ลูกผู้ชายไม้ตะพด ตอนที่ 1
ค่ำคืนนั้น ผู้พันเทพ นายทหารนอกราชการ นั่งอยู่ภายในห้องทำงาน และกำลังค่อยๆ เปิดกล่องไม้ที่ถูกบุด้วยผ้ากำมะหยี่อย่างดี ด้านในมีไม้ตะพดวางอยู่ ผู้พันเทพค่อยๆ หยิบออกมาอย่างทะนุถนอม ในขณะที่ผู้พันเทพหยิบไม้ตะพดขึ้นมามีเสียงแว่วจางๆ ของสัตว์ที่มีลักษณะคล้ายๆ ค้างคาวดังขึ้น
จังหวะนั้นผู้พันเทพหยิบไม้ตะพดขึ้นมากำแน่นไว้ในมือ แล้วใช้ตะพดไม้ชี้แจกันดอกไม้บนโต๊ะ แจกันค่อยๆ ลอยขึ้นอย่างช้าๆ เงาสะท้อนของผู้พันเทพในแจกัน กลับเป็นร่างของเวตาลผอมแห้งมีปีกคล้ายค้างคาว และดูร้ายกาจ เวตาลแสยะยิ้ม
สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงความฝัน แต่ทำให้เมฆสะดุ้งเฮือกตื่นขึ้นจากฟูกที่นอนเก่าๆ และทำให้ไม้ ลูกชายของเขาที่นั่งไม่ไกลจากตรงนั้น สะดุ้งตื่นตามไปด้วย
“เป็นอะไรพ่อ”
“แค่ฝันร้ายน่ะ”
“ฝันว่าอะไร”
“ฝัน...ช่างเถอะ” เมฆพูดตัดบท
“เล่ามาเถอะพ่อ จะได้สบายใจ”
เมฆนิ่งคิดก่อนจะบอกออกมา
“ตะพดเลือด”
“ตะพดเลือด...”
“พญาเวตาล...มันกำลังจะกลับมา”
“อ่านหนังสือแล้วก็เก็บมาฝันอีกแล้ว”
ไม้บอกแล้วมองหนังสือนิทานเวตาลที่พ่อวางทิ้งไว้ข้างหมอน เมฆพยักหน้าเห็นด้วย
“คงงั้น...”
“พ่อนอนพักเถอะ พรุ่งนี้ต้องไปขับรถอีก”
เมฆพยักหน้าล้มตัวลงนอนโดยมีไม้คอยประคอง แต่สีหน้าเมฆยังไม่คลายความกังวลจากความฝัน
อีกด้านหนึ่งในห้องนอนภายในบ้านผู้พันเทพ มีเสียงร้องคล้ายเสียงค้างคาวกังวานอยู่ในห้อง มุมโน้นที มุมนี้ที พร้อมกับเสียงกระซิบอันหิวโหย
“เลือด...เลือดดดด”
ผู้พันเทพนอนกระสับกระส่ายเหงื่อโทรมกาย ในที่สุดเขาก็สะดุ้งตื่นเสียงต่างๆ เงียบลงไป ผู้พันเทพถอนหายใจลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินออกจากห้องไป
พันเทพเดินเข้ามาในห้องทำงานหยิบไม้ตะพดเลือดออกมาจากกล่องไม้โบราณบุกำมะหยี่อย่างดี วางบนจานที่เขาหยิบขึ้นมาจากลิ้นชักแล้วหยิบกริชโบราณจากตู้ออกมา ผู้พันเทพจิ้มกริชที่ปลายนิ้วตนจนเลือดสดๆ ไหลออกมา เลือดหยดลงบนไม้ตะพดบางส่วนเลอะตามจาน แต่เลือดที่หยดลงบนไม้ตะพดค่อยๆ ซึมหายไป ราวกับไม้มีชีวิตและดูดเลือดเข้าไป
ผู้พันเทพหยดเลือดตัวเองลงบนไม้อย่างตั้งใจ แล้วจู่ๆ ทิวา ผู้เป็นลูกชายก็เปิดประตูเข้ามา ผู้พันเทพสะดุ้งเอามือที่เลือดไหลซ่อนด้านหลังทันที
“พ่อนั่นเอง ผมนึกว่าขโมยขึ้นบ้านซะอีก เห็นว่าพ่อเข้าไปนอนแล้ว”
“อ๋อ พ่อนอนไม่ค่อยหลับน่ะ ว่าจะมาเคลียร์งานซะหน่อย”
“ผมว่าพ่อทำงานเยอะเกินไปนะ”
“พ่อแค่มาอ่านหนังสือกฎหมายนิดหน่อยน่ะ”
“จะลงเลือกตั้งสมัยหน้าเหรอพ่อ”
“ใช่”
“แล้วนั่นอะไรบนโต๊ะน่ะครับ”
“ไม่มีอะไรหรอกที่เก็บหนังสือโบราณน่ะ”
“ดูท่าจะโบราณจริงๆ นะครับ”
“เราน่ะไปนอนได้แล้ว พรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียนไม่ใช่เหรอ”
“ครับพ่อ”
ทิวาเดินออกไป ผู้พันเทพเอามือที่เปื้อนเลือดไปทั้งมือขึ้นมากำไม้ตะพดไว้แน่น เลือดค่อยๆ ถูกดูดหายจากมือไป ผู้พันเทพมองไม้ในมืออย่างบ้าอำนาจ
วันต่อมาที่อู่รถ บขส. บริเวณโต๊ะวินปล่อยรถขณะนั้นมี คนขับรถร่างใหญ่กำลังเล่นงัดข้อกันอย่างเคร่งเครียด...มีกุญแจมือล็อกติดกันอยู่ที่ข้อมือของคนทีงัดกัน โดยมีเด็กรถมามุงคอยเอาใจช่วย
เมฆเดินขาเป๋ลงมาจากรถบขส. ปาดเหงื่อ โดยมีชาญเด็กรถ ถือกระบอกตั๋วส่งเสียงแก๊บๆ ท่าทางจิ๊กโก๋เดินแทะข้าวโพดตามลงมา
“พี่ ได้ข่าวว่าที่ท่ารถเนี่ย โดนพวกแก๊งวินมอไซค์มาเล่นงานบ่อยๆ เหรอ” ชาญถาม
“เอ็งเพิ่งมาใหม่ อย่ามาทำเป็นรู้มาก” เมฆบอก
“งั้นก็แปลว่าจริง”
“จะมีเรื่องหรือจะไม่มีเรื่อง เอ็งจะอยากรู้ไปทำไมสุดท้ายเอ็งก็ต้องทำงานอยู่ดี”
“แล้วพี่เคยเห็น ลูกผู้ชาย ที่ใครๆ เค้าก็พูดถึงรึเปล่า” เมฆนิ่งไป “คนที่เค้าว่ากันว่าใส่หน้ากากหนังเสืออำพรางหน้าถือไม้ตะพดมาปราบพวกผู้ร้ายน่ะ”
เมฆส่ายหน้าไม่สนใจชาญ เขาหันไปห้ามพวกที่งัดข้อกันอยู่
“เฮ่ยๆ พอแล้ว เลิกๆ ไม่วิ่งรถกันแล้วรึไง เดี๋ยวเจ๊กีมาเห็นก็เอาตายหรอก”
เมฆเอากุญแจไขกุญแจมือที่ล็อกข้อมือนักงัดข้อสองคนที่ยังไม่รู้แพ้รู้ชนะกันอยู่
“โธ่ พี่เมฆ ยังไม่รู้แพ้ชนะเลย”
เมฆยิ้ม ยึดกุญแจมือใส่กระเป๋าเอาไว้ เสียงเอะอะของคนตีกันดังแว่วมา เมฆถึงกับเครียดขณะมองไปยังที่มาของเสียง
“อย่ามัวสู้กันเองอยู่เลย”
อีกฝั่งหนึ่งของท่ารถมีกลุ่มวินมอเตอร์ไซค์หน้าตาขึงขัง ยืนทำหน้าเอาจริงเอาจังมากันเป็นแก๊ง นำทีมโดย “สัก” ที่ในมือถือโซ่เส้นใหญ่ ที่ปลายโซ่มีเฟืองอันใหญ่คล้องอยู่ด้วย เหล่าคนขับรถถูกผลักกระเด็นเข้ามา แต่ละคนหน้าตาบวมปูด เมฆเดินขาเป๋จ้ำๆ มาพร้อมกับพวก ชาญเองชะเง้อมองสนใจ ทั้งหมดมายืนหน้ากระดานเตรียมรับมือ ชาญมีสีหน้างงๆ เพราะสิ่งที่เขากำลังถามถึงเหมือนว่ากำลังจะเกิดขึ้นต่อหน้า คนขับรถคนหนึ่งตะโกนขึ้น
“ทำไม มาคอยหาเรื่องพวกเราอยู่ได้ เราไม่เคยไปทำอะไรให้พวกเอ็งซักครั้ง”
วินมอเตอร์ไซค์ที่เป็นลูกน้องสักตะโกนตอบ
“เรามันแค่นักรบรับจ้าง เราทำงานตามสั่ง”
จังหวะนั้นไม้และจันทร์เพื่อนของเขา ที่ถือโยนน็อตเล่นข้ามมือไปมาในชุดนักเรียนเทคนิค เดินเข้ามาอย่างไม่รู้เรื่อง ไม้เห็นเมฆก็ตะโกนเรียก
“พ่อ”
เมฆหันมาเห็นว่าไม้มาอยู่ในสถานที่กำลังจะกลายเป็นสนามรบก็ตกใจ จันทร์เองก็สังเกตเห็นท่าทางผิดปกติเขาสะกิดไม้ให้มอง เมฆเดินลากขาที่เป๋เดินไปหาลูกตนอย่างเป็นห่วง แต่ยังไม่ทันที่เมฆจะเดินไปถึงไม้ สักหัวหน้าวินมอเตอร์ไซค์ก็ตะโกนกร้าว
“ลุย”
เพียงคำสั่งลุยของหัวหน้า แก๊งวินมอเตอร์ไซค์ทั้งแก๊งก็วิ่งกรูเข้าหาคนของรถบขส.ทันที ทั้งเด็กรถคนขับอื่นๆ ต่างตะลุมบอนกันอลหม่าน เมฆรีบกระเผลกไปที่ไม้กับจันทร์
“มาทางนี้ลูก...มาเร็ว”
ไม้กับจันทร์รีบวิ่งตามคำสั่งพ่อ ขณะที่กำลังจะไปหาที่หลบนั้น ศรนารายณ์ขี่รถซาเล้งมีน้ำแข็งบรรทุกอยู่เข้ามาขวาง ไอจากน้ำแข็งลอยกรุ่น ศรนารายณ์ดูเท่ห์คล้ายนั่งอยู่ท่ามกลาง dry ice
“หนอย... หยุดนะ พวกเอ็งจะมาทำร้ายคนอย่างไม่มีเหตุผลไม่ได้”
“ศรนารายณ์ ลูกมหาโลก”
ศรนารายณ์เข้ารุมกับกลุ่มวินมอเตอร์ไซด์ด้วยท่ามวยไทยที่ฝีมือไม่แพ้ใคร ผิดแต่เวลาที่เขาต่อยไปก็พากย์ชมตัวเองไปด้วย
“ฮั่นแน่...วืด วืด เป็นไงล่ะไม่รู้จักการเคลื่อนไหวแบบหนุมาน”
ไม้หันไปเห็นศรนารายณ์ก็ยิ้มดีใจ
“พ่อ อาศรมาช่วยเราแล้ว”
“ไม้ ไปหลบก่อน ตรงนี้มันอันตราย”
แววตาไม้ชื่นชมศรนารายณ์ จันทร์หันไปดูศรนารายณ์สู้ด้วยแววตาพินิจพิเคราะห์ ไม้เอามือคล้องคอจันทร์วิ่งตามเมฆไป ขณะที่ไม้ไม่ทันตั้งตัว อบเชย ลูกสาวของศรนารายณ์ก็โผล่เข้ามาอีกทางจับมืออีกข้างของไม้
“ไม้ไปหลบเร็ว เดี๋ยวก็โดนลูกหลงหรอก”
“อบเชย”
อบเชยจูงไม้วิ่งตามเมฆไป ไม้ทำตัวไม่ถูกกับท่าทีของอบเชย อายจันทร์ จันทร์มองอบเชยงงๆ มีแก๊งวินมอเตอร์ไซค์เห็นวิ่งตามเมฆ ไม้ จันทร์และอบเชยไป
เมฆพาไม้ จันทร์ อบเชยเข้ามาหลบที่ซากรถบขส.เก่า
“หลบกันอยู่ตรงนี้นะ อย่าออกไปไหน” เมฆบอก ไม้พยักหน้า
“แล้วพ่อจะไปไหน ชั้นไปด้วย”
เมฆหยิบกุญแจมือออกมาจากกระเป๋าหลังล็อกข้อมือไม้ ติดกับอบเชย
“มันอันตรายเกินไป เอ็งอยู่กันตรงเนี๊ยะ”
“พ่อ ให้ชั้นช่วยเหอะ”
เมฆส่ายหน้า
“เอ็งห้ามเอาผู้หญิงกับเด็กมาเสี่ยง จำไว้ถ้าเอ็งอยากเป็นลูกผู้ชาย”
ไม้อยากช่วยพ่อ แต่เถียงไม่ออก
“ลุงเมฆจะสู้พวกมันไหวเหรอ”
อบเชยถามอย่างเป็นห่วง เมฆส่ายหน้า
“ล่อมันไปทางอื่น” อบเชยพยักหน้า
“ลุงเมฆไม่ต้องห่วงทางนี้ ชั้นจะดูแลไม้เอง”
“พ่อ ไขกุญแจ”
เมฆส่ายหน้า หันไปพูดกับอบเชย
“ถ้าลุงเป็นอะไรไป ฝากศรนารายณ์พ่อเอ็ง ดูแลไม้มันด้วยนะ”
“พ่อ”
เมฆมองหน้าจันทร์
“ผมเพื่อนไม้ครับ” จันทร์บอก เมฆพยักหน้า
“ระวังตัวกันด้วย”
เมฆพูดก่อนที่จะออกไป
“พ่ออย่าออกไป”
ไม้มองตามพ่ออย่างเป็นห่วง
“ไม้ไม่ต้องกลัวนะ” อบเชยบอก
“ชั้นไม่ได้กลัว ชั้นห่วงพ่อ”
อบเชยพยักหน้าลูบหัวไม้ปลอบใจ ไม้เซ็งหันหน้าหนีอบเชยแอบดูพ่อตนอย่างห่วงๆ
เมฆเดินออกมาเจอกับแก๊งมอเตอร์ไซค์ที่วิ่งตามมา 2 คน เมฆล่อไปอีกทาง เมฆโดนทั้งสองคนรุมยำเละ โดยที่เมฆไม่สู้เลยแม้แต่นิดเดียว เมฆถูกพวกมันลากมาซ้อม ตรงใกล้ๆ กับซากรถที่ไม้ถูกล็อกข้อมือติดอยู่กับอบเชย
ไม้แอบดูผ่านซากรถเก่าเห็นพ่อโดนซ้อมปางตายอยากจะออกไปช่วย
“พ่อ”
ไม้จะลุกออกไปแต่ติดกุญแจมือกับอบเชย
“อย่าเอาผู้หญิงกับเด็กไปเสี่ยง จำคำพ่อเอ็งได้มั้ย”
จันทร์บอก ไม้อัดอั้นตันใจ
“ทำไมพ่อต้องห่วงคนอื่นมากกว่าตัวเอง”
อบเชยชูมือที่ถูกล็อกติดอยู่กับไม้
“ที่พ่อเธอทำงี้ ก็เพราะเป็นห่วงเธอนะ ไม่ใช่ห่วงชั้น”
ไม้ก้มหน้าอย่างท้อใจ
“อย่างน้อยมันก็แบ่งมากระทืบชั้นคนนึง ไม่ใช่รุม กระทืบพ่อสองคนแบบนั้น”
“เดือดร้อนเทวดาจนได้” จันทร์มันเขี้ยว ทำท่าจะลุกขึ้นไป
“ไหวเหรอ เพื่อน”
ไม้ถาม จันทร์พยักหน้าหยิบน็อตมาจากกระเป๋าเสื้อที่มีมากมายหลายอัน จันทร์เอาน็อตใส่นิ้วทั้ง 4 นิ้วแทนสนับมือแล้วหยิบน็อตอีก 3-4 อันมาโยนโชว์ และทำท่าเหมือนดีดลูกแก้ว
