xs
xsm
sm
md
lg

กระบือบาล ตอนที่ 3

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


 กระบือบาล  ตอนที่ 3 

สุบินตกใจเอามากๆ หลังจากที่สรนุชเล่าเรื่องเมื่อคืนให้ฟัง พร้อมกับยืนยันเสียงหนักแน่นว่าทั้งหมดเป็นแผนของใจเด็ด

“การจับบัดดี้เป็นแผนของคุณใจเด็ด”
“ใช่...เมื่อคืนฉันนอนไม่หลับก็เลยคิดว่าจะเข้าไปสืบข้อมูลที่ห้องทำงานของนาย...แต่นายนั่นดันมาเจอซะก่อน”
อรอนงค์พลอยตกใจไปด้วย “เหรอ ! แล้วเขาจับเธอได้มั้ย”
“ถ้าจับได้แล้วฉันจะมายืนอยู่ตรงนี้หรือไงอร” อรอนงค์รีบหรุบหน้าลง “ดีที่หมอนั่นเจอฉันระหว่างทางฉันก็เลยไม่ได้สงสัยอะไร”
“เดี๋ยวๆ แต่ฉันไม่เห็นว่าการจับบัดดี้มันจะเกี่ยวอะไรตรงไหน”
“ทำไมจะไม่เกี่ยว...นายนั่นบอกว่า...ถ้าฉันผ่านการทดสอบของเขา...เขาจะบอกว่าทำไมเขาถึงรักควาย”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพวกฉันด้วย...สุบิน...แลกคู่กับฉันเหอะ...ฉันกลัว” อรอนงค์สงสัย
“จะแลกทำไม...เธอน่ะคู่กับหมอควายนั่นน่ะดีแล้ว...ดูก็รู้ว่านายหมอควายน่ะแอบชอบเธออยู่...ถ้าฉันไม่ผ่านการทดสอบ...ก็ยังมีเธอ” สรนุชตบบ่าฝากความหวังเพื่อนสาว
“อ้าว...ไงโยนกันเห็นๆอย่างนี้ละ” อรอนงค์โวย


เวลาเดียวกันภายในห้องประชุมบริษัทสยามบาคาตี้ สำนักงานใหญ่กรุงเทพฯ กำลังมีการประชุมกันระหว่างสองบริษัท โดยผู้บริหารบริษัทไทยไฮโดร ซึ่งเป็นบริษัทคู่ค้าที่คิดค้นเกี่ยวกับพลังงานกำลังพรีเซ้นต์ให้กับณวัตและสมพลฟังอยู่
“บริษัทไทยไฮโดรของเราขอยืนยันว่าการใช้พลังงานทดแทนสามารถลดจุดด้อยของรถไถบาคาตี้ลงได้อย่างแน่นอน”
สมพลกำลังตั้งใจฟังการพรีเซ้นต์อย่างตั้งใจ ก่อนจะต้องสะดุดเมื่อหันไปเห็นณวัตกำลังส่งสายตาเชื่อมให้กับเลขาสาวของบริษัทคู่ค้า สมพลเห็นอย่างนั้นก็กระแอมขัดจังหวะ
“ฮะแฮ่ม...”
ณวัตที่มองแต่เลขาสาวยังไม่รู้ตัว แต่ผู้บริหารของไทยไฮโดรกลับเข้าใจว่าสมพลสงสัยอะไร
ผู้บริหารไทยไฮโดรถามขึ้น “เอ่อ...มีคำถามเหรอครับคุณสมพล”
“เอ่อ...ไม่มีอะไรครับ”
ณวัตสวนขึ้นมา “แต่ผมมีครับ...คือผมว่าพลังงานเราสามารถหาอย่างอื่นมาทดแทนได้...แต่สำหรับความสวยและเก่งของเลขาสาวของคุณคงหาอะไรมาทดแทนไม่ได้”
ทุกคนงงที่ณวัตพูดออกมาอย่างนั้น สมพลถึงกับสะดุ้ง
“ไอ้วัต !”
“เอ่อ...ต้องขอโทษด้วยครับ...ความสวยของเลขาคุณทำให้ผมถึงกับพูดอะไรของไปไม่รู้ตัว...ต้องขอโทษทุกคนด้วยนะครับ..ต่อได้เลยครับ” ณวัตรีบแก้ตัว
“ผมขอรับรองว่า...ข้ออ้างของชาวนาไทยบางคนที่บอกว่าใช้ควายไถนาเพราะไม่เปลืองน้ำมันจะหมดไปทันที”
ณวัตยังไม่เลิกความพยายามในการจีบเลขาสาว ในขณะที่เลขาสาวเองก็ทำเล่นหูเล่นตาเหมือนต้องการเล่นด้วยกับณวัต
ใต้โต๊ะประชุมเวลานั้น...ณวัตค่อยๆถอดรองเท้าก่อนจะยื่นขาจะไปสะกิดที่ขาของเลขาสาว แต่แล้วเท้าของเขาดันไปสะกิดขาของสมพล
สมพลสะดุ้งเมื่อรู้ว่ามีขาใครบางมาไล้ที่หน้าแข้ง ณวัตเองก็รู้สึกแปลกๆ เพราะแทนที่จะโดนเนื้อนิ่มๆ กลับรู้สึกว่าเขาสัมผัสโดนขากางเกงนั่นเอง
“เอ่อ...ก่อนผมเข้าประชุมผมเห็นว่าคุณใส่กระโปรงมาไม่ใช่เหรอครับ” ณวัตถามเลขา
“คะ”
“ถ้างั้น...”
ณวัตค่อยๆ ก้มลงมองใต้โต๊ะแล้วก็เห็นว่าขาคู่นั้นไม่ใช่ขาของเลขาสาว ณวัตค่อยๆ มองไล้ตามขาขึ้นมาก่อนจะต้องสะดุ้งเมื่อเห็นเป็นสมพลที่กำลังโกรธจัด
“ไอ้วัต...ไอ้ลูกเวร”
ทันใดนั้นสมพลก็คว้าแฟ้มฟาดไปที่ณวัตทันที ทุกคนในห้องประชุมตกใจ ก่อนจะรีบช่วยห้ามสมพลที่จะพุ่งเข้าตีณวัตจนวุ่นวายไปทั้งห้องประชุม


เวลาต่อมาณวัตนั่งก้มหน้างุดอยู่ที่โซฟาภายในห้องทำงานของสมพล
“เมื่อไหร่แกจะเลิกคิดแต่เรื่องใต้สะดือซะที...ห๊า”
“โห...พ่อ...อายุอย่างผมความต้องการมันก็พลุ่งพล่านเป็นธรรมดา...พ่อแก่แล้วพ่อไม่เข้าใจหรอก”
“ไอ้นี่ !” สมพลเงื้อมือปาของใกล้ตัวใส่ทันที
ณวัตหลบแทบไม่ทัน “เหวอ ! ใจเย็นพ่อใจเย็น”
“ที่ฉันเตือนแกก็เพราะว่าฉันไม่อยากให้แกเสียหนูนุชไป...คราวที่แล้วฉันเสียเงินไปครึ่งล้านเพื่อปิดปากแม่โคโยตี้กิ๊กของแกยังไม่เข็ดใช่มั้ย”
ณวัตอึ้งพูดไม่ออก
“ถ้าหนูนุชรู้ว่าแกไปเที่ยวไข่ไว้ที่โน่นที่นี่แกไม่รู้เหรอว่ามันจะเป็นยังไง”
“ผู้หญิงคนเดียวผมจัดการได้น่าพ่อ” ณวัตอวดเก่ง
“เหร๊อ...แล้วทหารทั้งกรมละ...แกก็จัดการได้ใช่มั้ย...แกก็รู้ว่าหนูนุชแกเป็นลูกสาวคนเดียวของพลเอกสรยุทธ...หรือว่าแกอยากไปนอนเล่นก้นอ่าวไทย”
“โธ่พ่อ...ตอนนี้นุชเขาก็อยู่สุรินทร์...โอกาสดีๆอย่างนี้จะให้ผมกลับบ้านสวดมนตร์หรือไงพ่อ...” แล้วณวัตก็ลองตะล่อมพ่อดูอีกที “เอางี้มั้ยพ่อ...คืนนี้เราไปเที่ยวกัน...เดี๋ยวผมจัดการทุกอย่างให้พ่อเอง”
สมพลทั้งระอาและเหนื่อยใจ “ไอ้วัต...แกอยากอยู่เฉยๆ แล้วมีผู้หญิงเข้ามาหาแกเองมั้ย”
ณวัตหูผึ่ง “ทำไงพ่อ”
“ถ้าแกอยากให้เป็นอย่างนั้นแกก็ต้องมีอำนาจ...อำนาจทำให้เรามีทุกอย่าง...เงิน...ผู้หญิง...แล้วถ้าแกอยากมีอำนาจ...แกก็ต้องเป็นลูกเขยของพลเอกสรยุทธให้ได้”

สมพลจ้องหน้าณวัตเขม็งเหมือนเป็นเชิงบอกว่าคำพูดของเขาไม่ใช่คำสอนแต่เป็นคำสั่ง ณวัตได้ยินอย่างนั้นก็หรี่ตาลงอย่างครุ่นคิด


สรนุชอยู่ที่สถานีบำรุงพันธุ์สัตว์ กำลังสีหน้าแปลกใจเมื่อเห็นใจเด็ดยื่นกรรไกรตัดหญ้าให้
“ทำอะไร..? อย่าบอกนะว่าจะให้ฉันตัดหญ้า”
“กรรไกรตัดหญ้าก็ต้องใช้ตัดหญ้าหรือถ้าคุณยอมแพ้แล้วอายจะเอาไปแทงตัวตายก็ได้...ผมไม่ว่า” ใจเด็ดเยาะแกมหยันอยู่ในที
“ฉันว่าแทงนายง่ายกว่า” สรนุชฉุนกึก
“ว่าไง...จะทำหรือไม่ทำ...ผมบอกแล้วไงว่าถ้าอยากรู้ว่าทำไมผมถึงรักควายก็ต้องผ่านการทดสอบของผมก่อน...แล้วนี่ก็เป็นการทดสอบที่ง่ายที่สุด”
“ชิ...ฉันว่าเอาแบบที่ยากที่สุดเลยก็ได้...ถ้าผ่านอันที่ยากสุดไปได้...ไอ้เรื่องพวกนี้ก็ไม่มีปัญหา” สรนุชรับคำท้า
“ผมว่าคุณผ่านไอ้งานเล็กๆที่คุณว่าให้ได้ก่อนเถอะ...แต่ถ้าคิดจะเปลี่ยนใจก็ยังทันนะ” ใจเด็ดเย้ย
“ไม่มีทาง”
สรนุชดึงกรรไกรตัดหญ้าก่อนจะเดินออกไปทันที ใจเด็ดมองตามยิ้มเจ้าเล่ห์

ไม่นานหลังจากนั้น ทั้งคู่ก็มายืนอยู่ในบริเวณทุ่งหญ้ากว้างไกลสุดลูกหูลูกตา สรนุชเห็นก็ถึงกับกลืนน้ำลายเอื้อก !
สรนุชรู้ทันรีบดักคอ “คุณคงไม่ให้ฉันตัดหญ้าหมดทุ่งนี่ใช่มั้ย”
“ใครจะไปให้คุณทำอย่างนั้น...คุณแค่ตัดหญ้าให้พอกับที่ควายกินก็พอ”
สรนุชแอบเป่าปากอย่างโล่งอก
“จิ๊บจ้อย !...แล้วควายคุณกินหญ้าแค่ไหนละ” สรนุชถาม
“ก็ไม่มากเท่าไหร่...ตัวนึงก็กินแค่กินสามตารางเมตร...” ใจเด็ดทำท่าคิดคำนวณ “ทั้งหมดก็ประมาณพันกว่าตัว”
“ห๊า ! นี่นายคิดจะแกล้งฉันด้วยวิธีนี้เหรอ”
“ก็คุณพูดเองไม่ใช่เหรอ...ถ้าผ่านงานนี้ไปก็ยังมีเก็บขี้ควาย...ล้างคอก...ทำอาหารเสริม”
“พอๆ ฉันไม่มีทางทำงานพวกนี้เด็ดขาด”
ใจเด็ดยิ้มทุกอย่างเข้าทางตน “แล้วใครที่บอกว่าขอทำไอ้ที่ยากที่สุด...หึ...แค่ตัดหญ้าแค่นี้ก็ไม่รอดซะแล้ว...ถ้าอย่างนั้นคุณก็เก็บกระเป๋ากลับกรุงเทพฯไปได้เลย”
คำพูดสบประมาทของใจเด็ดไปกระตุ้นต่อมรักศักดิ์ศรีของสรนุชเข้าอย่างจัง
“ได้...นายต้องการอย่างนี้ก็ได้”

เวลาเดียวกันที่อีกมุมหนึ่งอรอนงค์เดินมาตามทาง ท่าทางอรอนงค์เกรงๆ กลัวๆ เกริกไกรไม่หาย แต่เกริกไกรกลับเดินยืดยิ้มกริ่มอย่างมีความสุขล้นอก เกริกไกรแอบชำเลืองมองอรอนงค์เป็นระยะๆ ยิ่งมองใกล้ๆ อรอนงค์ก็ยิ่งสวยในสายตาของเขา
อรอนงค์รู้สึกว่าถูกจับจ้องเลยมองไปที่เกริกไกร พอเกริกไกรเห็นอรอนงค์หันมาก็เลยรีบหันหน้ามองไปทางอื่น ครั้นพออรอนงค์หันไปเดินต่อ เกริกไกรก็แอบมองต่อ
จังหวะหนึ่งอรอนงค์หันมองเกริกไกร เกริกไกรก็หลบตาอีก พอสักพักจึงค่อยๆ หันกลับมาแล้วเกริกไกรก็ต้องสะดุ้งเมื่อเห็นว่าอรอนงค์ยังจ้องเขาอยู่
“อุ้ย !”
“วันนี้หมอจะทำอะไรบ้างคะ”
“แหม...นึกว่าคุณอรจะไม่ถามซะแล้ว...ต่อจากนี้ผมว่าเราน่าจะทำความรู้จักกันมากขึ้น...ก่อนที่เราจะเริ่มขยับความสัมพันธ์ไปมากกว่านี้”
“มากกว่านี้...?” อรอนงค์งงหนักเข้าไปอีก
“อ๋อ...เปล่าครับ...ไม่มีอะไรครับ...เริ่มแรกผมว่าเราจะเข้าเมืองกัน...ไปเดินเล่นตลาดนัด...พอตกบ่ายหน่อยก็หาร้านอาหารอร่อยๆ ทานกัน...แล้วสุดท้ายเราก็ไปที่อำเภอ”
“อำเภอ..? ไปทำไมคะ”
“ไปจดทะเบียนสมรสไงครับ” เกริกไกรสัพยอก
“ห๊า !”
“ผมล้อเล่นครับ...แอ่นแอนแอ๊น...ถึงแล้วครับ”
เกริกไกรเดินเข้ามาที่หน้าบ้านพัก ก่อนจะหันไปเชื้อเชิญอรอนงค์อย่างขยันขันแข็ง
“เชิญเลยครับ...นี่คือบ้านของผมกับไอ้เด็ดครับ”
“เอ่อ...แล้วหมอให้ฉันมาที่บ้านทำไมคะ”
“อ้าว...ก็เราจะไปผสมพันธุ์กันไงครับ”
อรอนงค์ได้ยินอย่างนั้นก็กรี๊ดลั่น “อ๊าย...”
เกริกไกรตกใจรีบวิ่งเข้าไปดู “เป็นไรครับคุณอร”
ยิ่งพออรอนงค์โดนเกริกไกรถูกเนื้อต้องตัวก็ยิ่งตกใจ “ว้าย ! บ้าๆ ช่วยด้วยคะ...ช่วยด้วย”
อรอนงค์ทั้งถีบทั้งต่อยเกริกไกรจนเกริกไกรโดนไปหลายขนาน
“อุ้บส์ ! โอ้ว ! โอ๊ย !”
อรอนงค์ได้รีบวิ่งไปหยิบไม้กวาดที่อยู่ใกล้มือขึ้นมาตั้งท่าป้องกันตัว
“คุณอรจะทำอะไรน่ะครับ”
“หมอนั่นแหละคิดจะทำอะไร...อรไม่คิดเลยว่าหมอจะเป็นคนอย่างนี้...สกปรก...ฉวยโอกาส”
“ไอ้เรื่องสกปรกผมไม่เถียงเพราะการผสมเทียมควายมันต้องสกปรกอยู่แล้ว...แต่ไอ้เรื่องฉวยโอกาสนี่มันคืออะไรครับ”
อรอนงค์ได้ฟังแล้วก็อึ้งไป “หมอว่าอะไรนะ...ผสมเทียมควายเหรอคะ”
“ก็ใช่ไงครับ...ผมกลับมาที่บ้านเพื่อมาเอามอเตอร์ไซค์ไปผสมเทียมควายให้ชาวบ้านน่ะครับ...แล้วคุณอรเป็นอะไรเหรอครับ”
“เอ่อ...เปล่าค่ะ...งั้นอรไปรอที่หน้าบ้านนะคะ”
อรอนงค์รีบทิ้งไม้กวาดแก้เก้อ ก่อนจะเดินก้มหน้านิ่งเขินที่ตัวเองคิดไปไกลผ่านเกริกไกรออกไป เกริกไกรมองตามอย่างงงๆ ว่าอรอนงค์เป็นอะไร


เวลาเดียวกันเจนจิราเปิดประตูเข้ามาในห้องทำงาน โดยมีสุบินเดินตามเข้ามา
“ส่วนใหญ่งานฉันมันจะเป็นพวกงานเอกสารน่ะค่ะ”
สุบินดีใจ “จริงเหรอครับ”
สุบินโล่งอกก่อนจะทิ้งตัวลงที่โซฟาด้วยความปวดเมื่อยไปตามตัว
สุบินบิดขี้เกียจแล้วพึมพำออกมา “แหม...เลือกถูกคู่จริงๆ”
“ทำไมเหรอคะ” เจนจิรางง
“เอ่อ...พอดีเมื่อคืนผมนอนน้อยไปนิดน่ะครับ”
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็มีเวลาได้เอนหลังนิดนึง”
เจนจิรายิ้มให้ก่อนจะเดินออกไป สุบินทำท่าขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ
“สวรรค์...ไม่อย่างนั้นได้มีอ้วกให้ควายดูละงานนี้...เฮ้อ”
ว่าพลางสุบินกำลังจะเอนหลังลงไปที่โซฟา แต่แล้วทันใดนั้นเสียงของเจนจิราก็ดังขึ้น
“พร้อมแล้วค่ะ”
สุบินถึงกับชะงัก “พร้อมอะไรเหรอครับ”
“ก็ฉันกลับมาเอารายชื่อ...ต่อจากนี้เราจะไปที่คอกอนุบาลกันไงคะ” เจนจิราบอกหน้าเฉย
“อ้าว...แล้วไอ้ที่บอกว่าผมเอนหลังได้นิดนึงล่ะ”
“ก็นิดนึงไงคะ”
สุบินถึงกับอ้าปากค้าง...ไม่อยากทำอะไร เพราะยังอยู่ในอาการเมาค้างนั่นเอง
“เอ่อ...นี่คุณกวนผมเหรอ”
“เปล่าค่ะ...ก็คุณบอกเองไม่ใช่เหรอว่าขอนิดนึง...แล้วนี่มันไม่นิดเหรอคะ”
ว่าแล้วเจนจิราเดินตัวปลิวออกไป
“โห...เห็นนิ่งๆ นึกว่าไม่มีอะไร...สถานีนี้นี่มีแต่คนอย่างนี้หรือไงเนี่ย” สุบินบ่นอุบ

