ลูกผู้ชายไม้ตะพด ตอนที่ 3
ไกรกับอบเชยพาศรนารายณ์มานอนพัก หลังจากทำแผลที่แขนใหม่เรียบร้อยแล้ว
“นอนซะนะพ่อ”
“ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย”
“ไม่มีอะไรแล้วละครับ” ไกรบอกพร้อมกับยิ้ม อบเชยมองไกรแล้วยิ้มที่ไกรดีกับพ่อตน “ปกติแล้วลุงศรนี่เป็นคนเชื่ออะไรง่ายๆ รึเปล่า”
“เชื่ออะไรง่ายๆ หมายความว่าไง”
“ก็เหมือนเป็นคนหัวอ่อน โน้มน้าวจิตใจได้ง่าย อะไรแบบนั้น”
“ก็อาจจะนะ”
“ผมว่าอาจจะเป็นอาการทางจิตอย่างหนึ่ง”
“หมายถึงว่าพ่อชั้นเป็นบ้าเหรอ”
“เปล่าหรอก อาจจะโดนสะกดจิต หรือไม่ แกอาจไปเห็นอะไรมาแล้วอุปทานหมู่”
“พ่อก็แทบจะไม่ได้ไปเจอใคร ไหงเป็นแบบนี้ไปได้”
“ไม่ต้องกลัวหรอก ทุกปัญหามีทางออกอยู่แล้ว”
ไกรและอบเชยต่างยิ้มให้กัน ไม้เปิดประตูเข้ามาเห็นอบเชยกับไกรอยู่ด้วยกันไม้นึกน้อยใจเดินออกไป
อบเชยออกมาส่งไม้ ไกร และหลวงพ่อที่หน้าบ้าน ไม้ยังน้อยใจอบเชยจึงไม่มองหน้าเธอ
“เดินทางกันดีๆ นะ” อบเชยบอก
“ปกติไม่เห็นพูดแบบนี้ ตั้งใจจะบอกใครเป็นพิเศษกันแน่” ไม้บอกอย่างน้อยใจ
“อย่ามากวนประสาทได้มั้ย”
“ตอนนี้ชั้นทำอะไรก็ผิดหมดแหละ”
“คอยดูอาการลุงศรไปก่อนนะ ถ้ามีอะไรโทรหาชั้นได้ตลอดเวลา”
ไม้หันมองไกรขวับ
“ขอบคุณค่ะ”
ไม้หันมองอบเชย น้อยใจหนักกว่าเก่า
“เราไปกันเถอะหลวงพ่อ เดี๋ยวจะไม่ทันเพล”
“อาตมาน่าจะเป็นคนพูดมากกว่านะ”
ไม้ถือร่มเดินนำไป หลวงพ่อกับไกรเดินตาม ขณะนั้นทิวาขับรถผ่านมาพอดี ทิวาเห็นไม้เดินอยู่ริมถนน
“ไอ้ไม้...ไอ้กระจอก” ทิวาเห็นร่มในมือไม้ “นั่นมัน...ร่มของพ่อนี่”
ทิวายิ้มคิดอะไรขึ้นมาได้
พันเทพอยู่กับสมุนภายในห้องทำงาน สมุนก้มหน้างุดกลัวความผิด
“มันจะไม่มีได้ไง ค้นทั่วแล้วรึยัง” พันเทพถามอย่างโมโห
“ค้นทั่วแล้วจริงๆ ครับ ไปค้นบ้านตามรายชื่อแขกทุกคนแล้ว ไม่มีที่ไหนมีเลย”
“มันจะเป็นไปได้ไง มันจะไม่มีได้ไง กลับไปค้นใหม่ทุกบ้านเลย มันต้องอยู่ซักที่ ต่อให้ต้องพลิกแผ่นดินหาก็ต้องหาให้เจอ”
“คุณพันเทพครับ จริงๆ แค่ร่มอันเดียว”
พันเทพตบปากสมุน
“หุบปาก แกไม่มีสิทธิ์มาออกความคิดเห็นอะไรทั้งนั้น ชั้นบอกให้หาให้เจอก็ต้องหามาให้เจอ...ไป ไปหา”
สมุนจ๋อยทยอยเดินออกไป ทิวาเดินสวนเข้ามา
“ยังหาไม่เจออีกเหรอครับพ่อ” พันเทพส่ายหน้า “ท่าทางมันจะเป็นของสำคัญมากนะครับ”
“ไม่ใช่เรื่องของเด็ก”
“เอางี้ดีมั้ยครับพ่อ ถ้าผมหาร่มเจอ พ่อต้องบอกผมเกี่ยวกับเรื่องของร่มนั่น”
พันเทพนิ่งคิด สุดท้ายพยักหน้ารับ
ไม้ ไกร หลวงพ่อ เดินผ่านท่ารถบขส.
“พวกโยมไม่ต้องไปส่งอาตมาหรอก จากนี่เดินไปวัดใกล้แค่นี้”
“งั้นลาแล้วหลวงพ่อ”
“เป็นไง ถือร่มแล้วมีอะไรผิดปกติบ้างมั้ย” หลวงพ่อถามไม้
“ก็ปกตินะ คงไม่ใช่เพราะร่มแล้วมั้ง”
“ยังไงอาตมาขอบิณฑบาตไปเก็บไว้ที่วัด โยมอบเชยจะได้สบายใจ”
“ผมว่าอยู่ที่วัดก็น่าจะดีที่สุดแล้วล่ะ”
ไม้จะยื่นร่มให้หลวงพ่อ แต่มือกลับไม่ยอมปล่อย กำไว้แน่น หลวงพ่อต้องแงะมือไม้
“โยมไม้...ปล่อยมั้ย กำซะแน่นเชียว” ไม้รู้สึกตัว
“โทษที คงเคยมือไปหน่อย”
ไม้ปล่อยร่มให้หลวงพ่อ แต่ก็มองมันอย่างเสียดาย
“เจริญพร อาตมาลาล่ะ”
หลวงพ่อเดินแยกตัวออกไป เจ๊กีเดินเข้ามา
“กลับมากันแล้วเหรอ เป็นไงทำงานกับลูกอั๊ว พอไหวมั้ย”
ไม้มองไกรแอบหมั่นไส้
“ก็ดีครับม๊า”
“เรื่องเงินเดือนลื้อไม่ต้องเป็นห่วงนะอาไม้ อั๊วให้อย่างยุติธรรมที่สุดอยู่แล้ว”
“ครับ แล้วนี่พ่อไปวิ่งรถเหรอครับ”
“ใช่”
เสียงตะโกนจากด้านหลัง ทุกคนหันไปมองจึงเห็นชาญเข็นยางรถยนต์ 3 ล้อมาพร้อมกัน
“เจ๊ เอาไว้ไหนเนี่ย”
“ยางรถยนต์ ลื้อจะให้ตั้งไว้ไหน บนโต๊ะทำงานรึไง”
“อ้าวเจ๊ ถามดีๆ นะเนี่ย”
“แล้วพี่ชาญไม่ไปกับพ่อเหรอ”
“อั๊วให้คนอื่นไปกับอาเมฆแทน เอาอาชาญมาช่วยยกของ”
เจ๊กีบอก ไม้พยักหน้าเข้าใจ
ขณะนั้นทิวากับสมุนเดินมาที่วินมอเตอร์ไซค์ด้วยหน้าตากวนๆ วินมอเตอร์ไซค์ที่นั่งอยู่มองตาขวาง ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมาดีหรือร้าย
“คนไหนชื่อสัก”
“มีปัญหาอะไรกับพวกเรารึไง”
“เปล่า พวกแกเป็นพวกนักรบรับจ้างใช่มั้ย”
“ใช่ มีปัญหาอะไร”
“ชั้นจะจ้างพวกแก”
สักขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาจอด มองหน้าทิวากับสมุนด้วยแววตากร้าวๆ
“แล้วแกเป็นพวกไหน”
“ชั้นทิวา ลูกชายพันเทพเจ้าของวินรถตู้” สักหัวเราะ
“เลวเหมือนพ่อไม่มีผิด”
“นี่แกอย่ามาหาเรื่องชั้นนะ ชั้นไม่กลัวพวกแกหรอกพวกรับจ้าง เห็นแก่เงิน ไหนว่าเก่งนักเก่งหนา”
สักโกรธจอดมอเตอร์ไซค์แล้วถีบด้านข้างรถ แถบหลุดออกมาสักเอาแถบนั้นขึ้นมาด้านในเป็นอาวุธของเขา โซ่ยาวคล้องกับเฟือง สักเหวี่ยงมันเฉียดทิวาไป ทิวาไม่กล้าพูดมากอีก
“อย่านึกว่าคนจ้างปากหมาๆ เราจะไม่กล้าเล่นนะ”
“ไม่ใช่ว่ากลัวนะ แต่ไม่อยากจะเสียเวลามาก เพราะมีงานด่วนมาให้ทำ”
ที่ท่ารถบขส.ขณะนั้นไม้กำลังเช็คลมยางรถที่จอดอยู่ ชาญกำลังเช็ดกระจกรถแล้วทิวาก็ส่งเสียงมาขัดจังหวะ
“สวัสดี ทำอะไรกันอยู่เหรอ”
“ไอ้ทิวา”
“ดูท่าจะเหงาอยู่สิท่า ชั้นหาเรื่องอะไรมาให้ทำมั้ย”
ไม้หันไปมองเห็นสักแล้วแก๊งวินมอไซค์ยืนเรียงเป็นตับ
“พวกแกต้องการอะไรอีก”
“ยืนเรียงเป็นตับแบบนี้ ยังจะถามอีกเหรอ” สักถกแขนเสื้อพร้อมมีเรื่อง
“แกน่ะมันขี้ขโมย” ทิวาบอก
“ชั้นไปขโมยอะไรใครตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ยังมาตีหน้าซื่ออีก...ค้นให้ทั่ว”
ทิวาหันไปบอกสมุน สมุนกรูเข้ามาช่วยกันลื้อของในอู่กระจัดกระจาย
“ของอยู่ที่ไหน”
“ของอะไรของแก”
“ร่มของพ่อชั้นไง ชั้นเห็นแกถืออยู่”
“ไม่มี”
เจ๊กีกับไกรเดินหน้าตื่นเข้ามา
“มีเรื่องอะไรกัน”
“ทำไมต้องพาคนมามากมายแบบนี้”
“เรื่องของวัยรุ่นเค้าจะคุยกัน แก่ๆ อย่ายุ่ง” ทิวาบอกแล้วมองไม้ “ว่าไง จะยอมรับแล้วคืนมาดีๆ รึเปล่า”
“ก็มันไม่ได้อยู่ที่ชั้น จะให้คืนยังไงเล่า”
“ถ้างั้น...พวกเรา ลุย”
ทิวาวิ่งตรงไปยังไม้ แก๊งวินมอเตอร์ไซค์กระจัดกระจายเข้าไปหาคนต่างๆ ไกรยืนป้องกันแม่ สักพุ่งตรงมายังไกร ไกรปกป้องด้วยวิธีปัดป้องของเขา โดยไม่ต่อยกลับคืนไปซักนิด ส่วนไม้กับทิวาก็สู้กันดุเดือด เจ๊กีพยายามตะโกนห้าม
“อย่าตีกัน อย่าตีกัน”
ชาญซัดคนที่เข้ามาไม่ยั้งมือ แล้วเขาก็วิ่งไปช่วยไกรกับเจ๊กี ไกรปัดป้องไม่ไหวโดนแรงเหวี่ยงจากสักออกมาราวกับนักมวยปล้ำ ชาญรับมือต่อไกรล้มไปตรงกองไม้พอดี เจ๊กีโดนลูกหลงจากโซ่เข้าไป ไกรเห็นก็โกรธเขาหยิบไม้อันหนึ่งขึ้นมาเป็นอาวุธแล้วควงอย่างคล่องแคล่วเข้ามาช่วยชาญ แล้วไกรก็รำเพลงมวยกรงเล็บพยัคฆ์สู้ ชาญเห็นแล้วตกใจ
“นั่นมันท่ากรงเล็บพยัคฆ์ของลูกผู้ชายนี่”
ชาญตะลึง ไม้หันมามองแล้วทึ่งเช่นกัน แต่เจ๊กีไม่สนใจ
