ตอนที่ 13 ได้มีการเพิ่มเติมเพื่อความสมบูรณ์ตรงตามบทโทรทัศน์ทางช่อง 7 สี ตัวหนังสือสีแดงคือเรื่องราวที่เพิ่มเติมใหม่
มาหยารัศมี ตอนที่ 13
มะลิชวนเพ็ญประกายออกมาคุยกันนอกตัวบ้าน สองคนเดินคุยกันมาท่ามกลางบรรยากาศสวยร่มรื่น บริเวณสนามหญ้าบ้านมะลิ เพ็ญประกายตอบคำถามหญิงชรา
“เพ็ญไม่มีอะไรจริงๆ ค่ะ”
มะลิทอดยิ้มมองอย่างอ่อนโยน เปี่ยมเมตตา บอกอีก “ก็..ถ้าแม่เพ็ญไม่สบายใจที่จะบอกป้า ก็ไม่เป็นไร...”
เพ็ญประกายมองมะลิแบบหวั่นไหว ไม่มั่นใจ “ตอนนี้เพ็ญไม่น่ารักจริงๆหรือคะ?”
มะลิยิ้มเยื้อนมองอย่างอ่อนโยน พร้อมกับจับมือเพ็ญประกายมากุมไว้ “น่ารักแต่เมื่อก่อนน่ารักมากกกก...ป้าจำภาพแม่เพ็ญได้หมดทุกภาพเลยนะ ตอนเล็กๆ แม่เพ็ญจะจูงมือแรมมาหาป้าที่บ้าน ชวนกันมาทานขนม อ้อ! มานวดให้ป้าด้วย มือเล็กๆ แต่หนักชะมัดเลย เพ็ญรักแรมมาก แล้วแรมก็รักเพ็ญมาก”
คำพูดอ่อนโยนของมะลิพูด กระตุ้นสำนึกฝ่ายดีของเพ็ญประกายขึ้นมาจางๆ
เพ็ญประกายน้ำตารื้นขึ้นมา เมื่อคิดถึงตามภาพเก่าๆ มะลิบอกต่อ
“ป้าอยากให้เพ็ญกับแรมรักกันเหมือนเดิมนะลูก.... ไม่ใช่แค่แรม..ป้าเชื่อว่าเพ็ญก็จะมีความสุขเหมือนกันจ้ะ”
เพ็ญประกายนิ่งฟังน้ำตารื้น หน้าจ๋อย
ค่ำนั้นเพ็ญประกายเดินครุ่นคิดมาตามทาง สำนึกดีเลวตีกันไปหมด เสียงอ่อนอุ่นของป้ามะลิดังก้อง
“ป้าจำภาพแม่เพ็ญได้หมดทุกภาพเลยนะ ตอนเล็กๆ แม่เพ็ญจะจูงมือแรมมาหาป้าที่บ้าน ชวนกันมาทานขนม อ้อ!!มานวดให้ป้าด้วย มือเล็กๆแต่หนักชะมัดเลย เพ็ญรักแรมมาก แล้วแรมก็รักเพ็ญมาก”
ภาพวัยเด็กของเพ็ญประกายกับเดือนแรม ตอนเล่นด้วยกันผุดขึ้นมาตอกย้ำ
เพ็ญประกายร้องไห้ออกมา นึกถึงวาจาของมะลิ
“ป้าอยากให้เพ็ญกับแรมรักกันเหมือนเดิมนะลูก.... ไม่ใช่แค่แรม..ป้าเชื่อว่า
เพ็ญก็จะมีความสุขเหมือนกันจ้ะ”
เพ็ญประกายร้องไห้ออกมาอีก คิดทบทวนในใจ เหมือนได้คำตอบแล้วในใจ
“ตอนที่เราไม่รู้จักคุณชาย เราไม่เคยมีทุกข์เลย แต่เมื่อคิดว่าชีวิตจะต้องมีคุณชายทำไมต้องเป็นทุกข์ขนาดนี้ แล้วเรายังอยากจะมีคุณชายอีกทำไม?”
จันทราเดินเข้ามาเห็นลูกสาวร้องไห้ก็ตกใจ “ร้องไห้อีกแล้ว เป็นอะไรอีกล่ะ มาหยารัศมี”
เพ็ญประกายร้องไห้ หันมาบอกแม่น้ำตานองหน้า
“เพ็ญคือเพ็ญประกายค่ะคุณแม่ ไม่ใช่มาหยารัศมี”
จันทราตกใจยิ่งกว่าถูกผีหลอก ก่อนจะเปลี่ยนเป็นโกรธเกรี้ยว “เพ็ญประกาย”
จันทราผลักเพ็ญประกายเข้าไปในห้อง ด่าอย่างกราดเกรี้ยว
“นี่เป็นบ้าขึ้นมาอีกแล้วใช่มั้ย? บอกมา นังป้ามะลิ มันเสี้ยมอะไรแก?”
เพ็ญประกายบอกทั้งน้ำตา “คุณป้าไม่ได้เสี้ยมค่ะ แต่คุณป้าพูดให้เพ็ญได้คิด และมันก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้นเลย ที่ลูกกับแรม จะทะเลาะกันเพราะผู้ชาย”
จันทราแว้ดใส่ “นังแรมมันไม่ใช่น้องแก มันเป็นแค่เด็กเก็บมาเลี้ยง มันไม่ใช่มณีกุล แล้วแกจะปล่อยให้มันชุบมือเปิบจากแกไปทุกอย่างได้ยังไง?”
เพ็ญประกาย รู้สึกสับสนขึ้นมาอีก “ถึงแรมจะไม่ใช่มณีกุล แต่แรมก็เคยรักเพ็ญ เพ็ญก็เคยรักแรม เราเคยรัก เคยดูแลกัน”
“ก็ขนาดแกเคยรัก เคยดีกับมัน แต่พอมีคุณชายเข้ามา มันก็ทำร้ายแก แย่งคุณชายไปจากแก นี่เหรอน้องที่รักแก?” จันทราเสี้ยมอีก
เพ็ญประกายอึกอัก ความรู้สึกดี-เลว ตีกันอีกแล้ว “เพ็ญ…”
“ไม่ต้องแก้ตัวแทนมัน ถ้านังแรมมันเห็นแกเป็นพี่ มันไม่เที่ยวให้ท่าคุณชายหรอก ป่านนี้แกก็แต่งงานกับคุณชายไปแล้ว นี่มันร้ายกับลูก..แล้ว”
จันทราเสี้ยม ดวงตาของเพ็ญประกายเปล่งประกายวาบขึ้นมาอีก จันทราสำทับ
“ถ้าเป็นลูกแม่ อย่าอ่อนแอให้แม่เห็น จำเอาไว้ คนอ่อนแอ ไม่มีทางชนะเด็ดขาด”
จันทราพูดเสี้ยม และได้ผลทันตาสีหน้าเพ็ญประกาย เครียดขึ้งโกรธเดือนแรมขึ้นมาอีก
ที่สตูดิโอในบริษัทธิติรัตน์วันต่อมา มีการถ่ายทำโฆษณาชิ้นใหม่ เดือนแรมเป็นแบบ และกำลังนั่งแต่งหน้า ทำผมอยู่ ธิติรัตน์ยืนอยู่อีกมุมหนึ่ง ทอดสายตามองเดือนแรมตลอดเวลา นัยน์ตาบ่งบอกชัดเจนว่าทั้งรักและห่วงใย
ด้านเจ๊กอไก่หัวเราะร่าเริงอย่างมีความสุข จ๊ะจ๋าอยู่กับศรัณย์ และวีระ
“ก็ยังว่าอยู่ ทำไมช่วงนี้หายๆ ไป ขอบคุณนะคะที่เรียกใช้กัน....” เจ๊กอไก่ยิ้มระรื่น
“ก็ไม่เจอกันนานๆ คิดถึงน่ะครับ!” วีระว่า
เจ๊กอไก่ดี๊ด๊า ถามอย่างดีอกดีใจ “คิดถึงเจ๊กอไก่?”