ด้านนอกเมฆโดนกระทืบสายตามองไม้ผ่านช่องเล็กๆ ไม้กับเมฆสบตากัน ไม้สงสารเมฆจับใจ
ไม้กัดกรามกรอดเป็นห่วงพ่อ แต่ทำอะไรไม่ได้เมฆถูกอัดจนตกไปข้างคูน้ำ แก๊งมอเตอร์ไซค์วินทั้งคู่เห็นเมฆเละไม่เป็นท่ากำลังจะเดินออกไป แต่อยู่ๆ ก็โดนของแข็งบางอย่างดีดใส่หัว
“โอ๊ย”
“เป็นอะไร” เพื่อนหันไปเห็นหัวเลือดออก “เฮ้ย โดนอะไรน่ะ”
แก๊งวินมอเตอร์ไซค์ยังพูดไม่ทันขาดคำก็โดนของแข็งดีดเข้าตาเลือดไหลบ้าง
“โอ๊ย ใครวะ แน่จริงออกมาดิ”
จันทร์เดินออกมาอย่างสง่า
“ข้าเอง มีอะไรมั้ย”
แก๊งวินมอเตอร์ไซค์ทั้งสองคนวิ่งเข้ารุมจันทร์ จันทร์ต่อยด้วยมือที่สวมแหวนเป็นน็อตด้วยท่าทีเชี่ยวชาญ อัดทั้งสองคนจนหนีกระเจิง
อีกด้านหนึ่งของท่ารถศรนารายณ์สู้กับลูกน้องแก๊งวินมอเตอร์ไซค์หมอบไปหลายคน เพราะหมัดฮุกซ้ายไม้ตายของเขา ส่วนชาญก็ควงกระบอกตั๋วอย่างเชี่ยวชาญระวังตัวกับการถูกโจมตี แต่พอแก๊งวินมอเตอร์ไซค์เข้ามาชาญก็ใช้กระบอกตั๋วเป็นอาวุธ ทั้งควงหลบมาแทนไม้ตีอย่างคล่องแคล่ว ใช้หนีบมือแก๊งวินมอเตอร์ไซศค์หรือกระทั่งใช้คมมันบาดตามเนื้อตัวของแก๊งวินมอเตอร์ไซค์ ชาญโชว์ฝีมือได้ไม่แพ้ศรนารายณ์ แต่พอเมื่อศรนารายณ์ และชาญ ได้เจอกับสักหัวหน้าแก๊ง ทั้งคู่ก็ถึงกับกลืนน้ำลายเอื๊อก ที่เห็นอาวุธที่เป็นโซ่ยาวที่ปลายโซ่เชื่อมต่อกับเฟืองที่แหลมคมดูอันตราย สักควงมันราวกับเป็นอวัยวะหนึ่งของเขา
“แหม ชุดใหญ่มาเลยนะ กลัวจะไม่กลัวมั้งเนี่ย” ศรนารายณ์บอก แต่สักทำเข้ม ไม่พูดไม่จา มองอย่างเอาจริง “ทำเป็นเข้มนะ พลาดตีหัวตัวเองแล้วจะหัวเราะให้ ... แน่จริงเข้ามาดิ ไม่กลัวหรอกเว้ย นักมวยแชมป์ 14 สมัยนะเว้ย” ศรนารายณ์หันไปมองชาญ “เอ็งจะไม่พูดอะไรมั่งเลยเหรอ ข้าเห็นฝีมือเอ็งไม่ธรรมดาเลยนะ”
“ชั้นกำลังรอ...” ชาญกวาดสายตามอง
“รอใคร”
ยังไม่ทันที่ศรนารายณ์จะได้คำตอบ สักก็เหวี่ยงเฟืองมาตีหมัดของศรนารายณ์ ศรนารายณ์ถึงกับร้องจ๊าก
“นี่แกเอาจริงเหรอเนี่ย” ศรนารายณ์กุมมือที่โดนเฟืองกระโดดเหยง “จะไม่เกรงใจกันเลยใช่มั้ย ข้ายังคุยกับไอ้นี่ไม่จบเลย”
ส่วนที่บริเวณซากรถขณะนั้นอบเชยวิ่งออกมาทั้งที่มือติดกุญแจมือกับไม้สองคน ไม้กับอบเชยออกจากที่ซ่อนมาหาจันทร์
“พ่อแกกลิ้งตกไปทางเนี้ยะ”
อบเชยบอกไม้รีบมองหาพ่อที่ตกไปในคูน้ำ
“พ่อ พ่อ”
ไม้ร้องเรียกพ่อแต่ไม่เห็นวี่แววของเมฆเลย
ขณะนั้นศรนารายณ์ต่อสู้กับพวกแก๊งวินมอเตอร์ไซค์จนรุกไล่ไปอีกทาง ไม้ที่ถูกล็อกข้อมือมากับอบเชยถูกล้อมด้วยแก๊งวินมอเตอร์ไซค์ แต่อบเชยพอมีฝีมือในการต่อสู้เธอจึงต่อสู้กับแก๊งวินมอเตอร์ไซค์โดยมีไม้มัดติดอยู่กับเธอ หลายครั้งที่ไม้เป็นคนออกหมัดโดนคู่ต่อสู้จนดูเหมือนไม้เก่งและมีบทบาทไปโดยปริยาย ขณะที่ชาญสู้กับนักเลงด้วยกระบอกตั๋ว แล้วคู่ของไม้กับอบเชยก็ต้องมาเจอกับสัก แต่ดูเหมือนว่าทั้งคู่จะสู้สายโซ่และเฟืองไม่ได้
ขณะที่ไม้กำลังเสียท่า “ลูกผู้ชาย” ที่ใครๆ ก็ร่ำลือถึงก็ปรากฏขึ้น เขาบดบังใบหน้าด้วยหนังเสือโคร่งคาดตา ในมือถือไม้ตะพดวิญญาณในตำนาน
“ลูกผู้ชาย ใช่ลูกผู้ชายจริงๆ ด้วย”
ชาญบอกอย่างดีใจ ลูกผู้ชายไม่พูดพร่ำทำเพลงใดๆ เข้าลุยกับสักทันที โดยสักพยายามใช้ไม้กับอบเชยเป็นเกราะกำบัง ดังนั้นคิวบู๊ทีเกิดขึ้น ลูกผู้ชาย จึงตีต่อย ผ่านร่างกายของไม้เป็นหลัก คล้ายกับว่าไม้เก่งกาจด้วยฝีมือ แม้ว่าบางครั้งไม้จะปิดตาด้วยความกลัวแต่ก็ยังคงต่อย ยกมือปิดป้องได้ถูกต้อง
จันทร์ วิ่งเข้ามาเห็นลูกผู้ชายกำลังต่อสู้พอดี ทั้งหมดตะลึง...ระหว่างการต่อสู้ ไม้ตื่นตะลึงกับท่วงท่าของลูกผู้ชายอย่างหลงใหลได้เห็นอิทธิฤทธิ์ของไม้ตะพดวิญญาณที่มีพลังเหนือไม้ธรรมดา สามารถปัดสิ่งของ หรือผลักคนกระเด็นโดยไม่ต้องสัมผัสสิ่งนั้นๆ เลย
ชาญที่ยืนดูเป็นแฟนพันธุ์แท้ลูกผู้ชาย สามารถพูดชื่อท่าต่างๆ ออกมาได้หมด
“โห...กรงเล็บพยัคฆ์...ฝ่าเท้าคชสาร...เขี้ยวอสรพิษ”
การต่อสู้มีการเพลี่ยงพล้ำของโซ่เฟืองของสักที่พลาดเป้าไปโดนถังแก๊สกระบะท้ายรถเก๋งที่เปิดขนของเกิดระเบิดขึ้นมา ผู้คนต่างวิ่งกันแตกตื่น วินมอเตอร์ไซค์คนอื่นๆ ในแก๊ง พอเห็นลูกผู้ชายมาก็เข้ามาหวังช่วยหัวหน้า แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ไปตามๆ กัน สักพาแก๊งลูกน้องกลับแต่ก่อนกลับสักหันมาขู่
“บอกเจ๊กีด้วยนะ สัมปทานเดินรถเส้นเนี๊ยะ ผู้พันเทพเขาต้องเอาให้ได้”
“นั่นมันเรื่องของพวกแกกับเจ๊กี ทำไมต้องทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อนด้วย” ลูกผู้ชายบอก
“ลูกผู้ชายเหลือเกิน... ฝากไว้ก่อนเหอะ”
แก๊งวินมอเตอร์ไซค์ล่าถอยไป คนในท่ารถ บขส.ทุกคนยืนตะลึงกับความเก่งของลูกผู้ชาย
“เท่มาก เท่สุดๆ ไปเลย ในที่สุดสิ่งที่ชั้นรอมาตลอดก็เป็นจริง ชั้นได้เจอลูกผู้ชายแล้ว ถึงจะตายก็คุ้ม...” ชาญบอกแล้วเมื่อหันกลับไป ลูกผู้ชายไม่อยู่แล้ว “อ้าว”
“แล้วพ่อผมล่ะ ใครเห็นพ่อผมบ้าง”
ไม้บอกเมื่อนึกขึ้นได้
“พ่อชั้นด้วย ใครเห็นบ้าง”
“ลูกผู้ชาย... มีตัวตนจริงๆ เหรอเนี่ย”
จันทร์พึมพำอย่างสงสัย ไม้กับอบเชยต่างวิ่งไปตามหาพ่อตนแต่มือที่ยังติดกันทำให้ทั้งคู่ต้องไปด้วยกัน ปล่อยชาญกับจันทร์อยู่ด้วยกัน
ไม้กับอบเชยเดินมือติดกันตามหาพ่อ
“พ่อ พ่อ พ่อ”
“พ่อ พ่อ พ่อ” ทั้งคู่ตามหาแล้วศรนารายณ์ก็เดินออกมาทำเท่ อบเชยเห็นพ่อรีบวิ่งเข้าไปหา
“พ่อ พ่อเป็นไงมั่ง”
“พ่อไม่ได้เป็นอะไร ลูกก็รู้ว่าฝีมือพ่อคนละชั้นกับไอ้พวกนั้น”
“แล้วนี่พ่อหายไปไหนมา”
“เอ่อ...ก็ ตามไปสู้กับไอ้พวกวินมอเตอร์ไซค์ด้านหลังนู่นน่ะสิ แต่ไม่ต้องห่วงมันเจอหมัดพ่อไปสลบเหมือด”
“ลุงศรเห็นพ่อมั้ย” ไม้ถาม
“เอ...”
ศรนารายณ์คิด แล้วเมฆก็เดินสะบักสะบอมออกมา ไม้เห็นรีบวิ่งเข้าไปพยุง
“พ่อ...พ่อเดินไหวรึเปล่า”
ศรนารายณ์มองเมฆอย่างเวทนา
“เป็นไงบ้างลูก...ปลอดภัยดีใช่มั้ย” เมฆถามลูกชายอย่างเป็นห่วง ไม้พยักหน้ารับ
“ไม้อยู่กับหนู หนูไม่ปล่อยให้ไม้เป็นอะไรหรอกค่ะ” อบเชยบอก ไม้มองอบเชยเบื่อๆ
“ขอบใจมากอบเชย ...ขอบคุณมากนะพี่ศร พี่มาช่วยผมอีกแล้ว” เมฆบอก
“พ่อ เมื่อกี๊ ลูกผู้ชายมาช่วยพวกเราอีกแล้ว”
“เหรอ...ทำไมพี่ศรโผล่มาไล่ๆ กับลูกผู้ชายอยู่บ่อยๆ นะ”
ศรนารายณ์อมยิ้มกริ่ม
“ มีเรื่องบางเรื่อง ที่บางครั้ง เราก็ไม่อยากบอกใคร”
ไม้มองศรนารายณ์เป็นนัยยะเชื่อว่าศรนารายณ์คือลูกผู้ชาย
“แหม...มีแต่พ่อคนเดียวซะเมื่อไหร่ ที่ผลุบๆ โผล่ๆ”
อบเชยมองเมฆอย่างเป็นนัยยะเชื่อว่าเมฆคือลูกผู้ชาย
“ไม่เห็นจะต้องสนใจเรื่องพวกนี้เลย พ่อไม่ใช่ ลูกผู้ชายหรอก” ศรนารายณ์บอก ไม้จึงพูดกับศรนารายณ์อย่างชื่นชม
“ความลับไม่มีในโลกหรอกครับ”
“ช่วยพยุงพ่อกลับบ้านหน่อย”
ไม้ค่อยๆ พยุงเมฆไป อบเชยที่แขนติดอยู่กับไม้จึงต้องติดไปด้วย ไม้ประคองกอดอบเชยอย่างไม่ตั้งใจ แววตาไม้ชื่นชมศรนารายณ์ มากกว่าพ่อขาเป๋ของตน
เวลาผ่านไป...เจ๊กีเดินดูท่ารถของตัวเองที่พังย่อยยับไม่เหลือชิ้นดี เมฆ ชาญ และคนขับรถ เด็กรถต่างๆ ต่างฟกช้ำดำเขียวตามร่างกาย นั่งเรียงกันในสภาพแย่
“พังหมด พังหมด ไม่เหลืออะไรแล้ว เก๊กซิมจริงๆ …” เจ๊กีหันไปบอกผู้ช่วยที่เดินตาม “เดี๋ยวลื๊อไปจดความเสียหายทั้งหมดแล้วโทรเรียกประกันมา...ส่วนพวกลื้อไปช่วยกันทำความสะอาดเลยนะ อะไรกันนักหนาเว้ยเนี่ย ไอ้พันเทพนี่มันร้ายนัก ออกรถตู้เถื่อนมาวิ่งทับสัมปทานมาแย่งลูกค้าอั๊วะแล้วยังจะมาหาเรื่องกันอีกคอยดูนะ”
“แต่ชั้นว่าคุ้มนะเจ๊ ได้เจอลูกผู้ชายตัวเป็นๆ ด้วย” ชาญบอก
“คุ้มบ้านเอ็งสิ อั๊วะจ่ายอยู่คนเดียว แค่เอ็งกินข้าวมื้อเดียวก็คุ้มแล้ว ถ้าจะให้คุ้มจริง ต้องให้ไอ้ฮีโร่ลูกผู้ชายใช้พลังย้ายไอ้พันเทพ ไปอยู่ที่อื่นนั่นล่ะ อั๊วถึงจะคุ้ม” ชาญทำปากขมุบขมิบล้อเลียนเจ๊กี “เดี๋ยวอั๊วะต้องส่งคนไปจัดการให้มันเข็ดหลาบซะบ้างจะได้รู้ว่าเล่นอยู่กับใคร”
“เจ๊มีคนด้วยเหรอ” เมฆถามอย่างแปลกใจ
“มี ลื้อไง” เจ๊กีหันไปมองชาญ “ ปากดีนัก”
“นี่ส่งกันไปตายชัดๆ จับโยนลงบ่อจระเข้ยังมีโอกาสรอดมากกว่า”
“งั้นไปบ่อจระเข้”
“แค่เปรียบเทียบเฉยๆ เจ๊ก็”
“เดี๋ยวเถอะ...รอลูกชายอั๊วะกลับจากเมืองนอกมาก่อน”
“ลูกชายเรียนเทควันโด้จากเกาหลีเหรอ”
“ไม่ใช่”
“ยูโดจากญี่ปุ่น”
“ใกล้ละ”
“คาราเต้ กังฟู มวยจีน”
“โยคะ”
“ถุย...ลูกผู้ชายเค้าต่อยเป็นยี่สิบหมัดแล้ว ทางเรายังเตรียมท่านั่งไม่เสร็จเลย”
เจ๊กีตบกะโหลกชาญไปหนึ่งที ชาญหันมองยิ้มแหยๆ เมฆมองชาญปรามๆ
วันเดียวกันนั้นที่บริเวณโรงน้ำแข็ง ศรนารายณ์กำลังดูไม้ซ่อมเครื่องรถให้ตนจนติด อบเชย เดินกลับเข้ามาในชุดนักเรียน
“เก่งวะ ไอ้นี่ ขอบใจนะ”
“เปลี่ยนเป็นสอนมวยได้มั้ย”
“ไปขออนุญาต พ่อเอ็งมาก่อนเหอะ”
“สวัสดีพ่อ” อบเชยยกมือไหว้ศรนารายณ์
“กลับเย็นแท้ หือม์ ลูก”
“หนูไปหอสมุดที่วัดหลวงมาพ่อ”
“จะสอบเปรียญเหรอ” ไม้ถาม อบเชยส่ายหน้า
“หาหนังสืออ่านเล่น”
อบเชยบอกพร้อมกับยกหนังสือประวัติศาสตร์ เล่มหนาเก่าๆ ขึ้นมา
อ่านต่อหน้า 2 เวลา 17.00 น.