ที่บริเวณคอกอนุบาลเวลานั้น บรรดาลูกควายมากมายต่างวิ่งกันอยู่ภายในคอก สุบินกับเจนจิราเดินเข้ามา สุบินถึงกับอึ้งไปเมื่อเห็นฝูงลูกควาย
“โห...”
“ลูกควายพวกนี้เพิ่งเกิดไม่ถึงเดือน...เราจะต้องติดหมายเลขให้พวกมัน” เจนจิราอธิบาย
“ติดหมายเลข...เอ่อ...มันไม่หนักเกินไปสำหรับผู้หญิงเหรอคุณ”
“ไม่หรอกค่ะ...งานนี้ถือว่าเบาที่สุดในสถานีนี้แล้วล่ะค่ะ...ไปค่ะ”
ว่าแล้วเจนจิราก็กระโดดเข้าไปในคอก สุบินถึงกับอึ้งในความแกร่งของเจนจิรา
“เบาที่สุดในนี้...เฮ้อ...แล้วยัยนุชจะเป็นยังไงเนี่ย”
สุบินนึกถึงเพื่อนสาวขึ้นมา

สรนุชที่สุบินเป็นห่วง กำลังนั่งยองๆตัดหญ้าท่ามกลางแดดร้อนระอุ สรนุชเหนื่อยแทบขาดใจ
“โอ๊ย...ฉันจะตายแล้ว”
สรนุชหงายเงิบลงนั่งอย่างหมดแรง พอหันไปมองใจเด็ดที่นอนเอาหมวกปิดหน้าอยู่บนเปลญวนใต้ต้นไม้อย่างสบายอารมณ์ก็ยิ่งแค้นหนัก
“แมนมาก...แมนจริงๆ”
จังหวะนั้นสรนุชเห็นว่าข้างใต้เปลญวนมีขวดน้ำวางเอาไว้ ด้วยความกระหายน้ำทำให้สรนุชค่อยๆคลานเข้าไปอย่างเงียบกริบ สรนุชค่อยๆย่องเข้ามาที่ขวดน้ำ สายตาจับจ้องไปที่ขวดน้ำด้วยตาเป็นประกาย สรนุชคลานเข้ามาถึงที่ขวดน้ำจนได้
ใจเด็ดแอบมองผ่านหมวกเห็นสรนุชย่องเข้ามาก็ยิ้มเจ้าเล่ห์แวบหนึ่ง สรนุชค่อยๆ เอื้อมมือไปจะหยิบขวดน้ำของใจเด็ด แต่แล้วทันใดนั้นใจเด็ดก็คว้าขวดน้ำขึ้นไปก่อนจะยกดื่มอั้กๆๆ จนเกลี้ยง
สรนุชอ้าปากค้างมองน้ำหยดสุดท้ายไหลผ่านเข้าไปในปากใจเด็ด ใจเด็ดดื่มเสร็จก็ทำเป็นพูดเยาะเย้ย
“ฮ้า...ชื่นใจจริงๆ” ใจเด็ดแกล้งทำเป็นเพิ่งเห็นสรนุช “อ้าว...คุณอยากดื่มน้ำหรือเปล่า”
สรนุชโกรธจนเนื้อตัวสั่นแต่ก็หยิ่งในศักดิ์ศรี “ไม่!”
“ก็ดี...งั้นก็รีบทำเข้า...ยังมีงานอื่นอีกเยอะ”
สรนุชสุดจะทน “ที่นี่ไม่มีเครื่องตัดหญ้าหรือไง”
“ถ้ามีก็เห็น...ถ้าไม่เห็นก็แสดงว่าไม่มี” ใจเด็ดกวนใส่
“ให้ฉันตัดด้วยมืออย่างนี้แล้วเมื่อไหร่มันจะเสร็จ”
“ผมว่าคุณเอาเวลาบ่นไปตัดหญ้าดีกว่า...ยังเหลืออีกเยอะนะ”
“ฮึ่ย”
สรนุชเจ็บใจนักทำอะไรไม่ได้ สะบัดก้นออกไปอย่างหัวเสีย ใจเด็ดมองตามยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา ระหว่างนั้นใจเด็ดเหมือนนึกบางอย่างขึ้นมาได้ เงยหน้ามองไปที่พระอาทิตย์ก่อนจะลุกขึ้นใส่หมวกก่อนจะเดินออกไป

เวลาผ่านไป สรนุชที่ใกล้หมดสภาพหลังจากตัดหญ้ามาเกือบครึ่งค่อนวัน ในที่สุดสรนุชหมดแรงถึงกับนอนหงายลงไปกับพื้น
“โอ๊ย...ไม่ไหวแล้ว...แฮ่กๆ”
ระหว่างนั้นมีเงาใครคนหนึ่งชะโงกหน้าเข้ามาดูสรนุช
“ทำอะไรน่ะคะคุณ” ที่แท้เป็นสมหญิง
สรนุชตกใจ ดีดตัวลุกขึ้น “เฮ้ย ! อ้าว...สมหญิง...” แต่แล้วจู่ๆ ก็ปวดตัวขึ้นมาทันที “อูย...”
“อุ้ย...เป็นไรคะ”
“ฉันปวดตัวไปหมดแล้ว...ทำไมตัดหญ้ามันถึงได้เหนื่อยขนาดนี้”
สมหญิงงงๆ มองไปที่กรรไกรตัดหญ้าที่วางอยู่กับพื้น “อ้าว...แล้วคุณนุชใช้กรรไกรตัดหญ้าทำไมคะ...ทำไมไม่ใช้เครื่อง”
“เครื่อง..?! ที่นี่มีเครื่องตัดหญ้าเหรอ” สรนุชอึ้ง เพราะตนเคยถามใจเด็ดแล้ว
“ทำไมจะไม่มีคะ...โอ๊ย...กว้างออกขนาดนี้...ขืนใช้กรรไกรตัดได้ตายพอดี” สมหญิงบอก
“หน็อย”
สรนุชโมโหปรี๊ดขึ้นมาทันทีเมื่อรู้ว่าโดนใจเด็ดหลอกเอา


สรนุชเดินอาดๆ เข้ามาที่ใต้ต้นไม้ ก่อนจะอึ้งไปเล็กน้อยเมื่อไม่เห็นใจเด็ดนอนอยู่ที่เปลญวน
“หัวหน้าเธอไปไหน”
“อุ้ย...สมหญิงก็เพิ่งมา...สมหญิงไม่รู้หรอกค่ะ” ระหว่างนั้นสมหญิงก็นึกออก “อ๋อ...บ่ายๆ อย่างนี้...หัวหน้าต้องไปที่นั่นแน่ๆ”
“ที่ไหน” สรนุชถามคาดคั้น


ใจเด็ดกำลังยืนดูควายลงไปเล่นน้ำในปลักเทียมอย่างมีความสุข ระหว่างนั้นเองใจเด็ดได้ยินเสียงฝีเท้าใครเดินมาทางด้านหลัง จึงหันไปเป็นจังหวะเดียวกับที่สรนุชเหวี่ยงหมัดเข้ามา
ใจเด็ดดึงตัวหลบหมัดของสรนุชได้ทัน “โว้ๆ...อะไรกันคุณ”
“นายแกล้งฉัน...นายใช้เครื่องตัดหญ้า...แต่กลับให้ฉันต้องใช้มือ”
ใจเด็ดหลุดขำ “แล้วไง...ก็คุณบอกเองไม่ใช่เหรอว่ายินดีทำตามที่ผมบอกให้ทำทุกอย่าง...แล้วที่ผมทำอย่างนั้นก็เพราะผมอยากให้คุณเข้าใจหัวอกของควาย”
“ตัดหญ้ามันเกี่ยวอะไรกับหัวอกควาย” ใจเด็ดโบ้ย
“เอ้า...ก็คุณคิดดูซิ...กว่าควายมันจะอิ่มมันจะต้องก้มหน้ากินหญ้าเป็นพื้นที่แค่ไหน”
“นายไม่ต้องมาศรีธนญชัยกับฉัน...ฉันรู้หรอกน่าว่านายไม่ได้คิดอย่างนั้น...นายต้องการแกล้งฉันเท่านั้น”สรนุชระเบิดใส่
ใจเด็ดเยาะ “หึ...คุณอ่านใจคนได้หรือไง”
“คนอย่างนายไม่ต้องอ่านฉันก็ดูออก”
ใจเด็ดยื่นไม้ตาย ไม้เดิม “แล้วไง...ถ้าทนไม่ได้ก็กลับไปเก็บกระเป๋ากลับกรุงเทพฯ ซิ”
ใจเด็ดพูดจบก็หันไปมองควายอย่างสบายอารมณ์ตามเดิม สรนุชกัดกรามกำหมัดแน่นด้วยความโกรธ
“ไม่มีทาง” สรนุชพูดเสียงแข็ง
ใจเด็ดค่อยๆ หันมา ในขณะที่สรนุชเดินอาดๆ เข้ามาจ้องหน้า
“คิดว่าฉันจะกลับกรุงเทพฯ เพราะเรื่องแค่นี้หรือไง”
“ถ้างั้น...คุณก็พร้อมจะทำงานต่อไปแล้วใช่มั้ย”
ใจเด็ดจ้องหน้าสรนุช ขณะที่สรนุชเองก็จ้องกลับ ไม่หลบตาเหมือนกัน

สรนุชถึงกับอึ้งคาที่ พอรู้ว่าภารกิจต่อไปคืออะไร
“ล้างคอกควาย”
“ผมไม่ใช่ทหารไม่ต้องทวนคำสั่งก็ได้”
สรนุชชะงักนิดหนึ่ง
“นิ่งไปนี่จะทำหรือไม่ทำ” ใจเด็ดคาดคั้น
สรนุชจำใจ “แล้วไอ้หินพวกนี้...จะให้ฉันทำยังไง”
สรนุชก้มลงหยิบก้อนกลมแข็งขึ้นมา
“ไม่ใช่หินหรอกคุณ...นั่นมันขี้ควายแห้ง”
สรนุชรีบปล่อยทันที “ว้าย!” รีบดมมือ “อี๋!”
“รีบทำเข้า...ถ้าเกิดหมดวันแล้วคุณไม่ผ่านการทดสอบ...น่าจะรู้นะว่าต้องทำยังไง”
ใจเด็ดทำเสียงเยาะแล้วเดินออกไป สรนุชกระทืบเท้าเจ็บใจ
“ไอ้บ้า!” สรนุชก้มลงหยิบขี้ควายแห้งขึ้นมาจะปาไล่หลัง แล้วนึกได้ รีบปล่อยทิ้ง “อี๋!”

ครู่ต่อมาสรนุชกวาดขี้ควายแห้งมาใส่ถังเอาไว้เตรียมยกไปทิ้ง แล้วหันไปกวาดอีกกองที่อยู่ไม่ไกล ใจเด็ดเดินมาข้างคอกก่อนจะใช้เท้าถีบถังจนขี้ควายแห้งหกกระจัดกระจาย สรนุชหันมาเห็นก็ตกใจ ใจเด็ดเดินลอยหน้าออกไปไม่รู้ไม่ชี้ สรนุชเอาน้ำสาดไปที่คอกควายกำลังถูขัดอย่างตั้งใจ
ใจเด็ดแอบมองอยู่แล้วมีแผนเจ้าเล่ห์ขึ้นมาในหัว
สรนุชถูคอกควายใกล้จะเสร็จ ใจเด็ดปล่อยควายเข้ามาในคอก สรนุชตกใจล้มลงจนตัวเปียกแฉะ ใจเด็ดแอบหัวเราะอย่างสะใจ

เวลาเดียวกันนั้น ผู้พันชาญณรงค์เดินมากับช่อผกาสองพ่อลูกอยู่ในตลาดกลางหมู่บ้าน บรรดาผู้คนต่างพากันหลบหน้าหลบตาชาญณรงค์กันอย่างเห็นได้ชัด
“พ่ออ่ะ...พาผกามาด้วยทำไมก็ไม่รู้...พ่อก็รู้นี่ว่าผกาไม่ชอบอากาศร้อนๆ” ช่อผกาบ่นอุบ
“เหรอ...แล้วทีฉันเห็นแกไปเดินตามไอ้ใจเด็ดมันที่คอกควายมันไม่ร้อนหรือไง”
“ก็มันไม่เหมือนกันนี่พ่อ”
“ไม่ต้องพูดเลย...ที่ฉันพาแกมาด้วยเพราะต่อไปลูกต้องมาเก็บเงินที่นี่แทนพ่อ”
ช่อผกาหน้ามุ่ยขัดอกขัดใจเป็นที่สุด ระหว่างนั้นชาญณรงค์หันมาจะเดินต่อ แต่แล้วต้องชะงักเมื่อหันไปเห็นลูกหนี้ชื่อตาแม้นยืนซื้อของอยู่ ชาญณรงค์เดินพุ่งไปหาพร้อมกับทวงหนี้ทันที
“มีเงินมาซื้อของได้แบบนี้...แสดงว่ามีเงินใช้ค่าปุ๋ยให้ฉันแล้วใช่มั้ย”
ตาแม้นหันมาเห็นชาญณรงค์ยืนก็ถึงกับสะดุ้ง “อุ้ย..! ผู้พัน...หวัดดีจ้ะ”
ชายชราชื่อตาแม้นยกมือท่วมหัวแล้วทำท่าจะเดินออกไป ชาญณรงค์ตวาดแว้ด
“ถ้าแกเดินออกไปฉันจะเพิ่มดอกอีกร้อยละสิบ”
ตาแม้นชะงักกึกทันที หันกลับมาเสียงอ้อน “อย่าเลยจ้ะผู้พัน...แค่นี้ฉันก็จะแย่แล้ว”
“คิดว่าแกแย่คนเดียวหรือไงตาแม้น...ค่าปุ๋ยปีที่แล้วก็ให้แค่ครึ่งเดียว...ปีนี้อีก...นี่...ฉันก็ไม่อยากทำอะไรที่มันรุนแรงหรอกนะ...เห็นว่าหัวขาวขนาดนี้...ก็อยากให้แก่ตาย”
“จ้ะๆ ฉันจะรีบเอามาให้ผู้พันเลยจ้ะ” ตาแม้นลนลานรับคำ
“ก็ดี...แล้วปีนี้จะหว่านหรือยัง...ไปบอกแถวๆ บ้านเอ็งด้วยว่าให้รีบมาจองรถไถ...ถ้าช้าแล้วไถตามคนอื่นไม่ทันฉันไม่รู้ด้วยนะ”
“ไอ้พวกนั้นมันคงไม่ใช้รถไถผู้พันหรอกจ้ะ” ตาแม้นว่า
“ทำไม...หรือว่ามีเจ้าอื่นให้ราคาถูกกว่าที่บ้านฉันหรือไง” ช่อผกางง
“อูย...ไม่ใช่หรอกครับคุณผกา...พวกนั้นมันบอกว่าหัวหน้าใจเด็ดแกจะเกณฑ์ควายมาช่วยไถนะครับ” ตาแม้นบอก
ช่อผกาได้ยินชื่อใจเด็ดก็อารมณ์ดีขึ้นมาทันที “พี่เด็ดเหรอ...ได้...งั้นแล้วไป”
“แล้วไปอะไร...มันทำอย่างนี้ได้ยังไง...รู้ทั้งรู้ว่าเราหากินทางนี้...มันทำอย่างนี้พ่อคงต้องไปคุยกับมันหน่อยแล้ว”
ชาญณรงค์เดินออกไปด้วยความโมโห ช่อผกาเห็นพ่อโมโหใจเด็ดก็รีบตามไป
“พ่อ...พ่อ...รอผกาด้วย”

ชาญณรงค์เดินมาที่รถเก๋งสุดหรูที่จอดไว้ในที่จอดรดของตลาดแห่งนั้น ช่อผการีบเดินตามมาห้าม
“พ่อจะทำอะไรพี่เด็ด”
“ทำอะไรก็ได้ที่ทำให้ไอ้พวกนี้กลับมาใช้รถไถของเรา”
“ไม่ได้นะพ่อ...ถ้าพ่อทำอะไรรุนแรง...แล้วพี่เด็ดเป็นอะไรไป...ผกาจะอยู่กับใครละพ่อ” กลายเป็นช่อผกาแช่งพ่อตัวเอง
ชาญณรงค์เดือดจัด “โธ่เว้ย ! นังผกา...นี่แกเห็นคนอื่นดีกว่าพ่อหรือไง”
“ผกาไม่ได้เห็นคนอื่นดีกว่า...แต่พ่อก็แก่แล้วอีกไม่นานก็ตาย...แต่พี่เด็ดนี่ซิ”
“นังผกา...! นังลูกทรพี”
“ว้ายพ่อ”
ชาญณรงค์ทำท่าจะตีช่อผกา จนช่อผกาตกใจรีบวิ่งหนี ระหว่างนั้นช่อผกาก็เห็นเกริกไกรกับอรอนงค์ขี่มอเตอร์ไซค์ห่างออกไป
“พ่อ”
“แกไม่ต้องมาเรียกฉันว่าพ่อ...เมื่อกี้แกยังแช่งให้ฉันตายอยู่เลย”
“ไม่ใช่...พ่อดูนั่นดิ”
ชาญณรงค์หันไปตามที่ช่อผกาบอกให้มอง ก่อนที่ชาญณรงค์จะเห็นเกริกไกรกับอรอนงค์ขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาแล้วเลี้ยวไปอีกทาง
“หมอมาทำอะไรแถวนี้กับพวกกรุงเทพฯ นั่น” ช่อผกาตั้งข้อสังเกต
ชาญณรงค์สงสัย “กรุงเทพฯ..? ผู้หญิงคนนั้นน่ะเหรอ”
“อ้าวนี่พ่อไม่รู้หรอกเหรอว่ามีรายการสารคดีมาถ่ายทำที่สถานีของพี่เด็ดน่ะ...” ช่อผกาชักสงสัย “แล้วพวกนั้นมาทำอะไรแถวนี้”
ชาญณรงค์ไม่วางใจมองตามด้วยความสงสัยเหมือนกัน
“จะมีอะไร...มันก็มาแพร่เชื้อความหายนะให้พ่อน่ะซิ...แกรออยู่นี่...อย่าไปไหนนะ” พูดจบชาญณรงค์ก็เดินออกไปเลย
“อ้าว...พ่อ...พ่อ !” ช่อผกาคิดไปคิดมา “เรื่องไรจะรออยู่เฉยๆ...หึ...ไปหาพี่เด็ดดีกว่า”