“เปล่าครับคิดถึงน้องแรม” วีระว่า
เจ๊กอไก่หน้าคว่ำ “ซะงั้น”
ทุกคนฮากันครืน รับภาพเพ็ญประกายเดินเข้ามา แต่ไม่มีใครเห็น ศรัณย์พูดต่อ
“ก็คิดถึงทั้งเจ๊กอไก่แล้วก็น้องแรมน่ะครับ คนเคยทำงานด้วยกัน ถ้ามีโอกาสยังไงก็ต้องคิดถึงกันก่อนคนอื่นอยู่แล้ว”
“ว่ามั้ยชาย?” วีระเย้าธิติรัตน์
ธิติรัตน์ที่กำลังมองเดือนแรมเพลินอยู่ ถึงกับสะดุ้ง ตอบ “ฮื่อ!!”
เพ็ญประกายเดินยิ้มหวาน แต่ตาดุแข็งเดินเข้ามา “แล้วคิดถึงว่าที่คู่หมั้นอย่างมาหยาบ้างมั้ยคะ?”
ทุกคนหันมามอง เดือนแรมตกใจ เพ็ญประกายทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เดินเข้าไปคล้องแขนธิติรัตน์อย่างสนิทสนม เหมือนจะประกาศตัวเป็นเจ้าของ
“มาหยาคิดถึงคุณชายม้ากมากค่ะ”
ครู่ต่อมาธิติรัตน์เดินหน้าเคร่งเข้ามาในห้องทำงาน เพ็ญประกายเดินตามเข้ามา หน้าจ๋อย ปิดประตูลง
“เมื่อกี้มาหยายังเห็นคุณชายยิ้มมีความสุขอยู่เลย แต่ทำไมเห็นหน้ามาหยาแล้วคุณชายทำหน้าแบบนี้คะ?”
“ผมกำลังทำงานอยู่”
“แล้วทำไมคะ? เวลาทำงาน มาหยามาหาคุณชายไม่ได้”
ธิติรัตน์พยายามคุมอารมณ์อย่างใจเย็น อธิบาย “ก็ผมทำงาน”
“คุณชายก็ทำงานไปสิคะ มาหยาไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยว วุ่นวาย ตอนคุณชายทำงานซะหน่อย มาหยาก็อยู่เฉยๆ”
“แต่ผมไม่อยากให้คนนอกที่ไม่ใช่ทีมงานเข้าไปข้องเกี่ยว”
เพ็ญประกายหน้าเสีย “คุณชายเห็นมาหยาเป็นคนนอก”
“แล้วคุณมาหยามีหน้าที่อะไรในทีมงานมั้ยล่ะครับ?” ธิติรัตน์ย้อนถาม
เพ็ญประกายตกใจ หายใจแทบไม่ทัน “คุณชายด่ามาหยา” น้ำตาเอ่อ ทั้งเสียใจทั้งอับอายขายขี้หน้ามากๆ
“ที่มาหยามาที่นี่ เพราะคุณชายไม่เคยมีเวลาให้ มาหยาคิดถึง แต่คุณชายกลับทำเหมือนกับมาหยาน่ารังเกียจ..เพียงเพราะคุณชายต้องการอยู่ใกล้กับแรมใช่มั้ยคะ?”
ธิติรัตน์ถอนหายใจ “ไม่ต้องดึงใครเข้ามาเกี่ยว งานผมคืองาน”
“แต่งานของคุณชาย เกี่ยวกับแรมตลอด” เพ็ญประกายย้อน
“ถ้าคุณมาหยาพูดจาไม่รู้เรื่อง ผมจะไม่พูดด้วย ผมจะไปทำงาน”
ธิติรัตน์เดินหนีไป เพ็ญประกายถามทั้งน้ำตา
“คุณชายอยากไปหาแรม อยู่กับแรม แต่เอาคำว่างานมาอ้างตลอด มาหยาเกลียดคุณชาย เกลียดแรม เกลียดๆๆๆๆๆๆ”
เพ็ญประกายวิ่งร้องไห้แทรกตัวผ่านธิติรัตน์เปิดประตูออกไป ธิติรัตน์ยืนอึ้ง เหนื่อยใจเหลือเกิน
เพ็ญประกายวิ่งร้องไห้ออกมานอกห้อง ทั้งเสียใจทั้งเจ็บปวด วิ่งโดยไม่มองหน้าใครออกมาตามทาง จะไปที่หน้าบริษัท ชนเข้ากับศรัณย์จนร่างซวนเซ ศรัณย์คว้าตัวเพ็ญประกายเอาไว้ทัน
“คุณมาหยา” ศรัณย์ตกใจมาก ที่เห็นเพ็ญประกายร้องไห้
“คุณมาหยาร้องไห้ เกิดอะไรขึ้นครับ?”
เพ็ญประกายสะอื้น “ไม่ค่ะ ไม่มีอะไร?”
“แต่คุณมาหยาร้องไห้....” ศรัณย์มองอย่างเห็นใจ พร้อมจะอยู่เคียงข้าง “นายชายทำอะไรคุณมาหยา?”
พอได้ยินคำพูดแทงใจดำอย่างนั้น ต่อมน้ำตาของเพ็ญประกายก็แตก น้ำตาทะลักออกมาอีก กลั้นไว้ไม่อยู่แล้ว
“คุณชายทำเหมือนเพ็ญน่ารังเกียจ คุณชายรังเกียจเพ็ญ...”
“เพ็ญ?” ศรัณย์ฉงน
เพ็ญประกายน้ำตาไหลพราก “ค่ะ..เพ็ญประกาย...”
ศรัณย์งง “แล้ว...มาหยารัศมี?”
เพ็ญประกายได้ยินคำว่ามาหยารัศมีก็ยิ่งสะเทือนใจหนัก ร้องไห้ออกมา พูดเสียงสั่นพร้อมกับชี้ที่ตัวเอง
“ก็นี่ล่ะคะ มาหยารัศมี...แต่เป็นมาหยารัศมี ที่คุณชายไม่เคยต้องการ” เพ็ญประกายเริ่มหายใจไม่ออก เครียดกำเริบ มือไม้เกร็ง ตัวสั่น เหมือนจะเป็นลม
“คุณ..คุณ...”