ลูกผู้ชายไม้ตะพด ตอนที่ 1 (ต่อ)
ค่ำวันเดียวกันนั้น ในขณะที่ศรนารายณ์นั่งกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อย ไม้กำลังนั่งพลิกหนังสือเก่าที่อบเชยถือมาอ่าน
“ไม้ว่า เรื่องจริงรึเปล่า”
“หนังสือเขาก็บอกว่าเป็นแค่ตำนาน”
“หนังสือมันโม้ อยากรู้อะไรถามพ่อมา” ศรนารายณ์บอก
“พ่อรู้เรื่องเทือกเขาตะนาวศรี เหรอ” อบเชยถาม ศรนารายณ์ส่ายหน้า ขาไก่คาปากมันแพล่บ
“เทือกเขาตะนาวศรีทำไม”
“เทือกเขาตะนาวศรีเป็นเทือกเขาที่มีความยาวถึง 834 กิโลเมตร เริ่มตั้งแต่เทือกเขาถนนธงชัย...”
“ดูท่าจะยาว” ศรนารายณ์บอก อบเชยไม่สนใจเล่าต่อ
“เทือกเขาตะนาวศรีเป็นต้นกำเนิดแม่น้ำแควน้อย...”
“ยาวขึ้นเรื่อยๆ” ศรนารายณ์บอก ไม้จึงพูดต่อ
“มีตำนานเรื่องเล่าของชนเผ่า ปกากะญอ เกี่ยวกับไม้ศักสิทธิ์”
คราวนี้ศรนารายณ์อึ้ง สนใจฟังขึ้นมาทันที
“ซึ่งเอ็งคิดว่ามันเกี่ยวกับไม้ของ ลูกผู้ชาย”
อบเชยพยักหน้า
“ผู้เฒ่าจามู อยู่มาร้อยปี จนกลายเป็นฤๅษีที่แก่กล้าวิชาปลุกเสกเป็นอย่างมาก...”
จากนั้นอบเชยก็เล่าเรื่องราวของฤาษีตามข้อมูลที่รู้มา
“...ได้เหลาไม้ยาวประจำตัวอันหนึ่ง แกะจากแก่นไม้จันทน์พันปีใจกลางป่าพม่า แล้วปลุกเสกด้วยดวงวิญญาณเหล่าพยัคฆ์คชสารและอสรพิษ มาเป็นอาวุธคู่กาย ปลายด้านหนึ่งมีไว้ทำลายล้างเหล่าปีศาจ ปลายอีกด้านมีไว้เยียวยา รักษาโรคได้ แต่เมื่อพลังอยู่รวมกันก็มีอำนาจมหาศาล ขนาดแค่เหล่าอสุรกายได้กลิ่นก็ไม่กล้าเข้าใกล้ มีไว้ปราบพวกเหล่าโอปปาติกะและสัมภเวสี ชื่อและฤทธิ์เดชของฤๅษีร่ำลือไปไกล จนไม่มีภูตผีตนไหนกล้าเข้ามาในป่าแถบตะนาวศรีอีกเลย”
เหล่าดวงวิญญาณร้ายเข้ามาโจมตีฤๅษีที่นั่งสมาธิ ฤๅษีลุกอย่างคล่องแคล่วคว้าตะพดยาวประจำตัว ฟาดฟันกับพวกเหล่าดวงวิญญาณทั้งหลาย การควงไม้ว่องไวจนมองแทบไม่ทัน เมื่อไม้วิเศษฟาดไปที่เหล่าวิญญาณ วิญญาณก็กรีดร้องและสูญสลายไปต่อหน้าต่อตา แสดงให้เห็นถึงฤทธาของไม้แก่นจันทน์พันปี
เสียงของไม้เล่าต่อจากอบเชย
“แต่มีวันหนึ่ง พญาเวตาลผู้ร้ายกาจก็อยากจะท้าทายอำนาจฤๅษีและยึดเอาไม้วิเศษมาเป็นของตน”
พญาเวตาลตัวใหญ่บินลงมาจากต้นไม้ขวางทางฤๅษีไว้ ทั้งคู่เริ่มต่อสู้กันอย่างดุเดือด การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือดพญาเวตาลอาศัยความว่องไวและความเป็นสัตว์ปีกของตนโจมตีฤๅษีได้หลายครั้ง ฝ่ายฤๅษีเองก็ไม่ยอมแพ้ใช้ไม้ฟาดฟันพญาเวตาลไปเช่นกัน
ทั้งคู่ต่อสู้กันอย่างดุเดือด สุดท้ายฤๅษีเอาไม้ปักไปที่หัวใจของพญาเวตาล พญาเวตาลเคียดแค้นฤๅษีมากหักไม้ยาวครึ่งท่อนเพื่อให้เกิดปลายแหลม อาศัยที่ฤๅษีเผลอ ปักไปกลางอกของฤๅษีเช่นกัน ขนาดยาวเท่าไม้ตะพดวิญญาณของพญาเวตาลค่อยๆ ถูกดูดหายไปในตะพดครึ่งที่ปักหัวใจเขาอยู่
“ตะพดส่วนทำลายที่ดูดวิญญาณเวตาลเข้าไป เรียกตะพดฝั่งนั้นว่าตะพดเลือด ส่วนด้านปลายที่ใช้เยียวยาที่ปักอกฤๅษีเรียกว่าตะพดวิญญาณ... แม้ว่าตะพดจะหักกลางแต่ก็ยังมีพลังอำนาจหลงเหลืออยู่ ซึ่งสำหรับคนธรรมดาที่มีไว้ครอบครองก็เรียกว่าของที่วิเศษเลย ฤๅษีได้เก็บเอาไม้ตะพดทั้งสองที่หักห่อด้วยหนังเสือเอาไว้แล้วมาสิ้นใจตายที่ริมแม่น้ำแควน้อย”
ฤๅษีเดินบาดเจ็บมีเลือดไหลจากแผลที่หน้าอกไม่หยุดไปที่ริมแม่น้ำแล้วสิ้นใจตกลงไปในแม่น้ำ ร่างฤาษีหายไป แต่ไม้ที่ห่อด้วยหนังเสือทั้งคู่ลอยบนน้ำ ...ไม้ทั้งคู่ลอยไปห่างกันเรื่อยๆ ห่างกันไป จนแยกกันในที่สุด
“ทั้งไม้ตะพด ทั้งฤๅษีต่างตกลงไปในน้ำ แต่ก็ไม่มีใครได้เห็นศพของฤๅษีเลย”
ภายในโต๊ะอาหารเงียบกริบ ศรนารายณ์อ้าปากค้างกระดูกไก่หล่นจากปาก
“หนังสือจากไหน” ศรนารายณ์ถามออกมา
“หลวงพ่อบอกว่า คัดจากคัมภีร์ใบลาน ของพระพม่า ที่ธุดงค์ผ่านมาหลายสิบปีแล้ว”
“ทำไมเธอถึงสนใจขนาดไปค้นประวัติไม้ตะพดนี่” ไม้ถามอย่างแปลกใจ
“เธอไม่เห็น ไม้ตะพด ที่ลูกผู้ชายใช้เหรอ ...ชั้นว่ามันไม่ธรรมดาแน่ๆ”
“ถ้าเรารู้ความลับของไม้ตะพด เราก็จะรู้ความลับของลูกผู้ชาย” ไม้พึมพำออกมา
“ข้าบอกว่าไม่ใช่ลูกผู้ชาย ...แหม คันปาก เดี๋ยวก็บอกความจริงซะนี่”
“ไม่ต้องบอกชั้นก็รู้ ว่าลูกผู้ชายมีอยู่จริง” ไม้มองศรนารายณ์ ศรนารายณ์ กระหยิ่ม ทำกรุ้มกริ่ม
วันต่อมาไม้นั่งคุยกับจันทร์เรื่องลูกผู้ชาย
“ลูกผู้ชาย ไม่มีอยู่จริงหรอก” จันทร์บอก
“ฮึ?”
“ได้ยินไม่ผิดหรอกเครื่องรางของขลังของวิเศษอะไรเนี่ยมันไม่มีอยู่จริง เพราะมันไม่มีเหตุผล โลกนี้มันเป็นโลกของวิทยาศาสตร์”
“แต่แกก็เห็นว่าเมื่อวาน สิ่งที่ลูกผู้ชายถือ...มันมีอิทธิฤทธิ์”
“แกไม่เคยดูมายากลรึไง มันเป็นกลอุปกรณ์ มันแค่ใช้ความเร็วหลอกตาเราบวกกับฝีมือมวยนิดหน่อย”
“ชั้นไม่เอากับแกด้วยหรอก ชั้นเคยเห็นลูกผู้ชายมาหลายครั้งแล้ว เค้าเก่งและว่องไวมาก ชั้นไม่เชื่อหรอกว่าเค้าจะเป็นแค่นักมายากลที่ตีต่อยได้”
“นั่นไง ชั้นถึงต้องหาหลักฐานว่าลูกผู้ชาย จริงๆ แล้วมันไม่ได้เก่งจริง ไม่อยากรู้เหรอวะ เก่งจริงทำไมต้องหลบๆ ซ่อนๆ”
“ชั้นเชื่อ บางเรื่องไม่จำเป็นต้องรู้ แค่เชื่อก็พอ”
“แต่เรื่องนี้จำเป็นต้องรู้”
“ชั้นเชื่อว่ะ”
ไม้ตบบ่าจันทร์ก่อนจะลุกไป จันทร์บ่นงึมงำอยู่คนเดียว
“ต้องหาหลักฐานมาให้ได้”
ขณะนั้นทิวากับสมุนอีก 2 คน แต่งตัวหล่อยืนอยู่หน้าสนามกีฬา ทิวาทำยืนเต๊ะ เท่กว่าใคร สาวๆเดินผ่านก็ซุบซิบ ทำท่าทีว่าชอบ ทิวายิ่งเก็กไปใหญ่ อบเชยเดินเข้ามาเห็นแก๊งทิวาจึงทำไม่สนใจเดินเลี่ยง ทิวาเห็นหน้าอบเชย มาแต่ไกลก็เดินรี่ไปขวาง
“สวัสดีจ้ะคนสวย”
“ถอยไปไกลๆ”
“ไม่ถอย”
“ชั้นจะนับ 1 ถึง 3 นะ ถ้าไม่หลบนายเจอดีแน่”
“ขนาดนั้นเชียว”
“หนึ่ง...”
“เริ่มนับแล้ว”
“สอง...”
“น่ากลัวจังเลย”
“สาม...”
“ไหน...โดนอะ...”
ทิวายังพูดไม่ทันขาดคำอบเชยก็เตะผ่าหมากเข้าให้ทิวาถึงกับทรุดไปกองกับพื้น หน้าดำหน้าแดง สมุนรีบเข้ามาช่วย
“สม เตือนแล้วไม่ฟังเอง”
ไม้เดินออกมาจากสนามกีฬาพอดี อบเชยรีบวิ่งรี่เข้าหาไม้ ทิวาแม้จะเจ็บก็ยังแอบดูอบเชย
“คิดแล้วเชียวว่าไม้ต้องมาอยู่ที่นี่”
“มีอะไร”
“พ่อถามว่าวันนี้จะไปทำงานพิเศษที่ร้านรึเปล่า”
“ก็ไปทุกวันอยู่แล้ว ทำไมต้องให้มาถาม”
“ก็...เผื่อว่าเลิกเรียนเร็วแล้วอยากเลื่อนเวลามาทำเร็วกว่าปกติ”
“รู้ได้ไงว่าเลิกเร็ว”
“ก็...ตอนชั้นเลิกเรียน แวะไปหาไม้ที่โรงเรียนมา”
“แล้วไหนว่าอาศรให้มาถาม เพิ่งเลิกเรียนแล้วไปเจออาศรตอนไหน”
“เออ...ก็โกหกไง แค่อยากมาเจอ จะชวนไปกินข้าวที่บ้าน มีอะไรรึเปล่าล่ะ”
“โกหกให้จับได้ตลอด” ไม้บ่นแล้วเดินนำออกไป อบเชยรีบวิ่งตาม
“แล้วตกลงจะไปมั้ยล่ะ”
ไม้เงียบไม่ตอบ อบเชยวิ่งตามตื้อไม้ ทิวามองตามอย่างไม่พอใจ
“ไอ้ไม้”
ไม้ยอมมากินข้าวบ้านอบเชย ไม้ อบเชย ศรนารายณ์นั่งกินข้าวกับพื้นมีสำรับกับข้าววางตรงกลาง และในสำรับมีกับข้าวสองสามอย่าง
“กับข้าวฝีมือชั้นเป็นไงมั่งไม้” อบเชยถาม
“ก็งั้นๆ ดีกว่าไม่มีอะไรกิน”
“ทำเป็นปากแข็ง รู้หรอกว่าอร่อย” ไม้เบะหน้า อบเชยตักหมูยอชิ้นสุดท้ายในจานให้ไม้
“ไม้ชิมนี่สิกินชิ้นสุดท้ายจะได้แฟนสวย” หมูยอยังไม่ทันถึงจานของไม้ ศรนารายณ์ก็เอาช้อนตนชนช้อนของอบเชยจนหมูยอกระเด็นออก ศรนารายณ์เอาช้อนตนไปรับหมูยอจากอากาศ แล้วก็ทำท่าเหมือนเอาเข้าปาก เหลือแต่ช้อนว่างเปล่า “พ่อ...ทำแบบนี้อีกแล้วนะ”
“ก็พ่ออยากมีแฟนสวยนี่”
“ไม่ต้องคิดจะหาแม่ใหม่ให้หนูเลยนะ”
“ใจแคบ”
“พ่อนั่นแหละใจแคบ แค่หมูยอชิ้นเดียวยังไม่ยอมให้ไม้กิน”
“ใครว่าพ่อใจแคบ” ศรนารายณ์ค่อยๆ หยิบช้อนอีกคันที่มีหมูยอวางอยู่เหมือนเดิม ยังไม่ถูกกิน ยื่นให้ไม้ “ยังไม่ได้กินซักหน่อย” ไม้ตะลึง
“ โห อาศรทำได้ยังไงน่ะ”
“มายากลเด็กๆ ระวังเหอะเอามาเล่นของกินจะปวดท้อง”
ไม้เห็นศรนารายณ์เล่นมายากลจึง นึกถึงคำพูดของจันทร์ที่พูดไว้ว่าลูกผู้ชายคือคนที่มีทักษะมายากลบวกกับฝีมือมวย ไม้ยิ่งมั่นใจว่าศรนารายณ์คือลูกผู้ชายมากขึ้น
กลางดึกคืนนั้นขณะที่เมฆนอนหลับตานิ่ง ไม้กับนอนกระสับกระส่ายพลิกตัวไปมาคิดเกี่ยวกับเรื่องของ “ลูกผู้ชาย” เมฆรู้สึกถึงความกระวนกระวายใจของไม้จึงพูดขึ้นทั้งที่หลับตา
“มีเรื่องอะไรไม่สบายใจรึไง”
“พ่อรู้จักอาศรมากี่ปีแล้ว”
“ถามทำไม”
“ก็แค่ถามทั่วๆ ไปนั่นแหละ”
“ก็เห็นกันมาตั้งแต่เด็กนั่นแหละ”
“อาศรเคยบอกความลับอะไรกับพ่อ แบบเรื่องที่บอกใครไม่ได้เรื่องที่รู้กันแค่สองคนบ้างรึเปล่า”
“ไม่รู้สิ ทำไมถึงอยากรู้เรื่องพวกนี้”
“ไม่มีอะไรหรอก พ่อ ชั้นขอเรียนมวยกับอาศรได้มั้ย”
เมฆพลิกตัวตะแคงข้างหันหลังให้ไม้ เขาลืมตาขึ้นในความมืด
วันต่กมาขณะที่จันทร์เตะบอลเสร็จเดินออกมาจากสนาม ไม้วิ่งรี่ไปหา
“แกจะพิสูจน์เรื่องลูกผู้ชายยังไง” ไม้ถามจันทร์
“นี่เรายังคุยเรื่องนี้ไม่จบอีกเหรอ”
“ชั้นอยากรู้ว่าแกคิดอะไรไว้บ้าง”
“ก็คงต้องหาตัวคนที่มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นลูกผู้ชายก่อน”
“แล้ว...”
