ดอกโศก ตอนที่ 17
เย็นวันเดียวกันนั้น สมปองเดินคุยโทรศัพท์มาตามทางเดินเข้าซอยบ้าน ปลายสายคืออัศนัย
“คุณนัย...ว่าไงนะ อ๋อ...ไอ้โศกอยู่นั่นเหรอ แม่แกรู้รึยัง” สมปองฟัง “อ๋อ ได้...ได้ อย่าดึกนะคุณนัย แค่สองทุ่มพอนะ โอเค...โอเค” สมปองกดปิดสาย แล้วเดินเร่งๆ เหลือบไปซอยข้างๆ เห็นป้อมกำลังก้มๆ เงยๆ ทำอะไรอยู่ในมือ พร้อมกับเพื่อนอีกคนหนึ่ง
สมปองตะโกนเรียก “ไอ้ป้อม”
ป้อมตกใจ รีบเผ่นทันที สมปองกระโจนพรวดเดียว คว้าคอป้อมออกมา แต่เพื่อนหอบข้าวของพรวดหายไปเลย
“ทำอะไร” สมปองถามคาดคั้น
“เปล่า...น้าปอง ปล่อยฉันเถอะ”
“ไม่ปล่อย แกเล่นยาใช่มั้ยไอ้เวรป้อม” สมปองฉุนขาด ฟาดเข้าไปที่ไหล่ป้อมแรงๆ
“เปล่า...สาบานเลยน้าปอง” ป้อมบอกด้วยท่าทีหวั่นกลัวอยู่ไม่น้อย
สมปองขยุ้มคอ มองตา ป้อมสบตาสักครู่...หลบตาลง
“ตอนนี้ชั้นไม่เชื่อแกเว้ย ระวังตัวไว้ให้ดีต่อไปนี้ชั้นจะตามแก สืบแกไม่ให้หลุดรอดสายตาชั้นไปได้ ถ้าพบว่าแกทำเลวแกเอ๋ยไอ้ป้อม เตรียมตัวติดคุกชั้นจะเอาแกไปส่งตำรวจด้วยมือชั้นเองเลยเว้ย” สมปองขู่
“ชั้นเปล่าน้าปอง”
“ไม่ต้องพูดเว้ย...ทำให้ดูว่าเปล่าจริงๆ ไม่งั้นทั้งยายทั้งไอ้โศกจะไม่พูดกะแกตลอดชีวิต” ผลักส่งตัวป้อมจนร่างกระเด็นไป แล้วเดินออกไปทันที
ป้อมได้ยินชื่อดอกโศก มองตามด้วยสายตาหวั่นไหว
สมปองหันกลับมาบอกเสียงเข้ม “กูด้วย”
สมปองเดินมาเรื่อยๆ จนถึงบ้าน เห็นแม่กำลังเก็บรถเข็นขายขนมอยู่ หน้าตาไม่เป็นสุข
“แม่ ไอ้โศกอยู่บ้านคุณนัยนะ”
สมใจหันมา “รู้แล้ว”
สมปองสงสาร เห็นแม่นัยน์ตาแห้งผาก “แม่...”
สมใจทรุดตัวลงไปนั่ง มือกุมหัว ทุกข์รุมเร้าในสายตา “ปองเอ๊ย แม่ไม่รู้จะทำไง”
สมปองกลุ้มพอกัน “แม่คิดว่าพี่จิตต์เค้าจะทำไง” สมปองกระซิบถาม
“มันไม่ยอมหรอก แกฟังมันไม่รู้เรื่องรึไง มันรักคุณนัยจนหน้ามืดตามัว ส่วนลูกน่ะไม่รักเลย”
“แม่ว่าเป็นเมียรึยัง” สมปองกระซิบถามอีก เสียงเบามาก
“ก็เนี่ย....ไม่รู้ก็ไอ้เรื่องนี้แหละ” สมใจหนักใจมาก
สมปองหน้านิ่วคิ้วขมวด สมใจถอนหายใจยาวมาก นั่งซบเข่าซึมเซา
“หรือจะไปหามันอีกที ไปขอร้องมัน”
ระหว่างนั้นปรียากมลเดินเข้ามาในซอย มีเพื่อนบ้านที่อายุมากหน่อยเดินสวนมาทีแรกมองธรรมดาแล้วเอะใจเพ่งมอง ปรียากมลหยุดกึกหนึ่งแล้วผ่านไปรวดเร็ว ไม่มอง และไม่ต้องการทักทาย
ปรียากมลเดินมาเรื่อยๆ จนถึง สองแม่ลูก ที่นั่งกันอย่างซึมเซา พูดกันไม่มองรอบตัว
“เฮ้อ จะไปทำมั้ย เค้าจ้างก็ยอมนี่ ประกาศอยู่โต้งๆ ว่า ไม่รัก...ไม่รักลูก” สมปองว่า
“แล้วจะทำยังไงดี สำคัญว่าเป็นเมียรึยัง ถ้าเป็นก็....” สมใจค้างคำพูด
สมปองต่อให้ “จบ”
“จบยังไง” สมใจฉงน
“ไอ้โศกก็ต้องหนี” สมปองมองหน้าแม่ เห็นสมใจครุ่นคิด รีบอาสาจะพาดอกโศกหนีเอง “ชั้นพาไปเองแม่”
“เออ...แม่ก็ว่าต้องหนีไป เพราะคุณนัยเค้ารักมันคุณนัยไม่ยอมปล่อยมันแน่ และก็...ไอ้โศก มันก็รักคุณนัยเหลือเกิน เฮ้อ...กูจะบ้าตาย”
สมหวังโผล่หน้ามาทางหน้าต่าง กำลังอมน้ำขลุกๆ จะบ้วน ตามองไปเห็นปรียากมล ตกตะลึงมาก
ปรียากมล สบตากับสมหวังอย่างจัง นัยน์ตาแรงดังแสงไฟ สมหวังหงอยลงผลุบจากหน้าต่างหายไป แล้วโผล่มาที่ประตูแทน จ้องมองหน้าปรียากมล
“ใช่...ฉันเอง”
สมใจ กับสมปองหันขวับมามอง ตกตะลึงลุกพรวดทั้งสองคนพร้อมๆกัน
ปรียากมลก้าวออกไปยืนเด่นเป็นสง่า เหมือนนางพญากวาดตามองข้าราชบริพาร
สมหวังครางออกมาเบาๆ “สุดจิตต์”
“ฉันชื่อปรียากมล สุดจิตต์ตายไปแล้ว ตายตั้งแต่วันที่พ่อจะเอาฉันทำเมียนั่นแหละ” น้ำเสียงปรียากมล เบา ต่ำ บอกความรู้สึกแค้นในทุกวาจา
ทุกคนนิ่งงันกันไปหมด
“แม่...ฉันมีเรื่องจะพูดกับแม่” ปรียากมลบอก
สมใจรีบลุกขึ้น...อยากพูดเหมือนกัน
สมหวังชิงพูด “มีเรื่องอะไรเฮ้ย...ข้าต้องรู้ด้วยสิ แกไปอยู่ที่ไหนมา”
มีเงินปึกหนึ่ง ชูอยู่ตรงหน้าสมหวังแล้ว
สมหวังมองเงินหน้าตาตื่น
ปรียากมลบอก “ฝากเงินให้ดอกโศก”
“เอ้า...แล้วไง” สมหวังงงวย
“เหมือนที่ชั้นฝากมาแล้วพ่อก็เอาของเค้าไปไงล่ะ” ปรียากมลเหน็บ
“ใคร...ใครบอกแก” สมหวังโวยวาย
“ชั้นไม่รู้จักพ่อเรอะ ก็แค่หวังว่า ไม่เอาไปหมดมีเหลือให้ลูกชั้นมั่งเท่านั้น”
สมหวังยังอ้าปากค้างอยู่ สมหมายพรวดเข้ามาแล้วตกตะลึงครางเบาๆ “พี่จิตต์” ปรียากมลไม่มองสมหมายเลย
“ไม่เอา?” ปรียากมลตั้งท่าเก็บเงิน
สมหวังฉวยหมับ
ปรียากมลหันหลังเดินไปทันที สมใจลุกตาม
“ฉันล่ะ...ฉันไปด้วย ฉันอยากรู้เหมือนกันว่า...มันจะจบยังไง” สมปองว่า
ปรียากมลหันมามองตาดุ นัยน์ตาคมกริบ ด่าอยู่ทีว่าอย่าปากมาก
“เอ้อ...ช่วยกันคิดไงพี่” สมปองฮึดฮัด
“ตามมา” ปรียากมลบอก
ใกล้ค่ำมากแล้ว มืออัศนัยวางเข็มลงบนแผ่นเสียง เสียงเพลงดอกโศกดังกังวาน
“โอ้ดอกโศก เจ้าโศกใจไฉนกัน…”
อัศนัยหันมามอง ดอกโศกนั่งฟังอยู่นิ่งๆ ดวงตามองไปเบื้องหน้า นึกถึง ตอนที่ได้ยินเพลงนี้ ครั้งแรก ที่บ้านหลังนี้
วันนั้นเด็กหญิงดอกโศก นั่งจ้องแผ่นเสียงที่เพลงกำลังดังแผ่ว สายตาทึ่งเพราะไม่เคยเห็น นั่ง
ท่าเดียวกันที่เดียวกัน แล้วก็หันมามองอัศนัย เด็กหญิงกระซิบแผ่วๆ แทบไม่มีเสียง “เพลงดอกโศก”
อัศนัยบอกเสียงเรียบ “ใช่ เพลงดอกโศก”
ดอกโศก ทำมือจุ๊ปากให้เงียบ แล้วลุกขึ้นไปยืนใกล้ๆ เพ่งมองอย่างตื่นเต้น หันหน้ามายิ้มหน้าตาตื่น แล้วหันไปฟังต่อ
เพลงใกล้จบ เด็กหญิงดอกโศกเดินมานั่งที่เดิม ที่อัศนัยไปนั่งเอกเขนกอยู่ใกล้ๆ
“มีเพลงนี้ด้วยหรือคะคุณนัย” เด็กหญิงถาม
“อ้าว!” อัศนัยงง
ดอกโศกจุ๊ปากอีกที
“ถ้าไม่มีจะได้ยินเหรอ”
ดอกโศกยังฉงนอยู่ “เพราะจัง”
“ไม่เพราะ คุณนัยก็ไม่เปิดน่ะสิ”
“ดอกโศกจะเอาไปให้ยายร้องให้ฟัง อ้อ แต่ตอนนี้อยู่กับคุณตาไม่ได้อยู่กับยาย...ลืมไป”
เด็กหญิงดอกโศกนิ่งฟัง ก่อนจะถามต่อ “ทำไมเค้าแต่งเพลงให้ดอกโศกล่ะคะ”
เจอคำถามนี้เข้า อัศนัยหัวเราะก๊าก
“จริงด้วย...คนสำคัญน้าเนี่ย...เค้าแต่งเพลงให้พิเศษเลย”
อัศนัยหัวเราะร่า
เสียงหัวเราะของอัศนัยวันนั้น ปลุกดอกโศกตื่นจากภวังค์
“รู้มั้ย ทำไมยายถึงร้องเพลงนี้ได้ คุณนัยเอาไปให้ยายฟังอัดเทปไป ยายฟังจนร้องได้”
“เหรอคะ ....คุณนัยใจดี น่ารักมากเลย”
อัศนัยถามทันที “รักรึเปล่า”
“รักสิคะ แหม...ไม่รักคุณนัยแล้วจะไปรักใคร๊?”