เพ็ญประกายจะเป็นลมแล้ว ศรัณย์ตรงเข้าไปประคอง เพ็ญประกายนิ่งเหมือนคนต้องการที่พักพิง ศรัณย์รีบบอก
“เข้าไปพักข้างในก่อนนะครับ”
“ไม่ค่ะ...” แบบแผ่วๆ “ฉันอยากกลับบ้าน...” ร้องไห้ออกมา บอกศรัณย์ “อยากกลับบ้าน”
“เดี๋ยวผมไปส่ง”
ศรัณย์กอดประคองเพ็ญประกายที่ไม่มีเรี่ยวแรง พาเดินออกไป
ไม่นานหลังจากนั้น ศรัณย์ขับรถมาจอดที่หน้าบ้านเมิน เพ็ญประกายมีท่าทางเซื่องซึมเหมือนคนหมดแรงนั่งร้องไห้น้ำตาไหลพราก ไม่พูดไม่จา แลดูเหมือนคนไม่มีชีวิตจิตใจ ศรัณย์เอ่ยขึ้น
“ถึงบ้านแล้วครับคุณมาหยารัศมี”
เพ็ญประกายบอกด้วยน้ำเสียงเศร้ามาก “เรียกว่าเพ็ญดีกว่าค่ะ เพราะถึงเพ็ญอยากเป็นมาหยารัศมีแค่ไหน คุณชายก็ไม่เคยยอมรับ คุณชายไม่ได้รักเพ็ญ”
ศรัณย์มองทั้งสงสารทั้งเห็นใจ บอกเสียงอ่อนโยน
“ผมขอโทษแทนนายชายด้วย..นายชายคงไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องมันบานปลาย”
“อย่าโทษคุณชายเลยค่ะ...เพ็ญเองนี่ล่ะค่ะ ที่ทำให้เรื่องทุกอย่างมันบานปลาย เพราะถ้าเพ็ญไม่ดื้อรั้นอยากจะเป็นมาหยารัศมี ไม่ดึงดันจะไปรักคุณชาย เพ็ญก็คงไม่เจ็บไม่ปวดขนาดนี้ ขอบคุณคุณศรัณย์มากนะคะที่มาส่งเพ็ญ”
เพ็ญประกายเปิดประตูก้าวลงจากรถ แต่เกิดหน้ามืด ศรัณย์รีบตรงเข้าไปประคอง
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับคุณเพ็ญ?”
“ไม่ค่ะ...เพ็ญไม่เป็นไร ขอบคุณคุณศรัณย์อีกครั้งค่ะ”
เพ็ญประกายเดินเข้าบ้านอย่างโรยแรง ศรัณย์ได้แต่มองตามด้วยความเห็นใจ ก่อนจะตีรถกลับเข้าบริษัท
ที่สตูดิโอเลิกกองพอดี งานเสร็จเรียบร้อย เจ๊กอไก่กำลังไหว้ลาทีมงานทุกคน
“ขอบคุณนะคะ...ที่คิดถึงกัน ไว้คิดถึงกันทุกวันนะคร้า...เจ๊กอไก่ยินดีรับใช้ทุกคนคร่า..”
วีระยิ้มให้ “ครับ...แล้วเจอกันนะครับน้องแรม”
เดือนแรมที่ยืนอยู่ข้างๆ ธิติรัตน์ยิ้ม
เจ๊กอไก่หัวเราะคิกคัก “อ้อ! เราไม่ต้องเจอกันก็ได้....เพราะกลับบ้าน คุณวีระกับเจ๊เจอกันทู้กกกกวัน!” เดินเข้าไปคล้องแขนวีระ
วีระสะดุ้งท่าทีขำๆ “เฮ้ย!”
เจ๊กอไก่ยังกอดแขนวีระอยู่ไม่ยอมปล่อย เริ่มแผนทันที “น้องแรม..วันนี้เจ๊กับคุณวีระ จะไปธุระต่อ น้องแรมกลับเองนะ”
วีระงง “เฮ้ย!!เมื่อไหร่เจ๊?”
เจ๊กอไก่ขยิบตาให้วีระ “ไม่ต้องลีลา รีบกลับบ้านค่ะ” พากันเดินออกไป
ธิติรัตน์บอกเดือนแรม “เดี๋ยวฉันไปส่ง”
ระหว่างนั้นศรัณย์เดินเข้ามาหน้าซีเรียส บอกธิติรัตน์ “ฉันขอคุยด้วยหน่อย”
ธิติรัตน์หันไปบอกเดือนแรม “รอฉันก่อนนะ” จากนั้นก็เดินออกไปกับศรัณย์
ศรัณย์กับธิติรัตน์เดินออกมาคุยกันที่มุมหนึ่งในบริษัท สีหน้าศรัณย์นั้นดูจริงจังแต่ไม่มีอาการดุดัน
“อย่าหาว่าฉันยุ่งเรื่องนายเลยนะชาย ถ้านายไม่ได้รักคุณเพ็ญ ฉันคิดว่า นายควรยกเลิกการแต่งงานซะ ไม่ว่าจะคุณเพ็ญจะเป็นมาหยารัศมีหรือไม่ก็ตาม”
ธิติรัตน์เหนื่อยใจ “ยังไงฉันก็ต้องแต่งงานกับมาหยารัศมี ตามประสงค์ของท่านพ่อ”
“ถ้านายยังไม่มีใคร ไม่ว่ามาหยารัศมีจะเป็นใคร ฉันมั่นใจว่านายจะรักเค้าได้ แต่ตราบใดถ้านายมีคนอื่นในใจ มันคงเป็นไปไม่ได้ แล้วฉันก็รู้ว่านายรักแรม”
ธิติรัตน์อึ้งหนักใจมาก ศรัณย์พูดต่อ
“อย่าให้ความต้องการของคนตาย มาทำลายคนเป็น ไม่ใช่แค่ตัวนาย แต่รวมถึงคุณเพ็ญประกายด้วย....คิดดูให้ดีนะชาย!”
ศรัณย์เดินไปทันที ธิติรัตน์ยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูก
คืนนั้นเพ็ญประกายเอาแต่ขังตัวนั่งร้องไห้อยู่ในห้อง ร้องไห้จนหมดเรี่ยวแรง รู้สึกอับอายที่ถูกธิติรัตน์ต่อว่า
จันทราเปิดประตูเข้ามาเห็น พอเดาเหตุการณ์ออก เพราะเป็นคนยุให้ลูกสาวไปหาธิติรัตน์เอง จันทราไม่ปลอบแต่ด่าซ้ำ
“ร้องไห้? นี่หมายความว่ายังไง? แกแพ้นังแรมมาใช่มั้ย?”
เพ็ญประกายร้องไห้จนแทบไม่มีแรงเหลือ “เพ็ญไม่ไหวแล้วค่ะคุณแม่ เพ็ญเหนื่อย เพ็ญอาย คุณชายทำให้เพ็ญรู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่า หน้าด้าน ไปตามตื้อเค้าอยู่ได้”
“มันเป็นสิทธิ์ที่แกทำได้...เพราะแกคือว่าที่เจ้าสาวของเค้า”
“เจ้าสาวที่เค้าไม่อยากได้ ไม่ยอมรับน่ะเหรอคะ?”
