋นโกรธ
“โธ่ หมวดอย่าโกรธเราเลยนะ เราอยากช่วยหมวดจริงๆนะ เอาล่ะ...เราไหว้ล่ะ”
เมียวดีทำท่าจะยกมือไหว้ แต่แล้วอั๋นกลับดึงเข้าไปกอดทันที เมียวดีตกใจ
“ขอบใจมากนะ เธอนี่เป็นผู้หญิงที่น่ารักที่สุดในโลกเลย”
อั๋นกอดเมียวดียิ้มตื้นตันใจ เมียวดีตัวแข็งหน้าเหวอ ไม่เข้าใจว่าเขาอารมณ์ไหนกันแน่
มุมหนึ่งของงาน...ฟ้าลั่นคุยกับ ทรงเผ่า เชอรี่ยืนอยู่ข้างๆ
“จากที่นายเล่ามา ฟ้าลั่นว่า อีเมียวมันตื่นเต้นแน่ๆเลย”
“ตื่นเต้นอะไรกัน”
เชียรี่แปลกใจ
“นั่นสิ...อย่างคุณเหมียวตื่นเต้นเป็นด้วยเหรอ ทโมนออกจะตาย”
“อีเมียวมันไม่เคยมีนิสัยขี้ขโมย ฟ้าลั่นเอาหัวเป็นประกันได้...นายเอง ก็น่าจะรู้จักอีเมียวมันดีนะ มันคงเที่ยวค้นหายาหม่องยาดม มาดมแก้เวียนหัวเพราะความตื่นเต้นน่ะแหละ”
ทรงเผ่าอึ้งไป บัวคลี่เดินเข้ามาพลางยิ้มให้
“คุณเผ่ามาอยู่นี่เอง”
“มีอะไรหรือเปล่าครับคุณน้า”
“ไม่มีอะไรหรอกจ๊ะ แค่อยากจะขอตัว สองคนนี้ไปช่วยงานหน่อยน่ะจ๊ะ” บัวคลี่หันมาทาง ฟ้าลั่นกับเชอรี่ “ฟ้าลั่น เชอรี่ ไปแจกของชำร่วยทางโน้นหน่อยนะ พอดีคนไม่พอน่ะ ตามมา เร็วๆเข้า”
บัวคลี่เดินนำออกไป เชอรี่ดึงแขนฟ้าลั่นออกไปด้วย ฟ้าลั่นหันมาพูดกับทรงเผ่า ก่อนออกไป
“นาย...ถ้านายเจออีเมียว ฝากบอกมันด้วยนะ ว่าอย่าตื่นเต้น ฟ้าลั่นกับน้องเชอรี่เอาใจช่วยมัน...อย่าลืมนะนาย”
ทรงเผ่า ถอนหายใจ
“ทรงเผ่าเอ๊ย คนกำลังตื่นเต้น แทนที่แกจะช่วยให้กำลังใจ กลับว่าเขาเสียงั้น” ชายหนุ่มชะงักเหมือนคิดอะไรออก “เอ๊ะ...ให้กำลังใจงั้นเหรอ”
ทรงเผ่าคิดๆ แล้วมองไปเห็น มะเฟืองที่ฝานเสียบแก้วเครื่องดื่มเหมือนดาว แล้วนึกอะไรได้
ทรงเผ่าหยิบกระดาษขาวที่โรงแรมมีวางไว้ให้จดโน้ตขึ้นมา แล้วลงมือพับกระดาษให้เป็นดาว
อย่างตั้งใจ เขานึกถึงคำพูดของเมียวดีเมื่อในอดีต
‘พ่อเคยเล่าให้ฟัง ว่าตอนเราเกิด พ่อเห็นดาวเล็กๆ เหนือดาวสามดวงนั้นส่องประกายวาบขึ้นมา พ่อบอกว่าเป็นดาวประจำตัวเรา’
ทรงเผ่า พับดาวอย่างตั้งใจ จนเสร็จพอดีหยิบดาวขึ้นมาดูอมยิ้ม
“ดาวดวงนี้คงพอจะแทนดาวประจำตัวของเธอได้นะ หวังว่ามันจะทำให้เธอมีความสุข แล้วก็ มีกำลังใจขึ้น”
อั๋นเดินมากับเมียวดี แล้วเมียวดี สะดุดส้นสูงจะล้ม
“โอ๊ย”
“ระวัง...เป็นอะไรมั้ย”
“ไม่เป็นไร หมวด...เราไม่ค่อยถนัดใส่ส้นสูงน่ะ”
เมียวดีจัดการ ถอนรองเท้าส้นสูงของตัวเองออกมาถือไว้
“อู้ย...เมื่อยเป็นบ้า ไม่รู้ว่าพวกผู้หญิงในเมืองใส่กันได้ยังไง”
อั๋นมองเมียวดี ยิ้มๆเอ็นดู
“หัวเราะเยาะ เราเหรอ”
“เปล่า...ฉันว่า...เธอน่ารัก”
“ฮะ!”
อั๋นไม่ตอบ กลับคว้ามือเมียวดี เดินไปที่เก้าอี้ตัวหนึ่งที่ตั้งอยู่ข้างทางแล้วจับเธอนั่งลง ก่อนจะทรุดลงนั่งคุกเข่าที่พื้นข้างๆ
“อะไรๆ หมวด นี่ จะทำอะไร”
อั๋นจะจับเท้าเธอมานวด เมียวดีดึงเท้าหนี
“หมวด...อย่า...”