“หมดแล้ว พังหมดแล้ว ไปสู้กันที่อื่นได้มั้ย”
ระหว่างนั้นอบเชยกำลังทำกับข้าวอยู่ที่บ้านแต่อยู่ๆ ก็รู้สึกแปลกๆ
“ทำไมสังหรณ์ใจแปลกๆ นะ หรือว่าไม้จะเป็นอะไร ชิ...จะเป็นอะไรก็ช่างสิ ไม่เห็นจะต้องสนใจเลย”
อบเชยบอกตัวเองแต่ยังไม่คลายกังวลนัก
ที่ท่ารถไม้กับทิวายังสู้กันไม่มีใครยอมใคร
“แกเอาของคืนมาแล้วเรื่องวันนี้จะจบ”
“ของไม่ได้อยู่ที่ชั้นแล้ว”
“แล้วอยู่ที่ใคร”
“ถ้าบอก แกก็เที่ยวไปหาเรื่องเค้าอีก”
“ดี แกจะเจ็บตัวแทนทุกคนก็ตามใจ จำไม่ได้รึไงคราวที่แล้วแกก็แพ้ไม่เป็นท่า”
“วันนี้ชั้นไม่ยอมหรอก”
“เอาเป็นว่าถ้าแกแพ้ แกก็สารภาพมาว่าร่มพ่อชั้นอยู่ไหน”
อีกมุมหนึ่งไกรกับชาญร่วมกันปกป้องเจ๊กีจากตัวพ่ออย่างสัก
“เอ็งทำท่าของลูกผู้ชายได้ไงน่ะ” ชาญถามไกร
“เคยมีคนสอน”
“ใครน่ะ ใครสอน”
ชาญยังไม่ได้คำตอบก็โดนซัดเข้าเต็มๆ ที่หน้า ไกรก็เช่นกัน
“อั๊วไม่สู้ อั๊วยอม”
เจ๊กีบอก จังหวะนั้นไม้พลาดท่าโดนทิวาอัดเข้าเต็มๆ ลงไปนอนกอง
อบเชยทำกับข้าวอยู่ แล้วบังเอิญทำจานหล่นแตก
“ทำไมเป็นงี้นะ มือไม้อ่อนไปหมด หรือมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นจริงๆ”
อบเชยตัดสินใจวิ่งออกจากบ้านไป
ไม้โดนเข่าทิวาล้มกับพื้นอีกรอบ ทิวาเอาเท้าเหยียบอกไม้ไว้
“จะเอาอีกมั้ย” ไม้จุกพูดไม่ออก “ทีนี้บอกได้รึยังว่าร่มอยู่ไหน”
สักเอาเฟืองจี้ที่คอเจ๊กี จับเจ๊กีเป็นตัวประกัน เดินมาทางไม้
“แบบนี้ช่วยให้ตัดสินใจง่ายขึ้นมั้ย”
“ร่มเริ่มอะไร ร่มอันเดียวทำไมต้องมาตีกันให้ตายขนาดนี้ด้วยอั๊วไม่รู้เรื่อง”
เจ๊กีบอก ไกรกับชาญเดินตามมา ทั้งคู่ต่างเจ็บตัว หมดสภาพ
“นั่นสิ ร่มอันเดียวทำไมต้องทำขนาดนี้ด้วย มันมีค่ามากเลยรึไง”
ทิวาอึกอัก ตอบไม่ได้
“พวกแกต้องเป็นคนตอบสิ ว่าเหตุผลอะไรที่แกขโมยมา”
“ตกลงยังไงกันแน่”
“ก็บอกแล้วว่าไม่ได้ขโมย”
“แต่ชั้นเห็นแกถือ”
“เชือดอีนี่โชว์ก่อนดีมั้ย จะได้พูดกันง่ายขึ้น” สักบอก
“อย่านะ...ชั้นบอกให้ อย่าทำอะไรม๊า” ไกรรีบบอก ทิวายิ้ม
“ในที่สุด”
“อย่า...” ไม้ร้องห้ามแต่ไม่ทัน
“ร่มอยู่ที่วัด หลวงพ่อเก็บไว้”
“ก็แค่นี้ไง ทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยากทำไมว๊า”
“แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ เชือดอีนี่เล่นหน่อยไม่ดีรึไง” สักถาม
“ก็แล้วแต่แก”
“ไม่ได้นะ ชั้นบอกแล้วแกต้องปล่อยแม่ชั้นสิ”
“ทำแบบนั้นก็ไม่สนุกน่ะสิ”
“อั๊วซวยสุดเลยเนี่ย รู้เรื่องก็ไม่เคยรู้เรื่องด้วยเลย”
สักเอาโซ่แกว่งเป็นวงกันคนเข้ามา แล้วเอาเฟืองจักรยานจ่อคอเจ๊กี กดลงไปให้แรงขึ้น แต่แล้วลูกผู้ชายก็ปรากฏตัวมา เตะพับในสัก หักข้อมือ จนสักปล่อยอาวุธหล่นจากมือ ลูกผู้ชายกระทืบซ้ำ
“จะทำอะไรให้มันสมที่เกิดมาเป็นผู้ชายหน่อย”
“ลูกผู้ชาย”
ไกรงงกับลูกผู้ชายเพราะไม่เคยเจอมาก่อน ส่วนไม้ยิ้มอย่างดีใจ ลูกผู้ชายพอจัดการกับสักเสร็จก็เข้าไปจัดการทิวา แค่กรงเล็บพยัคฆ์ท่าเดียวก็ซัดทิวาหมอบสนิท
“เป็นเด็กเพิ่งหัดมวย รีบทำตัวเป็นนักเลงไปมั้ย กลับใจดีกว่าทิวาเธอยังมีโอกาส”
ทิวานอนหมอบแต่ยังพยายามดันตัวเองขึ้นมา และยังปากดี
“ไอ้คนที่เอาแต่หลบซ่อนอยู่ใต้หน้ากากอย่างแก ไม่มีสิทธิ์มาสั่งสอนชั้น”
“เดี๋ยวกระทืบให้ตายซะดีมั้ยเนี่ย”
“คนอย่างแกหลอกได้แต่คนโง่ๆ เท่านั้นแหละ สำหรับชั้นแกมันก็แค่คนที่มีอาวุธดี คอยดูเถอะ วันนึงชั้นต้องชนะแกได้ คอยดู”
ไม้ส่ายหน้าระอาใจกับคำพูดทิวา
“ชั้นจะรอวันนั้น พวกแกกลับไปให้หมดแล้วอย่าเที่ยวมารังแกคนไม่มีทางสู้อีก” ลูกผู้ชายบอก
“คนไม่มีทางสู้ ใช้คำแรงไปนะ” ชาญบอก
“วันนี้พอแค่นี้ พวกเรากลับ”
ทิวา สักและคนอื่นๆ ทยอยกลับ ก่อนไปทิวามองไม้ดังคนไม่ยอมแพ้
“ขอบคุณมากเลยนะลูกผู้ชาย โคตรเท่ ๆ” ชาญบอก ลูกผู้ชายยิ้มรับ
“ถ้าไม่ได้ลูกผู้ชายเราคงแย่”
ลูกผู้ชายยิ้มส่งท้าย แล้วเดินหายไป
อบเชยวิ่งมาถึงหน้าท่ารถเห็นทิวากับพวกเดินออกมา อบเชยตกใจ
“ไม้”
ทิวาหันมาเห็นอบเชย
“จะมาเชียร์เหรอ เสียดายนะมาไม่ทัน”
“แกทำอะไรไม้” ทิวายิ้มเยาะ
“ชั้นว่าเธอเลิกสนใจคนอ่อนแอแบบนั้นเถอะ ชั้นน่ะดีกว่ามันเป็นไหนๆ”
“ไม่มีวันหรอก”
อบเชยรีบวิ่งเข้าไปดูด้านใน
“ไม่มีวันเหรอ คอยดูก็แล้วกัน”
ทิวาบอกอย่างคนไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ
ไกรเป็นห่วงเจ๊กีที่เพิ่งโดนจับเป็นตัวประกันจึงรีบเข้ามาดู
“ม้าเป็นอะไรมั้ย”
“ทำไมจะไม่เป็น ลื๊อดูสิพังหมดแล้ว”
“ห่วงตัวเองก่อนเถอะ ของพวกนี้เรามีประกัน”
“จะไม่มีบริษัทไหนรับทำประกันอยู่แล้ว”
“นี่ถามหน่อยเถอะ แกไปฝึกท่าของลูกผู้ชายมาจากไหน” ชาญถามไกร
“ก็ไหนว่าสู้ใครไม่เป็น” ไม้ถาม
“พระธุดงค์เคยสอนให้ตอนบวชเป็นเณรน่ะ ไม่เคยใช้เลย”
“บ๊ะ...เอ็งนี่มันมีอะไรมาให้ข้าตื่นเต้นได้ตลอด”
“คุณไกรเคยบวชเณรด้วยเหรอ” ไม้ถามอย่างแปลกใจ ไกรพยักหน้า
อบเชยเข้ามาเห็นคนล้มนอนโอดโอย อบเชยเห็นไม้ที่กำลังเดินกระเผลก ไกรกับชาญก็เช่นกัน อบเชยวิ่งเข้ามา ชาญหันไปเห็น
“นั่นอบเชยนี่” ไม้อมยิ้ม ชาญเอาศอกกระทุ้งแซว “มีคนคอยดูใจตลอดเลยนะ”
ไม้ยิ้มเขินๆ อบเชยวิ่งมาถึง มองไม้อย่างเป็นห่วง
“ไม่ต้องพูดมากหรอกน่า ชั้นไม่เป็นอะไรมากหรอก”
ไม้บอกอบเชยหมั่นไส้ เลยหันไปหาไกรแทน
“คุณไกรเป็นอะไรมากรึเปล่า ชั้นเป็นห่วงแทบแย่”
ไม้เสียหน้า ชาญหัวเราะ
“เก้อเลยไอ้ไม้ข้า”
“เก้ออะไร เปล่าซะหน่อย”
“ชั้นว่าคุณไกรกับเจ๊กีไปนั่งพักก่อนดีกว่า เดี๋ยวชั้นดูแผลให้”
อบเชยทำเป็นไม่แคร์ไม้ พาไกรกับเจ๊กีไปนั่ง ไม้ถึงกับเซ็ง เมฆขับรถเข้ามาพอดี เมฆรีบลงจากรถมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ”
“จะอะไรซะอีกลูกพี่ นอกจากว่าพวกแก๊งค์วินมาบุก เวลาคับขันทีไรไม่เคยได้อยู่ซักทีนะพี่น่ะ”
“ก็ไปทำงานที่เอ็งอู้ไง”
“แหะ แหะ”
คืนนั้นไม้กับเมฆเดินกลับบ้านด้วยกัน
“ทำไมลูกไม่บอกมันไปตั้งแต่แรกว่าร่มอยู่ที่ใคร”
“คงเพราะชั้นไม่อยากให้พวกมันไปวุ่นวายอะไรที่วัด”
“ทำไมใช้คำว่าคงเพราะล่ะ”
“ก็...ชั้นก็ไม่แน่ใจตัวเองเหมือนกัน ชั้นว่าร่มนั่นมันทำให้รู้สึกแปลกๆ”
“แปลกๆ ที่ว่านี่แบบไหน”
“จริงๆ ชั้นก็อธิบายไม่ถูกนะพ่อ มันเหมือนไม่อยากให้มันไปเป็นของใคร อยากจะให้เป็นของเรา คล้ายๆ แบบนั้น”
“มันเป็นร่มอะไรกันนะ มันทำให้คนต้องยอมเจ็บตัวเพื่อมันขนาดนี้เลยเหรอ”
เมฆทำหน้าแปลกใจ
ส่วนที่ท่ารถชาญกำลังจะกลับบ้าน แต่ไกรเรียกชาญไว้
“ชาญ ผมขอถามอะไรหน่อยสิ”
“โห่...ไม่เคยจะรู้เวล่ำเวลาเลย คนทั้งเจ็บทั้งเหนื่อย”
“ไม่นานหรอก คือผมอยากรู้เกี่ยวกับฮีโร่ที่ปรากฏตัววันนี้”
“ลูกผู้ชายน่ะเหรอ เขาน่ะโคตรเก่ง โคตรเท่ แล้ว...”