อัศนัยหัวเราะเสียงดังก้อง ชอบใจมาก หม่อนเข้ามาจากข้างนอก
“คุณนัย โอ๊ย เดี๋ยวข้างบ้านตกใจตาย” หม่อนว่า
หมื่นตามมาลากแม่กลับไป “ยุ่งจริงเชียวแม่หม่อนเอ๊ย”
สองคนหัวเราะกัน แล้วหยุดนิ่ง
อัศนัยแตะคางหญิงอันเป็นที่รักเชยขึ้น “ขอให้โศกแต่ชื่อนะ”
เวลาเดียวกันที่ห้องอาหารเงียบสงบแห่งหนึ่ง ปรียากมลเดินนำเข้ามา สมใจ สมปองเดินตามมาท่าทีแหยงๆ
“ร้านอาหารเหรอเนี่ย....ทำไมมืดๆ”
“เดี๋ยวจะสั่งอาหารให้กิน อาหารแพง จานละเฉลี่ยๆ นะ 500 บาท” ปรียากมลบอก
“ห้าร้อยบาท! โอ้ย กินไม่ลงหรอก คนรวยกินแพงจังเว้ย คนจนกินไปได้หลายวัน” สมปองบ่น โวยตามประสา
“เออจริง สิบวันได้มั้ย” สมใจบอก
สมปองท้วง “แม่...มากไป”
“ไม่ถึงเหรอ”
“ของวันแพงขึ้นทุกวัน อย่างวันเนี้ย 500 บาทคนจนกินได้ 10 วัน พรุ่งนี้เหลือ 8 วัน มะรืนเหลือ 6 วัน” สมปองบ่น
“อย่าเอะอะ นั่งลง แม่ ปอง” ปรียากมลสั่ง
สองคนนั่งลง
“นั่งให้เต็มๆ ก้น เดี๋ยวก็ปวดหลังหรอก ปอง...นั่งให้สบาย”
สองคนขยับเข้าไป
ปรียากมลบอกบริกรที่เดินเข้ามารับออเดอร์ “เรามีเรื่องปรึกษากัน เสร็จแล้วจะสั่งอาหาร ขอเครื่องดื่มอะไรก็ได้มาก่อน...ขอบใจมาก”
ครู่เดียวเท่านั้นบริกรจัดเครื่องดื่มสามชนิดวางตรงหน้า
“แม่” ปรียากมลจ้องหน้าสมใจ
สมใจกับสมปองขยับตัว
“แม่ต้องหยุดเรื่องอัศนัยกับดอกโศก”
สมใจนิ่งอั้น สมปองก็พูดไม่ออก
“พี่จิตต์...คุณนัยกับไอ้โศกเขารักกันมากรักกันมานาน เขาเมตตามันตั้งแต่มันยังเด็ก ชีวิตมันน่าสงสารนะพี่จิตต์ ไปอยู่กับตา...ก็...พ่อพี่นั่นแหละก็โดนคนบ้านนั้นทารุณ มีคนหนึ่งสติไม่ดีทั้งเฆี่ยนทั้งตีมัน ตานายพลของมันก็ไม่รัก ตายไปไอ้โศกไม่ได้ซักกะบาท อุตส่าห์อยู่รับใช้ร่วมสิบปี”
ปรียาฟังนิ่งๆ สายตาล้ำลึกมาก
“วันเปิดพินัยกรรมไม่มีชื่อมัน เขาก็ขับไล่ไสส่งให้กลับมาอยู่ที่บ้าน มันก็มาช่วยแม่ทำมาหากินตลอด เช้าตื่นทำขนม เย็นกลับจากโรงเรียนไปขายขนม กลางคืนดูหนังสือ นี่มันกำลังจะไปเรียนม.สุโขทัย มันทำงานหาเงินเอง ขนาดย่าแหม่มของมันรวยจะตายจะให้เงินมันยังไม่เอาเลย” สมปองเล่า
“มันเป็นคนรักศักดิ์ศรีตัวเองที่สุด แกก็ต้องภูมิใจลูกสาวแกนะ สุดจิตต์”
สมใจผสมโรง ทว่าปรียากมลไม่สน บอกเสียงแข็ง
“จัดการให้ดอกโศกเลิกกับอัศนัย”
“โธ่เอ๊ย....จิตต์เอ๊ย ไม่สงสารลูกมันเหรอไงวะ”
“นั่นอ่ะดิ ...ใจคอ.... เฮอะ!” สมปองถากถาง
“ฉันเป็นพี่แกนะนังปอง อย่าพูดจาล่วงเกินชั้นอย่างนี้ มันมากไป”
“ไม่มากหรอก อยากพูดมากกว่านี้อีกเพราะว่า.....”
“แม่” ปรียากมลไม่ฟังปองพูดจนจบ หันมาทางแม่ สายตากล้าแข็ง “ถ้าแม่ไม่จัดการให้มันเลิกกับเค้าเท่ากับแม่ส่งเสริมให้มันทำผิดที่สุดในชีวิตมัน บาปกรรมด้วย”
สมใจกับสมปองตกตะลึงมาก
“พ่อ......พ้อ” สมหมายเสียงดังขึ้น เมื่อเห็นพ่อนั่งหน้าเหม่อแบบเครียดๆ
สมหวังหวังส่งเสียงอย่างรำคาญ หันหนีไปทางอื่น
สมหมายเซ้าซี้ต่อ “พ่อ.....เมื่อกี้พี่จิตต์ใช่มั้ย เค้ายังไม่ตายเหรอ”
“ยัง”
“ไปอยู่ที่ไหนมาเหรอพ่อ...ท่าทางเค้ารวยนะ ใส่แหวนเพียบเลย”
เท่านั้นแหละ สมหวังสายตาวาวขึ้นนิดหน่อย เหลือบชำเลืองมองเงินในมือตัวเอง
“รวย ....คงรวยอื้อ”
สามคนยังคุยกันอยู่ในร้านอาหารที่เดิม จังหวะหนึ่งปรียากมลยื่นข้อเสนอขึ้นมา
“ถ้าแม่ทำสำเร็จ ชั้นจะให้สามแสน” ปรียากมลบอกต่อหน้าแม่และน้องสาว
สมปอง อ้าปากค้าง “โห...ตั้งสามแสน”
ปรียากมล หรี่ตามองน้องสาวคนละพ่อ “หรือว่าจะเพิ่มเป็นห้าแสน”
สมปองตาเหลือก อ้าปากค้าง “แค่เนี้ยะนะจะให้ตั้งครึ่งล้าน มีเหตุผลอะไรบอกหน่อย”
“เหตุผลไม่เกี่ยวกับเงิน....” ปรียากมลสวนคำออกมา
สมใจนั่งหน้าเครียด ตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่ง “เดี๋ยว...สุดจิตต์”
“ชั้นชื่อ..ปรียากมล”
สมใจตวาดเล็กๆ “ชื่ออะไรก็ช่าง จะชื่อสวรรค์วิมานไหนกูไม่สน กูถามคำเดียวนังสุดจิตต์ ที่มึงสาธยายมาเนี่ย มึงจะบอกใช่มั้ย?...ว่ามึงเป็นเมียเขาแล้ว”
“ใช่....” ปรียากมลตอบทันที และเตรียมจะเดินไปแล้ว
ทั้งสองคนยืนแข็งเป็นหิน
“ฉันเป็นเมียเขาแล้ว” ปรียากมลพูดสำทับต่อ แล้วเดินไปทันที
ต่อจากตอนที่แล้ว
ในเวลาเดียวกัน ดอกโศกยังอยู่ที่บ้านอัศนัย จังหวะหนึ่งอัศนัยถามดอกโศกขึ้นมา
“เออ...ดอกโศก คุณนัยถามอะไรหน่อย”
“ถามหน่อยเหรอคะ นี่ดอกโศกนะคะ ไม่ใช่หน่อย” ดอกโศกเย้า
อัศนัย คิดอยู่อึดใจแล้วทำท่าเข่นเขี้ยว ดอกโศกหนีทันที อัศนัยตามจนคว้าตัวมาอยู่ในอ้อมกอด แล้วจูบแรงๆ ฟอดใหญ่ที่แก้ม
“โอ๊ยเจ็บ”
“อีกที...นี่แน่ะ” อัศนัยหอมอีกฟอด
“ว้า....อะไรเนี่ย” ดอกโศกเช็ดๆ “ขี้มูกน่ะ” แบบมือทำท่าดูแล้วร้องแกล้งอัศนัยอีก “อี๋”
“โธ่เอ๊ยอย่าเลย.....อ๊ะ จริงเหรอ” อัศนัยของท่าทางดอกโศก ชักไม่แน่ใจ
ดอกโศกยิ้มล้อ “เปล่าค่ะ ล้อเล่น”
“มานั่งนี่มา...” อัศนัยเดินไปกดเพลงแล้วพามานั่ง กอดดอกโศกให้พิงตัวเอง สบายๆ “ยกขาไว้ข้างบนสิจะได้นั่งสบาย...สบายรึยัง”
ดอกโศกทำเสียงมีความสุข ฮัมเพลงตามนิดๆ จนถึงใครหนอให้ชื่อเอย
“เออ ดอกโศก เมื่อวันก่อนศูนย์การค้า เจออุ๊มั้ย?”
“ไม่เจอนี่คะ ทำไมคะ อุ๊ไปด้วยหรือคะวันนั้น” ดอกโศกบอกตามตรง
“ดอกโศกไปที่ไหนมั่งล่ะ”
ดอกโศก เงียบไปนิด ตัดสินใจไม่บอก “ก็ไปที่นั่นแห่งเดียวค่ะ”
สีหน้าอัศนัยเขม็งขึ้นมาทันที
“เป็นร้านเฟอร์นิเจอร์เหรอ?”
“ค่ะ...เอ๊ะ ...ทำไมคุณนัยรู้ว่าเป็นร้านเฟอร์นิเจอร์” ดอกโศกแปลกใจนิดๆ
“อ้าว ไปพบอินทีเรียก็ต้องไปร้านเฟอร์นิเจอร์น่ะสิ”
“เก่งจัง” ดอกโศกสัพยอก ไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกจับผิด
“ไปศูนย์การค้า ไม่ไปร้านอื่นเลยหรือ ทำไมไม่เดินเล่นหรือแวะกินขนม”
ดอกโศกนิ่ง
อัศนัยคาดคั้น “หือม์...ว่าไง”
ดอกโศกรู้สึกตัวขึ้นมารำไรๆ แต่ไม่ตอบ
“ดอกโศก” อัศนัยถามซ้ำ
“เปล่าค่ะ” ดอกโศกขยับตัวจะลุก “ไม่ได้ไปไหนเลย”
อัศนัยจับตัวไว้เหมือนกระชากไม่ให้ไป
“คุณนัย” ดอกโศกดึงตัวเองขึ้น มีอารมณ์นิดๆ
อัศนัยถาม “จะไปไหน”
จากนั้นจึงเกิดการสู้กันเล็กๆ จนอัศนัยจับตัวดอกโศกไว้
“ทำไมต้องโกหก ...โกหกทำไม”
“คุณนัยปล่อยค่ะ ....เจ็บ”
“บอกมาก่อน ทำไมถึงโกหก”
“ใครบอกคุณนัย...อ๋อ..อุ๊นั่นเอง” น้ำเสียงประชดนิดๆ
“เขาถ่ายรูปมาให้ดูด้วย ที่ร้านขนมรู้มั้ยว่าคุณนัยรู้สึกยังไง ฟังดีๆนะ ฟังให้เข้าใจ” อัศนัยพูดช้าๆ ชัดๆ “ทีแรกโกรธ...แต่พยายามคิดในแง่ดี คิดทั้งคืน จนตอนเช้าคุณนัยคิดว่าถามดอกโศกก่อนดีกว่า แน่ใจด้วยว่าถ้าถามดอกโศกจะบอกความจริง แล้วมันจะเป็นเรื่องเล็กมาก”
ดอกโศกนิ่งงันรู้สึกอัดอั้น
“เห็นมั้ยตั้งแต่ดอกโศกมา คุณนัยไม่ได้พูดเรื่องนี้ด้วยซ้ำ เพิ่งนึกออกเมื่อกี๊”
ดอกโศกยังนิ่ง
“อย่านิ่ง ตอบมา” อัศนัยเริ่มเสียงดัง “โกหก ทำไม”
ดอกโศกอ้ำอึ้ง “เพราะ...”