“ยอมรับหรือไม่ยอมรับก็ช่าง ยังไงสุดท้ายคุณชายก็ต้องแต่งงานกับแก” จันทราตาวาววับ
“ไม่ค่ะ...ถ้าเป็นอย่างนี้ เพ็ญไม่แต่ง”
“เพ็ญประกาย” จันทราโกรธมากตบหน้าเพ็ญประกาศเสียงผลัวะ
เพ็ญประกายตกใจมาก “คุณแม่”
“อย่าพูดอย่างนี้ให้ฉันได้ยินอีก” จันทราบอกเสียงเครือสั่น เจ็บใจที่ลูกสาวไม่ได้ดั่งใจเลย “แกรู้มั้ยคนแพ้มันเจ็บมันปวดแค่ไหน? ยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา ขนาดนังราศีมันตายไปแล้ว ฉันต้องทนอยู่กับคำว่าแพ้ ถูกตราหน้าว่าเป็นเมียน้อย เมียเก็บเค้า” เสียงเข้มขึ้นมาอีก “เพราะฉะนั้น เมื่อมีโอกาสแกอย่าโง่ แกต้องเป็นเมียแต่งให้ได้ ส่วนนังแรมมันจะเป็นเมียน้อย เมียเก็บช่างหัวมัน”
น้ำเสียงจันทราเข้มจัด เพ็ญประกายได้แต่ร้องไห้สะอึกสะอื้นจนตัวโยน มือไม้เริ่มสั่น ชักกระตุกนิดๆ เพราะเครียดจัด
จันทราเห็นก็ตกใจ ทั้งกลัวและห่วง “หยุดนะยัยเพ็ญ หยุด!!”
เพ็ญประกายไม่หยุดแล้วเครียดจัด เริ่มจะคุมสติไม่อยู่ ตัวสั่นระริก จันทราคว้าตัวเพ็ญประกายให้หยุด
จันทราตวาดลั่น “หยุดนะเพ็ญประกาย หยุด!! หยุด!!”
จันทราเขย่าตัวลูกสาวให้ได้สติ แต่เพ็ญประกายไม่หยุด หน้าตาบิดเบี้ยว ชักกระตุกอยู่อย่างนั้น จันทรากรี๊ด
“หยุด!! แกอย่าทำอย่างนี้ แกอยากให้ฉันเป็นบ้าตามแกรึไง? หยุด!”
จันทราตบหน้าเพ็ญประกายสุดแรงเกิด เพื่อเรียกสติ เพ็ญประกายผวาล้มลงบนเตียง แต่ร้องไห้ไม่หยุด จันทรากรี๊ด
“อย่าร้องไห้ให้ฉันเห็นอีก ไม่งั้นแกจะโดนอีกคน”
จันทราเดินพรวดออกไปด้วยความโมโห ในขณะที่เพ็ญประกายร้องไห้โฮอยู่บนเตียงอย่างขื่นขม
อ่านต่อหน้า 2
ตอนที่ 13 ได้มีการเพิ่มเติมเพื่อความสมบูรณ์ตรงตามบทโทรทัศน์ทางช่อง 7 สี ตัวหนังสือสีแดงคือเรื่องราวที่เพิ่มเติมใหม่
มาหยารัศมี ตอนที่ 13 (ต่อ)
จันทราเดินอารมณ์เสีย ออกมานอกบ้าน
“อะไรก็ไม่ได้ดั่งใจ น่าเบื่อ”
ระหว่างนั้นมีเสียงรถแล่นมาจอดหน้าบ้าน จันทราเพ่งมองไปเห็นธิติรัตน์มาส่งเดือนแรม
“คุณชายมาส่งนังแรม?”
จันทรามองจ้อง ตาวาววับโกรธจัด ก่อนจะเดินออกไปที่หน้าบ้าน
ธิติรัตน์คุยอยู่กับเดือนแรม จันทราเดินเข้าไปด่าเดือนแรมแบบไม่ไว้หน้า และบอกขอคุยกับธิติรัตน์ส่วนตัว ก่อนจะเดินนำไปในบ้าน
ที่หน้าบ้าน เดือนแรมมีสีหน้าไม่สบายใจมาก
“คุณชายคะ...แรมไม่สบายใจเลยค่ะเรื่องพี่เพ็ญ”
“ไม่เกี่ยวกับเธอ ฉันแค่รู้สึก...คุณเพ็ญไม่สมควรที่จะไปวุ่นวายตอนฉันทำงาน”
จันทราเดินเข้ามาด้านหลัง
“แค่ข้ออ้างหรือเปล่าคะ? ความจริงแล้ว คุณชายอาจจะไม่อยากให้มาหยารัศมีได้รู้ว่าตอนอยู่ข้างนอก คุณชายทำตัวแย่แค่ไหน?”
ธิติรัตน์มองหน้าจันทรา ย้อนกลับ “ถ้าคิดว่าผมแย่...ก็ยุติการแต่งงานก็ได้นะครับ คุณมาหยารัศมีจะได้ไม่ต้องมารับรู้พฤติกรรมที่แย่ๆ ของผม”
จันทราโกรธจัด “คุณชาย” หันปราดไปมองเดือนแรมตาขวาง “ไม่ใช่เรื่องของเธอออกไป”
“ขอโทษค่ะ”
เดือนแรมหน้าเสีย เดินเลี่ยงออกไป
ธิติรัตน์มองตามก่อนจะหันมาบอกจันทราเสียงซีเรียส “ขอผมพูดตรงๆเลยนะครับคุณจันทรา ผมไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวายเรื่องส่วนตัวของผม โดยเฉพาะเวลาที่ผมทำงาน ซึ่งข้อนี้ คุณแม่ของผมท่านก็ทราบดี”
“ขอโทษนะคะ ดิฉันไม่ทราบว่าคุณชายจะมีโลกส่วนตัวสูงขนาดนี้ และที่หนูมาหยารัศมีทำอย่างนั้น ก็เพราะอยากทำหน้าที่การเป็นคนรักที่ดี แต่ไม่รู้ว่าจะเป็นการทำคุณบูชาโทษ...คุณชายอยากทราบบ้างมั้ยคะว่าความหวังดีของมาหยา ทำให้มาหยาตอนนี้มีสภาพเป็นยังไง?” ธิติรัตน์ฉงน
ครู่ต่อมาจันทราเดินนำขึ้นมาชั้นบน เปิดประตูห้องเพ็ญประกายธิติรัตน์ตามเข้ามา
“ดูแล้วกันค่ะ นี่ล่ะคือผลงานคุณชาย”
ธิติรัตน์มองไปที่เตียงนอน เห็นเพ็ญประกายนอนร้องไห้ปิ่มจะขาดใจ ก็รู้สึกสลด
“มาหยารัศมีเป็นบ้าไปแล้วเพราะคุณชาย คุณชายต้องรับผิดชอบ”
“ผม...” ธิติรัตน์ยังคิดไม่ตก ตกใจ “ผมจะพาคุณเพ็ญไปหาหมอ” จะเข้ามาหาเพ็ญประกาย
จันทราถลาเข้ามาขวางไว้ “หาหมอมันไม่หายหรอกค่ะ สิ่งที่จะทำให้มาหยารัศมีหาย คือการ
แต่งงาน คุณชายต้องแต่งงานกับมาหยารัศมี ถ้าคุณชายปฏิเสธ ดิฉันจะคุยกับหม่อมรัตนาเอง”
ธิติรัตน์อึดอัดเต็มกลืน ได้แต่ทำหน้าหนักใจอยู่อย่างนั้น
วันต่อมาหม่อมรัตนาเปิดหีบเพชรออกมาดู หยิบแหวนวงนั้น วงนี้มาดูอย่างสุขใจ ขณะที่ธิติรัตน์ยังกังวลเรื่องจันทราไม่หาย ตัดสินใจเอ่ยถามขึ้นมา
“คุณแม่จะคุยกับคุณจันทรายังไงครับ?”