ช่อผกามองตามชาญณรงค์จนเห็นว่าปลอดภัยแล้ว จึงรีบปลีกตัวออกไปอีกทางทันที

เกริกไกรกับอรอนงค์เดินเข้ามากันภายในบ้านหลังหนึ่ง พลางตะโกนเรียก
“วู้...มาแล้วนายสม”
นายสมเดินออกมาพอเห็นเกริกไกรก็ยกมือไหว้ทันที
“หวัดดีครับหมอ...มาทันเวลาพอดี...อ้าว...แล้วนั่นใคร”
อรอนงค์ยกมือขึ้นสวัสดีนายสมตามประสาคนนอบน้อม
“ผู้ช่วย..”เกริกไกรยิ้มบอก
“จริงหรือเปล่า...สวยอย่างนี้น่าจะเป็นเมียหมอมากกว่านะ”
อรอนงค์อ้าปากจะรีบปฏิเสธ “เอ่อ...”
แต่ถูกเกริกไกรซึ่งชอบใจแต่ต้องทำเสียงดุปรามขัดจังหวะ “นายสมนี่พูดอะไรเนี่ย” แล้วก้มลงกระซิบเบาๆ ท่าทีกะลิ้มกะเหลี่ย “สมพรปากนายสมทีเถิด...” ก่อนจะทำเสียงเป็นปกติ “ไหนควายนายสมละ”
“ผมจับมันไว้ให้หมอแล้วครับ”
นายสมเดินนำเกริกไกรเข้าไป อรอนงค์รีบดึงเกริกไกรเอาไว้
“เมื่อกี้กระซิบอะไรกันเหรอคะ” อรอนงค์สงสัย
“เอ่อ...ผมบอกนายสมว่าอย่าพูดอย่างนี้อีก...คุณอรจะเสียหาย...ไม่มีอะไรหรอกครับ...ชาวบ้านก็อย่างนี้แหละ...คิดอะไรก็พูดอย่างนั้น...มันอาจจะฟังดูไม่เข้าหูซะหน่อย...แต่รับรองว่าจริงใจแน่นอน” เกริกไกรดำน้ำหนีไปน้ำขุ่นๆ
“คะ” อรอนงค์อึ้ง
“ไปกันเถอะครับ...เดี๋ยวคุณอรจะได้เห็นผมแสดงฝีมือซะที”
เกริกไกรกับอรอนงค์เดินตามนายสมเข้าไป ไม่นานชาญณรงค์ก็โผล่มาที่ประตูบ้าน
ชาญณรงค์มองตามด้วยสีหน้าไม่พอใจนัก

เวลาต่อมาเกริกไกรหยิบหลอดน้ำเชื้อออกมาจากกระเป๋าก่อนจะแช่ลงในน้ำ
“อะไรนะคะ”
“น้ำเชื้อควายน่ะครับ...เราแช่แข็งเก็บไว้...ถ้าเราจะเอามาใช้...ต้องทำให้มันละลายก่อน”
ระหว่างนั้นก็มีเสียงของชาญณรงค์ดังขัดขึ้น
“ยุ่งยาก”
เกริกไกรกับอรอนงค์ และนายสมหันมาก็เห็นชาญณรงค์ที่เดินเข้ามาพร้อมกับช่อผกา
“ไหนจะต้องเก็บน้ำเชื้อ...ไหนจะต้องเอามาผสม...เสียเวลา...นี่ไอ้สม...แกทำอย่างนี้มันไม่ทันกินหรอกนะ” ชาญณรงค์เย้ย
“ไม่ทันกินหรือไม่ทันดอกเบี้ยครับผู้พัน” เกริกไกรเยาะ
“อ้าว...พูดดีๆนะหมอ...ฉันปล่อยเช่ารถไถในราคาที่ฉันไม่ได้อะไรเลย...จะมาหาว่าขูดรีดดอกเบี้ยได้ยังไง”
“ไม่ได้อะไรเลยจริงเหรอผู้พัน...นี่...ถ้าไม่ได้อะไรเลยต้องอย่างนายสมนี่...ทำนาเท่าไหร่ก็ยังเป็นหนี้ผู้พันอยู่จริงมั้ย”
นายสมก้มหน้าก้มตาไม่กล้าตอบ
“ถ้าอย่างนั้นก็ทำมันเพิ่มซิ...เอาไปเลย...ฉันให้สิทธิแกใช้รถไถได้ก่อนคนอื่นเลยเอ้า”
“อย่าเลยผู้พัน...ถ้ารถไถมันดีจริงทำไมนายสมต้องเปลี่ยนมาใช้ควายแทนละ...แล้วการที่เขาจะใช้ควายมันก็เป็นสิทธิของเขา”
“ไอ้สม...บอกมาว่าแกจะใช้อะไร” ชาญณรงค์ถามคาดคั้น
“เอ่อ...เอ่อ...ผมขอโทษครับผู้พัน...แต่ผมไม่มีปัญญาเช่ารถไถของผู้พันหรอกครับ”
ชาญณรงค์โกรธจัด “ไอ้สม! ฉันให้แกบอกอีกทีว่าแกจะใช้อะไร”
เกริกไกรตะโกนตอบแทน “ใช้ควาย ! ได้ยินหรือยังผู้พัน! ถ้ายังไม่ได้ยิน...ผมจะบอกให้ฟังอีกที...ควาย! ควาย!”
“โธ่เว้ย...พอแล้ว ! ไอ้พวกโง่...เลี้ยงควายมากเลยโง่เหมือนพวกมันใช่มั้ย...ฮึ่ยย์...พวกแกจำไว้นะ...ฉันจะทำให้ควายพวกนี้หมดไปจากแผ่นดินนี้ให้ได้”
ชาญณรงค์ชี้หน้าอย่างหมายแค้นเกริกไกร ก่อนจะเดินออกไปด้วยความโมโหสุดๆ
เกริกไกรร้องท้าทายไล่ตามหลัง
“เหรอ...ไม่กลัวหรอกเว้ย”
อรอนงค์ยืนหน้าเครียดเพราะสถานการณ์ที่ตึงเครียดนั่นเอง
“เอ่อ...คุณอรตกใจเหรอครับ”
“นิดหน่อยค่ะ...เอ่อ...ที่เขาพูดว่าจะทำให้ควายสูญพันธุ์...หมายความว่ายังไงคะ” อรอนงค์นึกสะดุดใจในคำพูดชาญณรงค์
“จะหมายความว่าไงก็ช่างผู้พันแกเถอะครับ...เวลาที่แกโกรธ...แกก็บอกอย่างนี้ทุกที...แล้วอีกอย่างผมก็ไม่กลัวว่ามันจะสูญพันธุ์ด้วย”
อรอนงค์สงสัย “ทำไมล่ะคะ”
“เอ่อ...”
ขณะที่เกริกไกรกำลังจะบอก ควายของนายสมก็มีอาการกระสับกระส่ายอย่างเห็นได้ชัด ทำให้เกริกไกรต้องรีบหันมาดูควายก่อน
“พร้อมแล้ว...นายสม...จับเอาไว้นะ”

เกริกไกรผละออกไปจัดการผสมเทียม ปล่อยให้อรอนงค์สงสัยกับปริศนาที่เกริกไกรทิ้งเอาไว้

 อ่านต่อหน้า 2 




 กระบือบาล  ตอนที่ 3 (ต่อ) 

ทุกคนกำลังวิ่งไล่จับลูกควายที่วิ่งกันพล่านภายในคอก สุบินอยู่ในนั้นด้วยแต่ท่าทางเก้ๆ กังๆ

“เอ้า...ทุกคนตีโอบเข้าไป”
เจนจิราออกคำสั่ง จังหวะนั้นเห็นภิรมย์กับสมหญิงต่างวิ่งดักหน้าดักหลังลูกควายอย่างมุ่งมั่น ลูกควายวิ่งไปไหนไม่ได้จึงวิ่งไปทางสุบินที่ยืนอยู่
“เฮ้ย!” สุบินตะลึง
“จับมันไว้คุณ”
สุบินตั้งท่าจะจับลูกควายที่วิ่งเข้ามาตามที่เจนจิราบอก แต่แล้วทันใดนั้นลูกควายก็พุ่งเข้าชนสุบิน จนสุบินถึงกับกระเด็น ร้องลั่น
“เหวอ”
สุบินล้มลงดังแอ๊ก ระหว่างนั้นเจนจิราวิ่งเข้ามาได้ถูกทิศทางพอดีจึงคว้าหมับจับลูกควายไว้ได้
สุบินนอนโอดโอยอยู่กับพื้นก็ค่อยๆ หันมา แต่แล้วก็ต้องอึ้งไปเมื่อเห็นภาพเจนจิราจับลูกควายเอาไว้อย่างขันแข็ง ยิ่งเห็นพวกภิรมย์ สมหญิงช่วยกันจับตอกหู สุบินถึงกับอึ้งไปเมื่อเห็นความแข็งแรงของเจนจิรา
ครู่ต่อมาเจนจิรากำลังช่วยดัดหลังให้สุบิน

“ไงคะ...ค่อยยังชั่วขึ้นมั้ย”
สุบินลงมาบิดหลัง “ดีขึ้นครับ...แหม...ผมอายจัง”
“ไม่ต้องอายหรอกค่ะ...ครั้งแรกก็เป็นอย่างนี้ทุกคนแหละค่ะ...แต่จะว่าไปก็คงเป็นเพราะลูกควายพวกนี้มันแข็งแรงขึ้นด้วย”
สุบินอึ้ง “แข็งแรงขึ้น..?”
“ค่ะ...ลูกควายพวกนี้เกิดจากน้ำเชื้อสายพันธุ์พิเศษที่หัวหน้ากับหมอเกริกไกรไปเจอโดยบังเอิญ
“สายพันธุ์พิเศษเหรอครับ..? แล้วมันพิเศษยังไง”

ส่วนที่บ้านายสมเกริกไกรเดินมาเก็บข้าวของใส่รถมอเตอร์ไซค์ อรอนงค์ยืนอยู่ข้างๆ
“ควายรุ่นใหม่ที่ได้รับน้ำเชื้อนี้เข้าไปจะมีความแข็งแรงขึ้น...ทนความร้อนได้นานขึ้น...แล้วเมื่อทนความร้อนได้นานขึ้นก็เท่ากับทำงานได้มากขึ้นไงครับ...รับรองว่าต่อไปรถไถไม่ได้กินควายพวกนี้แน่นอน”
“โห...แย่แล้วยัยนุชเอ๊ย” อรอนงค์ตกใจ
“ว่าไงนะครับ”
“ปะ เปล่าค่ะ...แล้วหมอได้น้ำเชื้อพิเศษนี่มาจากไหนเหรอคะ”
เกริกไกรหันมองไปรอบๆ พอเห็นว่าปลอดคนก็ตั้งท่าจะบอกกับอรอนงค์
“อยากรู้จริงๆ เหรอครับ”
อรอนงค์พยักหน้า
“ถ้างั้นเอาหูมาครับ”
ด้วยความที่อรอนงค์รีบไปหน่อย ทำให้แทนที่หันหูให้กับเกริกไกร อรอนงค์ก็ดันหันแก้มตัวเองไปชนกับปากเกริกไกรซะงั้น
“อุ้ย”
อรอนงค์หันมองเกริกไกรแล้วก็อึ้งไปเมื่อเห็นเกริกไกรยืนตะลึงอยู่
“ผม...ผมได้...ได้หอมแก้มคุณอร”
แล้วทันใดนั้นเกริกไกรก็หงายหลังล้มตึงเป็นทันที !
“หมอ..หมอ”
สุดท้ายอรอนงค์ก็ไม่ได้รู้ความลับอะไรจากเกริกไกรเสียที...อรอนงค์ถอนหายใจออกมาอย่างหน่ายๆ
“เฮ้อ...”

ทางด้านใจเด็ดกับสรนุชอยู่ภายในคอกคล้ายกับโคลนขนาดย่อมๆ
“ผมให้คุณทำความสะอาด...ไม่ใช่ให้มันสกปรกเพิ่ม”
“มันจะสะอาดแน่ถ้าไม่มีคนจงใจแกล้งฉัน...แต่อาจจะไม่ใช่คนก็ได้...อาจจะเป็น” สรนุชพูดเสียงเน้นๆ “ควาย...แถวนี้”
“จะควายหรือคน...ถ้าคุณไม่มีหลักฐานก็อย่าโทษไปเรื่อย”
“ฉันไม่ได้โทษไปเรื่อย...ตอนนี้ฉันอาจไม่มีหลักฐาน...แต่ฉันมีปาก...แล้วปากฉันก็เอาไว้แช่งไอ้คนที่แกล้งฉัน...ถ้าควายตัวไหนมันแกล้งฉันก็ขอให้มันมีลูกออกมาเป็นควายแคระ...แต่ถ้าเป็นคน...ก็ขอให้ทำอะไรไม่เจริญ...ชาตินี้ทั้งชาติก็ขอให้อยู่กับปลักควายที่นี่ไปตลอด”
ใจเด็ดไม่รู้สึกอะไร กลับได้ความคิดใหม่จากคำพูดของสรนุช
“คุณพูดถึงปลักขึ้นมาก็ดีแล้ว”
“ทำไม”
“ผมจะให้โอกาสคุณเป็นครั้งสุดท้าย...ถ้าคุณทำไม่สำเร็จ...ก็...”
สรนุชสวนขึ้นตอบแทน หน้าตาและน้ำเสียงยียวน “เก็บกระเป๋ากลับกรุงเทพฯ”
ใจเด็ดยักไหล่พรื่ดแล้วเดินออกไป สรนุชมองตามยี้ปากใส่หมั่นไส้
“พูดเป็นอยู่คำเดียวหรือไง...ถ้าฉันรู้ความลับนายเมื่อไหร่ละก็...จ้างให้ฉันก็ไม่อยู่ที่นี่หรอก...ชิ”

ใจเด็ดเดินเข้ามาที่ปลักเทียม สรนุชเดินตามเข้ามาแต่ยังไม่ทันที่สรนุชจะถึง เธอก็ชะงักไปกับกลิ่นเหม็นเน่าที่ลอยมาเตะจมูกเข้าอย่างจัง
“แหวะ...กลิ่นอะไรเนี่ย”
และแล้วสรนุชก็เห็นคำตอบอยู่ตรงหน้าเมื่อเดินเข้ามายืนข้างใจเด็ด เพราะข้างหน้าเธอมันคือบ่อน้ำที่มีน้ำสีดำข้นคลั่ก แมงวันบินว่อน สรนุชเห็นก็ถึงกับออกอาการพะอืดพะอม
“หือ...อะไรน่ะ”
“ไม่รู้จักปลักเทียมหรือไง...ตอนนี้ปลักธรรมชาติมันไม่ค่อยมี...ที่นี่ก็เลยทำปลักเทียมขึ้นมาให้ควายพวกนี้แทน”
“สกปรกอย่างนี้...กล้าลงไปแช่ได้ยังไง”
“นั่นไง...เราเริ่มคิดเหมือนกันแล้ว...สกปรกอย่างนี้ควายจะลงไปแช่ได้ยังไงใช่มั้ย” ฟังใจเด็ดว่า สรนุชเหล่มองไม่รู้ว่าใจเด็ดจะมาไม้ไหน “ถ้าอย่างนั้น...คุณก็ต้องเปลี่ยนน้ำให้พวกมัน”
สรนุชร้องลั่น “ห๊า”
“หาอะไร...ถังเหรอ...โน่นทางโน่น”
“ให้ฉันถังน้ำเน่าออกทีละถังเหรอ”
“หรือคุณจะใช้หลอดดูดออกก็ได้นะ”
“บ้า”
“รีบๆ เข้าละ...เดี๋ยวผมพาควายมาแล้วมันไม่เห็นน้ำในปลัก...มันโกรธไล่ขวิดคุณไม่รู้ด้วยนะ”
ใจเด็ดสำทับเดินยิ้มเยาะออกไป สรนุชอยากกรี๊ดให้ลั่นทุ่งจริงๆ
“อ๊าย...”