“เพราะอะไร” อัศนัยเสียงดังขึ้นมาอีก “รักเขาชอบเขาเหรอถึงไม่กล้าบอก ไม่จำเป็นต้องปิดบังเลยนี่”
“มันไม่สำคัญ ไม่อยากให้มีเรื่องค่ะ...” ดอกโศกบอกเสียงเรียบในท่าทีนิ่งเฉย
“เรื่องอะไร ....อ๋อ กลัวคุณนัยจะไปเอาเรื่องกับเขาเหรอ ปกป้องเขาใช่มั้ย? ห่วงนักใช่มั้ยก็ไปเลย”
“ถ้าดอกโศกจะไป ก็เพราะคุณปรียากมล ไม่ใช่เพราะคุณภักดิ์ภูมิ” ดอกโศกเหน็บ
อัศนัยชะงักกึก หันมามองดอกโศกนัยน์ตาเข้ม ดุจัด
ดอกโศกเห็นสะท้านไปทั้งตัว อัศนัยปัดอะไรแถวนั้นแรงๆ แล้วเดินพรวดออกไป
“คุณนัย...” ดอกโศกวิ่งตาม
อัศนัยหันมาหา ชี้หน้าว่าแรงๆ “เธอก็รู้ว่าไม่ใช่ปรียากมล ปรียากมลไม่มีความหมาย...เธอรู้”
ดอกโศกยืนนิ่งได้แต่จ้องหน้าอัศนัย ทำอะไรไม่ถูกแล้ว
“ถ้าไม่ใช่เขา...เธอโกหกฉันทำไม”
คืนเดียวกันนั้นที่โรงแรมภักดิ์ภูมิ...ภักดิ์ภูมิเดินเคียงมากับฉัตรทอง
ภักดิ์ภูมิเดินเร็วๆ เข้ามาจับมือกับฝรั่งนักธุรกิจ ต่างคนต่างแนะนำให้รู้จักฉัตรทองและภรรยาของฝรั่ง
ภักดิ์ภูมิแต่งตัวโก้หรู ดูเป็นคนสมาคมเก่ง ฉัตรทองเองก็คุ้นเคยกับการมาสมาคมแบบนี้
ทั้งหมดนั่งคุยกันที่ลอบบี้ ภักดิ์ภูมิสุขุม ดูมีมาด และฟอร์มดี ขณะฟังคู่สนทนาเขายิ้มน้อยๆ และพยักหน้ารับเสียเป็นส่วนใหญ่ มีพูดตอบโต้บ้าง ซึ่งพอพูดออกไป บรรดาฝรั่งตรงนั้นต่างมองอย่างทึ่ง
จังหวะหนึ่งผู้จัดการร้านอาหารยืนอยู่ห่างๆ มองสบตาภักดิ์ภูมิเป็นเชิงบอกว่าอาหารพร้อมแล้ว ภักดิ์ภูมิพยักหน้านิดๆ รับรู้ แล้วลุกขึ้นผายมือ
“Let ‘ s go to the dining room - เชิญห้องอาหารครับ”
ทุกคนลุก เดินไปตามทาง คุยกันติดพัน
ฉัตรทอง ชะลอฝีเท้ามาเดินเคียง
“หิวแล้วใช่มั้ยฉัตร”
“ดินเนอร์เสร็จฉัตรขอคุยกับพี่ภูมิหน่อยได้มั้ยคะ”
ภักดิ์ภูมิแปลกใจนิดๆ “ได้แน่นอน คืนนี้เลยหรือ”
ที่โต๊ะอาหาร ทั้งหมดนั่งคุยไปทานอาหารไป ฉัตรทองหน้าตาไม่สบายใจลึกๆ เหลือบมองภักดิ์ภูมิตลอดเวลา คนอื่นพูดคุยกัน ภักดิ์ภูมิวางท่าโก้มาก
อาหารมื้อนี้จบลงอย่างชื่นมื่น ทุกคนเดินออก และร่ำลาที่ลอบบี้
ภรรยาฝรั่งจับมือฉัตรทอง “Impressive dining with impressive lady. - อาหารมื้อเย็นกับสุภาพสตรีที่น่าประทับใจ”
ฉัตรทองยิ้มแย้มกล่าวขอบคุณ “Thank you very much”
ส่วนสามีชาวฝรั่งเอ่ยขึ้น “Good night” จับมือภักดิ์ภูมิ “I ‘ll keep in touch - ผมจะติดต่อมาเสมอๆ” ภักดิ์ภูมิยิ้มให้อย่างสุภาพ “Good night…looking forward to work with you - ราตรีสวัสดิ์...หวังว่าจะได้ร่วมงานกันนะครับ”
แล้วทั้งหมดก็ล่ำลากัน ภักดิ์ภูมิหันกลับ แตะหลังฉัตรทองอย่างนุ่มนวลเป็นเชิงบอกว่าไปกันเถอะ
“พี่ภูมิคะ” ฉัตรทองเรียกทวงที่ขอเอาไว้
ไม่นานต่อมา สองคนยืนหน้านิ่งๆ อยู่ ในห้องทำงานของภักดิ์ภูมิ ขณะที่พนักงานวางกาแฟ น้ำเย็น ก้มตัวเดินออก ฉัตรทองมองตาม จนเห็นประตูปิดเข้ามาดังคลิก
“ถ้าพี่ภูมิไม่จัดการให้เขาออกไปนั่งห้องพี่ใจเอื้อฉัตรจะทำเอง”
ภักดิ์ภูมิหน้านิ่ง ครุ่นคิด ตรึกตรอง
“พี่ภูมิ...ได้ยินมั้ยคะ” ฉัตรทองดูจะมีอารมณ์นิดๆ
“พี่กำลังคิดว่า พี่จะพูดยังไงดี”
ฉัตรทองสวนคำออกมา “พี่ภูมิไม่ต้องพูดก็ได้ พูดยังไงฉัตรก็ไม่เชิ่อ ฉัตรแน่ใจว่าดูไม่ผิด เพราะพี่ภูมิไม่เห็นแก่หน้าฉัตร พี่ภูมิทำชัดเจนอย่างนี้ฉัตรยอม ฉัตรไม่ใช่คู่หมั้นของพี่ภูมิแล้ว”
“ฉัตรไม่ใช่คู่หมั้น....ฉัตรจะทำยังไง”
ฉัตรทองแค่นหัวเราะ “พี่ภูมิคิดว่าฉัตรจะถอนหมั้นหรือคะ ไม่มีทาง ฉัตรไม่มีวันปล่อยพี่ภูมิให้เขา...อย่าหวัง”
ภักดิ์ภูมิมองหน้า “พี่ถามจริงๆ ครับฉัตร”
“นี่ไง...ก็ตอบจริงๆ แล้วไง”
“ฉัตรแต่งงานกับคนที่ฉัตรรู้ว่าเขาไม่ได้รักฉัตรได้หรือ”
ฉัตรทองนิ่งงัน กลั้นน้ำตาเต็มที่ แต่ไม่สำเร็จ ไปนั่งเอาสองมือปิดหน้าอีกมุม มีแต่เสียงร้องไห้
ภักดิ์ภูมิขยับไปนั่งใกล้ๆ จับมือสองข้างของฉัตรมากุมไว้ มือของภักดิ์ภูมิ ตบหลังมือฉัตรทองอย่างปลอบโยนอย่างสุภาพ นุ่มนวล แสดงความเป็นสุภาพบุรุษของภักดิ์ภูมิเต็มที่
ฉัตรหันขวับมา ทั้งที่ยังสะอื้น จับมือภักดิ์ภูมิแนบแก้ม เกลือกกลิ้งหน้าตัวเองกับมือ จูบมือ แนบหน้ากับมือ น้ำตาไหลพร่างพรู
ภักดิ์ภูมิ โอบฉัตรทองมาแนบอก แต่กิริยาเหมือนพี่ชายโอบน้อง
ฉัตรทองไม่เหนี่ยวรั้งตัวเอง โอบแขนไปรอบคอภักดิ์ภูมิ กอดรัดรุนแรงพลาง ร้องไห้พลาง ไม่ใช่ยั่วรัก แต่แสดงอารมณ์ลึกซึ้งด้วย ทั้งรักทั้งเสียใจ
ภักดิ์ภูมิพยายามตบหลังเบาๆ ปลอบให้อารมณ์สงบลง
ครู่ต่อมา ภักดิ์ภูมิยืนนิ่ง มองออกไปนอกหน้าต่าง ถอดสูทออกแล้วพาดไว้ที่พนักเก้าอี้ มือกำลังดึงเนคไทให้หลวมขึ้น แต่สีหน้าเป็นกังวล
ฉัตรทองเดินกลับเข้ามา หลังจากไปห้องน้ำล้างหน้า ฉัตรทองเดินมาเปิดกระเป๋าหยิบกระดาษหรือผ้าเช็ดหน้ามาซับหน้า ยังคงมีเสียงสะอื้นจมูกแดง นัยน์ตาช้ำ
ภักดิ์ภูมิหันมาแตะตัวฉัตรทองให้นั่งลง “ฟังพี่...เราหมั้นกันเพราะผู้ใหญ่จัดการ พี่ยอมทั้งๆ ที่พี่ไม่ควรยอม ฉัตรเองก็ยอมทั้งๆ ที่ไม่ควรยอมเหมือนกัน เราสองคนถูกเลี้ยงมาให้ฟังพ่อแม่และ....คุณพ่อคุณแม่ของเราท่านเป็นพ่อแม่ที่เราเชื่อได้อย่างเต็มร้อยว่าท่านหวังดี”
ฉัตรทองนิ่งฟัง
“พี่ไม่เคยคิดว่าจะไม่แต่งงานกับฉัตร คิดแต่ว่า เมื่อพี่แต่งงานพี่จะเป็นสามีของฉัตรไปตลอดชีวิต เหมือนคุณพ่อคุณแม่ของพี่กับของฉัตร ท่านเป็นคู่ครองกันจนถึงเดี๋ยวนี้”
ฉัตรทองเริ่มรู้แล้วว่าถ้าพูดถึงความรักจะได้คำตอบว่ายังไง
“นี่คือสัญญาของพี่”
“ความรัก...” ฉัตรทองสะอื้นออกมาทันที “พี่ภูมิไม่พูดถึงความรัก”
“ฉัตรรู้คำตอบ พี่พูดหลายครั้งแล้ว”
ฉัตรทองนิ่ง ความโกรธความน้อยใจพลุ่งมาในสีหน้า ภักดิ์ภูมิดูแล้วหวั่นใจ รู้ดีว่าฉัตรทองต้องไปราวีดอกโศกแน่
ไม่นานหลังจากนั้นภักดิ์ภูมิ พาตัวเองมาอยู่ที่บริเวณทางเดินเข้าซอยบ้านดอกโศก
ภักดิ์ภูมิเดินสองมือล้วงกระเป๋าคอยอยู่ เดินช้าๆ สีหน้าครุ่นคิด ระหว่างนั้นมีชาวบ้านเดินผ่านมา มองด้วยความแปลกใจ อีกคนเดินผ่านแล้วถาม “หาใครคะ”
ภักดิ์ภูมิรีบบอก “ขอบคุณครับ ไม่เป็นไร” ชาวบ้านคนนั้นผ่านไป แต่ยังหันมามองอย่างฉงน แต่พอหันกลับเดินไปแล้วเจออัศนัยและดอกโศก เหมือนเถียงกันอยู่ชาวบ้านคนดังกล่าวยิ้มให้นิดๆ แล้วเดินผ่านไป
ขณะที่ภักดิ์ภูมิยังคงเดินช้าๆ คิดไปเรื่อยๆ
เรื่องไปกับภักดิ์ภูมิยังไม่เคลียร์ดี พออัศนัยมาเห็นภักดิ์ภูมิขณะมาส่งดอกโศกที่บ้านยาย จึงหันกลับมาหาดอกโศกอย่างเอาเรื่องอีก
“จะให้คุณนัยเข้าใจว่ายังไง”
“เอ่อ...ไม่ทราบ” ดอกโศกตอบเสียงเบามาก
“คุณนัยรู้ว่าไม่ได้นัดกัน แต่...นี่เขามาทำไมพอตอบได้มั้ย”
“ตอบไม่ได้ค่ะ ดอกโศกไม่ทราบ” ดอกโศกยืนกราน
“จะให้คุณนัยทำยังไง จะให้กลับแล้วปล่อยดอกโศกไปพบเขาเหรอ”
“คุณนัยจะไปส่งดอกโศกที่บ้านไม่ใช่หรือคะ”
“ไม่ไป...ไม่อยากเจอ”
“งั้น....” ดอกโศกอึดอัดใจมาก “จะทำยังไง เขาอาจมีงานด่วน”
“เขาให้ทำงานอะไรมั่งล่ะวันๆ น่ะ ให้นั่งอยู่ในห้องแล้วก็มองหน้าอยู่นั่นแหละ จะให้มีงานอะไรด่วนให้ทำ...บ้าจริง”
“งั้นคุณนัยก็กลับบ้าน” ดอกโศกชักโกรธมั่งแล้ว
“อะไรนะ...ไล่คุณนัยกลับบ้าน แล้วตัวเองจะเข้าไปหาเขาน่ะเหรอ”
“อ้าว ก็คุณนัยบอกว่าไม่อยากเจอเขา” ดอกโศกประชด
“ไม่อยากให้เขาเจอดอกโศกด้วย”
“ให้ยืนอยู่ตรงนี้เหรอคะ”
“ใช่”
“เขาออกมาเขาก็เจอเรา”
เจอไม้นี้เข้าอัศนัยเถียงไม่ออก
“เข้าไปด้วยกันเถอะค่ะ จะได้รู้ว่าเขามาทำไม” น้ำเสียงอ่อนโยนลง แตะแขนเบาๆ “นะคะ”
อัศนัยคิดไปคิดมา “ดอกโศกกลับไปกับคุณนัย”
ดอกโศกอึ้ง ทำหน้าขำ “แล้วพรุ่งนี้ล่ะคะ พรุ่งนี้ดอกโศกก็พบเขาอยู่ดี”
อัศนัยครุ่นคิด อาการหงุดหงิดอยู่สักครู่
ดอกโศกเดินเข้ามาที่หน้าบ้านยายอย่างเร็ว ด้วยสีหน้าที่ยังขำอัศนัยไม่หาย
ภักดิ์ภูมิหันมาเห็น ทักทาย “แอนเจล่า” แล้วละสายตามองเลยดอกโศกไปข้างหลัง “คุณอัศนัย สวัสดีครับ”
ดอกโศกรีบพูด “แอนเจล่าไปทานข้าวที่บ้านคุณอัศนัยค่ะ คุณภักดิ์ภูมิ มีงานด่วนหรือคะ” ดอกโศกพยายามพูดเอาใจอัศนัย และไม่ให้ภักดิ์ภูมิเก้อ
อัศนัยสวมรอยประชดอยู่ในที “ดีที่เรากลับเร็วนะดอกโศก ทีแรกจะพาไปที่อื่นต่อ”
ดอกโศกมองหน้าเหมือนค้อนนิดๆ “ค่ะ ไม่งั้นคุณภักดิ์ภูมิก็ไม่พบ...”