“ก็เธอเมื่อยไม่ใช่เหรอครับ ฉันจะนวดให้ไง”
เมียวดีอึ้งๆ
“แต่หมวดเป็นผู้ชาย จะมาจับเท้าผู้หญิง ไม่ดีหรอก”
“มีข้อยกเว้นไว้สำหรับผู้ชายที่กำลังมีความรัก...เขาทำทุกอย่างได้เพื่อผู้หญิงที่เขารักเสมอ”
เมียวดียิ่งอึ้งพูดไม่ออก อั๋นถือโอกาสนวดเท้าให้ ทรงเผ่า เดินเข้ามาจากอีกทางเห็นอั๋นกำลังนวดเท้าให้เมียวดี แล้วอึ้ง หน้าเจื่อนไปทันที ชายหนุ่มดูดาวกระดาษในมือ แล้วมองไปที่ ทั้งสองอีกครั้ง อย่างรู้สึกหมดใจ หมดคุณค่า ทรงเผ่าวางดาวกระดาษลงที่ โต๊ะวางของประดับที่จัดตั้ง ริมทางเดินในโรงแรมนั้นแล้วเดินหนีออกไป อย่างคนอกหัก พอทรงเผ่าหายลับไป เมียวดีก็บอกให้อั๋นหยุด
“พอเถอะ หมวด เราหายแล้ว”
“ไม่ต้องเกรงใจหรอก”
เมียวดี ถือโอกาสดึงเท้าออก แล้วลุกขึ้นยืน
“มันใกล้เวลาเดินแบบแล้วนะ หมวด เราคงต้องไปแล้ว”
“งั้นเดี๋ยวฉันเดินไปส่ง”
“ไม่ต้องหรอก หมวดไปทำหน้าที่ของหมวดเถอะ”
เมียวดีรีบคว้ารองเท้าส้นสูง แล้วรีบวิ่งออกไป อั๋นร้องเรียกตาม
“เดี๋ยวก่อนเมียวดี”
ทันใดนั้นเสียง ปากกาสั่นดังขึ้นมา อั๋นหยิบปากกาออกมาพูด
“ครับ สารวัตร มีอะไรครับ”
เมียวดีวิ่งเข้ามา เลยโต๊ะที่วางดาวไปหน่อย แล้วฟ้าลั่นกับเชอรี่ที่ถือถุงใส่ของชำร่วยเดินผ่านเข้ามา เชอรี่เรียกไว้
“คุณเหมียว หายมาอยู่นี่เอง”
ฟ้าลั่นรีบถาม
“เจอนายหรือเปล่า”
“เปล่า...ทำไมเหรอ”
“อ้าว...ก็เมื่อกี้ข้าเห็นนาย เดินมาทางนี้นี่นา”
เมียวดีแปลกใจ
“นายเหรอ”
เชอรี่หันไปดุฟ้าลั่น
“นี่อย่ามัวพูดมากอยู่เลยพี่ฟ้า เดี๋ยวโดนคุณบัวคลี่บ่นตาย”
“ข้าไปก่อนล่ะ เดี๋ยวจะรีบไปจองที่หน้าเวที คอยดูเอ็งเดินตกส้นสูง ฮ่าฮ่าฮ่า”
เมียวดีด่าตาม
“เออ...ถ้าข้าเดินได้ อย่าลืมมาให้เตะก้นก็แล้วกัน ไอ้หมาลั่น”
เมียวดีเหลือบตามองไปเห็นดาวกระดาษที่ทรงเผ่าวางไว้ เธอเข้าไปหยิบขึ้นมาดูอย่างแปลกใจ
“ดาว...”
เมียวดีนึกถึงอดีตขึ้นมา ตอนนั้นเธอกับทรงเผ่าดูดาวอยู่ด้วยกัน หญิงสาวนึกถึงคำพูดของชายหนุ่มในวันนั้น
‘ตำแหน่งตรงนั้นคงเป็นหัวใจของนายพรานพอดี เธอคือแก้วตาดวงใจของตาจั่น’
เมียวดีอึ้งรู้สึกรับรู้ได้ว่า ทรงเผ่ามาทางนี้จริงๆ เพราะมีดาวดวงนี้เป็นหลักฐาน
“นาย...ต้องเป็นนายแน่ๆ”
เมียวดียิ้มมองดาวกระดาษในมืออย่างดีใจ หญิงสาวเหลียวมองหาเขาแล้วรีบวิ่งออกไปตามหา
“นาย!”
อ่านต่อตอนที่ 18 พรุ่งนี้
แก้วกลางดง ตอนที่ 18
เมียวดีกำดาวกระดาษในมือ แล้ววิ่งไปตามหา ทรงเผ่า ตามมุมต่างๆ
“นาย...นายอยู่ไหน”
สักครู่เธอก็ได้ยินเสียงคนเดินก๊อกๆ เลี้ยวหายไปทางหนึ่ง เมียวดีเอะใจรีบตามไปดู เธอเดินไปถึงห้องเก็บของที่เปิดประตูอ้าอยู่
“นาย...นายใช่มั้ย”
ประตูปิดปัง เมียวดีตกใจ หันวิ่งกลับไปที่ประตูแต่ปรากฏว่าประตูโดนล็อกจากข้างนอกเสียแล้ว
“เฮ้ย...อะไรเนี้ย”
อัญชิสาใส่กุญแจล็อกหน้าประตู แล้วโยนลูกกุญแจทิ้ง ยิ้มกระหยิ่มแล้วเดินออกไป เมียวดีทุบประตูจากข้างใน
“เปิดประตู...ใครอยู่ข้างนอกเปิดประตูที”
บัวคลี่กับรำพากำลังคุยกันอยู่หลังเวที มีนางแบบ ช่างแต่งหน้ารออยู่ บัวคลี่ประกาศขึ้น
“ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อมนะจ๊ะ จะได้เวลาแล้วนะ”
อัญชิสาเดินเข้ามา รำพามองอย่างชื่นชม
“ลูกหวานขา อุ้ยตายแล้ว สวยที่สุดเลยค่ะ”
“คุณแม่ก็ชมหวานเกินไป” อัญชิสาหันไปหาบัวคลี่ “คุณน้าว่ายังไงค่ะ จะให้หวานเติมอะไร อีกไหมคะ”
บัวคลี่ยิ้มให้
“ไม่ต้องแล้วล่ะจ๊ะ หนูหวานน่ะ เฟอร์เฟคที่สุดแล้ว”
อัญชิสาน้อยใจ
“แต่ยังไง ก็ยังไม่ใช่คนที่ใส่ชุดฟินาเล่”
รำพารีบเสริม
“นั่นสิคะ คุณบัวคลี่ไม่น่าให้ยายลิง...เอ่อ เด็กเมียวดี ใส่ชุดสำคัญอย่างนั้นเลยนะคะ เกิดเสียหายอะไรขึ้นมา ดิฉันกลัวว่าคุณบัวคลี่เองแหละค่ะ จะเสียชื่อ”
“ไม่ต้องห่วงหรอกนะคะ ดิฉันมั่นใจว่าเมียวดีต้องทำได้แน่นอนค่ะ” บัคลี่มองหา “แล้วนี่ เมียวดีล่ะ อยู่ไหน”
ทีมงานรีบวิ่งเข้ามารายงานหน้าตื่น
“แย่แล้วค่ะ คุณบัวคลี่”
“มีอะไรเหรอ”