หม่อมรัตนายิ้มมองแหวนในมือไม่ได้มองลูกชาย “ก็คุยกับเค้าตรงๆ ถ้าเค้าอยากแต่ง...แม่ก็จะจัดการให้...”
ธิติรัตน์อึ้ง งง สงสัย “ทั้งๆ ที่...คุณเพ็ญประกาย”
หม่อมรัตนาบอกท่าทีจริงจัง “แม่เคยรอเวลา ให้พวกเค้ากลับตัวกลับใจ สารภาพความจริงกับเรา แต่เค้าก็ไม่เคย...และในเมื่อพวกเค้ายังยืนยันอย่างนี้ ก็คงต้องถึงเวลาที่แม่จะจัดการอย่างเด็ดขาดเสียที”
น้ำเสียงหม่อมรัตนาจริงจัง ดวงหน้ายิ้มพรายไม่กังวลสักนิด
เช้าอีกวันถัดมาหม่อมรัตนาเดินนำมาที่บ้านเมิน ธิติรัตน์ยังลังเล บอกว่าถ้าหม่อมแม่ไม่อยากให้แต่งตนก็ไม่แต่ง แต่หม่อมรัตนากลับบอกลูกชายด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“มันถึงเวลาต้องจัดการขั้นเด็ดขาดเสียที”
หม่อมรัตนาเดินยิ้มเยื้อนท่าทีสบายอกสบายใจ ตรงมายังบ้านเมิน หากใครไม่รู้ก็คงจะคิดว่าหม่อมรัตนานั้นยินดีที่จะมาขอเพ็ญประกาย
ธิติรัตน์เดินมาด้วยกัน
แม้นเทพในชุดทหารเดินมากับเดือนแรมในชุดอยู่บ้านมองเห็น แต่คุณชายและหม่อมรัตนาไม่เห็น
เดือนแรมมองคุณชายกับหม่อมรัตนาตาละห้อย แม้นเทพมองเห็นก็รู้สึกสงสาร
แป้นเดินมาทางด้านหลังสองคนหัวเราะเยาะเดือนแรมเสียงดัง
“คุณชายพาหม่อมรัตนามาขอคุณมาหยารัศมีแล้ว”
เดือนแรมหน้าซีด เสียใจ แม้นเทพกุมมือเดือนแรมเอาไว้แน่นปลอบใจ
เดือนแรมเข้ามาในบ้าน ยืนซึมหน้าหมองจัด แต่ไม่เศร้า มีแต่ดวงตาที่ดูออกว่าเจ็บปวดหนัก แม้นเทพเห็นใจมาก
“แรม...”
เดือนแรมฝืนยิ้มให้ “แรมไม่เป็นไรค่ะพี่ต้อม ดีซะอีกที่คุณชายจะแต่งงานกับพี่เพ็ญซักทีไม่งั้นทุกอย่างก็จะคาราคาซังกันอยู่อย่างนี้ มีแต่คนเจ็บปวด”
แม้นเทพท้วงออกมา “แต่คุณชายกับแรมรักกัน”
“ทุกคนมีหน้าที่ต้องทำค่ะ สิ่งที่แรมควรทำคือ ยินดีกับคุณชายและพี่เพ็ญยินดีจากใจจริง”
เดือนแรมยิ้มอย่างเข็มแข็ง แม้สายตาคู่นั้นจะบอกให้รู้ว่ากำลังเจ็บปวดมากเพียงใดก็ตาม
จันทรา นั่งยิ้มเคียงข้างลูกสาวเพ็ญประกาย...มาหยารัศมีปลอม ให้การต้อนรับหม่อมรัตนาและธิติรัตน์อยู่ในห้องรับแขก สองแม่ลูกนั่งยิ้มหน้าบาน จันทราเอ่ยขึ้นใบหน้ายิ้มแย้ม
“ดิฉันยินดีมากๆ เลยค่ะที่หม่อมให้เกียรติมาเยือนบ้านมณีกุลในวันนี้”
หม่อมรัตนายิ้มหวาน “เรื่องสำคัญขนาดนี้ ดิฉันไม่มาได้อย่างไรล่ะคะ?”
เพ็ญประกายตาโต เนื้อเต้น “เรื่องสำคัญ?” ลุ้นรอฟัง
“ก็...การแต่งงานของนายชายกับหนูมาหยารัศมี”
สีหน้าของสองแม่ลูกลิงโลดสุดขีด ดีใจเหลือหลานที่แผนสำเร็จ
“ในเมื่อตาชายตัดสินใจดีแล้ว ดิฉันก็มีหน้าที่สานต่อ” หม่อมรัตนาเอ่ยขึ้น
“คุณชายขา....มาหยาดีใจจังเลยค่ะ ที่คุณชายจะแต่งงานกับมาหยา”
จันทราคุมตัวเองไม่อยู่ “จะจัดงานแต่งเมื่อไหร่ดีคะ? ที่ไหน? อย่างไรดี?”
“ดิฉันจะให้คำตอบเรื่องรายละเอียดอีกทีค่ะ เพราะต้องคุยกับคุณพินิจก่อน”
“ใครคะคุณพินิจ?”
“ทนายประจำตระกูล กมเลศค่ะ” หม่อมรัตนาบอกหน้านิ่ง
สองแม่ลูกมองหน้ากันงงเต๊ก!!
เช้าวันต่อมา พินิจทนายประจำตระกูลกมเลศเดินมากับหม่อมรัตนาและธิติรัตน์ สามคนเดินตรงมายังบ้านเมิน
จันทรากับเพ็ญประกายมองเห็น แต่ไกล มองจ้องชายสูงวัยท่าทีภูมิฐาน จันทราดี๊ด๊าบอกลูกสาว
“ทนายพินิจมาแล้ว ไปแต่งตัวให้สวยกว่านี้เร็วลูก”
“ค่ะ”
เพ็ญประกายรีบเดินเข้าไป ในบ้าน ท่าทางแช่มชื่นหัวใจ จันทราเองยิ้มพรายเต็มหน้า
“สิ้นสุดการรอคอยที่ยาวนานซักที”
ไม่นานต่อมาจันทรา ให้การต้อนรับสามคนในห้องโถง หม่อมรัตนาแนะนำพินิจกับจันทรา
“นี่คือทนายพินิจค่ะ”
จันทรายิ้มแย้มทักทายเสียงหวาน “สวัสดีค่ะคุณพินิจ รายละเอียดการแต่งงานของคุณชายกับหนูมาหยารัศมีเป็นอย่างไรบ้างคะ?”
พินิจไม่ตอบหยิบเอกสารออกมา “ก่อนที่ท่านชายธีรธำรงจะสิ้นชีพิตักษัย ท่านชายได้เขียนพินัยกรรมเอาไว้ว่า ให้ม.ร.ว.ธิติรัตน์ แต่งงานกับมาหยารัศมี ซึ่งเป็นลูกของคุณเมินและคุณราศี มณีกุล
จันทราหน้าซีดเผือด เพ็ญประกายที่เดินเข้ามาในชุดสวยเจิดเฉิดฉายกว่าเดิมก็หน้าซีดเป็นไข่ต้ม
จันทรารีบบอก “ก็นี่ไงคะ มาหยารัศมี”
พินิจเพ่งมองเพ็ญประกาย “คุณมาหยารัศมีเป็นลูกของคุณเมินกับคุณราศีใช่มั้ยครับ?”