ภักดิ์ภูมิดูอาการผู้ชายด้วยกันฟังออก “ผมมีเรื่องจะบอกแอนเจล่าครับ...เรื่องงาน”
“ค่ะ” ดอกโศกคอยฟัง
ภักดิ์ภูมิยังไม่พูด อัศนัยสีหน้าข่มอารมณ์ อยู่เลยต้องพูดก่อน
“งั้น...เชิญครับ ผมขอตัวก่อนนะครับ” ก้มหัวให้ “ดอกโศกคุณนัยไปก่อนนะจ๊ะ”
“ค่ะ คุณนัย” ดอกโศกพนมมือไหว้ลา
อัศนัยจับมือที่พนม บีบมือแรงจนดอกโศกนิ่วหน้านิดๆ
อัศนัยเดินไป ดอกโศกหันมาหาภักดิ์ภูมิ สีหน้าปรับเป็นปกติดีแล้ว
“มีงานด่วนหรือคะ”
“ไม่มีงานด่วน ขอโทษที่ต้องพูดอย่างนั้นผมเกรงคุณอัศนัยจะไม่เข้าใจ”
“ค่ะ คุณภักดิ์ภูมิมีเรื่องอะไรคะ แอนเจล่าช่วยได้หรือคะ”
ภักดิ์ภูมินิ่งไปนิดหนึ่ง “ผม...ที่จริงเป็นเรื่องไม่เป็นเรื่อง ผมตัดสินใจเร็วไปเองถึงมาหาแอนเจล่า แต่ตอนนี้ไม่จำเป็นแล้วครับ”
ดอกโศกฉงน “เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับแอนเจล่าหรือเปล่าคะ”
ภักดิ์ภูมิอึ้งอยู่ “ก็....เกี่ยวบ้าง”
ดอกโศกมองมาด้วยสายตาอ่อนโยน ภักดิ์ภูมิมองแล้วสะท้อนใจมาก
“บอกได้คุณภักดิ์ภูมิก็บอกเถอะค่ะ ถ้ามันเป็นปัญหา...จะได้หยุดทัน”
ภักดิ์ภูมิก้มลงมองมือนิ่งอยู่ ไม่กล้าสบตา
ไกลออกไปอัศนัยยืนมองอยู่ ไม่ขยับไปไหน
“แอนเจล่า...พบกันพรุ่งนี้นะครับ” ภักดิ์ภูมิขยับตัวทำท่าจะกลับ
อัศนัยรีบหันหลังกลับออกไป เมื่อเห็นภักดิ์ภูมิขยับตัว
“คุณภักดิ์ภูมิคะ” ดอกโศกเรียกไว้
ภักดิ์ภูมิเดินไปแล้วหันกลับมา บอกด้วยเสียงจริงจัง “แอนเจล่า สัญญาว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับคุณ...คุณจะบอกผมอย่าเก็บไว้คนเดียว”
ดอกโศกจ้องนิ่งที่หน้าภักดิ์ภูมิ กับอาการของภักดิ์ภูมิเห็นสายตาเป็นกังวลมาก
“คุณฉัตรทอง?” ดอกโศกเปรย เป็นเชิงถาม
ภักดิ์ภูมิสีหน้าบอกความรู้สึกภายในใจเต็มๆ
“แอนเจล่า ผมพบคุณช้าไป...ช้าไปจริงๆ” ภักดิ์ภูมิผละไปอย่างรวดเร็ว
ดอกโศกยืนนิ่งงันอยู่อย่างนั้น
อ่านต่อหน้า 2
ดอกโศก ตอนที่ 17 (ต่อ)
ภายในบ้านสมใจเวลานั้น สมหวังกับสมหมายดูทีวีรายการผีที่กำลังถึงตอนน่ากลัว สองพ่อลูกนั่งจมูกแทบติดทีวี ในจอเปิดฉากผีน่ากลัวออกมาทันที สองคนผวาเข้าหากัน
ดอกโศกเดินเข้ามามอง แล้วเดินเลี่ยงออกไปอีกทาง
ส่วนสมใจกับสมปอง นั่งท่าทุกข์หนักอยู่กันอีกมุม มีเสียงทีวีรายการผีดังแว่วๆ
ดอกโศกเดินเข้ามาหา “ยาย....” เรียกเบาๆ “หนูมาแล้ว มาช้านะจ๊ะยาย...น้าปอง”
สมใจกับสมปองหันมาดู พยายามทำหน้าให้เป็นปกติ
ดอกโศกเห็น ดูออก “ยายเป็นอะไรไม่สบายเหรอ”
“เปล่าหรอก โศกเอ๊ย...”
สมปองถามโพล่งออกมา “โศก...คุณภักดิ์ภูมิเค้าชอบแกเหรอ”
“น้าปอง...เรื่องอะไรกัน” ดอกโศกงง
สมปองอึกอัก “ก็....น้าเห็นว่า...”
“วันนี้มาสองหน ท่าทางดีนะโศก” สมใจเชียร์
ดอกโศกหัวเราะนิดๆ “เค้ามีธุระเค้าก็มา”
“ไม่หรอก...ธุระด่วนแค่ไหนพูดกันพรุ่งนี้ก็ได้ แกเป็นหุ้นส่วนเค้า โรงแรมเค้าจะเจ๊งหรือต้องรีบแจ้นมาแจ้งหุ้นส่วนซะขนาดนี้” สมปองว่า
“ธุระเค้า” ดอกโศกบอกค่อยๆ
“โศก เค้าก็ดีนะยายว่า แกไม่ลองดูเค้ามั่งล่ะ” สมใจเอ่ยขึ้น ท่าทีจริงจัง
“ยายจ๋า หนูรักกับคุณนัยนะยาย” ดอกโศกบอก
“เฮ้ย...คุณนัยแก่ คนนี้หนุ่ม..หล่อนะโศก รวยด้วย”
ดอกโศกมองจ้องสมปองนัยน์ตาเฉย
“เออ...ขอโทษรู้แล้วว่าอย่างแกเงินซื้อไม่ได้ แต่...”
ดอกโศกย้ำชัด “หนูรักคุณนัย”
สองคนจ๋อยทันที
“หนูไม่รู้ว่าทำไมทั้งยายทั้งน้าปอง ถึงอยากให้หนูเลิกกะคุณนัย...บอกหนูได้มั้ย ทำไม...”
คราวนี้สองคนนิ่ง ใบ้กิน
“มันไม่ใช่เพราะคุณภักดิ์ภูมิดี แต่อยู่ที่คุณนัย ทำไมจ๊ะยาย” ดอกโศกจับสังเกต
สองคนมองหน้ากัน
“เกี่ยวกับคุณปรียากมลใช่มั้ย”
คำนี้ทำเอาสองคนยิ่งหน้าจ๋อยใหญ่
ดอกโศกรับรู้ “ใช่มั้ย ยายกะน้าปองมีอะไร...กลัวอะไร”
สมปองโพล่งออกมา “ก็....เค้าเป็นผัวเมียกันรึยังก็ไม่รู้”
“แกจะตกที่นั่งแย่ง....” สมใจถอนใจใหญ่ “ของเขานะโศกเอ๊ย”
“หนูไม่ได้แย่งและเขาก็ไม่ได้เป็นอะไรกัน หนูเชื่อคุณนัย คุณนัยไม่พูดปด”
สมปองถาม “ไม่กลัวเค้าเหรอโศก” หมายถึงปรียากมล
“เค้าคงไม่ฆ่าหนูหรอก อะไรที่เขาทำอยู่เรื่อยๆ ตอนนี้น่ะหนูไม่กลัว...เคยกลัวแต่ตอนนี้ไม่กลัวแล้ว”
ฟังคำนี้ สีหน้าดอกโศกยิ่งมุ่งมั่น สองแม่ลูกอยากตาย ให้รู้แล้วรู้รอด
เช้าวันรุ่งขึ้น บริเวณทางเดินออกจากบ้านยาย ภาพชีวิตคุ้นตาชาวชุมชนแห่งนั้น เริ่มฉายออกมา
ชาวบ้านเดินสวนเข้าออกไปมา เด็กบางคนไปโรงเรียน แม่ค้าคนขายของเริ่มอาชีพตามทางหากินของใครมัน
ดอกโศกลงจากบ้าน ใส่รองเท้า ออกเดินมา
“โศก” ป้อมนั่งคอยที่ม้านั่งหน้าบ้านเรียก
ดอกโศกหันมา “ป้อม” มองจ้องหน้า “มีเรื่องอะไรอีก”
“เปล่า....คิดถึงก็มาหา ไม่ได้เจอนาน”
“ไปไหนมา ชั้นไปหาแกที่บ้านไม่เคยเจอ แกไปทำอะไรผิดๆ ที่ไหน”
ป้อมเรียกอีก “โศก”
“น้าปองบอกชั้นแล้ว ป้อม...ฉันรักแกฉันห่วงแก แกเป็นเพื่อนเกือบจะคนเดียวในโลกนี้เลยนะ แต่ห่วงแกมากแค่ไหนมันจะไม่ช่วยแกเลยถ้าแกไม่ห่วงตัวเอง”
“ฉัน....พยายามนะโศก พยายามอยู่”
“ฉันโตมามีแต่คนทำร้าย...แกโตมามีแต่ทำร้ายตัวเอง”
ดอกโศกพูดจบก็เดินไปเลย
ป้อมก้มหน้าอัดอั้นตันใจนัก
ดอกโศกหันกลับมา “แกต้องใช้เงินเหรอ....เท่าไหร่”
คำถามนั้นกระแทกเข้าหน้าป้อมเต็มแรง หน้าตาป้อมสิ้นหวังแล้ว
สองคนไม่รู้ว่าสมหวังยืนมองอยู่
เช้านั้นดอกโศกนั่งกลุ้มอยู่ในห้องทำงาน มือกุมหัวทั้งสองมือ เท้าฉัตรทองเดินเข้ามา ดอกโศกได้ยินเสียงรองเท้า เงยหน้า ฉัตรทองยืนจ้อง
“คุณฉัตรทอง” ดอกโศกเรียกเสียงอ่อนๆ “มีอะไรหรือคะ”
“ฉันมีเรื่องจะคุยกับคุณ”
“ค่ะ”
“ฉันอยากให้คุณออกจากงาน” ฉัตรทองไม่โยกโย้
ดอกโศกนิ่งไปนิด มีอารมณ์เหมือนกัน “คุณอยาก หรือคะ คุณฉัตรทอง” ดอกโศกเน้นตรงคำว่าอยาก