“ก็หาโอกาสไปอยู่ใกล้ชิดคนๆ นั้น เพื่อจะได้สืบ”
“แปลว่าชั้นก็คิดถูก”
“ไหนบอกไม่สนใจเรื่องนี้ไง”
“ถ้ามันช่วยไม่ให้พ่อชั้นต้องเจ็บตัวได้ ชั้นก็จะทำ”
“หมายความว่าไง”
“ถ้าชั้นเป็นมวย ชั้นก็จะได้ช่วยคุ้มครอง ไม่ให้พ่อต้องเจ็บตัว เวลามีใครมาทำร้าย”
“ดีกว่าแบ่งกันรับฝาเท้ากับพ่อ อย่างทุกวันนี้ใช่มั้ย” จันทร์บอกยิ้มๆ ไม้พยักหน้ารับ
“ชั้นทนเห็นพ่อโดนทำร้ายแบบนี้ไปตลอดไม่ได้เหมือนกัน”
“งั้นแกมีแผนอะไร”
“ชั้นจะเรียนมวยกับอาศรนารายณ์ ชั้นคิดว่าเขาคือลูกผู้ชาย”
“การจะตามหาตัวลูกผู้ชาย ชั้นว่าแค่เราสองคนไม่พอว่ะ”
“แกเล็งใครเอาไว้อีกเหรอ” จันทร์ยิ้ม
ไม้กับจันทร์มาหาชาญที่ท่ารถบขส.ขณะนั้นชาญนั่งพักผ่อนกินถั่วระหว่างรอผู้โดยสารที่ท่ารถ
“พี่ชื่อชาญใช่มั้ย”
ชาญมองไม้อย่างกวนๆ
“เอ็งเป็นใคร”
“พ่อชั้นชื่อเมฆ”
“อ๋อ ลูกพี่เมฆ เริ่มจำได้ละ วันที่มีเรื่องก็อยู่ด้วยนี่”
ไม้พยักหน้ารับ
“วันนั้นชั้นเห็นฝีมือการต่อสู้ของพี่นี่ไม่เบา” จันทร์บอก
“ไอ้นี่ใครเนี่ย”
“นี่ชื่อจันทร์ เป็นเพื่อนชั้นเอง”
“ท่าทางกวนประสาท...แล้วนี่เอ็งสองคนมีอะไรกับข้า”
“ได้ข่าวว่าพี่เป็นแฟนตัวยงของลูกผู้ชายไม่ใช่เหรอ”
“แหล่งข่าวเอ็งนี่ใคร รู้เรื่องข้าเยอะจริงนะ”
“จะใครก็ช่างเถอะ จริงมั้ยล่ะ”
“เอ๊ะไอ้นี่ อย่ามาพูดจาล้อเล่นกับข้านะ ข้าไม่ใช่เพื่อนเล่น”
“ใจเย็นๆ พี่ชาญ ปากมันเป็นแบบนี้แหละ จริงๆ ไม่มีอะไร” ไม้บอก
“อยากรู้เรื่องลูกผู้ชายมากกว่านี้รึเปล่าล่ะ” จันทร์ถามชาญ
“อยาก แต่ไม่อยากรู้จากเอ็ง”
“แต่พวกชั้นสามารถทำให้พี่ใกล้ชิดสนิทสนมกับลูกผู้ชายได้นะ” ชาญนิ่งคิด
“คนอย่างเอ็งน่ะนะจะมีปัญญา”
“เอางี้มั้ยล่ะ ถ้าสู้กันแล้วชั้นชนะ มาช่วยชั้น 2 คน ตามหาลูกผู้ชาย” จันทร์ท้า
“ชั้นจะต้องเสียแรงไปสู้กับเด็กอ่อนหัดอย่างแกทำไม”
“คิดดูให้ดี พี่ไม่มีอะไรต้องเสียซักอย่าง ได้เหงื่อไม่ชอบเหรอ” ไม้บอก ชาญนิ่งคิด “ถ้าพี่อยากรู้อะไรเกี่ยวกับลูกผู้ชาย ถามชั้นได้นะ...หรือพี่กลัวเด็กอ่อนหัดอย่างไอ้จันทร์มัน” ไม้ยุจันทร์มองหน้าเพื่อนแบบ อยู่ๆ ก็หาตีนมาให้ซะงั้น คำพูดของไม้ทำให้ชาญเลือดขึ้นหน้า มองจันทร์
“มีใครเคยบอกเอ็งมั้ยว่าปากเอ็งนะ ชวนให้โดนกระทืบ” ชาญบอกพร้อมกับผลักอกจันทร์
“ยังไม่ได้ว่าอะไรซักคำ” จันทร์บอก
“เฮ้ย จะดีเหรอ...” ไม้ยิ้มที่ยุสำเร็จ
ทั้งหมดมาที่ลานหลังวัด ไม้ยืนอยู่ตรงกลางเป็นกรรมการ มีชาญกับจันทร์ยืนจ้องหน้ากันอยู่คนละฝั่ง ต่างคนต่างดูเชิงกัน ชาญถือกระบอกตั๋วส่งเสียงแก๊บๆ ส่วนจันทร์ก็หมุนน็อตในมือเล่นไปมา ชาญยิงคำถามวัดภูมิว่ารู้เรื่องลูกผู้ชายจริงมั้ย
“ผ้าที่คาดตาของลูกผู้ชายทำจากอะไร”
“หนังเสือโคร่ง เป็นส่วนหนึ่งของผ้าจากชุดฤาษีที่เป็นคนทำไม้ตะพด” ไม้บอก
“รู้ได้ไงวะ” จันทร์ถามอย่างแปลกใจ
“เพิ่งอ่านมา”
“อ่านมาจากไหน” ชาญถามต่อ
“คัมภีร์ใบลานร้อยปี พระธุดงค์ข้ามฝังมาจากพม่าทิ้งเอาไว้”
“หมดเวลาความรู้แล้ว มาสู้กัน ... ถ้าแพ้ พี่ต้องยอมเป็นพวกผมนะ” จันทร์บอกแล้วยิ้ม
จากนั้นการต่อสู้ของทั้งคู่เริ่มต้นขึ้น ชาวบ้านที่มาดูเชียร์กันเย้วๆ ชาญหาจังหวะได้หลายครั้งใช้กระบอกตั๋วทั้งฟาดทั้งหนีบจันทร์ ส่วนจันทร์เองก็ไม่น้อยหน้า เอาน็อตดีด ต่อยด้วยมือที่ใส่แหวนเป็นน็อตในทุกนิ้วทำเอาชาญเซไปเหมือนกัน การต่อสู้ดุเดือด ไม้มองตาไม่กระพริบ
ระหว่างนั้นเมฆเอาผ้าขนหนูเช็ดหน้าเช็ดตาเดินมาที่ท่ารถ แต่เห็นผู้คนต่างเดินสวนกันไปมากกว่าปกติ พร้อมซุบซิบกันเหมือนจะรีบไปไหนซักที่ ดูผิดสังเกต เมฆจึงเรียกคนไว้คนหนึ่ง
“มีอะไรกันเหรอพี่”
“เค้าต่อยกันหลังวัดน่ะสิ เห็นบอกลูกชายเอ็งก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วยนะ”
“ห๊า”
ไทยมุงรีบวิ่งไปดู เมฆหันซ้ายหันขวาตามไปกับเค้าด้วย
ที่ลานหลังวัดขณะนั้นจันทร์กับชาญกำลังสู้กันอย่างดุเดือด ยังไม่มีทีท่าว่าใครจะแพ้หรือชนะ
ไม้ยืนเก้ๆ กังๆ อยู่ตรงนั้นดูการต่อสู้ แล้วจันทร์กับชาญก็สู้รัดฟัดเหวี่ยงเหมือนมวยวัดเพราะเหนื่อยหอบ
ไม้เข้าไปพยายามแยกออกจากกัน จนดูกลายเป็นสามคนรุมฟัดกันอยู่ เพราะ จันทร์กับชาญไม่ยอมแยกกันง่ายๆ เมฆเดินกระเผกเข้ามาเห็นไม้ยืนอยู่ท่ามกลางคนที่กำลังสู้กัน เมฆรีบแหวกคนเข้ามาทันที
“นี่ทำอะไรกันน่ะ หยุดเดี๋ยวนี้”
จันทร์กับชาญ รวมทั้งไม้ต่างหันมาทางเมฆ
“พ่อ”
“ลูกพี่”
ไม้ จันทร์ ชาญหน้าเสีย ส่วนเมฆหน้าเข้มดุ
เมฆพาไม้มาคุยบนรถที่เมฆขับ เมฆดุไม้
“พ่อบอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่าไปคบหากับไอ้พวกอันธพาล”
“แต่จันทร์เค้าไม่ใช่อันธพาลนะพ่อ”
“คนไม่ใช่อันธพาลอยู่ๆ จะไปหาเรื่องต่อยตีกับใครมั้ยล่ะ” ไม้นิ่ง “นี่ที่อยู่ๆ จะไปเรียนมวยกับพี่ศรก็เพราะจะมาต่อยตีกับพวกมันนี่ใช่มั้ย”
“ไม่ใช่นะพ่อ ชั้นแค่อยากมีวิชาไว้ป้องกันตัวก็แค่นั้น”
“ไม่ต้องเลย พ่อไม่ให้แกไปเรียน คนตั้งเยอะต่อสู้อะไรไม่เป็นเค้าก็ดำรงชีวิตกันได้จนแก่ตาย มีแต่พวกที่เตะต่อยเป็นนั่นแหละ จะตายก่อนกำหนด”
“แต่พ่อก็เห็นว่าพวกเราโดนหาเรื่องตลอด จะให้ชั้นหนีไปตลอดชีวิตไม่ได้หรอกนะ”
“พ่อบอกว่าไม่ก็คือไม่ แล้วอย่าให้รู้ว่ายังคบกับคนพวกนี้อีก”
“พ่อ...” เมฆเดินลงจากรถ โดยไม่สนใจแววตาอ้อนวอนของไม้ ไม้ช้ำใจ กลั้นน้ำตา “ชั้นแค่ไม่อยากให้ใครมากระทืบพ่อแค่ชั้นเห็นพ่อไม่สู้คนก็ช้ำใจพออยู่แล้ว พ่อต้องให้ชั้นช้ำในเพราะส่วนแบ่งจากการที่คนอื่นมายำพ่อไปตลอดชีวิตงั้นเหรอ” ไม้บอกเสียงดัง เมฆหยุดชะงักและหันมาตบหน้าไม้ให้หยุดพูด “พ่ออยากให้ชั้นโดนกระทืบขาเป๋เหมือนพ่องั้นเหรอ”
“ข้ามีเหตุผล” เมฆบอกอย่างช้ำใจ
“เหตุผล...กลัวจะเดินถึงที่หมายเร็วไปงั้นเหรอ” ไม้ประชดอย่างน้อยใจ
“พ่อไม่ต้องรีบไปไหนอีกแล้ว เอ็งคือที่หมายของพ่อ”
“ชั้นขอโทษ”
เมฆพยักหน้า
“คืนนี้นอนที่นี่แหละ ไม่ต้องกินข้าว”
เมฆปิดประตูรถบขส. ไม้อยู่ข้างในไม่พยายามจะออกมา
เมฆเดินออกมามองหน้าชาญและจันทร์อย่างเคืองๆ
“กลับไปได้แล้ว แล้วอย่ามาก่อเรื่องแบบนี้อีก”
“เข้มปั้ก” เมฆมองชาญนิ่ง ไม่เล่นด้วย “ไปดีกว่า”
ชาญปลีกตัวออกไป จันทร์ยังยืนนิ่ง
“บอกให้กลับไปได้แล้ว อยู่ในวัยเรียนก็เรียน หรือถ้าจะเสียคนก็ไม่ต้องชวนลูกชั้นเข้าไป”
“จริงๆ แล้วมันไม่ได้เป็นเรื่องไม่ดีอย่างที่คิดนะ” จันทร์บอก
“คนจะต่อยจะตีกัน มันมีแต่เหตุผลงี่เง่าเท่านั้นแหละชั้นไม่อยากฟัง ไป”
จันทร์จำใจต้องเดินออกไปทั้งที่เป็นห่วงไม้ที่โดนขังไว้ในรถ เมฆถอนหายใจเมื่อเหลือเขาอยู่คนเดียว มองปิ่นโตข้าว เขาเอาข้าวในปิ่นโตเทให้หมาผอมโซแถวนั้น เมฆพึมพำมองไปทางรถที่เขาบังคับให้ไม้อดข้าว
“...พ่อจะหิวเป็นเพื่อนเอ็งนะลูก”
คืนนั้นเมื่อเมฆกลับมาบ้าน เมฆดูรูปไม้กับเขาตอนเด็กที่อยู่บนหัวเตียงแล้วถอนหายใจ เมฆถอดเสื้อจะอาบน้ำ เนื้อตัวเมฆมีแผลเป็นรอยมีด รอยกระสุนเต็มตัวไปหมด
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นที่ท่ารถ บขส.ไม้นอนอยู่บนเนินตรงคันเกียร์ของรถบขส. ไม้ถอนหายใจอย่าง ไม่สบายใจ จู่ๆ ก็มีเสียงเปิดประตูรถดังขึ้น ไม้ลุกขึ้นนั่ง อบเชยเดินขึ้นมาบนรถพร้อมกับห่อข้าว
“มีคนบอกว่าไม้ไปมีเรื่องกับเค้า เจ็บตรงไหนรึเปล่า”
อบเชยถามแล้วปรี่เข้าหาไม้อย่างเป็นห่วง
“ไม่ได้เป็นอะไร ชาวบ้านก็ลือมั่วไปหมด”
“ถ้าไม่มีเรื่องแล้วทำไมโดนทำโทษ” ไม้ถอนหายใจ
“ช่างเถอะ เอาเป็นว่าชั้นไม่ได้เป็นอะไร”
“หิวมั้ย ชั้นเอาข้าวมาให้”
“ไม่ เอากลับไปเถอะ”
“ไม่ต้องมาทำปากแข็ง ชั้นไม่ใช่พ่อไม้ซักหน่อย หิวก็บอกหิว”
“ก็บอกว่าไม่หิว ทำไมต้องตื้อด้วย”
เสียงท้องไม้ร้องเสียงดังอบเชยยิ้ม
“ไหนบอกไม่หิวไง” อบเชยยื่นห่อข้าวให้
“นี่รับไว้เพราะเกรงใจหรอกนะ ไหนๆ ก็เอามาแล้วเดี๋ยวจะเสียน้ำใจ”
“ไม่มีชั้นซักคนจะทำยังไงเนี่ย”
“ก็ดีน่ะสิ สบายหู”
“เออทำปากดีไปเถอะ” อบเชยหยิบของออกจากกระเป๋า เป็นหมอน ผ้าห่ม ออกมาวาง “นี่ เดี๋ยวกลางคืนจะหนาว”
“ชั้นไม่ได้บอบบางขนาดนั้นหรอกน่า”
“ใครว่า ชั้นเอามาเผื่อตัวเองต่างหาก”
“หมายความว่า”
“จะนอนเป็นเพื่อนไง”
“บ้าแล้ว กลับบ้านไปเลยไ”
“ทำไม กลัวชั้นจะปล้ำเหรอ” อบเชยยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนไม้ต้องถอยออก
“อย่าเข้ามาใกล้นะ”
“แค่ล้อเล่น ชั้นเอามาให้ไม้นั่นแหละ ถ้าขืนชั้นนอนที่นี่พ่อเล่นงานชั้นตาย” ไม้ถอนหายใจโล่งอก “ต้องกลับละนะ แอบหนีพ่อออกมา”
“ชั้นบอกให้เธอไปตั้งนานแล้ว”
“อย่าคิดถึงชั้นให้มากนักล่ะ”
“บ้า...”
