ลูกผู้ชายไม้ตะพด ตอนที่ 2
คืนเดียวกันนั้น ในขณะที่อบเชยอาบน้ำเตรียมตัวจะนอน อยู่ๆ เธอก็นึกถึงเหตุการณ์ตอนที่ไกรช่วยเธอไม่ให้ล้ม อบเชยพยายามสลัดภาพไกรออกจากหัว ศรนารายณ์เปิดประตูเข้ามาเห็นอาการลูกสาวพอดี
“เป็นอะไรน่ะลูก”
อบเชยสะดุ้ง
“ห๊า...เอ่อ ไม่มีอะไรหรอก พ่อมีอะไรรึเปล่า”
“พ่อรู้สึกแปลกๆ น่ะ ใจไม่ดียังไงไม่รู้”
“เป็นพวกสัญชาตญาณก่อนฝนจะตกละมั้ง”
“เดี๋ยวปั๊ด พ่อเป็นคน ไม่ใช่สัตว์นะเว้ย ไอ้ลูกคนนี้นี่”
“พูดเล่น”
“ยังจำวันที่พวกของพันเทพมันมาบุกที่โรงน้ำแข็งได้มั้ย”
“จำได้สิ พ่อบอกพวกมันไปด้วยว่าถ้าพวกมันอยากได้ตัวพ่อ ให้ไอ้พันเทพมาด้วยตัวเอง แต่อยู่ๆ มันจะอยากได้ตัวพ่อไปทำไมกันปกติมันก็หาเรื่องกับคนของเจ๊กีเรื่องสัมปทานรถมากกว่านี่”
“ข้อนั้นแหละที่พ่อสงสัย”
“มันต้องมีแผนอะไรไม่ดีแน่ๆ เลย หนูต้องไปบอกไม้กับลุงเมฆให้ระวังตัว”
“ไม่ต้องหรอก พ่อว่าคราวนี้ มันตั้งใจจะเล่นพ่อคนเดียว”
“แล้วเราจะทำยังไง”
“ลูกระวังตัวด้วยก็แล้วกัน นิสัยไอ้พันเทพมันต้องเล่นทีเผลอแน่ๆ”
“แล้วพ่อล่ะ”
“ลูกก็รู้ ฝีมือระดับพ่อมันทำอะไรไม่ได้หรอก”
ศรนารายณ์ทะนงตน อบเชยกังวลกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น
ที่บ้านพันเทพขณะนั้นพันเทพอยู่ในห้องทำงานและกำลังจะหยิบกล่องไม้ตะพดเลือดออกมา แต่ทิวาเปิดประตูเข้ามาพอดี พันเทพรีบเก็บไม้ตะพดเลือดเข้าที่
“พ่อทำอะไรอยู่น่ะ”
“เปล่าหรอก ลูกมีอะไรรึเปล่า”
“พ่อยังไม่ลืมเรื่องที่จะหาครูมาสอนมวยผมใช่มั้ย”
“เรื่องนี้นี่เอง พ่อไม่ลืมหรอก พ่อน่ะจะเอาครูมวยที่ดีที่สุดมาสอนลูกด้วย”
“ครูที่ดีที่สุด ใครล่ะพ่อ”
“ศรนารายณ์ไงล่ะ”
“ศรนารายณ์?”
“แชมป์มวย 14 สมัยไงล่ะ”
“ว้าว...”
“ถ้าเพื่อให้ลูกเป็นนักสู้ที่เก่งที่สุดละก็ พ่อสนับสนุนเต็มที่อยู่แล้ว”
“ขอบคุณครับพ่อ”
“ไปนอนได้แล้ว เดี๋ยวต้องไปเรียนแต่เช้า”
“ครับพ่อ”
ทิวาเดินออกไปจากห้อง พันเทพหยิบกล่องตะพดเลือดออกมาอีกครั้ง เขาเปิดมันออกใต้ฝาของกล่องตะพดเลือดมีหนังสัตว์เก่าๆ ที่เขียนข้อความบางอย่างไว้พันเทพเปิดมันออกอ่าน
“ตะพดเลือด...จะมีพลังเพิ่มขึ้นเมื่อได้สัมผัสกับเลือด ...คราวนี้ล่ะ”
พันเทพแสยะยิ้ม
คืนนั้นฝนตกลงมาอย่างหนักพันเทพยืนกางร่มสีดำอยู่หน้าบ้านศรนารายณ์โดยมีสมุนยืนขนาบอยู่ในความมืด พันเทพมองเข้าไปในบ้านไร้ซึ่งความปรารถนาดี...เสียงกุกกักเพียงนิดเดียวศรนารายณ์ก็ลืมตาโพลงในความมืด เขาลุกขึ้นนั่งระวังตัวทันที ทันใดนั้นประตูห้องก็ถูกถีบเปิดออกมาสมุนพันเทพวิ่งพรวดเข้ามา ศรนารายณ์ลุกพรวดตั้งกาด
“พวกแกต้องการอะไร”
เสียงหัวเราะของพันเทพดังในความมืด ก่อนที่พันเทพจะเดินออกมาปรากฏตัว
“ว่องไว สมเป็นยอดนักมวยจริงๆ”
“แก แกต้องการอะไรกันแน่”
“จำไม่ได้เหรอ ว่าแกเป็นคนเรียกชั้นมา”
อบเชยวิ่งพรวดพราดวิ่งเข้ามาในห้องศรนารายณ์
“เกิดอะไรขึ้นน่ะพ่อ” พันเทพหันไปมองตามเสียงอบเชย “พันเทพ”
“นี่ลูกสาวแกเหรอ หน้าตาใช้ได้นี่”
“ลูกชั้นไม่เกี่ยวอย่ายุ่งกับเค้า อบเชยหนีไป” ศรนารายณ์บอกลูกสาว
“ชั้นไม่หนีหรอก ชั้นจะช่วยพ่อสู้กับพวกมัน”
“ห้าวซะด้วย” พันเทพหัวเราะ สมุนบุกเข้าไปจะไปจับอบเชย พันเทพห้ามไว้ “ไม่ต้อง ถ้าเด็กนี่อยากจะทำอะไรก็ปล่อยให้มันทำ”
“ตกลงว่าแกต้องการอะไร”
“ชั้นจะเอาแกไปสอนมวยให้ลูกชายของชั้น”
“สอนมวย ไม่ได้นะพ่อ พ่อรับปากว่าจะสอนไม้แล้วนี่”
“ชั้นไม่สอนมวยให้คนเลวเพื่อให้ไปทำร้ายคนอื่นหรอก”
“ชั้นนึกอยู่แล้ว ว่าแกต้องพูดแบบนี้ ชั้นเลยมีเงื่อนไขมาเสนอ”
“เงื่อนไขอะไร?”
“เรามาประลองฝีมือมวยกันซักหน่อยเป็นไง ถ้าแกแพ้แกต้องไปอยู่บ้านชั้นเพื่อสอนมวยลูกชั้น และห้ามสอนมวยให้ใครอีก ส่วนถ้าชั้นแพ้ชั้นก็จะไม่มารังควาญแกอีก”
“ไม่ได้นะพ่อ พ่ออย่าไปรับข้อเสนอบ้าบอพวกนี้เด็ดขาดนะ”
ศรนารายณ์หัวเราะท้องคัดท้องแข็ง
“ โอ๊ย เงื่อนไขอะไรของแกเนี่ยขำจนน้ำตาไหลเลย”
“ขำอะไร”
“จะไม่ให้ขำได้ยังไงก็ในเมื่อแกเป็นคนบอกเองว่าจะให้ชั้นไปสอนมวยให้ลูกชายแก แปลว่าแกก็รู้แล้วว่าในที่นี้ ฝีมือมวยชั้นเก่งที่สุด แกยังจะมาท้าชั้นแบบนี้อีกเหรอ นี่มันขุดหลุมฝังตัวเองชัดๆ” ศรนารายณ์หัวเราะ
“พ่อ ยังไงก็ไม่รับ ไอ้พันเทพขี้โกงจะตาย ไว้ใจมันได้ยังไงมันอาจจะหักหลังเราก็ได้” อบเชยบอก
“ไม่ต้องห่วงหรอก สัญญานี้เป็นสัญญาลูกผู้ชาย ชั้นยื่นข้อเสนอเองชั้นไม่ผิดหรอก”
“ลูกเอ้ย อย่าห่วงไปเลย ถ้าไอ้พันเทพมันเก่งกว่าพ่อมันสอนมวยลูกมันเองไปแล้ว จะให้พ่อไปสอนทำไม... ชั้นรับเงื่อนไข”
ศรนารายณ์กับพันเทพมองหน้ากันอย่างไม่มีใครยอมใคร
ศรนารายณ์กับพันเทพมาประลองฝีมือกันที่กลางถนนสายเปลี่ยวแห่งหนึ่งซึ่งฝนยังตกลงมาไม่ขาดสาย พันเทพกางร่ม ส่วนศรนารายณ์ยืนตากฝน มีสมุนตากฝนคุมเชิงอบเชยที่ยืนดูอยู่ด้วย
“นี่จะถือร่มสู้แบบนี้รึไง”
“หึหึ เรื่องของชั้น”
“ช่างเลือกวันเนอะ วันแห้งๆ ล่ะไม่มา”
“วันนี้ชั้นจะเอาเลือดแกออกมา”
“ต่อยชั้นให้โดนก่อนเถอะ”
“พ่อ ระวังตัวนะ”
ศรนารายณ์เดินลุยเข้าไปอย่างมั่นใจ การต่อสู้กลางสายฝนเริ่มขึ้น พันเทพมีร่มเป็นอาวุธกลางๆหุบๆ ตามจังหวะการต่อสู้ ซึ่งดูมีฝีมือไม่น้อย
“การเคลื่อนไหวของมันไม่ธรรมดาเลยต้องรีบปล่อยท่าไม้ตายซะแล้ว”
ศรนารายณ์คิดในใจ การต่อสู้ของทั้งคู่ยังสูสีกัน ศรนารายณ์ตั้งกาดขวาและฮุกซ้ายรัวติดกันไม่หยุดไปที่หน้าพันเทพ พันเทพตั้งตัวไม่ติดไปเหมือนกัน
“ฮุกซ้าย ไม้ตายของพ่อ”
พอโดนเข้าไปหลายหมัด พันเทพถึงกับเซจะเอนล้มไป
“เรามันกระดูกคนละเบอร์”
พันเทพจะเอนล้ม แต่เขาก็เอาร่มค้ำไว้และดันขึ้นมายืนปกติได้อย่างรวดเร็ว พร้อมกับควงร่มแล้วหันเอาด้ามร่มกระแทกเข้าหน้าศรนารายณ์ที่ตั้งตัวไม่ทัน เลือดกำเดาไหลออกจากจมูกศรนารายณ์กลางฝน พันเทพเอาร่มจิ้มจมูกศรนารายณ์ที่เลือดไหล
“เลือดแกไหลแล้ว”
เลือดที่ไหลถูกดูดหายไปในด้ามร่มศรนารายณ์เจ็บใจ พอพันเทพเผลอศรนารายณ์ต่อยเข้าที่ด้ามร่มอย่างแรง กระแทกด้านปลายของร่มที่แหลม แทงเข้าไปในพุงของพันเทพ พันเทพตกใจ มองเลือดที่ไหลออกมาแล้วร่มก็ดูดเข้าไปหมด เขาดึงร่มออกจากพุงตัวเองชูขึ้น ศรนารายณ์จะเข้ามาซ้ำ พันเทพชี้ร่มไปที่ศรนารายณ์ จู่ๆ ฟ้าก็ผ่าลงต้นไม้ กิ่งไม้ร่วงลงมาทับศรนารายณ์ล้มคะมำไม่เป็นท่า นอนนิ่ง พันเทพบาดเจ็บ กุมท้องตัวเอง อบเชยเข้าไปสู้กับพันเทพแทนพ่อ แต่สมุนคว้าตัวไว้
“จัดการนางเด็กนี่ มันไม่คู่ควรที่จะมาสู้กับชั้น”
สมุนรุมต่อสู้กับอบเชย อบเชยต่อสู้อย่างคล่องแคล่ว พันเทพชี้ร่มไปที่อบเชยเหมือนสั่งลูกน้อง
“ผู้หญิงคนเดียวจัดการให้ได้”
แค่ไม้ชี้ไปที่อบเชย พอดีกับที่สมุนคนหนึ่งต่ออบเชยพอดี อบเชยกระเด็นไปชนต้นไม้สลบไป
“อบเชย”
“แกยอมแพ้มาเถอะ เพราะไม่ใช่แกเท่านั้นที่จะเจ็บตัวมากกว่านี้ แต่ลูกสาวแกด้วย” ศรนารายณ์นอนกลิ้งกับพื้นลุกไม่ไหว “แก่แล้วก็แบบนี้ กระดูกกระเดี้ยวไม่แข็งแรงเหมือนตอนหนุ่มๆ ละสิ”
ศรนารายณ์พยายามจะลุก แต่ก็ล้มลงอีก
“บอกให้นะ ชั้นไม่ได้แพ้ แต่แค่สู้ในสนามที่ไม่ถนัด แค่นั้นเอง”
“แกจะเรียกการไม่เป็นท่าแบบนี้ยังไงก็ช่างอย่าลืมที่สัญญาไว้ล่ะ”
พันเทพยิ้มสะใจ แต่ก็เจ็บที่ท้องที่โดนแทงขึ้นมาอีก พอการต่อสู้จบฝนก็ค่อยๆ ซาลง
เวลาผ่านไป...พันเทพยืนกุมท้องตัวเองอย่างเจ็บปวดแต่ยังทนอยู่ในบ้านศรนารายณ์
“เก็บข้าวของให้มันหน่อย จากนี้ไปมันจะสอนมวยให้ลูกข้า”
สมุนเข้าไปกวาดข้าวของของศรนารายณ์ พันเทพยิ้ม
เมื่อกลับมาบ้านพันเทพรีบเข้ามาในห้องทำงาน เลือดพันเทพออกชุ่มเสื้อแข่งกับเสื้อผ้าที่เปียกน้ำฝน เลือดจึงไหลซึมลงพื้นตลอดเวลา พันเทพถึงกับหน้ามืดทรุดลงนั่งเก้าอี้ เสียงสัตว์คล้ายค้างคาวร้องเสียงดังโหยหวนในห้อง ตาพันเทพพร่าเลือนมองเห็นเงาสิ่งมีชีวิตลักษณะคล้ายเวตาลบินไปบินมาทั่วห้องส่งเสียงร้อง พันเทพสลบไป เลือดปนน้ำนองไปหมด ร่มยังอยู่ในมือพันเทพที่กำไว้แน่น
กลางดึกคืนนั้นทิวาเดินงัวเงียลุกมาเข้าห้องน้ำ เห็นไฟในห้องทำงานพันเทพเปิดอยู่
“นี่พ่อยังไม่นอนอีกเหรอเนี่ย”
ทิวาเดินตรงไปห้องทำงานอย่างสลึมสลือ
ทิวาเปิดประตูห้องทำงานเข้ามาเห็นพ่อนอนจมกองเลือดก็ตกใจ วิ่งถลาเข้ามาหา
“พ่อ พ่อ พ่อเป็นอะไรเนี่ย”
ทิวาเขย่าตัวปลุกพันเทพให้ได้สติ แต่พันเทพแน่นิ่งทิวาเอาร่มออกจากมือพ่อ แต่แค่โดนมันก็เหมือนมีพลังความร้อนอะไรบางอย่างที่รุนแรงมาก ทิวาขว้างร่มทิ้งทันที
“นี่มันอะไรกันเนี่ย” ทิวาได้สติกลับมาอีกครั้ง ส่งเสียงเรียกให้คนมาช่วยพ่อตน “มีใครอยู่ข้างนอกบ้าง ช่วยเรียกรถพยาบาลที”
ทิวาเป็นห่วงพันเทพมาก
พันเทพถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล ระหว่างนั้นพันเทพยังนอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง พยาบาลเข็นพันเทพเข้าห้องฉุกเฉินมีทิวาวิ่งตามอย่างเป็นห่วง ทิวายืนรอที่หน้าห้องฉุกเฉิน ซักครู่พยาบาลเดินออกมา ทิวาวิ่งรี่เข้าไป
“คุณเป็นญาติคนไข้รึเปล่าคะ”
“เป็นลูกชายครับ”
“อายุครบ 18 รึยัง” ทิวาพยักหน้า“พ่อคุณเสียเลือดมาก เราอยากได้เลือดกรุ๊ปเอบีด่วนเลย”
“แต่ผมกรุ๊ปโอ ใช้ได้มั้ย”
“แล้วไหนบอกว่าเป็นลูกชาย” พยาบาลแยกไปหาพยาบาลอีกคน ทิวามองตามอย่างไม่เข้าใจนัก
“ลองเช็คดูในธนาคารเลือดนะว่ามีเลือดกรุ๊ปเอบีเหลืออยู่รึเปล่า” พยาบาลบอกพยาบาลอีกคน
“คนไข้ไม่มีญาติมาด้วยเหรอ”
พยาบาลหันมองทิวา
“มี แต่คงไม่ใช่ญาติจริงๆ หรอก”
ทิวาได้ยินพยาบาลแล้วรู้สึกสงสัย
เช้ามืดวันรุ่งขึ้นไม้เดินมาตามถนนเห็นคนนอนอยู่จึงวิ่งเข้าไปดูปรากฏว่าเป็นอบเชย ไม้ตกใจ
“อบเชย อบเชย เป็นอะไรน่ะ” อบเชยค่อยๆ รู้สึกตัวเห็นไม้มองเธออยู่
“ไม้”
“อบเชย เธอเป็นอะไรไป เกิดอะไรขึ้น”
อบเชยนึกขึ้นได้รีบลุกขึ้นมองหาพ่อ แต่ถนนโล่งไร้พ่อและพันเทพ อบเชยลุกขึ้นเรียกพ่อ
“พ่อ พ่อ พ่อ”
“ชั้นเดินผ่านมาตรงนี้ เห็นเธออยู่คนเดียวนะ ไม่เห็นใครเลย” อบเชยไม่สบายใจ “เกิดอะไรขึ้นกันแน่ อาศรเป็นอะไรรึเปล่า”
อบเชยกังวลใจเป็นห่วงพ่อจึงรับกลับบ้าน พอกลับถึงบ้านอบเชยวิ่งตามหาศรนารายณ์ทั้งบ้านแต่ก็ไม่เห็น อบเชยเปิดดูในตู้เสื้อผ้า เสื้อผ้าของศรนารายณ์ก็หายไปบางส่วน
“พ่อ”
อบเชยร้องไห้ออกมา ไม้ยิ่งสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น
“มีอะไรทำไมไม่บอก ไม่เล่าล่ะ แล้วจะช่วยกันได้ยังไง”
“พ่อ พ่อโดนไอ้พันเทพพาไปแล้ว”
“พันเทพเหรอ?”