“อาวุธที่เขาถืออยู่น่ะ”
“ไม้ตะพดไง ไม้ตะพดที่เอ็งเล่าตำนานจากคัมภีร์ใบลานที่เอ็งเคยอ่านให้ฟังไง”
“มีจริงๆ เหรอ ไม้ตะพดนั้นน่ะ”
“เอ็งเห็นลูกผู้ชายถือป่ะล่ะ ถ้าเห็นก็แปลว่ามี เอ็งเห็นใช่มั้ยว่ามันไม่ธรรมดาเลย”
“แต่ในตำนานเล่าว่าตะพดหักเป็น 2 ท่อน แล้วอีกอันอยู่ไหนล่ะ ผมเห็นลูกผู้ชายถือแค่อันเดียว”
“ใครจะบ้าถือสองอัน มีหวังขวาซ้ายตีกันเอง”
“อีกอันอยู่ที่ลูกผู้ชายรึเปล่า”
“ไม่รู้...ข้าจะไปตรัสรู้จากไหนล่ะ ตัวเองยังเอาไม่รอดเลย นี่ วันหลังสอนข้ามั่งสิ ไอ้ท่ากรงเล็บพยัคฆ์ของลูกผู้ชายน่ะ นะ” ไกรยิ้ม “ว่าแต่วันนี้มันไม่น่าจะมีเรื่องเลยว่ามั้ย เพราะแค่ไอ้ร่มบ้าบออะไรนั่นแท้ๆ ถ้าเปลี่ยนจากร่มเป็นไม้ตะพดอีกอันที่เอ็งถามถึงก็ว่าไปอย่าง ค่อยน่าแย่งหน่อย”
ชาญพูดอย่างไม่ใส่ใจแล้วเดินจากไป ปล่อยให้ไกรยืนเหม่อคิดถึงเรื่องราวในอดีตเมื่อครั้งเป็นเณร...พระพม่าสูงอายุกำลังสอนเณรไกรฝึกท่ากรงเล็บพยัคฆ์อยู่
“ท่าทางเอ็งมันได้เรื่องจริงๆ ช่างสงสัย อยากเรียนรู้”
“มันเป็นท่าอะไรเหรอครับ”
“มันเป็นท่าของอาจารย์ปู่ของอาตมาเอง ท่านเป็นฤาษีในป่า”
“ทำไมต้องมีท่าต่อสู้ด้วยละฮะ”
“ก็เพราะในป่ามีแต่อันตรายน่ะสิ เจ้าฝึกไว้ป้องกันอันตรายนะ”
“ครับ”
“ท่านี้มันจำเป็นต้องใช้กับไม้...แต่ไม้มันหายสาบสูญไปนานแล้วล่ะ”
ไกรยืนคิดอยู่คนเดียว
“นั่นมันเป็นเรื่องจริงสินะ”
ไกรพึมพำออกมา
คืนนั้นขณะที่หลวงพ่อกำลังสวดมนต์กับโต๊ะหมู่บูชา ทิวาเปิดประตูห้องเข้ามาพร้อมสมุน หลวงพ่อหยุดสวดมนต์ค่อยๆ หันมาอย่างสงบ
“ก็ไม่ได้อยากจะขัดจังหวะหรอกนะหลวงพ่อ”
“โยมมีธุระอะไรกับอาตมารึ”
“ผมมาเอาร่มของพ่อผมคืน”
“แค่ร่มอันเดียว ทำไมต้องพาคนมาตั้งมากตั้งมาย”
“ก็หลวงพ่อจะทำให้มันเป็นเรื่องง่ายหรือเรื่องยากล่ะ”
“เจ้าของมาขอคืน ทำไมอาตมาจะต้องทักท้วงด้วย”
“ถ้างั้นอยู่ไหนล่ะร่ม”
หลวงพ่อพาทิวาและสมุนมาที่โบสถ์
“อาตมาเก็บร่มไว้ที่นี่แหละ”
หลวงพ่อบอก ทิวาจึงหันไปสั่งสมุน
“ไปดูซิ” สมุนเดินหาร่มจนทั่ว แต่ก็ไม่เห็น “ไม่เห็นจะมีเลยหลวงพ่อ โกหกรึเปล่าเนี่ย”
“อาตมาเป็นพระ จะทำผิดศีลได้ยังไง...ลองดูที่ฐานพระสิ” ทิวาหงุดหงิดเดินไปดูเอง แต่หาไม่เห็นเลย
“ไม่มี ไม่มีนี่หลวงพ่อ”
“ถ้าเช่นนั้นก็คงมีใครหยิบไปแล้ว”
“พูดง่ายๆ แบบนี้น่ะเหรอ ไม่รับผิดชอบเลย”
“จะให้อาตมารับผิดชอบยังไง ในเมื่อมีคนอยากฝากให้เก็บไว้ที่วัดอาตมาก็นำมา หากมันจะหายมันเป็นเรื่องใหม่ที่อยู่นอกเหนือ สิ่งที่อาตมาทำแล้ว”
“มันวิเศษอะไรนักหนา ถึงมีแต่คนอยากได้”
ทิวาพึมพำออกมา
ศรนารายณ์แอบเปิดประตูเข้ามาในบ้านเบาๆ หวังจะไม่ให้อบเชยรู้แต่อบเชยนั่งรอพ่ออยู่
“พ่อ”
ศรนารายณ์สะดุ้ง
“สวัสดีจ้ะลูก”
“พ่อหายไปไหนมา”
“พ่อไปเดินเล่นสูดอากาศข้างนอก”
“ชั้นบอกให้พ่อพักผ่อนเยอะๆ ไง ไปเดินเล่นอะไรค่ำๆ มืดๆ”
“ก็มันเบื่อนี่ ให้พ่อนอนอยู่กับบ้านเฉยๆ งานการก็ไม่ได้ไปทำ”
“ก็ถ้าพ่อไม่เป็นบ้าเหมือนเมื่อตอนกลางวัน ชั้นคงไม่ห้ามพ่อไปไหน”
“พ่อไม่ได้บ้า”
“ไม่ได้บ้าอะไร ทำร้ายทั้งไม้ ทั้งลูกตัวเองขนาดนั้น นี่พ่ออย่าไปยุ่งกับไอ้ร่มบ้านั่นอีกเลยนะ ชั้นว่ามันต้องทำของไว้แน่ๆ พ่อจำได้มั้ย ตอนที่มันมาท้าสู้กับพ่อเพื่อให้ไปเป็นครูสอนมวยมันก็ถือร่มนี่มาด้วย เพราะร่มเนี่ยอาจจะทำให้พ่อแพ้ก็ได้”
“บ้า คิดมากไปใหญ่แล้ว แค่ร่มอันเดียว ไม่มีเรื่องอะไรพวกนั้นหรอก ไปนอนเถอะ”
อบเชยไม่ติดใจอะไรจึงไม่ได้สังเกตว่าศรนารายณ์เหมือนกำลังปกปิดอะไรบางอย่าง
ที่บ้านพันเทพ พันเทพนั่งเครียดหยิบกล่องไม้โบราณที่ใส่ไม้ตะพด เปิดดูภายในที่ว่างเปล่า
“ไม่ว่าไม้ตะพดเลือดจะไปอยู่ที่ไหน ชั้นจะตามมันคืนมาให้ได้ ใครขวางชั้นจะฆ่ามันให้หมด”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น พันเทพเก็บกล่องไม้ ราตรีเปิดประตูเข้ามา
“ยังไม่นอนอีกเหรอคะพ่อ”
“นอนไม่ค่อยหลับ”
“กังวลเรื่องของที่หายใช่มั้ยคะ” พันเทพพยักหน้ารับ “ก็เห็นว่าพี่ทิวาออกตามหาแล้ว ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ”
“ทิวาน่ะ…ไม่ใช่จะไว้ใจได้หรอกนะ” พันเทพส่ายหน้าอย่างระอา
“พ่อทำท่าเหมือนกับพูดถึงสมุนของพ่อคนอื่นๆ เลย เหมือนไม่ได้สนใจใยดีพี่ทิวา”
“ไม่ใช่ เคยได้ยินมั้ยลูกว่า ของบางอย่าง…ถ้าปล่อยให้หลุดมือไป มันยากที่จะได้กลับคืน”
“แต่พ่อของราตรีน่ะ อยากได้อะไรก็ต้องได้ทุกอย่างเหมือนกัน ราตรีเชื่อว่ายังไงพ่อก็ต้องได้คืนค่ะ”
“ขอบคุณใจมากลูก”
“ถ้าพ่อกังวลใจ ลองหาวิธีอื่นดูมั้ยคะอาจจะช่วยได้บ้าง”
“วิธีอะไรไหนลองพูดมาให้พ่อฟังซิ”
“ก็อย่างเช่น ให้หมอดูช่วย ราตรีก็ไม่รู้หรอกว่าช่วยได้จริงๆ มั้ย แต่อาจจะช่วยให้พ่อสบายใจขึ้นก็ได้”
“หมอดูเหรอ…”
พันเทพคิดตามที่ราตรีบอก
อ่านต่อหน้า 2
ลูกผู้ชายไม้ตะพด ตอนที่ 3 (ต่อ)
วันต่อมาพันเทพกับราตรีมาที่สำนักดูดวง ซึ่งมีคนนั่งอยู่ในสำนักมากมาย หมอคมท่าทางเคร่งขรึมดูน่าเกรงขามนั่งอยู่สูงกว่าคนอื่น ชาวบ้านยกมือไหว้ พันเทพกับราตรีมาทีหลังมองอย่างไม่ค่อยเชื่อสายตาเท่าไหร่นัก
“คนเยอะจังเลยพ่อ”
“ก็เพราะเป็นหมอดูที่เก่งที่สุดน่ะสิ”
“พ่อเคยมาเหรอ”
“ครั้งแรก แต่เคยได้ยินชื่ออยู่บ่อยๆ”
หมอคมรู้สึกได้ถึงการมาของพันเทพและราตรี เขาจึงหันขวับไปหาทั้งสอง
“เจ้าสองคนมาตามหาของ...ที่นี่ไม่มีหรอก”
ชาวบ้านฮือฮาหันตามไปมองพันเทพกับราตรี
“พ่อ เค้ารู้ว่าเราคิดอะไรได้ยังไง น่ากลัวไปนะแบบนี้”
“ใจเย็นๆ ก่อนลูก...ท่านช่างเก่งกล้าสมคำร่ำลือ รู้แม้กระทั่งผมคิดอะไรอยู่” หมอคมหัวเราะ
“ข้ารู้ยิ่งกว่านั้น”
ลูกศิษย์หมอคมเชิญทั้งคู่มานั่งหน้าสุด ราตรีมองหน้าพันเทพไม่ค่อยเข้าใจนัก
หมอคมนั่งทางในแล้วนิมิตเห็นสถานที่แห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยควัน ไร้ซึ่งสิ่งของได้ยินเสียงร้องจางๆคล้ายค้างคาว หมอคมกำลังเดินตามเสียงแต่มันช่างจางและไกลเหลือเกินจนเดินไปไม่ถูกทาง หมอคมได้ยินเสียงกระซิบจางๆ
“เลือดดด เลือดดด”
หมอคมลืมตาจากการนั่งทางใน พันเทพ ราตรี รอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ
“เป็นยังไงบ้าง” พันเทพถาม
“มองไม่เห็น มืดไปหมด แปลกมาก”
“อ้าว แล้วแบบนี้จะต้องทำยังไงละคะ”
“ถ้าไปหามันไม่ได้ ก็ให้มันมาหาเรา”
“แล้วต้องทำยังไง”
“เลือด พวกเจ้าไปหาเลือดมาให้ข้า”
“เลือดอะไรกัน ต้องถึงเลือดเลยเหรอ” ราตรีถามอย่างแปลกใจ
“เลือดหมู เลือดไก่ เลือดสดๆ อะไรก็ได้ รึเจ้าจะเอาเลือดของเจ้าล่ะ”
“มันก็ยังน่ากลัวอยู่ดี”
“น่ากลัวรึไม่ ไม่ลองถามพ่อเจ้าดูล่ะ ว่าทำไมต้องใช้เลือด”
ราตรีหันมองพ่อรอคำตอบ
“อย่าเสียเวลาเลยน่า ราตรีออกไปหาเลือดที่ตลาดให้พ่อหน่อยไป”
ราตรีหน้างอ ไม่ค่อยพอใจนัก
“ก็ได้ค่ะ”
ราตรีลุกออกไป หมอคมมองหน้าพันเทพอย่างรู้ทัน
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นที่ท่ารถบขส.เมฆกำลังเก็บซากข้าวของที่โดนแก๊งวินมอเตอร์ไซค์มาทำลาย กวาดทำความสะอาดด้วย โดยมีคนอื่นๆ มาช่วยทำความสะอาดคนละไม้ละมือ ศรนารายณ์ก็มาช่วยด้วย
“พี่เมฆ พี่เมฆ อยากฟังนิทานมั้ย ชั้นฟังมาหลายเรื่องเลยนะ”
“อะไรเนี่ยพี่ศร อายุปูนนี้แล้วยังจะมาเล่านิทานอะไร”
“ไม่อยากฟังเหรอ สนุกนะ”
“เอ้าอยากเล่าก็เล่ามา...”
“งั้นเริ่มละนะ สมัยก่อนที่เมืองพาราณสี อันเป็นที่ประทับขององค์ประศิวะ...”