“คุณเมียวดี หายตัวไปไหนก็ไม่ทราบค่ะ”
รำพาโวยวาย
“อะไร...นี่มันจะได้เวลาเดินแบบแล้วนะ”
ทีมงานหน้าเสีย
“พวกหนู หากันให้ควั่ก แล้วก็ไม่เจอเลยค่ะ”
บัวคลี่ยุ่งยากใจ
“ทำไมถึงได้เป็นแบบนี้” บัวคลี่หันมาทางอัญชิสา “หนูหวาน เห็นเมียวดีไหมคะ”
อัญชิสาทำเนียนไม่รู้เรื่อง
“ไม่เห็นเลยค่ะ คุณน้า...เดี๋ยวหวานช่วยตามให้ไหมคะ”
“ไม่ต้องค่ะ ไม่ต้อง เดี๋ยวน้ากับทีมงานจัดการเองดีกว่า” บัวคลี่สั่งทีมงาน “ตาม
ตัวให้ได้ อีกห้านาที งานต้องเริ่มแล้ว”
อัญชิสาแอบสะใจมาก
บนเวที...พิธีกรออกมากล่าวเปิดงาน
“สวัสดีครับ แขกผู้มีเกียรติ ทุกท่าน ขอต้อนรับแขกผู้มีเกียรติเข้าสู่งานร่วมใจช่วยเยาวชนไทยพ้นภัยยาเสพติดนะครับ”
ทนง ฟ้าลั่น เชอรี่ อยู่มุมหนึ่งในงาน ปรบมือรับ พร้อมทุกคนในงาน ขณะที่มุมหนึ่งด้านหลัง ทรงเผ่าวางแก้วไวน์เปล่าลงในถาด เอาแก้วใหม่จากบริกรที่ถือมา
“ขออีกแก้วมาต่ออีกเลยนะ”
สาทิศเดินเข้ามาทัก
“ดื่มหนักจังเลยนะครับคุณทรงเผ่า ไม่ทราบว่ามีปัญหาเรื่องงาน หรือเรื่องหัวใจกันล่ะครับ”
ทรงเผ่าชะงักกึก หันไปหาเห็นสาทิศยิ้มกริ่มอยู่
“ยังไงมันก็คงไม่เกี่ยวกับคุณทั้งสองเรื่อง”
สาทิศหัวเราะๆ
“นั่นนะสิครับ...เราอยู่กันคนละวงการ แล้วแฟนของคุณ คุณหวานก็เป็นคนที่เพียบพร้อมทั้งหน้าตา ฐานะ ชาติตระกูล เธอไม่มีทางที่จะปันใจให้ผู้ชายอื่นแน่นอน”
ทรงเผ่าแปร่งหู หันมามองสบตาสาทิศ
“คุณเป็นผู้ชายที่โชคดีมากเลยนะครับ ที่มีแฟนแบบคุณหวาน”
ทรงเผ่ายังไม่ตอบอะไร เสียงจากทางเวทีดังขึ้นเบี่ยงเบนความสนใจให้หันไปมอง
“เวลาที่ทุกท่านรอคอยมาถึงแล้วนะครับ พบกับสุดยอดนางแบบและแฟชั่นโชว์ของเราได้แล้วครับ”
ไดรซ์ไอซ์ สโมค พลุถูกจุดขึ้นอย่างตื่นเต้น พร้อมกับเสียงเพลง และแสงสีบนเวที ถูกเปิดขึ้น
ในจังหวะคึกคัก ทรงเผ่า สาทิศ และทุกคน หันมองไปที่เวที อย่างตื่นตาตื่นใจ ภาพนางแบบต่างๆ ออกมาเดินแบบ อย่างมาดมั่น สวยเก๋ ดูดี
บัวคลี่เครียดจัดอยู่ข้างๆ รำพา และ อัญชิสาที่มองอย่างสะใจ ทีมงานรี่เข้ามาถามบัวคลี่หน้าตาตื่น
“จะเอายังไงดีคะ คุณบัวคลี่ หนูตามหาคุณเมียวดีไม่เจอจริงๆค่ะ”
บัวคลี่หน้าเครียด
“ฉันอยากจะบ้าตาย...”
รำพาเบ้หน้า
“ก็ดิฉันบอกแล้ว อย่าไปคบเด็กสร้างบ้านอย่างนั้น”
ทีมงานอีกคนวิ่งเข้ามาหาบัวคลี่จากอีกทาง
“อีก 5 นาที ต้องปล่อยเซ็ทสุดท้ายแล้วนะฮะ”
บัวคลี่ทำท่าจะเป็นลม รำพากับทีมงานที่เหลือ ตกใจ เข้ามาช่วยกันประคอง
“ว้ายตายแล้ว คุณบัวคลี่”
บัวคลี่ปรือๆ ตามอง ยื่นมือมาจับมืออัญชิสา
“หนูหวาน ช่วยน้าด้วย”
อัญชิสาทำเป็นไม่รู้เรื่อง ถามบัวคลี่
“คุณน้า...คุณน้าจะให้หวานช่วยอะไรคะ”
นางแบบต่างๆ โพส หมุนตัวบนเวที ทรงเผ่าเดินเข้ามาที่ ทนงกับ พวกฟ้าลั่นยืนอยู่ อย่างกังวล
“เมียวดี หายไปไหนหรือครับ ไม่เห็นออกมาเดินแบบ”
ทนงสงสัย
“นั่นสิ...พ่อก็รอดูอยู่นี่ ไม่เห็น เมียวดีออกมาเสียที”
ทรงเผ่าพึมพำ งอนๆ
“นวดเท้าจนลืมงานแล้วล่ะมั้ง”
“ว่าไงนะ นายเผ่า มีนางแบบนวดเท้าด้วยเหรอ”
ทรงเผ่ารู้สึกตัวรีบแก้
“เปล่าๆครับ ผมยืนรอดูจนเมื่อยเท้าแล้วน่ะฮะ ตกลงว่าเขาจะเดินแบบไหมฮะ”
“เดินค่ะ เดิน คุณเหมียว เดินเป็นชุดสุดท้ายค่ะ” เชอรี่บอก
ฟ้าลั่นสอดขึ้น
“หรือที่เรียกว่า ชุดฟินหน้าเละ”
เชอรี่ค้อน
“ฟินาเล่ย่ะ”
“เออ นั่นแหละๆ” ฟ้าลั่นชี้ไปที่เวที “ฟ้าลั่นจำลำดับได้ ชุดต่อไปนี่แหละ นาย”
อ่านต่อ พรุ่งนี้ เวลา 9.30 น.
นางแบบชุดเดิม เดินกลับเข้าไปในเวที แล้วแสงเสียงเล่นไฮโลท์ รับการออกมาเดินแบบ ของอัญชิสาในชุดเด่นที่สุดในงาน ทุกคนฮือฮา ปรบมือ กรี๊ดกร๊าด อัญชิสายิ้มรับหน้าบาน ทรงเผ่า ทนง ฟ้าลั่น เชอรี่ ต่างงงๆ
“เอ๊ะ นั่นมันยายหวานนี่” ทนงแปลกใจมาก
อัญชิสาหมุนโพสท่า เจิดจิก สาทิศยิ้มกริ่มมองมีแผน ฟ้าลั่นอึ้ง
“ฟ้าลั่น บอกได้คำเดียวว่า มึน”
ทรงเผ่าไม่เข้าใจ
“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ เมียวดีหายไปไหน!”