อบเชยยิ้มหวานให้ไม้ก่อนจะเดินลงจากรถไป ไม้แอบอมยิ้มกับพฤติกรรมอบเชย
กลางดึกคืนนั้นอยู่ๆ ไม้ก็รู้สึกตัวขึ้นมาจากน้ำจากใบไม้ที่หยดลงบนหน้า ไม้สะดุ้งตื่นปาดน้ำบนหน้าออกแล้วหันมองไปรอบตัวเริ่มงง ว่าเขามาอยู่กลางป่าได้ยังไง ไม้เดินไปตามทางเดินอย่างไม่ค่อยรู้สึกปลอดภัยนักเขารู้สึกเหมือนได้ยินเสียงก๊อบแก๊บของใบไม้เหมือนมีใครกำลังตามเค้าอยู่ ไม้หันไปดูก็ไม่เห็นอะไร จนเขาหันกลับมาอีกทีเห็นงูจงอางตัวใหญ่ แผ่แม่เบี้ยอยู่ตรงหน้า ไม้ตกใจรีบวิ่งหนีแบบไม่คิดชีวิตมาเจอเอากับช้างตัวเบ้อเริ่มขวางทางเขาไว้ ไม้หันหนีไปอีกทางเขาเจอฤๅษีนั่งสมาธิอยู่อย่างสงบ
“หนีเร็ว ช้างกับงูกำลังมาแล้ว หนีเร็ว” ฤๅษียังสงบนิ่ง ไม้เขย่าตัวฤๅษี “ท่าน อันตรายกำลังมา ท่านรีบเอาตัวรอดก่อนเถอะสมาธิน่ะนั่งเมื่อไหร่ก็ได้”
ฤๅษีค่อยๆ ลืมตาขึ้นมอง
“ อันตรายที่เจ้าหมายถึงคืออะไรรึ”
“ก็สัตว์พวกนั้น ทั้งงูทั้งช้าง”
“สัตว์พวกนี้ไม่อันตรายหรอก” ฤๅษีพูดไม่ทันขาดคำ เสือโคร่งตัวใหญ่ก็ปรากฏตัวพร้อมคำรามเสียงดัง ไม้สะดุ้งแต่เสือก็เงียบสงบอยู่ข้างฤๅษี ไม้งง “สิ่งที่น่ากลัวกว่าสัตว์ร้าย คืออสูรร้ายในใจมนุษย์”
“หมายความว่าอะไร”
“อย่าปล่อยให้เวตาลกลับมา”
“ห๊ะ”
“อย่าปล่อยให้พญาเวตาลกลับมา”
ฤาษีตะโกน เสียงคำรามของเสือดังคลอกับเสียงฤๅษีดังก้องไปทั่วทั้งป่า
ขณะนั้นไม้นอนบนแท่นข้างๆ เกียร์ มือกำคันเกียร์ไว้แน่น ไม้สะดุ้งตื่นโหยงก่อนที่จะปล่อยมือจากคันเกียร์
“ฝันอะไรวะเนี่ย อ่านตำนานไม้ตะพดมากไปแน่ๆ”
เสียงประตูรถเปิด เมฆเปิดประตูมองมาที่ไม้ ไม้รีบเก็บหมอนผ้าห่มแล้วเดินลงจากรถ ก่อนที่ไม้จะไป เมฆก็พูดขึ้นว่า
“ข้าวอยู่บนโต๊ะ กินซะหน่อย เดี๋ยวจะไปเรียนไม่รู้เรื่อง”
ไม้หันมองเมฆยิ้ม รับรู้ได้ถึงความรักของพ่อกับลูก
อีกด้านหนึ่งที่ตลาดสด ขณะนั้นทิวาซึ่งอยู่ในชุดนักเรียนกำลังเดินชะเง้อตามองหาบางอย่าง โดยมีสมุนเดินตาม อบเชยในชุดนักเรียนพาณิชย์ลากเข่งผักเข้ามาในตลาด
“ผักมาส่งแล้ว ขอทางหน่อย ขอทางหน่อยเร็ว ชั้นไม่อยากไปโรงเรียนสาย” ทิวายิ้มเดินขวางทางอบเชยทันที อบเชยมองหน้าทิวา “ถอยไป ชั้นไม่อยากอารมณ์เสียแต่เช้า”
“จะรีบไปไหนเล่า แวะกินกาแฟคุยกันก่อนซิ”
“นี่ อย่าคิดว่าเป็นลูกพันเทพแล้วจะมากร่างที่ไหนก็ได้นะ”
“กร่างอะไร แค่ชวนคุยธรรมดา”
“ท่าทางว่าเราคงคุยกันไม่รู้เรื่องแน่ๆ”
“ใจเย็นๆ สิ เรื่องวันก่อนที่เธอเตะชั้นซะจุก ยังไม่ได้เคลียร์เลยนะ”
“เอาสิ จะเคลียร์อะไรก็เข้ามา”
อบเชยหยิบผักคะน้า ผักกาดขาวในเข่งขึ้นมาเป็นอาวุธ สมุนทิวาทำท่าจะพุ่งเข้าไป ทิวาห้ามไว้
“เดี๋ยวก่อน ผู้หญิงตัวคนเดียว ชั้นจัดการคนเดียวก็พอ”
ทิวาพูดยังไม่ทันขาดคำ อบเชยก็ขว้างกำคะน้าใส่หน้าทิวาที่กำลังพูดอยู่ เข้าปากพอดี ทิวาถุยออก
“กินผักเยอะๆ จะได้ฉลาดไม่มัวมาทำตัวเป็นอันธพาลหาเรื่องใคร”
“เป็นอะไรมั้ยครับคุณทิวา” สมุนถาม
“ก็แค่ผักน่า ชั้นรับมือไหว”
อบเชยเขวี้ยงผักกาดขาวใส่หน้าทิวาอย่างจัง เลือดกำเดาไหลออกจากจมูกทิวา
“คุณทิวาครับ”
“ไม่เป็นไร”
“แต่เลือดไหลแล้วนะครับ”
“ได้...นี่เธอ”
พอทิวาหันมา คราวนี้อบเชยเขวี้ยงสารพัดผักในเข่งใส่ทิวาชุดใหญ่ ทั้งมะเขือ แครอท กะหล่ำปลี ปิดท้ายด้วยฟักทองทำเอาทิวามึนลงไปกองกับพื้น ใบหน้าช้ำ ปากแตกเลือดกำเดาไหลหนัก
“ไหวมั้ยครับคุณทิวา” สมุนถาม
“นี่ยังยืนทำอะไรอยู่อีกล่ะ จับมันมาให้ได้”
อ่านต่อหน้า 3
ลูกผู้ชายไม้ตะพด ตอนที่ 1 (ต่อ)
สมุนของทิวาทั้งสองคนวิ่ง ไล่ตามอบเชยมาติดๆ อบเชยหนีไปตามตลาดอย่างคล่องแคล่ว เหยียบตามนั่งร้านขายผัก เตะผักนานาชนิดใส่สองวายร้าย เมื่อผ่านร้านขายผลไม้ก็หยิบกล้วยมาปอกกินแล้วโยนเปลือกลงพื้นจนสมุนคนหนึ่งเหยียบแล้วลื่นล้มไป อีกคนหนึ่งยังไล่ตามอบเชยไม่ลดละ
อบเชยหลอกล่อให้สมุนมายืนหน้าร้านขายปลา แล้วจึงเข้าไปซ่อนในเข่งเศษผัก เอาผักมาบังสุมไว้ สมุนทิวาจึงมองหาอบเชยไม่เห็น
“หายไปไหนวะ”
พอจังหวะสมุนเผลอ อบเชยก็โผล่จากเข่ง ตั๊นหน้าสมุนจนล้มหงายลงไปในถังปลาไหล
และปลาไหลไหลเลื้อยเข้าไปตามเสื้อผ้า สมุนรังเกียจปลาไหลถึงกับดิ้นพล่าน อบเชยยิ้มอย่างสะใจ
“พี่ป้าน้าอาทั้งหลายไม่ต้องตกใจนะ นายคนนั้น” อบเชยชี้ไปที่ทิวา “มาหาเรื่องชั้น ความเสียหายทั้งหลายไปเก็บได้ที่พันเทพ พ่อของนายคนนั้นได้เลย”
อบเชยสะใจเดินออกไป เสื้อนักเรียนสีขาวไม่เปื้อนเปรอะแม้แต่นิดเดียวแต่ชายเสื้อลุ่ยหลุดจากกระโปรง แต่สภาพสมุนและทิวานั้นมอมแมมตามๆกัน
ไม้เดินไปโรงเรียนผ่านหน้าตลาด ในจังหวะที่อบเชยเดินออกมาพอดี อบเชยเห็นไม้จึงวิ่งเข้าไปหา
“ไม้ ไปเรียนเหรอ”
ไม้เห็นเสื้อนักเรียนอบเชยหลุดจากกระโปรง
“นี่ไปทำอะไรมา ทำไมเป็นแบบนั้น”
“ออกกำลังนิดหน่อย...” อบเชยบอกแล้วจัดแจงเสื้อผ้าให้เข้าที่ “นี่ไม้หายโกรธกับพ่อรึยัง”
“ไม่รู้ ไปถามพ่อสิ”
“เออ...ไม้เคยบอกว่าอยากให้พ่อชั้นสอนมวยให้ไม่ใช่เหรอ”
“ไม่รู้ว่าพ่อจะว่าไง ยิ่งไม่อยากให้ยุ่งกับเรื่องพวกนี้ด้วย”
“ให้ชั้นไปขอพ่อไม้ให้เอามั้ย”
“ไม่ต้องหรอก ชั้นเพิ่งก่อเรื่องไปเมื่อวาน รออีกหน่อยดีกว่า”
“ตามใจ”
“ไปเรียนก่อนละ” ไม้เดินแยกไป อบเชยเดินตาม “จะไปไหนน่ะ”
“ก็ไปเรียนไง”
“โรงเรียนเธอน่ะอยู่ทางโน้น” ไม้ชี้มือไปอีกทาง
“อ้าวเหรอ ลืม” อบเชยบอกยิ้มๆ
“ไปเลย”
อบเชยส่งยิ้มหวานให้ไม้ก่อนจะเดินแยกไปอีกทาง ไม้ยิ้มกับพฤติกรรมอบเชย
ขณะนั้นทิวาในสภาพเนื้อตัวมอมแมมยืนกำหมัดแน่นแอบดูไม้กับอบเชยอยู่อีกฝั่งถนน โดยมีสมุนยืนประกบ
“ไอ้ไม้ แกอีกแล้ว”
ทิวานึกแค้นจังหวะนั้นมีมอเตอร์ไซค์ขับมาเฉี่ยวทิวาที่เอาแต่ยืนมองอีกฝั่งถนนหนึ่งอยู่โดยไม่สนใจรถ ทิวาล้มคะมำอีกที มอเตอร์ไซค์ขับหนีไป สมุนคนหนึ่งตะโกนขึ้น
“อย่าหนีนะ”
สมุนอีกคน วิ่งตามมอเตอร์ไซค์ไป ขณะที่ทิวายังล้มอยู่ริมถนน รถบขส.ขับมาจอดเอี๊ยดหน้าทิวา
เมฆกระเผลกลงมาจากรถ ลงมาช่วยทิวา ชาญก็ตามลงมาดูด้วย
“เป็นไงบ้างหนู”
เมฆพยุงทิวาลุกขึ้น พอลุกขึ้นได้ทิวาสะบัดแขนเมฆ
“อย่ามาแตะต้องตัวชั้น” ทิวามองเมฆหัวจรดเท้า “จนแล้วยังพิการอีกน่าสมเพช”
“ปากเหรอน่ะที่พูด” ชาญบอกอย่างไม่พอใจ
“ช่างเค้าเถอะน่าชาญ” เมฆปราม
“ที่ชั้นพูดมีตรงไหนบ้างไม่จริง ก็ไอ้นี่มันเป็นแบบนั้นจริงๆ” ทิวาบอก
“คนที่แกเรียกว่าไอ้นี่เนี่ย เค้าแก่กว่าแกคราวพ่อนะ”
“แล้วมันใช่พ่อชั้นรึเปล่าล่ะ”
“ไอ้พวกลูกคนรวย แต่ทำตัวเหมือนคนไร้การศึกษา”
“เฮ้ย...พูดแบบนี้นี่แปลว่าอยากมีเรื่องใช่มั้ย”
“ก็เอาซี่”
ทิวากวักมือเรียกสมุนโดยไม่ได้สังเกตว่าสมุนไม่อยู่แล้ว ทิวากวักอยู่สองสามทีสมุนไม่มาจึงหันไปดู แต่ไม่เห็นใคร
“เฮ้ย ไปไหนหมดวะ เออ คราวนี้ฝากไว้ก่อนเถอะ”
ทิวารีบเดินหนีออกไป
“ดีแต่ปาก เดี๋ยวปั๊ด”
ชาญจะตามไปเล่นงานทิวา เมมฆห้ามชาญไว้
“พอเถอะ ไปทำงานได้แล้ว”
เมฆเดินกระเผลกนำไปขึ้นรถบขส. ชาญเดินตามแต่ยังหันมองทิวาที่เดินหนีไป
ที่ท่ารถบขส. เมฆนั่งเหม่อจนกระทั่งชาญถือกระบอกตั๋วเขย่าก๊อกแก๊กตามสไตล์เดินมานั่งด้วย
“ไอ้เด็กนั่นมันน่าหมั่นไส้จริงๆ”
“ถ้าจะทำงานที่นี่อย่าเที่ยวไปมีเรื่องกับใคร”
“แต่ลูกพี่ก็เห็นนะ มันกวนประสาทสุดๆ”
“ช่างเค้า เราอย่างไปใส่ใจ”
“แหม แต่สุดท้ายก็ไม่ได้มีเรื่องอะไรกันซักหน่อย”
“แต่เมื่อวานที่พาลูกชายชั้นไปตีกันหลังวัดน่ะมันมี”
“อ๋อ…ไม่พอใจเรื่องนั้นนี่เอง ลูกพี่มันไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยเลยมันแค่ยืนเป็นกรรมการ พูดแล้วก็เปรี้ยวปากไอ้เด็กเมื่อวานจริงๆ ยังไม่ทันรู้ผลแพ้ชนะเลย”
“นี่ยังไม่หยุดอีกใช่มั้ย ถ้าอยากทำงานกับชั้นอย่าทำนิสัยอันธพาล”
“อันธพาลอะไร เมื่อวานมันก็แค่ประลอง”
เมฆส่ายหน้า ไม่เห็นด้วย
“ลูกผู้ชายเขาต่อสู้เพื่อคนอื่น… การต่อสู้เพื่อคนอื่นมันสร้างคุณค่าให้มนุษย์นะ ส่วนไอ้คนที่เอาแต่สู้เพื่อตัวเองน่ะ มันเหมือนหมากัดกัน” ชาญเถียงไม่ออก
ที่บ้านพันเทพ ขณะที่พันเทพกำลังอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ ทิวาในชุดมอมแมมก็เดินเข้ามาโวยวาย
“พ่อ...พ่อต้องช่วยผม”
“ทิวา ทำไมไม่ไปโรงเรียน แล้วนี่...ทำไมสภาพเป็นแบบนี้”
“ผมโดนไอ้ไม้มันแกล้งมา มันอัดผมเละเทะเลย”
“ไม้...”