“เดี๋ยวๆๆ นี่คงไม่ได้กำลังจะเล่านิทานเวตาล 25 เรื่องหรอกใช่มั้ย”
“พี่เมฆรู้ได้ยังไง”
“จะไม่รู้ได้ยังไง ชั้นก็อ่านเหมือนกัน อ่านก่อนนอนทุกวันเลยจนท่องขึ้นใจแล้ว”
“อ้าว ไม่สนุกเลย”
“แล้วทำไมอยู่ๆ ก็จะมาเล่านิทานเวตาลขึ้นมาล่ะ”
“ไม่รู้...นั่นน่ะสิ...ทำไมนะ”
“ไปฟังมาจากไหนล่ะ”
“ฟังจากไหน ฟังจากไหนนะ ทำไมนึกไม่ออก”
ศรนารายณ์เดินนึกแยกตัวจากเมฆไป เมฆมองตามไม่เข้าใจพฤติกรรมศรนารายณ์
ขณะนั้นไม้กับจันทร์ช่วยกันทำความสะอาดอยู่อีกมุมหนึ่ง
“ขอบใจมากนะที่มาช่วย” ไม้บอกกับจันทร์
“ตอนไม่มีเรื่องเดือดร้อนไม่เคยจะไปหา”
“ไม่ต้องมาประชดหรอกน่า”
“แล้วเรื่องที่ให้ตามหาคนที่น่าจะเป็นลูกผู้ชายน่ะ ไปถึงไหนแล้ว”
“ก็ชั้นบอกแล้วไงว่าอาศรน่ะเป็นลูกผู้ชาย แกไม่สังเกตเหรอ เวลาที่ลูกผู้ชายปรากฏตัวทีไร อาศรไม่เคยอยู่ตรงนั้นซักที”
“มีหลายคนที่ไม่อยู่ อาแปะร้านกาแฟก็ไม่เคยอยู่ น้าแอ๋วร้านขายปลาก็ไม่เคยอยู่ แกสังเกตแบบนี้ไม่ได้ ที่แกทำอยู่น่ะคือการพยายามหาเหตุผลมาสนับสนุนสิ่งที่แกคิดทำแบบนี้ไม่มีทางเจอตัวลูกผู้ชายหรอก”
“แต่อาศรน่ะมีแน้วโน้มจริงๆ ชั้นมั่นใจ”
ศรนารายณ์เดินตาลอยเข้ามาในวงพอดี
“ไปฟังมาจากไหน ทำไมถึงจำไม่ได้นะ”
“บ่นอะไรอาศร” จันทร์ถาม
“นิทานน่ะสิ...ชั้นไปฟังมาจากไหน”
“นิทานอะไรเหรอ”
“อยากฟังเหรอ มาสิจะเล่าให้ฟัง”
“หึหึ คนอะไร จู่ๆ ก็จะมาเล่านิทาน หน้าตาพวกชั้นเหมือนคนชอบฟังนิทานรึไง”
“นิทานเวตาลเชียวนะ”
“โอ้โห...โบราณขนาดนั้นเลย” จันทร์หัวเราะ
“อาศรหายดีรึยังเนี่ย ทำไมยังทำท่าทางแปลกๆ อยู่เลย แล้วอบเชยไปไหนเนี่ยทำไมไม่ดูแล” ไม้ถาม
“หายดีอะไร ไม่ได้เป็นอะไรซักหน่อย ไอ้ไม้นี่ ท่าจะเพี้ยน”
ศรนารายณ์เดินแยกตัวออกไป ไม้มองตามอย่างเป็นห่วง
“นี่น่ะเหรอ ลูกผู้ชายของแก” จันทร์หัวเราะ “ไม่มีทางเลยว่ะ ไม่มีทางเป็นไปได้ซักนิด ต่อให้ลูกผู้ชายจะปิดบังอำพรางตัวยังไงตัวจริงของเค้าก็คงไม่มีทางจะเดินเล่านิทานให้ใครฟังแน่ๆ”
“แต่...”
“หรือแกว่าไม่จริง”
ไม้เถียงไม่ออก ได้แต่มองตามศรนารายณ์อย่างเป็นห่วง
“อบเชยนะ บอกให้ดูแลอาศรดีๆ แท้ๆ”
ขณะนั้นอบเชยกำลังเดินซื้อผักในตลาด อบเชยจามเสียงดัง
“นี่ใครนินทาเนี่ย”
ราตรีเดินเข้ามาในตลาด ทำท่าขยะแขยงพื้นที่เปียกแฉะ
“อี๋...ทำไมพ่อไม่มาเองนะ ที่สกปรกแบบนี้ก็รู้ว่าชั้นไม่ชอบ”
อบเชยเห็นราตรีเดินเข้ามา จี๊ดขึ้นมาทันที จึงเดินเข้าไปหา
“ไง...ไหนว่าเป็นผู้ดีไม่ใช่เหรอ ทำไมมาจ่ายตลาดเองละจ้ะ”
“นอกจากจะสกปรกแล้วยังต้องมาเสวนากับพวกคนชั้นต่ำอีก”
“เฮ้ย...ว่าใครชั้นต่ำ”
“คนที่มาคุยกับชั้นก็มีแต่เธอคนเดียว ชั้นจะว่าใครอีกล่ะ”
“ปากอย่างงี้เดี๋ยวก็โดนตบเหมือนวันก่อนหรอก”
“ชั้นเนี่ยนะโดนเธอตบ ประสาท ชั้นไม่เสียเวลามาคุยกับคนบ้าๆ อย่างเธอหรอก ชั้นรีบ”
ราตรีจะเดินไป อบเชยดึงแขนไว้
“นี่เธอ...อย่าคิดว่าจะแอ๊บอ่อนแอต่อหน้าคนอื่นแล้วจะไม่มีใครรู้หรอกนะ ชั้นนี่แหละจะหาหลักฐานมาแฉเธอให้หมดเลย”
“ชั้นเนี่ยนะแอ๊บ” ราตรีหัวเราะ
“เธอไม่มีวันได้แย่งไม้ไปจากชั้นได้หรอก ไม้เป็นของชั้น”
“นี่ หุบปากซะทีได้มั้ย ชั้นไม่สนหรอกนะว่าเธอจะเป็นใครมาจากไหน แล้วเรื่องที่เธอพูดอยู่หมายถึงอะไร แต่จะบอกอะไรให้ฉลาดขึ้นหน่อยนะ ถ้าไอ้ไม้อะไรนั่นที่เธอพูดถึงเป็นผู้ชาย ใครเค้าจะเลือกผู้หญิงบ้านๆ อย่างเธอ ถ้าชั้นจะเอาขึ้นมาจริงๆ เนี่ย เธอไม่มีทางชนะได้หรอก จำไว้”
ราตรีเดินเชิดๆ ผ่านอบเชยไป ปล่อยให้อบเชยยืนเจ็บใจอยู่คนเดียว
“ไม่ได้ ปล่อยให้ไม้ไปหลงผู้หญิงแบบนี้ไม่ได้ ไม้ต้องตาสว่างซะที”
ช่วงสายของวันเดียวกันนั้นขณะที่หลวงพ่อกำลังกวาดลานวัดอยู่ ไม้กับจันทร์เดินเข้ามาทั้งคู่ยกมือไหว้หลวงพ่อ
“หลวงพ่อ”
“มาแต่เช้าเลยนะ”
“ผมจะมาถามเรื่องร่มกับหลวงพ่อน่ะครับ”
“นี่แกจะมาขอยืมร่มพระเหรอ ยืมชั้นก็ได้”
“เฉยๆ เหอะน่า”
“ร่มอีกแล้วเหรอ มันสำคัญอะไรนักหนานะ อาตมาไม่ได้ว่างเว้นจากเรื่องนี้เลย”
“หมายความว่ายังไงครับ”
“ก็เมื่อคืนก็มีคนพาพวกมาบุกถึงกุฏิอาตมา เพื่อจะเอาร่มนี่แหละ”
“ไอ้ทิวา...แล้วมันเอาไปรึยังครับ”
“ไม่ได้เอาไปหรอก มันหายไปซะก่อน”
“หาย”
“ใช่ อาตมาก็วางมันไว้ในโบสถ์นั่นแหละ มาอีกทีก็ไม่อยู่แล้ว”
“ใครเอาไป หลวงพ่อพอจะรู้มั้ยครับ”
“อาตมาก็ถามพระลูกวัด แล้วก็เด็กวัดทั่วแล้ว แต่ไม่มีใครรู้เลย”
“หรือจะเป็นอาศร”
“โยมศรน่ะรึ?”
“ครับ ผมเห็นอาศรมีอาการประหลาดๆ เที่ยวเล่านิทานให้ใครฟังไปทั่ว ผมเลยร้อนใจมาหาหลวงพ่อ”
“นี่แกอย่าบอกนะว่าแกคิดว่าอาศรผีเข้า แล้วจะเรียกพระไปไล่ผี เฮ้ยวิทยาศาสตร์หน่อยสิวะ”
“แกฟังก่อนได้มั้ยวะ”
“แล้วโยมศรจะรู้ได้ยังไงว่าร่มอยู่ที่วัดล่ะ”
“ไม่น่ายากนะครับ อาศรก็รู้ว่าหลวงพ่อไปที่บ้าน พระเอามามันก็ไม่น่าจะไปอยู่ที่ไหนได้”
“แกนี่ฉลาดเหมือนกันนะ” จันทร์ชมไม้
“ก็จริงของโยม”
“งั้นผมลาหลวงพ่อละครับ คงต้องไปจัดการเรื่องนี้ซะหน่อย” ไม้ยกมือไหว้ลาหลวงพ่อ หลวงพ่อพยักหน้ารับ “ไปจันทร์”
ไม้เดินนำไป จันทร์ยกมือไหว้หลวงพ่อแล้วเดินตาม
ส่วนราตรีเธอกลับมาที่สำนักดูดวงพร้อมกับเลือด หมอคมจึงเริ่มทำพิธีโดยมีชามเลือดตั้งอยู่ตรงหน้า หมอคมสวดคาถามีพันเทพกับราตรีนั่งอยู่ด้วย พิธีดูขลัง น่ากลัว แล้วหมอคมก็นิมิตอยู่ท่ามกลางควันมากจนมองแทบไม่เห็นทางเหมือนเดิม
“เจ้าได้กลิ่นเลือดมั้ย ข้ามีเลือดมาให้ ออกมากินสิ” เสียงโหยหวนของสัตว์คล้ายค้างคาวดังมากขึ้น
“ถ้าเจ้ามาหาข้าไม่ได้ จงนำทางข้าไป”
เสียงคล้ายค้างคาวร้องโหยหวนโต้ตอบ
หมอคมลืมตาจากทางใน พันเทพกับราตรีลุ้น
“เป็นไงบ้าง”
พันเทพถาม หมอคมหยิบตุ๊กตาไม้แกะดูคล้ายกุมารทองคู่ใจของตน จุ่มส่วนเท้าตุ๊กตาไม้ลงในเลือดแล้วชูขึ้น
“มันจะนำทางเราไป”
ราตรีมองการกระทำของหมอคมอย่างสะอิดสะเอียน
ที่บ้านศรนารายณ์ขณะนั้นตู้เสื้อผ้าของศรนารายณ์มีเสียงดังก๊อกแก๊ก ราวกับมีสิ่งใดถูกขังอยู่ด้านใน...ไม้กับจันทร์ ยืนอยู่หน้าบ้านศรนารายณ์ ไม้ตะโกนเรียกอบเชย จันทร์เดินไปดูที่ประตู
“อบเชย อบเชย”
“ไม่ต้องเรียกแล้ว กุญแจล็อคขนาดนี้ ไม่มีใครอยู่หรอก”
“ถ้างั้นก็ปีนเข้าไปเลย”
“เฮ้ย”
ไม้ปีนข้ามรั้วบ้านศรนารายณ์เข้าไป จันทร์จำเป็นต้องเออออปีนตามไปด้วย
ไม้กับจันทร์ ปีนข้ามรั้วมายืนหน้าประตู แต่กุญแจล็อคอยู่
“กุญแจล็อค โธ่เว้ย”
“คนไม่อยู่บ้านก็ต้องล็อคกุญแจอยู่แล้ว แกจะหงุดหงิดอะไรเนี่ย”
“แกไม่รู้อะไร ร่มนั่นน่ะไม่ใช่ร่มธรรมดา ใครได้จับมันจะรู้สึกถึงพลังดึงดูดอะไรบางอย่าง ที่อยากจะเก็บเอาเป็นของตัวเองตลอดไป แกดูอาศรสิ เพี้ยนใหญ่แล้ว ต้องเป็นเพราะร่มนั่นแน่ๆ”
“มันจะเป็นไปได้ไงวะ หรือถ้ามันมีพลังดึงดูดอย่างแกว่าจริงแกแน่ใจได้ยังไงว่าแกอยากช่วยอาศร มากกว่าอยากได้เก็บไว้เอง”
“แกว่าชั้นเป็นคนยังไงวะ”