ฉัตรทองเปลี่ยนใหม่ “ขอ ก็ได้ ฉันขอให้คุณออกจากงาน”
“ขอทราบเหตุผลค่ะ”
“คุณรู้อยู่แก่ใจ” ฉัตรทองเริ่มเสียงดังใส่ “อย่าทำเป็นไม่รู้เรื่อง ถ้ายังยืนยันจะทำงานต่อไป คุณก็จงใจจะทำลายฉันกับคู่หมั้นของฉัน เพราะเขารักคุณ”
ดอกโศกนิ่งอึ้งมาก
ฉัตรทองก้มหน้าเพราะน้ำตารื้นขึ้นมาเป็นริ้วๆ เพราะความอัดอั้น “เขาไม่รักฉัน...เขารักคุณ เราหมั้นกันเพราะผู้ใหญ่ แต่ฉันรักเขา..รักเขามาก”
ดอกโศกอึ้ง ฉัตรทองพูดต่อ
“ถ้าคุณไม่ถอยไปจากเกมนี้ฉันสูญเสียเขาแน่ ฉันจะไม่ลืมเลยว่าคุณเป็นคนทำลายชีวิตฉัน”
ฉัตรทองพูดจบ หันหลังกลับ เพราะน้ำตากำลังจะไหล เดินเร็วรี่ ตรงไปที่ประตู จับลูกบิดจะเปิด เข้าหน้าเต็มๆ คิดขึ้นมาอีกแล้วอารมณ์แรงมากขึ้น
ฉัตรทองหันมา อย่างเร็ว “ถ้าชีวิตฉันพัง ฉันจะเป็นศัตรูกับแกจะตาย...ฉันจะจองเวรกับแก จะทำลายแกทุกวิถีทางที่ฉันมีเข้าใจมั้ย...ฮะ แกเข้าใจมั้ย”
ฉัตรทองอารมณ์พีคสุดขีดพอดีกับที่ถึงประตู รู้สึกว่าเก็บไว้ไม่ได้ต่อไป
นี่คือธาตุแท้ของฉัตรทอง ที่ภักดิ์ภูมิตระหนัก จึงคิดจะไปเตือนดอกโศก...เมื่อคืนนี้
“จำใส่หัวแกไว้ด้วย...ตัวมาร” เสียงฉัตรทองกร้าวแข็ง
ดอกโศกตะลึงงัน ตัวแข็งทื่อ
เวลาเดียวกันผู้จัดการชายของโรงแรม รายงานการใช้ห้องโรงแรมประจำวันนี้ต่อภักดิ์ภูมิอยู่ที่บริเวณ ลอบบี้ มีวิภาวี ผู้จัการฝ่ายหญิงอยู่ด้วย
“งานแต่งเริ่มหกโมงครึ่ง แต่ทางงานสัมนาแจ้งว่าเลิกประมาณ 5 โมงครับ มีเวลาเตรียมงานแค่ชั่วโมงเศษๆ” ผู้จัดการชายบอก
“แจ้งทางคนจัดว่าขอย้ายงานสัมนาไปห้องอื่น ...เจรจาดีๆ ให้คุณวิภาวีไปช่วยกัน”
ผู้จัดการหญิงชื่อวิภาวีรับคำสั่ง “ค่ะ คุณภักดิ์ภูมิ อาจต้องมี discount” หมายถึงอาจต้องมีลดพิเศษรายนี้
“โอเค...ไม่ขัดข้อง ทำเรื่องมาผมเซ็นให้”
ขณะที่ภักดิ์ภูมิตอบมอง เห็นฉัตรทองในกรอบสายตา
ฉัตรทองเดินก้าวเร็วรี่ เกือบเหมือนวิ่งผ่านไป ภักดิ์ภูมิเห็นแล้ว ขยับตัวเหมือนจะตาม แต่เป็นห่วงดอกโศกมากกว่า หันไปมองอีกทาง
ภักดิ์ภูมิเปิดประตูเข้ามาเต็มแรง ดอกโศกยังนั่งหมุนเก้าอี้หันหลังให้ก้มหน้านิ่ง
“แอนเจล่า”
ดอกโศกหมุนเก้าอี้หันมายิ้มให้ตามปกติ
ภักดิ์ภูมิรู้สึกโล่งใจ “สวัสดีครับ...ผมเพิ่งมา” ยิ้มแย้มแจ่มใส “รายงานตัวครับ”
“เหรอคะ” ดอกโศกลุกขึ้นยืนนิ่ง พูดเสียงเรียบ “คุณภักดิ์ภูมิคะ แอนเจล่าจะลาออกแล้วนะคะ”
ภักดิ์ภูมิช็อค...นิ่งงันไป
ดอกโศกเดินเข้ามาใกล้ๆ หน้าตาอ่อนโยน
“อย่าห้ามเลยนะคะ คุณภักดิ์ภูมิทราบแล้วว่าทำไม ไม่งั้นคงไม่ไปหาแอนเจล่าที่บ้าน”
ภักดิ์ภูมินิ่งงัน..เสียใจมาก
“แอนเจล่าจะจำว่าคุณภักดิ์ภูมิจะเป็นเจ้านายคนแรกของแอนเจล่าที่ดีที่สุด ไปทำงานที่ไหน ต้องอ้อนวอนพระเจ้าให้พบเจ้านายอย่างนี้” ดอกโศกพยายามพูดด้วยน้ำเสียงขำๆ “หรือครึ่งหนึ่งก็ยังดี”
ภักดิ์ภูมิทักท้วง “แอนเจล่า...ทำไม...ไม่ต้องออกหรอกนะ”
ดอกโศกยืนกรานแน่วนิ่ง “เราจะพบกันอีกค่ะ ไม่ได้หมายความว่าแอนเจล่าหายไปไหนนะคะ”
ภักดิ์ภูมินั่งเดียวดายอยู่ในห้อง ดอกโศกไปแล้ว
ที่โต๊ะ ยังมีแจกันดอกไม้เล็กๆ เป็นดอกพุดซ้อนช่อเล็กๆ วางอยู่
ภักดิ์ภูมินิ่งคิด เหตุการณ์เมื่อเช้า ดอกโศกวางแจกันมะลิซ้อนบนโต๊ะของภักดิ์ภูมิ อีกมือถือของตัวเองไม่ได้ให้ภักดิ์ภูมิเป็นพิเศษ
“ดอกอะไรครับ”
“พุดซ้อนค่ะ หอมนะคะ”
ภักดิ์ภูมิถามเป็นนัย “ดอกโศกมีมั้ยครับ”
ดอกไม้ที่ภักดิ์ภูมิถามหาเมื่อเมื่อเช้า ดอกโศก ได้เบ่งบานอยู่บนใบหน้าภักดิ์ภูมิแล้วเวลานี้
เวลาเดียวกันนั้นอัศนัยกำลังอาละวาดอยู่ในออฟฟิศ ต่อหน้าบุรี
“ผมไม่เข้าใจ เราไม่เคยผิดเวลากับลูกค้า”
“ช่างเขียนลายไม่สบายสองคนครับคุณนัย สุดวิสัยจริงๆ ต้องเลื่อนไปสองวีค” บุรีอธิบาย แต่ดูจะไม่ได้ผล
“เป็นหน้าที่พี่บุรีต้องทำให้ทัน ยังไงก็ได้ ให้คนที่เหลือทำงาน โอ.ที.”
บุรีทำท่าจะพูด
อัศนัยสวนออกมา “ผมไม่ฟัง...ทำยังไงก็ได้ให้เสร็จทัน”
“คนที่เหลืออยู่ฝีมือไม่ดีพอ” บุรีบอก
อัศนัยโบกมือว่าไม่อยากฟัง หงุดหงิด และพาลไปหมด
บุรีออกเพ็ญตระการสวนเข้ามา เห็นหน้าบุรีมุ่ยออกไป
“อานัยคะ”
“ขอโทษนะอุ๊...”
“อุ๊จะมาบอกว่า อุ๊เอ็นท์ที่ติดที่...” อุ๊พูดเสียงเบาๆ แต่ไม่ทัน
อัศนัยเดินออกไปลิบแล้ว
อุ๊เดินหน้าเสียมากๆ ออกมาเร็วรี่ พอเลี้ยวตรงหัวมุมเกือบชนดอกโศกที่เดินมาเร็วๆ เหมือนกัน ต่างคนต่างชะงัก มองหน้ากัน
“ขอโทษ” ดอกโศกเดินเลี่ยง หลีกอุ๊ไป
“เดี๋ยว ดอกโศก” อุ๊เรียกไว้
ดอกโศกหยุด
“เธอเอนท์ติดอะไร”
“ไม่ติด ฉันไม่ได้สอบจะเรียนสุโขทัย”
“ทำไมล่ะ”
“เพราะ...ฉันคิดว่าจะทำงานด้วยเรียนด้วย”
อุ๊นิ่งอยู่สักครู่ “เธอไม่มีเงินเหรอ”
“ไม่มี”
“ย่าเธอรวยจะตายเขาไม่ให้เธอเหรอ”
“เขาก็ให้แต่ฉันไม่เอา”
“ทำไม”
“ฉัน...ไม่เอา”
อุ๊ฉุนอย่างเคยถามต่ออีก “ก็ถามอยู่นี่ว่าทำไม” น้ำเสียงชักยัวะ เพราะถามคำตอบคำอยู่นั่นแหละ
“ฉันอยากหาเงินเรียนเอง...ขอโทษนะอุ๊” ดอกโศกเดินไปทันที
อุ๊ยืนคิดอยู่สักครู่ แล้วตัดสินใจเดินตาม
อัศนัยยืนอยู่ เหมือนพยายามสงบสติอารมณ์อย่างหนัก
“คุณนัย” ดอกโศกเรียก
อัศนัยรับรู้ ขยับตัว แต่ไม่ยอมหันมา ยังยืนนิ่ง และหน้าตายิ่งบึ้งจัด
“คุณนัยคะ” ดอกโศกเดินมาหา แตะแขนเบาๆ
อัศนัยเบี่ยงตัวหนีไปนิดหน่อย
ดอกโศก มีสีหน้าขำๆ เห็นคนแก่ขี้งอน จับแรงทันที
คราวนี้อัศนัยขยับตัวหนีอีก แต่ดอกโศกจับแรงขึ้น...แรงขึ้น หน้าก็ยิ้มมากขึ้น
“มาทำไม...ไม่ทำงานเหรอ เดี๋ยวก็มีคนมาตามถึงนี่หรอก”
ดอกโศกย้อน ยั่ว “ทำไมคะ...ไม่ให้เขาเข้า?”
อัศนัยหันขวับมา “เท้าข้างเดียวจะไม่ให้เหยียบเลย”
ดอกโศกหัวเราะกิ๊ก “โอ้โฮ...โหดอ่ะ”
“แน่นอน...ฉันพูดจริงๆ อย่านึกว่าพูดเล่น”
“เขาไม่ตามหรอกค่ะ”
“น้อยไป อยู่ที่ไหนก็ไล่ตามยังกะเป็น....”