“ก็ไอ้ไม้ ลูกคนขับรถบขส.ในตลาดไง”
“แต่ไม้มัน ชกต่อยไม่เป็นซักหน่อยนี่”
“ทำไม พอรู้เรื่องไอ้ไม้”
ทิวาถามอย่างแปลกใจ พันเทพกลบเกลื่อน
“เอ่อ...คือ ก็พ่อเคยส่งคนไปเล่นพวกมันหลายที เห็นมันเอาแต่หนีหัวซุกหัวซุน”
“เออน่า...เอาเป็นว่ามันต่อยผมก็แล้วกัน พ่อต้องช่วยผม”
“จะให้พ่อทำยังไง”
“ก็ส่งคนไปกระทืบมันให้เละเลยสิ”
“เรื่องของเด็กๆ พ่อไม่อยากเข้าไปยุ่งหรอก พ่อกำลังจะลงสมัคร สจ.สมัยหน้าด้วย ยังไม่อยากมีเรื่องตอนนี้”
“พ่ออ่ะ...”
“ให้พ่อช่วยอย่างอื่นดีกว่า”
ทิวานึกถึงภาพตนกับอบเชย ที่โดนอบเชยทำร้ายตลอด
“ผมอยากเรียนมวย” จู่ๆ ทิวาก็บอกขึ้นมาพันเทพถึงกับหัวเราะ
“เอาวะ ไอ้ลูกคนนี้มันมีเลือดนักสู้ เลี้ยงไม่เสียข้าวสุกจริงๆ”
“พ่อต้องหาครูมวยคนที่เก่งที่สุดมาสอนผมให้เร็วที่สุด”
“ได้สิ ใครไม่อยากเห็นลูกเป็นนักสู้ล่ะ”
ทิวาและพันเทพต่างยิ้มพอใจ
เย็นวันเดียวกันนั้นที่หน้าโรงเรียนเทคนิค ไม้เดินออกจากโรงเรียน จู่ๆ ก็ถูกของแข็งปาใส่หัว ไม้หันมองหาจึงเห็นเป็นจันทร์นั่นเอง
“โดนพ่อด่าเป็นไงมั่งวะไม้”
“ชิน”
“พ่อแกนี่ดุชะมัด”
“ปกติก็ไม่ดุหรอก ดุแค่เรื่องต่อยตีเนี่ยแหละ”
“นี่ ชั้นว่าจะนัดไอ้ชาญประลองอีก”
“อย่าเลย”
“อ้าว แล้วเรื่องพิสูจน์ความจริงเรื่องลูกผู้ชายล่ะ”
“ชั้นขอพักไว้ก่อนดีกว่า ไม่อยากก่อเรื่องให้พ่อไม่สบายใจบ่อยๆ”
“โธ่เอ้ย พ่อแกน่ะแค่คิดไปเอง แกไม่ได้ไปมีเรื่องกับใครซะหน่อย”
“เอาเถอะ...ถ้าแกอยากรู้เรื่องลูกผู้ชายไม้ตะพด ชั้นแนะนำให้แกไปที่วัดหลวง”
“อย่าบอกนะว่าตัวจริงของลูกผู้ชายเป็นพระ ปลงอาบัติกันทั้งวันละทีนี้”
“ไม่ใช่ วันก่อนชั้นได้อ่านหนังสือคัมภีร์ใบลาน นี่” ไม้หยิบหนังสือออกจากกระเป๋า “พระท่านคัดมาจากพระธุดงค์ จากพม่า ถ้าแกไปถาม อาจจะรู้เรื่องอะไรเพิ่มเติมก็ได้”
“มีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรด้วยเหรอ เรื่องนี้ชักน่าสนใจขึ้นแล้วสิ นักวิทยาศาสตร์อย่างชั้นต้องพิสูจน์ให้ได้”
“เดี๋ยว แกเป็นนักวิทยาศาสตร์ตั้งแต่เมื่อไหร่ แกเรียนช่างยนต์”
“แกน่ะไม่รู้อะไร นักวิทยาศาสตร์หลายคนก็เริ่มจากซ่อมเครื่องยนต์นี่แหละ”
จันทร์บอกด้วยแววตามุ่งมั่น มีความหวัง
จันทร์มาที่วัดหลวงแล้วเดินเข้าไปหาเจ้าอาวาสที่กำลังกวาดลานวัดอยู่
“โยมมีธุระอะไรกับอาตมารึ”
เจ้าอาวาสถาม จันทร์หยิบหนังสือขึ้นมา
“หลวงพ่อจำหนังสือเล่มนี้ได้รึเปล่าครับ”
“อาตมาเป็นคนเขียนรึ”
“เปล่าครับ แต่มันเป็นหนังสือของวัดนี้”
“ขออาตมาดูหน่อยซิ”
จันทร์ยื่นหนังสือให้เจ้าอาวาสดู เจ้าอาวาสหยิบแว่นขึ้นสวมแล้วพินิจดูหนังสือเล่มนั้น
“ใครบอกว่าเป็นของวัดนี้”
“เพื่อนชั้นยืมจากที่นี่”
“หนังสือมันเกี่ยวกับอะไร”
“ตำนานไม้ตะพดครับ”
เจ้าอาวาสพยักหน้า
“อาตมาอ่านแล้วน่าสนใจดี เลยให้เณรเค้าคัดให้ จากต้นฉบับใบลาน”
“แล้วเณรรูปนั้นเป็นใครละครับ”
“เณรรูปนั้น... อาจจะรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับตำนานมากกว่าหนังสือเล่มนี้”
“ดีเลย แล้วเณรรูปนั้นอยู่ไหนละครับ”
“โอ้โห...โยมเอ้ย ปีๆ นึงมีเณรบวชภาคฤดูร้อนไม่ต่ำกว่า 200 รูป อาตมาจำไม่ได้หรอก”
“พยายามนึกก็นึกไม่ออกเลยเหรอหลวงพ่อ” เจ้าอาวาสพยายามนึก แต่สุดท้ายก็ส่ายหน้า “เอาเถอะ ผมเข้าใจ แต่ถ้าหลวงพ่อนึกออกเมื่อไหร่ ต้องบอกผมเลยนะ”
เจ๊กีเดินเข้ามาเรียกหลวงพ่อเสียงดังตามประสาคนจีน
“หลวงพ่อ...”
“นี่มันวัดนะโยม พูดเบาๆ ก็ได้”
“โทษที อั๊วะไม่รู้ว่ากำลังมีแขก”
“ไม่เป็นไร ไอ้หนูนี่มันกำลังจะกลับแล้ว”
“ลาแล้วหลวงพ่อ”
จันทร์ยกมือไหว้เจ้าอาวาสแล้วเดินออกไป เจ๊กีมองเจ้าอาวาสยิ้มแฉ่ง
เจ๊กีมานั่งคุยกับเจ้าอาวาสในกุฏิ
“โยมมีธุระอะไรล่ะวันนี้”
“อั๊วะจะนิมนต์หลวงพ่อไปเจิมล้างซวยให้ที่บริษัทซักหน่อย”
“มีเรื่องอะไรรึ”
“ก็พวกไอ้พันเทพน่ะสิ ส่งคนมาทำลายรถ บขส.อั๊วเสียหายหมดเลย”
“อาตมาไปเจิมจะช่วยให้ไม่โดนหาเรื่องงั้นรึ”
“อั๊วะก็อยากสบายใจ นี่อาไกรก็จะกลับจากเมืองนอกมาแล้ว ทำบุญต้อนรับลูกชายซะหน่อย”
“ทำเป็นทำบุญขึ้นบ้านใหม่ไปได้”
“ลูกชายอั๊วะเป็นหนุ่มแล้วนา หลวงพ่อจำได้มั้ย”
“เออ...ลูกชายเอ็งมันเคยมาบวชเมื่อหลายปีก่อนนี่นา”
“ใช่แล้วหลวงพ่อ”
“เออ ๆ จำได้ว่ามันหัวดีกว่าใครเพื่อนเลย พระธุดงค์มาปักกลดที่วัดทีไร เจ้านี่เป็นต้องไป
สนทนาธรรมกับเค้า”
“เดี๋ยวนี้ก็ยังฉลาดเหมือนเดิม”
เจ๊กียิ้มภูมิใจลูกตัวเอง
เย็นวันเดียวกันนั้นที่บ้านศรนารายณ์ อบเชยกำลังง่วนเกี่ยวกับการทำกับข้าว ศรนารายณ์แอบมองดูลูกตัวเอง แล้วก็แอบเดินเข้าไปเงียบๆ อบเชยทำกับข้าวนิ่ง เหมือนไม่รู้ว่าศรนารายณ์เข้ามา ศรนารายณ์กำหมัดจะต่อยลูกตัวเองกลางหลัง แต่อบเชยจากที่หันหลังทำกับข้าวก็หลบควับแล้วเอาทัพพีตีข้อมือศรนารายณ์
“เล่นแบบนี้อีกแล้วนะพ่อ”
“ก็แค่จะลองดูว่าที่สอนๆ ไปน่ะได้ฝึกบ้างรึเปล่า”
อบเชยหันไปทำกับข้าวต่อ
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่าพ่อ ชั้นไม่ทำเสียชื่อลูกสาวแชมป์มวย 14 สมัยหรอก”
“บ๊ะ พูดจาถูกใจจริง แล้วนี่ทำอะไรกลิ่นหอมฉุยเชียว”
“มีกลิ่นพริกแกง ปนกับกลิ่นคาวปลาจางๆ แบบนี้ก็มีอยู่อย่างเดียวแหละพ่อ แกงส้มผักรวม”
“โอ๊ย...ใครจะไปจมูกดีเหมือนลูกล่ะที่ดมกลิ่นก็รู้ไปหมดว่ากลิ่นอะไรเป็นกลิ่นอะไร”
“ถ้าพ่อสอนมวยท่าไม้ตายชั้นเมื่อไหร่ ชั้นจะสอนให้ดมกลิ่น”
“ดมกลิ่นน่ะเป็นพรสวรรค์ ใครก็เลียนแบบใครไม่ได้หรอก พ่อรู้ตัวดีว่าเก่งไปซะทุกเรื่องแต่เรื่องจมูกต้องยอมลูกจริงๆ”
“จ้า...คนเก่ง แต่ยังไงพ่อก็ต้องสอนท่าไม้ตายชั้น”
“รอให้ลูกโตกว่านี้ ร่างกายและจิตใจพร้อมกว่านี้ดีกว่า พ่อจะสอนให้”
“นี่ก็โตแล้วนะ”
“ถ้าถึงเวลาแล้วพ่อจะบอกเอง”
อบเชยทำหน้าเซ็งๆ
อีกด้านหนึ่งที่ร้านอาหารไม้เอาจานที่เก็บจากโต๊ะมาใส่ในอ่างล้าง โดยมีเมฆยืนล้างจานที่รับต่อจากไม้
“ขยันจริงนะพี่เมฆ ว่างจากขับรถก็ยังมารับจ้างล้างจานอีก” คนครัวบอก
“อยู่บ้านว่างๆ ก็ไม่ได้ทำอะไรน่ะ” เมฆบอก ขณะนั้นผู้จัดการร้านเดินเข้ามาตามไม้
“ไม้ ไปจัดการห้องน้ำชายหน่อยไป มันตัน”
“ได้ครับ”
“ไม้ไม่ต้องหรอกลูก ไม้ไปเสิร์ฟเถอะ จานตอนนี้ยังไม่เยอะเดี๋ยวพ่อไปจัดการห้องน้ำให้เอง”
“ก็ดีเหมือนกัน แต่เร็วๆ เข้าล่ะ แขกเริ่มมากันแล้ว”
“ครับ”
ไม้มองตามเมฆที่เดินออกไป ตนก็เดินออกไปทำงานเช่นกัน
ที่หน้าร้านอาหารขณะนั้นทิวากับพันเทพและสมุนกำลังเดินเข้ามาในร้านอาหาร
“เดี๋ยวลูกไปรอพ่อที่โต๊ะเลยนะ เดี๋ยวพ่อไปเข้าห้องน้ำก่อน” พันเทพบอกลูกชาย
“ครับพ่อ”
ทิวาและพันเทพต่างเดินแยกกันไป
ทิวาเดินเข้ามานั่งที่โต๊ะ ไม้เดินเอาเมนูมาให้แล้วพูดอาหารแนะนำ
“อาหารแนะนำของเราก็มี แป๊ะซะปลาช่อน ปลาคังนึ่งมะนาว แล้วก็...”
ทิวาเห็นว่าเป็นไม้ก็อารมณ์ขึ้นทันที
“ไอ้ไม้...”
ส่วนที่ห้องน้ำพันเทพเดินเข้ามาในห้องน้ำ เมฆไม่ทันเห็นว่าใครจึงตะโกนออกมาจากส้วม
“แป๊บนึงนะครับ ผมจัดการใกล้จะเสร็จพอดี”
พันเทพเดินมองเข้าไปในห้องส้วม เมฆหันมาสบตากัน
“ไอ้เมฆ”
“พันเทพ”
พันเทพมองที่ปั๊มส้วมที่เมฆถือในมือ
“เดี๋ยวนี้รับดูดส้วมแทนขับรถแล้วเหรอ” เมฆนิ่งไม่ต่อกรด้วยและจะเดินหนีแต่พันเทพยืนขวางไว้ “เดี๋ยวซิ คุยกันซักหน่อยตามประสาคนรู้จักกันหน่อยซิ”
“จะไปทำงานในครัวต่อ ขอตัว”
พันเทพผลักเมฆล้มลง
“เฮ้ย บอกว่าให้อยู่คุยกันก่อนไง ฟังไม่รู้เรื่องเหรอ”
ส่วนที่โต๊ะอาหารขณะนั้นทิวาก็กำลังหาเรื่องกวนประสาทไม้
“ที่นี่ถ้าเด็กเสิร์ฟทำจานแตก หักตังค์รึเปล่า”
“ทำไม”
ทิวาหยิบจานบนโต๊ะทิ้งลงพื้นจนแตกกระจาย
“อุ๊ย!”