อบเชยได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้กับสมุนของพันเทพ ไม้จึงพาอบเชยมาทำแผลที่โรงพยาบาล
“ไม่เห็นต้องมาโรงพยาบาลเลย แผลแค่นี้”
อบเชยบอกกับไม้หลังจากพยาบาลทำแผลเสร็จ
“ไม่สบายแค่ใจก็พอ อย่าให้ร่างกายต้องเป็นอะไรด้วยเลย”
“ขอไม่สบายกายแทนได้มั้ย”
“คนเป็นห่วง ยังจะมาพูดจากแบบนี้อีก”
อบเชยจับแก้มไม้
“น่ารักจริงๆ”
“นี่ ทำไมอาศรถึงแพ้ไอ้พันเทพได้ ทั้งที่ใครก็รู้ว่าอาศรเก่งกว่าใคร”
“อาจเป็นเพราะเป็นการสู้กันกลางฝน พ่ออาจจะไม่ถนัดก็ได้ ไอ้พันเทพมันคงคิดมาแล้ว มันเจ้าเล่ห์จะตายไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องด้วยกล”
“แล้วจะเอาไงต่อไปดี”
“ชั้นไม่ยอมให้เป็นแบบนี้หรอก”
อบเชยมีสีหน้าเอาจริงเอาจัง พยาบาลเดินคุยกันเข้ามา ไม้ได้ยินที่ทั้งคู่คุยกัน
“ตกลงในธนาคารเลือดก็ไม่มีกรุ๊ปเอบีเหลือเลยเธอช่วยแจ้งข่าวไปทางวิทยุหน่อยสิ ให้หาคนมาบริจาคทีไม่งั้นโคม่าแน่ๆ”
“คนไข้รายนั้นน่ะเหรอ แปลกจริงๆ นะ แผลก็ไม่ใหญ่ซะหน่อย ทำไมถึงเสียเลือดไปขนาดนั้น”
ไม้ได้ยินทั้งคู่คุยกัน ไม้แทรกขึ้นทันที
“โทษทีนะครับ ผมเลือดกรุ๊ปเอบี ผมช่วยบริจาคให้ได้นะครับ”
“จริงเหรอคะ ดีจังเลย”
พยาบาลบอกอย่างดีใจ
ไม้มองเลือดที่ไหลเข้าไปในถุงโดยมีอบเชยนั่งเป็นกำลังข้างๆ
“ใจบุญจังเลยนะ”
“ไม่ดีเหรอ บุญกุศลจะได้ช่วยให้อาศรปลอดภัย”
“ขอบใจนะไม้”
“ขอบใจทำไม ชั้นไม่ได้บริจาคเลือดให้เธอซะหน่อยนี่”
“เลือดเธอจะไปอยู่ในตัวใครกันนะ”
“ชั้นไม่สนหรอก แค่ขอให้เค้ารอดชีวิตก็พอ”
“แล้วพ่อชั้นล่ะ”
“ก็ขอให้อาศรปลอดภัย…”
“แล้วชั้นล่ะ”
“เอ๊ะ…นี่ความต้องการเยอะนะเนี่ยเราน่ะ”
อบเชยกับไม้ยิ้มให้กำลังใจกัน
เมื่อบริจาคเลือกเสร็จพยาบาลถือถุงเลือดของไม้ผ่านทิวาไป
“ได้เลือดมาแล้ว ไปเร็ว”
พยาบาลบอกกับพยาบาลอีกคนที่รับช่วงต่อแล้วรีบวิ่งไปทันที ทิวาเดินเข้าไปถามพยาบาล
“นั่นเลือดสำหรับพ่อผมใช่มั้ย”
“ใช่ค่ะ โชคดีมีคนบริจาคให้พอดี”
“ใครครับ คนบริจาคอยู่ไหน ผมจะได้เอาตังค์ไปให้”
พยาบาลส่ายหน้าเอือมๆ ทิวายิ้มดีใจ
พยาบาลพาทิวามายังเตียงที่ไม้นอนบริจาคเลือดให้ แต่ก็ไม่มีทั้งไม้และอบเชยแล้ว
“อ้าว สงสัยเค้าจะไปแล้วค่ะ”
“ก็ดี ไม่เปลืองตังค์”
ทิวาผิดหวังเล็กน้อยที่ไม่รู้ว่าเป็นใคร
ที่ห้องพักพันเทพขณะนั้นพันเทพนอนหลับอยู่บนเตียง มีสายให้เลือด สายน้ำเกลือระโยงระยาง ทิวาฟุบหลับอยู่ข้างๆ พันเทพรู้สึกตัวตื่น ทิวารู้สึกถึงการขยับมือของพันเทพจึงรู้สึกตัวตื่นขึ้นทันที
“พ่อ พ่อรู้สึกตัวแล้ว”
“นี่พ่อ...”
“พ่อเสียเลือดมาก เลยหมดสติไปน่ะ พ่อไปโดนอะไรมาน่ะ น่ากลัวเชียว ผมละตกใจแทบแย่”
“ศรนารายณ์”
“ว่าอะไรนะพ่อ”
“ไม่มีอะไร พ่ออยากกลับบ้านแล้ว”
“ไม่ได้หรอก อย่างน้อยก็ต้องให้เลือดนี่หมดถุงซะก่อนถึงจะกลับได้ ตอนนี้พ่อต้องพักผ่อนนะ”
“แต่พ่อมีเรื่องสำคัญต้องไป”
“ไม่ได้หรอก ตอนนี้ร่างกายพ่อยังเพลียอยู่ นอนพักก่อนเถอะ” พันเทพอึกอัก “นอนซะนะครับ”
ไม้กับอบเชยกลับมาที่ท่ารถบขส. อบเชยนั่งอยู่กลางวงโดยมีไม้ เมฆและชาญยืนฟังอบเชยเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“มันเกิดเรื่องแบบนี้ได้ยังไง”
“อุกอาจเกินไปแล้ว” ชาญบอกอย่างขึงขัง
“นี่ใครให้แกมายืนฟังด้วยเนี่ย” เมฆถามชาญ
“ไม่มี แต่ข้าก็ได้ยินตั้งแต่ต้นแล้ว แหะ แหะ”
“มันน่าเจ็บใจตรงที่มันกั๊กอาศรไว้ห้ามให้อาศรไปสอนมวยใครอีกด้วย จะทำแบบนั้นได้ไง ก็อาศรจะสอนมวยชั้นนี่”
“พ่อจะลองไปคุยกับมันดู”
“คุย บ้ารึเปล่า บุกบ้านไอ้พันเทพเพื่อไปขอคุยด้วยเนี่ยนะ สมุนมันอาวุธครบมือขนาดนั้น ตายกันพอดี”
“เดี๋ยวนะ ใครเชิญแกไปด้วยเนี่ย”
ชาญลอยหน้าลอยตา
พันเทพออกจากโรงพยาบาลกลับมาบ้าน สีหน้าพันเทพยังไม่ดีนักขณะค่อยๆ นั่งบนเก้าอี้ เสียงเคาะประตูดังขึ้น
“ศรนารายณ์มาแล้วครับ”
“พาเข้ามา” ศรนารายณ์ถูกคล้องกุญแจมือไพร่หลังไว้ เดินเข้ามา สีหน้าไม่ไว้ใจ “เชิญนั่งสิ”
ศรนารายณ์เดินมานั่งเก้าอี้รับแขกตัวที่มีร่มแขวนอยู่ที่พนักเก้าอี้พอดี
ขณะนั้นที่ท่ารถบขส.กลุ่มของเมฆกำลังคุยกันถึงเรื่องพันเทพกับศรนารายณ์
“แค่ไปคุยมันจะยอมง่ายๆ เหรอคะ”
“นั่นสิพ่อ เรารวมคนเยอะๆ ไปลุยเพื่อชิงตัวอาศรมาไม่ดีกว่าเหรอ”
“ในเมื่ออบเชยบอกว่าฝีมือการต่อสู้ของมันไม่ธรรมดาไหนจะมีอาวุธครบมืออีก เราจะพาคนไปตายเปล่าน่ะสิ ...ยังไง ถ้าเราขอมันดีๆ ยอมรับเงื่อนไขบางอย่าง มันอาจจะยอมก็ได้”
“แบบนั้นเหมือนจะไปคุกเข่าอ้อนวอนมันเลยนะ”
“ชั้นไม่เอาด้วยหรอกนะแบบนั้น”
“งั้นขอให้ลุงได้ลองวิธีของลุงก่อน จะเป็นยังไงค่อยว่ากันอีกที”
“ยังไงก็ได้หมดล่ะ ว่าไงก็ว่าตามกัน ใครจะสู้ข้าพร้อมแล้ว ใครจะคุยข้าก็จะคุยด้วย”
ชาญบอกพร้อมกับขยับกระบอกตั๋วส่งเสียง เมฆพยักหน้าเป็นสัญญาณพร้อมกับทุกคน ชาญดูคึกสุด ไม้ อบเชย มองหน้ากันถอนหายใจ
ที่บ้านพันเทพขณะนั้นศรนารายณ์ กับพันเทพยังนั่งคุยกัน ศรนารายณ์เห็นหน้าตาซีดเซียวของพันเทพ
“สภาพแบบนี้ จริงๆ มันก็แพ้เหมือนกันละว๊า เพียงแต่ชั้นล้มลงไปก่อนก็แค่นั้น”
“แพ้ก็คือแพ้ ต้องทำตามสัญญาจะมัวลงรายละเอียดไร้สาระทำไม”
“ชั้นไม่ลืมหรอกน่า แต่ไหนแกว่าจะให้ชั้นมาเป็นครูมวยให้ลูกแก ทำไมแกถึงต้องคล้องกุญแจมือด้วยล่ะ”
“แกน่ะเป็นคนฉลาดเอาตัวรอด ชั้นยังไม่ไว้ใจแกง่ายๆ หรอก”
ศรนารายณ์ขยับมือที่ถือกุญแจมือที่ถูกใส่กุญแจมือด้านหลังอย่างอึดอัด มือไปโดนร่มที่แขวนที่พนักพอดี ศรนารายณ์ได้ยินเสียงสัตว์ร้องคล้ายค้างคาวแว่วมา ศรนารายณ์ตกใจชักมือออก
“แกเป็นอะไรน่ะ”
“ตัวอะไรน่ะ แกเลี้ยงตัวอะไรไว้”
“พูดเรื่องอะไร” ศรนารายณ์โดนไม้อีกก็ได้ยินเสียงสัตว์ร้องคล้ายค้างคาวดังแว่วมาอีก “ผีเข้ารึไง”
ศรนารายณ์โดนไม้อีกก็ได้ยินอีก “ เป็นอะไรของแก”
ศรนารายณ์ลุกยืนจากเก้าอี้
“ชั้นรู้ละ กุมารทองใช่มั้ย แกเลี้ยงกุมารทอง”
“ไอ้โง่เอ้ย อย่ามาพูดจาอะไรไร้สาระ ชั้นพาแกมาที่นี่ก็เพื่อให้แกมาสอนลูกชายชั้นทุกเรื่องมวยที่แกรู้”
“แล้วลูกสาวชั้นล่ะ”
“ไม่ต้องห่วง ลูกแกอยากมาเยี่ยมแกเมื่อไหร่ก็ได้แล้วแกก็อย่าคิดโกงสอนท่าลูกชั้นไม่ครบ เพราะชั้นมีวิดีโอที่แกชกทุกครั้ง ชั้นรู้หมดว่าแกมีท่าอะไรบ้าง” ศรนารายณ์เจ็บใจ กัดฟันกรอดๆ “หวังว่าคงไม่ผิดสัญญา เพราะถ้าผิดสัญญา ชั้นรับรองว่าแกจะไม่ได้เจอลูกสาวแกไปตลอดชีวิต”
ศรนารายณ์เจ็บใจยิ่งนัก
ไม้ เมฆ อบเชย ชาญ เดินทางมาบ้านพันเทพแต่เมื่อมาถึงหน้าบ้านก็เจอประตูรั้วกั้นไว้
“เฮ้ย แน่จริงก็ออกมาดิวะ จะซัดเรียงตัวเลย”
ชาญตะโกนเรียก
“พี่ชาญ เรามาเจรจาไม่ใช่เหรอ” ไม้บอก
“นั่นสิ ลืม ปกติเคยแต่ท้าเตะท้าต่อย”
สมุนพันเทพเปิดประตูรั้วบ้านออกมา
“พวกแกมาที่นี่ทำไม”
“เรามาขอเจรจาเรื่องศรนารายณ์” เมฆบอก
“ปล่อยพ่อของชั้นออกมาเถอะ”
สมุนมองคนทั้งสี่และตั้งใจฟังเสียงผ่านวอที่สมุนเสียบหูฟังอยู่
“เข้ามา”
สมุนบอกแล้วเดินนำ ทั้งสี่เดินตามอย่างระแวดระวัง
“โห…บ้านมันใหญ่จัง” ชาญบอกเมื่อพ้นประตูรั้วเข้ามา
“นี่ จะไปชื่นชมมันทำไมเนี่ย”
อบเชยต่อว่า ชาญเซ็งๆ ที่ถูกดุ ทั้งหมดเดินเข้าไป
พันเทพนั่งบนรถเข็นสมุนเข็นมาที่สนามหน้าบ้านซึ่งเมฆ ไม้ อบเชยและชาญยืนอยู่ พันเทพมองหน้าเมฆแล้วยิ้มออกมา
“มาเองเลยเหรอ ไอ้เมฆ พยายามเดินลากขามาตั้งไกลท่าจะเหนื่อยน่าดู”
“หนอยทำเป็นพูด ดูสภาพตัวเองซินั่น” ชาญบอก
“นี่…”
“เรามาเจรจา”
“เจรจา” พันเทพหัวเราะ “เจรจาอะไร เรื่องมันจบไปแล้วศรนารายณ์มันแพ้ก็ต้องสอนมวยให้ลูกชั้น”
“แต่แกวางแผนจะสู้ตอนฝนตก ทำให้พ่อชั้นไม่ถนัดแกโกง”
“โกงอะไร เธออย่าพูดโคมลอยโดยไม่มีหลักฐานสิ เธอจะมาล่วงรู้ความคิดชั้นได้ยังไง จริงมั้ย”
“ไม่รู้…แต่มีเจตนาไม่ดีแกวางแผนมา”
“พวกแกดูถูกฝีมือของชั้นเกินไป”
“งั้นก็มาสู้กันอีกรอบมั้ยล่ะ ข้าอยากจะเห็นเหมือนกันว่ามวยคนแก่เป็นไง มันจะขนาดไหน”
“แกน่ะท่าจะเก่งน่าดูนะ ท้าคนกำลังบาดเจ็บแข่งน่ะ”
“ทำเป็นอ่อนแอ จริงๆ กลัวล่ะสิไม่ว่า”
“พอได้แล้ว อย่าลืมสิเรามาครั้งนี้เพื่อเจรจานะ” เมฆหันไปต่อว่าชาญ
“ชั้นไม่เอาพิมเสนไปแลกกับเกลือหรอก นางนี่ก็เห็นแล้วว่าฝีมือชั้นเป็นยังไง เรื่องอะไรชั้นจะต้องไปสู้กับไอ้กระจอกอย่างพวกแกอีกล่ะ ...จัดการพวกมัน อย่าให้เข้ามากวนใจชั้นอีก”
พันเทพหันไปบอกสมุน สมุนทุกคนพยักหน้ารับ
“แย่แน่”
ทั้งสี่คนหันหลังเข้าชนกันมองไปรอบๆ
“ระวังตัวด้วยนะลูก” เมฆเตือนไม้
“ไม่ต้องห่วงหรอกลุงเมฆ ชั้นจะปกป้องไม้เอง” อบเชยบอกแล้วหันไปบอกชาญ “พี่ช่วยดูแลลุงเมฆด้วย”
“เอาไงเอากัน”
ขณะนั้นศรนารายณ์อยู่ในห้องทำงานพันเทพ กุญแจมือล็อคติดศรนารายณ์จึงทำอะไรไม่ได้ แถมยังมีสมุนพันเทพยืนคุมเชิง ศรนารายณ์เดินมองบนโต๊ะพยายามจะหาอุปกรณ์มาสะเดาะกุญแจ แต่ก็ไม่มี ศรนารายณ์เห็นกริชของพันเทพวางอยู่บนโต๊ะ ศรนารายณ์อาศัยจังหวะสมุนเผลอจึงหยิบกริชมาไว้ในมือที่ถูกล็อคไว้ด้านหลัง พยายามเอาปลายแหลมของมันทิ่มลงไปในรูกุญแจ แต่เหมือนว่าปลายกริชจะใหญ่เกินไป
“ใหญ่ไปอีกเว้ย”
ศรนารายณ์บ่นอย่างลืมตัว สมุนหันขวับมาดู
“ทำอะไรน่ะ”
ศรนารายณ์สะดุ้งกริชคมๆ บาดมือเลือดไหลหยดติ๋ง
“โอ๊...ไม่มีอะไร คนถูกล็อคไว้แบบนี้จะทำอะไรได้ล่ะ”
“อย่ามาตุกติกนะ”
“ไม่เคย ใครจะเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงแบบนั้น”
ที่สนามหน้าบ้านขณะนั้น ไม้ เมฆ อบเชย ชาญ โดนล้อมใกล้ขึ้นเรื่อยๆ พันเทพนั่งดูแล้วยิ้มอยู่บนรถเข็น สมุนบุกเข้าพร้อมกันชาญกับอบเชยช่วยกันสู้ ไม้กับเมฆต่างหลบโดยมีชาญกับอบเชยป้องกัน แต่ก็มีโดนลูกหลงโดนอัดโดนถีบบ้าง อบเชยกับชาญค่อนข้างคล่องแคล่วว่องไวแต่ก็โดนสวนมาบ้างเหมือนกัน
ส่วนที่ห้องทำงานพันเทพ ศรนารายณ์หันหลังไปมองมือตัวเองจึงเห็นเลือดไหลใหญ่ ศรนารายณ์เห็นเลือดแล้วจะเป็นลม
“โอ๊ยๆ ตายแล้วไหลใหญ่เลย”
ศรนารายณ์ทรุดตัวนั่งบนเก้าอี้ตัวเดิมแล้วพิงพนัก มือยื่นไปโดนร่มที่แขวนที่พนักพอดี ร่มพอสัมผัสกับเลือดก็เปล่งพลัง เงาของสัตว์ปีกบางอย่างผ่านหน้าศรนารายณ์แว่บไป ศรนารายณ์สะดุ้ง จังหวะสะดุ้งของศรนารายณ์สิ่งมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้น โซ่ที่คล้องกุญแจมือไว้ทั้งสองข้างที่คร่อมอยู่ระหว่างร่ม ขาดออกจากกัน
“เฮ้ย...เกิดอะไรขึ้นเนี่ย”
ศรนารายณ์ยังงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“ทำอะไรน่ะ”
สมุนพันเทพเดินเข้ามาจึงเจอศรนารายณ์ต่อยคว่ำ
ด้านนอกขณะนั้นการต่อสู้ยังดำเนินอยู่โดยมีพันเทพยืนดู ชาญพลาดท่าล้มคว่ำ เมฆเลยพลอยโดนเตะลอยไปด้วย ร่างเมฆตกกระแทกพื้นสลบไป ไม้เห็นพ่อสลบก็ตกใจ
“พ่อ”
ไม้วิ่งถลาหาพ่อ โดยมีชาญกับอบเชยมาต่อสู้ป้องกัน
“ไม้พาลุงเมฆหลบไปก่อนเร็ว”
ไม้พาเมฆมาหลบที่หลืบข้างตัวบ้าน ขณะนั้นเมฆยังสลบไม่ได้สติ ไม้มองพ่อแล้วนึกเจ็บใจตัวเองที่ช่วยอะไรพ่อไม่ได้ ไม้มองหาอาวุธแถวนั้นเห็นมีกองไม้ก่อสร้างกองอยู่ ไม้วิ่งไปคว้าไม้หน้าสามมาเป็นอาวุธแล้วบุกลุยออกไป
ขณะนั้นอบเชยกับชาญต่อสู้กับสมุนของพันเทพจนเริ่มหมดแรง ไม้ถือไม้หน้าสามวิ่งเข้ามาฟาดๆพวกสมุนพันเทพ
“แกทำคนไม่มีทางสู้ทำไม ไอ้พวกเลว”
ไม้ตีไม้มั่วๆ จึงโดนสมุนพันเทพผลักมากองรวมกับอบเชยและชาญที่หอบแฮ่ก สมุนพันเทพกำลังจะเอาไม้ที่ไม้เอามาฟาดกลับไม้อย่างแรง พันเทพตกใจห้ามไว้
“พอแล้ว พวกมันสู้ไม่ไหวแล้ว”
“เอาไงดี ยกธงยอมแพ้เลยมั้ย” ชาญถามอบเชยกับไม้
“ไม่ ชั้นไม่ยอมจนกว่าจะได้ตัวพ่อกลัวไป” อบเชยบอก
“ดูสภาพตัวเองก่อนมั้ย”
ชาญบอก จังหวะนั้นลูกผู้ชายก็ปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางสมุนพันเทพ
“รังแกคนไม่มีทางสู้จะดีเหรอ มาสู้กับชั้นดีกว่า”
ทุกคนหันไปมองลูกผู้ชาย
“ลูกผู้ชายมาช่วยแล้ว”
“ลูกผู้ชายเหรอ” ลูกผู้ชายควงไม้ตะพดวิญญาณอย่างคล่องแคล่ว “พวกแกเอาอาวุธของมันมาให้ได้”
พันเทพบอกสมุน ลูกผู้ชายต่อสู้อย่างแคล่วคล่องว่องไวไม่มีพลาดท่าแม้แต่นิด เพียงแค่แกว่งไม้ตะพดทีเดียว สมุนก็กระเด็นกันไปคนละทิศละทาง หรือใครที่แตะโดนไม้ตัวแข็งไปเลยก็มี
“โชว์ท่าไม้ตายเลยลูกผู้ชาย” ชาญตะโกนเชียร์ ลูกผู้ชายทำท่าไม้ตาย ชาญพากย์ให้อบเชยกับไม้ฟัง “นั่นไงท่าแรกมาแล้ว นี่ๆ ดูนะ ถ้าทำมือแบบนี้เรียกกรงเล็บพยัคฆ์” สมุนพันเทพกระเด็นตามๆ กันไป ลูกผู้ชายต่อสู้อีกท่า “ท่าแบบนั้น ดูขาสิขาแบบนั้นน่ะเรียกท่า ฝ่าเท้าคชสาร” สมุนพันเทพเหลือน้อยเต็มทีบุกเข้ามา ลูกผู้ชายเปลี่ยนท่า “ท่าเด็ดสุดท้าย ดูการเคลื่อนไหวสิ นั่นเรียกว่า เขี้ยวอสรพิษว่องไวจริงๆ”
พันเทพมองลูกผู้ชายตาค้าง
“ตะพดวิญญาณนี่มันร้ายกาจจริงๆ” สมุนพันเทพนอนสิ้นแรงกันเกลื่อน ผิดกับลูกผู้ชายที่ไม่เป็นอะไรเลย “วันนี้บุกมาถึงบ้านชั้นเลยนะลูกผู้ชาย”
“แกทำเลวที่ไหน ชั้นไปก็ทุกที่นั่นแหละ”
“เท่สุดๆ”
ลูกผู้ชายหันไปหาอบเชย ไม้ ชาญ
“กลับไปก่อนเถอะ”
จังหวะที่ลูกผู้ชายหันหลังให้ พันเทพก็วิ่งกระโจนใส่จะแย่งไม้ตะพดมา
ลูกผู้ชายชักไม้ตะพดหลบทำให้พันเทพเสียหลักล้มลง เจ็บแผล
อ่านต่อหน้า 2
ลูกผู้ชายไม้ตะพด ตอนที่ 2 (ต่อ)
จังหวะนั้นพันเทพล้มลงกับพื้น สมุนนอนเกลื่อน อยู่ๆ ไม้ตะพดในมือลูกผู้ชายก็เปล่งพลังความร้อนออกมากว่าปกติลูกผู้ชายสัมผัสได้
“ตะพด... ชั้นต้องไปแล้วพาทุกคนกลับออกไปด้วย” ลูกผู้ชายบอกชาญ
“แต่ชั้นยังไม่ได้เจอพ่อ...”