ช่อผกาเดินลัลล้ามาตามทาง ระหว่างนั้นช่อผกาชะงักกึก เมื่อเห็นฝูงควายยืนหลบแดดอยู่ใต้ต้นไม้กลางทุ่งหญ้า สาวทรงสะบึมค่อยๆ เดินย่องไม่ให้มีพิรุธเพราะกลัวควายไล่ขวิดนั่นเอง ระหว่างนั้นเสียงผิวปากดังมาจากฝูงควาย
ช่อผกาอึ้งหันขวับ “ควายบ้าอะไร...ผิวปากแซวได้ด้วยเหรอเนี่ย”
แล้วทันใดนั้นเสียงเพลงก็ดังขึ้น
“พอทราบอายุขวัญตา...น้องเอ๊ยพี่มา..นั่งทำตาปริบๆ”
“เฮ้ย ! ควายร้องเพลงได้” ช่อผกาฉงน
“น้องอายุสามสิบ...สามสิบทำไมยังสวย” ภิรมย์ร้องท่อนต่อมา
“ขนาดควายยังรู้ว่าฉันสวย...” ช่อผกาหันไปสนใจเรื่องควายร้องเพลงได้มากกว่า “ควายร้องเพลงได้จริงๆ ด้วย”
ว่าแล้วช่อผกาย่องเข้าไปที่ฝูงควาย และตรงไปที่ควายตัวหนึงที่ผูกอยู่ใต้ต้นไม้ เพราะเสียงเพลงดังมาจากควายตัวนั้น
“ยังเต่งยังตึงตึ่งตัง...น้องเอ๊ย...ขาวจัง...ขาวดังอาม่วย”
“หรือว่า...จะเป็นควายเทพ!” ช่อผกานั่งคุกเข่าลงพนม “ท่านควายเทพ...ลูกเชื่อแล้วค่ะ”
ระหว่างนั้นภิรมย์ก็โผล่หน้าขึ้นมาจากอีกด้านของควาย ที่แท้ก็เป็นเสียงภิรมย์ที่ร้องเพลงไปด้วยระหว่างที่อาบน้ำให้ควายนั่นเอง
“เชื่ออะไรเหรอครับ”
ช่อผกายังพนมมือหลับตา ไม่เห็นภิรมย์ “ก็เชื่อว่าท่านเป็นควายศักดิ์สิทธิไงคะ...” สักพักเริ่มรู้สึกแปลกๆ แปร่งๆ หู เลยลืมตาขึ้น ช่อผกาตกใจเมื่อเห็นภิรมย์ “ว้าย...ไอ้อ้วน”
“ก็ผมน่ะซิครับ...ทำไมครับ...คุณผกานึกว่าใครเหรอครับ”
ช่อผกาหน้าแตก “เปล่า...” เลยรีบเปลี่ยนเรื่อง “พี่เด็ดอยู่ไหน”
“เอ่อ...คงอยู่ที่คอกควายด้านโน่นน่ะครับ”
ช่อผกาได้ยินอย่างนั้นก็รีบลุกขึ้นปัดแข้งปัดขาก่อนจะเดินหน้าวีนออกไป ภิรมย์มองตามแปลกใจก่อนจะหันมาร้องเพลงอาบน้ำให้ควายต่อ


สรนุชกำลังตักน้ำเน่าขึ้นจากปลักควาย ทั้งเหม็นทั้งเหนื่อย
“ใช้ได้ใช้ไป...อย่าให้ตาฉันบ้างก็แล้วกัน”
ระหว่างนั้นช่อผกาเดินเข้ามา
“พี่เด็ด...พี่เด็ดจ๋า”
สรนุชชะงักหันไปก็เห็นช่อผกาเดินเข้ามา สรนุชไม่สนใจหันไปทำงานต่อ ช่อผกามองไปรอบๆ ไม่เห็นใจเด็ดจึงหันมาทางสรนุช
“นี่...” สรนุชยังตักน้ำไม่สนใจ “นี่...เธอน่ะ”
“เรียกฉันหรือเปล่า”
“ก็ใช่น่ะซิ...เห็นพี่เด็ดมั้ย”
“ไม่”
“ไปไหนของเขานะ...แล้วนี่เธอทำอะไร...ไม่ถ่ายสารคดีหรือไง”
สรนุชชักรำคาญ “เห็นฉันทำอะไรก็ทำอย่างนั้นแหละ”
“กวนประสาท...ชิ...ไปหาที่อื่นก็ได้”
ว่าแล้วช่อผกาทำท่าจะเดินออกไป จังหวะที่สรนุชมองถังน้ำในมือแล้วมองไปที่ช่อผกา แล้วความคิดเจ้าเล่ห์ก็ผุดขึ้นมาทันที
“อ้ะๆ ฉันบอกให้ก็ได้” สรนุชเอ่ยขึ้น
ช่อผกาชะงักหันกลับมา
“คุณใจเด็ดเขามีธุระ...ฉันก็เลยให้เขาไปทำธุระก่อน...ส่วนฉันก็มาทำงานแทนคุณใจเด็ดนี่ไง”
“ธุระอะไร”
“เรื่องนั้นฉันก็ไม่รู้...แต่ฉันว่าถ้าคุณใจเด็ดเขากลับมาแล้วเห็นว่าฉันเปลี่ยนน้ำในปลักนี่เสร็จ...เขาต้องชอบแน่ๆ”
“นี่เธอชอบพี่เด็ดหรือไง” ช่อผกาของขึ้น
“เปล่า...ฉันก็แค่อยากตอบแทนที่เขายอมให้ฉันมาถ่ายสารคดีที่นี่...แล้วอีกอย่างฉันรู้ว่า...เธอชอบเขาอยู่”
“รู้ก็ดีแล้ว”
สรนุชเริ่มเล่นละคร ทำหน้าเศร้า “เนี่ย...มันเลยทำให้ฉันลำบากใจ” ท่าทีสรนุชทำเอาช่อผกาสงสัยว่าเรื่องอะไร “ถ้าเกิดคุณใจเด็ดกลับมาแล้วเห็นว่าฉันทำขนาดนี้...ฉันกลัวว่าคุณใจเด็ดเขาจะคิดอะไรกับฉันW
“ไม่จริง ! พี่เด็ดไม่มีทางมองผู้หญิงคนอื่นนอกจากฉัน” ช่อผกาแว้ดใส่
“ใช่...ผู้หญิงอื่นเขาไม่มองหรอก...แต่เขาจะมองควาย...เธอก็รู้ว่าคุณใจเด็ดเขารักควายขนาดไหน...เคยได้ยินคำนี้มั้ย LOVE ME LOVE MY DOG ถ้าฉันทำเพื่อควายขนาดนี้...เธอคิดเหรอว่าเขาจะไม่รู้สึกอะไร”
ช่อผกาได้ยินสรนุชพูดอย่างนั้นก็เริ่มครุ่นคิด

ใจเด็ดสบายใจเดินมาตามทางพลางรำพึงออกมา “ยัยนั่นจะเป็นลมตายหรือยังเนี่ย”
ใจเด็ดเดินเข้ามาที่ปลักเทียมก่อนจะตกใจเมื่อเห็นว่าคนที่อยู่ในปลักเป็นช่อผกา
“ผกา”
ช่อผกาเงยหน้าขึ้น...เห็นชัดว่าเนื้อตัวมอมแมนไปด้วยโคลนและขี้ควาย
“พี่เด็ด...” ช่อผกาแล้วรีบวิดน้ำเพื่อให้ใจเด็ดสนใจ “เอ่อ...ผกาเป็นควายอยู่ในน้ำสกปรกแล้วทนไม่ได้นะคะ”
“ใครให้ผกาทำ...คุณสรนุชเหรอ”
ช่อผกากลัวเสียคะแนน “อุ้ย...เปล่านะคะ...ผกาทำของผกาเอง...ไม่ต้องห่วงค่ะ...ผกาทำไปเพราะความรักควายจริงๆ ค่ะ”
ว่าแล้วก็เห็นช่อผกาวิดน้ำออกจากปลักอย่างแข็งขัน ใจเด็ดหรี่ตาสงสัย
“แสบจริงๆ”

“โอ๊ย” สรนุชร้องโอดโอยพร้อมกับที่ดิ้นทุรนทุราย โดยมีอรอนงค์กำลังทายาให้
“ไปทำอะไรมาถึงได้โดนแดดเผาขนาดนี้”
“อย่าให้ฉันพูดเลย...พูดแล้วยิ่งเจ็บใจ...” สรนุชรู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งกาย “อูย...”
“ฉันว่าสภาพนี้คงจะเจ็บตัวมากกว่า” สุบินเอ่ยขึ้น ขณะทำท่าหักคอเสียงดังกร๊อบแกร๊บ “ลูกควายอะไรวะแรงอย่างกับช้าง”
“ลูกควาย..?” สรนุชสงสัย
“เออเด่ะ...พุ่งชนฉันอย่างกับรถสิบล้อ”
“เว่อร์ละ...ลูกควายอะไรจะแรงเยอะขนาดนั้น...นี่ถ้าโดนแม่มัน..นายไม่กระเด็นไปถึงอิตาลีหรือไง” อรอนงค์ไม่เชื่อ
“เอ้าจริงๆนะ...เห็นคุณเจนจิราเขาบอกว่าไอ้ลูกควายพวกนี้มันได้รับน้ำเชื้อพิเศษอะไรเนี่ยแหละ”
สรนุชได้ยินอย่างนั้นก็หูผึ่งขึ้นมาทันที ขณะที่อรอนงค์เองก็นึกขึ้นมาได้
“ใช่ๆ...วันนี้หมอเกริกไกรก็พูดเรื่องน้ำเชื้อพิเศษนั่นเหมือนกัน”
“มันคืออะไร...พวกแกรู้อะไรมาอีก
“เห็นบอกว่าไอ้น้ำเชื้อนี่มันจะทำให้ควายแข็งแรงขึ้นอดทนขึ้น...พวกนี้คงกำลังพัฒนาสายพันธุ์ควายเพื่อสู้กับรถไถของเธอแน่นอนว่ะนุช” สุบินบอก
สรนุชได้ยินอย่างนั้นก็อึ้งไป...เรื่องที่ทำไมใจเด็ดถึงรักควายยังไม่รู้ จู่ๆ ก็มีปัญหาใหญ่ให้เธอได้ใช้ความคิดอีกแล้ว


คืนนั้นใจเด็ดกำลังดูน้ำเชื้อในหลอดเก็บเชื้อในห้องแล็บ
“วันนี้แกไม่ได้บอกเรื่องนี้ให้พวกถ่ายสารคดีนั่นรู้ใช่มั้ย”
ใจเด็ดมองน้ำเชื้อนิ่ง ไม่มีเสียงตอบจากเกริกไกร ใจเด็ดแปลกใจก่อนจะหันมาเห็นเกริกไกรนั่งหน้าพริ่มอยู่
“เฮ้ย ! หมอ...” ใจเด็ดเรียกซ้ำ เกริกไกรสะดุ้ง “เป็นไร”
“เปล่า...แกว่าอะไรนะ”
“ฉันถามว่าวันนี้แกไม่ได้บอกเรื่องน้ำเชื้อนี่ให้ใครรู้ใช่มั้ย”
“แกก็รู้ว่าถึงฉันจะเป็นคนพูดมากปากเปราะพูดไม่เสนาะหู...แต่เรื่องความลับนี่รับรอง”
“ปลอดภัยก็ดีแล้ว”
จู่ๆ เกริกไกรก็โพล่งขึ้น “ฉันบอกคุณอรไปแล้วว่ะ”
ใจเด็ดตกใจ “ว่าไงนะ”
“ล้อเล่นน่า...ฉันรู้น่าว่าอะไรควรพูดไม่ควรพูด...แต่จะว่าไปทำไมแกไม่บอกให้เขารู้ไปเลยวะ...ไม่แน่นะวงการควายอาจจะตื่นตัว...รับรองว่าชาวนาทั่วประเทศจะต้องแห่มาขอน้ำเชื้อจากเรา...แล้วความฝันที่แกอยากให้ชาวนาใช้ควายแทนรถไถก็จะเป็นจริงซะทีไง” เกริกไกรบอก ท่าทีจริงจัง
“คิดว่ามันง่ายอย่างนั้นเหรอหมอ” เกริกไกรออกอาการสงสัยใจเด็ดจึงพูดต่อ “ถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไป...รับรองว่าไอ้พวกรถไถมันต้องไม่อยู่เฉยๆแน่...พวกมันต้องหาทางกำจัดแหล่งน้ำเชื้อพิเศษนี่...ฉันไม่อยากเสี่ยง”
“พูดไปก็จริงของแก...ดีไม่ดีพวกมันอาจจะบุกเข้ามาทำหมันชายฟรีให้...หรือหนักกว่านั้นพวกมันจะยิงทิ้งเลยก็ได้” เกริกไกรว่า
“นั่นแหละที่ฉันกลัว”
จังหวะนั้นเสียงภิรมย์ดังโหวกเหวกโวยวายเข้ามา
“ หัวหน้า...หัวหน้าอยู่ไหนครับ”
ใจเด็ดกับเกริกไกรหันมองไปทางเสียงของภิรมย์ด้วยความสงสัย

ใจเด็ดกับเกริกไกรเดินออกจากห้องแล็บเข้ามาในสำนักงาน
“มีอะไร”
“เกิดเรื่องใหญ่แล้วหัวหน้า...ผู้พันแกเอาคนมาทำไมเยอะแยะก็ไม่รู้” ภิรมย์รายงาน
พอได้ฟัง ใจเด็ดกับเกริกไกรหันมองหน้ากันสีหน้าเครียดขึ้นมาทันที


คืนนั้นเจนจิรากับสมหญิงกำลังห้ามปรามคนของผู้พันชาญณรงค์ที่กำลังยกโต๊ะมาวางไว้ที่กลางลานอเนกประสงค์
“ผู้พัน...ทำอย่างนี้ผู้พันขออนุญาติหัวหน้าหรือยัง” เจนจิราถาม
“ใช่...ทำอย่างนี้เท่ากับบุกรุกสถานที่ราชการนะคะ” สมหญิงผสมโรง
“นี่...คิดว่าพ่อฉันเป็นอาแปะขายขวดหรือไง...พ่อฉันเป็นทหารทำไมจะไม่รู้” ช่อผกาสวนขึ้น
“โอ๊ย...เรื่องเล็กน้อยอย่างนี้ขออนุญาตทำไม...ระบบราชการเมืองไทยก็รู้กันอยู่”
ระหว่างนั้นสรนุช สุบินและอรอนงค์เดินเข้ามาเพื่อรับประทานอาหารเย็น พอเห็นคนกำลังวุ่นวายยกโต๊ะก็สงสัย
“มีงานเลี้ยงอะไรหรือไง”
“อ้าว...นั่นไง...คนที่ผมกำลังต้องการจะเจอมาพอดี...สวัสดีครับ”
ชาญณรงค์ทักทาย ในขณะที่สรนุช สุบินและอรอนงค์งงว่าเกิดอะไรขึ้น
“เอ่อ...มีงานเลี้ยงอะไรเหรอคะ” สรนุชถาม
“เอ้า...ก็งานเลี้ยงต้อนรับพวกคุณไงครับ...พวกเราเป็นคนในพื้นที่...แขกไปใครมาถ้าพวกเราไม่ต้อนรับเดี๋ยวจะไม่ดีนะครับ”
ระหว่างนั้นเสียงใจเด็ดดังขึ้น “ไม่ดีแน่ถ้าเขามาทำอะไรในสถานที่ของผม”
ทุกคนหันไปก็เห็นใจเด็ด เกริกไกรและภิรมย์เดินเข้ามา
“ผู้พันจะทำอะไร”
“พี่เด็ด...”
ช่อผการะรื่น จะวิ่งเข้าไปหาใจเด็ด แต่ถูกชาญณรงค์ดึงรั้งเอาไว้ก่อนที่ตัวเองจะก้าวเข้าไปหาใจเด็ด
“ฉันก็จะเลี้ยงให้พวกคุณๆ ที่มาถ่ายสารคดีไง”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผู้พัน”
“ทำไมจะไม่เกี่ยว...ทีพวกหมอยังให้คุณๆเขามาถ่ายสารคดีไอ้ควายโง่พวกนี้ได้...แล้วทำไมผมจะให้พวกเขามาถ่ายรถไถของผมบ้างไม่ได้”
ได้ยินที่ชาญณรงค์พูดอย่างนั้นทุกคนถึงกับสะอึกกันไป ชาญณรงค์จ้องหน้าใจเด็ดอย่างท้าทาย แต่ใจเด็ดเองก็ไม่ยอมหลบตา
ทุกคนนิ่งงันไปท่ามกลางสถานการณ์ที่ตึงเครียด!!!

ทุกคนนิ่งงันเมื่อเห็นชาญณรงค์ท้าทายใจเด็ดเห็นๆ บรรยากาศมาคุ สถานการณ์ตึงเครียดสุดๆ
“อ้าวพ่อ...ไหนพ่อบอกว่าจะมาเลี้ยงทาบทามหนูกับพี่เด็ดไง...ไหงพ่อทำงี้ละ”
“หุบปากไปเลยนังผกา”
สรนุชเองก็แอบดีใจอยู่ไม่ใช่น้อยที่ยังมีคนเข้าข้างรถไถ ระหว่างนั้นสรนุชคิดบางอย่างขึ้นมาได้จึงพูดแทรกในความเงียบ
“ยินดีมากเลยค่ะ”
ทุกคนหันมองสรนุชเป็นตาเดียว สรนุชปรี่เข้าไปหาชาญณรงค์อย่างยิ้มแย้ม
“ฉันว่าก็ดีเหมือนกันนะคะที่จะสื่อให้เห็นประโยชน์ของทั้งรถไถและควาย”
อรอนงค์กับสุบินถึงกับอ้าปากค้าง อรอนงค์รีบเข้าไปดึงสรนุช
“นุช...แกทำบ้าอะไรเนี่ย”
“เงียบเถอะน่า..” สรนุชหันไปพูดกับชาญณรงค์ “พวกเราเองก็อยากรู้เหมือนกันคะว่าทำไมคนบางคนถึงได้รักควายชนหัวฝา...ถ้าเผื่อผู้พันกรุณาให้ความรู้เรื่องวิทยาการสมัยใหม่...” หันไปพูดกระแทกเสียงใส่ใจเด็ด “เพื่อเป็นวิทยาทาน...บางทีอาจจะเปิดดวงตาให้เขาได้เห็นแสงธรรมก็ได้นะคะ”
ชาญณรงค์ถูกใจขึ้นมาทันที “นี่ไง...เห็นมั้ย...มันต้องอย่างนี้นังหนู...เอาไง...ย้ายไปนอนบ้านฉันกันเลยมั้ย...โอ๊ย...เรื่องพวกเครื่องมือการเกษตรนี่ฉันคุยได้ยันเช้า”
เกริกไกร เจนจิรา ภิรมย์ สมหญิงหันมองใจเด็ดว่าจะตอบรับสถานการณ์นี่ยังไง
“เชิญ...ผู้พันอยากทำอะไรก็เชิญ...แต่อย่ามาพูดเรื่องรถไถในนี้” ใจเด็ดบอก
“ตอนแรกฉันก็กะจะไม่พูดเรื่องรถถงรถไถอะไรนั่นเพราะฉันเองก็ไม่ได้ขาย...แต่ถ้าฉันจะพูดแกจะทำไม”
“เพราะที่นี่เป็นดินแดนของควาย...ไม่ใช่รถไถ”
“แต่ที่ที่พวกแกยืนอยู่นี่มันก็ภาษีฉัน”
ใจเด็ดตัดบท “ช่วยพาผู้พันออกไปด้วย”
ทุกคนทำท่าจะกรูกันเข้าไปจับตัวชาญณรงค์ แต่แล้วทันใดนั้นสรนุชก็พูดขึ้น
“เดี๋ยวก่อนซิคะ...ผู้พันอุตส่าห์มีน้ำใจเอากับข้าวกับปลามาเลี้ยง...ถ้าไม่รับน้ำใจก็ถือว่าแล้งน้ำใจเกินไปหน่อย...จริงมั้ยคะคุณใจเด็ด”
ใจเด็ดเหล่มองสรนุชที่ยิ้มหน้าแป้น ดูไม่ออก และไม่เข้าใจว่าสรนุชต้องการอะไรกันแน่