ผู้จัดการร้านเดินมาทันที
“เกิดอะไรขึ้นน่ะไม้”
“ก็เด็กเสิร์ฟคนนี้น่ะสิครับ พูดจาก็ไม่ดีแถมพอเอาจานมาให้ผมยังทำแตกอีก ไม่รู้ตั้งใจแกล้งกันรึเปล่า” ทิวาบอก ผู้จัดการร้านมองไม้ดุๆ
“เดี๋ยวเรามีเรื่องต้องคุยกันนะไม้” ผู้จัดการร้านหันหาทิวา “ต้องขอโทษด้วยจริงๆ นะครับ เดี๋ยวผมจะรีบจัดการให้เรียบร้อย”
ไม้นิ่งมองทิวากับสิ่งที่ทำ ผู้จัดการกำลังเคลียร์ไม้กับทิวา
“ชั้นไปทำอะไรให้ ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย”
“ดูซิครับคุณผู้จัดการ เค้าไม่ยอมรับ”
“ไม้” ผู้จัดการร้านมองไม้ดุๆ
“ให้มันคุกเข่าลงขอโทษผม ผมจะไม่เอาเรื่องอะไร”
“แต่...” ผู้จัดการร้านยังเคลียร์เรื่องทิวากับไม้ไม่เสร็จ ก็ได้ยินเสียงเอะอะจากอีกทาง “นั่นอะไรอีกเนี่ย”
ไม้กับทิวาหันมองตาม ผู้จัดการร้านรีบเดินไปดู
ขณะนั้นที่หน้าห้องน้ำพันเทพลากเมฆออกมาจากห้องน้ำแต่เมฆไม่คิดจะสู้จึงนั่งกับพื้น พันเทพใช้เท้าเขี่ยๆ
“อะไร ไม่กล้าสู้หน้าเลยรึไง”
ผู้จัดกการร้านเดินมาเคลียร์
“นี่มีเรื่องอะไรกันครับเนี่ย”
“ก็ไอ้คนๆนี้ มันพูดไม่ดีกับผม บอกว่าถ้าอยากจะเข้าห้องน้ำให้ไปเข้าที่อื่น มันยังทำความสะอาดอยู่”
“เมฆ ทำไมเธอพูดแบบนี้” ผู้จัดการร้านต่อว่าเมฆ
“เอาล่ะ ผมก็ไม่อยากมีเรื่องมีราวอะไร ให้มันกราบเท้าขอโทษผมก็พอ” พันเทพบอก เมฆมองพันเทพเคืองๆ แต่นิ่งไม่ตอบ ไม้และทิวาต่างวิ่งมาเข้าหาพ่อของตัวเอง
“เกิดอะไรขึ้นน่ะพ่อ”
“มีอะไรเหรอพ่อ” ทิวาหันมองเมฆ “ ไอ้เป๋ คนขับรถนี่อีกละ”
พันเทพเห็นไม้ก็ตกใจ
“ไม้...”
ไม้หันไปเห็นพันเทพจึงมองด้วยสายตาแข็งกร้าว
“พันเทพ พ่อชั้นไปทำอะไรให้อีกล่ะ”
“ไม่ใช่เรื่องของเด็ก” พันเทพบอกแล้วหันมองเมฆ “ว่าไง จะกราบเท้าขอโทษชั้นมั้ย”
“นี่มันอะไรกันน่ะพ่อ ทำไมต้องให้กราบกันด้วย”
“งั้นก็ดีเลย ให้พ่อไอ้เป๋นี่มันกราบผมแทนลูกของมันที่ทำมารยาทไม่ดีกับผมด้วยทีเดียวเลยก็แล้วกัน”
“ถ้าทำทุกอย่างจะจบใช่มั้ย” เมฆถามเสียงเรียบ
“พ่อ...”
เมฆพนมมือขึ้นจะกราบ ไม้ห้ามเอาไว้
“พ่อไม่ต้อง เดี๋ยวชั้นทำเอง”
ไม้มองทิวาและพันเทพอย่างเจ็บใจที่ทำอะไรไปไม่ได้กว่านี้ เขาค่อยๆ พนมมือก้มลงกราบ เมฆสะเทือนใจ ส่วนทิวาสะใจ น้ำตาลูกผู้ชายของไม้ไหลออกมา
อ่านต่อหน้า 4
ลูกผู้ชายไม้ตะพด ตอนที่ 1 (ต่อ)
ท่ามกลางความมืดกลางดึกคืนนั้น ไม้นอนตะแคงหันหลังให้เมฆ น้ำตาไหลออกมา ทั้งเก็บกด ทั้งเจ็บใจกับเรื่องที่ได้เจอมา แม้ไม้จะเอาผ้าอุดปากไว้ไม่ให้พ่อตนได้ยิน แต่เมฆก็รู้ได้ถึงความทุกข์ของลูกชาย
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นที่บ้านพันเทพ ทิวายังสะใจไม่หายที่เห็นไม้ก้มลงกราบเท้าตนและพ่อ ส่วนพันเทพรู้สึกวังเวงอย่างประหลาดที่ได้เห็นภาพนั้น
“สะใจจริงๆ เลยพ่อ ที่สุดท้ายไอ้ไม้มันก็ก้มลงกราบพวกเรา” พันเทพยิ้มกับลูก “เสียดายไม่ได้ถ่ายคลิปไว้ ไม่งั้นจะเอาไปประจานให้ทั่วเลย”
“พอเถอะ”
“พ่อไม่สะใจรึไง พ่อไม่ชอบขี้หน้าพวกรถบขส.ไม่ใช่เหรอ”
“สะใจสิ แต่พ่อว่าลูกควรไปนอนได้แล้วนะ นี่ก็เลยเวลานอนมามากแล้ว”
“โอเคครับพ่อ คืนนี้ผมคงนอนหลับฝันดีแน่ๆ”
ทิวาเดินอารมณ์ดีออกไป พันเทพมองตามทิวาเดินออกไปจากห้อง พอทิวาพ้นห้องไป พันเทพก็ยกหูโทรศัพท์ขึ้นมาทันที
“ตกลงไม้ลูกของไอ้เมฆมันเป็นยังไงมั่ง…ไม่เป็นอะไรก็ดี…วันหลังเกิดเรื่องอะไรแบบนี้ต้องบอกชั้นเร็วกว่านี้ เข้าใจมั้ย ไม่ใช่ให้ชั้นทะเล่อทะล่าเข้าไปในร้านที่ไม้ทำงานอยู่ …สะกดรอยห่างๆ ก็พอ ถ้ามันมีท่าทีเรื่องไม้ตะพดวิญญาณเมื่อไหร่ รีบบอกชั้น”
พันเทพวางหูโทรศัพท์แล้วหยิบรูปไม้ขึ้นมาจากสมุดที่วางไว้ในลิ้นชัก ทอดถอนใจ
วันต่อมาที่บ้านเมฆ บรรยากาศในโต๊ะกินข้าวเงียบจนน่าอึดอัด ไม้กินข้าวเสร็จก็ลุกขึ้น
“เดี๋ยววันนี้ผมไปช่วยอาศรที่โรงน้ำแข็งนะครับ”
ไม้กำลังจะเดินออกไป เมฆเรียกไว้
“ไม้...ขอบใจมากนะลูก สำหรับเรื่องเมื่อคืน” ไม้พยักหน้ารับแกนๆ จะเดินออกไป “ถ้าลูกอยากเรียนมวยกับลุงศร...ก็ได้นะ”
ไม้ดีใจขึ้นมาทันที
“จริงเหรอครับพ่อ พ่อพูดจริงๆ นะ” เมฆยิ้ม พยักหน้ารับ “ขอบคุณนะพ่อ ขอบคุณ”
ไม้รีบวิ่งออกจากบ้านอย่างดีใจ เมฆไม่ค่อยสบายใจนักที่อนุญาตให้ลูกเรียนมวย
ที่โรงน้ำแข็งขณะนั้นศรนารายณ์กำลังขนน้ำแข็ง โดยมีอบเชยนั่งอ่านหนังสืออยู่บนม้านั่ง
“วันนี้อากาศมันร้อนจริงๆ”
“แบบนี้น้ำแข็งไม่ละลายหมดเหรอพ่อ”
“ก็ต้องรีบขน รีบส่ง ให้เสร็จ”
“ไหนไม้ว่าจะมา ไม่เห็นมาซักที”
พออบเชยพูดจบ ไม้ก็วิ่งหน้าบานเข้ามาในโรงน้ำแข็ง
“มาพอดีเลยไม้ มาช่วยกันขนเร็ว อากาศร้อนแบบนี้เดี๋ยวละลายหมด”
“อาศร”
“อะไร ดีใจเรื่องอะไรมา ยิ้มร่าเชียว”
“พ่ออนุญาตให้ชั้นเรียนมวยกับอาศรแล้ว”
“จริงเหรอไม้ ดีใจจังเลย” อบเชยบอกอย่างดีใจ
“ไปทำอีท่าไหนถึงอนุญาตได้”
“ชั้นก็ไม่รู้เหมือนกัน”
ขณะที่ทุกคนกำลังดีใจ สมุนของพันเทพสี่คนเดินเข้ามาในโรงน้ำแข็ง
“ศรนารายณ์ คุณพันเทพให้มาเชิญแกไปที่บ้านหน่อย”
สมุนคนหนึ่งบอก ไม้ อบเชย ศรนารายณ์มองหน้ากันงงๆ
“มีเรื่องอะไร” ศรนารายณ์ถาม
“อยากรู้ก็ต้องเข้าไปคุยเอง”
“แล้วถ้าไม่ไป”
“ก็จะทำให้ไปให้ได้น่ะสิ”
“อบเชย พาไม้หลบไป” ศรนารายณ์บอกลูกสาว จากนั้นก็ไม่สนใจสมุนพันเทพอีก ขนน้ำแข็งต่อไป
“งั้นพวกเรา ลุย!”
สมุนทั้งสี่คนเข้ารุมศรนารายณ์ ศรนารายณ์สู้ทั้งๆ ที่ทำงานไปด้วย มือนึงแบกน้ำแข็งไปไว้วางบนรถ อีกมือต่อยตีกับ 4 คน โดยมีไม้ยืนดูอยู่
“เท่ไปเลย ไม่มีเหตุผลอะไรเลยว่าอาศรจะไม่ใช่ลูกผู้ชาย”
อบเชยลากไม้มาหลบ
“ไปเร็วไม้ เดี๋ยวก็โดนลูกหลงหรอก”
ศรนารายณ์สู้กับสมุนพันเทพทั้งสี่อย่างเท่ บางทีก็ตีลังกาหลบแล้วเอาน้ำแข็งไปวางบนรถได้พอดี บางทีก็เขวี้ยงน้ำแข็งโดนสมุน แล้วชิ่งไปวางบนรถพอดี การต่อสู้จบน้ำแข็งบรรทุกเต็มรถพอดี สมุนทั้งสี่แพ้อย่างราบคาบ
“งั้นบอกเจ้านายพวกแกละกันว่าวันนี้ชั้นยุ่ง ต้องทำงานถ้าอยากเชิญชั้นจริงๆ ให้มาด้วยตัวเอง”
ศรนารายณ์ขึ้นรถไปส่งน้ำแข็ง ทิ้งสมุนกระเผลก ร้องโอดโอย
อบเชยนึกสงสัยที่คนของพันเทพมาบุกที่โรงน้ำแข็ง
“ทำไมพันเทพถึงอยากพบกับพ่อล่ะ”
“นั่นสิ ร้อยวันพันปีมีแต่มาหาเรื่อง”
“ต้องมีเรื่องอะไรผิดปกติแน่ๆ เลย”
อบเชยไม่คลายสงสัย
สมุนทั้งสี่กลับมาหาพันเทพที่บ้านพร้อมกับร้องโอดโอยมาแต่ไกล
“เจ้านายครับ มันไม่ยอมมาครับ”
“ชั้นเห็นสภาพพวกแกชั้นก็พอเดาได้”
“มันบอกว่าถ้าอยากให้มันมา เจ้านายต้องไปเชิญมันด้วยตัวเองครับ”
“ดี ใจถึงดี สมแล้วที่เป็นคนที่เก่งการต่อสู้ที่สุดในเมืองเรา”
“เจ้านายจะเอายังต่อละครับทีนี้”
“ชั้นจะไปเชิญมันเอง”
สีหน้าพันเทพมั่นใจ มีรอยยิ้มที่มุมปาก
ที่ท่ารถบขส.ขณะนั้นเจ้าอาวาสกำลังเดินเจิมรถแต่ละคันในอู่ โดยมีเจ๊กีเดินประกบ เมฆ ไม้ ชาญ คอยเดินตามเผื่อมีอะไรให้ช่วยเหลือ
“คนไหนล่ะลูกชายโยมที่บอกกลับมาจากต่างประเทศ” เจ้าอาวาสมองไปที่ชาญ “คนนี้เหรอ”
“ตาถึงจริงๆ ครับหลวงพ่อ” ชาญบอก
“โกหกพระโกหกเจ้าบาปนะ”
“ตกลงไม่ใช่เหรอ”
“จะใช่ได้ยังไง นี่เด็กรถหลวงพ่อ ลูกชายอั๊วะน่ะ หล่อ เท่กว่านี้เยอะแยะ” เจ๊กีบอกแล้วชะเง้อมองหา “เดี๋ยวก็คงมา”
รถเก๋งคันงามจอดเทียบ ทุกคนต่างหันไปมองเป็นตาเดียว ชายที่ลงมาจากรถช่างสง่างาม ผิวพรรณดี สมกับเป็นลูกคนมีเงิน คนในท่ารถถึงกับตะลึง
“นั่นไง มาโน่นแล้ว”
ไกรส่งยิ้มให้เจ๊กีแล้วเดินสง่ามาหา
“เฮ้ย…นั่นมันทำบุญด้วยอะไรวะน่ะ คงไม่ใช่ขมิ้นหรอกนะ”
ไกรยกมือไหว้เจ้าอาวาส
“นิมนต์ครับท่านเจ้าอาวาส สวัสดีครับทุกคน”
“ชิ ทำเป็นเป็นมิตร แสนดี” ชาญต่อว่า
“ใครจะเหมือนลื๊อล่ะ ปากหมา มารยาท” เจ๊กีต่อว่าชาญ
“โตเป็นหนุ่มแล้ว อาตมายังจำภาพตอนเป็นเณรในวัดได้อยู่เลยนี่จบอะไรมาละเนี่ย”
“บริหารธุรกิจครับ แต่ทำงานพิเศษด้วยเป็นครูสอนโยคะ”
“โยคะนี่ดีนะ ฝึกสติ ฝึกสมาธิ”
“ดีตรงไหน อ้อยอิ่งจะตาย”
ระหว่างคุยกัน อบเชยเดินเข้ามาพร้อมศรนารายณ์
“นี่ทุกคน ชั้นทำกับข้าวมาแล้ว ไปกินกัน”
อบเชยเดินเหยียบโคลนที่อยู่ตรงนั้นพอดี เสียหลักลื่น แล้วเป็นไกรที่วิ่งเข้าไปรับอบเชยไม่ให้ล้ม อย่างเท่
“เป็นอะไรรึเปล่าครับ”
คนอื่นๆ ตะลึงในความเท่ของไกร อบเชยเขินๆ
“ขอบคุณ”
อบเชยเดินหน้าแดงออกไป ไม้มองตามอบเชย ชาญมองไกรอย่างหมั่นไส้ ศรนารายณ์ยิ้มหวานให้เจ๊กี
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะเจ๊กี”
“เป็นอะไร ทำไมอั๊วะต้องเจอลื้อด้วย”
“นั่นแน่ คิดถึงแต่ทำปากแข็ง”
“เดี๋ยวปั๊ดซัดให้”
เจ๊กีทำท่าจะซัดศรนารายณ์ ทุกคนมองขำๆ
อบเชยมายืนแอบอายอยู่บริเวณซากรถเก่า ไม้เดินตามมา
“ชอบละสิ หล่อๆ แบบนั้นน่ะ”
“อะไร”
“ก็ไกรลูกชายเจ๊กีที่ช่วยเธอเมื่อกี้ไง”
“แล้วไง”
“ชั้นเห็นเธออายหน้าแดงเลย”
“แล้วทำไม คนพลาดไปล้มต่อหน้าคนอื่น ก็ต้องอายอยู่แล้ว”
“อย่ามาปากแข็งเลย”
“แล้วมันจะทำไม”
“ก็ไม่อะไรนี่”
“ไม่อะไรแล้วเดินตามมาพูดเรื่องไร้สาระแบบนี้ทำไม”
“ก็แค่จะบอกว่า ดีแล้วที่ชอบคนที่เค้าปกป้องเธอได้แถมหล่ออีกต่างหาก”
“ไปกันใหญ่แล้วเนี่ย”
ไม้เดินไม่พอใจออกไป อบเชยมองตามงงๆ
ขณะนั้นคนขับรถจับกลุ่มยืนคุยกัน ชาญเดินเข้าไปคุยด้วยมีไม้เข้าไปสมทบ
“คุยอะไรกันน่ะพี่”
“ก็รถที่จะวิ่งรอบบ่ายน่ะสิ มาเสียพร้อมกันทั้ง 2 คันเลย แล้วไอ้เด็กที่คอยซ่อมก็ดันมาลาวันนี้ซะด้วย”
จันทร์เดินเข้ามา
“มีอะไรกันเหรอ”
“อ้าว จันทร์มายังไง” ไม้ถามอย่างแปลกใจ
“ผ่านมาแถวนี้เลยแวะมา มีปัญหาอะไรกันอยู่เหรอ”
“ไม่ใช่ปัญหาของเอ็งก็แล้วกัน ไอ้หน้าจืด” ชาญบอก
“นี่คราวที่แล้วยังไม่เคลียร์เลยนะ อยากจะลองอีกรอบมั้ยล่ะ”
“นี่...เค้าให้มาช่วยกันแก้ปัญหา จะมาสร้างปัญหากันทำไม”
จันทร์กับชาญมองกันเขม็ง แต่ก็ใจเย็นลง
“ตกลงมีเรื่องอะไร”
“รถรอบบ่ายเสียทั้งสองคันเลย ไม่มีคนซ่อม” ไม้บอก
“ให้ชั้นดูให้มั้ยล่ะ”
จันทร์กับชาญบอกออกมาพร้อมกัน จันทร์ กับชาญ มองหน้ากันที่พูดพร้อมกันโดยบังเอิญ
“แกสองคนซ่อมรถเป็นรึไง” คนขับรถพาม
“ก็พอเป็นอยู่บ้าง” ชาญบอก
“บ้านชั้นเป็นอู่ซ่อมรถ” จั้นทร์บอก
“ก็ดี งั้นซ่อมกันคนละคันไปเลย แต่เครื่องมือมีชุดเดียวนะ”
ชาญกับจันทร์มองหน้ากัน...เหมือนเป็นการท้าประลองกลายๆ
“ถ้าคิดเหมือนกันอยู่ละก็...ได้เลย” จันทร์บอกกับชาญ
“คิดอะไร ได้อะไร ไปคุยกันตอนไหน” ไม้ถามอย่างแปลกใจ
“ได้...ใครซ่อมเสร็จก่อน ชนะ” ชาญบอก
“ตามนั้น”
“เฮ้ย...”