“เออ...แกไม่ใช่คนเลวหรอก แต่ก็ไม่เห็นจะต้องรีบเลยนี่ รออบเชยกลับมาก่อนก็ได้”
“เราจะรู้ได้ไงว่าอาศรจะไม่กลับมาก่อนอบเชยน่ะ ถ้าอาศรกลับมาก่อนเอาร่มออกไปยากแน่ๆ แกไม่มีวันบอกหรอกว่าเอาร่มซ่อนไว้ที่ไหน แล้วยิ่งถ้าแกรู้ว่าเราสงสัยก็จะยิ่งยาก
ไกรกับอบเชยพาศรนารายณ์มานอนพัก หลังจากทำแผลที่แขนใหม่เรียบร้อยแล้ว
“นอนซะนะพ่อ”
“ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย”
“ไม่มีอะไรแล้วละครับ” ไกรบอกพร้อมกับยิ้ม อบเชยมองไกรแล้วยิ้มที่ไกรดีกับพ่อตน “ปกติแล้วลุงศรนี่เป็นคนเชื่ออะไรง่ายๆ รึเปล่า”
“เชื่ออะไรง่ายๆ หมายความว่าไง”
“ก็เหมือนเป็นคนหัวอ่อน โน้มน้าวจิตใจได้ง่าย อะไรแบบนั้น”
“ก็อาจจะนะ”
“ผมว่าอาจจะเป็นอาการทางจิตอย่างหนึ่ง”
“หมายถึงว่าพ่อชั้นเป็นบ้าเหรอ”
“เปล่าหรอก อาจจะโดนสะกดจิต หรือไม่ แกอาจไปเห็นอะไรมาแล้วอุปทานหมู่”
“พ่อก็แทบจะไม่ได้ไปเจอใคร ไหงเป็นแบบนี้ไปได้”
“ไม่ต้องกลัวหรอก ทุกปัญหามีทางออกอยู่แล้ว”
ไกรและอบเชยต่างยิ้มให้กัน ไม้เปิดประตูเข้ามาเห็นอบเชยกับไกรอยู่ด้วยกันไม้นึกน้อยใจเดินออกไป
อบเชยออกมาส่งไม้ ไกร และหลวงพ่อที่หน้าบ้าน ไม้ยังน้อยใจอบเชยจึงไม่มองหน้าเธอ
“เดินทางกันดีๆ นะ” อบเชยบอก
“ปกติไม่เห็นพูดแบบนี้ ตั้งใจจะบอกใครเป็นพิเศษกันแน่” ไม้บอกอย่างน้อยใจ
“อย่ามากวนประสาทได้มั้ย”
“ตอนนี้ชั้นทำอะไรก็ผิดหมดแหละ”
“คอยดูอาการลุงศรไปก่อนนะ ถ้ามีอะไรโทรหาชั้นได้ตลอดเวลา”
ไม้หันมองไกรขวับ
“ขอบคุณค่ะ”
ไม้หันมองอบเชย น้อยใจหนักกว่าเก่า
“เราไปกันเถอะหลวงพ่อ เดี๋ยวจะไม่ทันเพล”
“อาตมาน่าจะเป็นคนพูดมากกว่านะ”
ไม้ถือร่มเดินนำไป หลวงพ่อกับไกรเดินตาม ขณะนั้นทิวาขับรถผ่านมาพอดี ทิวาเห็นไม้เดินอยู่ริมถนน
“ไอ้ไม้...ไอ้กระจอก” ทิวาเห็นร่มในมือไม้ “นั่นมัน...ร่มของพ่อนี่”
ทิวายิ้มคิดอะไรขึ้นมาได้
พันเทพอยู่กับสมุนภายในห้องทำงาน สมุนก้มหน้างุดกลัวความผิด
“มันจะไม่มีได้ไง ค้นทั่วแล้วรึยัง” พันเทพถามอย่างโมโห
“ค้นทั่วแล้วจริงๆ ครับ ไปค้นบ้านตามรายชื่อแขกทุกคนแล้ว ไม่มีที่ไหนมีเลย”
“มันจะเป็นไปได้ไง มันจะไม่มีได้ไง กลับไปค้นใหม่ทุกบ้านเลย มันต้องอยู่ซักที่ ต่อให้ต้องพลิกแผ่นดินหาก็ต้องหาให้เจอ”
“คุณพันเทพครับ จริงๆ แค่ร่มอันเดียว”
พันเทพตบปากสมุน
“หุบปาก แกไม่มีสิทธิ์มาออกความคิดเห็นอะไรทั้งนั้น ชั้นบอกให้หาให้เจอก็ต้องหามาให้เจอ...ไป ไปหา”
สมุนจ๋อยทยอยเดินออกไป ทิวาเดินสวนเข้ามา
“ยังหาไม่เจออีกเหรอครับพ่อ” พันเทพส่ายหน้า “ท่าทางมันจะเป็นของสำคัญมากนะครับ”
“ไม่ใช่เรื่องของเด็ก”
“เอางี้ดีมั้ยครับพ่อ ถ้าผมหาร่มเจอ พ่อต้องบอกผมเกี่ยวกับเรื่องของร่มนั่น”
พันเทพนิ่งคิด สุดท้ายพยักหน้ารับ
ไม้ ไกร หลวงพ่อ เดินผ่านท่ารถบขส.
“พวกโยมไม่ต้องไปส่งอาตมาหรอก จากนี่เดินไปวัดใกล้แค่นี้”
“งั้นลาแล้วหลวงพ่อ”
“เป็นไง ถือร่มแล้วมีอะไรผิดปกติบ้างมั้ย” หลวงพ่อถามไม้
“ก็ปกตินะ คงไม่ใช่เพราะร่มแล้วมั้ง”
“ยังไงอาตมาขอบิณฑบาตไปเก็บไว้ที่วัด โยมอบเชยจะได้สบายใจ”
“ผมว่าอยู่ที่วัดก็น่าจะดีที่สุดแล้วล่ะ”
ไม้จะยื่นร่มให้หลวงพ่อ แต่มือกลับไม่ยอมปล่อย กำไว้แน่น หลวงพ่อต้องแงะมือไม้
“โยมไม้...ปล่อยมั้ย กำซะแน่นเชียว” ไม้รู้สึกตัว
“โทษที คงเคยมือไปหน่อย”
ไม้ปล่อยร่มให้หลวงพ่อ แต่ก็มองมันอย่างเสียดาย
“เจริญพร อาตมาลาล่ะ”
หลวงพ่อเดินแยกตัวออกไป เจ๊กีเดินเข้ามา
“กลับมากันแล้วเหรอ เป็นไงทำงานกับลูกอั๊ว พอไหวมั้ย”
ไม้มองไกรแอบหมั่นไส้
“ก็ดีครับม๊า”
“เรื่องเงินเดือนลื้อไม่ต้องเป็นห่วงนะอาไม้ อั๊วให้อย่างยุติธรรมที่สุดอยู่แล้ว”
“ครับ แล้วนี่พ่อไปวิ่งรถเหรอครับ”
“ใช่”
เสียงตะโกนจากด้านหลัง ทุกคนหันไปมองจึงเห็นชาญเข็นยางรถยนต์ 3 ล้อมาพร้อมกัน
“เจ๊ เอาไว้ไหนเนี่ย”
“ยางรถยนต์ ลื้อจะให้ตั้งไว้ไหน บนโต๊ะทำงานรึไง”
“อ้าวเจ๊ ถามดีๆ นะเนี่ย”
“แล้วพี่ชาญไม่ไปกับพ่อเหรอ”
“อั๊วให้คนอื่นไปกับอาเมฆแทน เอาอาชาญมาช่วยยกของ”
เจ๊กีบอก ไม้พยักหน้าเข้าใจ
ขณะนั้นทิวากับสมุนเดินมาที่วินมอเตอร์ไซค์ด้วยหน้าตากวนๆ วินมอเตอร์ไซค์ที่นั่งอยู่มองตาขวาง ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมาดีหรือร้าย
“คนไหนชื่อสัก”
“มีปัญหาอะไรกับพวกเรารึไง”
“เปล่า พวกแกเป็นพวกนักรบรับจ้างใช่มั้ย”
“ใช่ มีปัญหาอะไร”
“ชั้นจะจ้างพวกแก”
สักขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาจอด มองหน้าทิวากับสมุนด้วยแววตากร้าวๆ
“แล้วแกเป็นพวกไหน”
“ชั้นทิวา ลูกชายพันเทพเจ้าของวินรถตู้” สักหัวเราะ
“เลวเหมือนพ่อไม่มีผิด”
“นี่แกอย่ามาหาเรื่องชั้นนะ ชั้นไม่กลัวพวกแกหรอกพวกรับจ้าง เห็นแก่เงิน ไหนว่าเก่งนักเก่งหนา”
สักโกรธจอดมอเตอร์ไซค์แล้วถีบด้านข้างรถ แถบหลุดออกมาสักเอาแถบนั้นขึ้นมาด้านในเป็นอาวุธของเขา โซ่ยาวคล้องกับเฟือง สักเหวี่ยงมันเฉียดทิวาไป ทิวาไม่กล้าพูดมากอีก
“อย่านึกว่าคนจ้างปากหมาๆ เราจะไม่กล้าเล่นนะ”
“ไม่ใช่ว่ากลัวนะ แต่ไม่อยากจะเสียเวลามาก เพราะมีงานด่วนมาให้ทำ”
ที่ท่ารถบขส.ขณะนั้นไม้กำลังเช็คลมยางรถที่จอดอยู่ ชาญกำลังเช็ดกระจกรถแล้วทิวาก็ส่งเสียงมาขัดจังหวะ
“สวัสดี ทำอะไรกันอยู่เหรอ”
“ไอ้ทิวา”
“ดูท่าจะเหงาอยู่สิท่า ชั้นหาเรื่องอะไรมาให้ทำมั้ย”
ไม้หันไปมองเห็นสักแล้วแก๊งวินมอไซค์ยืนเรียงเป็นตับ
“พวกแกต้องการอะไรอีก”
“ยืนเรียงเป็นตับแบบนี้ ยังจะถามอีกเหรอ” สักถกแขนเสื้อพร้อมมีเรื่อง
“แกน่ะมันขี้ขโมย” ทิวาบอก
“ชั้นไปขโมยอะไรใครตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ยังมาตีหน้าซื่ออีก...ค้นให้ทั่ว”
ทิวาหันไปบอกสมุน สมุนกรูเข้ามาช่วยกันลื้อของในอู่กระจัดกระจาย
“ของอยู่ที่ไหน”
“ของอะไรของแก”
“ร่มของพ่อชั้นไง ชั้นเห็นแกถืออยู่”
“ไม่มี”
เจ๊กีกับไกรเดินหน้าตื่นเข้ามา
“มีเรื่องอะไรกัน”
“ทำไมต้องพาคนมามากมายแบบนี้”
“เรื่องของวัยรุ่นเค้าจะคุยกัน แก่ๆ อย่ายุ่ง” ทิวาบอกแล้วมองไม้ “ว่าไง จะยอมรับแล้วคืนมาดีๆ รึเปล่า”
“ก็มันไม่ได้อยู่ที่ชั้น จะให้คืนยังไงเล่า”
“ถ้างั้น...พวกเรา ลุย”
ทิวาวิ่งตรงไปยังไม้ แก๊งวินมอเตอร์ไซค์กระจัดกระจายเข้าไปหาคนต่างๆ ไกรยืนป้องกันแม่ สักพุ่งตรงมายังไกร ไกรปกป้องด้วยวิธีปัดป้องของเขา โดยไม่ต่อยกลับคืนไปซักนิด ส่วนไม้กับทิวาก็สู้กันดุเดือด เจ๊กีพยายามตะโกนห้าม
“อย่าตีกัน อย่าตีกัน”
ชาญซัดคนที่เข้ามาไม่ยั้งมือ แล้วเขาก็วิ่งไปช่วยไกรกับเจ๊กี ไกรปัดป้องไม่ไหวโดนแรงเหวี่ยงจากสักออกมาราวกับนักมวยปล้ำ ชาญรับมือต่อไกรล้มไปตรงกองไม้พอดี เจ๊กีโดนลูกหลงจากโซ่เข้าไป ไกรเห็นก็โกรธเขาหยิบไม้อันหนึ่งขึ้นมาเป็นอาวุธแล้วควงอย่างคล่องแคล่วเข้ามาช่วยชาญ แล้วไกรก็รำเพลงมวยกรงเล็บพยัคฆ์สู้ ชาญเห็นแล้วตกใจ