จันทราและเพ็ญประกายอ้ำๆ อึ้งๆ หม่อมรัตนานั่งยิ้มในสีหน้า ทนายพินิจพูดต่อ
“นอกจากชื่อว่ามาหยารัศมีแล้ว ยังต้องมีหลักฐานที่แสดงว่าเป็นลูกของคุณเมินกับคุณราศีอย่างแท้จริงอีกด้วย ซึ่งถ้ามีหลักฐานครบ งานแต่งงานระหว่างคุณชายธิติรัตน์กับคุณมาหยารัศมีเกิดขึ้นอย่างแน่นอน”
หม่อมรัตนายิ้มพูดเสียงหวานมาดผู้ดี “เพื่อให้เป็นไปตามความสมบูรณ์ของพินัยกรรม คุณจันทราช่วยจัดการเรื่องนี้อย่างเร่งด่วนด้วยนะคะ งานแต่งงานของตาชายกับหนูมาหยารัศมีจะได้จัดขึ้นซักที”
จันทรามองหน้าหม่อมรัตนาเข่นเขี้ยวราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ เพราะโกรธมาก เพ็ญประกายเองก็หน้าเสีย ธิติรัตน์ดูโล่งใจ
“ขอตัวกลับก่อนนะคะ”
หม่อมรัตนา ธิติรัตน์และทนายพินิจเดินออกไป จันทราโกรธจนตัวสั่น
“พวกมันจงใจจะไม่แต่งงานชัดๆ”
“แล้วเราจะทำยังไงดีคะคุณแม่?”
“วางแผนมาตั้งนาน จะให้พังได้ง่ายๆ ได้ยังไง? ฉันไม่ยอม ฮึ๊ยยย!!”
จันทราเดินกระฟัดกระเฟียดตามสามคนไป
ขณะเดินออกมาจากตัวบ้าน ธิติรัตน์ หม่อมรัตนา และทนายพินิจ เจอเดือนแรมพอดี หม่อมรัตนายิ้มอย่างเอ็นดู
“อ้าว!!แรม”
“สวัสดีค่ะหม่อม” เดือนแรมพนมมือไหว้หม่อมรัตนา เลยไปที่ทนายพินิจและคุณชายธิติรัตน์
“ไม่ได้เจอกันตั้งนาน ดูแรมเหงาๆ นะ ไม่สบายหรือเปล่า?”
จันทรากับเพ็ญประกายตามมาด้านหลังได้ยินเต็มหู สองคนโกรธตาเขียว
เดือนแรมยิ้มตอบ “เปล่าค่ะ แรมสบายดี ขอบคุณหม่อมมากค่ะที่เป็นห่วง”
“แรมมีเรื่องไม่สบายใจครับคุณแม่ แต่แรมไม่ชอบบอกใคร? รวมทั้งผมด้วย”
หม่อมรัตนายิ้มอย่างเอื้อเอ็นดู “ไม่ว่าแรมจะมีเรื่องอะไร อดทนไว้นะ ฟ้าหลังฝนย่อมสดใจเสมอ ฉันเป็นกำลังใจให้จ้ะ”
หม่อมรัตนายิ้มปลอบแล้วเดินนำออกไป ทนายพินิจเดินตาม ธิติรัตน์หันมาพูดกับเดือนแรมเบาๆ
“ฉันจะทำเรื่องของเรา ให้ดีที่สุดนะแรม”
ธิติรัตน์เดินออกไป
จันทรากับเพ็ญประกายมองตาม โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
เดือนแรมกำลังจะเดินกลับเข้าบ้านป้ามะลิ จันทรากับเพ็ญประกายเดินตามหลังมา จันทราพูดเย้ยหยันขึ้น
“แกคงดีใจจนเนื้อเต้นสินะนังแรม แต่เสียใจด้วยที่แกไม่ได้มีเลือดเนื้อเชื้อไขของมณีกุลแม้แต่นิดเดียว”
“แรมเป็นลูกของคุณพ่อกับคุณแม่ราศี แต่จะให้แรมลุกขึ้นมาพิสูจน์ตัวเองเพื่อแต่งงานกับคุณชาย แรมไม่ทำ แต่ถ้าจะเป็นการพิสูจน์เพื่อให้คุณพ่อยอมรับในตัวแรมอย่างบริสุทธิ์ใจ แรมจะทำ”
เพ็ญประกายกรี๊ดเต้นเร่าๆ “คุณแม่ มันด่ากระทบเพ็ญ”
เดือนแรมเหนื่อยใจมาก “ประโยคไหนคะที่ว่าแรมด่าพี่เพ็ญ”
เพ็ญประกายสวนออกมา “ก็ที่แกบอกว่า จะไม่ลุกมาพิสูจน์ตัวเองเพื่อแต่งงานกับคุณชายนั่นไง”
“ถ้าจะจับคำพูดของแรมเพื่อหาเรื่องกัน แรมไม่สู้ค่ะ เพราะมันไม่มีประโยชน์” หันมาพูดกับจันทรา “เพื่อยุติความวุ่นวายทั้งหมด คุณพ่อกลับมาเมื่อไหร่ แรมจะขอร้องให้คุณพ่อตรวจดีเอ็นเอค่ะ” เดินหนีเข้าบ้านไป
จันทรามองเหยียด รู้สึกหมั่นไส้ตรงไปกระชากผม “อย่ามาทำท่าอย่างนี้กับฉันนะนังแรม
ตรวจไปเลย ตรวจจนตายแกก็ไม่ใช่มณีกุล”
เดือนแรมเหลียวขวับมองสู้ตาอย่างไม่กลัว แกะมือจันทราออก “งั้นคุณน้าก็ปล่อยให้แรมพิสูจน์ตัวเองสิคะ กลัวอะไร?” เดินหนีไป
สองแม่ลูกมองตามโกรธตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า
สองคนเดินมาในบ้านแล้ว เพ็ญประกายบอกกับจันทราท่าทางโกรธๆ
“คุณแม่จะทำยังไงดีคะเราจะไปหาหลักฐานที่ไหน มาบอกว่าเพ็ญคือมาหยารัศมี”
จันทราตาวาว “จะไปกลัวทำไม? ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกล คิดเหรอว่าแม่จะยอมแพ้ง่ายๆ”
จู่ๆ เสียงฝนฟ้าคะนองดังก้อง เสียงดังน่ากลัว แป้นวิ่งหน้าตื่นเข้ามา
“โอยยย...น่ากลัวจังเลยค่ะ พยากรณ์อากาศบอกว่าพายุเข้า”
“พายุเข้าเหรอ?” จันทรายิ้มพรายเหลียวมองท้องฟ้าด้านนอก “ตกหนักๆ เลยนะฝนจ๋า ตกลงมาให้หนักๆเลย!”
สายตาจันทราเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์ เพ็ญประกายนึกสงสัย
เดือนแรมหยิบรูปภาพแม้นเทพที่ถ่ายกับมะลิ ขึ้นมาดู
“แรมจะไม่ปล่อยให้ทุกคนลำบากวุ่นวายเพราะแรมอีกต่อไปแล้ว แรมจะพิสูจน์ตัวเอง และถ้าแรมไม่ใช่ลูกของคุณพ่อจริงๆ แรมจะไป”
เดือนแรมพูดบอกกับตัวเองอย่างเด็ดเดี่ยว
ค่ำนั้น ขณะที่ธิติรัตน์มองดูรูปเดือนแรมอยู่ในห้องทำงาน สลับกับมองดูรูปที่เดือนแรมวาดและเขียนกำกับว่า “แรมรักคุณชาย” เสียงมือถือดังธิติรัตน์กดรับทันที
“ชาย..พี่หมอหานักสืบมือหนึ่งให้ได้แล้วนะ เดี๋ยวพี่จะให้เค้าไปหาชาย” เสียงธิดาดังมาจากปลายสาย
“ขอบคุณมากครับพี่ดา” ธิติรัตน์มองรูปแรม “ถึงเวลาที่เรื่องยุ่งๆ มันจะจบซักทีแรม”
คืนเดียวกันนั้นมีรถโฟร์วีลคันหนึ่งแล่นมาจอดที่บริเวณหน้าบ้านเมิน ในรถคันนั้นธิติรัตน์นั่งอยู่กับนักสืบคนหนึ่งที่ธิดาหามาให้
แสงเงาที่ค่อนข้างมืด ทำให้มองเห็นหน้าชายคนนั้นไม่ชัดเจน ชายคนนั้นใส่หมวก สวมแว่นตาดำ สวมเสื้อตัวโคร่งยาวคลุมแขน
ธิติรัตน์คุยกับผู้ชายคนนั้นท่าทางเคร่งเครียด ในมือมีรูปถ่าย และชี้มาทางบ้านเมิน นักสืบกระโดดลงมา
เวลานั้นเดือนแรมกำลังเดินเล่นอยู่บริเวณหน้าบ้าน สีหน้าหมอง จังหวะหนึ่งเดือนแรมแหงนหน้ามองท้องฟ้า เห็นดวงจันทร์ส่องสว่างกระจ่างเต็มดวง นึกสะท้อนใจในชะตาชีวิตของตัวเอง
“เมื่อไหร่ชีวิตของเราจะเป็นเดือนเต็มดวง ไม่ใช่เดือนแรมอย่างนี้ซะที”
เดือนแรมเดินมาเรื่อยๆ แต่แล้วต้องชะงักเมื่อเห็นรถคันหนึ่งจอดอยู่ด้านหน้าบ้านท่าทางผิดปกติ
“ใครกันมาทำท่าทางลับๆล่อๆ?”
เดือนแรมค่อยๆ เดินลัดเลาะตรงไปยังบริเวณรั้วบ้านทันที พร้อมคว้าไม้ท่อนหนึ่ง
มากำกระชับไว้แน่น
เดือนแรมกำไม้แน่น ค่อยๆ เดินมาจนเห็นตัวนักสืบ เดือนแรมเงื้อไม้ขึ้นสุดแขนเตรียมฟาด
“จะทำอะไรน่ะ?” เดือนแรมถาม
“คนของฉันเองแรม”
“คุณชาย”
ธิติรัตน์หันมาบอกนักสืบ “กลับไปได้แล้ว แล้วคุยกัน”
“ครับ” นักสืบเดินขึ้นรถขับออกไป
เดือนแรมมองตาขวาง “คุณชายให้คนมาทำอะไรบ้านแรม?”
“ไม่ได้ทำอะไร?” ดึงไม้ในมือเดือนแรมออก
เดือนแรมไม่ยอม “แรมไม่เชื่อ”
“แล้วถ้าฉันบอกว่า ฉันทำเพื่อเราสองคน เธอจะเชื่อมั้ย?”
“จะให้เชื่อได้ยังไงคะในเมื่อที่ตาแรมเห็น..ทั้งคุณชายและคนของคุณชายท่าทางยังกับสายโจร”
“ฉันน่ะเหรอสายโจร?”
“แรมไม่ได้ว่าคุณชายค่ะ แต่การกระทำของคุณชายมันไม่ต่างอะไรกับโจร คุณชายเห็นบ้านแรมเป็นอะไร?”
“ไปกันใหญ่แล้วแรม?” ธิติรัตน์จะจับมือ
แต่เดือนแรมไม่ยอมให้จับ “คุณชายคิดจะทำอะไร ต้องการอะไรจากบ้านแรม แรมไม่รู้? แต่อย่าบอกว่าทำเพื่อแรม เพราะสิ่งที่แรมเห็น มันไม่ใช่!” เดือนแรมเดินหนีเข้าบ้านไป
“บทเธอจะไม่ฟัง เธอก็ไม่ฟังอะไรเลยแรม” ธิติรัตน์ถอนหายใจส่ายหน้าอย่างกลุ้มใจ
ตอนที่ 13 ได้มีการเพิ่มเติมเพื่อความสมบูรณ์ตรงตามบทโทรทัศน์ทางช่อง 7 สี ตัวหนังสือสีแดงคือเรื่องราวที่เพิ่มเติมใหม่
มาหยารัศมี ตอนที่ 13 (ต่อ)
เวลาเดียวกันของค่ำคืนนั้น ชุติมาขยุ้มขย้ำหัวตัวเองจนผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ด้วยความโมโห
“โอ๊ยๆๆๆๆ” ชุติมาตาขวาง
เจิมเห็นเข้าก็ตกใจ “เฮ้ย!แกเป็นอะไรของแกนังชุ?”
“เป็นบ้า!”
เจิมตกใจ “เป็นบ้า?”
“ถูกจับมาขังล่ามโซ่ไว้อย่างนี้ ไม่เป็นบ้าได้ยังไง? ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะลุง ปล่อยๆๆ” ชุติมาลุกขึ้นมาอาละวาดขว้างปาข้าวของยกใหญ่
เจิมเข้ามาห้าม “อย่า นังชุ อย่า”
“ฉันทนไม่ไหวแล้ว ถ้าลุงไม่ปล่อย ฉันจะฆ่าตัวตาย”
พูดจบชุติมาก็แกล้งคว้าโซ่ขึ้นมาพันคอ ทำตาเหลือก ร้องแอ้กๆ
“อย่านังชุ” เจิมร้องเสียงหลง รีบเข้ามาห้ามด้วยความตกใจ
“ลุงรู้ใช่มั้ย ว่าเลือดบ้าฉันมันเยอะ ถ้าลุงไม่ปล่อย ฉันจะฆ่าตัวตาย แล้วจะตามจองเวรจองกรรมลุงไม่มีที่สิ้นสุด” ชุติมาขู่ท่าทางจริงจัง
“เฮ้ย!!”
“ไม่เฮ้ยล่ะ!!” ชุติมากำโซ่แน่น “จะปล่อยไม่ปล่อย”
“เอางี้...เดี๋ยวฉันไปคุยกับแม่แกแล้วกันว่าจะเอายังไง?”