เมียวดีทุบประตู จนหมดแรง ทรุดลงไป
“ทำไมไม่มีใครได้ยินเลย แล้วจะทำยังไงดีเนี่ย ป่านนี้เมียพ่อนายคงหัวหมุนไปแล้ว”
เมียวดี ลำบากใจ
ทางด้าน ทรงเผ่า ทนง ฟ้าลั่น เชอรี่ วิ่งเข้ามาหา บัวคลี่ที่นั่งพักอยู่มุมหนึ่ง มีรำพาคอยรมยาดมให้
“คุณน้า”
“คุณบัวคลี่”
บัวคลี่จะร้องไห้
“คุณคะ”
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมเป็นแบบนี้”
รำพาโวยวายทันที
“ก็ยายเด็กป่าตัวดีนั่นไงล่ะคะ ก่อเรื่องซะเจ็บแสบจริงๆ”
ทรงเผ่าเป็นห่วง
“เมียวดีทำอะไรหรือครับ”
“จะมีอะไร อยู่ๆ ก็หายตัวไปน่ะสิคะ ไม่มีความรับผิดชอบเลย โธ่ นี่ถ้าลูกหวานไม่ช่วยเดินให้ ป่านนี้ งานคงไม่พังบ่นปี้ ตายๆน่ากลัวมาก”
อัญชิสาเดินเข้ามา พร้อมพูดขึ้น
“คุณแม่ พูดอะไรอย่างนั้นล่ะคะ”
ทุกคนหันไปมองอัญชิสาเดินเข้ามาตีบทนางเอก ทรงเผ่าอึ้ง
“หวาน”
“อย่าพึ่งไปว่าเมียวดีเลยค่ะ แกอาจจะไม่ได้ตั้งใจจะหนี แต่อาจจะเพราะความประหม่า ทำให้ไม่กล้าขึ้นแคทวอล์ค ก็ได้นะคะ”
ฟ้าลั่นเถียงทันที
“ไม่จริง...ขนาดสู้กับไอ้ลาย อีเมียวมันยังไม่กลัวเลย อีเมียวมันไม่ใช่คนขี้ขลาด”
เชอรี่ขัดขึ้น
“แต่ที่นี่มันในเมืองนะ พี่ฟ้า บางทีคุณเหมียว อาจจะป๊อดแบบที่คุณหวานว่าก็ได้”
ทนงตัดบท
“เอาล่ะๆ อย่าพึ่งเถียงกันเลย แค่นี้คุณบัวคลี่ก็ปวดหัวแย่แล้ว”
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณพี่...” บัวคลี่หันหาอัญชิสา “ยังไง น้าก็ต้องขอบใจ หนูหวานมากๆเลยนะที่ช่วยใส่ชุดฟินาเล่ให้น้า...ไม่อย่างนั้น น้าคงไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหนจริงๆ”
“หวานยินดีช่วยคุณน้าเต็มที่อยู่แล้วล่ะค่ะ เราไม่ใช่คนอื่นคนไกลที่ไหนกันนะคะ”
รำพาชื่นชมลูกสาวออกหน้าออกตา
“โธ่...ลูกหวานของแม่ ช่างเป็นเด็กน่ารักจริงๆ สมที่ได้รับการอบรมอย่างดีมากจากคุณแม่”
อัญชิสามองไปสบตากับเผ่า ยิ้มหวาน รำพายิ้มชอบใจ ทรงเผ่าจำยิ้มตอบแล้วรีบตัดบท
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว งั้น ผมขออนุญาตไปตามตัวเมียวดีก่อนนะครับ”
อัญชิสาชะงัก
“คุณเผ่า...”
“ผมจะรีบตามตัวคนผิดมาลงโทษ ขอตัวก่อนนะครับ”
ทรงเผ่าเดินลิ่วออกไป อัญชิสาทำเป็นเดินตามออกไปสองสามก้าว อย่างเป็นห่วง
“โธ่ คุณเผ่า อย่าไปโกรธแกเลยค่ะ”
อัญชิสาแอบยิ้มสะใจ ทั้งๆที่ปากบอกว่าเห็นใจ
เมียวดีพยายามมองหาทางออก แต่มองไม่เห็น หญิงสาวกลุ้มใจมาก ยกดาวกระดาษขึ้นมาดูแล้วพูดกับดาว
“นาย...เราจะทำยังไงดี เราไม่อยากให้เมียพ่อนาย เสียใจเลย”
ปรากฏว่ามีจิ้งจกหล่นลงมาข้างตัว หญิงสาวหลบทันแล้วมองตามขึ้นไป ปรากฏว่า เห็นช่องลมที่อยู่ตรงมุมอับๆ เมียวดีดีใจ
“เฮ้ย! เรารอดแล้ว”
เมียวดีรีบปีนขึ้นไป ดึงฝาช่องลมออก แล้วปีนออกไป
อัญชิสาเปลี่ยนชุดใหม่ เป็นเดรสสวยงามแล้ว กำลังใส่ต่างหูที่กระจกอยู่ สลับกับการเกาตัวเองเพราะเสี้ยนยาทำให้ใส่ต่างหูลำบาก รำพาเดินเข้ามาหา
“ลูกหวานขา นักข่าวรอสัมภาษณ์เพียบเลยนะคะ ฮ่าฮ่าฮ่า อุ้ยคุณแม่มีความสุขจริงๆ คุณแม่ว่าแล้ว แข่งเรือแข่งพายแข่งได้ แต่อย่ามาแข่งบุญวาสนา”
“อะไรกันคะ คุณแม่”
“เอ้า ก็อีนังเด็กป่าเมียวดีไงคะ ริมาเทียบรัศมีลูกหวานแล้วเป็นไงคะวาสนาไม่ถึง ชื่อก็เน่า แล้ว ยังจะโดนคุณเผ่าเม้งอีก อุ้ยงานนี้ ไม่รู้จะโดนอีกกี่เด้ง เผลอๆ โดนเด้งกลับป่าไปอย่างไม่รู้ตัว”
รำพาหัวเราะสะใจ อัญชิสายิ้มให้อย่างเสียไม่ได้ แล้วก็ต้องเอามือขุดตัวเองนักขึ้นอีก รำพาหันมามองเห็นแปลกใจ
“ลูกหวาน นั่นเกาตัวเองอย่างนั้นทำไม เนื้อตัวถลอกหมด”
“ช่างมันเถอะ”
หวานไม่สนใจรีบวิ่งไปหยิบกระเป๋าสะพายตัวเองขึ้นมา จะวิ่งออกไปนอกห้อง
“ฮึ...เดี๋ยวลูกหวาน รอคุณแม่ก่อน”
รำพาจะคว้าแขน อัญชิสาสะบัดอย่างแรง ตวาดใส่
“อย่ามายุ่ง”
รำพาสะดุ้งตกใจ
“ว้าย ลูกหวาน ทำไมพูดกับคุณแม่อย่างนี้ล่ะคะ ลูกหวานเดี๋ยวก่อน”
อัญชิสาเข้ามาในมุมอับแล้วเปิดกระเป๋าตัวเอง ค้นหายาหยิบตลับยาออกมาเปิดออกดู ปรากฏว่าข้างในว่างเปล่า ไม่มียาเหลืออยู่เลย เธอเขวี้ยงตลับยาทิ้ง อย่างหัวเสีย
“บ้า...ไม่เหลือเลย”
อัญชิสาเสี้ยนยาหนักขึ้น รีบไปหาสาทิศ แล้วลากเขาเข้ามาในห้องอีกห้อง
“ขอฉันหน่อยเถอะ”
“อะไรกันที่รัก ลากผมมาทำไมเนี่ย งานเลี้ยงอยู่ข้างนอกนะ”
หวานค้นตามตัวสาทิศ
“เอามาให้ฉันเถอะ อย่าโยกโย้เลย ฉันจะไม่ไหวแล้วนะ”
สาทิศเอาถุงใส่ยาเล็กๆออกมาจากกระเป๋าสูท อัญชิสาดีใจ รีบคว้าไว้
“แค่นี้เองเหรอ!”