ลูกผู้ชายไม่ฟังอะไร วิ่งหายเข้าไปทางหลังบ้านพันเทพ ชาญยืนเหวอ
“เมื่อกี้ลูกผู้ชายพูดกับชั้น เขามอบหมายงานให้ชั้นด้วย ชั้นจะทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้เร็วที่สุดไปพวกเรา”
“แต่ชั้นยังไม่เจอพ่อ”
ศรนารายณ์วิ่งมาจากทางที่ลูกผู้ชายหายเข้าไป
“อบเชย”
“พ่อ” อบเชยกับศรนารายณ์กอดกัน “ไปกันเถอะพ่อ”
“นี่แกหลุดมาได้ยังไงเนี่ย”
พันเทพถามอย่างแปลกใจ ศรนารายณ์ยิ้มอวด
“อันนี้ก็ไม่อยากจะพูดอะไรมากหรอกนะ แต่แค่กุญแจมือแค่นี้ทำอะไรชั้นไม่ได้หรอก”
“ตกลงแกจะกลืนน้ำลายตัวเองแล้วหนีไปรึไง อย่าลืมนะว่าถ้าทำแบบนั้นจะเกิดอะไร” พันเทพ มองหน้าอบเชยเป็นนัยๆ
“ไม่ลืมหรอกน่า ชั้นขอเวลาคุยกันส่วนตัวจะได้มั้ย”
พันเทพพยักหน้าแล้วเข็นรถเข็นไป
“ดูมันไว้ด้วย”
พันเทพบอกสมุน
ไม้วิ่งนำทุกคนมาดูเมฆที่หลืบข้างบ้านเห็นพ่อยังสลบนิ่งอยู่ที่เดิม ไม้เรียกพ่อ
“พ่อ พ่อ”
เมฆเริ่มรู้สึกตัวขึ้นมา
“เป็นไงบ้างพี่เมฆ” ศรนารายณ์ถามอย่างเป็นห่วง
“ไม่เป็นไร”
“เดี๋ยวลูกพาทุกคนกลับบ้านไปนะ ไม่ต้องห่วงพ่อ พ่อจำเป็นต้องอยู่ที่นี่ พ่อผิดคำพูดไม่ได้” ศรนารายณ์บอกอบเชย
“แต่พ่อ...”
“ส่วนเรื่องไม้น่ะ พ่อขอมอบหมายให้ลูกเป็นคนสอนมวยไม้ก็แล้วกัน”
“แต่มันไม่เหมือนกันนะครับ ผมไม่ได้อยากเรียนกับ...อบเชย เรียนกับอาศรเหมือนได้เรียนกับลูกผู้ชาย”
ศรนารายณ์ยิ้มกริ่ม
“อันนั้นก็ยอมรับนะ แต่เป็นศิษย์อย่าเลือกครู”
“พ่อ พวกมันร้ายกาจพ่อก็รู้ พ่อสอนมวยมัน มันก็มาทำร้ายพวกเรา”
“แต่พูดไปแล้วมันคืนคำไม่ได้ พ่อต้องทำตามเงื่อนไข”
“พี่ศรไม่ต้องห่วง เดี๋ยวผมดูแลอบเชยให้เอง” เมฆบอก
“แล้วนี่ตกลงเรามาทำไมเนี่ย ลงเอยเหมือนเดิมเลย เหมือนตอนก่อนมาเลย เพิ่มตรงเจ็บตัวแค่นั้นเอง” ชาญบอก
“อย่าพูดมากได้มั้ยพี่ชาญ ได้เจอลูกผู้ชายไม่ดีรึไง”
“อ่ะใช่ๆๆๆ ถ้างั้นทุกคนกลับบ้าน เดี๋ยวข้าดูแลเอง ลูกผู้ชายมอบหมายข้าแล้ว”
ไม้ส่ายหน้าระอาชาญ ในขณะที่อบเชยเสียใจเรื่องพ่อ
วันต่อมาเมฆนั่งเหม่ออยู่ท่าน้ำของวัดคิดเรื่องพันเทพ
“ไอ้พันเทพให้ศรนารายณ์ไปสอนทิวาลูกของมัน มันคิดอะไรอยู่กันแน่ ทั้งที่มันก็มีทักษะการต่อสู้ไม่น้อย สอนเองก็ได้ทำไมต้องให้คนอื่นไปสอน”
ขณะครุ่นคิดเมฆก็พันผ้ายืดกับข้อมือตนที่เคล็ดตอนไปบุกบ้านพันเทพ
อีกด้านหนึ่งที่ลานวัดขณะนั้นพันเทพเดินคุยกับหัวหน้าพรรคมาตามทาง มีสมุนตามประกบ พันเทพอาการยังไม่ดีนัก
“ผมเข้าใจครับว่าถ้าเราจะหาเสียงเลือกตั้ง ควรจะอาศัยวัดเป็นตัวกลาง เพราะชาวบ้านในเมืองเล็กๆ จะเลื่อมใสในศาสนา ถ้างั้นผมก็จะให้คนเดินเรื่องว่าวัดจะให้ความร่วมมืออะไรบ้างนะครับ”
“ดี อย่างน้อยถ้าให้คนเห็นเรากับวัดมากเท่าไหร่ยิ่งดี มันเป็นจิตวิทยา”
“ครับ คนเห็นวัดจะได้นึกถึงเรา เหมือนกับเราเป็นคนดี คนที่ควรเคารพ ใช่มั้ยครับ”
“อืม เข้าใจก็ดีแล้ว ก็ฝากจัดการเรื่องพวกนี้ด้วยก็แล้วกัน”
หัวหน้าพรรคมองสมุนของตนแล้วพยักหน้า เดินแยกออกไป เหลือแต่พันเทพกับสมุนของพันเทพ
“แล้วนี่พวกแกยืนทำอะไรอยู่ล่ะ ไปจัดการอย่างที่ชั้นพูดเมื่อกี้สิ”
สมุนพันเทพรีบพยักหน้ารับแล้วเดินออกไป เมื่อสมุนไปแล้วพันเทพกำลังจะเดินออกไปแต่หางตาหันไปเห็นเมฆที่อยู่ท่าน้ำ พันเทพยิ้มแล้วเดินเข้าไปหา
เมฆพันผ้ายืดที่ข้อมือเสร็จขยับเพื่อทดสอบ เมฆกำลังจะลุกไปพันเทพเดินเข้ามา
“ว่าไง” เมฆหันไปตามเสียงเห็นว่าเป็นพันเทพ สีหน้าไม่ค่อยสบอารมณ์นัก “บาดเจ็บเหรอ...แสดงละครเก่งนี่”
“พูดเรื่องอะไร”
“อยู่กับชั้นแค่สองคน ไม่ต้องมาแสดงละครหรอกน่า ชั้นรู้ว่าแค่สมุนของชั้น ไม่ทำให้แกบาดเจ็บมากมายนักหรอก”
“อยากพูดอะไรก็พูดไปเถอะ”
เมฆจะปลีกตัวออกไป แต่พันเทพก็ขวางไว้
“เดี๋ยวสิ จะรีบไปไหนเล่า”
“แกต้องการอะไรจากชั้นอีก”
“ก็ต้องการจะพิสูจน์ให้คนอื่นเห็นน่ะสิ ว่าสิ่งที่แกกำลังแสดงอยู่น่ะ มันไม่ใช่ตัวตนของแก”
“ถ้าแกจะหาเรื่องคนอื่น แกน่าจะรักษาตัวให้หายดีซะก่อน”
“ไม่จำเป็น กับแกพลังแค่นี้ก็เหลือแหล่แล้ว”
พันเทพเข้าล็อคคอเมฆ เมฆเหมือนจะต่อสู้ไม่เป็นทำเป็นสะบัดมั่วๆ เมฆทำเป็นดิ้นให้หลุดจากที่พันเทพล็อคคอเขา และทำเป็นว่าดิ้นจนศอกตนเข้าไปศอกหน้าพันเทพอย่างไม่ได้ตั้งใจ พันเทพเข้าจู่โจมอีก เมฆทำปัดป้องมั่วๆ แต่รับหมัดพันเทพได้ทุกหมัด พันเทพเตะที่ขาเมฆให้ล้มแต่จังหวะล้มเมฆก็เอาขามาฟาดพันเทพด้วย
ขณะนั้นไม้กำลังเดินตามหาเมฆเข้ามาในบริเวณวัด
“พ่อไปไหนเนี่ย ยังไม่หายดีแท้ๆ” ไม้หันไปเห็นเมฆกำลังสู้กับพันเทพ ไม้ตกใจรีบวิ่งเข้าไป “พ่อ”
พันเทพต่อสู้กับเมฆ โดยเมฆทำเหมือนคนสู้ไม่เป็นอาศัยทีเผลอทำให้พันเทพพลาดท่า พันเทพเองก็เจ็บตัวเพราะร่างกายก็ยังไม่หายดี
“ชั้นรู้...ว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่แกทำร้ายชั้นได้ ไอ้เมฆ”
“ชั้นไม่รู้ว่าพูดอะไรอยู่ แต่เลิกหาเรื่องชั้นได้แล้ว”
พันเทพเป็นฝ่ายบุกเข้าไปอีก เมฆทำทีสู้ไม่เป็นดิ้นพล่าน แต่ใช้จังหวะเผลอซัดพันเทพได้อีกหลายครั้ง ไม้วิ่งเข้ามาเห็นว่าพ่อกำลังโดนรังแก ไม้รีบแยกพ่อออก
“แกมันเลว แกรังแกคนไม่มีทางสู้”
“เธอแน่ใจเหรอไม้ ว่าพ่อเธอไม่มีทางสู้”
“พ่อโดนสมุนแกซ้อม ขาพ่อก็ไม่ดี แกยังจะมาหาเรื่องพ่ออีก แน่จริงแกก็มาสู้กับชั้นนี่มา”
พันเทพจู่โจมเข้าล็อคตัวไม้ไว้ทันทีที่ไม้พูดจบ ไม้เหวอทำอะไรไม่ถูกด้วยสัญชาตญาณพ่อของเมฆเตรียมจะเข้ามาช่วยลูกทันที แต่เขารู้ตัวชะงักไว้ก่อนเพราะต้องเก็บอาการเรื่องต่อสู้เป็น พันเทพเห็นก็หัวเราะ
“แกปล่อยชั้นนะ ปล่อย”
ไม้ดิ้น พันเทพล็อคไม้ไว้ แต่ตามองเมฆอย่างรู้ทัน
“ หึหึ ชั้นอยากจะรู้ ว่าแกจะปิดบังทุกคนไปได้นานแค่ไหนกัน” เมฆหลบตาพันเทพ ไม้ดิ้นจะให้หลุดจากพันเทพให้ได้ สุดท้ายพันเทพก็ปล่อยไม้เอง “ชั้นไม่สู้กับคนที่ไม่มีศิลปะการต่อสู้อย่างเธอหรอกไม้”
ไม้หลุดรีบวิ่งไปหาพ่อ
“ไม่สู้...แล้วแกมารังแกพ่อชั้นทำไม”
“ไปถามพ่อเธอเอาเองก็แล้วกัน”
พันเทพเดินจากไป
“คอยดูเถอะ พอชั้นเป็นมวยเมื่อไหร่ ชั้นจะไม่ยอมให้แกมาทำร้ายพ่อชั้นหรอกพันเทพ” พันเทพยิ้มกับคำพูดไม้ ไม้หันไปดูเมฆอย่างเป็นห่วง “พ่อเป็นอะไรมากรึเปล่า มันทำอะไรพ่อบ้างเนี่ย”
“ไม่เป็นอะไรมากหรอก”
“ไป เดี๋ยวผมทำแผลให้”
ไม้พยุงเมฆออกไป
ทิวายังติดใจในคำพูดของพยาบาลที่บอกว่าตนไม่ใช่ญาติพันเทพ คืนนั้นขณะอยู่ในห้องทิวาจึงคิดถึงเรื่องนี้
“ไม่ใช่ญาติ หมายความว่ายังไงนะยายพยาบาลคนนั้นก็บอกว่าเป็นลูกแท้ๆ ทำไมยังพูดแบบนั้นอีก”
พันเทพเปิดประตูเข้ามาในห้องทิวา
“ยังไม่นอนอีกเหรอลูก”
“ยังครับ”
“กำลังคิดอะไรอยู่เหรอ หน้าตาดูไม่ค่อยสบายใจ”
“คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยน่ะครับ ไม่สำคัญหรอก แล้วพ่อล่ะ มาหาผมถึงห้องหายดีแล้วเหรอ”
“ก็มาพร้อมข่าวดีน่ะสิ”
“ข่าวดีอะไรครับ”
“ตั้งแต่พรุ่งนี้ลูกเริ่มเรียนมวยได้เลย พ่อเอาครูมาสอนลูกแล้ว”
“ดีเลย ขอบคุณนะครับพ่อ”
ทิวาดีใจมาก พันเทพยิ้ม
เช้าวันรุ่งขึ้นขณะที่ไม้นอนหลับอยู่บนที่นอน อบเชยก็บุกเข้ามาในห้อง บังคับไม้ให้ตื่น
“ไม้ ตื่นได้แล้ว ตื่นเดี๋ยวนี้เลย”
ไม้งัวเงียตื่นแล้วตกใจที่เห็นอบเชย
“เฮ้ยอะไรเนี่ย”
“ได้เวลาเรียนมวยแล้ว ตื่น”
“โอ๊ย ตัวชั้นยังระบมจากที่ต่อสู้อยู่เลย”
“ใช้คำว่าโดนกระทืบจะถูกกว่านะ”
“เออ นั่นแหละขอพักก่อน” ไม้จะนอนต่อ
“ไม่ได้ ต้องตื่นเดี๋ยวนี้เลย เดี๋ยวก็สู้ไอ้ทิวาไม่ได้หรอก” ไม้นอนหลับนิ่งไม่สนใจอบเชย“จะดื้อกับชั้นใช่มั้ย ได้”
อบเชยหายออกไป ไม้นอนหลับนิ่งอย่างมีความสุข ซักพักก็มีน้ำราดมาที่หน้าไม้โครมใหญ่ ไม้ตาสว่างทันที
“เฮ้ย ทำอะไรเนี่ย”
“ก็บอกให้ตื่น ทำไมไม่ตื่นล่ะไปเรียนมวยเดี๋ยวนี้เลย พ่อสั่งไว้ว่าไง”
ไม้ทำหน้าเบื่อๆ
เวลาผ่านไป ไม้ยืนหน้าง้ำในขณะที่อบเชยทำท่าขึงขังเป็น trainer
“เราจะเริ่มจากการออกกำลังกายให้ร่างกายอยู่ตัวก่อน”
“จะทำอะไร”
“ก็วิ่งกันไง”
“จะเรียนมวย ไม่ได้ไปแข่งวิ่งมาราธอน”
“มันเป็นส่วนหนึ่งของการฝึก”
“ไม่เอา ไม่อยากทำ”
“ทำไม”
“ก็ชั้นไม่อยากเรียนการต่อสู้กับผู้หญิงนี่”
อบเชยเบิร์ดกะโหลกไม้
“ดูถูกผู้หญิงเหรอ จำได้มั้ยว่าใครเป็นคนปกป้องเธอมาตลอดน่ะ”
“ทวงบุญคุณ ชั้นไม่เคยบอกให้เธอมาคอยช่วยชั้นซักหน่อย”
“ได้...งั้นเอางี้ เรามาสู้กัน”
“สู้อะไร เธอก็รู้ชั้นสู้เธอได้ที่ไหน”
“หมายถึงวิ่งแข่งกันเนี่ย”
“อ่านนิทานกระต่ายกับเต่ามากไปเปล่า”
“ถ้าเธอไล่จับชั้นได้ เธอจะไปทำอะไรก็ไปแต่ถ้าจับไม่ได้ภายใน 2 ชั่วโมงละก็ เธอแพ้แล้วต้องเรียนมวยกับชั้น”
“เกมเด็กๆ”
“กลัวป่ะล่ะ”
“ไม่กลัวอยู่แล้ว”
ไม้กระโดดเข้าหาอบเชย อบเชยหลบอย่างรวดเร็วแล้วก็วิ่งหนีไป
“แน่จริงก็มาจับให้ได้สิ”
อบเชยส่ายตูดยั่วไม้ ไม้วิ่งตาม
อีกด้านหนึ่งที่บ้านพันเทพ ทิวากำลังวิ่งบนลู่วิ่งอย่างแข็งขันโดยมีศรนารายณ์ยืนคุม
“ปรับสปีดให้เร็วกว่านี้อีก เร็ว”
ทิวาปรับสปีดการวิ่งตามคำสั่ง เอาจริงเอาจังไม่มีท้อแท้
ส่วนอบเชย เธอวิ่งหนีไม้เข้ามาในตลาด และหลบผู้คนอย่างคล่องแคล่วผิดกับไม้ที่วิ่งชนคนนั้นคนนี้ตลอดทาง
“ขอโทษครับ ขอโทษครับ”
อบเชยทำท่าทางยั่วโมโหไม้ต่างๆ นาๆ
“มาเร็วไอ้ลูกเต่า เร็ว”
อบเชยยิ้มอย่างสนุกสนาน อบเชยทำเป็นหยุดอยู่กับที่ ไม้เล่นทีเผลอวิ่งเข้ามาจะจับ อบเชยก็วิ่งหลบ
“จะเล่นทีเผลอเหรอไม้” ไม้หอบแฮ่ก อบเชยดูนาฬิกา “เหลืออีกไม่กี่นาทีก็ครบสองชั่วโมงแล้ว จะยอมแพ้มั้ย”
“ไม่”
ไม้ทุลักทุเลวิ่งตามอบเชย อบเชยแค่เดินไม้ยังวิ่งตามไม่ทัน
“โถๆๆ อุ๊ยไม้ ที่ขานั่นอะไรน่ะ”
“ไหนๆ” ไม้ก้มดูขาตัวเอง
“อ๋อ เต่าไล่กัดขาแล้ว”
อบเชยหัวเราะ ไม้เจ็บใจ...ไม้หอบแฮ่กมาหน้าบ้านศรนารายณ์ อบเชยยืนยิ้ม
“หมดเวลา” ไม้ทรุดตัวลงนั่งไม่เป็นท่ากับพื้น “ว่าไงคนแพ้ วันนี้ทำเวลาวิ่งได้ห่วยมาก พร้อมจะฝึกต่อรึยัง”
“โอ๊ย มีอะไรต่ออีกเนี่ย ไม่ไหวแล้ว”
“อย่าลืมนะ คนแพ้ต้องเชื่อฟังคนชนะทุกอย่าง”
ไม้ทำหน้าเซ็ง
อีกด้านหนึ่งที่บ้านพันเทพขณะนั้นทิวากำลังกระโดดเชือก ทิวากระโดดลอยจากพื้นแค่นิดเดียวและว่องไว โดยมีศรนารายณ์ยืนถือนาฬิกาจับเวลา ผิดกับไม้ที่กระโดดเชือกลงทีละขาและช้ามาก ติดๆ ขัดๆ อบเชยเห็นแล้วก็ส่ายหน้า
“ยิ่งกระโดดสูงก็ยิ่งเหนื่อย กระโดดขาคู่เตี้ยๆ สิ”
“กระโดดได้ก็บุญแล้วเนี่ย”
“แนะอะไรก็ไม่ฟัง อยากเหนื่อยก็ตามใจนะ โดดไปให้ครบสองพันครั้งละกัน”
“สองพัน?”