ไม่นานหลังจากนั้นทุกคนนั่งล้อมวงทานอาหารกัน สรนุชนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างใจเด็ดกับชาญณรงค์
สรนุชเริ่มเปิดประเด็น “แหม...ดีจริงๆนะคะ...ถือซะว่าจะได้ใช้โอกาสนี้ให้คุณใจเด็ดกับผู้พันแลกเปลี่ยนระหว่างภูมิปัญญาชาวบ้านกับเทคโนโลยีสมัยใหม่กันไปเลย”
“อะไรนะ...ภูมิปัญญาอ่อนน่ะเหรอ”
“อ้าว...ผู้พัน” เกริกไกรฉุน
“ทำไม...อ๋อ...ผมพูดอะไรไปนี่” ชาญณรงค์หยันอยู่ในที
“พูดเมื่อกี้แต่กลับจำไม่ได้สงสัยคนที่ปัญญาอ่อนคงจะไม่ใช่ชาวบ้านแล้วละผู้พัน...สงสัยจะเป็นคนที่พูด”
“ไอ้เรื่องอื่นผมอาจจะจำไม่ได้ค่อยได้...แต่เรื่องคุณใจเด็ดนี่ผมจำได้แม่นเลยนะครับ...นี่หนูเห็นมันขาวๆอย่างนี้เนี่ย...เชื่อมั้ยว่าแต่ก่อนขาวกว่านี้อีกนะ”
“ผิวหรือลูกตาคะ..ฮิฮิ”
สรนุชแกล้งหัวเราะกลบเกลื่อนกับมุกที่เพิ่งกัดใจเด็ดไป
“แหม...นุชก็กลัวว่าจะเครียดกันเกินไปน่ะคะ...แล้วทำไมคุณใจเด็ดถึงได้ขาวละคะ...ดิฉันเห็นคนที่นี่ไม่มีใครขาวซักคน”
“ผมไม่ใช่คนที่นี่...ผมเป็นคนกรุงเทพฯ แต่อาสาเข้ามาอยู่ที่นี่เอง” ใจเด็ดสวนออกมา
“ใช่ค่ะ...อันนี้ผกาขอรับรองว่าเป็นความจริงเพราะผกาจำได้ว่าตั้งแต่พี่เด็ดปรากฏตัว...ความรักของเราก็เริ่มขึ้น” ช่อผกาผสมโรง
ชาญณรงค์เอ็ด “นิ่งๆเถอะแก...” แล้วหันไปแขวะใจเด็ดต่อ “แต่ที่จริง...คุณใจเด็ดก็ไม่น่าย้ายมาเลยนะครับ...ที่นี่เขากำลังจะพัฒนาอยู่แล้ว...ดันถอยหลังกลับไปยิ่งกว่าร้อยปีที่แล้วอีก”
“ถึงทุกอย่างมันจะพัฒนาแต่ถ้าไม่พัฒนาใจคน...ผมว่ามันก็ไม่มีประโยชน์”
ทุกคนถึงกับพยักหน้าเห็นด้วยกับใจเด็ด
“แต่ผมว่ามันต้องพัฒนาความเป็นอยู่ก่อน...ถ้าให้ชาวบ้านยากจนอย่างนี้แล้วชาวบ้านจะเอาเวลาที่ไหนไปพัฒนาจิตใจเล่า...จริงมั้ยหนู”
“แหม...ผู้พันพูดอีกก็ถูกอีก...ช่างสมกับชายชาติทหาร” สรนุชว่า
“อ้ะ...นังหนูนี่พูดถูกใจ...เป็นลูกสาวทหารหรือเปล่าเนี่ย”
สรนุชเกือบหลุดปากว่าใช่ “ชะ” แต่ยั้งไว้ทัน “เอ่อ...ไม่ใช่คะ...คือหนูไปถ่ายสารคดีเกี่ยวกับทหารบ่อยก็เลยอินน่ะคะ...หุหุหุ”
สรนุชยิ้มหน้าแป้นแร้นให้กับชาญณรงค์ ทุกคนฝั่งกระบือบาลหันไปมอง จนสุบินต้องรีบใช้ขาสะกิดสรนุช สรนุชหันมาก็เห็นเหล่ากระบือบาลกำลังจ้องอยู่ก็มีชะงักหุบยิ้มเล็กน้อย
ใจเด็ดหันมองหน้าสรนุชเคืองๆที่สรนุชพูดออกมาเรื่องจะถ่ายสารคดีก่อนที่ใจเด็ดจะเดินออกไป สรนุชทำลอยหน้าลอยไม่สนใจ


เวลาต่อมาสรนุช อรอนงค์และสุบินเดินขึ้นมาบนบ้าน
“คิดยังไงถึงได้ไปเข้าข้างผู้พันจนออกนอกหน้าอย่างนั้น”
“แล้วฉันเป็นใคร”
อรอนงค์งง “แกก็เป็นสรนุชไง”
“ไม่ใช่...ฉันเป็นวิศวกรบริษัทบาคาตี้...แล้วเรื่องอะไรฉันต้องไปเข้าข้างควาย...รู้มั้ยว่าฉันดีใจแค่ไหนที่ตาผู้พันนั่นแสดงตัวว่าเกลียดควายขนาดนั้น”
“แล้วนี่จะเอายังไง...กลับกรุงเทพฯ กันเลยมั้ย” สุบินถามอย่างหน่ายๆ
“ไม่ได้..! ฉันยังไม่รู้เลยว่าทำไมหมอนั่นถึงรักควาย...แล้วเรื่องน้ำเชื้อพิเศษอะไรนั่นอีก”
“แต่ฉันไม่อยากอยู่แล้ววะ...แกเล่นพูดออกไปอย่างนั้นแล้วคนในนี้เขาจะมองเรายังไง” สุบินบอก
“วันเดียว...ฉันขอเวลาพรุ่งนี้อีกวันเดียว ! ฉันจะล้วงความลับทุกเรื่องของนายนั่นออกมาให้ได้”

สรนุชหรี่ตาลงอย่างมุ่งมั่น

 อ่านต่อหน้า 3 




 กระบือบาล  ตอนที่ 3 (ต่อ) 

ตอนเช้าวันต่อมา ใจเด็ดเดินออกมาจากบ้านพักกำลังจะไปทำงาน ระหว่างที่ใจเด็ดหันหน้ามาก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นสรนุชยืนรออยู่แล้ว

“มาทำอะไรแต่เช้า”
“ฉันมาทวงสัญญา”
“สัญญาอะไร”
“เอ้า...ก็เรื่องที่นายบอกว่าถ้าฉันผ่านการทดสอบนายจะบอกฉันเรื่องความรักควายของนายไง”
“ทำไม...พอฟังเสร็จคุณก็จะรีบเก็บกระเป๋าไปทำเรื่องความรักเครื่องการเกษตรของผู้พันต่อหรือไง” ใจเด็ดเยาะแกมหยัน
“อ๋อ...ที่แท้นายก็โกรธฉันเรื่องเมื่อคืนนี่เอง”
“ผมไม่ได้โกรธ”
“ไม่ได้โกรธแล้วทำไมนายไม่บอกฉัน”
“ก็เพราะว่าคุณ...ไม่ผ่านการทดสอบ”ใจเด็ดบอกเสียงเคร่ง
สรนุชปรี๊ดขึ้นทันทีเพราะอุตส่าห์เอาตัวเข้าแลก “อะไร...ฉันก็ทำตามที่คุณบอกหมดทุกอย่าง...ตัดหญ้า..ล้างคอก...ลอกปลัก”
“ไอ้สองอย่างแรกน่ะใช่...แต่เรื่องลอกปลัก...คุณแน่ใจเหรอว่าคุณทำ...ไม่ใช่ผกา”
สรนุชหลบตาก่อนจะทำเป็นพูดแถหนีเพื่อกลบเกลื่อน
“ฉันไม่ผิด...ผกาเขาขอฉันทำเอง”
“เรื่องนั้นผมไม่สนใจ...ในเมื่อคุณไม่ได้ก็ถือว่าคุณทำผิดกติกา”
“ก็ได้ๆ ถ้าอย่างนั้นวันนี้ฉันขอแก้ตัว”
“ก็คงไม่ได้อีกเหมือนกัน...เพราะวันนี้ผมไม่อยู่”
ใจเด็ดพูดจบก็เดินออกไป สรนุชไม่ยอมแพ้จะเดินตาม ใจเด็ดรู้ทันหันมาชี้หน้า
“ไม่ต้องตามผมมา...ผม...รำคาญ”
ว่าแล้วใจเด็ดก็เดินออกไปเลย สรนุชแทบจะตีอกชกหัวตัวเอง
“บ้า ! เผด็จการ...ฮึ่ยย์...แล้วนายนั่นจะไปไหนของเขานะ”

เวลาเดียวกันเกริกไกรกำลังตะโกนเรียกอรอนงค์อยู่หน้าเรือนรับรอง
“คุณอรครับคุณอร...คุณอรครับ”
มีเสียงอรอนงค์ตะโกนตอบกลับมา
“ค่ะ...ค่ะ”
ไม่นานอรอนงค์ก็ออกมาที่หน้าเรือนก่อนจะแปลกใจเมื่อเห็นเกริกไกร
“อ้าว...คุณหมอ...มีอะไรคะ”
“นึกแล้วว่าคุณอรต้องถามผมอย่างนี้...ถ้าผมไม่มีอะไร...ผมมาหาคุณอรไม่ได้ใช่มั้ยครับ”
เกริกไกรทำหน้าสลดลงจนทำให้อรอนงค์ต้องรีบพูด
“ไม่ใช่ค่ะ...อรไม่ได้หมายความอย่างนั้น”
“อุ้ย...เหมือนกันเลย” คำพูดของเกริกไกรเล่นเอาอรอนงค์สงสัย “พอดีผมฟังละครวิทยุมาน่ะครับ...ไม่น่าเชื่อว่าคุณอรจะตอบเหมือนในวิทยุเลย”
“เอ่อ...งั้นเหรอคะ” อรอนงค์อยากรู้ขึ้นมา “แล้วทำไมเขาถึงตอบอย่างนั้นล่ะคะ”
“ก็เพราะว่านางเอกชอบพระเอกแล้วกลัวพระเอกเสียใจไงครับ”
เจอมุกนี้อรอนงค์ทำหน้าไม่ถูกไม่รู้จะไปทางไหนเลย
“แล้วคุณหมอมาหาอรแต่เช้านี่มีอะไรหรือเปล่าคะ”
ยังไม่ทันที่เกริกไกรจะตอบ เสียงสรนุชก็ดังขึ้น
“อ้าวหมอ”
เกริกไกรกับอรอนงค์หันไปก็เห็นสรนุชเดินเข้ามา
“มาทำไมแต่เช้าคะ...หรือว่าจะชวนอรไปไหนเหรอคะ”
“แหม...คุณนุชรู้ได้ยังไงครับ...คือผมจะมาชวนคุณอรไปวัดด้วยกันน่ะครับ”
“ไปวัดเหรอคะ...เอ่อ...นุชไปด้วยมั้ยอ่ะ”
“ตามสบายเลยค่ะคุณ...” สรนุชว่า
“แหม...ค่อยโล่งอกหน่อย” เกริกไกรบอก
สรนุชได้ยินอย่างนั้นก็แปลกใจ “ทำไมหมอต้องโล่งอกด้วย”
“เอ่อ...ก็...พอดีไอ้เด็ดมันไปด้วยน่ะครับ...ผมก็กลัวว่าเขตอภัยทานมันจะไม่ศักดิ์สิทธิ
สรนุชฟังแล้วนิ่งไป สีหน้าของเธอครุ่นคิดขึ้นมาทันที

ไม่นานหลังจากนั้น เกริกไกรนั่งพนมมือ โดยอรอนงค์นั่งอยู่ข้างๆ เกริกไกรเอาแต่มองอรอนงค์จนตาเยิ้ม ระหว่างนั้นเสียงของใจเด็ดดังขึ้น
“ไม่น่าชวนแกมาเลยว่ะ”
อีกฝั่งจึงเห็นใจเด็ดนั่งพนมมืออยู่ข้างๆ
“ฉันไม่รู้นี่หว่าว่าคุณนุชเขาจะตามมาด้วย”
สรนุชนั่งอยู่ข้างหลังใจเด็ด
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะหัวหน้า” หลวงพ่อเอ่ยทักทาย
“ครับ...พอดีช่วงนี้มีเรื่องยุ่งๆที่สถานีเยอะน่ะครับ”
“เอ้าๆ...ไม่เป็นไร...แล้วนังหนูสองคนนั่นใคร...เมียเอ็งสองคนเหร๊อ” คราวนี้หลวงพ่อถาม
อรอนงค์กับสรนุชถึงกับสะดุ้ง สรนุชรีบปฏิเสธ
“เอ่อ...ไม่ใช่คะ...พวกเราเป็นทีมงานสารคดีมาถ่ายทำที่สถานีของคุณใจเด็ดเขาน่ะค่ะ”
“ดีๆ”
“แต่ผมว่าไม่ค่อยดีเท่าไหร่หรอกครับ...ไอ้ผมน่ะเลี้ยงควายของผมก็ดีอยู่แล้ว...อยู่ดันมีนกมาให้เลี้ยง...ไม่ใช่นกธรรมดาน่ะครับ...นกสองหัวด้วย” ใจเด็ดกัดเข้าให้
สรนุชรู้ตัวว่าโดนกัด รีบสวนกลับ “อุ้ย...อยู่ที่ไหนคะ...ฉันอยู่มาก็หลายวันยังไม่เห็นเจอ...ถ้าจะเจอก็เจอแค่หัวเดียว...แต่หัวมันจะโตซักหน่อย...ดิฉันว่าหัวมันคงโตเพราะความคิดลบๆ ของมันเต็มหัวน่ะค่ะ”
“แต่ผมว่าไม่ใช่หรอกครับ...ผมว่าที่หัวมันโตคงเป็นเพราะมันใช้ความคิดเยอะ...คิดว่าไอ้นกสองหัวที่มันเห็นจะมีลิ้นสองแฉกด้วยหรือเปล่า” ใจเด็ดไม่ลดละ
“นี่...!” สรนุชชักฉุน
ใจเด็ดมองหน้ากวนๆ “มีอะไรเหรอครับ...เอ...หรือว่าลิ้นคุณจะสองแฉก...ไหนแลบลิ้นดูซิครับ”
เกริกไกรเห็นท่าไม่ดี จึงรีบไกล่เกลี่ยก่อนจะเลยเถิดเป็นสงครามกลางเขตอภัยทาน “เอวังก็จบด้วยประการละฉะนี้...แหม...นิทานชาดกอะไรก็ไม่รู้สนุ๊กสนุก” หันไปทางอรอนงค์ “นะครับคุณอร”
อรอนงค์ตอบพาซื่อ “มีนิทานชาดกเรื่องนกสองหัวด้วยเหรอคะ”
ใจเด็ดกับสรนุชต่างปรายตามองกัน ฟาดฟันด้วยสายตา เกริกไกรกระเถิบตัวเข้าไปหาหลวงพ่อ
เกริกไกรเข้าเรื่องของตน เข้าไปกระซิบกับหลวงพ่อ “หลวงพ่อพอจะมีบทสวดอะไรที่สวดแล้วจะเกิดด้วยกันทุกๆชาติไปมั้ยครับ”
“ไม่มีหรอก...เรื่องนั้นมันอยู่ที่วาสนา...อยู่ที่กรรมที่ทำร่วมกันมา...แต่ให้ดีที่สุดเนี่ยก็คือการไม่ต้องเกิด...ไม่รู้เหรอว่าการเกิดน่ะเป็นทุกข์”
“แต่ผมว่าไม่เกิดมันทุกข์กว่านะครับ...เกิดขาอื่นน๊อคไป...เราโดนหลาย K เลยนะครับ” เกริกไกรไปโผล่วงไพ่ซะงั้น
ใจเด็ดปราม “หมอ”
“แหม...นี่มันในวัดนะโยมหมอ...ล่อไปซะเรื่องรัมมี่ได้ยังไง” หลวงพ่อเย้า
“ผมล้อเล่นขำๆ น่ะครับ”
ระหว่างนั้นมีเสียงดังมาจากด้านนอกอุโบสถ
“หลวงพ่อ...หลวงพ่ออยู่มั้ยครับ”
ทุกคนหันมองไปทางเสียงด้วยความสงสัย

เป็นโชคชัยยืนอยู่กับชิดชัยผู้จัดการบาคาตี้สาขาสุรินทร์ และลูกน้อง กำลังตะโกนเรียกหลวงพ่ออยู่หน้าอุโบสถ์
“หลวงพ่อ...หลวงพ่อ”
โชคชัยพยายามห้าม “ผมว่าพอแล้วก็ได้ครับ...หลวงพ่อท่านคงได้ยินแล้ว”
“ไม่ได้หรอกนายก...เวลาผมเป็นเงินเป็นทอง...หลวงพ่อ...หลวงพ่อ” ชิดชัยว่า
หลวงพ่อค่อยๆ เดินออกมาจากอุโบสถ
“ได้ยินแล้ว...วัดนะโยมไม่ใช่สถานบันเทิง...เรียกครั้งเดียวก็ได้ยินแล้ว”
โชคชัย ชิดชัยและลูกน้องต่างยกมือไหว้ ระหว่างที่เงยหน้าขึ้นทั้งสองก็ต้องตกใจเมื่อเห็นใจเด็ดและเกริกไกรเดินออกมา โดยมีสรนุชและอรอนงค์เดินตามออกมาอีกที
“ไอ้พวกบาคาตี้” เกริกไกรอุทาน
สรนุชกับอรอนงค์ต่างก็สะดุ้งเช่นเดียวกัน
“อะไรเหรอคะ”
“พวกนั้นน่ะเป็นคนของบาคาตี้” เกริกไกรบอก
สรนุชกับอรอนงค์ต่างตกใจต่างก็รีบหันหลังพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย จนเกริกไกรงง
“เป็นไรเหรอครับ”
“เอ่อ..เปล่าค่ะ...คืออรเขารู้สึกว่ามีปัญหาชีวิตก็เลยต้องหันหน้าเข้าหาวัดน่ะคะ...ใช่มั้ยอร” สรนุชบอก
“เอ่อ...ใช่ค่ะ”