“นั้นแค่ออเดิฟ ผมมีให้คุณอีก 2 จี แต่ขอแรงให้คุณหิ้วกระเป๋า ให้ผมหน่อย”
“กระเป๋าอะไร”
“ไม่ต้องถาม ทำตามที่ผมบอกก็พอ”
อ่านต่อพรุ่งนี้
แก้วกลางดง ตอนที่ 18 (ต่อ)
อัญชิสาออกมาจากห้องน้ำอย่างอารมณ์ดี แอบทิ้งอุปกรณ์เสพ เพราะเพิ่งเสพยาสูดจมูกเล็กน้อย เซ็ทผมให้เข้าทีก่อนจะ หยิบกระเป๋าเดินทางใบเล็กๆ เดินออกมา เสียงสาธิตดังก้องในหัว
“ง่ายๆ แค่คุณเอากระเป๋าใบนี้ไปทิ้งที่ถังขยะ เดี๋ยวจะมีคนไปเอาเอง”
อัญชิสาหิ้วกระเป๋าออกมาด้านหน้าห้องน้ำ หย่อนไว้ที่ถังขยะตรงทางเดินที่อยู่ไม่ไกล ห้องน้ำ แล้วเดินออกไป ชายในชุดบริกรเดินเข้ามาไม่เห็นใคร มาหยิบกระเป๋าจากถังขยะมา เปิดดูเห็นยาไอซ์อัดเต็ม หลายกิโล ปิด แล้วก็เอากระเป๋าอีกใบซึ่งใส่เงินออกมาเปลี่ยน ส่วยปลอมเป็นพนักงาน พร้อมรถเข็นทำความสะอาด อยู่อีกมุมฝั่งยกโทรศัพท์ขึ้นฟัง
“ส่งของแล้ว ไปรับของได้”
ส่วยค่อยๆเข็นรถเดินออกไป
เมียวดี ห้อยตัวลงมาจากช่องแอร์บนเพดาน มาโผล่บนทางเดิน เธอเดินเลี้ยวมาที่ห้องน้ำ เห็นชายบริกรชายทิ้งกระเป๋าอีกใบทิ้งไว้ในถังขยะ แล้วรีบเดินออกไปเห็นแต่หลัง
“เดี๋ยวคุณ เอากระเป๋าทิ้งทำไม”
ชายคนนั้นหันมาดูแล้วรีบวิ่งไป เมียวดีรีบวิ่งไป เห็นกระเป๋าถูกทิ้งอยู่ หยิบกระเป๋าขึ้นมากำลังจะเปิดดู แต่ปรากฏว่าโดนมือลึกลับ ตีตรงสันคอล้มลง
ส่วยหยิบกระเป๋ามาเปิดดูเห็นว่ามีเงินอัดอยู่แน่น ก่อนจะพลิกตัวเมียวดีขึ้นมา เพิ่งเห็นว่าเป็นเมียวดี
“อีนี่ วอนอีกแล้ว”
สาทิศยืนจิบไวน์อยู่ในงานท่าทีสบายๆ ยิ้มๆ กับคุณหญิงคนหนึ่ง ลูกน้องเข้าอย่างลุกลี้ลุกลน มองหาสาทิศว่าอยู่ไหน สาทิศหันไปเห็นจึงบอกกับคุณหญิง
“ขอตัวสักครู่นะครับ”
สาทิศแยกออกมา
“มีอะไร”
“แผนเรารั่วแล้วนาย สายเพิ่งบอกมา งานนี้มีตำรวจปลอมตัวมาจับตาเราอยู่”
สาทิศตกใจ
สารวัตรอยู่ในรถโอบี เฝ้าดูจากกล้องวิดีโอในหลายมุม โทรศัพท์ดังขึ้น ตำรวจกับสารวัตรมองหน้ากันสงสัยว่าใครโทรมา
“โครโทรมา เบอร์นี้เราใช้กันเฉพาะในทีมนี้”
“เอาไงดีครับสารวัตร”
“รับสิ”
ตำรวจรับโทรศัพท์ เป็นเสียงของสาทิศ
“เสียใจด้วยนะครับคุณตำรวจ คุณแพ้ผมแล้ว! บึ้ม!”
สารวัตรกับตำรวจเปิดประตูรถโอบีออกมา สารวัตรโทรสั่งงาน
“เคลียร์คนออกมาให้หมด แล้วส่งกำลังเข้าเคลียร์สถานที่ มันรู้ตัวแล้ว วางระเบิดเอาไว้”
อั๋นกดหูฟังข่าว ตกใจ
“หา! ระเบิดงั้นหรือครับ”
ทางด้านสาทิศหย่อนโทรศัพท์ทิ้งขยะ อย่างสะใจ
“สนุกกันให้เต็มที่นะ...รถล่ะ”
“จอดรออยู่แล้วครับ นาย”
สาทิศรีบเดินออกไปพร้อมลูกน้อง
ประตูงานโดนเปิดออก โดยตำรวจนอกเครื่องแบบ คนในงานกรี๊ดกันใหญ่ ผู้คนโวยวายแย่งวิ่งกันออกมา ตำรวจตะโกนสั่ง
“ตรงไปออกทางประตูด้านหน้าเลยนะครับ”
อีกมุมในห้องด้านหลังเวที อัญชิสาอยู่กับ รำพาหลังเวที
“ลูกหวานขา เราจะทำยังไงดีคะ”
“รีบหนีซิคะคุณแม่ เกิดบึ้มขึ้นมา ที่แน่ๆศพเราคงไม่สวยแน่นอน”
“ตายแล้ว จริงด้วย แล้วซิลิโคนตรงคางของคุณแม่ก็คงละลายเสียรูปหมด โอ้วไม่นะ” รำพาตั้งท่าจะไป “เดี๋ยวค่ะ แล้วคนอื่นๆคุณบัวคลี่ คุณหญิงงามตาล่ะคะ อยู่ไหน”
“อยู่ไหน ก็ช่างเถอะค่ะ นาทีนี้เราต้องเอาตัวรอดกันก่อนดีกว่า”
อัญชิสาพารำพาออกไป ทรงเผ่าวิ่งเข้ามามองหา
“คุณหวาน!คุณอารำพา!”