“นี่แค่ขั้นแรกนะ แล้วอย่าโกงล่ะชั้นนับอยู่”
ไม้ทำหน้าเซ็ง
เมื่อกระโดดเชือกเสร็จ ทิวาก็ซ้อมต่อยกระสอบทรายอย่างมีพื้นฐานที่ดีเป็นจังหวะ ศรนารายณ์คอยคุม
“เอ้าต่อย ต่อย เตะ ต่อย ต่อย เตะ”
ทิวาจริงจังกับการฝึก
อีกด้านหนึ่งที่หลังบ้านศรนารายณ์ ต้นกล้วยตั้งตระหง่านตรงหน้า ไม้มองสองจิตสองใจขณะที่อบเชยเชียร์
“เตะให้ขาดสองท่อนไปเลย”
ไม้หน้าตาจริงจัง แต่พอเตะปั๊บก็ทรุดเลย
“โอ๊ย” ไม้กุมหน้าแข้ง ลงไปกองกับพื้น อบเชยมองอย่างระอาใจ
“จะไหวมั้ยเนี่ย”
อบเชยเอายามาทารอยช้ำที่หน้าแข้งให้ไม้
“โอ๊ย เบาๆ สิ”
อบเชยกดมือลงไปอย่างแรง
“สำออยนัก”
“โอ๊ยยย ก็คนมันเจ็บนี่”
“ชั้นละเหนื่อยจริงๆ”
ไม้ถอนหายใจ
“ชั้นไม่มีทางเป็นนักสู้ที่ดีได้ ใช่มั้ย”
“รีบท้อไปมั้ย”
“ก็ดูสิ ชั้นทำอะไรไม่ได้เลย”
“ขยันฝึก เดี๋ยวก็เก่งขึ้นเอง ชั้นจะสอนไม้ทุกอย่างที่ชั้นรู้เลย” ไม้ถอนหายใจ
“ไม้อยากเรียนมวยไว้เพื่อช่วยพ่อไม่ใช่เหรอไม้ นึกถึงลุงเมฆเข้าไว้นะ จะมีแรงเพิ่มขึ้น” ไม้พยักหน้ารับ “ต่อไป เราจะฝึกหนักขึ้นเรื่อยๆ นะ ชั้นไม่อยากให้ไม้แพ้ไอ้ทิวา”
คืนนั้นพันเทพเดินเข้ามาในห้องทำงาน มือยังกุมที่ท้องตัวเอง พันเทพเดินมายังร่มสีดำที่แขวนอยู่ พันเทพหยิบร่มมันขึ้น เหยียดมือไปข้างหน้าแล้วกางมันจนสุด พันเทพหมุนร่มตามเข็มนาฬิกาพิจารณาด้ามร่มที่มีลักษณะเป็นไม้ แปลกตา แต่แล้วก็รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวบางอย่างด้านหน้าเขา ซึ่งร่มที่กางบังสายตาอยู่ ลักษณะของสิ่งนั้นที่ร่มบังอยู่มีปีกที่กลืนกับร่มไปพอดี พันเทพยืนนิ่ง แล้วก็ตัดสินใจเลื่อนร่มหลบก็ไม่เห็นอะไร พันเทพโล่งใจ แกะไม้ตะพดออกจากด้ามของร่มที่สวมไว้ ตรวจดูความเสียหายรอบๆ แล้วก็เก็บมันเข้ากล่องโบราณอย่างเดิม
เช้าวันรุ่งขึ้นไม้วิ่งไปตามถนน โดยมีอบเชยวิ่งประกบ ไม้ยังวิ่งไม่ดีนักแถมยังมีพักยืนเหนื่อยหอบ เมื่อวิ่งเสร็จไม้ก็มากระโดดเชือกต่อแต่ยังไม่ดีนัก มีอบเชยคอยกำกับยืนจับเวลา...จากนั้นไม้ก็ฝึกเตะต้นกล้วย พอฝึกเตะต้นกล้วยเสร็จอบเชยก็สอนมวยท่าต่างๆ ให้ไม้อย่างตั้งใจ
ไม้ฝึกอย่างนี้ทุกวันจนเวลาผ่านไป จากที่วิ่งไม่ค่อยดีไม้เริ่มแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ อบเชยยิ้มอย่างพอใจ
เช้าวันหนึ่งอบเชยมาเดินซื้อผักที่ตลาดเพื่อเอาไปทำกับข้าว ทิวาเดินเข้ามาหาอบเชย
“จะแกงอะไรเหรอวันนี้”
อบเชยไม่พอใจที่เห็นทิวา
“ไม่ได้แกงให้นายกินก็แล้วกัน”
“คนถามดีๆ ก็ตอบดีๆ หน่อยสิ”
“ชั้นตอบดีกับทุกคนนั่นแหละ ยกเว้นนาย”
“ชั้นไปทำอะไรให้เธอตอนไหน ทำไมถึงจงเกลียดจงชังชั้นนัก”
“ก็ไม่เคยนะ แต่พ่อนายน่ะทำไว้เยอะสันดานลูกมันก็เหมือนสันดานพ่อนั่นแหละ”
“มากเกินไปแล้วนะ”
“หรือนายจะบอกว่าพ่อนายเป็นคนดี ถ้าตอบแบบนั้นไม่นายหูหนวกก็ต้องตาบอดแน่ๆ”
ทิวาคว้าข้อมืออบเชยไว้อย่างไม่เกรงกลัวใคร
“พอได้แล้ว”
“ปล่อยชั้นนะ” อบเชยพยายามดึงมือออก “บอกให้ปล่อย”
“เธอต้องถอนคำพูดที่ว่าพ่อชั้นก่อน”
“ตกลงจะไม่ปล่อยใช่มั้ย”
อบเชยจะขึ้นเข่าที่กล่องดวงใจทิวา แต่ทิวาเตะพับอบเชยจนทรุดมาอยู่ในอ้อมกอดเขาซะก่อน อบเชยตกใจ
“ลูกไม้เดิมๆ ใช้ไม่ได้ผลหรอก อย่าลืมสิ ว่าใครเป็นคนสอนมวยชั้น”
อบเชยผลักอกทิวาเพื่อให้หลุดจากอ้อมกอด อบเชยมองชาวบ้านที่ดูอยู่อย่างอายๆ แล้วรีบเดินหนีไป ทิวายิ้มเดินตาม
“จะไปไหนล่ะ...เรายังคุยกันไม่จบเลย”
อบเชยรีบเดินจ้ำ ไม่สนใจ ทิวาเดินตามจนทัน
“จะรีบไปไหนล่ะ”
ทิวาจะคว้าข้อมืออบเชย อบเชยหันควับมาจะต่อยทิวา ไม่ว่าอบเชยจะปล่อยหมัดด้วยท่าไหน ทิวาก็รับได้หมด อบเชยเจ็บใจ
“นี่ตกลงเธอจะคุยภาษาหมัดใช่มั้ย”
อบเชยลองอีกตั้งนึง คราวนี้ทิวารับมือได้แถมยังบิดแขนอบเชยไปด้านหลังอีก จนเธอร้องโอ๊ย
“โอ๊ย”
“เรามาคุยกันดีๆ แบบที่หนุ่มสาวเค้าคุยกันดีกว่าน่า”
“มีอะไรก็ว่ามา”
“จะคุยกันตรงนี้เลยเหรอ เราน่าจะไปหาอะไรอร่อยๆ แล้วค่อยคุยกัน”
“งั้นก็ไม่คุย” หันหน้าจะเดินไป
“เอา ตรงนี้ก็ได้” อบเชยหันหน้ากลับมา “วันพรุ่งนี้ จะมีงานเลี้ยงต้อนรับน้องสาวชั้นกลับมาจากเมืองนอก ชั้นอยากชวนเธอไปด้วย”
“น้องสาวนาย ไม่ใช่น้องสาวชั้น ทำไมชั้นต้องไป”
“พ่อเธอก็ไปด้วยนะ”
“พ่อชั้นเป็นครูมวยเธอ แต่ชั้นไม่ได้เป็นอะไรกับเธอ”
“ก็ชั้นชวนอยู่นี่ไง”
“ชั้นไม่...”
ทิวาเอามือจับที่ปากอบเชย
“ยังไม่ต้องตอบตอนนี้ พรุ่งนี้ให้ชั้นลุ้นเองว่าเธอจะตกลงหรือปฏิเสธ”
อบเชยปัดมือทิวาทิ้ง ทิวาส่งยิ้มหวานให้อบเชยก่อนจะเดินไป อบเชยไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่
อบเชยกลับมาบ้าน เดินเอาของที่ซื้อวางในครัวแล้วบ่นพึมพำ
“ฝีมือไอ้ทิวามันไม่ธรรมดาเลย พ่อสอนมันทุกอย่างเลยรึไง”
ศรนารายณ์เดินเข้ามาในครัว
“ไหน วันนี้มีอะไรให้กินบ้างเนี่ย” อบเชยมองพ่อเคืองๆ “บรรยากาศมาคุ” อบเชยจ้องหน้าพ่อ
“คืออะไร”
“พ่อกับชั้นอยู่คนละฝั่งกันแล้ว”
“พูดเรื่องอะไรเนี่ย”
“คอยดูเถอะ ชั้นจะต้องเป็นครูมวยที่เก่งกว่าพ่อ ชั้นจะให้ลูกศิษย์ชั้นเอาชนะลูกศิษย์พ่อให้ได้”
“เออ เอาเข้าไป”
“อย่างน้อยตอนนี้ชั้นก็ชนะพ่ออย่างนึงแล้วล่ะ เพราะชั้นสอนมวยให้คนดี ไม่ใช่สอนให้คนเลวแบบนั้น”
อบเชยงอนเดินออกไป
“เออดี คิดเองเออเองคนเดียว คนที่ซวยก็เป็นชั้น...” ศรนารายณ์หันมองกับข้าวที่ยังไม่ได้ทำ “ที่ไม่มีอะไรกิน”
วันเดียวกันนั้นขณะที่ไม้แบกน้ำแข็งใส่รถอยู่ จู่ๆ ก็มีรถมาจอดเสียควันขโมงอยู่หน้าโรงน้ำแข็ง ราตรีโวยวายลงมาจากรถ ขณะที่แพรวา พี่สาวฝาแฝดของราตรียืนหน้าเสีย ไม้แค่หันไปเห็นแพรวาเท่านั้นก็ถึงกับตะลึงในความสวยของเธอ
“เห็นมั้ย บอกแล้วว่าให้ขายๆ ไปซะไอ้รถคันนี้ จอดทิ้งมาตั้งแต่ก่อนเราไปนอกอีก เครื่องในมันเจ๊งหมดแล้ว”
“ทำไงดีล่ะ”
“ทำไง...พี่ก็โทรเรียกคนของพ่อมารับเรา แล้วเอารถไปจัดการสิ เรื่องแค่นี้คิดไม่ได้รึไง”
“เรายังไม่ได้เปิดเบอร์ใหม่ที่เมืองไทยเลย”
“ชั้นจัดการเองก็ได้” ราตรีหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แต่แบตหมด “โอ๊ยอะไรเนี่ย”
แพรวาเปิดฝากระโปรงรถขึ้น ควันยิ่งลอยขโมง ราตรียิ่งโวยวาย
“จะเปิดขึ้นมาทำไม ซ่อมเป็นรึไงห๊ะแพรวา”
“ไม่เป็น แต่มันน่าจะช่วยระบายความร้อนนะ”
“ทำเป็นรู้ดีไปเถอะ”
แพรวาหันไปเห็นไม้
“คุณคะ คุณ...คุณคนนั้นน่ะค่ะ”
ไม้หลุดจากภวังค์
“มีอะไรเหรอครับ”
“คือรถเราเสีย คุณพอจะมีโทรศัพท์ให้ยืมโทรเรียกช่างมั้ยคะ” ไม้หน้าแดง อายแพรวา “คุณเป็นอะไรรึเปล่าคะ หน้าแดงเชียว”
“เปล่าครับ...เดี๋ยวผมดูให้ละกันนะครับ”
“คุณซ่อมเป็นด้วยเหรอคะ”
“นิดหน่อยน่ะครับ”
ไม้เดินไปดูที่ห้องเครื่องรถ
“โอ๊ย...เร็วๆ หน่อยสิ ร้อนจะตายอยู่แล้ว” ราตรีบอกอย่างหงุดหงิด
“เข้าไปนั่งในโรงน้ำแข็งสิครับ ช่วยได้” ไม้บอก ราตรีมองเข้าไปในโรงน้ำแข็ง แล้วเดินอย่างไม่พอใจเข้าไป ไม้ดูเครื่องรถต่อโดยมีแพรวายืนคอยดูข้างๆ “น่าจะเป็นที่หม้อน้ำนะครับ ผมไม่มีอะไหล่ด้วยสิ”
“อ้าว...”
“เดี๋ยวผมขับรถไปซื้ออะไหล่ให้ก็แล้วกันนะครับ”
“ที่นี่ไม่มีโทรศัพท์เหรอ โทรให้เค้ามาส่งก็ได้นี่”
“ที่นี่น่ะมีโทรศัพท์ครับ แต่ร้านอะไหล่น่ะไม่มี”
“อ้าว งั้นเราไปด้วย...”
ขณะนั้นอบเชยเดินบ่นพึมพำมาตามถนน
“ต้องเคี่ยวให้ไม้ฝึกให้หนักกว่านี้ ไม้จะแพ้ไอ้ทิวาไม่ได้”
ไม้ขับรถส่งน้ำแข็งไปซื้ออะไหล่โดยมีแพรวาขอตามไปด้วย
“จริงๆ คุณไม่ต้องมาก็ได้”
ไม้บอกขณะอยู่บนรถ
“ไม่ได้หรอก ไม่ใช่หน้าที่ของคุณเลย เราจะปล่อยให้คุณมาลำบากเพราะเราได้ไง”
“ปล่อยน้องทิ้งไว้คนเดียวที่โรงน้ำแข็งแบบนั้น เดี๋ยวเค้าก็โกรธเอาหรอก”
“ไม่หรอก ราตรีเค้าชอบอยู่คนเดียว”
“แปลกนะ ฝาแฝดกันแท้ นิสัยไม่เหมือนกันเลย”
“ใครก็บอกแบบนั้น เออ ลืมบอกไป เราชื่อแพรวานะ”
“ผมชื่อไม้ คุณคงไม่ใช่คนแถวนี้สินะ ไม่เคยเห็นหน้า”
“จริงๆ บ้านเกิดชั้นคือที่นี่นั่นแหละ เพียงแต่ไปเรียนต่างประเทศเพิ่งกลับมา”
“ลูกเศรษฐีคนไหนเนี่ย”
“พ่อชั้นชื่อ...”