“นั่นมันท่ากรงเล็บพยัคฆ์ของลูกผู้ชายนี่”
ชาญตะลึง ไม้หันมามองแล้วทึ่งเช่นกัน แต่เจ๊กีไม่สนใจ
“หมดแล้ว พังหมดแล้ว ไปสู้กันที่อื่นได้มั้ย”
ระหว่างนั้นอบเชยกำลังทำกับข้าวอยู่ที่บ้านแต่อยู่ๆ ก็รู้สึกแปลกๆ
“ทำไมสังหรณ์ใจแปลกๆ นะ หรือว่าไม้จะเป็นอะไร ชิ...จะเป็นอะไรก็ช่างสิ ไม่เห็นจะต้องสนใจเลย”
อบเชยบอกตัวเองแต่ยังไม่คลายกังวลนัก
ที่ท่ารถไม้กับทิวายังสู้กันไม่มีใครยอมใคร
“แกเอาของคืนมาแล้วเรื่องวันนี้จะจบ”
“ของไม่ได้อยู่ที่ชั้นแล้ว”
“แล้วอยู่ที่ใคร”
“ถ้าบอก แกก็เที่ยวไปหาเรื่องเค้าอีก”
“ดี แกจะเจ็บตัวแทนทุกคนก็ตามใจ จำไม่ได้รึไงคราวที่แล้วแกก็แพ้ไม่เป็นท่า”
“วันนี้ชั้นไม่ยอมหรอก”
“เอาเป็นว่าถ้าแกแพ้ แกก็สารภาพมาว่าร่มพ่อชั้นอยู่ไหน”
อีกมุมหนึ่งไกรกับชาญร่วมกันปกป้องเจ๊กีจากตัวพ่ออย่างสัก
“เอ็งทำท่าของลูกผู้ชายได้ไงน่ะ” ชาญถามไกร
“เคยมีคนสอน”
“ใครน่ะ ใครสอน”
ชาญยังไม่ได้คำตอบก็โดนซัดเข้าเต็มๆ ที่หน้า ไกรก็เช่นกัน
“อั๊วไม่สู้ อั๊วยอม”
เจ๊กีบอก จังหวะนั้นไม้พลาดท่าโดนทิวาอัดเข้าเต็มๆ ลงไปนอนกอง
อบเชยทำกับข้าวอยู่ แล้วบังเอิญทำจานหล่นแตก
“ทำไมเป็นงี้นะ มือไม้อ่อนไปหมด หรือมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นจริงๆ”
อบเชยตัดสินใจวิ่งออกจากบ้านไป
ไม้โดนเข่าทิวาล้มกับพื้นอีกรอบ ทิวาเอาเท้าเหยียบอกไม้ไว้
“จะเอาอีกมั้ย” ไม้จุกพูดไม่ออก “ทีนี้บอกได้รึยังว่าร่มอยู่ไหน”
สักเอาเฟืองจี้ที่คอเจ๊กี จับเจ๊กีเป็นตัวประกัน เดินมาทางไม้
“แบบนี้ช่วยให้ตัดสินใจง่ายขึ้นมั้ย”
“ร่มเริ่มอะไร ร่มอันเดียวทำไมต้องมาตีกันให้ตายขนาดนี้ด้วยอั๊วไม่รู้เรื่อง”
เจ๊กีบอก ไกรกับชาญเดินตามมา ทั้งคู่ต่างเจ็บตัว หมดสภาพ
“นั่นสิ ร่มอันเดียวทำไมต้องทำขนาดนี้ด้วย มันมีค่ามากเลยรึไง”
ทิวาอึกอัก ตอบไม่ได้
“พวกแกต้องเป็นคนตอบสิ ว่าเหตุผลอะไรที่แกขโมยมา”
“ตกลงยังไงกันแน่”
“ก็บอกแล้วว่าไม่ได้ขโมย”
“แต่ชั้นเห็นแกถือ”
“เชือดอีนี่โชว์ก่อนดีมั้ย จะได้พูดกันง่ายขึ้น” สักบอก
“อย่านะ...ชั้นบอกให้ อย่าทำอะไรม๊า” ไกรรีบบอก ทิวายิ้ม
“ในที่สุด”
“อย่า...” ไม้ร้องห้ามแต่ไม่ทัน
“ร่มอยู่ที่วัด หลวงพ่อเก็บไว้”
“ก็แค่นี้ไง ทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยากทำไมว๊า”
“แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ เชือดอีนี่เล่นหน่อยไม่ดีรึไง” สักถาม
“ก็แล้วแต่แก”
“ไม่ได้นะ ชั้นบอกแล้วแกต้องปล่อยแม่ชั้นสิ”
“ทำแบบนั้นก็ไม่สนุกน่ะสิ”
“อั๊วซวยสุดเลยเนี่ย รู้เรื่องก็ไม่เคยรู้เรื่องด้วยเลย”
สักเอาโซ่แกว่งเป็นวงกันคนเข้ามา แล้วเอาเฟืองจักรยานจ่อคอเจ๊กี กดลงไปให้แรงขึ้น แต่แล้วลูกผู้ชายก็ปรากฏตัวมา เตะพับในสัก หักข้อมือ จนสักปล่อยอาวุธหล่นจากมือ ลูกผู้ชายกระทืบซ้ำ
“จะทำอะไรให้มันสมที่เกิดมาเป็นผู้ชายหน่อย”
“ลูกผู้ชาย”
ไกรงงกับลูกผู้ชายเพราะไม่เคยเจอมาก่อน ส่วนไม้ยิ้มอย่างดีใจ ลูกผู้ชายพอจัดการกับสักเสร็จก็เข้าไปจัดการทิวา แค่กรงเล็บพยัคฆ์ท่าเดียวก็ซัดทิวาหมอบสนิท
“เป็นเด็กเพิ่งหัดมวย รีบทำตัวเป็นนักเลงไปมั้ย กลับใจดีกว่าทิวาเธอยังมีโอกาส”
ทิวานอนหมอบแต่ยังพยายามดันตัวเองขึ้นมา และยังปากดี
“ไอ้คนที่เอาแต่หลบซ่อนอยู่ใต้หน้ากากอย่างแก ไม่มีสิทธิ์มาสั่งสอนชั้น”
“เดี๋ยวกระทืบให้ตายซะดีมั้ยเนี่ย”
“คนอย่างแกหลอกได้แต่คนโง่ๆ เท่านั้นแหละ สำหรับชั้นแกมันก็แค่คนที่มีอาวุธดี คอยดูเถอะ วันนึงชั้นต้องชนะแกได้ คอยดู”
ไม้ส่ายหน้าระอาใจกับคำพูดทิวา
“ชั้นจะรอวันนั้น พวกแกกลับไปให้หมดแล้วอย่าเที่ยวมารังแกคนไม่มีทางสู้อีก” ลูกผู้ชายบอก
“คนไม่มีทางสู้ ใช้คำแรงไปนะ” ชาญบอก
“วันนี้พอแค่นี้ พวกเรากลับ”
ทิวา สักและคนอื่นๆ ทยอยกลับ ก่อนไปทิวามองไม้ดังคนไม่ยอมแพ้
“ขอบคุณมากเลยนะลูกผู้ชาย โคตรเท่ ๆ” ชาญบอก ลูกผู้ชายยิ้มรับ
“ถ้าไม่ได้ลูกผู้ชายเราคงแย่”
ลูกผู้ชายยิ้มส่งท้าย แล้วเดินหายไป
อบเชยวิ่งมาถึงหน้าท่ารถเห็นทิวากับพวกเดินออกมา อบเชยตกใจ
“ไม้”
ทิวาหันมาเห็นอบเชย
“จะมาเชียร์เหรอ เสียดายนะมาไม่ทัน”
“แกทำอะไรไม้” ทิวายิ้มเยาะ
“ชั้นว่าเธอเลิกสนใจคนอ่อนแอแบบนั้นเถอะ ชั้นน่ะดีกว่ามันเป็นไหนๆ”
“ไม่มีวันหรอก”
อบเชยรีบวิ่งเข้าไปดูด้านใน
“ไม่มีวันเหรอ คอยดูก็แล้วกัน”
ทิวาบอกอย่างคนไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ
ไกรเป็นห่วงเจ๊กีที่เพิ่งโดนจับเป็นตัวประกันจึงรีบเข้ามาดู
“ม้าเป็นอะไรมั้ย”
“ทำไมจะไม่เป็น ลื๊อดูสิพังหมดแล้ว”
“ห่วงตัวเองก่อนเถอะ ของพวกนี้เรามีประกัน”
“จะไม่มีบริษัทไหนรับทำประกันอยู่แล้ว”
“นี่ถามหน่อยเถอะ แกไปฝึกท่าของลูกผู้ชายมาจากไหน” ชาญถามไกร
“ก็ไหนว่าสู้ใครไม่เป็น” ไม้ถาม
“พระธุดงค์เคยสอนให้ตอนบวชเป็นเณรน่ะ ไม่เคยใช้เลย”
“บ๊ะ...เอ็งนี่มันมีอะไรมาให้ข้าตื่นเต้นได้ตลอด”
“คุณไกรเคยบวชเณรด้วยเหรอ” ไม้ถามอย่างแปลกใจ ไกรพยักหน้า
อบเชยเข้ามาเห็นคนล้มนอนโอดโอย อบเชยเห็นไม้ที่กำลังเดินกระเผลก ไกรกับชาญก็เช่นกัน อบเชยวิ่งเข้ามา ชาญหันไปเห็น
“นั่นอบเชยนี่” ไม้อมยิ้ม ชาญเอาศอกกระทุ้งแซว “มีคนคอยดูใจตลอดเลยนะ”
ไม้ยิ้มเขินๆ อบเชยวิ่งมาถึง มองไม้อย่างเป็นห่วง
“ไม่ต้องพูดมากหรอกน่า ชั้นไม่เป็นอะไรมากหรอก”
ไม้บอกอบเชยหมั่นไส้ เลยหันไปหาไกรแทน
“คุณไกรเป็นอะไรมากรึเปล่า ชั้นเป็นห่วงแทบแย่”
ไม้เสียหน้า ชาญหัวเราะ
“เก้อเลยไอ้ไม้ข้า”
“เก้ออะไร เปล่าซะหน่อย”
“ชั้นว่าคุณไกรกับเจ๊กีไปนั่งพักก่อนดีกว่า เดี๋ยวชั้นดูแผลให้”
อบเชยทำเป็นไม่แคร์ไม้ พาไกรกับเจ๊กีไปนั่ง ไม้ถึงกับเซ็ง เมฆขับรถเข้ามาพอดี เมฆรีบลงจากรถมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ”
“จะอะไรซะอีกลูกพี่ นอกจากว่าพวกแก๊งค์วินมาบุก เวลาคับขันทีไรไม่เคยได้อยู่ซักทีนะพี่น่ะ”
“ก็ไปทำงานที่เอ็งอู้ไง”
“แหะ แหะ”
คืนนั้นไม้กับเมฆเดินกลับบ้านด้วยกัน
“ทำไมลูกไม่บอกมันไปตั้งแต่แรกว่าร่มอยู่ที่ใคร”
“คงเพราะชั้นไม่อยากให้พวกมันไปวุ่นวายอะไรที่วัด”
“ทำไมใช้คำว่าคงเพราะล่ะ”
“ก็...ชั้นก็ไม่แน่ใจตัวเองเหมือนกัน ชั้นว่าร่มนั่นมันทำให้รู้สึกแปลกๆ”
“แปลกๆ ที่ว่านี่แบบไหน”
“จริงๆ ชั้นก็อธิบายไม่ถูกนะพ่อ มันเหมือนไม่อยากให้มันไปเป็นของใคร อยากจะให้เป็นของเรา คล้ายๆ แบบนั้น”
“มันเป็นร่มอะไรกันนะ มันทำให้คนต้องยอมเจ็บตัวเพื่อมันขนาดนี้เลยเหรอ”
เมฆทำหน้าแปลกใจ
ส่วนที่ท่ารถชาญกำลังจะกลับบ้าน แต่ไกรเรียกชาญไว้
“ชาญ ผมขอถามอะไรหน่อยสิ”
“โห่...ไม่เคยจะรู้เวล่ำเวลาเลย คนทั้งเจ็บทั้งเหนื่อย”
“ไม่นานหรอก คือผมอยากรู้เกี่ยวกับฮีโร่ที่ปรากฏตัววันนี้”
“ลูกผู้ชายน่ะเหรอ เขาน่ะโคตรเก่ง โคตรเท่ แล้ว...”