แต่ไม่มีเสียแล้ว
บัวคลี่ ทนง ยืนอยู่ด้วยกัน ทนงจับบัวคลี่ไว้
“โธ่ นี่มันอะไรกัน ใครมาคิดชั่วในงานบุญงานกุศลแบบนี้ได้นะ”
“ทำใจดี ๆ ไว้ก่อนเถอะคุณ”
ทรงเผ่าวิ่งเข้ามา
“ตกลงเจอคุณรำพากับหนูหวานมั้ยคะ คุณเผ่า”
“ไม่เจอครับ หลังเวทีก็ไม่มี ครับ แต่ผมว่า รีบออกจากที่นี่ก่อนดีกว่าครับ คุณพ่อ คุณน้า เพื่อความปลอดภัย”
ทรงเผ่าช่วยประคองพาบัวคลี่กับ ทนงออกไป
เชอรี่ตื่นกลัวมองผู้คนที่วิ่งไปมาอลม่าน ฟ้าลั่นรีบบอก
“อยู่ไม่ได้แล้วล่ะน้องเชอรี่ รีบเผ่นเถอะ”
“ใช่...ถ้าเชอรี่ต้องตายอยู่ที่นี่ วงการนักร้อง คงไม่ได้จารึกชื่อเชอรี่ไว้แน่”
“งั้นก็ไปเถอะ”
ฟ้าลั่นคว้ามือเชอรี่หมับวิ่งออกไป ก่อนจะหันมาปลอบ
“ไม่ต้องกลัวนะน้องเชอรี่ พี่ฟ้าจะปกป้องน้องเอง”
ทันใดนั้นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“แกเป็นใคร ไอ้หน้าบาน”
ฟ้าลั่นชะงัก หันไปดู
“เจ้ย!”
ปรากฏว่าเขาคว้ามือคนผิดกลายเป็นกะเทยคนหนึ่ง ฟ้าลั่นรีบปล่อยมือ
“พี่ฟ้า เชอรี่อยู่นี่”
เชอรี่ยังอยู่ที่เดิมกวักมือเรียก ฟ้าลั่นวิ่งกลับมา
“รีบ ไปซิอ้าว ยืนเฉยทำไมล่ะน้องเชอรี่”
“ฉัน...ฉันก้าวขาไม่ออก”
ฟ้าลั่นดึง แต่เชอรี่ขาไม่ขยับ ขยับแต่ตัว ฟ้าลั่นเลย ตัดสินใจ ให้เชอรี่ขี่หลัง ออกไป
อัญชิสากับรำพาออกมาอยู่ด้านนอกแล้ว โดยมีตำรวจคอยรับผู้คนที่ทยอยกันออกมา จากตึก ทรงเผ่า ทนง บัวคลี่ที่เพิ่งมาถึง อัญชิสาเห็นทรงเผ่า รีบเข้าไป บีบน้ำตา
“คุณเผ่าขา หวานตกใจแทบแย่”
ทรงเผ่าลูบแขนปลอบใจ แต่ตาก็มองหาเมียวดี บัวคลี่มองอย่างโล่งใจ
“โธ่...หนูหวาน โล่งอกจริง ๆ อยู่นี่เอง คุณแม่ล่ะคะ”
“คุณแม่อยู่นั่นคะตกใจจนตัวสั่นไปหมด หวานพยายามตามหาคุณน้าก็ไม่เห็น โชคดีใครไม่รู้พาเราสองแม่ลูกออกมา”
ฟ้าลั่นกับเชอรี่เพิ่งมาถึง ทรงเผ่าผละจากอัญชิสาปราดเข้าไปหาทันที
“เมียวดีล่ะ เมียวดีไม่ได้ออกมากับเราเหรอ”
“ยังหาอีเมียวไม่เจอเลยนาย”
ทรงเผ่าตัดสินใจ รีบกลับเข้าไปทันที ฟ้าลั่นจะตาม
“เดี๋ยว นายจะไปไหน!”
ทรงเผ่ารีบห้าม
“นายอยู่ที่นี่ ไม่ต้องตามฉันมา ฝากดูแลทุกคนด้วย ฉันจะไปตามเมียวดี!”
ตำรวจนอกเครื่องแบบที่กระจายกำลังอยู่ รีบวิ่งไปทางดาดฟ้า อั๋นวิ่งไปตามทางพุ่งไปดาดฟ้าเหมือนกัน ซึ่งบนดาดฟ้ามีกระเป๋าสีดำใบหนึ่งวางอยู่
บันไดหนีไฟมีหน้าต่างเป็นกระจกสามารถมองไปด้านล่างได้ อั๋นตัดสินใจเปิดประตูบันไดหนีไฟวิ่งขึ้นไป
โปรดติดตามตอนต่อไป พรุ่งนี้
ส่วยในชุดพนักงาน เข็นรถมาหยุดที่รถที่จอดรถอยู่ พร้อมลูกน้อง ส่วยเปิดผ้าคลุมรถเข็นออกหยิบกระเป๋าที่วางอยู่บนรถโดยมีเมียวดีที่นอนสลบอยู่ด้านล่าง
“เอาอีนี่ใส่ท้ายรถไปด้วย”
ลูกน้องชะงัก
“เอามันไปทำไมเหรอพี่”
“มันชอบเสือก เมื่อกี้ก็เกือบเอาของเราไป มันทำเราแสบมาหลายทีแล้ว”
ลูกน้องควักปืนออกมาจ่อ
“งั้นก็ยิงมันทิ้งไปเลยซิพี่”
ส่วยปัดปืน
“จัดการแน่ แต่ข้าอยากเอามันไปจัดการเองอย่างตั้งใจ หลังงานเสร็จ...มันสะใจกว่าโว้ย!”
อั๋นวิ่งขึ้นมาหยุดหอบ พิงที่ตรงหน้าต่างบังเอิญ เหลียวมองลงไปด้านล่าง เห็นเมียวดีถูกอุ้มยกจากรถเข็นของเมท ใส่ลงไปท้ายรถ
“เมียวดี!”
อั๋นก็ตกใจเมื่อเห็นเสี้ยวหน้าของส่วยถือกระเป๋าขึ้นรถ เขารู้ทันที
“เฮ้ย! หรือว่า...”