ดอกโศกพูดแซงออกมา “เพราะดอกโศกลาออกแล้ว”
อัศนัยหยุดชะงัก แน่นิ่ง “อะไรนะ” ถามเสียงเบาๆ
ดอกโศกชี้หน้าล้อๆ “นั่นแน่...ทำเป็นไม่ได้ยิน”
อัศนัยมองใบหน้ายิ้มๆ ของหญิงคนรักคราวลูกอย่าง..อารมณ์ดีใจค่อยๆ มาทีละน้อย
ดอกโศกพยักหน้ายืนยัน ทำหน้าล้อน่ารัก ทำปากพูดว่า “ออกแล้ว” แต่ไม่มีเสียง
อัศนัยชะเง้อไปด้านหลังดอกโศก เหมือนกันเห็น ดอกโศกเหลียวมองตาม ปากก็ถามว่า “มองอะไรคะ”
พอเหลียวกลับมา เจอะจมูกหนุ่มใหญ่เข้าพอดี
อุ๊ยืนแอบๆ มองอยู่ เห็นเต็มตา สีหน้าอัดอั้นตันใจเต็มที่ เสียใจสุดๆ แล้ว
ดอกโศกร้อง “อุ๊ย” ถอยกรูดออกไปโดยเร็ว
“ระวัง...ก้อนหิน”
ดอกโศกก้นกระแทกเต็มแรง อัศนัยพยุง...ไม่ทัน
ดอกโศกนั่งกางขา หน้าแหย...เจ็บแปล๊บ
“ดอกโศก...เจ็บมากมั๊ย ลุกไหวรึเปล่า”
“อูย” ดอกโศกชูมือให้ดู “มือกระแทก...เจ็บจัง”
อัศนัยก้มลงประคองดอกโศก ในระยะใกล้ชิดกันมาก
ภาพนั้นบาดตาอุ๊นัก ทนดูต่อไม่ไหวแล้วหันหลัง วิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว
เย็นนั้นอุ๊กลับบ้านมาด้วยท่าทีไม่เบิกบานเลย มาถึงก็มานั่งซบ พนักเก้าอี้ในสวน ด้วยท่าทางหมองจัด ภาพหวานระหว่างอัศนัยกับดอกโศกผุดมาหลอกหลอนในความคิด
น้ำตาเริ่มรินไหลออกมาอาบแก้ม อุ๊ทั้งรู้สึกโศกเศร้าด้วย คิดถึงอัศนัยด้วย คิดแล้วก็เศร้าอีก
จู่ๆ มือสุดสวยยื่นมาป้ายน้ำตาให้ เบาๆ
อุ๊หันไป “น้าสวย”
“เป็นอะไรอุ๊ ร้องไห้เรื่อยเลย”
“เปล่า” อุ๊บอก เอามือปาดน้ำตา
“พ่อแม่เหรออุ๊...พ่อแม่ใช่มั้ย ทะเลาะกันเรื่อยๆ อย่างเงี๊ยะลูกแย่ แย่จริงๆ นะ” สุดสวยบ่นพร่ำ
“เค้าไม่ได้ทะเลาะแล้วล่ะน้าสวย”
“โอ๊ย...ไม่จริงหรอก อุ๊น่ะแกล้งทำเป็นไม่เห็นน่ะซี้ น้าเห็นมาตลอดเลยเดี๋ยวก็....” สุดสวยมีอารมณ์ตามประสา ตบอะไรตรงนั้นแรงๆ หลายๆ ที ด้วยท่าทางน่าขำ
“ไม่...ไม่ พ่อกะแม่ดีกันแล้วน้าสวย...จริงๆ คุณพ่อกลับมาอยู่บ้านแล้วนี่ สัญญากับคุณแม่แล้วด้วยว่าจะไม่ไปไหนอีก”
“ไม่เชื่อ...ไม่เชื่อๆๆ..คอยดูเหอะ ตระกูลน่ะ ...อย่าให้น้าพูด น้ารู้หมด”
อุ๊คาใจกับคำพูดของน้าสาว “รู้อะไรน้าสวย”
“ไม่บอก”
“ก็ไม่ต้องบอก...ไม่อยากรู้ด้วย” อุ๊หงุดหงิดวิ่งหนีไปทันที
สุดสวยมองตาคว่ำๆ ตามหลัง
เย็นเดียวกันนั้น เมื่อเห็นว่าตระกูลไม่มาหาหลายวันแล้ว เมียน้อยตระกูลนั่งซึมเศร้า กังวลไปสารพัด ไปนั่งอีกที่หนึ่ง พยายามอ่านหนังสือ แต่อ่านไม่รู้เรื่อง หยิบโทรศัพท์มา ตรึกตรอง แล้วกด...โทร.ออก
เสียงตระกูลดังลอดออกมา “บอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่าโทร.หาฉัน”
“พี่ไม่มาหลายวัน ไม่สบายรึเปล่าคะ”
“สบายหรือไม่สบายก็ไม่เกี่ยวกับเธอ ไม่ต้องโทร.มาหาฉัน จำไว้ว่าฉันจะเป็นคนโทร.ถึงเธอเอง”
เมียน้อยน้ำตาคลอ
“ฮัลโหล....ฮัลโหล ยังอยู่รึเปล่า”
เมียน้อยไม่ตอบสะอึ้นเฮือกๆ
“ร้องไห้รึนั่น ร้องทำไมเป็นบ้าหรือเปล่า มีใครสบายเท่า ถึงเดือนก็ได้เงิน...ถึงเดือนก็เงินถึงมือ ทำอะไรมั่งล่ะ เดือนนี้ฉันมาหาเธอนับครั้งได้ เงินเดือนไม่เคยลดให้เท่าเดิม” เสียงตระกูลดังออกมาอีก
เมียน้อยสะอึ้น ไม่ยอมพูดยอมจา
เสียงตระกูลทั้งๆ ที่จะลดก็ได้ “เอ้า มีอะไรก็พูดมา”
“ไม่...ไม่มีค่ะ”
“ไม่มีการโทร.ถึงฉันอีก เข้าใจมั้ย คอยโทรศัพท์ฉันอย่างเดียว” ตระกูลสั่งเสียงขุ่น
ตระกูลอยู่ในห้องนอนเพ็ญพักตร์ พอพูดจบว่าไม่มีการทีศัพท์ถึงฉันอีก คอยโทรศัพท์อย่างเดียว
จากนั้นตระกูลกดโทรศัพท์อย่างแรง โยนไปบนเตียง หงุดหงิดมาก หงุดหงิดที่ไม่พบหน้าปรียากมลเลย
ไม่สำเหนียกว่าเพ็ญพักตร์ยืนฟังอยู่ที่ประตูที่แง้มนิดๆ ก่อนที่เพ็ญพักตร์ จะเปิดประตูเข้า
“คุณเพ็ญ” ตระกูลเสียงอ่อยๆ
“ฉันได้ยินหมดแล้ว”
ตระกูลตะลึง
เพ็ญพักตร์พูดเสียงเรียบเฉย ใบหน้านิ่งเหมือนหน้ากาก พูดโดยไม่ยอมมองหน้าสามี
“อย่างนี้เขาเรียกว่าอะไร...เขาเรียกว่าสันดานผู้ชาย ไม่เคยพอ ไม่เคยคิดถึงใจคนเป็นเมีย เหยียบย่ำผู้หญิงตามใจชอบ คุณไปเลี้ยงผู้หญิงคนนั้นเป็นเมียน้อยคุณก็เหยียบย่ำเขา คุณทำบนหัวฉันก็เหยียบย่ำฉัน...เพราะอะไร คุณสบาย คุณอยากนอนกับใครคุณก็ไปนอน ฉันกับเขาสองคนก็คือต้องรองรับความต้องการของคุณ คุณมันทุเรศ เป็นผู้ชายที่ทุเรศที่สุด”
ตระกูลนิ่งสนิท
เพ็ญพักตร์พูดต่อ “แต่ฉันรู้ผู้ชายอย่างคุณมีครึ่งโลกนี้มั้ง”
“ผม...ทำผิดไปแล้วคุณเพ็ญ”
“ไม่ต้องพูดฉันไม่ฟัง ฉันรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นไม่เท่าไหร่หรอก ไม่งั้นคุณคงไม่พูดจาเหยียบหัวเขาแบบนั้น ฉันจะเห็นกับลูกอีกครั้ง คุณไปจัดการให้เรียบร้อย...ไม่ให้มีเขาอีก”
“ครับ....ครับ” ตระกูลหงอสุดๆ
“แต่จะบอกให้ คุณก็ไม่มีฉันอีกต่อไปเหมือนกัน”
ตระกูล ตะลึง
“เราจะอยู่กันเพื่อลูกเท่านั้น” เพ็ญพักตร์เดินออกไป เปิดประตู หันตัวมาพูด “แต่ถ้าเป็นปรียากมล....ถ้าคุณเอาแม่นั่นเข้ามาในชีวิตฉันอีกเตรียมปากกาไว้เซ็นใบหย่าได้”
เพ็ญพักตร์ออกไป ปิดประตูเบาที่สุด
เมียน้อยตระกูล นอนซบอยู่กับที่นอน ซับน้ำตาเงียบๆ เสียงโทรศัพท์ดัง เมียน้อยรีบตะกาย พอดูเบอร์ สีหน้าผิดหวัง ชั่งใจจะรับดีมั้ยแล้วก็รับ
“ฮัลโหล แม่เหรอ หนูพูดอยู่”
“ลูกแกไม่สบายมาก แกจะมาดูมันมั้ย” เสียงแม่พูดดังลอดออกมา
“เป็นอะไร...แม่ ลูกหนูเป็นอะไร”
“จะมาดูมันมั้ย”
“จ้ะ....หนูจะไปพรุ่งนี้เลย”
อ่านต่อ หน้า 3 พรุ่งนี้
ดอกโศก ตอนที่ 17 (ต่อ)
ปรียากมลอยู่ที่คอนโด นั่งคิดตรึกตรองหนัก แล้วหยิบโทรศัพท์มากดโทร.ออก
“ฮัลโหล...นั่นปองใช่มั้ย แกมาหาชั้นหน่อย มาคนเดียวไม่ต้องให้แม่มาด้วยนะ”
ครู่ต่อมาสมปองนั่งตุ๊กตุ๊กซิ่งมาเลย คนขับตุ๊กตุ๊กเลี้ยวตีโค้งราวนักแข่งแรลลี่จอดกึกที่หน้าคอนโด สมปองหัวคะมำ คนขับตุ๊กตุ๊กหันมา คอยจะเอาเงิน
“ก่อนให้เงินขอพูดอะไรหน่อย” น้ำเสียงเรียบร้อย มือจับผมที่กระเจิง
“อะไรอีกล่ะ คุณจะรีบไป”
“ชีวิตผู้โดยสารอยู่ในมือเรา...” น้ำเสียงยังเรียบร้อย จ้องหน้าเขม็ง
คนขับตุ๊กตุ๊กทำท่าอวดดี “แล้วไง
“แล้วไง อยากตายก็ตายคนเดียว ไม่ต้องเอาเขาไปตายด้วยเว้ย”
สมปอง ตวาดเสียงดังพูดจบเดินไปทันที คนขับตุ๊กตุ๊ก คิดสักครู่ แล้วลงจากรถวิ่งตาม
“เฮ้ย...หยุดก่อน”
สมปองวิ่งหนี ตุ๊กตุ๊กตามจนทัน
สมปองตั้งการ์ดมวย กำหมัด “อย่านะ สู้โว้ย”
“เปล่า...จะมาบอกว่า…”
สมปองเหล่จ้อง ยังไม่ไว้ใจ
“จริงของคุณ ขอบใจว่ะ” แล้วหันหลังเดินก้มหน้าก้มตาไป สตาร์ทรถค่อยๆ เลี้ยวกลับไปอย่างเรียบร้อย
สมปองเหวอไปเล็กน้อย
สองคนพี่นิ้องต่างพ่อนั่งประจันหน้ากันอยู่แล้วในห้องคอนโด
สมปอง บ่นพึมพำเสียงเบาๆ “เพิ่งสระผมมานะเนี่ย”
ปรียากมลถาม “แม่แกว่าไง”
“แกจะว่าไง แกก็โศกไปล่ะสิ” สมปองบอก
“ทำไม”
“อ้าว ก็พี่เป็นเมียคุณนัยเขาแล้ว จะให้แกทำอะไรล่ะ”
ปรียากมลนิ่ง
“ทีแรกแกอยากให้พี่เสียสละให้ไอ้โศกมัน แต่พอเป็นอย่างนี้แล้วแกก็พูดไม่ออก ชั้นไม่เข้าใจคุณนัยเลยมีเมียแล้ว มายุ่งกะไอ้โศกมันทำไม เค้าเรียกหลอกเด็กนี่หว่า”
ปรียากมลก็ยังนิ่ง
“แล้วดันมาเป็นแม่ลูกกันอีก โอ๊ย...เป็นงงเว้ย แม่ลูกจะมาแย่งผู้ชายคนเดียวกัน”
“แกอย่าพูดเลอะเทอะนังปอง ฟังแล้วมันทุเรศแกก็เห็นแล้วว่าเรื่องมันบังเอิญมีใครรู้มั่งล่ะ เราก็ต้องคิดแก้ปัญหาให้ดีที่สุด”
“มีทางออกอะไรอีก....มันไม่ต้องคิดแล้ว ไอ้โศกมันต้องถอย...มีทางเดียวเท่านั้นสำหรับมัน”
ปรียากมล มีสีหน้าไม่สบายใจ รู้เต็มอกว่าอัศนัยเลือกดอกโศกเพราะตัวเองไม่ใช่เมีย
“ถ้าดอกโศกไม่ยอมถอยล่ะ”
“ถอย...ชั้นรับรอง คนที่จะไม่ถอยก็ผัวพี่นั่นแหละ คนอะไร้มีเมียเป็นตัวตนยังมาหลอกเด็ก” สมปองฉุนนิดๆ
ปรียากมลนิ่ง พูดไม่ออก
“เขารักมันมากนะพี่จิตต์ ผูกพันกะมันตั้งแต่ไอ้โศกยังตัวกะเปี๊ยกเดียว พี่เป็นเมียเค้ามากี่ปีแล้ว ตั้งแต่ไอ้โศกยังเล็กมั้ง ตอนนั้นคุณนัยเค้าคงยังไม่คิดอะไรกะมัน เค้าเลยคิดจริงจังกะพี่”
ปรียากมลยังคงพูดไม่ออกอยู่ดี
สมปองพูดต่อ “ถ้าพี่ยังไม่เป็นเมียเค้านะ เค้าทิ้งพี่ไปเอาไอ้โศกแน่นอน ถึงเป็นเมียแล้วชั้นก็ว่าเค้าเอาไอ้โศกมากกว่าพี่อย่าโกรธนะชั้นพูดตรงๆ แบบเนี้ยล่ะ”
ปรียากมลลุกพรวด เดินไปยืนหันหลังให้สมปอง สีหน้าปรียากมล...หวั่นไหวมาก ความรู้สึกต่อสู้กันรุนแรงในใจ
“เออ...ไอ้ชั้นก็พล่ามซะ...พี่เรียกชั้นมาทำไมเนี่ยยังไม่รู้เลย”
“แม่แกจะแก้ปัญหานี้ยังไง” ปรียากมลถามอีก
“ไอ้โศกมันมีผู้ชายมาชอบอีกคน...เขาก็ดี ร่ำรวย หน้าตาดีแต่ไม่รู้นิสัยเป็นยังไง แต่ดูรวมๆ เค้าก็ดี
สีหน้าปรียากมลเริ่มสนใจนิดๆ
“แล้วไง...”