ไม้จอดรถหน้าร้านซ่อมรถพอดี
“ถึงแล้ว เดี๋ยวผมมานะ”
ยังไม่ทันที่แพรวาจะได้บอกว่าเป็นลูกใคร ไม้ก็ลงไปจากรถซะแล้ว แพรวามองดูไม้ที่ไปคุยกับช่าง แล้วยิ้มออกมา
อบเชยเดินเตร็ดเตร่มาตามถนน เห็นรถส่งน้ำแข็งจอดอยู่ และไม้กำลังถือหม้อน้ำเดินขึ้นรถอยู่ไกลๆ อบเชยยิ้มออก ตะโกนเรียก
“ไม้ ไม้” ไม้ไม่ได้ยินขึ้นรถไป รถค่อยๆ เคลื่อนออก “ไม้ ไม้ ไม้” อบเชยวิ่งตามรถที่ค่อยๆ เคลื่อนไปอย่างช้าๆ “ไม้ รอด้วย ไม้” อบเชยสปีดฝีเท้าเพื่อให้ทัน “เดี๋ยวจะแกล้งให้ตกใจเลยคอยดู”
อบเชยสปีดฝีเท้าไปทันรถ เธอจะกระโดดขึ้นข้างคนขับแต่เห็นแพรวานั่งสวยอยู่ แถมคุยกับไม้ยิ้มแย้ม อบเชยตกใจกับภาพที่เห็น ค่อยๆ วิ่งช้าลง ช้าลง จนหยุด ปล่อยให้รถวิ่งผ่านไป
อบเชยมองตามอย่างเสียใจ
อ่านต่อหน้า 3 เวลา 22.30 น.
ลูกผู้ชายไม้ตะพด ตอนที่ 2 (ต่อ)
ส่วนทางด้านราตรีถูกทิ้งไว้คนเดียวที่โรงน้ำแข็ง
“หายหัวไปไหนกันหมด ทิ้งให้ชั้นอยู่คนเดียวได้ไง ที่นี่สกปรกจะตาย” ราตรีมองเห็นโทรศัพท์ จึงลุกวิ่งเข้าไปใช้ “พี่ทิวามารับราตรีเดี๋ยวนี้เลย แพรวามันทิ้งราตรีหายไปไหนไม่รู้”
ขณะนั้นทิวานั่งอยู่บนรถที่สมุนขับ
“เกิดอะไรขึ้น”
ทิวาคุยโทรศัพท์กับราตรี
“ก็รถมันเสียน่ะสิ”
“เสียอยู่ที่ไหน”
“โรงน้ำแข็งอะไรก็ไม่รู้ สกปรกมาก รีบมาเลยนะ”
ทิวาวางโทรศัพท์แล้วบอกคนขับรถ
“ไปที่โรงน้ำแข็งด่วนเลย”
ระหว่างนั้นอบเชยยังเดินอยู่ริมถนน เธอเดินซ้ายทีขวาที อย่างตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเอายังไง
“ไม้นะ...ชั้นดีด้วยแทบตาย ยังไปยุ่งกับผู้หญิงคนอื่นอีกนะ คอยดูนะ ชั้นจะเอาเรื่องให้ถึงตายเลย” อบเชยจะเดินไปซ้าย “เรื่องอะไรต้องไปคุยกับคนที่ไม่เห็นค่าของเรา” เปลี่ยนใจจะเดินกลับ “ไม่ได้หรอก เรื่องแบบนี้ต้องคุยให้รู้เรื่องสิ” จะเดินไปซ้าย “แต่เค้าไม่ให้เกียรติเราเลย จะไปคุยกับคนแบบนั้นทำไม
...โอ๊ย เอาไงดีเนี่ย”
อบเชยสับสนจึงยืนนิ่งไม่รู้จะเอาไงดี
ไม้จอดรถที่โรงน้ำแข็ง แพรวาลงมากับไม้
“เดี๋ยวขอเวลาเปลี่ยนอะไหล่แป๊บนึงนะครับ”
แพรวาพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม แล้วเดินมาที่หลังรถ น้ำแข็งหลังรถละลายไหลเป็นน้ำเจิ่ง แพรวาเดินผ่านแล้วลื่น ไม้เข้าไปประคองได้ทัน ไม้และแพรวาต่างเขิน ราตรีออกมาเห็นพอดี
“ทำอะไรกันน่ะ” ไม้รีบปล่อยแพรวาออก “ทิ้งกันหายไปตั้งนาน แล้วนี่ทำอะไรกันอีกเนี่ย ไม่อายฟ้าอายดินบ้างรึไง”
“ไม่มีอะไรนะราตรี ไม้เค้าแค่ช่วยไม่ให้ล้ม”
ทิวาวิ่งปรี่เข้ามาต่อยไม้จนไม้ล้มลงไป แพรวาห้ามอย่างตกใจ
“นี่มันเรื่องอะไรเนี่ย”
“พี่ทิวาอย่ามีเรื่องเลย”
“ไม่มีอะไรได้ยังไง พี่ก็เห็นเหมือนที่ราตรีเห็น” ทิวาหันหาไม้ “แกตั้งใจจะทำลายครอบครัวชั้นใช่มั้ย”
ทิวาจะต่อยไม้ แพรวารีบขวางไว้
“ไปใหญ่แล้วพี่ทิวา”
“ยืนหลบอยู่หลังผู้หญิง สมกับเป็นลูกพ่อแกเลย แค่กำหมัดยังไม่มีปัญญา”
“อย่าลามปามถึงพ่อชั้น คุณแพรวาหลบไป นี่มันเรื่องของผู้ชาย” ทิวาหัวเราะ
“อยากลองดีก็ลองดู... พาน้องไปหลบในรถก่อน” ทิวาบอกสมุน สมุนพาแพรวา ราตรีเข้าไปในรถ
“ที่ชั้นจะสู้ ชั้นจะสู้เพื่อจะบอกว่า...ชั้นไม่ใช่คนอ่อนแอที่ใครก็รังแกได้”
ไม้บุกเข้าเล่นงานทิวา ทิวารับมือไม้ ทั้งคู่ต่อยตีกันดูเหมือนทิวาจะเป็นต่อนิดๆ ทั้งคู่ต่อสู้กันไม่มีใครยอมใคร แพรวาชะเง้อดูจากในรถ เป็นห่วงไม้
“ฝีมือมวยแกไม่ธรรมดานี่”
ทิวาบอก ไม้ต่อสู้ไม่ลดละ แล้วทิวาก็ปล่อยท่าไม้ตายรัวฮุกซ้ายออกมา ไม้ไม่เคยเจอ ตั้งรับไม่ทันถึงกับน็อคล้มลง ทิวากำลังจะซ้ำแต่อบเชยก็มาขวางไว้ทัน ทิวาเห็นเป็นอบเชยจึงหยุด แต่อบเชยไม่สนใจเป็นห่วงไม้
“ไม้เป็นไงบ้าง” ไม้นอนนิ่งๆ อบเชยหันไปตวาดทิวา “นี่แกจะหาเรื่องไปทั่วเลยใช่มั้ย”
“มันลวนลามน้องสาวชั้น”
“ไม่จริงหรอก ไม้ไม่ใช่คนแบบนั้น”
“ไม่เชื่อก็ถามมันดูสิ”
อบเชยสับสน แพรวาวิ่งลงมาจากรถมาดูไม้
“ไม้เป็นยังไงบ้าง” แพรวานั่งยองๆ ข้างๆ ไม้อย่างเป็นห่วง ทิวาคว้ามือน้องสาวตน
“ยังจะห่วงมันอีกเหรอ กลับบ้านได้แล้วแพรวา”
อบเชยมองแพรวาแล้วทำตัวไม่ถูก ทิวาคว้ามือน้องสาวตัวเองลากไปหันมาทิ้งท้ายกับอบเชย
“หวังว่าเราคงเจอกันที่งานนะ แล้วฝากบอกไอ้ไม้มันด้วยว่าอย่ามายุ่งกับน้องสาวชั้น”
ทิวาหันหลังลากแพรวาไป อบเชยมองไม้ สับสนไปหมด
ไม้ค่อยๆ รู้สึกตัวตื่นขึ้นที่ห้องนอนตัวเองโดยมีอบเชยนั่งดูแลอยู่ใกล้ๆ เตรียมอาหารไว้รอไม้ตื่น
ไม้มองไปรอบๆ แล้วก็นึกได้รีบลุกนั่ง
“แพรวา แพรวาล่ะ”
อบเชยถึงกับเซ็ง
“จะไปถามหาเขาทำไม”
“ชั้นยังไม่ได้ซ่อมรถให้เค้าเลย”
“เขาก็กลับไปกับพี่เขาแล้วสิ...นี่ไม้ ไปยุ่งกับไอ้คนพวกนั้นทำไม พวกมันเลวทั้งตระกูล เธอก็รู้”
“แต่แพรวาเค้าก็ดูเป็นคนดีนะ”
“มารยาสิไม่ว่า”
“ทำไมต้องไปว่าเค้าด้วยล่ะ”
“ทำไมจะว่าไม่ได้ เขาเป็นคนทำให้ไม้เป็นแบบนี้ แล้วชั้นก็เป็นคนช่วยไม้มา ทำไมชั้นจะว่าไม่ได้ แล้วไม้ล่ะไปทำอะไรเขาเหมือนที่ไอ้ทิวามันพูดจริงรึเปล่า”
“เปล่า”
“โกหก ทำใช่มั้ย ไม้ไปทำอะไรนางนั่นจริงๆ ใช่มั้ย”
“เธอก็เชื่อในสิ่งที่เธออยากเชื่ออยู่ดี ชั้นไม่เห็นจำเป็นต้องพูด เธอไม่ใช่แม่ชั้นซักหน่อย จู้จี้อยู่ได้”
อบเชยเสียใจที่ไม้พูดแบบนี้
“ได้ ต่อไปนี้ชั้นจะไม่มายุ่งกับเธออีกแล้ว เรื่องมวยบ้าบออะไรน่ะก็ฝึกเองละกัน ข้าวนี่ก็ไม่ต้องกงต้องกินมันแล้ว”
อบเชยเดินงอนออกจากห้องไป เมฆเดินสวนเข้ามา
“ทะเลาะอะไรกัน เสียงโวยวายออกไปถึงข้างนอก”
“ไม่มีอะไรหรอกครับ ไร้สาระ”
“แล้วเราน่ะ รู้สึกยังไงบ้าง มึนหัวมั้ย”
“ก็นิดหน่อย”
“เป็นไง เป็นมวยกับไม่เป็นมวย สุดท้ายมันก็เจ็บตัวเหมือนกัน”
ไม้เถียงพ่อไม่ออก
ลูกผู้ชายไม้ตะพด ตอน 2 (ต่อ)
วันต่อมาไม้นั่งซึมอยู่ริมสระน้ำ จันทร์เดินเข้ามาหยิบหินดีดลงน้ำทีละก้อนเล่น
“ไงวะ ฝึกมวยไปถึงไหนแล้ว”
“ไม่ถึงไหนเลยว่ะ ไปต่อยกับเค้าก็ร่วงเหมือนเดิม”
“อ้าว นี่เสียเวลาไปตั้งหลายเดือน ไปฝึกอีท่าไหนเนี่ย” ไม้นิ่งไม่ตอบ “ชั้นว่าแกต้องหาครูเก่งๆ ครูที่แบบสุดยอดกว่าใครน่ะ”
“ไม่มีใครสุดยอดไปกว่าอาศรแล้ว แล้วอาศรก็สัญญากับไอ้ทิวาไว้แล้วด้วยว่าจะไม่สอนใครอีก”
“มีดิวะคนที่เก่งกว่าอาศรแกน่ะ ก็ลูกผู้ชายนั่นไง ชั้นเห็นฝีมือหมัดมวยน่ะ เหนือชั้นกว่าอาศรของแกตั้งเยอะ”
“อย่าพูดไปเรื่อยเลยน่า ชั้นว่าลูกผู้ชายก็คืออาศรนั่นแหละ”
“ไม่มีหลักฐาน อย่าเพิ่งฟันธงสิ ชั้นไม่ค่อยเชื่อหรอกนะว่าคนแบบอาศรจะกั๊กวิชาที่เก่งๆ ไว้เพื่อแปลงเป็นลูกผู้ชายน่ะ อาจเป็นคนอื่นก็ได้”
“ชั้นนึกไม่ออกว่าจะเป็นใครได้”
“ดังนั้น เราต้องสืบให้ชัวร์ๆ ว่าเค้าเป็นใคร”
“รู้สึกเหมือนเรากำลังวกมาที่จุดเริ่มต้นนะ”
“แกคนเดียวสิที่รู้สึก เพราะชั้นน่ะ ตามหาลูกผู้ชายมาตลอด”
“แล้วได้อะไรใหม่ๆ บ้าง”
“มีอดีตเณรรูปนึง ที่อาจจะรู้อะไรที่ไม่ธรรมดา เราต้องตามหาเค้าให้เจอ”
“ตามหาเพื่อ?”
“แกไม่อยากรู้ความจริงเกี่ยวกับตำนานไม้ตะพดรึไง มันอาจเป็นเบาะแสสำคัญที่บอกว่าลูกผู้ชายคือใครแกไม่อยากเป็นแค่ไอ้กระจอกไม่ใช่เหรอ แกควรรีบตามหาครูคนใหม่ได้แล้ว”
ไม้คิดทบทวนตามคำพูดของจันทร์
อีกด้านหนึ่งที่ท่ารถบขส. ไกรเดินตรวจเช็คสภาพรถแต่ละคัน ถามรายละเอียดของรถแต่ละรอบกับคนขับต่างๆ
“ตรวจเช็คทุกคันแล้วนะ”
“ครับ ไม่มีปัญหาเลยครับ”
“ดีมาก” ไกรเดินมาทางเมฆ เมฆกำลังนั่งอ่านหนังสือการทำสมาธิหลวงปู่มั่นธรรมะอยู่ มีชาญนั่งกินถั่วอยู่ไม่ไกล“สวัสดีครับลุงเมฆ นี่อ่านหนังสือของหลวงปู่มั่นด้วยเหรอ”
“นี่คุณไกรรู้จักหลวงปู่มั่นด้วยเหรอ คนหนุ่มแบบคุณไกรไม่น่าจะรู้จักเกจิอาจารย์”
“จะให้พูดถึงท่านไหนล่ะ หลวงปู่มั่น หลวงปู่ทวด หลวงปู่แหวน ดี”
“คุณไกรรู้ขนาดนั้นเชียว”
“ชั้นเคยบวชเป็นเณรน่ะ หลวงพ่อท่านบังคับให้อ่านหนังสือหนักทีเดียวทำให้รู้จักเกจิอาจารย์เต็มไปหมด ก็หนังสือในหอสมุดวัดน่ะนะ จะมีหนังสืออะไรนักเชียว”
“นั่นสินะ”
“แต่เคยอ่านหนังสือแปลกๆ อยู่เล่มนึง เป็นหนังสือโบราณของพระธุดงค์รูปหนึ่งยังจำมาได้ถึงทุกวันนี้”
“เรื่องอะไรเหรอครับ”
“เกี่ยวกับไม้ตะพดวิเศษของฤๅษี”
ชาญที่อยู่แถวนั้นหูผึ่งวิ่งปรี่เข้ามาเลย
“ไม้ตะพด...หมายถึงไม้ตะพดวิเศษอาวุธของลูกผู้ชายน่ะเหรอ”
“ไม่รู้สิ ลูกผู้ชายคือใครล่ะ” ไกรถามอย่างแปลกใจ
“ตายๆๆๆ บ้านนอกเกิ๊น ไม่รู้จักลูกผู้ชาย ฮีโร่ประจำอำเภอเรา”
“เค้าใช้ไม้ตะพดเป็นอาวุธน่ะ”
“เท่ที่สุด เท่กว่าเอ็งร้อยพันเท่า”
“มีเรื่องแปลกๆ แบบนี้ด้วยเหรอเนี่ย”
“แล้วตกลงไม้ตะพดที่เอ็งพูดถึงเมื่อกี้ของลูกผู้ชายใช่มั้ย”
“เป็นของฤาษีน่ะ”
“ตำนานไม้ตะพด...” เมฆบอก
“เล่ามาซิ เล่ามา” ชาญบอกอย่างสนใจ
ขณะนั้นไม้กับจันทร์เดินมาที่โรงน้ำแข็ง
“แกจะสืบเกี่ยวกับอาศรก่อนจริงๆ เหรอ” ไม้ถามจันทร์
“ก็แกสงสัยว่าเค้าเป็นลูกผู้ชายไม่ใช่เหรอ เราก็ต้องหาเหตุผลมาว่าจะตัดเค้าออกไปรึเปล่า”
“ถ้าเค้าเกิดสงสัยขึ้นมาล่ะ”
“แกเชื่อมือชั้นสิวะ”
ไม้พยักหน้า ไม้กับจันทร์พากันเดินเข้าไปในโรงน้ำแข็ง
ภายในโรงน้ำแข็งขณะนั้นอบเชยนั่งอยู่บนก้อนน้ำแข็ง สลักชื่อบนน้ำแข็งเป็นอบเชยและมีรูปหัวใจ ไม้อยู่หน้าเธออย่างเซ็งๆ ไม้กับจันทร์เดินเข้ามา อบเชยตกใจ
“มากันทำไม” อบเชยรีบลุกขึ้นยืนเอาเท้าเหยียบบังชื่อไม้ไว้
“ทำอะไรอยู่เหรอคนสวย” จันทร์ทัก
“เรื่องของชั้น”
“จะแวะมาหาอาศรน่ะ” ไม้บอก
“โธ่เอ้ย คิดว่าจะมาง้อซะอีก ไอ้ไม้บ้า” อบเชยคิดอยู่ในใจแล้วเอาเท้ากระทืบชื่อไม้ที่ตนเหยียบไว้
“ทำอะไรน่ะ”
ไม้ถาม จันทร์เดินไปดูก้อนน้ำแข็งเห็นชื่ออบเชยสลักอยู่ แต่ไม่เห็นชื่ออีกคน
“เฮ้ย ไม้มาดูนี่ดิ มีชื่ออบเชย แล้วก็รูปหัวใจด้วย”
อบเชยยืนนิ่งไม่ขยับเท้าออกจากชื่อไม้ ไม้เดินมาดูมองหน้าอบเชย ลึกๆ อยากรู้เหมือนกันว่าชื่อใครที่ซ่อนอยู่
“เธอเหยียบชื่อใครไว้น่ะ ชื่อไอ้ไม้แน่เลยใช่มั้ย” จันทร์ถาม
“ไม่ใช่ อย่ามาพูดอะไรมั่วๆ นะ” อบเชยมองหน้าไม้ “ชั้นไม่รักผู้ชายใจง่าย เจอใครแค่ครั้งเดียวก็ชอบหรอก”
“ก็ไม่ได้อยากให้รักนี่”
“ไม่ใช่ชื่อไม้แล้วชื่อใคร เธอชอบใครหรือว่าชอบชั้น”
“ก็คงจะไม่พ้นชื่อไกร ลูกชายเจ๊กีละมั้ง เธอน่ะก็เจอเค้าครั้งเดียวแล้วก็ชอบเหมือนกัน” ไม้บอกอย่างไม่พอใจ
“ชั้นจะรักจะชอบใครมันก็เรื่องของชั้น”
“ถอยไปหน่อยสิ จะดู”
“ไม่ อย่ามายุ่ง”
“ชั้นไม่เห็นจะอยากรู้เลย ไปกันเถอะจันทร์”
“แกก็ไปสิ ชั้นอยากรู้นี่”