บนดาดฟ้า ตำรวจค่อย ๆ ล้อมกรอบอยู่ห่างๆ หาที่กำบัง เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ระเบิดคนหนึ่ง เปิดกระเป๋าที่วางอยู่ ทุกคนลุ้น ปรากฏว่าในกระเป๋าไม่มีอะไร ว่างเปล่า
อั๋นวิ่งลงบันได ชะโงกหน้ามาดูเป็นระยะ เห็นรถเคลื่อนออกไป อั๋นไม่รู้ทำยังไง ตัดสินใจ รวบรวมความกล้า ยกมือไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ ก่อนจะกระโดดลงมาเกาะแร็คที่ติดหลังคารถไว้ได้ รถขับออกจากโรงแรมไป
ลูกน้องเป็นคนขับ สาทิศหัวเราะชอบใจ
“ฮะๆป่านนี้พวกตำรวจมันคงเพิ่งจะรู้ว่าโดนหลอกเข้าเต็ม ๆเชอะ คิดจะจับพวกเรา มันไม่ได้ง่ายแบบนั้นหรอกโว้ย”
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น สาทิศกดรับ
“อะไร...ไอ้ตำรวจหน้าอ่อนนั้นนะเหรอ...แกก็จัดให้มันซักเกมส์ซิ”
ทันทีที่ได้รับคำสั่ง ส่วยขับรถส่ายไปมาเพื่อให้อั๋นที่เกาะอยู่บนหลังคาหลุด แต่อั๋นพยายามเกาะไว้แน่น
ส่วยขับรถมาที่ถนนเปลี่ยว แล้วเบรกเอี๊ยดหยุดรถ
“ไอ้บ้าเอ๊ย”
ปรากฏว่ามีรถข้างหน้าขวางถนนอยู่ แสงไฟหน้ารถสาดเข้าหน้า อั๋นเงยหน้าขึ้นดูเห็นเป็นเงา สาทิศยืนอยู่ สาทิศตบมือให้
“เป็นฉากที่น่าประทับใจมากครับหมวด ถ้าไม่บอกผมคิดว่าฉากแอคชั่นในหนังฮอลีวู๊ดเสียอีก ฮะๆๆ”
อั๋นยกมือขึ้นบังแสง เห็นว่าเป็นสาทิศ คิดไม่ถึง
“สาทิศ!”
อั๋นปีนลงมาจากหลังคารถ ลูกน้องสาทิศยกปืนเล็งปืนมา อั๋นต้องยกมือขึ้น
“เฮ้ย เดี๋ยวๆใจเย็น คุยกันก่อน”
ส่วยออกมาจากรถดึงปืนอั๋นที่พกไว้มา สาทิศยิ้มหยัน
“ไม่คิดว่าตำรวจอ่อนหัดอย่างอย่างหมวด จะกล้าทำเรื่องเสี่ยงตายแบบนี้”
“ปล่อยเมียวดีไปก่อน แล้วมีอะไรเราค่อยมาคุยกัน”
สาทิศแปลกใจ
“อ้าว...นี่มีนังตัวแสบมาด้วยเหรอ”
“มันมาเสือกตอนเราส่งของครับนาย” ส่วยบอก
อั๋นชะงักได้ยินคำว่าส่งของ ส่วยพยักหน้าให้เอาตัวเมียวดีมาจากท้ายรถทิ้งไว้ที่ถนน อั๋นมองหน้าสาทิศ
“แกนี่เอง ที่เป็นเอเย่นใหญ่ครั้งนี้”
“ใช่...ฝีมือผมเอง คงคิดไม่ถึงใช่มั้ย ว่าผู้บริจาคการกุศลรายใหญ่อย่างผมจะเป็นคนขาย ก็เสียเงินแค่ไม่กี่ล้าน แลกกับเงินเป็นร้อยล้านที่จะมาในอนาคต มันก็คุ้มกันอยู่ไม่ใช่เหรอหมวด คิดว่าจะจับคนอย่างสาทิศง่าย ๆ เหรอ ไม่มีทาง”
“งั้นเรื่องระเบิด ก็เป็นฝีมือของแกด้วยใช่มั้ย”
“มันก็ช่วยไม่ได้นะ อยากโง่กันเองวิ่งกันหางจุกตูด แค่ผมโทรไปล้อเล่นเรื่องระเบิดนิดเดียวเอง แถมยังยิ่งเปิดทางให้หนีได้ง่ายขึ้นไปอีก”
อั๋นหัวเราะออกมา
“ฮึ ๆๆๆ ฮะๆๆ โง่งั้นเหรอ ขอบใจมากที่ยอมสารภาพเรื่องทั้งหมดออกมาจากปากแกเอง มันจะเป็นหลักฐานมัดตัวแกได้อย่างดี เพราะสิ่งที่แกพูดทั้งหมด สารวัตรก็ ได้ยินเหมือนกับฉัน”
สาทิศตกใจ
สารวัตรเดินมาที่ข้างรถโอบี
“สรุปว่างานนี้ เราถูกพวกมันหลอก” สารวัตรหันไปหาตำรวจที่ทำหน้าที่รับสัญญาณ “แล้ว ติดต่อหมวดอั๋นได้หรือยัง”
ทรงเผ่าเดินเข้ามาอย่างหนักใจ ไม่รู้จะหาเมียวดียังไง
“ยังครับ หมวดอั๋นขาดการติดต่อไปตั้งแต่ช่วงการหลอกวางระเบิดนั่นแหละครับ”
ทรงเผ่ายืนฟังอยู่กำลังจะเข้ามาถามพอดี
“จริงซินะ อั๋น เราลืมอั๋นเสียสนิท”
ทรงเผ่ารีบเดินออกไป
สาทิศเข้ามากระชากคอเสื้ออั๋น
“แกแอบติดวิทยุสื่อสารเอาไว้เหรอ!”
“ใช่...ตำรวจไทยนะไม่โง่หรอกนะ อยู่นี่ไง”
อั๋นก้มลงมองที่กระเป๋าเสื้อ ไม่เห็นปากกาติดอยู่ ก็หน้าเสีย
“เฮ้ย...ปากกาหายไปไหน”
อั๋นหน้าซีด
ตำรวจคนหนึ่งเดินเข้ามาหาสารวัตร
“สารวัตรครับ เราเจอนี่ตกอยู่ที่ถนนด้านหลังครับ”
ตำรวจส่งปากกาที่อั๋นใช้เป็นวิทยุ
“นี่มันวิทยุสื่อสารที่ให้หมวดอั๋นไว้นี่”
อั๋นตกใจที่ปากกาหาย สาทิศหัวเราะเยาะ
“ฮะๆ ๆ ฉันมันเป็นคนโชดคี โชคมักจะเข้าข้างฉันเสมอ เสียใจด้วยนะหมวด...” สาทิศหันไปสั่งลูกน้อง “จัดการเก็บมันทั้งสองคน”
สาทิศถอยออกมา ลูกน้องยกปืนขึ้นง้างไก อั๋นตาเหลือก
“จะทำอะไรฉันก็ทำ แต่ปล่อยเมียวดีไป เขาไม่รู้เรื่อง ฉันขอร้องปล่อยเธอไปเถอะ”
สาทิศส่ายหน้าเย้ยหยัน
“โอ้...รักกันจริงๆ น่าเห็นใจๆ ฉันก็มักจะทนเห็นคู่รักต้องพรากกันไม่ได้เสียด้วย เอาล่ะฉันเปลี่ยนใจแล้ว”
สาทิศยกมือห้าม ให้ลูกน้องเอาปืนลง
ทรงเผ่าขับรถไป ใช้หูฟังคุยโทรศัพท์ไป
“เจ้าอั๋น รับสายซิวะ ฉันโทรหาแกเป็นครั้งที่ร้อยแล้วนะ ตกลงแกอยู่กับเมียวดีหรือเปล่า”
ขณะเดียวกัน อั๋นถูกพามายืนริมน้ำ ส่วยแบกเมียวดีที่ยังสลบอยู่มายืนอยู่ข้าง ๆ
“แกจะทำอะไร”
สาทิศยิ้มเหี้ยม
“อ้าว...ก็เห็นว่ารักกันมาก ผมก็เลยจะสงเคราะห์ให้ตายด้วยกันไง”
“ไอ้ชั่ว”
สาทิศยิงขาอั๋นทันทีเปรี๊ยง!