ด้านชิดชัยและลูกน้องพอเห็นใจเด็ดก็ตั้งป้อมทันที
“อ้าว...ว่าไงละโยม...ตกลงมาหาอาตมานี่มีเรื่องอะไรเหรอ”
“คือ...พวกเราจะมาบอกบุญหลวงพ่อน่ะครับ” ชิดชัยบอก
หลวงพ่อฟังแล้วสะดุ้ง
“ไม่ใช่คุณ...บอกบุญน่ะหลวงพ่อต้องพูดกับคุณ” โชคชัยท้วง
เกริกไกรเยาะ “เฮ้อ...อยู่ดีไม่ว่าดี...สงสัยอยากจะลงนรก”
“อ้าว...ถ้าพวกฉันลงคงต้องถามทางไปจากพวกแก”
ระหว่างนั้นเองสรนุชกับอรอนงค์ค่อยๆ หันมา ชิดชัยกับลูกน้องแอบมองก็รู้สึกคุ้นหน้า
“เอ...คุ้นหน้าผู้หญิงสองคนนั้นน่ะ...แกว่ามั้ย” ชิดชัยหันไปทางลูกน้อง
ใจเด็ดชะงักหันไปมองสรนุชกับอรอนงค์ ทั้งสองสาวรีบก้มหน้าก้มตา ชิดชัยรู้สึกแปลกใจจึงเดินเข้ามามองหน้าให้ชัดๆ
“คุ้นหน้าจริงๆ ด้วย”
ผู้จัดการชิดชัยทำท่าจะก้มมองสรนุชกับอรอนงค์ เกริกไกรเห็นว่าเกินไปจึงเข้ามาขวาง
“ทำอะไร...ถอยไปเลยนะเว้ย”
“อะไรวะ” ชิดชัยงงแกมฉุน
หลวงพ่อรีบเข้ามาหย่าศึก “เอ้าๆ...อาตมาว่าโยมทั้งสองรีบพูดธุระของโยมมาดีกว่า”
“ได้ครับหลวงพ่อ...คือ...ผมเห็นว่าที่ท้ายวัดมันเป็นพื้นที่รกร้าง...ก็เลยจะมาถามหลวงพ่อว่า...ถ้าต้องการเกลี่ยกลบหน้าดินเรียกใช้บริการพวกเราได้นะครับ”
“ไม่น่าเชื่อว่าพวกบาคาตี้ก็จะทำอะไรดีๆ กับเขาเป็นเหมือนกัน” ใจเด็ดเยาะหยัน
“อ้ะ...แน่นอน...ในฐานะที่หลวงพ่อเป็นที่นับถือของชาวบ้าน...พวกผมคิดราคากันเองชั่วโมงละห้าร้อยพอครับ” ชิดชัยบอกธุระที่มาหา
หลวงพ่ออึ้ง “อ้าว...”
ใจเด็ดลอบมองพวกนั้นก่อนจะคิดแผนขึ้นมาได้
“ไม่เป็นไรครับหลวงพ่อ...เดี๋ยวผมให้ควายของผมมาทำให้ก็ได้...ผมคิดแค่ชั่วโมงละสามร้อยพอ”
“ห๊า...นี่หัวหน้าก็คิดเงินกับอาตมาเหมือนกันเหรอ”
ใจเด็ดขยิบตาให้หลวงพ่อเหมือนว่ามีแผนบางอย่าง แต่หลวงพ่อไม่เข้าใจ
พอได้ยินใจเด็ดว่า ชิดชัยกลัวแพ้เลยดัมพ์ราคาลง “ถ้าอย่างนั้นผมคิดชั่วโมงละร้อยห้าสิบพอครับ”
“งั้นผมคิดแค่ชั่วโมงละห้าสิบบาทครับ”
“งั้น...ผม...ผมทำให้ฟรีเลยแถมเงินให้ด้วยอีกห้าร้อยเอ้า”
ทันใดนั้นใจเด็ดและเกริกไกรต่างก็พนมแล้วพูดออกมาพร้อมกัน “สาธุ”
“พวกคุณพูดแล้วนะ...แล้วก็ถ้าโกหกพระมันบาปรู้มั้ย” ใจเด็ดสำทับ
เกริกไกรทำแลบลิ้นหลอกพวกบาคาตี้เป็นการเยาะเย้ย
“อ้าวเฮ้ย ! ทำไมพวกแกไม่เกทับละ...เฮ้ย..บ้าเอ๊ย ! ไป” ชิดชัยฉุนขาด เดินออกไปทันที
“อ้าว...เดี๋ยวก่อนซิครับ” โชคชัยอึ้ง รีบท้วงเอาไว้
แต่ผู้จัดการชิดชัย กับลูกน้องรีบเดินออกไปอย่างเจ็บใจ โชคชัยรีบตามไป สรนุชมองตามอย่างครุ่นคิดบางอย่างในใจ
“สะใจเว้ย ! ไงละ...แค่นี้ก็เห็นแล้วว่ารถไถสู้ควายไม่ได้”
สรนุชมองอย่างไม่พอใจ และอยู่ดีๆ สรนุชก็ร้องซะดัง “อูย”
อรอนงค์สงสัย “เป็นไรนุช”
“ปวดท้องน่ะ...เอ่อ...เดี๋ยวฉันมานะ”
สรนุชรีบวิ่งออกไปโดยที่ทุกคนยังไม่ได้พูดอะไรเลย ทุกคนมองตามงงๆ ว่าสรนุชเป็นอะไร
“เมื่อคืนคุณนุชกินอะไรผิดสำแดงหรือเปล่าครับ”
เกริกไกรถาม แต่อรอนงค์ส่ายหน้าไม่รู้

ส่วนทางด้านโชคชัยรีบเดินตามชิดชัยกับลูกน้องที่หัวเสียมาติดๆ “เดี๋ยวก่อนซิครับ”
“มีอะไรอีกละนายก”
“ก็ไหนพวกคุณบอกว่าอยากสร้างความสัมพันธ์อันดีกับชาวบ้านที่นี่ไม่ใช่เหรอครับ”
“แล้วนายกเห็นพวกมันมั้ย...หลวงพ่อก็อีกคน” ชิดชัยเซ็ง
“คุณชิดชัย...ระวังปากคุณหน่อย” โชคชัยปราม จนชิดชัยอ่อนลง “ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะคุณคิดจะหาประโยชน์จากทางวัดต่างหาก...ถ้ายังเป็นอย่างนี้อีก...ผมก็ไม่อยากจะเป็นตัวกลางอีกต่อไป”
ชิดชัยไม่แคร์ “ไม่เป็นก็ไม่ต้องเป็น...ไป”
ชิดชัยกับลูกน้องเดินออกไปอย่างหัวเสีย โชคชัยส่ายหน้าเหนื่อยใจ ระหว่างนั้นสรนุชวิ่งเข้ามา
“คุณ...คุณ”
โชคชัยหันมาเห็นสรนุช “ครับ”
“นี่...นายเป็นผู้จัดการที่สาขาสุรินทร์เหรอ”
โชคชัยงง “ห๊า”
“ทำไมทำหน้าอย่างนั้น”
“เอ่อ...ผมเป็น” โชคชัยพยายามอธิบาย
“นี่...รู้ใช่มั้ยว่าฉันเป็นใคร” สรนุชถาม
“รู้ครับ” โชคชัยตอบ
“ดีแล้ว...” เห็นโชคชัยงงก็เข้าใจผิด “งงใช่มั้ยว่าฉันเป็นใคร...ฉันคือ...”
ระหว่างที่สรนุชกำลังจะบอกความจริง เสียงของชาวบ้านก็ดังทักทายขึ้นก่อน
“มาทำอะไรเนี่ยนายก”
“มาหาหลวงพ่อน่ะครับ”
ชาวบ้านยิ้มแล้วโบกไม้โบกมือก่อนจะเดินไป พอโชคชัยหันมาคราวนี้กลับเห็นหน้าของสรนุชงงแทน
“นายก..? นายกอะไร”
“ก็นายกอบต.ไงครับ...ผม...โชคชัย...เป็นนายกองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นแห่งบ้านหนองระบือแห่งนี้ครับ”
สรนุชถึงกับอ้าปากหวอ “เอ่อ...”
“แล้ว..เมื่อกี้คุณบอกว่าคุณเป็นใครน่ะครับ”
“เอ่อ...เอ่อ” สรนุชรู้สึกตัว คิดในใจว่าแย่แล้ว
“ผมรู้ครับว่าคุณเป็นใคร” สรนุชยิ่งตกใจ “คุณคือ...คุณสรนุช...ที่มาถ่ายสารคดีที่สถานีของใจเด็ดใช่มั้ยครับ”
“เอ่อ...คะ...ใช่คะ...” สรนุชแอบเป่าปากฟู่...
สรนุชยิ้มแหยให้โชคชัยแค่ครั้งแรกที่เจอก็ปล่อยไก่ไปตัวเบ้อเริ่ม ดีนะที่ไม่เผยความลับออกไป

ครู่ต่อมาใจเด็ด เกริกไกร และอรอนงค์พากันเดินมาที่รถ เกริกไกรยังสะใจไม่หาย
“แหม...อยากเห็นหน้าไอ้พวกบาคาตี้อีกจริงๆ...ดูซิ...คราวนี้จะกล้าอีกมั้ย”
อรอนงค์ไม่พอใจที่เกริกไกรว่าบริษัทของตน
“ที่สู้ไม่ได้เพราะพวกหมอโกงต่างหาก”
“อ้าว...ทำไมคุณอรพูดอย่างนี้ละครับ”
ระหว่างนั้นสรนุชวิ่งเข้ามา “มาแล้ว...ทำไม...มีอะไรหรือไง”
“ผมนึกว่าคุณเลื่อมใสพระพุทธศาสนาจนยอมบวชชีล้างห้องน้ำวัดไปตลอดชีวิตแล้วซะอีก” ใจเด็ดว่า
“ปากนายเนี่ยกลิ่นคุ้นๆ เหมือนห้องน้ำที่ฉันเข้ามาเมื่อกี้เลยรู้มั้ย”
ใจเด็ดกำลังจะอ้าปากเถียง ระหว่างนั้นเสียงชาวบ้านก็ดังขึ้น
“หัวหน้าใจเด็ด...!”
ทุกคนหันไปก็เห็นชาวบ้านเดินถือของทำบุญเข้ามา แล้วสรนุชกับอรอนงค์ต่างก็อึ้งไปเมื่อเห็นกลุ่มชาวบ้านต่างกรูกันเข้ามากอดใจเด็ด
“โห...คิดถึงหัวหน้าจัง” ป้าคนหนึ่งในกลุ่มยิ้มแย้ม
“อะไรยายม่อม...ก็เจอไอ้เด็ดมันเกือบทุกวันยังคิดถึงอะไรมันอีก” เกริกไกรแซว
“คนเราถ้าไม่เห็นหน้าลูกแค่ครึ่งวันก็คิดถึงใจจะขาดแล้ว...ใช่มั้ยหัวหน้า”
ใจเด็ดยิ้มให้อย่างอบอุ่น “ว่าไงก็ว่าตามกันอยู่แล้ว...” ชาวล้านทุกคนเฮลั่น “แต่ตอนนี้ผมว่าต้องรีบขึ้นไปแล้วละ...เดี๋ยวพระจะฉันเพลก่อนนะ”
“อุ้ย...ตายจริงฉันก็ลืม...งั้นไปก่อนนะหัวหน้า”
ป้าม่อมกับกลุ่มชาวบ้านต่างร่ำลาใจเด็ดก่อนจะรีบเดินไปที่ศาลา ใจเด็ดมองตามด้วยความเคารพนับถือ ใจเด็ดหันมา
“เดี๋ยวพวกคุณรอที่รถก่อนแล้วกัน...เดี๋ยวผมมา”
ใจเด็ดรีบเดินออกไป สรนุชมองตามสงสัย
“ผู้หญิงคนนั้นเป็นแม่หัวหน้าเหรอหมอ”
“ไม่ใช่หรอกครับ...คนที่นี่น่ะต่างนับญาติกับไอ้เด็ดมันหมดแหละ...ก็มันน่ะอาสาทั้งงานบุญงานบวชงานเบียดงานเฉียดตาย...งานวุ่นวายอะไรไอ้เด็ดมันช่วยหมด...แล้วอย่างนี้จะไม่ให้ชาวบ้านรักมันได้เหรอคุณนุช” เกริกไกรร่าย
สรนุชเหยียดปากไม่เชื่อ
“แล้วคุณใจเด็ดไปไหนเหรอคะ” อรอนงค์ถาม
“อ๋อ...ไปไหว้นังสายใจมันน่ะครับ”
สรนุชสงสัย “สายใจ..?”

เวลาเดียวกัน ใจเด็ดยืนอยู่หน้าโกฐิ สีหน้าเศร้านัก ระหว่างนั้นใจเด็ดค่อยๆ หยิบตุ๊กตาไม้รูปควายออกมาก่อนจะค่อยๆ ก้มลงวางไปที่หน้าโกฐิ เห็นว่ามีตุ๊กตาไม้รูปควายเล็กๆ วางกันอยู่เต็ม
“ฉันกลัวว่าแกจะเหงาเลยทำเพื่อนมาให้นะสายใจ”
ระหว่างนั้นเรื่องราวสมัยเด็กก็ผุดขึ้นมาในห้วงความคิดของใจเด็ด

เหตุการณ์วันนั้น ใจจอมกับหทัยกำลังช่วยกันจับเด็กชายใจเด็ดที่พยายามดิ้นให้หลุดจากการจับ
“สายใจ...สายใจ” ใจเด็ดตะโกนลั่น
คนกลุ่มหนึ่งกำลังต้อนควายขึ้นรถบรรทุก สายใจคือควายตัวนั้น มันหันกลับมามองเด็กชายใจเด็ดด้วยแววตาอาลัย
“พ่อ...พวกเขาจะพาสายใจไปไหน...พ่อ”
ใจจอมกับหทัยนิ่งเงียบ...ไม่มีคำตอบให้กับลูก เด็กชายใจเด็ดหันมองไปที่สายใจอีกครั้งก่อนที่เขาจะอึ้งไปเมื่อเห็นว่าสายใจกำลังร้องไห้ ถึงหทัยไม่บอกแต่แค่เห็นลักษณะของคนงานก็รู้ว่ามาจากโรงฆ่าสัตว์
รถบรรทุกค่อยๆ เคลื่อนตัวออก สองสายตาระหว่างเด็กน้อยกับควายสบตากันจนลับตา
“สายใจ..!!!” หันมาทางหทัย “แม่...พวกเขาพาสายใจไปไหน”
หทัยไม่รู้จะพูดยังไง ระหว่างนั้นก็มีเสียงปู่ดังขึ้นมา
“ที่กรุงเทพฯ เราเลี้ยงมันไม่ได้”
ใจจอมกับหทัยหันไปก็เห็นปู่เดินเข้ามา
“พ่อ...” ใจจอมอุทาน
“ทำไมไม่ได้...ก็ไหนบอกว่าบ้านใหม่เราที่กรุงเทพฯมันใหญ่ไง” ใจเด็ดไม่ยอมท่าเดียว
“บอกว่าไม่ได้ก็ไม่ได้”
ด.ช.ใจเด็ดสะอึกที่โดนปู่ตวาดก่อนจะสะบัดตัวออกจากการกอดของหทัยก่อนจะวิ่งตามสายใจ ปากก็กู่ก้องร้องตะโกน
“สายใจ...สายใจ”


นึกมาถึงตรงนี้ใจเด็ดกำลังปักธูปลงที่โกฐิเบื้องหน้า  เยื้องไปทางด้านหลังไม่ไกลนัก เกริกไกร สรนุชและอรอนงค์ยืนแอบดูใจเด็ดอยู่ที่มุมหนึ่ง
“เป็นธรรมดาที่ไอ้เด็ดมันจะช็อก...เพราะสายใจก็เหมือนพี่น้องที่โตมาด้วยกันตั้งแต่เกิด”
สรนุชกับอรอนงค์ต่างนิ่งเงียบไปเมื่อได้รู้ความจริง
“ตั้งแต่นั้นไอ้เด็ดมันก็จะช่วยควายทุกตัวที่ช่วยได้...เพราะทดแทนที่ตอนนั้นมันไม่สามารถช่วยสายใจได้”

ทุกคนมองไปที่ใจเด็ดด้วยความรู้สึกหดหู่ สรนุชเองก็เริ่มรู้สึกแปลกๆ ในใจขึ้นมา เมื่อได้รู้ความจริง

เหตุการณ์ที่สถานีบำรุงพันธุ์สัตว์ เจนจิรากำลังนั่งทำงานอยู่ในสำนักงาน เจนจิรากำลังจดบันทึกข้อมูลของลูกควาย ระหว่างนั้นสุบินเปิดประตูเข้ามา
“อ้าว...”
“ทำไมต้องตกใจด้วยคะ” เจนจิราสงสัย
“ก็ผมไม่เห็นใครตั้งแต่เช้า...รู้มั้ยครับว่าไปไหนกันหมด”
“นั่นซิคะ...ฉันเองก็ยังไม่เจอใครเหมือนกัน”
เจนจิราก้มหน้าลงทำงานต่อ
“เอ่อ...แล้ววันนี้ไม่ต้องไปจับลูกควายอีกใช่มั้ยครับ”
“ทำไมคะ...หรือว่าคุณสุบินอยากจับ”
สุบินรีบบอก “โน...” เจนจิราอมยิ้ม “โนที่ผมพูดนี่ไม่ได้แปลว่าไม่นะครับ...ผมหมายถึงหัวผมยังโนอยู่เลย”
เจนจิราขำๆ “ไม่หรอกค่ะ...วันนี้ฉันต้องจดข้อมูลให้ตรงกับเลขที่เราตอกไป” แล้วเจนจิราก็พูดอย่างแปลกใจ “อืม...หนึ่งสองห้าศูนย์นี่ลูกใครน้า”
เจนจิราลุกขึ้นก่อนจะมองไปที่ชั้นวางแฟ้มที่เรียงกันอยู่เต็มตู้ “นั่นไง”
เจนจิราค่อยๆ ปีนเก้าอี้ขึ้นไปเพื่อหยิบแฟ้ม แต่เพราะมันสูงเกินเอื้อมทำให้เก้าอี้ที่เธอยืนเสียหลัก !!!
“ระวัง” สุบินร้องเตือน
แต่ไม่ทันซะแล้วเมื่อร่างของเจนจิราร่วงลงมา
“ว้ายยย”
ไวเท่าความคิดสุบินพุ่งเข้ามารับร่างของเจนจิราเอาไว้ได้ทัน สุบินกับเจนจิราต่างอึ้งมองหน้ากันและกัน
ระหว่างที่ทั้งคู่ยังไม่ทันได้สำรวจความรู้สึก อยู่ๆ ภิรมย์ก็เปิดประตูพรวด ! เข้ามา
“คุณเจน...คุณเจน”
เจนจิรากับสุบินพอเห็นภิรมย์เข้ามาต่างก็ผละออกจากกันทันที
“มีอะไร”
“ไอ้เด็ดครับ...ไอ้จะเด็ดท่าทางจะแย่ครับ”
“อะไรนะ” เจนจิราได้ยินอย่างนั้นก็รีบพุ่งออกไปทันที
สุบินมองตามก่อนจะรีบตามออกไปเช่นกัน