อบเชยเหยียบเท้าไว้บนน้ำแข็งแน่น จันทร์พยายามทั้งดัน ทั้งดึงอบเชยออก อบเชยไม่ออก จากแกล้งๆ ก็เริ่มเป็นท่าต่อสู้เพื่อให้อบเชยออก อบเชยสู้กลับด้วยเท้าที่ไม่เคลื่อนไหว ไม้ลุ้นคอยจ้องดูชื่อที่ฝ่าเท้าที่เผยอขึ้นลงเล็กน้อยตลอดเวลา
ทางด้านพันเทพขณะนั้นอยู่ที่ที่นาแปลงหนึ่ง พันเทพเดินอยู่กับหัวหน้าพรรค มีสมุนของทั้งคู่คอยเดินตาม
“ตกลงว่าผมสนใจที่นาแถวนี้ มันเป็นที่ของใครกัน” หัวหน้าพรรคถาม
“ก็ของพวกชาวบ้านนั่นละครับ ท่านจะเอาไปทำอะไรเหรอครับ”
“ผมมีโครงการร่วมหุ้นกับต่างชาติ ต่างชาติกำลังสนใจการลงทุนกับเกษตรกรรม โดยเฉพาะข้าว ราคาในตลาดโลกมันดี ผมอยากจะได้ที่นาแถบนี้ทั้งหมดเพื่อลงทุน ถ้าคุณจัดการเรื่องนี้ให้ผมได้ละก็ ผมสนับสนุนคุณเต็มที่กับการเลือกตั้งที่จะถึง”
“ได้สิครับ กับเรื่องที่นาแค่นี้ ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว”
“ถ้างั้นผมฝากคุณด้วยนะ จัดการเลยก็แล้วกัน มีอีกหลายเรื่องที่ผมอาจต้องพึ่งคุณ”
“ครับ”
พันเทพเดินตามหัวหน้าพรรคออกจากที่นาไป
อีกด้านหนึ่งของที่นา เมฆกำลังช่วยชาวนาเกี่ยวข้าวอยู่
“ใจดีจริงๆ เลยนะพ่อเมฆ มาช่วยเกี่ยวข้าวทุกปี”
“ก็ช่วยๆ กันครับ ลุงกับป้าก็เป็นผู้โดยสารขาประจำของผมเหมือนกัน”
“แล้วนี่วันนี้นี้ไม่วิ่งรถเหรอ”
“ให้คนอื่นวิ่งบ้าง ขืนชั้นวิ่งคนเดียวเดี๋ยวจะรวยไม่แบ่งใคร”
ชาวนาชายหญิงหัวเราะร่วน ชอบใจ
“เดี๋ยวชั้นไปเอาน้ำมาให้กินนะพ่อ”
“ไม่ต้องครับ เดี๋ยวผมเข้าไปกินเองดีกว่า สะดวกกว่าเยอะครับ”
“เอ้าๆ ตามใจ”
เมฆยิ้มให้ชาวนา แล้วเดินปาดเหงื่อออกไป เมฆเดินเข้ามากินน้ำตรงที่พักกลางนา เขาเหลือบตามองไปเห็นพันเทพกับสมุนพอดี
“พันเทพนี่ มาทำอะไรที่แบบนี้”
เมฆมองอย่างสงสัย
พันเทพมองท้องนาแล้วบอกสมุน
“ที่นาส่วนใหญ่มันของใคร พวกแกรู้มั้ย”
“ของชาวบ้านแก่ๆ สองคนครับ ทำเองด้วย แล้วก็ปล่อยให้คนอื่นเช่า”
“พาชั้นไปเจอมันหน่อยซิ
เมฆแอบฟังทั้งพันเทพและสมุนคุยกัน พันเทพเดินออกไปพร้อมสมุน เมฆมองตามนึกเป็นห่วงชาวนา
พันเทพเดินมาที่ท้องนาที่ชาวนากำลังเกี่ยวข้าวกัน
“ไหน ใครเป็นเจ้าของที่นา”
ทุกคนหันมองพันเทพงงๆ ชาวนาลุงกับป้าเดินมาหาพันเทพ
“ชั้นเองล่ะจ้ะ มีอะไรรึเปล่า”
“ก็ดี เกี่ยวเสร็จก็ไม่ต้องทำอะไรแล้วนะ ชั้นจะเหมาซื้อที่ทั้งหมดนี่”
“โอ๊ย ไม่ขายหรอกจ้ะ นี่ที่นาทำมาตั้งแต่สมัยปู่ย่า”
ชาวนาบอก พันเทพหัวเราะ
“เดี๋ยวนะ มีซักประโยคนึงมั้ยที่ชั้นพูดว่าขอซื้อน่ะ” ชาวบ้านมองหน้ากันเลิ่กลั่ก “ตั้งแต่พรุ่งนี้พวกแกย้ายออกจากแถวนี้ให้หมดนะ”
“นี่ ทำแบบนี้ไม่ได้นะ เราบอกแล้วว่าเราไม่ขาย”
“แกนี่ฟังไม่รู้เรื่องรึไงห๊า ชั้นไม่ได้ขอซื้อต่อ ชั้นจะเอา”
“แบบนี้มันทุเรศนี่”
สมุนเข้ามาตบชาวบ้านที่ด่าทันที
“อย่ามาว่าคุณพันเทพแบบนี้นะ”
“แกจะขายหรือไม่ขาย สุดท้ายมันก็จะเป็นของฉันอยู่ดี”
“หมายความว่าไง”
“ก็บอกไปแล้วว่าไม่ได้มาขอซื้อต่อ”
“แบบนี้มันโกงกันนี่” ชาวนาต่อว่า
ชาวนาสองผัวเมียถูกพันเทพควบคุมตัวกลับมาบ้าน ชาวนาทั้งสองนั่งอยู่บนโต๊ะโดยมีพันเทพถือมีดเดินล้อมอยู่
“ชอบทำเรื่องง่ายให้เป็นรื่องยากนะพวกแกเนี่ย ก็แค่รับปากว่าจะขาย”
“รับปากไม่ได้ ของบรรพบุรุษ”
“งั้นแกอยากตามไปอยู่กับบรรพบุรุษแกรึเล่าล่ะ”
“นี่คิดจะขู่เราเหรอ”
“คิดว่าจะขู่หรือทำจริงล่ะ”
พันเทพขยับปลายมีดทีคมกริบสะท้อนแสง ปักลงบนโต๊ะข้างมือชาวนาคนหนึ่ง ชาวนาสะดุ้ง
“มันต้องทำรุนแรงกันขนาดนั้นเลยเหรอพันเทพ”
ลูกผู้ชายปรากฏตัวขึ้น ชาวนาทั้งสองยิ้มออก พันเทพหงุดหงิดขึ้นมาทันที
“ทำไมแกต้องยุ่งไปซะทุกเรื่องด้วยวะ ไอ้ลูกผู้ชาย...จัดการมัน”
พันเทพหันไปสั่งสมุน สมุนเข้าลุยกับลูกผู้ชายทันที แต่ไม่นานสมุนก็ล้มพับไปทั้งสองคน ลูกผู้ชายหันหน้ามาหาพันเทพ พันเทพจ้องตากับลูกผู้ชายไม่วางตา
พันเทพกับลูกผู้ชายออกมาที่กลางทุ่งนา ทั้งคู่ยืนคนละฝั่ง ชาวบ้านออกมายืนดู
“ชั้นไม่อยากให้การต่อสู้ครั้งนี้เสียเปล่า”
“อะไรของแกอีก”
“ถ้าชั้นชนะ ชั้นไม่อยากให้แกเลิกยุ่งกับเรื่องที่นาของชาวบ้าน”
“ก็ได้ แต่ถ้าชั้นชนะ แกกล้าเอาที่นาของชาวบ้านนี่มาเสี่ยงด้วยรึเปล่าล่ะ ชั้นก็ไม่อยากเสียเวลาเปล่าเหมือนกัน” ลูกผู้ชายไม่กล้ารับปาก “ว่าไง ที่นานี่ ไอ้แก่สองคนนั่นต้องยอมขายให้ฉันในราคาที่ชั้นพอใจ โดยไม่มีเงื่อนไขอะไรมากวนใจชั้นอีก”
“ชั้นตกลง”
ชาวนามองลูกผู้ชายอย่างเชื่อมั่น
“ชั้นเชื่อใจลูกผู้ชาย”
ลูกผู้ชายกับพันเทพมองหน้ากันอีกครั้ง ต่างยกอาวุธของตนขึ้นมาแล้วการต่อสู้ก็เริ่มขึ้น แต่ด้วยท้องนามีลักษณะเป็นพื้นที่ที่ไม่ราบเรียบมีเพียงคันนาแคบๆ ทำให้การต่อสู้ยากกว่าปกติ ลูกผู้ชายกับพันเทพสู้กันสูสี ทั้งคู่ค่อยๆ ทยอยปล่อยท่าไม้ตาย ชาวนาต่างดูกันไปลุ้นกันไป ทั้งคู่ไล่สู้กันไปจนริมคลองส่งน้ำ เด็กชายคนหนึ่งเห็นลูกผู้ชายก็ดีใจ วิ่งรี่เข้ามาหาอย่างไม่รู้เรื่อง
“ลูกผู้ชาย”
ลูกผู้ชายเสียสมาธิ พันเทพถือโอกาสใช้เด็กเป็นเครื่องมือใช้ไม้ตะพดทำให้เด็กเกือบร่วงน้ำไป ลูกผู้ชายคว้าไว้ได้ก่อน แต่เป็นการเปิดช่องโหว่ให้พันเทพจู่โจมลูกผู้ชายจนเกือบเสียหลัก พันเทพเห็นลูกผู้ชายเสียท่าก็ชะล่าใจ ลูกผู้ชายรีบซัดท่าไม้ตายใส่พันเทพทำเอาพันเทพเสียหลักเกือบตกสะพานแต่เขาเอามือคว้าไว้ได้ทัน ตัวห้อยโตงเตง
“แกแพ้แล้วพันเทพ เลิกยุ่งกับที่นาชาวบ้านซะ”
“เออ” พันเทพตอบอย่างเจ็บใจ ลูกผู้ชายยื่นมือจะช่วยพันเทพขึ้นมาจากที่ห้อยอยู่ตรงสะพาน พันเทพไม่รับความช่วยเหลือจากลูกผู้ชาย “ชั้นยอมตกไปซะดีกว่ารับความช่วยเหลือจากแก”
“ตามใจ”
ชาวนาต่างมาขอบคุณชื่นชมลูกผู้ชาย แม่ของเด็กก็เข้ามาขอบอกขอบใจลูกผู้ชาย
“ขอบใจนะลูกผู้ชาย ไม่งั้นป่านนี้ไอ้หนูตกน้ำไปแล้ว”
“ไม่เป็นไร”
“ที่นาของเราจะไม่โดนพันเทพมันเอาไปแล้วใช่มั้ยลูกผู้ชาย” ลูกผู้ชายพยักหน้า
“พันเทพ ถึงมันจะเลวยังไง มันก็เป็นคนรักษาคำพูด”
ทางด้านพันเทพที่ห้อยอยู่บนสะพาน พันเทพใช้ร่มเกี่ยวกับต้นไม้แล้วใช้พลังของไม้ตะพดเหวี่ยงตัวเองขึ้นมาได้ พันเทพมองชาวบ้านที่ชื่นชมลูกผู้ชายอย่างแค้นๆ ไม่สบอารมณ์นัก
เมื่อกลับมาบ้านพันเทพก็เข้ามาคุยโทรศัพท์ที่ห้องทำงาน
“ครับท่าน เรื่องที่นามันมีปัญหานิดหน่อยน่ะครับ ผมว่าเราอาจต้องไปหาที่อื่น...ครับ ผมต้องขอโทษด้วยครับท่าน” พันเทพวางโทรศัพท์อย่างหงุดหงิด “ลูกผู้ชาย แกขวางเส้นทางการเมืองชั้น แกจะขวางชั้นทุกเรื่องเลยรึไง” เสียงเคาะประตูดังขึ้น “เข้ามา”
สมุนพันเทพเดิน เอาเอกสารมาให้เซ็น
“รายชื่อแขกทั้งหมดที่จะมางานครับท่าน”
“งาน?”
“งานต้อนรับคุณแพรวาและคุณราตรีไงครับ”
พันเทพถอนหายใจ
“เกือบลืมไปเลย”
ส่วนที่ท่ารถบขส. เมฆเดินมาหน้าท่ารถแล้วหยุดเดินจัดแต่งผมเผ้าให้เรียบร้อยก่อนจะเดินเป๋เข้าไป เมื่อกลับมาท่ารถ เมฆมานั่งคุยกับไกรและชาญเกี่ยวกับตำนานไม้ตะพด
“ไม้ตะพดมันมีตำนานนี่เอง มันถึงได้วิเศษขนาดนั้น”
“ผมก็แค่เล่าเรื่องที่อ่านมาให้ฟังก็แค่นั้น เรื่องจริงรึเปล่าไม่รู้ แต่ผมชอบนะ ที่ไม้จันทร์พันปีหักสองท่อนจนกลายเป็นไม้ตะพดสองอัน”
“มันอาจจะไม่เกี่ยวอะไรกันกับลูกผู้ชายก็ได้นะ เราก็แค่โยงๆ กันไปเอง”
“ร้อยใช่พันใช่ต่างหาก ตำนานศักดิ์สิทธิ์แบบนี้ ไม่มีมั่วไม้ที่ลูกผู้ชายใช้ต้องเป็นของฤาษีแน่ๆ แต่ไม้ตะพดอีกอันนี่สิไปอยู่กับใคร”
ทางด้านพันเทพขณะนั้นเขากำลังสั่งงานลูกน้องทางโทรศัพท์
“งานวันนี้พวกแกดูแลให้ดีด้วย แขกสำคัญมาเยอะ อย่าให้ใครที่ไม่ได้รับเชิญเข้ามาในงานได้เด็ดขาด ชั้นไม่อยากให้ลูกๆ ชั้นเป็นอันตราย”
พันเทพวางหูโทรศัพท์ หยิบไม้ตะพดออกจากกล่องอย่างเบามือ เขาเอามันใส่เข้ากับอะไหล่ร่ม กลายเป็นร่มอีกครั้ง พันเทพยิ้มเจ้าเล่ห์
ที่โรงน้ำแข็งขณะนั้นจันทร์กับอบเชยยังสู้กันอยู่อบเชยไม่ขยับเท้าไปไหนแล้วจันทร์ก็นึกอะไรออก ดีดน็อตไปยังไม้ที่ยืนดูอยู่โดนหัวพอดี
“โอ๊ย”
“อุ๊ย โทษทีพลาดไปหน่อย”
อบเชยหันไปตามเสียงร้องของไม้
“ไม้” เลือดไหลออกมาจากหัวไม้ อบเชยตกใจรีบวิ่งไปดูเอาเท้าออกจากน้ำแข็ง “เลือดไหลด้วย เจ็บมากรึเปล่า”
จันทร์ยิ้มที่แผนตัวเองสำเร็จ
“โธ่เอ้ย ไม่ต้องเห็นที่เธอเขียนชั้นก็ดูออก แต่ชั้นอยากจะมีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรก็แค่นั้น”
จันทร์เดินไปดูที่น้ำแข็งกะว่าจะได้เห็นชื่อไม้ แต่ปรากฏว่ากลายเป็นรอยเท้าของอบเชยสลักบนน้ำแข็งแทน จันทร์เจ็บใจ
“โธ่เอ๊ย ดันสู้นานไปหน่อย ลืมคิดเรื่องนี้ไปได้ยังไงนะ”
อบเชยทำแผลให้ไม้เสร็จจึงต่อว่าไม่ที่ไม่ยอมหลบ
“ไม้นะไม้ เห็นน็อตมันลอยมาทำไมไม่หลบชั้นสอนแล้วไม่ใช่เหรอ แล้วมัวทำอะไรอยู่”
“ก็มัวดูคนกำลังพยายามปกปิดหัวใจตัวเอง”
“อย่ามาพูดแบบนี้นะ”
“นึกว่าปิดไว้แล้วจะไม่มีคนรู้รึไงว่าเธอน่ะชอบ...ไกร ลูกชายเจ๊กี”
“อย่ามาทำเป็นรู้ดีหน่อยเลย ชั้นชอบใคร คนโง่ๆ อย่างเธอไม่มีทางรู้หรอก”
“เออ ชั้นมันโง่ ไม่มีอะไรดีซักอย่าง”
“ใช่ โง่มากด้วย แล้วคนโง่ๆ อย่างเธอก็ดันไปหลงรักแพรวา ดอกฟ้าที่ไม่มีวันเอื้อมถึง”
“แล้วไกรน่ะ เธอเอื้อมถึงนักนี่ อย่าว่าแต่ไกรเลย ชาวบ้านธรรมดาปกติใครเค้าจะมาชอบผู้หญิงแก่นกะโหลกอย่างเธอ”
“มีก็แล้วกัน”
“ไหน ใคร?”
ไม้จ้องอบเชยคาดคั้นเอาคำตอบ จู่ๆ เสียงแตรรถก็ดังขึ้น อบเชยลุกออกไปดู
อบเชยเดินออกมาหน้าบ้านเป็นรถทิวาที่มาจอดรอ ทิวาลงจากรถมา
“นึกแล้วว่าต้องไม่มีชุดสวยๆ นี่ไง ชั้นซื้อมาให้เธอเปลี่ยนด้วย”
“ใครบอกว่าจะไป งานบ้าบออะไรของบ้านนายกัน”
ทิวาไม่ฟัง หยิบชุดราตรีสวยมาทาบอบเชย
“ดูชุดสิ เธอน่าจะใส่ได้พอดีเลยนะ ชั้นนี้เดาเก่งจริงๆ”
“ชั้นไม่ใส่หรอก เก็บกลับไปเถอะ”
“อย่าเพิ่งรีบปฏิเสธสิ อย่างน้อยก็น่าจะลองดูก่อน”
ไม้เดินออกมาหน้าบ้าน อบเชยเห็นแสดงละครทันที
“สวยดีเหมือนกันนะ ขอบคุณมากเลยนะที่ซื้อมาให้”
“อบเชยต้องใส่สวยแน่ๆ”
“งั้นเราไปงานเลยดีกว่า เดี๋ยวจะสาย”
“อ้าวไม่เปลี่ยนชุดก่อนเหรอ”
“เดี๋ยวค่อยเปลี่ยนก่อนเข้างานก็ได้นี่”
“เอางั้นก็ได้”
ทิวาพาอบเชยขึ้นรถ อบเชยมองไม้ยิ้มเยาะ ไม้งงที่เป็นอบเชยกับทิวา
“ไอ้ทิวา เป็นไปได้ไง”
ทิวายิ้มดีใจที่อบเชยนั่งรถมาด้วย แต่แล้วจู่ๆ อบเชยก็บอกให้จอดรถ
“เดี๋ยวจอดให้ชั้นลงข้างหน้านี่แหละ”
“อะไรเนี่ย”
“ชั้นไม่ไป ก็บอกไปแล้วว่าไม่ไปยังจะอะไรอีก”
“ก็เมื่อกี้...”
“ชั้นพูดเล่น จอดให้ลงด้วย”
“ไม่มีทางหรอก”
“เอ๊ะ นี่...”