“เอ๊า....แม่กะชั้นยุไอ้โศกให้ชอบผู้ชายคนนี้เขาเป็นเจ้านายโศกมัน...” ปรียากมลมองฉงน เอ๊า มันไปทำงานเป็นเลขาของเค้า เค้าเป็นเจ้าของโรงแรม”
“ดอกโศกไม่เชื่อใช่มั้ยว่าอัศนัยกับชั้นมีอะไรกันแล้ว”
“ก็คุณนัยเค้ายืนยันว่าไม่มี มันก็เชื่อเค้า...ก็รักเค้านั่นแหละวะ”
ปรียากมลถามน้องหยั่งเชิง “แกล่ะปองเชื่อมั้ย”
สมปองมองปรียากมลเหล่ๆ อึดใจหนึ่ง ดูทั่วตัว “ตามรูปการณ์แล้ว...ชั้นก็ว่า...ชั้นเชื่อว่ะ”
“แม่ล่ะ”
“โอ๊ย...เต็มร้อย แหมแกรู้จักลูกแกดีหรอกน่า”
ปรียากมลจ้องนิ่ง สายตาเข้มจัด
“หรือไม่จริงล่ะ” สมปองเจอสายตาพี่สาวก็ จ๋อยๆ เหมือนกัน)
ปรียากมลเดินหันหลังให้ปองอีก นิ่งคิดอีกสักครู่ ไตร่ตรองว่าจะเดินเกมไหนต่อ
“ไม่มีอะไรแล้วใช่มั้ยชั้นกลับนะพี่จิตต์”
“เดี๋ยว...” ปรียากมลเรียกไว้
“ถ้าพี่อยากรู้ว่า แม่จะทำจะยังต่อไปชั้นก็ตอบไปแล้วนะ แต่ไอ้โศกถ้ามันรู้ว่าแม่เป็นเมียเค้าก็ถอยอย่างชั้นว่า แต่ถ้าบอกว่าเป็นเมียอย่างเดียว มันไม่ถอยหรอกมันเชื่อคุณนัย”
ปรียากมลอยู่คนเดียว รู้สึกเดียวดายอ้างว้างคำพูดจริงจังของสมปองดังขึ้นในหัว
“บอกว่าเป็นเมียอย่างเดียวมันไม่ถอยหรอกมันเชื่อคุณนัย”
ปรียากมลถือแก้วเหล้าจะดื่ม สีหน้าคิดตรึกตรองหนัก
เสียงสมปอง ดังวนเวียนขึ้นมาอีกประโยคซ้ำๆ กัน ปรียากมลวางแก้วแรง ๆ
หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทร.ออก
“ปอง...ย่าของดอกโศกล่ะ เขาคิดยังไงกับคุณอัศนัย”
ไม่นานหลังจากนั้นปรียากมลพาตัวเองมาอยู่ที่หน้าห้องพักในโรงแรมของมิสซีสเบนส์
มิสซีสเบนส์จัดเสื้อผ้าชิ้นสุดท้ายลงในกระเป๋าเดินทางใบกระทัดรัดเสียงเคาะประตู หญิงชราเดินไปมองดูที่รูตาแมว แล้วฉงนนิดๆ แต่ก็เปิดให้ ปรียากมลยืนอยู่
มิสซีสเบนส์ยิ้มให้ “เข้าห้องผิดหรือคะ”
“Mrs.Bens ใช่มั้ยคะ?”
“ใช่ค่ะ...หาฉันหรือคะ?”
“ค่ะ”
“เอ่อ....คุณจะไปคอยข้างล่างเดี๋ยวฉันตามลงไป หรือคุณต้องพูดเดี๋ยวนี้”
“ถ้าคุณจะกรุณา...”
“อ๋อ...เชิญค่ะ...เชิญ” หญิงชราเดินนำเข้ามา “ห้องฉันไม่เรียบร้อย ฉันกำลัง pack ของค่ะ...เชิญนั่ง” หยิบของบนเก้าอี้ออกไปวางบนเตียง
ปรียากมลนั่งลง “ขอบคุณค่ะ”
มิสซีสเบนส์นั่งคอยฟัง
“ฉันชื่อปรียากมลค่ะ” ปรียากมลเพ่งมองอยากรู้ว่าหญิงชราจะรู้จักชื่อนี้หรือไม่
“ปรี...ยา...กมล คงเป็นชื่อที่เพราะมาก”
ปรียากมลย้ำอย่างหยั่งเชิง “คุณเคยได้ยินชื่อนี้บ้างมั้ยคะมิสซิสเบนส์”
หญิงชราคิด ปรียากมลจ้อง ใจเต้นแรงมาก
“อือม์...ชื่อ อีกทีสิคะคุณ....ดูซิเดี๋ยวเดียวเองฉันลืมแล้ว”
“ปรียากมล”
“ปรียากมล เหมือนไม่ใช่ภาษไทย”
“คุณพูดภาษาไทยเก่งมาก แต่อาจจะไม่คุ้นกันชื่อเรียกยาก”
“ใช่ค่ะปรียากมลเรียกยาก” สีหน้าหญิงชราอมความสงสัยบางๆ ตลอดเวลา “เอ้อ...ขอโทษค่ะ คุณ....”
“คุณคงสงสัยว่าฉันมีธุระอะไร ฉันมีธุระสำคัญมากค่ะ”
“ค่ะ...เชิญค่ะ”
ปรียากมลพูดเสียงจริงจัง “ฉันเป็น....ภรรยาคุณอัศนัย”
คุณย่านิ่งอึ้งไปพริบตาหนึ่ง แล้วคอยฟังต่อ
“เรารักกันมานานมากตั้งแต่ฉันยังเรียนหนังสือ อัศนัยไปเรียนต่างประเทศ ฉันก็แยกไปแต่งงาน”
คุณย่าตั้งใจฟัง
“สามีฉันตาย อัศนัยไม่แต่งงาน เราก็เลยกลับมารักกันอีกครั้ง”
“ค่ะ” มิสซีสเบนส์จ้องเป็นเชิงบอกเล่าต่อไปสิ
“เรา...กลับมารักกันอีกครั้งเมื่อสามสี่ปีที่แล้ว”
“ค่ะ” สายตาหญิงชรายังจดจ้อง
“มิสซิสเบนส์ฉันคิดว่าคุณทราบแล้วว่าทำไมฉันถึงมาหาคุณ”
มิสซีสเบนส์ถอนใจนิดๆ “ฉันไม่รู้ว่าอัศนัยแต่งงานแล้ว ฉันคิดว่าเขาเป็นโสด”
ปรียากมลรีบบอก “เรายังไม่ได้แต่งงาน”
“อ๋อ...เข้าใจแล้ว เขาบอกกับคุณว่ายังไง”
“ใครคะ...อัศนัยหรือคะ เขาก็บอกว่าเขารักดอกโศก แต่ในขณะเดียวกันเขาก็บอกว่ารักฉัน” ปรียากมลพูดเท็จ
“อือม์...ก็เป็นไปได้ค่ะฉันคิดนะคะ ผู้ชายรักผู้หญิงสองคนพร้อมกันได้” ยิ้มขำๆ “แต่ผู้หญิงบางทีก็ไม่ได้....คุณว่าจริงมั้ยคะ”
“อัศนัยจะเลิกกับฉัน คุณจะช่วยฉันได้มั้ยคะ มิสซิสเบนส์”
หญิงชราตอบทันที “ไม่ได้หรอกค่ะ”
ปรียากมลหน้าตึงทันที
“คุณจะให้ฉันบังคับแอนเจล่าเลิกกับอัศนัย นอกจากแอนเจล่าไม่จำเป็นต้องเชื่อฉัน คุณคิดว่าฉันจะทำหรือ”
ปรียากมลนิ่งงันไปชั่วครู่
“ฉันไม่ทำหรอก คุณมั่นใจได้เลย หลานฉันโตแล้วเขาเลือกเป็นยังไงก็ตัวเขาเลือกเอง”
ปรียากมลนิ่งไปนิด แล้วลุก พนมมือไหว้ มองหน้ามิสซีสเบนส์แต่นึกถึงจอร์จ และคิดถึงคำพูดจอร์จที่เคยบอกว่าจะมาซื้อบ้านให้
ปรียากมลดึงตัวเองกลับมา
“คุณพบ....พ่อ...แม่ของดอกโศกบ้างมั้ยคะ”
“ไม่พบ”
“พ่อของดอกโศกสบายดีหรือคะ เขาอยู่กับคุณใช่มั้ยคะ”
มิสซีสเบนมองปรียกมลนิ่ง หน้าขรึม “นั่นไม่ใช่ธุระของคุณ...เชิญ”
ปรียากมลเดินฉับๆ เปิดประตูออกไปทันที มิสซีสเบนส์นั่ง สีหน้านิ่งเฉยสักครู่ แล้วพรายยิ้มก็ปรากฎแวบเดียว
กดโทรศัพท์สายภายใน “ฮัลโหล...เอ็ดดี้ It ‘s me”
เสียงเคาะประตู คุณย่าเปิดให้เอ็ดดี้เข้ามา เอ็ดดี้ถาม
“What ‘s the matter grandma?”