เจนจิรากับภิรมย์รีบวิ่งเข้ามาหาจะเด็ด ควายพ่อพันธุ์ตัวใหญ่ที่นอนอ้าปากพะงาบๆกับพื้น โดยมีสมหญิงคอยดูแลอยู่ข้าง
“หัวหน้าอยู่ไหน”
“เห็นบอกว่าออกไปวัดตั้งแต่เช้าน่ะค่ะ” สมหญิงบอก
“แล้วหมอละ”
“ก็ออกไปกับหัวหน้าค่ะ”
เจนจิราสีหน้าเครียดลงทันที
สุบินวิ่งตามเข้ามา ก่อนที่สุบินจะชะงักไปเมื่อมองเห็นป้ายชื่อหราว่า คอกพ่อพันธุ์
“อยู่ตรงนี้เอง”
สุบินหันมองไปรอบๆ พยายามจำทิศทางก่อนจะรีบเดินเข้าไปภายในคอก สุบินเข้ามาก็เห็นเจนจิรากำลังดูแลควายจะเด็ดที่ล้มนอนอยู่กับพื้น
“ควายเป็นไรครับ” สุบินถาม
เจนจิราพยายามสำรวจอาการของจะเด็ด
“ไม่ทราบเหมือนกันต้องให้หมอมาดู...หัวหน้าก็ไม่อยู่หมอก็ไม่อยู่...ฮึ่ยย์...ทำไมต้องไปกันวันนี้ด้วย”
ระหว่างนั้นเสียงรถดังเข้ามา ทุกคนหันมองหน้ากันด้วยความดีใจ ภิรมย์เอ่ยขึ้น
“เสียงรถหัวหน้านี่ครับ”

ใจเด็ด เกริกไกร สรนุชและอรอนงค์เดินมาตามทาง ต่างคนต่างก็นิ่งเงียบหลังจากได้รู้ความหลังของใจเด็ด
“เป็นไร...หรือว่าความหลังตานั่นแล้วเกิดซาบซึ้งขึ้นมากระทันหันจ๊ะ”
“แต่ฉันว่ามันน่าเศร้ามากกว่านะ...ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงได้รักควายมากขนาดนี้”
สรนุชเองนิ่งไป แต่ก็รีบเปลี่ยนความรู้สึกก่อนที่จะมีความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้นในใจ
“หยุด...พอได้แล้วฉันได้ยินเรื่องนายนั่นมามากพอแล้ว”
อรอนงค์นิ่งไปก่อนจะลองเลียบๆ เคียงๆ ถามสรนุช
“เอ่อ...แล้วตอนนี้เราก็รู้ว่าความหลังเขาเป็นยังไงแล้ว...จะเอาไงต่อ”
สรนุชกระซิบตอบ “ชุบชีวิตแม่สายใจขึ้นมามั้ง”
“ห๊า!”
อรอนงค์ตกใจ เลยทำให้ใจเด็ดกับเกริกไกรหันมอง สรนุชกับอรอนงค์ต่างยิ้มให้ทั้งคู่แบบไม่ได้นัดหมาย
“หาอะไรเหรอครับคุณอร”
“เอ่อ...เปล่าค่ะ...คือ” อรอนงค์อึกอัก
สรนุชได้โอกาสปลีกตัว “คือ...เราหาของไม่เจอน่ะค่ะ...ว่าจะกลับไปหาที่เรือนรับรองน่ะค่ะ”
“อะไรเหรอครับ...ให้ผมช่วยหามั้ยครับ”
ใจเด็ดสวนขึ้นมาทันที “ว่างมากหรือไงหมอ...”
“เอ้า...ไม่ว่าง” เกริกไกรสบตาอรอนงค์ “แต่อยากช่วย”
ระหว่างนั้นเจนจิราวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา
“หัวหน้าคะ...จะเด็ดล้มค่ะ”
“อะไรนะ”
ใจเด็ดกับเกริกไกรได้ยินอย่างนั้นก็ตกใจก่อนที่ทั้งคู่จะรีบวิ่งนำออกไปทันที สรนุชกับอรอนงค์มองตามด้วยความสงสัยก่อนจะรีบวิ่งตามไปเช่นกัน

สุบิน ภิรมย์และสมหญิงกำลังช่วยกันดูแลเจ้าจะเด็ดที่นอนอยู่กับพื้น ใจเด็ด เกริกไกร และเจนจิรา วิ่งเข้ามา
“ไอ้เด็ด...ไอ้เด็ด” ใจเด็ดร้องลั่น
สุบิน ภิรมย์ สมหญิงพอเห็นใจเด็ดกับเกริกไกรวิ่งเข้ามาก็รีบหลีกทาง ใจเด็ดกับเกริกไกรรีบดูจะเด็ดอย่างร้อนใจ
“ทำไมถึงล้ม”
“ไม่รู้เหมือนกันค่ะหัวหน้า...เมื่อเช้าสมหญิงเอาหญ้ามาให้มันก็เห็นมันล้มอยู่อย่างนี้แล้วค่ะ”
ใจเด็ดหันไปถามเกริกไกร “เป็นไงหมอ”
เกริกไกรไม่ตอบเพราะกำลังใช้มือคลำไปที่ท้องที่พองใหญ่ก่อนจะเอาหูแนบตามลงไป
ระหว่างนั้นสรนุช และอรอนงค์ตามเข้ามาแล้วรีบถามสุบิน
“มีเรื่องอะไร”
“มานี่”
สุบินรีบลากสรนุชกับอรอนงค์ออกไป ทุกคนไม่ได้สนใจว่าทั้งสามจะทำอะไรเพราะมัววุ่นวายกับจะเด็ดนั่นเอง

สุบินลากสรนุชกับอรอนงค์ห่างออกมาจากคอก
“มีอะไร”
สุบินมองไปทางคอกพ่อพันธุ์เมื่อเห็นว่าระยะปลอดภัยจึงรีบบอกข้อมูล
“แกจำเรื่องน้ำเชื้อพิเศษนั่นได้มั้ย”
“เออ...ทำไม” สรนุชถามส่งๆ
สุบินฟังน้ำเสียงแล้วขัดใจนัก
“แกนี่ฉลาดเรื่องอื่นทำไมโง่เรื่องนี้วะ...น้ำเชื้อต้องมาจากไหน...ต้องมาจากควายตัวผู้ใช่มั้ย”
“ฉันว่าแกอยากพูดอะไรก็รีบพูดเถอะ”
“นี่ไงที่ฉันกำลังจะบอก...เธอสองคนไม่สังเกตเหรอว่าตั้งแต่มาที่นี่...เราเห็นมาหมดทุกคอกแล้ว...ยกเว้นคอกพ่อพันธุ์นี่” สุบินบอก
สรนุชคิดแล้วเห็นจริงตามสุบินว่า “ก็จริงนะ”
“ที่พวกเขาไม่อยากให้เราเห็นแสดงว่าต้องมีความลับอะไรซ่อนอยู่”
สรนุชฟังแล้วถึงบางอ้อ “แสดงว่า...น้ำเชื้อพิเศษนั่นต้องมาจากควายตัวใดตัวหนึ่งที่อยู่ในนั้น”
สุบินพยักหน้าให้สรนุช สรนุชนิ่งไปอย่างครุ่นคิด


นายกอบต.โชคชัย อยู่ที่บ้านตัวเอง กำลังบอกกับชาวบ้านที่มาเซ็นชื่อ
“ลงชื่อกันไว้ก่อน...แล้วเดี๋ยวผมจะเอารายชื่อพร้อมกับเรื่องขอทำสะพานส่งไปทางปลัดอีกที”
“เรากำลังจะมีสะพานใช้แล้วใช่มั้ยนายก” ชาวบ้านคนหนึ่งถาม
“มันก็พูดลำบาก...แต่ยังไงผมรู้สะพานนั่นมันจำเป็นสำหรับพวกเรา...ผมคงจะผลักดันให้ถึงที่สุด”
ชาวบ้านต่างก็พยักหน้าก่อนจะขอตัวกันกลับ โชคชัยลุกขึ้นมาส่งชาวบ้าน ระหว่างนั้นโชคชัยก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นผู้พันชาญณรงค์เดินเข้ามา
“ผู้พัน...”
“หวัดดีนายก...นายกพอมีเวลาให้ผมคุยเรื่องสำคัญซักแป๊ปมั้ย”
โชคชัยขมวดคิ้วด้วยความสงสัยว่าเรื่องอะไร

โชคชัยแปลกใจ “ผู้พันอยากได้ที่ของตาน้อยเหรอครับ”
“ผมเห็นว่าที่ตรงนั้นมันสวย...แล้วไอ้น้อยมันก็ไม่ได้ทำอะไร...ผมก็เลยอยากให้นายกเป็นพ่อสื่อให้หน่อย”
“แล้วผู้พันจะเอาไปทำอะไรครับ”
“ผมจะเอามาทำนาของผมไง..แต่นาของผมจะทำด้วยเครื่องมือการเกษตรสมัยใหม่ทั้งหมด...ให้ชาวบ้านเห็นกันเลยว่ายังไงของของผมก็ดีกว่าไอ้พวกควายนั่น”
โชคชัยนิ่งไปอย่างไตร่ตรอง
“เห็นทีว่าผู้พันคงต้องมองหาที่แปลงใหม่แล้วละครับ”
“ทำไม...มีใครซื้อไปแล้วเหรอไง”
“ครับ...ตาน้อยเขาขายให้ใจเด็ดไปแล้ว” โชคชัยบอก
“ว่าไงนะ!” ชัยณรงค์ยิ่งแค้น “ไอ้นี่...ไอ้มารขวางทางรวย..” หันไปพูดกับโชคชัยต่อ “ไม่รู้...ยังไงนายกก็ต้องทำให้ไอ้น้อยมันขายที่ให้ผมให้ได้...ไปบอกมันว่าผมให้ราคามากกว่าไอ้เด็ดมันสองเท่า”
โชคชัยถอนหายใจ “จะกี่เท่าตาน้อยก็ไม่ขายให้ผู้พันหรอกครับ...ที่ตาน้อยมันขายให้ใจเด็ดเขาก็เป็นเพราะเขารักใคร่นับถือกันมานาน...เรื่องอย่างนี้ผมคงไปบังคับเขาไม่ได้”
“ไม่จริง ! ผมไม่เชื่อว่าใครมันจะกล้าปฏิเสธเงิน”

ชาญณรงค์ตบโต๊ะเสียงดัง โชคชัยหน้านิ่วลงด้วยความเครียด

อ่านต่อหน้า 4




 กระบือบาล  ตอนที่ 3 (ต่อ) 

ใจเด็ดร้อนใจอยากฟังการวิเคราะห์อาการจากเกริกไกร

“เป็นไงไอ้หมอ”
เกริกไกรผละจากจะเด็ดขึ้นมาสีหน้าเครียด
“ท้องอืดน่ะ...ตอนนี้คงต้องลองให้มันกินพาราฟีนดูก่อน...ถ้าไม่หายอาจจะต้องเจาะท้อง”
“เจาะท้องเลยเหรอหมอ” เจนจิราตกใจ
“ใช่...แต่เดี๋ยวฉันจะลองล้วงเข้าไปดูก่อนว่ามันกินอะไรผิดเข้าไปหรือเปล่า...” เกริกไกรรู้ว่าใจเด็ดเป็นกังวล “เป็นไร...ฉันเคยรักษาควายท้องอืดมาตั้งเท่าไหร่แล้ว...ไปๆ...แกออกไปรอข้างนอกก่อนดีกว่า”
“มีใครเปลี่ยนอาหารหรือเปล่า”
“เปล่านะคะ...สมหญิงก็ให้มันกินหญ้าเหมือนทุกวัน” สมหญิงรีบบอก
“แล้วเอาหญ้าจากไหน”
“ก็หญ้าที่หัวหน้าให้คุณนุชตัดเมื่อวานไงคะ”
ใจเด็ดเริ่มเอะใจก่อนจะรีบเดินไปดูที่รางอาหารของจะเด็ด ใจเด็ดคุ้ยดูกองหญ้าแต่แล้วใจเด็ดก็ชักสีหน้าทันที เมื่อเห็นใบไม้อย่างอื่นปะปนอยู่ในหญ้า
ใจเด็ดนิ่วหน้า สีหน้าเครียดขึ้นมาทันที

ในขณะที่สรนุชเดินนำสุบินกับอรอนงค์มาที่คอก สุบินกับอรอนงค์ดึงสรนุชเอาไว้
“ยัยนุช...มันไม่ประเจิดประเจ้อไปเหรอ”
“ไม่หรอก...นี่แหละโอกาสดีแล้ว...ตอนนี้พวกนั้นคงวุ่นอยู่กับควาย”
ระหว่างนั้นใจเด็ดเดินตรงเข้ามา สุบินกับอรอนงค์เห็นก็พยายามสะกิดเรียกสรนุชเอาไว้
“นุช” อรอนงค์เรียกเพื่อจะบอก
สรนุชยังพ่นแผนการที่คิดไว้อยู่ “แล้วเราก็แกล้งทำเป็นว่าเป็นห่วงควาย”
อรอนงค์เรียกอีก “นุช”
“ไม่ต้องเร่ง...ฉันกำลังจะพูดต่อนี่ไง...แล้วพวกแกสองก็ช่วยกันดูว่าควายตัวไหนที่มันดูไม่เหมือนควายตัวอื่น”
ระหว่างนั้นใจเด็ดเข้ามายืนทางด้านหลังของสรนุช แต่ไม่ทันได้ยินแผนการ อรอนงค์กับสุบินเห็นอย่างนั้นก็กระโดดเข้าไปปิดปากพร้อมกัน สรนุชส่งเสียงอู้อี้ๆ
แล้วสุบินก็จับหน้าสรนุชหันไปทางใจเด็ด สรนุชเห็นใจเด็ดก็ตกใจ
“อุ้ย...เอ่อ...พวกเราก็จะเข้าไปดูอยู่เลยว่าควายคุณเป็นไงบ้าง”
ใจเด็ดฉะทันที “ทำไมคุณไม่ดูหญ้าที่ตัดก่อนว่ามันมีอะไรบ้าง”
สรนุชถึงกับงงที่อยู่ๆ ก็โดนใจเด็ดซัด เช่นเดียวกับสุบินและอรอนงค์ เจนจิรารีบเข้ามาพูด
“หัวหน้าใจเย็นก่อนซิคะ...คุณนุชเธออาจจะไม่รู้ก็ได้”
“รู้..? รู้อะไร” สรนุชสงสัย
“ก็รู้ว่าในหญ้าที่คุณตัดเก็บไว้มันมีลูกกระโดนติดมา” ใจเด็ดบอก
“อ๋อ...นี่นายกำลังจะบอกว่าที่ควายนายเป็นอย่างนี้เพราะฉันใช่มั้ย...ถ้าอย่างนั้นนายก็ผิดเป็นสองเท่าเพราะนายเป็นคนสั่งให้ฉันทำ”
“เรื่องผมไม่เถียง...แต่คุณก็น่าจะจิตสำนึกรู้ว่าอันไหนที่สัตว์มันกินได้กินไม่ได้”
“ไม่รู้...ฉันไม่ได้เรียนสัตวบาลมา...โอเค๊”
ใจเด็ดไม่อยากต่อล้อต่อเถียง “ผมไม่สน...ถ้าจะเด็ดเป็นอะไรไปละก็...ผมเอาเรื่องคุณถึงที่สุดแน่”
ระหว่างนั้นเสียงมือถือของใจเด็ดดังขึ้น ใจเด็ดมองเบอร์ก่อนจะรับสาย
“สวัสดีครับนายก” ใจเด็ดฟังแล้วตกใจ “งั้นเหรอครับ...ได้...ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้เลย” หันไปบอกกับเจนจิรา “ฝากบอกหมอด้วยว่าถ้ามีจะเด็ดทำท่าไม่ดีให้รีบโทร.บอกฉันด่วน”
“คะ...เอ่อ...แล้ว...”
เจนจิรายังถามไม่ทันจบประโยคก็เห็นใจเด็ดรีบเดินออกไปทันทีเหมือนมีเรื่องด่วน เจนจิราถอนหายใจ
“แค่ควายท้องอืดทำไมหัวหน้าคุณต้องโกรธขนาดนี้ด้วย”
“ใช่...หรือว่าไอ้เจ้าจะเด็ดมันมีอะไรพิเศษเหรอคะ”
สรนุชได้โอกาสเลยยิงตรงเข้าประเด็น เจนจิรานิ่งไม่แสดงอาการอะไร
“ไม่มีอะไรหรอกคะ...เวลาควายไม่สบาย...หัวหน้าก็เป็นอย่างนี้ทุกที...ยังไงก็ต้องขอโทษแทนหัวหน้าด้วยนะคะ”
เจนจิราพูดจบแล้วเดินออกไป สุบินกับอรอนงค์รีบเข้ามาถาม
“ทำไม...เธอสงสัยว่ามันจะเป็นจะเด็ดหรือไง”
“เปล่า...ฉันแค่อยากจะมั่นใจว่ามันมีควายตัวที่มีน้ำเชื้อพิเศษอยู่จริงๆ”
“แล้วแกจะเอาความมั่นใจมาจากไหน...ถามไปก็ไม่มีใครบอกแกหรอก”
“เรื่องนั้นมันไม่เกินมือสรนุชอยู่แล้ว”
สรนุชหรี่ตายิ้มเจ้าเล่ห์วาดแผนการในหัว

เวลานั้นสมหญิงกำลังนั่งตำส้มตำอยู่ที่แคร่ใต้ต้นไม้
“ถ้าเราจะดูควายตัวผู้ก็ให้ดูที่รูปร่างเป็นอย่างแรกก่อนคะคุณ...คือดูๆ แล้วมันจะต้องสมส่วน...บึกบึน...หน้าอกกว้าง...มีรูปตัววี...โคนหางใหญ่...หางยาวเลยข้อพับ...ปลายหางเป็นพวงสวยงาม...คุณถามทำไมเหรอคะ” สมหญิงถามย้อนกลับ
สรนุชพยายามนั่งตีสนิทอยู่กับสมหญิง
“อ๋อ...ก็เป็นข้อมูลในการเขียนบทสารคดีไง...เอ่อ...แล้วอย่างจะเด็ดนี่ถือว่าเป็นควายสวยมั้ย”
“ยิ่งกว่าสวยเลยคะคุณขา...ไอ้ตัวนี้น่ะเคยชนะการประกวดระดับประเทศมาแล้วนะ...เอ่อ...คุณกินปลาแดกเป็นมั้ยคะ” สมหญิงถาม
สรนุชทำหน้าเจื่อนแต่ต้องเล่นละคร “แซบอีหลีน้อ...เยอะๆ เลยก็ได้จ้ะ...เอ่อ...แต่ฉันไม่เห็นว่าหัวหน้าคุณจะใช้งานจะเด็ดอะไรเลย...หัวหน้าคุณกลัวควายเหนื่อยเหรอ”
“อูย...ใครบอกล่ะคะ...ไอ้จะเด็ดนี่เหนื่อยยิ่งกว่าไถนาอีกนะคะ...วันๆ ไม่ทำอะไรนอกจาก” ทำท่าตีมือใส่กัน “ฮึซๆ กับตัวเมียอย่างเดียว”
“เหรอ...แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าตัวไหนเหมาะสำหรับเป็นพ่อพันธุ์” สรนุชซัก
“อยากรู้จริงๆ เหรอคะ...จะพูดไปก็กระดากปาก...คุณเอาหูมาดีกว่าค่ะ”
สรนุชค่อยๆ ยื่นหูให้สมหญิงกระซิบกระซาบ สรนุชทำหน้าเจื่อนลงเล็กน้อย