“อาวุธที่เขาถืออยู่น่ะ”
“ไม้ตะพดไง ไม้ตะพดที่เอ็งเล่าตำนานจากคัมภีร์ใบลานที่เอ็งเคยอ่านให้ฟังไง”
“มีจริงๆ เหรอ ไม้ตะพดนั้นน่ะ”
“เอ็งเห็นลูกผู้ชายถือป่ะล่ะ ถ้าเห็นก็แปลว่ามี เอ็งเห็นใช่มั้ยว่ามันไม่ธรรมดาเลย”
“แต่ในตำนานเล่าว่าตะพดหักเป็น 2 ท่อน แล้วอีกอันอยู่ไหนล่ะ ผมเห็นลูกผู้ชายถือแค่อันเดียว”
“ใครจะบ้าถือสองอัน มีหวังขวาซ้ายตีกันเอง”
“อีกอันอยู่ที่ลูกผู้ชายรึเปล่า”
“ไม่รู้...ข้าจะไปตรัสรู้จากไหนล่ะ ตัวเองยังเอาไม่รอดเลย นี่ วันหลังสอนข้ามั่งสิ ไอ้ท่ากรงเล็บพยัคฆ์ของลูกผู้ชายน่ะ นะ” ไกรยิ้ม “ว่าแต่วันนี้มันไม่น่าจะมีเรื่องเลยว่ามั้ย เพราะแค่ไอ้ร่มบ้าบออะไรนั่นแท้ๆ ถ้าเปลี่ยนจากร่มเป็นไม้ตะพดอีกอันที่เอ็งถามถึงก็ว่าไปอย่าง ค่อยน่าแย่งหน่อย”
ชาญพูดอย่างไม่ใส่ใจแล้วเดินจากไป ปล่อยให้ไกรยืนเหม่อคิดถึงเรื่องราวในอดีตเมื่อครั้งเป็นเณร...พระพม่าสูงอายุกำลังสอนเณรไกรฝึกท่ากรงเล็บพยัคฆ์อยู่
“ท่าทางเอ็งมันได้เรื่องจริงๆ ช่างสงสัย อยากเรียนรู้”
“มันเป็นท่าอะไรเหรอครับ”
“มันเป็นท่าของอาจารย์ปู่ของอาตมาเอง ท่านเป็นฤาษีในป่า”
“ทำไมต้องมีท่าต่อสู้ด้วยละฮะ”
“ก็เพราะในป่ามีแต่อันตรายน่ะสิ เจ้าฝึกไว้ป้องกันอันตรายนะ”
“ครับ”
“ท่านี้มันจำเป็นต้องใช้กับไม้...แต่ไม้มันหายสาบสูญไปนานแล้วล่ะ”
ไกรยืนคิดอยู่คนเดียว
“นั่นมันเป็นเรื่องจริงสินะ”
ไกรพึมพำออกมา
คืนนั้นขณะที่หลวงพ่อกำลังสวดมนต์กับโต๊ะหมู่บูชา ทิวาเปิดประตูห้องเข้ามาพร้อมสมุน หลวงพ่อหยุดสวดมนต์ค่อยๆ หันมาอย่างสงบ
“ก็ไม่ได้อยากจะขัดจังหวะหรอกนะหลวงพ่อ”
“โยมมีธุระอะไรกับอาตมารึ”
“ผมมาเอาร่มของพ่อผมคืน”
“แค่ร่มอันเดียว ทำไมต้องพาคนมาตั้งมากตั้งมาย”
“ก็หลวงพ่อจะทำให้มันเป็นเรื่องง่ายหรือเรื่องยากล่ะ”
“เจ้าของมาขอคืน ทำไมอาตมาจะต้องทักท้วงด้วย”
“ถ้างั้นอยู่ไหนล่ะร่ม”
หลวงพ่อพาทิวาและสมุนมาที่โบสถ์
“อาตมาเก็บร่มไว้ที่นี่แหละ”
หลวงพ่อบอก ทิวาจึงหันไปสั่งสมุน
“ไปดูซิ” สมุนเดินหาร่มจนทั่ว แต่ก็ไม่เห็น “ไม่เห็นจะมีเลยหลวงพ่อ โกหกรึเปล่าเนี่ย”
“อาตมาเป็นพระ จะทำผิดศีลได้ยังไง...ลองดูที่ฐานพระสิ” ทิวาหงุดหงิดเดินไปดูเอง แต่หาไม่เห็นเลย
“ไม่มี ไม่มีนี่หลวงพ่อ”
“ถ้าเช่นนั้นก็คงมีใครหยิบไปแล้ว”
“พูดง่ายๆ แบบนี้น่ะเหรอ ไม่รับผิดชอบเลย”
“จะให้อาตมารับผิดชอบยังไง ในเมื่อมีคนอยากฝากให้เก็บไว้ที่วัดอาตมาก็นำมา หากมันจะหายมันเป็นเรื่องใหม่ที่อยู่นอกเหนือ สิ่งที่อาตมาทำแล้ว”
“มันวิเศษอะไรนักหนา ถึงมีแต่คนอยากได้”
ทิวาพึมพำออกมา
ศรนารายณ์แอบเปิดประตูเข้ามาในบ้านเบาๆ หวังจะไม่ให้อบเชยรู้แต่อบเชยนั่งรอพ่ออยู่
“พ่อ”
ศรนารายณ์สะดุ้ง
“สวัสดีจ้ะลูก”
“พ่อหายไปไหนมา”
“พ่อไปเดินเล่นสูดอากาศข้างนอก”
“ชั้นบอกให้พ่อพักผ่อนเยอะๆ ไง ไปเดินเล่นอะไรค่ำๆ มืดๆ”
“ก็มันเบื่อนี่ ให้พ่อนอนอยู่กับบ้านเฉยๆ งานการก็ไม่ได้ไปทำ”
“ก็ถ้าพ่อไม่เป็นบ้าเหมือนเมื่อตอนกลางวัน ชั้นคงไม่ห้ามพ่อไปไหน”
“พ่อไม่ได้บ้า”
“ไม่ได้บ้าอะไร ทำร้ายทั้งไม้ ทั้งลูกตัวเองขนาดนั้น นี่พ่ออย่าไปยุ่งกับไอ้ร่มบ้านั่นอีกเลยนะ ชั้นว่ามันต้องทำของไว้แน่ๆ พ่อจำได้มั้ย ตอนที่มันมาท้าสู้กับพ่อเพื่อให้ไปเป็นครูสอนมวยมันก็ถือร่มนี่มาด้วย เพราะร่มเนี่ยอาจจะทำให้พ่อแพ้ก็ได้”
“บ้า คิดมากไปใหญ่แล้ว แค่ร่มอันเดียว ไม่มีเรื่องอะไรพวกนั้นหรอก ไปนอนเถอะ”
อบเชยไม่ติดใจอะไรจึงไม่ได้สังเกตว่าศรนารายณ์เหมือนกำลังปกปิดอะไรบางอย่าง
ที่บ้านพันเทพ พันเทพนั่งเครียดหยิบกล่องไม้โบราณที่ใส่ไม้ตะพด เปิดดูภายในที่ว่างเปล่า
“ไม่ว่าไม้ตะพดเลือดจะไปอยู่ที่ไหน ชั้นจะตามมันคืนมาให้ได้ ใครขวางชั้นจะฆ่ามันให้หมด”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น พันเทพเก็บกล่องไม้ ราตรีเปิดประตูเข้ามา
“ยังไม่นอนอีกเหรอคะพ่อ”
“นอนไม่ค่อยหลับ”
“กังวลเรื่องของที่หายใช่มั้ยคะ” พันเทพพยักหน้ารับ “ก็เห็นว่าพี่ทิวาออกตามหาแล้ว ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ”
“ทิวาน่ะ…ไม่ใช่จะไว้ใจได้หรอกนะ” พันเทพส่ายหน้าอย่างระอา
“พ่อทำท่าเหมือนกับพูดถึงสมุนของพ่อคนอื่นๆ เลย เหมือนไม่ได้สนใจใยดีพี่ทิวา”
“ไม่ใช่ เคยได้ยินมั้ยลูกว่า ของบางอย่าง…ถ้าปล่อยให้หลุดมือไป มันยากที่จะได้กลับคืน”
“แต่พ่อของราตรีน่ะ อยากได้อะไรก็ต้องได้ทุกอย่างเหมือนกัน ราตรีเชื่อว่ายังไงพ่อก็ต้องได้คืนค่ะ”
“ขอบคุณใจมากลูก”
“ถ้าพ่อกังวลใจ ลองหาวิธีอื่นดูมั้ยคะอาจจะช่วยได้บ้าง”
“วิธีอะไรไหนลองพูดมาให้พ่อฟังซิ”
“ก็อย่างเช่น ให้หมอดูช่วย ราตรีก็ไม่รู้หรอกว่าช่วยได้จริงๆ มั้ย แต่อาจจะช่วยให้พ่อสบายใจขึ้นก็ได้”
“หมอดูเหรอ…”
พันเทพคิดตามที่ราตรีบอก
อ่านต่อหน้า 2
ลูกผู้ชายไม้ตะพด ตอนที่ 3 (ต่อ)
วันต่อมาพันเทพกับราตรีมาที่สำนักดูดวง ซึ่งมีคนนั่งอยู่ในสำนักมากมาย หมอคมท่าทางเคร่งขรึมดูน่าเกรงขามนั่งอยู่สูงกว่าคนอื่น ชาวบ้านยกมือไหว้ พันเทพกับราตรีมาทีหลังมองอย่างไม่ค่อยเชื่อสายตาเท่าไหร่นัก
“คนเยอะจังเลยพ่อ”
“ก็เพราะเป็นหมอดูที่เก่งที่สุดน่ะสิ”
“พ่อเคยมาเหรอ”
“ครั้งแรก แต่เคยได้ยินชื่ออยู่บ่อยๆ”
หมอคมรู้สึกได้ถึงการมาของพันเทพและราตรี เขาจึงหันขวับไปหาทั้งสอง
“เจ้าสองคนมาตามหาของ...ที่นี่ไม่มีหรอก”
ชาวบ้านฮือฮาหันตามไปมองพันเทพกับราตรี
“พ่อ เค้ารู้ว่าเราคิดอะไรได้ยังไง น่ากลัวไปนะแบบนี้”
“ใจเย็นๆ ก่อนลูก...ท่านช่างเก่งกล้าสมคำร่ำลือ รู้แม้กระทั่งผมคิดอะไรอยู่” หมอคมหัวเราะ
“ข้ารู้ยิ่งกว่านั้น”
ลูกศิษย์หมอคมเชิญทั้งคู่มานั่งหน้าสุด ราตรีมองหน้าพันเทพไม่ค่อยเข้าใจนัก
หมอคมนั่งทางในแล้วนิมิตเห็นสถานที่แห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยควัน ไร้ซึ่งสิ่งของได้ยินเสียงร้องจางๆคล้ายค้างคาว หมอคมกำลังเดินตามเสียงแต่มันช่างจางและไกลเหลือเกินจนเดินไปไม่ถูกทาง หมอคมได้ยินเสียงกระซิบจางๆ
“เลือดดด เลือดดด”
หมอคมลืมตาจากการนั่งทางใน พันเทพ ราตรี รอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ
“เป็นยังไงบ้าง” พันเทพถาม
“มองไม่เห็น มืดไปหมด แปลกมาก”
“อ้าว แล้วแบบนี้จะต้องทำยังไงละคะ”
“ถ้าไปหามันไม่ได้ ก็ให้มันมาหาเรา”
“แล้วต้องทำยังไง”
“เลือด พวกเจ้าไปหาเลือดมาให้ข้า”
“เลือดอะไรกัน ต้องถึงเลือดเลยเหรอ” ราตรีถามอย่างแปลกใจ
“เลือดหมู เลือดไก่ เลือดสดๆ อะไรก็ได้ รึเจ้าจะเอาเลือดของเจ้าล่ะ”
“มันก็ยังน่ากลัวอยู่ดี”
“น่ากลัวรึไม่ ไม่ลองถามพ่อเจ้าดูล่ะ ว่าทำไมต้องใช้เลือด”
ราตรีหันมองพ่อรอคำตอบ
“อย่าเสียเวลาเลยน่า ราตรีออกไปหาเลือดที่ตลาดให้พ่อหน่อยไป”
ราตรีหน้างอ ไม่ค่อยพอใจนัก
“ก็ได้ค่ะ”
ราตรีลุกออกไป หมอคมมองหน้าพันเทพอย่างรู้ทัน
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นที่ท่ารถบขส.เมฆกำลังเก็บซากข้าวของที่โดนแก๊งวินมอเตอร์ไซค์มาทำลาย กวาดทำความสะอาดด้วย โดยมีคนอื่นๆ มาช่วยทำความสะอาดคนละไม้ละมือ ศรนารายณ์ก็มาช่วยด้วย
“พี่เมฆ พี่เมฆ อยากฟังนิทานมั้ย ชั้นฟังมาหลายเรื่องเลยนะ”
“อะไรเนี่ยพี่ศร อายุปูนนี้แล้วยังจะมาเล่านิทานอะไร”
“ไม่อยากฟังเหรอ สนุกนะ”
“เอ้าอยากเล่าก็เล่ามา...”
“งั้นเริ่มละนะ สมัยก่อนที่เมืองพาราณสี อันเป็นที่ประทับขององค์ประศิวะ...”