“ชั้นไม่ใช่คนที่เธอจะมาทำโลเลด้วยได้นะ”
“ก็เรื่องของนาย ชั้นไม่กลัวหรอก”
“ก็ลองดู คืนนี้พ่อเธอไปที่งานด้วยถ้าเค้าไม่เจอกับลูกสาวตัวเอง ก็ไม่รู้ว่าจะได้กลับออกมารึเปล่า”
“วิธีสกปรก”
ทิวายิ้มรับ
“ถ้ามันทำให้ชั้นเอาชนะเธอได้ ชั้นถือว่าเป็นวิธีที่ดี”
อบเชยเจ็บใจ
คืนนั้นที่บ้านพันเทพแขกเหรื่อมากมายมากันเต็มพื้นที่ไปหมด พันเทพถือร่มไว้ข้างตัวนั่งที่โต๊ะกับลูกทั้งสามคน คุยกับแขกในโต๊ะ
“งานวันนี้ก็จัดขึ้นเพื่อต้อนรับลูกสาวทั้งสองคนที่เพิ่งเรียนจบจากอังกฤษ จะมาช่วยผมบริหารสายรถตู้”
ลูกๆ ยิ้มกับแขกราตรีกระซิบกับพ่อ
“หนูขอไปเข้าห้องน้ำหน่อยนะคะ”
“เอาเลยลูก”
ราตรีเดินแยกออกไป ศรนารายณ์เดินเข้ามามองพันเทพที่กำลังคุยที่โต๊ะเห็นร่มวางอยู่ข้างตัวพันเทพก็แปลกใจ
“ฝนก็ไม่เห็นตก ทำไมไอ้พันเทพต้องพกร่มไปไหนมาไหนด้วยนะ”
อ่านต่อหน้า 4
ลูกผู้ชายไม้ตะพด ตอนที่ 2 (ต่อ)
อบเชยอยู่ในชุดราตรีที่ทิวาเอามาให้ เธอมองตัวเองในกระจกที่อยู่ในห้องน้ำบ้านพันเทพ
“ชั้นมาทำอะไรที่นี่เนี่ย”
ราตรีเดินเข้ามาในห้องน้ำชนอบเชยจนเซไป แล้วมองเฉยๆ อย่างไม่สนใจและไม่ขอโทษจะเดินต่อไป
“เฮ้ย เดี๋ยวสิ ชนคนอื่นก็น่าจะขอโทษซักคำ” ราตรีหันมามองอบเชยอย่างไม่แคร์ “นี่เธอมัน...คนที่อยู่กับไม้เมื่อวานนี่”
“พูดอะไรของเธอ ชั้นไม่มีเวลามาคุยด้วยหรอกนะ ชั้นต้องไปต้อนรับแขกอีกเยอะ”
“หน้าตาดีซะเปล่า แต่ไม่มีมารยาท ไม้สนใจคน อย่างเธอไปได้ยังไง”
“ชั้นไม่รู้หรอกนะว่าเธอพูดเรื่องอะไร แต่เราสองคนไม่รู้จักกันมาก่อน เธอจะด่าอะไรก็เรื่องของเธอ คำจากคนที่ท่าทางบ้านนอกๆ อย่างเธอ ชั้นไม่ใส่ใจฟังหรอกเสียเวลา”
ราตรีไม่สนใจเดินเข้าห้องน้ำไป อบเชยโกรธจัดเดินออกไป
อบเชยออกมาสงบสติอารมณ์ด้านนอกแต่ก็ทำไม่ได้ ใจเธอเดือดพล่าน
“ใจเย็นไม่ได้ มีเรื่องก็ต้องมีละว่ะ ชั้นไม่กลัวหรอก ทำมาทำท่าทางผู้ดีเดี๋ยวจะตบให้กลายเป็นแม่ค้าเลยคอยดู”
อบเชยเดินอาดๆ จะกลับไปเอาเรื่อง แพรวาเดินมาทางนั้นพอดี แพรวาเจออบเชยก็ยิ้มให้อย่างมีมิตรไมตรี
“เจอพอดีเลย ขอโทษชั้นเดี๋ยวนี้”
อบเชยบอกแพรววาถึงกับงง
“อะไรนะ”
“ที่เธอด่าชั้นเมื่อกี้ขอโทษเดี๋ยวนี้”
“นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย”
“ตกลงจะไม่ขอโทษใช่มั้ย ได้...ชั้นไม่ยอมให้เธอด่าชั้นฟรีๆ หรอก”
อบเชยตบฉาดจนแพรวาล้มลงไป เสียงฟ้าร้องครืนๆ ทิวาเดินมาเห็นพอดีวิ่งเข้ามาดูน้องตน
“นี่เธอทำอะไรของเธอน่ะอบเชย”
“ก็ถามเขาสิ ว่าเขาทำอะไรชั้นก่อน”
“เรื่องอะไรกันแพรวา”
แพรวาส่ายหน้า...พันเทพวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาพร้อมกับศรนารายณ์ ศรนารายณ์วิ่งไปหาอบเชย
“อะไรกัน เธอมาทำร้ายลูกสาวชั้นทำไมอยากโดนดีใช่มั้ย”
พันเทพบอกอย่างไม่พอใจ
“ทีแกเที่ยวจ้างคนไปรังแกคนอื่นๆ ในอำเภอล่ะ”
พันเทพเงื้อมมือจะตบอบเชย ศรนารายณ์เข้ามาห้าม
“อย่ามีเรื่องกันเลยนะพี่นะ ลูกผมก็เป็นแบบนี้แหละ ผมขอโทษแทนมันด้วยละกัน”
“ไปขอโทษทำไมพ่อ เราไม่ได้ทำอะไรผิด”
ทิวาพยุงแพรวาลุกขึ้น
“เป็นอะไรมากมั้ยเนี่ย”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ อย่ามีเรื่องกันเพราะแพรวาเลยนะคะ ทั้งหมดนี่น่าจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดมากกว่า”
“ชิ พอคนอยู่เยอะๆ ทำแอ๊บเป็นนางเอกเชียว” อบเชยบ่นกับตัวเอง
“หยุดพล่ามได้แล้ว นี่ชั้นเห็นแก่ลูกชั้นหรอกนะชั้นจะไม่เอาเรื่องเธอ นี่ศรนารายณ์ช่วยดูแลลูกตัวเองให้ดีกว่านี้”
พันเทพบอก ศรนารายณ์นิ่งมองลูกตัวเอง อบเชยเจ็บใจ
ศรนารายณ์ลากอบเชยออกมายืนคุยที่โต๊ะที่พันเทพนั่งตอนแรก อบเชยไม่พอใจพ่อตนนัก
“พ่อทำเหมือนหนูเป็นคนผิดงั้นแหละ”
“ลูกอยู่ในงานมัน ลูกน้องและพวกของมันทั้งนั้นอยู่ในงานนี้ พ่อไม่ยอมให้ลูกมาเสี่ยงหรอก”
“แต่มันด่าหนูก่อนจริงๆ นะ”
“เออ เอาเถอะ ออกไปจากที่นี่ก่อนดีกว่า” เสียงฟ้าร้องครืนๆ “นี่ท่าทางฝนจะตกนะเนี่ย”ศรนารายณ์หันไปเห็นร่มของพันเทพที่วางอยู่ที่โต๊ะ “ไอ้พันเทพ ต่อให้มันเลวยังไงแต่มันรอบคอบจริงๆ คงดู
พยากรณ์อากาศมาสิท่า” ศรนารายณ์เดินไปหยิบร่มที่วางอยู่ “ยืมก่อนแล้วกันนะ บ้านแกอยู่แค่นี้ไม่ต้องกลัวเปียกหรอก ไปลูก”
อบเชยเดินตามพ่อไปอย่างไม่เต็มใจนัก
ฝนตกลงมาอย่างหนักศรนารายณ์เดินกางร่มเข้ามาในบ้านกับอบเชย วางร่มตากไว้
“นี่ไม่ได้ร่มนี่แย่เลยนะเนี่ย พ่อนี่เก่งนะว่ามั้ย”
“แค่กางร่ม ไม่เห็นจะเก่งตรงไหน ถ้าหนูกางแล้วพ่อไม่เปียกสิ ถึงจะเก่ง”
อบเชยเซ็งๆ แยกตัวไป ศรนารายณ์ระอากับลูกตน
“พูดอะไรของมัน เข้าใจยากจริง”
ขณะนั้นพันเทพและลูกทั้งสามนั่งอยู่ด้วยกันในห้องรับแขก
“ฝนไล่แขกกลับไปหมดเลย”
“ฝนหรือใครกันแน่ พ่อเลี้ยงให้ชั้นทั้งที” ราตรีมองแพรวา “กลับทำให้หมดสนุกได้”
“เอาน่า แพรวาไม่รู้เรื่องอะไรด้วยหรอก”
“ชิ ตัวดีล่ะไม่ว่า”
“เสียดายนะครับพ่อ ไม่รู้ก่อนว่าฝนจะตก จะได้ให้คนเตรียมร่มสนามไว้ด้วย”
พอได้ยินคำว่าร่มพันเทพก็นึกถึงร่มตัวเองที่วางไว้ที่โต๊ะ
“ร่ม”
พันเทพจะลุกออกไป ทิวาห้ามไว้
“พ่อจะไปไหนน่ะ”
“พ่อลืมของทิ้งไว้ที่สนาม”
“ของ ของอะไร สำคัญรึเปล่า”
“ร่ม”
ราตรีหัวเราะ
“แค่ร่มอันเดียว พ่อจะต้องไปสนใจทำไม”
“ไม่ได้” พันเทพจะไปดู
“ให้ไอ้พวกนี้ไปหาให้ก็ได้พ่อ...ไปเอาร่มของพ่อมาซิ” ทิวาหันไปบอกสมุน สมุนพยักหน้ารับ
“ครับ”
สมุนวิ่งออกไป...พันเทพยืนมองสมุนตากฝนหาร่ม อย่างลุ้นๆ จนกระทั่งสมุนเดินตากฝนกลับเข้ามา
“หาไม่เจอเลยครับ”
“มันจะหายไปได้ยังไง กลับไปหาต่อสิ ไม่ต้องพักจนกว่าจะหาเจอ”
“ครับ”
สมุนจำต้องตากฝนออกไปอีก ทิวาเดินมาหาพ่อ
“มันเป็นร่มอะไร สำคัญขนาดนั้นเลยเหรอครับ”
พันเทพไม่ตอบ
ที่บ้านศรนารายณ์ กลางดึกคืนนั้นขณะที่ศรนารายณ์นอนหลับอยู่ก็รู้สึกเหมือนมีเงาตัวอะไรบินไปมาบนห้อง ศรนารายณ์ลืมตาดูก็ไม่เห็นอะไร ศรนารายณ์เดินมาตรงจุดที่กางตากร่มไว้เห็นร่มหุบวางอยู่บนพื้น
“ก็กางตากไว้นี่หว่า ทำไมถึงหุบได้นะ”
เช้าวันรุ่งขึ้นอบเชยเดินงัวเงียเข้ามาในครัว เห็นศรนารายณ์กำลังง่วนอยู่กับการทำอะไรบางอย่าง
“วันนี้พ่อลงมือทำกับข้าวเองเลยเหรอ”
ศรนารายณ์ค่อยๆ หันมา มือนึงถือมีด ข้อมืออีกข้างเต็มไปด้วยเลือด แล้วพูดออกมาเป็นเสียงคล้ายค้างคาว อบเชยกรี๊ดลั่น
อบเชยกรี๊ดลั่นแล้วสะดุ้งตื่นบนที่นอน ศรนารายณ์วิ่งเข้ามาถือมีดในมือด้วย
“มีอะไรลูก ร้องเสียงดังเลย”
อบเชยพยายามตั้งสติ เห็นมีดในมือศรนารายณ์ก็ร้องกรี๊ดออกมาอีก
“กรี๊ดดดดดดด”
“หยุด นี่มันอะไรเนี่ย”
“พ่อถือมีดมาทำไม”
“พ่อทำกับข้าวอยู่ เห็นลูกร้องพ่อก็รีบวิ่งมาฝันร้ายเหรอ”
“น่าจะ”
“แยกความฝันกับความจริงไม่ออกแล้วรึไง”
“มันเหมือนเรื่องจริงมาก”
“โธ่เอ๊ย เด็กน้อย...” ศรนารายณ์เอามือข้างที่ถือมีดขยี้หัวอบเชย
“พ่อช่วยวางมีดก่อนได้มั้ยเนี่ย”
ศรนารายณ์ยิ้มมองอบเชยอย่างเอ็นดู อบเชยเครียดกับความฝันตัวเอง
ที่บ้านพันเทพขณะนั้นพันเทพยืนสั่งสมุนทุกคน
“แกเอาสมุดรายชื่อแขกทุกคนเมื่อคืนมาดู แล้วไปค้นทุกบ้าน หาร่มของชั้นให้เจอให้ได้ ใครไม่ยอมให้ค้นจัดการมันได้เลย”
สมุนทุกคนพยักหน้า พันเทพและสมุนต่างไม่มีใครเห็นว่าทิวาแอบดูพฤติกรรมพันเทพอยู่
“แค่ร่มอันเดียว มันต้องทำถึงขนาดนี้เลยเหรอ มันคือร่มอะไรกันแน่”
ทิวาไม่คลายความสงสัย
ศรนารายณ์หาของที่เก็บอยู่ในปี๊บที่มีขอบภายในคม ท่ามกลางของที่รกไปหมด ศรนารายณ์ล้วงหาของแล้วต้องตกใจเมื่อหมาตัวหนึ่งมายืนมองเค้าแล้วเห่าเสียงดัง แยกเขี้ยวขู่ ศรนารายณ์ตกใจข้อมือบาดกับขอบปี๊บ
“เฮ้ย...เห่าอะไรไอ้หวัง จำชั้นไม่ได้รึไง”
ศรนารายณ์เลือดหยดติ่งๆ จากแผลที่ข้อมือ หมาเห่าขู่ไม่หยุด อบเชยออกมาเห็นพอดี
“พ่อ...มีอะไร”
“ก็ไอ้หวังน่ะสิ อยู่ๆ มันก็มาเห่าพ่อเอาเป็นเอาตาย ทำยังกับพ่อเป็นคนแปลกหน้างั้นแหละ”
“ไอ้หวัง ไป ไป” อบเชยไล่หมา หมาวิ่งหวาดผวาออกไปนอกบ้าน อบเชยวิ่งมาหาพ่อ “นี่ไอ้หวังกัดเหรอ”
“เปล่า พ่อซุ่มซ่ามเองแหละ”
อบเชยนึกถึงความฝันตัวเองที่ฝันเห็นศรนารายณ์เลือดท่วมข้อมือในข้างเดียวกัน เธอใจไม่ค่อยดีนัก
อบเชยพาศรนารายณ์เดินเข้ามาในบ้าน เลือดหยดเป็นทางไปโดนร่มที่วางอยู่เลือดซึมหายเข้าไปในร่ม อบเชยได้ยินเสียงประหลาดคล้ายค้างคาวเหมือนในฝัน เธอยิ่งใจไม่ดีเข้าไปใหญ่
“มีอะไรเหรอลูก”
“พ่อได้ยินเสียงอะไรแปลกๆ มั้ย เสียงคล้ายๆ กับ ค้างคาวเลย”
“ไม่นิ เสียงนกรึเปล่า”
“ช่างเหอะ ไปทำแผลก่อนดีกว่า”
อบเชยทำแผลให้พ่อ
ส่วนที่บ้านพันเทพขณะนั้นราตรีนั่งดูอัลบั้มรูปอยู่ในห้องทิวา ทิวาเดินเข้ามา
“เป็นไง ปรับเวลานอนให้เข้ากับบ้านเราได้รึยัง”
“ก็ยังนอนไม่ค่อยหลับหรอก”
“เดี๋ยวก็ชิน”
“อืม... รูปพวกเราตอนเด็กๆ นี่ตลกดีเนอะ ไม่ได้เห็นตั้งนาน” ทิวายิ้ม ราตรีชี้รูป “พี่ทิวาดูพี่รูปนี้สิ ตลกชะมัดเลย” ทิวาเดินมาดูรูป ยิ้มไปกับราตรี แล้วราตรีก็สังเกตเห็นว่าเวลาถ่ายรูปรวมครอบครัว ทิวาจะต้องแยกยืนอยู่คนเดียว โดยที่พันเทพเองก็ไม่จับตัวทิวาเลย “แต่น่าแปลกนะ ดูสิ รูปที่ถ่ายรวมกันทุกรูป พี่ทิวาเหมือนมาคนละงานน่ะ ไม่เกี่ยวข้องกับใครซักคน” ทิวาหน้าเจื่อนราตรีเปิดไล่ดูทั้งอัลบั้ม “ทำไมไม่มีรูปพี่คู่กับพ่อเลยซักรูปล่ะ”
“เด็กๆ พี่ไม่ชอบถ่ายรูป” ทิวาบอกเสียงแข็งปกปิดบางอย่างไว้
“เหรอ”
ทิวามองไปที่รูป แล้วก็สังเกตเห็นพันเทพที่อยู่ในรูปถือร่มไว้ในมือด้วย ทิวาแย่งอัลบั้มรูปมาจากราตรี
“เอามานี่ซิ” ทิวาเปิดรูปในอัลบั้มตั้งแต่ยังเด็ก พันเทพถือร่มไว้ในมือตลอด ทิวาเห็นก็ตกใจพลิกไปดูรูปอื่นๆ ก็เห็นทิวาถือร่มอยู่ตลอดเวลา “ร่ม”
“อะไรเหรอพี่ทิวา”
“ไม่มีอะไรหรอก”
ราตรีชี้รูปที่มีพันเทพถือร่มในหลายๆ รูป
“พี่ทิวาดูนี่สิ ในรูปเหมือนจะมีเงาดำๆ แปลกๆ อยู่ด้วย”
ทิวาสังเกตดูในรูปที่มีพันเทพถือร่ม จะมีเงาดำๆ ที่ไม่รู้เป็นอะไรปรากฏอยู่ด้วยจางๆ ดูไม่ออกว่าเป็นรูปอะไร เงาดำอยู่รอบๆ ตัวพันเทพ ทิวาเปิดดูทุกรูปจะเป็นคล้ายๆ กันหมด
“มันเงาอะไรเหรอพี่ทิวา”
“คงเป็นที่กล้องมากกว่า ไม่มีอะไรหรอก”
ทิวาบอกราตรีไม่ให้สนใจ แต่ตัวเขาไม่เลิกสงสัยเกี่ยวกับร่มเลย
ที่ท่ารถบขส.รถของเมฆเข้าจอดที่ท่ารถ ผู้โดยสารทยอยลงจากรถตามลงมาด้วยไม้ ชาญและเมฆ
เจ๊กียืนดูธุรกิจตัวเองอย่างพอใจ ไม้ ชาญ เมฆ ลงมาเจอเจ๊กี ไม้กับเมฆยกมือไหว้เจ๊กีอย่างเคารพ
“หวัดดีเจ๊ มายืนคุมกลัวโดนโกงเหรอ” ชาญถาม
“ไอ้นี่นะ…ปากลื๊อนะน่า” เจ๊กียกเท้าขึ้นมาแทนคำพูด
“แน่ะ ทำอะไรน่ะ ไม่สุภาพเลย”
“ไอ้ชาญ ลื๊อนี่จะตายเพราะปากเข้าซักวัน” เจ๊กีมองมาที่ไม้ “อ้าว แล้วนี่ไม้ ลื้อไม่ไปเรียนหนังสือหนังหาแล้วรึไง”