หญิงชรารีบบอก “Good news…very good”
เช้าวันรุ่งขึ้น ดอกโศกแต่งตัวเรียบร้อย เสื้อเชิร์ตสีขาวกระโปรงน้ำเงิน เดินเร็วๆ ออกจากบ้านอัศนัยยืนคอยอยู่แล้ว
“คุณนัย” ดอกโศกไหว้ “โธ่มาทำไมคะ ไปเองได้ บอกคุณนัยแล้วไงคะ”
“เดี๋ยวนะ ไหนดูมือที่หกล้มซิ”
ดอกโศกยื่นให้ดู
“ดีที่ไม่ถลอกยังเจ็บมั้ย”
“ไม่แล้วค่ะ คุณนัย ทำไมต้องมาก็ไม่รู้”
“ทำไมไม่ให้มาอยากรู้จริง” อัศนัยรับกระเป๋าไปถือให้
“กลัวคุณนัยไปทำงานสาย”
“เมื่อคืนทำ โอ.ที. จนเสร็จหมดไม่มีงานค้างแล้วนี่ ก็มาได้”
ดอกโศกเย้า “เจ้าของทำโอที เหรอคะ”
“เจ้าของถึง รปภ. ถ้าเกินเวลาคือ โอ.ที. ต้องจ่ายเงิน”
ดอกโศกเดินคียงกันไป “มิน่า คอยโทรศัพท์...ไม่โทร.ซักที”
“จริงเหรอ คิดว่าดอกโศกนอนหัวค่ำเพราะ...ดอกโศกต้องตื่นแต่เช้าคุณนัยก็เลยไม่โทร. ดอกโศกต้องตื่นทำขนมไม่ใช่เหรอ...คอยจริงเหรอ”
“ตอบย้าว....ยาว” ดอกโศกแซว
อัศนัยหัวเราะชอบใจ “แต่คิดถึงตลอดเวลานะ โอ๊ย ที่เค้าพูดว่าคิดถึงเธออยู่ทุกลมหายใจเนี่ย...คุณนัยเป็นแล้วล่ะ” อัศนัยพูดเล่นๆ ชวนขำน้ำเสียงสนุกๆ
ดอกโศกหัวเราะด้วย “คุณนัยนะ...ไม่เหมือนคนแก่เลยค่ะ”
อัศนัยสวนอย่างอารมณ์ดี “เฮ้ย...ใครว่าแก่...ไหนใครว่าเดี๋ยวเถอะ ทำโทษตรงนี้เลย”
“จริง ดอกโศกไม่เคยเห็นคุณนัยแก่เลย เห็นหนุ่มตลอดกาล”
อัศนัยโยกหัวดอกโศกอย่างเอ็นดูยิ่ง “อย่างนี้รักตาย...รักไม่เกรงใจใครเลย”
สองคนหัวเราะกัน เดินเคียงกันออกไปปากซอย
สมปองกับสมใจ มองดูตรงหน้าต่าง กลุ้มใจหนักทั้งคู่ สมใจกุมหัว “กู...อยากตาย”
“ตื่นทำขนมรึเปล่า” อัศนัยถาม
“ค่ะ”
อัศนัยชูถุงเล็กให้ดู เป็นถุงเครื่องสำอางแบรนด์ดัง “คุณนัยซื้อมาให้”
ดอกโศกฉงน “อะไรคะ”
“ครีม...เอาไว้ทามือ”
มือของอัศนัยจับมือดอกโศกเร็วๆ ให้รับของไว้
“มือดอกโศกเนี่ย....แข็งเพราะทำงานมาก เอาครีมทานะจะได้นุ่มขึ้น”
“ขอบคุณค่ะ ความจริงดอกโศกนั่งรถเมล์ไปก็ได้ ม.สุโขทัยแค่นี้เอง”
“นี่ไง...รถเมล์ คนขับอยู่นี่ไง เดี๋ยวจ่ายค่ารถด้วยนะครับ”
สองคนยิ้มหัว พูดคุยกันไปเรื่อยๆ อย่างออกรส
เวลาต่อมาอัศนัยกับดอกโศกนั่งอยู่ด้วยกันในม.สุโขทัย บริเวณนั้นกว้างโล่ง เห็นอาคารเรียนต่างๆอยู่เบื้องหลังสองคนนั่งดูสมุดหนังสือ ระเบียบการ
“คุณนัย...ดอกโศกเลือกเรียนคณะศิลปศาสตร์ คุณนัยว่าดีแล้วนะคะ”
“ดี...ต้องเรียนวิชาอย่างภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร” อัศนัยอ่านเอกสารในมือ “หรือภาษาอังกฤษสำหรับนักธุรกิจ....จะได้มาช่วยคุณนัย”
ดอกโศกตั้งใจฟัง
“แต่ภาษาอังกฤษสำหรับงานโรงแรม หรือภาษาอังกฤษสำหรับนักท่องเที่ยว...ด้วยสิทธิ์ของผู้ปกครองห้ามเรียนเด็ดขาด”
ดอกโศกหัวเราะกิ๊ก “โธ่”
ไม่นานต่อมาอัศนัยนัยเดินลิ่วๆ นำดอกโศกเข้ามาในบ้าน ดอกโศกเกือบต้องวิ่งตาม
“อยู่ไหนกันหมด....ป้าหม่อม....ไอ้หมื่น” อัศนัยเรียกหาสองแม่ลูก
หมื่นวิ่งออกมา อัศนัยโยนกุญแจลอยละลิ่วให้หมื่นเช่นเคย
“เอารถคันเล็กออก ป้าหม่อน” หม่อนวิ่งออกมา “ดอกโศกจะอยู่ที่นี่จนถึงเย็น...ดูแลด้วย”
“อ้าว คุณนัยจะไปไหนคะ” หม่อนถาม
“ทำงาน” หันมาทางดอกโศก “ดอกโศกถ้าคุณนัยกลับมาได้จะมาทานข้าวกลางวันด้วยนะ” อัศนัยขยับเข้ามา จับตัวให้นั่งลง เห็นแม่ลูกยังไม่ขยับ
“ป้าหม่อน ไอ้หมื่น ยืนนิ่งทำไมไปเตรียมตัวสิ”
“เตรียมตัว...เตรียมตัวทำอะไร” หม่อนงง
“ดูแลดอกโศกไง ไป..เร็วๆ” อัศนัยบอกหน้าบาน
แม่ลูกสองคนออกไป หน้าเหวอๆ
อัศนัยโน้มตัวลงจูบหน้าผาก นิ่ง...นาน “ชื่นใจ ไปก่อนนะ...อยู่ให้สบาย เย็นนี้พบกันนะครับคุณผู้หญิง”
อัศนัยขยับตัวจะออกไป ดอกโศกจับแขนอัศนัยหันมา
ดอกโศกลุกขึ้นยืน ไหว้ แล้วเดินเข้าหา สอดแขนกอดไปรอบๆ เอว หน้าแนบหัวใจ อัศนัยนิ่งอยู่อย่างนั้น หน้าละมุนละไมมาก
“ขอบคุณค่ะ
อัศนัยลูบผมดอกโศกเบาๆ ด้วยสีหน้าซาบซึ้งยิ่งนัก
“ขับรถดีๆ นะคะ”
“ครับผม” อัศนัยเดินเร็วๆ ไปเปิดแผ่นเสียงเพลง โอ้ดอกโศก หวานปนเศร้าดังขึ้นมา
ดอกโศกก็ยิ้มน่ารักให้
อัศนัยแตะปากส่งจูบให้เบาๆ เล่นๆ ยิ้มแจ่มใสแล้วออกไป
ดอกโศกขยับตัวตาม โทรศัพท์ในกระเป๋าดังขึ้น
ดอกโศกดูจอ รีบรับสาย “สวัสดีค่ะ” นิ่งฟังนิดหนึ่ง “หนูอยู่ที่บ้านคุณอัศนัยค่ะ...ให้หนูไปเดี๋ยวนี้ ย่ามีอะไรหรือคะ”
“มีเรื่องจะพูดกับแอนเจล่า เรื่องสำคัญ...โอเค...ขอให้มาเร็วๆ” มิสซีสเบนซึ่งอยู่ในห้องพักกดปิดสาย
เอ็ดดี้ท้วงขึ้น “ผมไม่เห็นด้วยครับย่า”
“เธอรักแอนเจล่าหรือเปล่าเอ็ดดี้”
เอ็ดดี้นิ่งอึ้งไป สายตาลังเล ตัดสินใจไม่ถูก
“แอนเจล่า เป็นเด็กผู้หญิงที่น่ารักมาก ดีมาก And you Eddie you ‘re a very good young man …I love you both and I do want you to….ฉันอยากให้เธอแต่งงานกัน” มิสซีสเบนบอก
“I ‘ll marry her…if she loved me not because you force her - ผมจะแต่ง...ถ้าเธอรักผมไม่ใช่เพราะย่าบังคับเธอ”
“No, I won’t force her. I would ‘t do it…- ย่าไม่ได้บังคับ…ย่าไม่ทำหรอก”
“What will you do then? - ถ้าอย่างนั้น ย่าจะทำอะไร”
มิสซีสเบนนั่งลง สีหน้าตรึกตรองอยู่สักครู่ เหมือนรวบรวมความคิด
เอ็ดดี้นั่งจับมือย่า “ย่าเคยบอกให้ผมทำให้แอนเจล่าชอบผมด้วยตัวเอง ผมเชื่อย่า ผมจะทำถึงแม้ว่าจะมีหวังนิดเดียว”
“ฉันก็ยังให้เธอทำอยู่” หญิงชราว่า
“แต่ย่าจะบังคับแอนเจล่าให้เลิกกับคุณอัศนัย ผมไม่เห็นด้วยไม่ต้องทำให้ผมแบบนั้น”
“ฉันทำเพื่อหลานของฉันเอ็ดดี้”
“ไม่เข้าใจ”
“อัศนัยมีเมียแล้ว”
“What?” น้ำเสียงเอ็ดดี้บอกให้รู้ว่าชายหนุ่มตกใจมาก แม้จะอุทานเสียงเบาๆ สายตางงๆ “No, I Don’t believe…No…. - อะไรนะครับ...ผมไม่เชื่อ”
คุณย่าบอกเสียงแข็ง “I ‘ve just met her……right here - ฉันพบเมียเขา ตรงนี้เอง”
ดอกโศกลงจากตึกบ้านอัศนัย ท่าทีร้อนใจมาก เดินเร็วๆ
หม่อนตามมา “จะไปยังไงคุณหนู”
“แท็กซี่ค่ะ ป้าหม่อน”
“พี่หมื่นไปส่ง คุณหนูรอเดี๋ยว” หมื่นกระโจน
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูไปเอง” ดอกโศกบอกแล้วออกไปอย่างรวดเร็ว
“ไอ้หมื่นกลับมา ตามไปเรียกแท็กซี่ให้คุณหนู...คุณหนูโทร.บอกคุณนัยด้วยนะคะ”
หมื่นวิ่งตามดอกโศกไปตะโกนบอกแม่ “แม่ก็โทร.เองซี้”
โทรศัพท์มือถือปรียากมลดังอยู่ 2-3 ที มือปรียากมลหยิบไป เสียงฮัลโหล
เป็นจังเดียวกับที่ตระกูลเดินมาถึงที่หน้าประตูพอดี
เสียงปรียากมลคุยโทรศัพท์ “แม่...จะต้องให้พูดอีกกี่ครั้ง ฮะแม่...”
ตระกูลได้ยินเสียงเรียกแม่ ยืนฟังด้วยความสนใจ
เสียงปรียากมลคุยสายตอบโต้
“ฉันบอกแม่เป็นครั้งสุดท้ายว่าฉันเป็นเมียอัศนัย เพราะฉะนั้นถ้าแม่ไม่อยากให้แม่กับลูกมีผัวคนเดียวกันแม่ก็ต้องหยุดดอกโศก แม่ต้องหยุดลูกสาวฉัน จะให้ฉันเสียสละให้ลูกฉันทำได้ถ้าฉันยังไม่ได้เป็นเมียเขา เข้าใจมั้ยแล้วหยุดนะแม่ต่อไปนี้ไม่มีการพูดเรื่องนี้อีก”
ปรียากมลกดปิดอย่างแรง แล้วนั่งนิ่งแต่จิตใจแตกซ่านพลุ่งพล่าน ทุกข์สุมรุมเร้าเต็มหน้า
ระหว่างนั้นเสียงกริ่งดังประตูดัง แต่ปรียากมลยังคงเฉย
เสียงกริ่งดังขึ้นมาอีก คราวนี้ปรียากมลลุกหนีเดินเข้าห้องนอน ปิดประตูดังเปรี้ยง
เสียงกริ่ง ยังดังกระชั้นถี่ๆ
ในที่สุดปรียากมลเดินออกมา ดูที่ประตู แล้วเปิดออกอย่างแรง
“คุณมาทำไมบอกว่าอย่ามาอีกฉันไม่อยากพบคุณ”
ตระกูลถามสวนออกมาโดยไม่ให้อีกฝ่ายตั้งทัน “ดอกโศกเป็นลูกสาวคุณจริงๆ เหรอ”
ปรียากมลนิ่งอึ้งไปทันที
“จริงหรือนี่.....” ตระกูลส่ายหน้าไปมา “จริงหรือคุณ”
สีหน้าตระกูลแปลกใจพิศวงงงงวยเอามากๆ
อ่านต่อตอนที่ 18