“เดี๋ยวๆๆ นี่คงไม่ได้กำลังจะเล่านิทานเวตาล 25 เรื่องหรอกใช่มั้ย”
“พี่เมฆรู้ได้ยังไง”
“จะไม่รู้ได้ยังไง ชั้นก็อ่านเหมือนกัน อ่านก่อนนอนทุกวันเลยจนท่องขึ้นใจแล้ว”
“อ้าว ไม่สนุกเลย”
“แล้วทำไมอยู่ๆ ก็จะมาเล่านิทานเวตาลขึ้นมาล่ะ”
“ไม่รู้...นั่นน่ะสิ...ทำไมนะ”
“ไปฟังมาจากไหนล่ะ”
“ฟังจากไหน ฟังจากไหนนะ ทำไมนึกไม่ออก”
ศรนารายณ์เดินนึกแยกตัวจากเมฆไป เมฆมองตามไม่เข้าใจพฤติกรรมศรนารายณ์
ขณะนั้นไม้กับจันทร์ช่วยกันทำความสะอาดอยู่อีกมุมหนึ่ง
“ขอบใจมากนะที่มาช่วย” ไม้บอกกับจันทร์
“ตอนไม่มีเรื่องเดือดร้อนไม่เคยจะไปหา”
“ไม่ต้องมาประชดหรอกน่า”
“แล้วเรื่องที่ให้ตามหาคนที่น่าจะเป็นลูกผู้ชายน่ะ ไปถึงไหนแล้ว”
“ก็ชั้นบอกแล้วไงว่าอาศรน่ะเป็นลูกผู้ชาย แกไม่สังเกตเหรอ เวลาที่ลูกผู้ชายปรากฏตัวทีไร อาศรไม่เคยอยู่ตรงนั้นซักที”
“มีหลายคนที่ไม่อยู่ อาแปะร้านกาแฟก็ไม่เคยอยู่ น้าแอ๋วร้านขายปลาก็ไม่เคยอยู่ แกสังเกตแบบนี้ไม่ได้ ที่แกทำอยู่น่ะคือการพยายามหาเหตุผลมาสนับสนุนสิ่งที่แกคิดทำแบบนี้ไม่มีทางเจอตัวลูกผู้ชายหรอก”
“แต่อาศรน่ะมีแน้วโน้มจริงๆ ชั้นมั่นใจ”
ศรนารายณ์เดินตาลอยเข้ามาในวงพอดี
“ไปฟังมาจากไหน ทำไมถึงจำไม่ได้นะ”
“บ่นอะไรอาศร” จันทร์ถาม
“นิทานน่ะสิ...ชั้นไปฟังมาจากไหน”
“นิทานอะไรเหรอ”
“อยากฟังเหรอ มาสิจะเล่าให้ฟัง”
“หึหึ คนอะไร จู่ๆ ก็จะมาเล่านิทาน หน้าตาพวกชั้นเหมือนคนชอบฟังนิทานรึไง”
“นิทานเวตาลเชียวนะ”
“โอ้โห...โบราณขนาดนั้นเลย” จันทร์หัวเราะ
“อาศรหายดีรึยังเนี่ย ทำไมยังทำท่าทางแปลกๆ อยู่เลย แล้วอบเชยไปไหนเนี่ยทำไมไม่ดูแล” ไม้ถาม
“หายดีอะไร ไม่ได้เป็นอะไรซักหน่อย ไอ้ไม้นี่ ท่าจะเพี้ยน”
ศรนารายณ์เดินแยกตัวออกไป ไม้มองตามอย่างเป็นห่วง
“นี่น่ะเหรอ ลูกผู้ชายของแก” จันทร์หัวเราะ “ไม่มีทางเลยว่ะ ไม่มีทางเป็นไปได้ซักนิด ต่อให้ลูกผู้ชายจะปิดบังอำพรางตัวยังไงตัวจริงของเค้าก็คงไม่มีทางจะเดินเล่านิทานให้ใครฟังแน่ๆ”
“แต่...”
“หรือแกว่าไม่จริง”
ไม้เถียงไม่ออก ได้แต่มองตามศรนารายณ์อย่างเป็นห่วง
“อบเชยนะ บอกให้ดูแลอาศรดีๆ แท้ๆ”
ขณะนั้นอบเชยกำลังเดินซื้อผักในตลาด อบเชยจามเสียงดัง
“นี่ใครนินทาเนี่ย”
ราตรีเดินเข้ามาในตลาด ทำท่าขยะแขยงพื้นที่เปียกแฉะ
“อี๋...ทำไมพ่อไม่มาเองนะ ที่สกปรกแบบนี้ก็รู้ว่าชั้นไม่ชอบ”
อบเชยเห็นราตรีเดินเข้ามา จี๊ดขึ้นมาทันที จึงเดินเข้าไปหา
“ไง...ไหนว่าเป็นผู้ดีไม่ใช่เหรอ ทำไมมาจ่ายตลาดเองละจ้ะ”
“นอกจากจะสกปรกแล้วยังต้องมาเสวนากับพวกคนชั้นต่ำอีก”
“เฮ้ย...ว่าใครชั้นต่ำ”
“คนที่มาคุยกับชั้นก็มีแต่เธอคนเดียว ชั้นจะว่าใครอีกล่ะ”
“ปากอย่างงี้เดี๋ยวก็โดนตบเหมือนวันก่อนหรอก”
“ชั้นเนี่ยนะโดนเธอตบ ประสาท ชั้นไม่เสียเวลามาคุยกับคนบ้าๆ อย่างเธอหรอก ชั้นรีบ”
ราตรีจะเดินไป อบเชยดึงแขนไว้
“นี่เธอ...อย่าคิดว่าจะแอ๊บอ่อนแอต่อหน้าคนอื่นแล้วจะไม่มีใครรู้หรอกนะ ชั้นนี่แหละจะหาหลักฐานมาแฉเธอให้หมดเลย”
“ชั้นเนี่ยนะแอ๊บ” ราตรีหัวเราะ
“เธอไม่มีวันได้แย่งไม้ไปจากชั้นได้หรอก ไม้เป็นของชั้น”
“นี่ หุบปากซะทีได้มั้ย ชั้นไม่สนหรอกนะว่าเธอจะเป็นใครมาจากไหน แล้วเรื่องที่เธอพูดอยู่หมายถึงอะไร แต่จะบอกอะไรให้ฉลาดขึ้นหน่อยนะ ถ้าไอ้ไม้อะไรนั่นที่เธอพูดถึงเป็นผู้ชาย ใครเค้าจะเลือกผู้หญิงบ้านๆ อย่างเธอ ถ้าชั้นจะเอาขึ้นมาจริงๆ เนี่ย เธอไม่มีทางชนะได้หรอก จำไว้”
ราตรีเดินเชิดๆ ผ่านอบเชยไป ปล่อยให้อบเชยยืนเจ็บใจอยู่คนเดียว
“ไม่ได้ ปล่อยให้ไม้ไปหลงผู้หญิงแบบนี้ไม่ได้ ไม้ต้องตาสว่างซะที”
ช่วงสายของวันเดียวกันนั้นขณะที่หลวงพ่อกำลังกวาดลานวัดอยู่ ไม้กับจันทร์เดินเข้ามาทั้งคู่ยกมือไหว้หลวงพ่อ
“หลวงพ่อ”
“มาแต่เช้าเลยนะ”
“ผมจะมาถามเรื่องร่มกับหลวงพ่อน่ะครับ”
“นี่แกจะมาขอยืมร่มพระเหรอ ยืมชั้นก็ได้”
“เฉยๆ เหอะน่า”
“ร่มอีกแล้วเหรอ มันสำคัญอะไรนักหนานะ อาตมาไม่ได้ว่างเว้นจากเรื่องนี้เลย”
“หมายความว่ายังไงครับ”
“ก็เมื่อคืนก็มีคนพาพวกมาบุกถึงกุฏิอาตมา เพื่อจะเอาร่มนี่แหละ”
“ไอ้ทิวา...แล้วมันเอาไปรึยังครับ”
“ไม่ได้เอาไปหรอก มันหายไปซะก่อน”
“หาย”
“ใช่ อาตมาก็วางมันไว้ในโบสถ์นั่นแหละ มาอีกทีก็ไม่อยู่แล้ว”
“ใครเอาไป หลวงพ่อพอจะรู้มั้ยครับ”
“อาตมาก็ถามพระลูกวัด แล้วก็เด็กวัดทั่วแล้ว แต่ไม่มีใครรู้เลย”
“หรือจะเป็นอาศร”
“โยมศรน่ะรึ?”
“ครับ ผมเห็นอาศรมีอาการประหลาดๆ เที่ยวเล่านิทานให้ใครฟังไปทั่ว ผมเลยร้อนใจมาหาหลวงพ่อ”
“นี่แกอย่าบอกนะว่าแกคิดว่าอาศรผีเข้า แล้วจะเรียกพระไปไล่ผี เฮ้ยวิทยาศาสตร์หน่อยสิวะ”
“แกฟังก่อนได้มั้ยวะ”
“แล้วโยมศรจะรู้ได้ยังไงว่าร่มอยู่ที่วัดล่ะ”
“ไม่น่ายากนะครับ อาศรก็รู้ว่าหลวงพ่อไปที่บ้าน พระเอามามันก็ไม่น่าจะไปอยู่ที่ไหนได้”
“แกนี่ฉลาดเหมือนกันนะ” จันทร์ชมไม้
“ก็จริงของโยม”
“งั้นผมลาหลวงพ่อละครับ คงต้องไปจัดการเรื่องนี้ซะหน่อย” ไม้ยกมือไหว้ลาหลวงพ่อ หลวงพ่อพยักหน้ารับ “ไปจันทร์”
ไม้เดินนำไป จันทร์ยกมือไหว้หลวงพ่อแล้วเดินตาม
ส่วนราตรีเธอกลับมาที่สำนักดูดวงพร้อมกับเลือด หมอคมจึงเริ่มทำพิธีโดยมีชามเลือดตั้งอยู่ตรงหน้า หมอคมสวดคาถามีพันเทพกับราตรีนั่งอยู่ด้วย พิธีดูขลัง น่ากลัว แล้วหมอคมก็นิมิตอยู่ท่ามกลางควันมากจนมองแทบไม่เห็นทางเหมือนเดิม
“เจ้าได้กลิ่นเลือดมั้ย ข้ามีเลือดมาให้ ออกมากินสิ” เสียงโหยหวนของสัตว์คล้ายค้างคาวดังมากขึ้น
“ถ้าเจ้ามาหาข้าไม่ได้ จงนำทางข้าไป”
เสียงคล้ายค้างคาวร้องโหยหวนโต้ตอบ
หมอคมลืมตาจากทางใน พันเทพกับราตรีลุ้น
“เป็นไงบ้าง”
พันเทพถาม หมอคมหยิบตุ๊กตาไม้แกะดูคล้ายกุมารทองคู่ใจของตน จุ่มส่วนเท้าตุ๊กตาไม้ลงในเลือดแล้วชูขึ้น
“มันจะนำทางเราไป”
ราตรีมองการกระทำของหมอคมอย่างสะอิดสะเอียน
ที่บ้านศรนารายณ์ขณะนั้นตู้เสื้อผ้าของศรนารายณ์มีเสียงดังก๊อกแก๊ก ราวกับมีสิ่งใดถูกขังอยู่ด้านใน...ไม้กับจันทร์ ยืนอยู่หน้าบ้านศรนารายณ์ ไม้ตะโกนเรียกอบเชย จันทร์เดินไปดูที่ประตู
“อบเชย อบเชย”
“ไม่ต้องเรียกแล้ว กุญแจล็อคขนาดนี้ ไม่มีใครอยู่หรอก”
“ถ้างั้นก็ปีนเข้าไปเลย”
“เฮ้ย”
ไม้ปีนข้ามรั้วบ้านศรนารายณ์เข้าไป จันทร์จำเป็นต้องเออออปีนตามไปด้วย
ไม้กับจันทร์ ปีนข้ามรั้วมายืนหน้าประตู แต่กุญแจล็อคอยู่
“กุญแจล็อค โธ่เว้ย”
“คนไม่อยู่บ้านก็ต้องล็อคกุญแจอยู่แล้ว แกจะหงุดหงิดอะไรเนี่ย”
“แกไม่รู้อะไร ร่มนั่นน่ะไม่ใช่ร่มธรรมดา ใครได้จับมันจะรู้สึกถึงพลังดึงดูดอะไรบางอย่าง ที่อยากจะเก็บเอาเป็นของตัวเองตลอดไป แกดูอาศรสิ เพี้ยนใหญ่แล้ว ต้องเป็นเพราะร่มนั่นแน่ๆ”
“มันจะเป็นไปได้ไงวะ หรือถ้ามันมีพลังดึงดูดอย่างแกว่าจริงแกแน่ใจได้ยังไงว่าแกอยากช่วยอาศร มากกว่าอยากได้เก็บไว้เอง”
“แกว่าชั้นเป็นคนยังไงวะ”
“เออ...แกไม่ใช่คนเลวหรอก แต่ก็ไม่เห็นจะต้องรีบเลยนี่ รออบเชยกลับมาก่อนก็ได้”
“เราจะรู้ได้ไงว่าอาศรจะไม่กลับมาก่อนอบเชยน่ะ ถ้าอาศรกลับมาก่อนเอาร่มออกไปยากแน่ๆ แกไม่มีวันบอกหรอกว่าเอาร่มซ่อนไว้ที่ไหน แล้วยิ่งถ้าแกรู้ว่าเราสงสัยก็จะยิ่งยาก