จันทร์กับชาญต่างแยกไปที่รถคนละคัน คนขับรถเอาอุปกรณ์ซ่อมที่มีชุดเดียววางไว้ตรงกลาง จันทร์กับชาญต่างตรวจดูจุดที่เสีย แล้วรีบมาจะหยิบอุปกรณ์ซ่อม จันทร์เกือบจะเอื้อมมือไปถึง ชาญขว้างกระบอกตั๋วใส่มือจันทร์ที่กำลังจะหยิบ แล้วชาญชิงหยิบประแจไปได้ก่อน ชาญยิ้มแล้วเอาประแจไปใช้ จันทร์เจ็บใจ หยิบอย่างอื่นมามาทดแทน จันทร์ใช้คีมมาหมุนน็อตแทนแต่ก็ไม่ถนัดจึงหยิบน็อตจากกระเป๋าเสื้อตนดีดใส่มือชาญ ชาญทำประแจร่วง จันทร์ไปคว้ามาใช้ก่อน ชาญเจ็บใจ การซ่อมรถดำเนินไปอย่างประชันฝีมือ แย่งอุปกรณ์ซ่อมรถด้วยทักษะแต่ละคน ชิงกันไปชิงกันมา คนที่ดูต่างก็ลุ้นกันใหญ่ บางทีมีลักษณะคล้ายงัดข้อ คนนึงถืออะไหล่ที่จะซ่อมไว้ในมือจะใส่รถตัวเองแล้ว อีกฝ่ายง้างมือมาใส่รถของตน แล้วขันน็อตล็อค แบบมือนึงซ่อมไป อีกมือนึงก็ขัดขวางอีกคน ดูตลกและตื่นเต้น
อีกด้านหนึ่งของท่ารถขณะนั้นเมฆ ศรนารายณ์ ไกร และเจ๊กีเดินคุยกันมา
“ได้พระมาเจิมหน่อย อย่างน้อยก็สบายใจ ว่ามั้ย” เจ๊กีบอก
“สิ่งที่ดีเกิดมาจากความสบายใจครับ”
“แต่บางคนก็สามารถสร้างความสบายใจให้ได้นะ” ศรนารายณ์บอกแล้วยักคิ้วให้เจ๊กี
“พี่ศรเกรงใจลูกเค้าบ้าง”
“จะต้องเกรงใจทำไม คนกันเองทั้งนั้น ถ้าไกรอยากเรียกว่าพ่อก็ได้นะ”
“น้อยๆ หน่อย”
ไกรยิ้มรับ ไม่ถือสา แต่ตายังมองหาอบเชย
“ผู้หญิงคนเมื่อกี้ไปไหนซะแล้ว”
“อ๋อ อบเชยนะเหรอ เรียกว่าน้องก็ได้...อีกหน่อยก็ต้องเป็นพี่น้องอยู่ดี” ไกรหัวเราะ“อบเชยมันทำกับข้าวเก่งมากนะ ถ้าได้กินฝีมือมันแล้วจะติดใจ”
“จริงเหรอครับ”
“ก็เงี้ยแหละเด็กมันไม่มีแม่ ก็ต้องพึ่งตัวเองตลอด นอกซะจาก...” ศรนารายณ์ไม่พูดต่อแต่มองหน้าเจ๊กีแทน
“นี่ลื้อพูดอะไรของลื้อ เก๊กซิมจริงๆ”
ไกรหันไปเห็นคนกำลังมุมบางอย่าง
“นั่นตรงนั้นเค้าทำอะไรกันน่ะ”
ศรนารายณ์ เจ๊กี เมฆ หันไปมองทางเดียวกัน
การประลองซ่อมรถของจันทร์ และชาญเดินทางมาถึงโค้งสุดท้าย จันทร์ขึ้นไปสตาร์ทรถโดยมีเด็กรถ คนขับรถ รอลุ้นอยู่ เจ๊กี ไกร เมฆ ศรนารายณ์เดินเข้ามาเสริม จันทร์ขึ้นไปสตาร์ทรถ ลุ้นมาก ปรากฏว่า...ไม่ติด ชาญหัวเราะเสียงดัง
“กระจอก เนี่ยนะที่บอกว่าที่บ้านเป็นอู่ซ่อมรถ” ชาญขึ้นไปสตาร์ทรถที่ตนซ่อมบ้าง “เดี๋ยวจะทำให้ดูว่ามือคนละชั้นเป็นยังไง”
ชาญสตาร์ทดังแชะ ไม่ติดเหมือนกัน ชาญเสียหน้า จันทร์หัวเราะ ตะโกนล้อผ่านหน้าต่างรถ
“ก็กระจอกเหมือนกันแหละวะ”
คนโห่กันใหญ่ ไกรเดินออกไปท่ามกลางรถทั้งสองคัน
“เสียงสตาร์ทเป็นแบบนี้เหมือนจะเป็น...”
ไกรเดินไปที่ห้องเครื่องด้านหลังรถ
คนแห่เดินตามไกรไปดูว่าจะทำอะไร ไกรเอามือล้วงไปในห้องเครื่องรถคันของจันทร์ ขยับอะไรนิดหน่อย
“ขอลองสตาร์ทอีกทีนะ”
จันทร์สตาร์ทรถ ปรากฏว่าติดขึ้นมาทันที คนตาโตในความสามารถของไกร ไกรเดินไปที่รถของชาญ เอามือเข้าไปล้วงในห้องเครื่องอีกที
“น่าจะไม่มีปัญหาแล้วนะ ลองสตาร์ทดู”
ชาญลองสตาร์ทรถอีกที รถก็ติดขึ้นมาอีก คนร้อง “โอ้โห” พร้อมกันใหญ่ เจ๊กีภูมิใจในความสามารถลูกตัวเอง
“ซ่อมเครื่องยนต์ก็เป็นด้วยเหรอเนี่ย” เมฆถามอย่างแปลกใจ
“ก็ผมต้องมาดูแลกิจการต่อจากม๊านี่ครับ เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็ต้องมีความรู้ติดตัวไว้บ้าง”
ศรนารายณ์ปรบมือให้ไกร
“ไม่ธรรมดาเลย จริงๆ ชั้นได้ยินเสียงชั้นก็รู้แล้วล่ะว่ารถมันเสียตรงไหน แต่ชั้นอยากให้ไกรได้โชว์
ความสามารถบ้าง”
ชาญกับจันทร์เดินลงมาจากรถมองหน้ากัน ไม่ค่อยพอใจนัก ไม้เดินเข้ามา
“ลูกเจ๊กีโคตรเก่งเลยว่ะ”
“แค่มาขยับอะไหล่ที่หลวมนิดหน่อย ได้หน้าไปเลยนะ”
“มันชักจะมากไปแล้วนะไอ้นี่”
อบเชยเดินเข้ามาแทรกกลางวง
“ทำอะไรกันอยู่เนี่ย ข้าวปลาไม่กินกันแล้วใช่มั้ย ชั้นยืนรอตักข้าวให้ตั้งนานแล้ว”
ไกรเดินมาหาอบเชย
“กินสิ หิวจะแย่ ได้ข่าวว่ากับข้าวฝีมือเธออร่อยมากด้วย”
อบเชยเขินๆ ไกร ไม่กล้าสบตา
“ใครจะกินก็ตามมาก็แล้วกัน ไม่งั้นเหลือจะเทให้หมากินให้หมดเลย”
อบเชยเดินนำทุกคนไป มีไกรเดินตาม คนอื่นๆ ก็ทยอยกันตามไปกินข้าว เหลือแต่ไม้ ชาญ จันทร์
“มาวันเดียว ไม่เหลือที่ยืนให้เราเลย”
“อบเชยของชั้นก็ดูท่าจะหลงคารมมันไปด้วยอีกคน”
“เฮ้ย...อบเชยเป็นของนายตั้งแต่เมื่อไหร่” ไม้ถามอย่างแปลกใจ
“ก็ตั้งแต่วันที่ชั้นเห็นครั้งแรกนั่นแหละ”
“อ้าว”
“ก็แกไม่ชอบไม่ใช่เหรอ เห็นกัดกันไปกัดกันมา”
“ก็ไม่ได้อะไรนี่ แค่ถามดู”
“แต่ตอนนี้ เหมือนอบเชยจะเป็นของไอ้ไกรไปแล้ว”
ไม้มองตาม แอบหวงอยู่ลึกๆ ในใจ
อบเชยยืนตักกับข้าวให้ทุกคน คนรถ คนขับรถต่อแถวกันยาว พอถึงคิวไกร อบเชยไม่ค่อยกล้าสบตานัก
“จะกินอะไร”
“อะไรอร่อยก็กินอันนั้นแหละ”
ยังไม่ทันที่อบเชยจะตัก ไม้มาจากไหนไม่รู้ ตักแกงราดให้ไกรซะงั้น
“อ่ะ อันนี้ไม่ค่อยอร่อยหรอก แต่เดี๋ยวมันจะเหลือ” อบเชยกับไกร งงๆ หันไปมองหน้าไม้ “มองอะไร...ก็กินได้เหมือนกันแหละ”
ไกรเดินถือชามข้าวออกไปงงๆ จันทร์มาตักข้าว มองหน้าไม้
“แรง”
ไม้ทำไม่รู้ไม่ชี้ไม่สนใจ
“จะช่วยตักก็มาช่วย ยืนเฉยอยู่ได้”
อบเชยว่าไม้ ไม้เก้ๆ กังๆ จำต้องมายืนช่วยอบเชยตัก
เวลาผ่านไปทั้งหมดนั่งกินข้าวด้วยกัน
“บอกตรงๆ ชั้นไม่ชอบขี้หน้าลูกเจ๊กีนี่เลยว่ะ” ชาญบอก
“ไม่ต้องบอกใครก็รู้ แสดงออกขนาดนั้น” จันทร์บอก
“แต่ชั้นไม่ชอบขี้หน้าแกมากกว่านะ”
“ชั้นก็ไม่ได้พิศวาสแกซะหน่อย”
“หรือจะเอา”
“ก็เอามั้ยล่ะ”
“พอแล้ว เมื่อกี้เพิ่งแพ้มาทั้งคู่ยังไม่เข็ดอีกรึไง” ไม้ขัด
“ไอ้ไกรมันเลยกลายเป็นพระเอกเลย”
“ก็เค้าดูเป็นพระเอกจริงๆ นี่” อบเชยบอก ทุกคนหันควับไปมองอบเชย อบเชยงงที่ทุกคนมอง
“ก็หรือไม่จริง หล่อก็หล่อ เท่ก็เท่ บ้านมีตังค์ แถมเก่งอีกต่างหาก แบบนี้ไม่ใช่พระเอกรึไงล่ะ”
“เราเสียเอกราชโดยสมบูรณ์แล้วจริงๆ”
“พวกนายก็แค่อิจฉาเค้าเท่านั้นแหละ” ไม้ไม่ค่อยพอใจลุกเดินออกไปจากโต๊ะ “ไม้เป็นอะไร”
อบเชยลุกตามไม้ไป เหลือจันทร์กับชาญ
“ไอ้นี่มันพูดน้อย แต่แสดงออกแรงตลอด”
“ไม่มีชั้นเชิงเอาซะเลย”
จันทร์กับชาญเผลอมามองหน้ากัน แล้วต่างคนก็ต่างหันหลังให้กัน กินข้าวต่อไป
อ่านต่อตอนที่ 2 เวลา 18.00 น.