“โอ๊ย”
“อุ๊บ...ปืนลั่น”
อั๋นมองอย่างแค้นจัด
“แกมันเลวชาติ คนเลวๆ อย่างพวกแกให้ต้องโดนสวรรค์ลงโทษ ตายไปต้องนรกไม่ได้ผุดได้เกิด โทษฐานที่แกมันคิดชั่วทำชั่ว เอาผงชั่วๆ มาขายคนให้ตายทั้งเป็น”
“ฮะๆ ๆ นรกงั้นเหรอ หน้าตานรกเป็นยัง ผมรู้แต่ว่าตอนอยู่บนสวรรค์ต่างหาก มีเงินมีทองใช้เหลือเฟือ จะซื้ออะไรก็ได้ เอาเป็นว่างั้นผมส่งหมวดลงไปดูก่อนก็แล้วกัน”
“รออีกไม่นาน แกไม่ต้องตายหรอก แกก็จะรู้ว่านรกเป็นยังไง คนที่ทำสิ่งชั่ว ๆแบบนี้ ไม่เคยมีความสุขจริงหรอก แกมันก็แค่หลอกตัวเอง ซักวันแกจะต้องตกนรกทั้งเป็น”
สาทิศต่อยอั๋นอีกที อั๋นเซลงที่เมียวดี สาทิศยิ้มกวนๆ ต่อยแล้วก็เจ็บมือ อั๋นพยายามเรียกเมียวดี
“เมียวฟื้นซิ ได้ยินฉันมั้ย เมียวดี”
“จะสั่งเสียอะไรก็รีบสั่งนะหมวดนังนั้นมันฟื้นง่ายๆ หรอกหมวด เพราะไอ้ส่วยมันประเคนยาสลบให้นังคนป่าไปแล้ว ก็เหมือนกับหมวดนั้นแหละ”
ส่วยเข้ามาเอาผ้าโปะยาสลบโปะ อั๋นดิ้นสักพักอั๋นค่อยๆสลบไป ส่วยเอาเชือกมามัดมือให้สองคนติดกัน สาทิศยัดปืนที่ยิงอั๋นใส่มือเมียวดี ก่อนที่ทั้งสองโดนผลักตกน้ำไป สาทิศยืนดูโบกมือลา ส่วยอยู่ด้านหลังก่อนจะขึ้นรถขับออกไป
เมียวดี กับอั๋นสลบจมลงน้ำลงไปเรื่อยๆ เลือดจากขาอั๋นยังออกมาเรื่อยๆ โทรศัพท์อั๋นหลุดออกมา
ทรงเผ่าขับรถเข้ามาจอดเห็นรถอั๋นที่มาจอดอยู่ เที่ยวมองหา ก่อนจะมองไปดูพิกัดของโทรศัทพ์อั๋น แล้วมองไปในแม่น้ำ เห็นวงน้ำยังกระเพื่อมเป็นวงอยู่ เขาตัดสินใจกระโดดลงไปดำผุดดำว่ายอหาอยู่สองสามครั้ง ก่อนจะเห็นอะไรลางๆจึงว่ายเข้าไป ทรงเผ่าเห็นอั๋นกับเมียวดีจมอยู่ พุ่งเข้าไปหา ฉุดสองคนขึ้นไปบนผิวน้ำ
สองคนนอนอยู่บนฝั่ง ทรงเผ่ารีบแก้เชือกที่รัดแขนสองคนด้วยกัน วุ่นวายไปหมด รีบตบหน้าให้รู้สึกตัว
“เมียวดี...อั๋น”
ทรงเผ่าแกะเชือกได้ มองซ้ายมองขวา ต้องตัดสินใจว่าจะช่วยใครก่อนดี ก่อนจะตัดสินใจ หันมาหาเมียวดี รีบจับชีพจร ก่อนจะ รีบเป่าปากเมียวดีแบบจริงจังแล้วย้ายมาปั๊มหัวใจปั๊ม15 ครั้งสลับเป่าปาก2 ที
“1และ2 และ3 และ4 และ 5 และ6 และ 7...ฟื้นซิเมียวดี เธอต้องฟื้น”
เสียงรถหวอตำรวจวิ่งเข้ามา สารวัตร กับตำรวจ ลงมา
“สารวัตร ช่วยดูอั๋นที”
สารวัตรตรงเข้ามาจับชีพจรอั๋นก็หน้าสลด ทรงเผ่าที่ปั๊มหัวใจเมียวดีอยู่ เมียวดีค่อยๆสำหลักน้ำออกมา ทรงเผ่าดีใจ
“เมียวดี! มันต้องแบบนี้ซิ”
ทรงเผ่าดึงเมียวดีขึ้นมากอดอย่างดีใจ ตำรวจคนอื่นรีบเข้ามาช่วย หาผ่ามาห่มให้ ทรงเผ่าหันไปมองทางสารวัตร เห็นสารวัตรอยู่เฉย
“อ้าว เร็วซิสารวัตร รีบช่วยอั๋นซิ”
“ไม่มีประโยชน์ครับ หมวดอั๋น...ตายแล้วครับ”
“ไม่จริง”
ทรงเผ่าไม่ยอมแพ้ เข้าไปแทน รีบปั๊มหัวใจอั๋นใหญ่
“1 และ2 และ 3 และ4 และ 5 และ6 ...”
“พอเถะครับ”
ทรงเผ่าผลักสารวัตรอย่างแรง
“ไม่ ผมจะช่วยอั๋น...”
แล้วชายหนุ่มก็ต้องยอมรับความจริง ก้มหน้าลงร้องไห้อยู่ข้างศพอั๋นอย่างสะเทือนใจ
อ่านต่อตอนที่ 19