“เรียนจบแล้วครับ”
“ไม้มันทำงานที่โรงน้ำแข็ง แล้วก็ไปรับจ้างที่อู่บ้างในวันที่ขาดคนน่ะเจ๊ งานมันหายาก มีอะไรทำก็ให้มันทำไปก่อน” เมฆบอก
“มาเป็นผู้ช่วยอาไกรมั้ย อีกำลังหาผู้ช่วยอยู่พอดี”
“ไอ้ไม้เป็นผู้ช่วยชั้นก็ดีอยู่แล้ว ใช่มั้ยไม้”
ไม่มีใครเอาด้วยกับชาญ เมฆมองชาญดุๆ ชาญจ๋อย
“ผู้ช่วย ทำอะไรเหรอครับ” เมฆถามเจ๊กี
“ก็ทุกอย่าง อาไกรอยากให้ทำอะไรก็ทำให้อี”
“ลูกผมไม่ไหวหรอกมั้ง มันไม่ได้เรียนสูงอะไร”
“แต่ทางนี้ไหวนะ” ชาญชี้ตัวเอง “รู้หมดล่ะเรื่องธุรกิจน่ะเห็นหน้าแบบนี้ เรียนจบมาสูงนะ”
“จบอะไรมาพี่” ไม้ถาม
“AMB”
ทุกคนงง ว่าคืออะไร
“เรียนอะไรน่ะพี่ AMB”
“ก็บริหารธุรกิจไง เอ็งนี่มันโง่จริง”
“MBA เค้าเรียก MBA พี่”
“อ้าวเหรอ ไม่รู้ ก็เรียนหลักสูตรเร่งรัด”
“ท่าทางครูจะสอนสลับไปสลับมานะ เป็น AMB ซะเลย”
“ซี้ซั๊วจริง” เจ๊กีหันหาไม้กับเมฆ “ที่อั๊วชวนไม่ได้อยากหาคนเก่งอะไรหรอก อยากหาคนไว้ใจได้มากกว่า ไม้นี่อั๊วก็เห็นมาตั้งแต่เด็ก ท่าทางเป็นเด็กดี เลยอยากให้มาช่วยกัน”
“ขอบคุณครับ... ขอบคุณเจ๊กีเค้าสิลูก”
“ขอบคุณครับ แต่…”
“งั้นเริ่มงานเลยละกันนะ ตามไปหาอาไกรเลย”
“เอ่อ…”
“ขอบคุณครับ”
เมฆยิ้มแย้มดีใจ ผิดกับไม้ที่ไม่ค่อยเต็มใจนัก
เมฆเอาผ้ามาเช็ดทำความสะอาดเบาะรถ ไม้เดินมาหา
“พ่อ ชั้นไม่อยากทำหรอกนะ งานผู้ช่วยนั่นน่ะ”
“ทำไมไม่อยาก”
“ชั้นไม่ชอบงานแบบนั้น”
“เคยทำแล้วเหรอ ถึงรู้ว่าไม่ชอบ”
“ก็ไม่เคยหรอก แต่มันไม่ได้ใช้สิ่งที่ชั้นเรียนมาซักนิด”
“แต่มันเป็นโอกาสที่ลูกจะได้พัฒนาตัวเอง ไม่ต้องมาทำงานใช้แรงงานเหมือนพ่อ”
“ยังไงชั้นก็ไม่อยากทำอยู่ดี”
“ให้โอกาสตัวเองบ้างเถอะ มันอาจจะดีกว่าไปเรียนมวยเพื่อแก้ปัญหาที่ปลายเหตุก็ได้”
“หมายความว่าไง”
“ถ้าแกมีชีวิตที่ดีกว่านี้ แกก็ไม่ต้องลำบากมาเป็นที่รองมือรองตีนของใครไง”
ไม้เถียงพ่อไม่ออก
ขณะนั้นศรนารายณ์เตรียมตัวจะออกไปข้างนอก อบเชยทำความสะอาดบ้านมาเห็นพอดี
“นั่นพ่อจะไปไหนน่ะ แขนหายดีแล้วเหรอ”
“โอ๊ย แผลแค่นี้ ไกลหัวใจ”
“พ่อ ชั้นรู้สึกใจไม่ค่อยดียังไงไม่รู้”
“ยังกังวลเรื่องฝันร้ายเมื่อคืนอยู่อีกละสิ”
อบเชยพยักหน้ารับ
“ชั้นว่ามันเริ่มจะเป็นจริงยังไงก็ไม่รู้”
“คิดมากน่า” ศรนารายณ์ลูบหัวอบเชย “เค้าว่าฝันร้ายจะกลายเป็นดีนะ เดี๋ยวพ่อจะเอาร่มไปคืนพันเทพหน่อย”
“แค่ร่มอันเดียว มันไม่สนใจหรอกมั้ง”
“การหยิบของคนอื่นมาโดยพลการมันแปลว่าขโมยนะ “
“ทำเป็นคนดี ลองถ้าเป็นคนอื่นลืมเงินแสนร่วงไว้หน้าบ้านล่ะ”
“อันนี้ก็ช่วยไม่ได้ เค้าโชคร้ายเอง”
“โธ่ นึกว่าจะดีจริง” ศรนารายณ์คว้าร่มมาถือ จะเอาไปคืนพันเทพ แต่เขาก็หยุดกึก ยืนนิ่ง อบเชยมอง “พ่อเป็นอะไรไปน่ะ เจ็บแผลเหรอ” ศรนารายณ์ไม่ตอบ อบเชยเดินเข้าไปดูใกล้ๆ เห็นพ่อตนกำลังยืนตาลอย อบเชยสะกิด “พ่อ พ่อ พ่อเป็นไร”
“ไม่คืน ร่มต้องอยู่ที่นี่”
“อ้าว จะเอาไงกันแน่” อบเชยคว้าร่มจากมือพ่อ “ไหนดูซิ ร่มอะไรกัน แพงมั้ยเนี่ย”
อบเชยเอามาถือแค่แป๊บเดียวแต่ก็รู้สึกถึงเสียงประหลาดวนรอบตัว ศรนารายณ์ก็คว้าขวับออกไปจากมืออบเชยทันที
“อย่ามายุ่งนะ”
อบเชยตกใจกับท่าทีแปลกๆ ของพ่อ
“พ่อเป็นอะไรไปน่ะ”
ศรนารายณ์พยายามทำร้ายอบเชยเพราะเข้าใจว่าจะแย่งร่มไป แต่อบเชยก็ปัดป้องไปตามเรื่อง ศรนารายณ์กวัดแกว่งร่มอย่างคล่องแคล่ว แล้วผลักอบเชยกระเด็น อบเชยมองพ่อตนที่มองร่มยิ้มๆ เหมือนคนบ้าอำนาจ
“มันเป็นของข้า ใครก็เอาไปไม่ได้”
อบเชยมองอย่างไม่เข้าใจ ศรนารายณ์พุ่งตรงจะเข้ามาทำร้ายอบเชยอีก อบเชยสู้กับพ่อตัวเองอย่างไม่เข้าใจนัก จนเธอปัดโดนมือศรนารายณ์ ร่มกระเด็นร่วงไป
“นี่ลูกทำอะไรพ่อเนี่ย” ศรนารายณ์ได้สติกลับมาเป็นคนเดิม
“ก็พ่อเป็นบ้าอะไรล่ะ”
“ก็ไม่มีอะไรนี่ พ่อกำลังจะเอาร่มไปคืน...อ้าวร่ม ไปไหน”
“ชั้นว่ามันมีอะไรแปลกๆ แล้วล่ะ”
“แปลกสิ อยู่ๆ ลูกมาตีพ่อทำไม เราพ่อลูกกันนะ”
“นี่พ่อจำอะไรไม่ได้เลยจริงๆ เหรอ”
“จำไม่ได้อะไร จำได้ว่าจะเอาร่มไปคืนแล้วลูกก็มาต่อยพ่อ ยังบอกว่าจำไม่ได้อีก”
“ชั้นว่าไม่ใครคนใดคนหนึ่งต้องผิดปกติแล้วล่ะ”
“ลูกไง”
“พ่ออยู่นี่นะ ยังไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น เดี๋ยวชั้นมา”
“อ้าว ชนแล้วหนี ย่ำยีแล้วไม่ยอมรับ”
อบเชยเดินออกไปอย่างไม่สบายใจนัก ศรนารายณ์มองตามงงๆ
อีกด้านหนึ่งขณะนั้นไม้เดินบ่นเข้ามาในบริเวณวัดคนเดียว
“ทำไมต้องให้มาทำงานเป็นลูกน้องไอ้หน้าหล่อนั่นด้วยนะ กลัวจะไม่มีปมด้อยใช่มั้ยเนี่ย” ไกรยืนกวาดลานวัดอยู่ ไม้มองเห็น “หืม เช้าตักบาตรเย็นกวาดโบสถ์ ผู้ชายน่ะเค้าต้องมีทักษะการต่อสู้ต่างหากถึงจะเท่”
ไม้พูดยังไม่ทันขาดคำ มะม่วงก็หล่นลงมาจากต้นจะลงหัวไกร แต่ไกรก็รับไว้ได้พอดี ไกรทำแล้วก็หันมาเห็นไม้ ไม้ยืนงงว่าทำได้ไง
“อ้าวไม้ มาถึงเร็วจัง”
“คุณไกรทำแบบเมื่อกี้ได้ยังไงน่ะ” ไกรยิ้มๆ ไม่ตอบ “คุณไกรเป็นมวยใช่มั้ย”
“ชั้นไม่สนใจพวกทักษะการต่อสู้พวกนั้นหรอก”
“อย่ามาโกหกหน่อยเลยน่า ดูการเคลื่อนไหวก็รู้”
“สติ สมาธิ ไง ใช้แค่นั้น ไม่ต้องเป็นหรอกมวยน่ะ”
“ผมไม่เชื่อหรอก” ไม้บุกเข้าไปใส่มวยชุดใหญ่กับไกร ไกรสามารถปัดป้องได้หมดทุกหมัด แต่เขาไม่สู้กลับเลยแม้แต่นิด เอาแต่ปัดป้องหมัดออกอย่างเดียว “ไหนบอกไม่เป็นมวย”
“สังเกตดีๆสิ ผมไม่สู้กลับแม้แต่ครั้งเดียว ผมแค่ป้องกันตัวแล้วอะไรบอกว่าผมเป็นมวยกัน เกิดมาผมยังไม่เคยต่อยใครเลยซักครั้ง เชื่อเถอะ”
ไกรเดินไปอย่างเท่ ไม้ยืนตะลึง งงกับการต่อสู้ที่เขาไม่เคยรู้จัก
ที่บ้านศรนารายณ์ ศรนารายณ์เดินผ่านร่มที่วางอยู่บนพื้น เขาเดินผ่านไปแล้วก็ถอยกลับมามอง เหมือนมีเสียงกระซิบบางอย่างให้เขาหยิบมันขึ้นมา ศรนารายณ์มองร่มอย่างถอนตัวไม่ขึ้นแล้วก็เอื้อมมือหยิบร่มมาแววตาเปลี่ยนเป็นอีกคน ดูบ้าอำนาจ เสียงเคาะประตูดังขึ้น เสียงโวยวายลอดเข้ามา
“เปิดประตูเดี๋ยวนี้นะศรนารายณ์ เปิดประตู”
ศรนารายณ์หันซ้ายหันขวาหาที่ซ่อนร่ม
สมุนพันเทพเคาะประตูตะโกนเรียกศรนารายณ์ให้เปิด
“เปิดประตูเดี๋ยวนี้นะศรนารายณ์ ถ้าไม่เปิดจะพังเข้าไปแล้วนะ เปิดประตู”
สมุนพันเทพทำท่าจะพัง ศรนารายณ์เปิดประตูออกมาพอดี
“วันนี้ไม่ใช่วันสอนมวยซะหน่อยนี่ บุกมาทำไมถึงบ้าน”
“ของคุณพันเทพหายไปจากบ้านเมื่อคืน พวกเราจะมาหา”
“ของอะไรกัน”
“ร่ม”
“แค่ร่มอันเดียวต้องส่งสมุนมาตามหาขนาดนี้เลยเหรอ”
“มันสำคัญกับคุณพันเทพมาก”
“แล้วมีใครบอกรึไงว่าชั้นเอาไป”
“อย่าพูดมากเลยน่า... พวกเราค้นให้ทั่วบ้าน” สมุนหันไปบอกพวก
“เฮ้ย เดี๋ยวก่อน ใจเย็นๆ สิ”
สมุนพันเทพไม่ฟัง เข้าบ้านศรนารายณ์รื้อค้นทันที
สมุนพันเทพเดินเข้ามารื้อค้นบ้านศรนารายณ์ทุกซอกทุกมุม ข้าวของกระจุยกระจายไปหมด แต่ก็ไม่เจอร่ม
“ก็บอกแล้วว่าไม่มีก็ไม่เชื่อ”
สมุนพันเทพเจ็บใจที่หาร่มไม่เจอ
“พวกเรา กลับ”
ศรนารายณ์ยิ้มส่ง
“วันหลังมาอุดหนุนใหม่นะ”
พอสมุนพันเทพออกไป ศรนารายณ์ก็หยิบร่มมาจากที่ซ่อนไว้ข้างวงกบหลังประตู ศรนารายณ์มองแล้วยิ้มมีความสุข
อบเชยมาหาหลวงพ่อที่กุฏิ เธอเปิดประตูพรวดเข้ามาแล้วต้องตกใจเมื่อเห็นไม้กับไกรนั่งอยู่กับหลวงพ่อ
“อุ๊ย”
ไกรยิ้มหวานให้อบเชย
“เจอกันอีกแล้ว”
อบเชยเขิน ไม้ทำหน้าหมั่นไส้
“อะไรๆ กัน แม่อบเชย วิ่งควบมาเป็นม้าเลย กุฏิอาตมาไม่ใช่ที่วิ่งเล่นนะ”
“ชั้นไม่รู้ว่าหลวงพ่อมีแขกอยู่”
“นั่นสิ ทำไมไม่ถามก่อนล่ะ”
“ชั้นอยากนิมนต์หลวงพ่อไปที่บ้านชั้นหน่อยน่ะ”
“แน่ะ โยมไม่คิดจะถามก่อนเลยเหรอว่าหลวงพ่อติดกิจอะไรอยู่มั้ย”
“ติดหรือไม่ติด ชั้นก็อยากให้หลวงพ่อไป”
“เอากับมันสิ”
“มีเรื่องอะไรเหรออบเชย” ไม้ถาม อบเชยมองไม้ค้อนๆ
“ไม่ต้องมาสนใจหรอก ชั้นไม่ใช่คุณหนูผู้แสนดีนี่”
“มีเรื่องอะไรก็บอกมาเถอะ เผื่อจะช่วยกันได้”
“เมื่อคืนชั้นฝันร้าย พอตื่นมาพ่อชั้นมีอาการแปลกๆ เหมือนผีเข้า เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย แล้วมันก็คล้ายกับที่ชั้นฝันมาก ชั้นว่าพ่อต้องโดนของหรือโดนมนต์ดำอะไรแน่ๆ เลย” ไม้หัวเราะ
“เรื่องแบบนั้นเธอเชื่อด้วยเหรอ สมัยนี้มันไม่มีหรอก”
“ถ้าไม่ช่วยก็หุบปากไปเลยไป” ไม้เจ็บใจ
“แล้วตอนนี้ปล่อยให้เค้าอยู่คนเดียวเหรอ” ไกรถาม อบเชยพยักหน้า “ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ไม่ควรให้เขาอยู่คนเดียวนะ รีบไปกันเถอะ”
อบเชยยิ้มกับคำพูดของไกร ไม้มองอย่างหมั่นไส้
“อ้าว...มัดมือชกกันเสร็จสรรพ” หลวงพ่อบอก
ทั้งหมดมาที่บ้านอบเชย พอเปิดประตูเข้ามาทั้งหมดมองหาศรนารายณ์ อบเชยหันไปเห็นร่มกางอยู่ที่มุมห้อง แล้วค่อยๆ หุบแล้วก็คางใหม่ โดยมีศรนารายณ์เป็นคนนั่งทำให้เป็นแบบนั้น แผลที่ข้อมือถูกแกะ เลือดไหล อบเชยตกใจ
“พ่อแกะแผลทำไม”
“เดี๋ยวพ่อจะเล่านิทานให้ฟังเอามั้ย พ่อฟังนิทานมาหลายเรื่องเลย”
“พ่อพูดอะไรน่ะ”
“ห้ามเลือดก่อนเถอะ” ไม้จะเดินเข้าไปหา ศรนารายณ์ตกใจหุบร่มเป็นอาวุธป้องกันตัว “อาศรนี่ชั้นเอง ไม้ไง ไม้ลูกพ่อเมฆ”
“ถ้าเข้ามาแกตายแน่ ของของชั้นใครก็เอาไปไม่ได้”
“โยมศร นี่อาตมาเอง จำได้มั้ย”
ศรนารายณ์มองหลวงพ่อนิ่ง
“ข้าไม่กลัวหรอก พระน่ะ”
“ลุงศรหมายถึงของอะไรเหรอครับที่ใครก็เอาไปไม่ได้”
“ชีวิตไง”
ไกรหันมากระซิบบอกทุกคน
“ผมว่าท่าทางเค้าเหมือนจะหวงร่มในมืออันนั้นนะครับ”
“นั่นร่มของพันเทพ ใช่ ตั้งแต่เอาร่มอันนี้มาก็เกิดเรื่องแปลกๆ”
“ถ้างั้นเราลองเอาร่มออกมาจะดีมั้ย”
“จะเอาออกมาได้ยังไง พ่อเป็นนักมวยแชมป์นะ”
“เราก็มีคนเป็นมวยอยู่นี่” ไกรหันมองไม้ หลวงพ่อ อบเชยก็หันมองตาม
“ทีเรื่องแบบนี้น่ะโยนมานะ ไม่เอาหรอก อาศรเก่งจะตาย”
“อยากเก่งมวยนักไม่ใช่เหรอ ก็ต้องฝึกเยอะๆ สิ นี่ไงโอกาสฝึก”
อบเชยบอก ไม้หน้าเสียไม่ค่อยกล้านัก แต่ก็แข็งใจเดินเข้าไปหาศรนารายณ์
“ออกไป”
ศรนารายณ์เข้าสู้กับไม้ ไม้พอรับมือได้บ้างแต่สุดท้ายก็พลาด อบเชยเข้าไปช่วยต่อสู้กับพ่อตัวเอง จนในที่สุดไม้ก็เข้ามาช่วย เตะร่มออกจากมือได้ศรนารายณ์ทรุดไกรเข้ามาประคองอบเชย
“เป็นอะไรมากรึเปล่า”
ไกรถามอบเชยอย่างเป็นห่วง ไม้มองอย่างหมั่นไส้
“นี่เกิดอะไรขึ้นเนี่ย”
ศรนารายณ์ถามอย่างงงๆ ไม้ลุกขึ้นจัดแจงปัดเนื้อตัวด้วยตัวเอง
“โยมจำเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้เลยจริงๆ เหรอ” หลวงพ่อถามศรนารายณ์ ศรนารายณ์ทำหน้างงมาก อบเชยนั่งข้างศรนารายณ์มองทุกคน “จิตอ่อนจริงๆ โยมศร ... โยมไปหยิบร่มมาให้อาตมาที”
หลวงพ่อหันไปบอกไม้ ไม้มองร่มที่พื้น
“จะดีเหรอครับ”
อ่านต่อตอนที่ 3 พรุ่งนี้ เวลา 9.00 น