ด้านภิรมย์กำลังอาบน้ำให้ควาย เจอสรนุชถามอีกราย
“ที่นี่เขานอนกันดึกครับคุณ” ภิรมย์บอก
สรนุชหน้าเครียด “เอ่อ...ตีอะไรเหรอ”
“เฮ้ย ! ตีอะไรกันคุณ...สามทุ่ม ! สามทุ่มนี่ก็ถือว่าดึกสุดๆ แล้ว”
สรนุชดีใจขึ้นมาทันที แล้วจึงถามต่อ “แล้ววันนั้นฉันเห็นหัวหน้าคุณออกมาดูควายตอนกลางคืนด้วยเหรอคะ”
“ใช่ครับ...หัวหน้าชอบออกมาเดินเล่นดูไอ้พวกนี้น่ะครับ”
สรนุชนิ่งไปรับทราบข้อมูล แล้วตัดสินใจถาม
“แล้วหัวหน้าคุณชอบออกมาเดินเล่นตอนกี่โมง”

ชาญณรงค์อยู่ที่บ้านตาน้อย หันหน้ามาด้วยสีหน้าเข้มเหี้ยม ขณะถาม
“แกไม่ขายให้ฉันเหรอ”
ตาน้อยก้มหน้าก้มตาด้วยความกลัว
“ผมขอโทษครับผู้พัน...ผมขายให้หัวหน้าใจเด็ดไปแล้ว”
“แกก็ยกเลิกสัญญาซิวะ”
ชาญณรงค์ปราดเข้าไปกระชากคอเสื้อตาน้อย อบต.โชคชัยรีบเข้ามาห้าม
“ผู้พัน...ไหนผู้พันบอกว่าจะมาคุยกันดีๆ ไง...ถ้าเป็นอย่างนี้ผมว่าผู้พันกลับไปดีกว่า”
“แล้วผมพูดไม่ดีตรงไหน...เนี่ยดีแล้ว...เพราะปกติผมจะใช้ลูกปืนพูด”
ระหว่างนั้นมีเสียงของใจเด็ดดังขึ้น
“ผู้พัน”
ทุกคนหันไปก่อนจะเห็นใจเด็ดเดินเข้ามา
“ใจเด็ด”
“ผู้พันจะขู่ตาน้อยไปก็ไม่มีประโยชน์...เพราะที่ผืนนี้เป็นของผมแล้ว” ใจเด็ดว่า
ชาญณรงค์โมโห “แก...ทำไมแกต้องคอยขวางทางฉันตลอด”
“ผมไม่เคยขวางทางใคร...ที่ผืนนี้ผมซื้อมาก่อนที่ผู้พันอยากจะได้”
“แต่ฉันเป็นคนที่อยากได้อะไรต้องได้” ชาญณรงค์บอก
“ถ้าอย่างนั้น ครั้งนี้ผมคงต้องทำให้ผู้พันผิดหวัง”
ชาญณรงค์โกรธจนตัวสั่น
“ไอ้ใจเด็ด...แกจำคำพูดแกไว้...ถ้าฉันไม่ได้คนอื่นก็ต้องไม่ได้”
“ผู้พัน...ผมถือว่าคำพูดเมื่อกี้เป็นคำขู่...ถ้าใจเด็ดเป็นอะไรไป...ผู้พันคือผู้ต้องสงสัยเป็นคนแรก” โชคชัยแทรกขึ้นมา
“นี่นายกก็เข้าข้างมันเหรอ” ชาญณรงค์หงุดหงิด
“ผมไม่ได้เข้าข้างใคร...ผมเข้าข้างความถูกต้อง...ผู้พันกลับไปเถอะครับ...ยังไงเรื่องนี้ก็ไม่มีทางเป็นไปได้”
“ได้...แล้วพวกแกจะรู้ว่าเล่นผิดคน”
ชาญณรงค์ขู่แล้วเดินออกไปอย่างหัวเสีย ใจเด็ดเข้ามาหาตาน้อย
“ไม่ต้องกลัวนะตา...ถ้ามีเรื่องอะไรไปหาผมได้ตลอดเวลา” ใจเด็ดหันมาพูดกับโชคชัย “ขอบคุณมากนะนายก”
โชคชัยตบบ่าใจเด็ดแทนคำตอบว่าไม่เป็นไร
ในขณะที่ใจเด็ดหน้าเครียดขึ้นมา เพราะเขารู้ว่าชาญณรงค์ต้องกลับมาเอาคืนอีกในไม่ช้า

เวลาเดียวกันนั้น อรอนงค์กำลังยืนซวนเซไปมา ระหว่างนั้นได้ยินเสียงของสุบินดังขึ้น
“ไม่ใช่...ขึ้นมาอีก”
ที่แท้อรอนงค์กำลังเหยียบหลังให้สุบินอยู่ ในขณะที่สรนุชนั่งใช้ความคิดอยู่ด้วย
“นี่แกให้ฉันเหยียบอย่างนี้ไม่กลัวเสียศักดิ์ศรีหรือไง” อรอนงค์ถามเย้ย
“โอ๊ย...ฉันกลัวแล้วจะให้เหยียบเหรอ...ขึ้นมาอีก...อีกนิด” สุบินบอก
อรอนงค์ค่อยๆ เดินขึ้นมาบนหลังของสุบิน แต่เพราะอรอนงค์ทรงตัวไม่อยู่เลยทำให้อรอนงค์เสียหลักก่อนจะเหยียบเข้าไปที่ตรงก้นส่งผลถึงจุดยุทธศาสตร์ทันที
“อ้าก” สุบินร้องลั่น
“ขอโทษ..ขอโทษ”
จู่ๆ สรนุชก็ส่งเสียงแทรกขึ้น “คืนนี้..! ต้องคืนนี้เท่านั้น”
สุบินยังจุก หน้าเขียวไม่หาย หันมาถาม “อะไรของแกยัยนุช”
“เราต้องหาควายพ่อพันธุ์ให้เจอภายในคืนนี้” สรนุชบอกซีเรียส
“แล้วแกรู้เหรอว่ามันเป็นตัวไหน”
“ถ้ามันจำเป็น...ฉันก็ต้องทำทุกตัว”
“ทำอะไร” อรอนงค์สงสัย
“ทำหมันพวกมันไง”
“เฮ้ย ! ไอ้โหด...ไอ้ซาดิสม์...นี่...ต้องอย่างนี้เขาถึงเรียกว่าหยามศักดิ์ศรีลูกผู้ชายอย่างแรง” สุบินว่า
“นั่นซินุช...มันทารุณสัตว์น่ะ”
สรนุชเมื่อเห็นว่าเพื่อนไม่เห็นด้วยก็ต้องหาทางใหม่
“ฉันก็พูดไปอย่างนั้นแหละ...แกรู้เหรอว่าทำหมันควายยังไง”
“ถามทำไม...แกจะเอาไปทำให้แฟนแกเหรอ” สุบินแซว
“ปากเหรอที่พูดน่ะ” สุบินฉุน
“อ้าว...จริงนะ...ถ้าแกจะทำหมันควายนี่...ฉันว่าแกทำให้แฟนแกดีกว่า” สุบินเล่นไม่เลิก
“ไอ้นี่...ไม่หยุดใช่มั้ยแก”
“ฉันเตือนด้วยความหวังดีนะ...จะบอกให้ว่านายวัตน่ะหื่นยิ่งกว่าควายพ่อพันธุ์พวกนี้ไม่รู้กี่เท่า”
สุบินพูดแล้วก็ลุกขึ้นยังนั่งกุมเป้าอยู่แต่ก็ค่อยยังชั่วขึ้นแล้ว แต่แล้วสรนุชที่โกรธอยู่ก็พุ่งเข้ามาแล้วเหยียบซ้ำ
“ไอ้บ้า...เรื่องไรเอาวัตไปเทียบกับควายพวกนั้น”
“เฮ้ย! ...ฉันพูดเล่น”
“ไม่ต้องเลย...มานี่...ฉันทำหมันให้แกดีกว่า”
สุบินรีบวิ่งจู๊ดออกไปเพราะเห็นสรนุชโกรธจริง
“อย่าไปถือมันเลย...ปากมันก็อย่างนี้แหละ”
สรนุชนึกหวั่นใจจึงหันไปถามอรอนงค์ “อร...แกว่าวัตเขาเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า”
อรอนงค์ไม่อยากให้เพื่อนคิดมาก “ไม่หรอกนุช...แกไม่เชื่อใจวัตเขาหรือไง”
สรนุชนิ่งไปแม้ว่าจะดูไม่มีอาการแต่ภายในกลับร้อนรุ่มขึ้นมา

สรนุชเปิดประตูเข้ามาในสำนักงาน กวาดตามองไปรอบๆ ไม่เห็นใครก็ลองเรียกดู
“สวัสดีค่ะ...มีใครอยู่มั้ยคะ”
เงียบ...ไม่มีเสียงใดๆ ตอบกลับมา สรนุชได้ทีจึงค่อยๆ ย่องเข้ามาที่โทรศัพท์สำนักงาน
สรนุชมองไปนอกหน้าต่างอีกที “มีใครอยู่มั้ยคะ”
พอแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่จริงๆ สรนุชก็ค่อยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทร.

มือถือของณวัตดังขึ้น ณวัตหันมองก่อนจะหยิบมาดู
ณวัตแปลกใจ “เบอร์ต่างจังหวัด...” ลองกดรับสาย “ฮัลโหล” พอฟังแล้วตกใจเล็กน้อย “นุช”

สรนุชนั่งอยู่ใต้โต๊ะแอบคุยโทรศัพท์
“มือถือนุชมันเสียตั้งแต่วันแรกที่มาเลย”
ณวัตเป่าปากอย่างโล่งอก
“วัตก็คิดว่านุชเป็นอะไรหรือเปล่า...โทรไปก็ติดต่อไม่ได้...รู้มั้ยว่าวัตเป็นห่วงนุชแค่ไหน”
สรนุชแอบอมยิ้ม “จริงเหรอ”
“จริงซิ...นี่วัตบอกพ่อว่าจะไปสุรินทร์เลยนะครับ”
สรนุชยิ่งดีใจใหญ่ “ไม่ต้องหรอกค่ะ...อีกวันสองวันนุชก็กลับแล้ว...วัต..นุชมีเวลาไม่มาก...แต่นุชฝากบอกพ่อคุณหน่อยว่านุชพบความลับของไอ้พวกกระบือบาลแล้ว”
“ความลับ..? ความลับอะไร” ณวัตงง
เวลาเดียวกันนั้นใจเด็ดเปิดประตูเข้ามาภายในสำนักงาน สรนุชที่มัวแต่จดจ่อกับโทรศัพท์จึงไม่รู้ตัว
“ตอนนี้นุชยังบอกไม่ได้...แต่กลับไปนุชจะมีข่าวดีให้กับบาคาตี้แน่ๆ”
ด้านใจเด็ดเดินมาที่โต๊ะก่อนจะเห็นสายโทรศัพท์ถูกดึงออกไป ใจเด็ดมองไล่ตามสายโทรศัพท์ไปก็เห็นสรนุชแอบคุยโทรศัพท์อยู่
“เอ่อ...วัตคิดถึงนุชมั้ย” สรนุชยิ้มแก้มปริ “ค่ะ...นุชก็คิดถึงวัตค่ะ”
สรนุชยิ้มก่อนจะลุกขึ้นเพื่อวางโทรศัพท์ ทันใดนั้นสรนุชก็ใจหายวูบเมื่อเห็นใจเด็ดยืนอยู่
“ไม่น่าเชื่อ...”
สรนุชใจหายวาบ...คิดในใจว่าตานี่ต้องรู้แน่ๆ ว่าตนมาจากบาคาตี้
ใจเด็ดพูดต่อ “ว่าคนอย่างคุณจะมีแฟน”
สรนุชผิดคาด “ห๊า” จนเมื่อตั้งสติได้ “เอ่อ...ทำไม...ผู้หญิงที่ทั้งสาวทั้งสวยอย่างฉันจะมีแฟนมันแปลกตรงไหน”
“คุณอาจจะไม่แปลก...แต่คนที่แปลกคือแฟนคุณต่างหาก...ที่ชอบผู้หญิงอย่างคุณ” ใจเด็ดหยัน
“อ้าว...นี่...นายอย่ายุ่งเรื่องส่วนตัวของฉันได้มั้ย”
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็อย่าเอาเรื่องส่วนตัวของคุณมายุ่งเกี่ยวกับทรัพย์สินของราชการ...เพราะผมมีสิทธิจับคุณติดคุกข้อหาบุกรุกสถานที่ราชการได้”
“บ้าอำนาจ” สรนุชด่า
ใจเด็ดสวนกลับ “บ้าผู้ชาย”
“ฉันบ้าผู้ชายตรงไหน”
“แล้วไอ้ที่ขวนขวายแอบเข้ามาใช้ทรัพย์สินราชการ อย่างนี้เขาไม่เรียกว่าบ้าผู้ชายแล้วเรียกว่าบ้าอะไร” พูดจบใจเด็ดก็เดินออกไปเลยทันที
“นี่”
สรนุชโกรธถึงกับตัวสั่น พูดไม่ออกก่อนจะเดินตึงตังออกไปด้วยความโมโห
ใจเด็ดมองตามส่ายหน้าอย่างเอือมระรา

สุบินกับอรอนงค์กำลังตั้งวงทานข้าว อรอนงค์มองไปนอกเรือนเป็นห่วงสรนุช
“ไม่รอนุชเหรอ”
สุบินส่ายหน้า “หือ...ไม่ล่ะ...ฉันกลัวมันกลับมาแล้วฉันจะกินไม่ลง”
“ทำไมล่ะ” อรอนงค์งง
“อ้าว...ก็ก่อนไปยัยนุชมันคุยเรื่องอะไรละ...ทำหมันควาย...เกิดกลับมาแล้วแม่นั่นถือตัวเดียวอันเดียวมาด้วย...เธอจะกินข้าวลงมั้ย”
อรอนงค์ทำหน้ายี้ก่อนจะคิดไปคิดมาแล้วรีบลงนั่งกินข้าวกับสุบินทันที
ระหว่างนั้นสรนุชเดินขึ้นบ้านมาพอดี อรอนงค์เห็นรีบถาม
“นุช...ไปไหนมา”
สรนุชยังโกรธใจเด็ดอยู่ “ไปโทร.หาวัตมา”
สุบินสังเกตจากสีหน้าแล้วแซวขึ้น “อารมณ์ไม่ดีอย่างนี้...หรือว่านายวัตมีกิ๊ก”
สรนุชคว้าผักลวกปาใส่ “เงียบไปเลย..! ฉันอารมณ์ไม่ดีเพราะนายใจเด็ดนั่นต่างหาก...” ยิ่งโกรธยิ่งเหมือนจะเป็นแรงขับให้สรนุชอยากเอาชนะ “คอยดูนะ...รถไถบาคาตี้ต้องชนะให้ได้...เธอสองคนพร้อมนะคืนนี้”
“หือ...อรคนเดียว...ฉันไม่เกี่ยว” สุบินว่า
“สุบิน...นี่เพื่อนขอร้องแกจะไม่ช่วยเพื่อนหน่อยเหรอ” สรนุชต่อว่า
“ช่วยเพื่อนทรมานสัตว์เหรอไง...ไม่ละ”
สรนุชรู้ว่าเพื่อนไม่ยอมตัวเองก็เลยต้องยอมไปก่อน “บ้าเหรอไง...คืนนี้ฉันแค่จะแอบเข้าไปถ่ายรูปเพื่อเก็บไปเป็นข้อมูลเท่านั้น”
สรนุชหรี่ตามุ่งมั่นกับภารกิจในคืนนี้

ค่ำคืนนั้น ที่บริเวณพุ่มไม้ข้างบ้านพักของใจเด็ด สรนุช สุบินและอรอนงค์ค่อยๆ โผล่ขึ้นมาท่ามกลางความมืดมิด ทั้งสามมองไปที่บ้านพักของใจเด็ดเห็นว่าไฟชั้นสองของบ้านเปิดอยู่
“ไหนบอกว่าสามทุ่มก็นอนแล้วไง...นี่มันจะห้าทุ่มแล้วนะ” สุบินว่า
“ฉันจะรู้มั้ย...ก็พวกคนงานบอกฉันอย่างนี้นี่” สรนุชฉุน
ระหว่างนั้นไฟห้องนอนบนชั้นสองดับลง อรอนงค์รีบสะกิดเรียกสรนุชกับสุบินที่กำลังเถียงกันอยู่
“ดับแล้ว..!” อรอนงค์บอก
สรนุชกับสุบินหันไปก็เห็นไฟห้องนอนใจเด็ดดับไปแล้ว
“โอเค๊...งั้นทวนแผนกันก่อน...พอไปถึงคอกแล้ว...แยกย้ายกันถ่ายรูปควายพ่อพันธุ์ที่คิดว่าจะมีน้ำเชื้อพิเศษ” สรนุชจะลุกไป
อรอนงค์ดึงรั้งไว้ “แต่ฉันดูไม่ออกนี่...ควายมันก็เหมือนๆ กันหมดทุกตัว”
“ใช่...ฉันก็ดูไม่ออก
สรนุชไม่ได้ดั่งใจ “เออ...งั้นก็ถ่ายมาให้หมดทุกตัวแล้วกัน...” สรนุชพยักหน้า “ไป”
สรนุชก้มๆ เงยๆ แล้วค่อยๆ เดินนำออกไป สุบินกับอรอนงค์ตามหลังไป

คล้อยหลังสามคนเดินออกไปได้ไม่นาน ไฟชั้นล่างในบ้านของใจเด็ดก็สว่างขึ้น!!!

 อ่านต่อตอนที่ 4



กำลังโหลดความคิดเห็น