“เร็วๆ นะ ถ้าชักช้า ฉันฆ่าตัวตายจริงๆ ด้วย”
“เออ...” เจิมเดินออกไปอย่างหงุดหงิด
“แม่นะแม่ ทำกับฉันขนาดนี้ได้ยังไง?” ชุติมายกมือไหว้ “เจ้าประคุ้ณ บุญที่ลูกเคยทำ ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองลูกด้วย ขอให้มีปาฏิหาริย์ ให้ลูกหลุดพ้นเรื่องร้ายๆ ด้วยเถอะ”
แม้นเทพรุ่มร้อนในใจ กระวนกระวายหนัก โทร.หาชุติมาหลายวัน ยังไงก็ไม่ติด แม้นเทพถอนหายใจ
“ต้องมีอะไรเกิดขึ้นกับชุติมาแน่”
แม้นเทพกังวลหนัก
อีกวันต่อมาสุดใจนั่งดูรูปชุติมาในมือถือ
“ฉันไม่รู้จะไปตามหาคุณที่ไหน เมื่อไหร่คุณจะมาหาฉันอีก คุณต้อม”
สุดใจครุ่นคิดไปมาสักครู่ใหญ่ๆ ก่อนทำหน้าเหมือนคิดอะไรบางอย่างออก
สุดใจนึกถึงวันที่ชุติมายิ้มเขินๆ ขณะพับชุดเสื้อผ้าที่แม้นเทพเคยซื้อให้ลงในตะกร้า
“ชุคงชอบชุดนี้มาก เก่าแล้วก็ยังใส่” สุดใจถาม
“พี่ต้อม...ซื้อให้ชุน่ะค่ะ”
“ต้อม?”
“ก็...ผู้ชายสูงๆ หน้าคมๆ หล่อๆ ที่มาหาชุไงคะ?”
“อ๋อ! นายทหารคนนั้นน่ะเหรอ?”
“ค่ะ...” ชุติมายิ้มปลื้ม มีความสุขที่ได้พูดถึง “พี่ต้อมเป็นลูกของป้ามะลิ..พี่สาวสามีใหม่ของ
แม่ ที่ชุไปอาศัยเค้าอยู่น่ะค่ะ บ้านเราอยู่บริเวณเดียวกัน พี่ต้อมใจดีมากค่ะ”
สุดใจนั่งนิ่งคิด
“แสดงว่าเค้าต้องเกี่ยวข้องเป็นญาติกัน ใช่...คุณต้อมต้องอยู่บ้านจันทรา”
สุดใจลุกพรวดออกไปทันควัน
ไม่นานต่อมาแม้นเทพเดินขึ้นมาหาสุดใจ ในขณะที่สุดใจเดินลงบันไดแฟลตอีกทาง สองคนคลาดกันอีกเหมือนเดิม
แม้นเทพเดินตรงไปยังหน้าห้องของสุดใจ แต่เจอประตูห้องถูกล็อกเอาไว้เหมือนเดิม
“ไม่อยู่อีกแล้ว....นามบัตรก็เอาไปแล้ว ทำไมไม่ติดต่อกลับมา”
เพื่อนบ้านเดินผ่านมาพอดี ร้องทัก “อ้าว! คุณ มาหาวันดีเหรอ? ฉันเพิ่งเห็นเดินลงไป ก่อนคุณมาแป๊บเดียวเอง”
แม้นเทพดีใจมาก “ขอบคุณครับ” รีบวิ่งตามลงไปเร็วรี่
“เฮ้อ!!มาหากันยังไง ทำไมไม่นัดกันก่อน” เพื่อนบ้านส่ายหน้าแล้วเดินไป
ค่ำนั้นเดือนแรมอยู่ในชุดนักศึกษา มือถือหนังสือเรียนเดินกลับเข้ามาในบ้านด้วยท่าทีมั่นใจ ไม่กลัวใครแล้ว หลังบอกตัวเองอย่างเด็ดเดี่ยวว่าจะไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนเพราะตัวเองอีก เจอจันทราเดินมาขวางจ้องตาเขม็ง
“แกยังไปไม่ได้”
เดือนแรมไม่สนใจจะเดินหนี จันทราโกรธกระชากผม
“นังแรม”
เดือนแรมหันมามองตาขวางไม่ยอมแล้ว จับมือจันทราออก “อย่ามาทำกิริยาอย่างนี้กับแรมเลยค่ะคุณน้า ที่แรมไม่โต้ตอบ ไม่ใช่ว่าแรมกลัว แต่แรมไม่อยากให้คุณพ่อต้องทุกข์ใจมากกว่านี้ และที่สำคัญแรมไม่อยากขึ้นชื่อว่ารังแกคนแก่ค่ะ”
เดือนแรมสะบัดมือจันทราออก จันทราโกรธเงื้อมือขึ้นสุดแขนจะตบ
“นังแรม”
“เอาสิคะ....ลองดู ถ้าจะวัดจริงๆ คุณน้ากับแรมใครจะชนะ”
เดือนแรมเงื้อมือมองตาอย่างเอาเรื่อง จันทราเจอเดือนแรมเอาจริงลดมือลง
“แกก็เก่งแต่กับฉัน แล้วก็ลอบกัดยัยเพ็ญ”
“แรมไม่ใช่หมาค่ะจะได้ลอบกัดใครลับหลัง เหมือนกับใครบางคน” เดือนแรมเดินหนีไป
จันทราโกรธจัด “นังแรม ยังไง ฉันก็ไม่มีทางปล่อยให้คุณชายเป็นของแก”
เดือนแรมหยุด พูดโดยไม่หันมามอง “ข้อนี้คง..สุดแล้วแต่ใจคุณชายค่ะ”
จากนั้นเดินไปทันที
จันทราโกรธจนตัวสั่น ตะโกนก้อง “นังแรม..นัง”
ระหว่างนั้นสุดใจเดินเข้ามาพอดี แต่ไม่ทันเห็นเดือนแรมเห็นแต่เห็นจันทรา สุดใจตกใจมากรีบฉากหลบ
จันทรามองตามเดือนแรมตาขวาง คิดในใจ
“หยิ่งแบบนี้ให้ตลอด เพราะฉันไม่มีทางปล่อยแกแน่ นังเด็กเก็บมาเลี้ยง”
จันทราสะบัดหน้าเดินมาอีกทาง แต่ต้องชะงักเมื่อเห็นเจิมเดินมา
“พี่เจิม”
สุดใจมองเจิมด้วยความตกใจ จำได้แม่น นึกถึงตอนที่เจิมไล่ล่าตัวเอง สุดใจจ้องมองสองคนเขม็ง
จันทราเดินมาที่อีกมุม แต่ดันเป็นมุมที่ใกล้กับสุดใจมากกว่าเดิม จันทราลากมือเจิมมาคุยสุดใจตัวลีบเล็กด้วยความกลัว แต่ขยับไปไหนไม่ทันแล้ว
สีหน้าจันทราดูหงุดหงิดมาก
“พี่กลับมาทำไม? ทำไมไม่อยู่ดูชุติมา?” สองมารร้ายไม่รู้ว่าสุดใจกำลังเงี่ยหูฟังอยู่
เจิมทำหน้ายุ่งยากใจ “ก็..ฉันไม่รู้จะทำยังไงกับมันแล้ว ชุติมามันอาละวาด แผลงฤทธิ์ใส่ฉันตลอด เมื่อเช้าก็ถีบฉันกระเด็น”
“นังชุติมามันก็ฤทธิ์เยอะอย่างนั้นล่ะ”
“รู้....” เจิมลากเสียงยาว “แต่ฉันกลัวอดใจไม่ไหว นี่ถ้าไม่เห็นเป็นลูกเป็นหลาน ตบกระเด็นไปแล้ว แกจะทำอะไรของแกก็รีบทำเถอะว่ะ ฉันจะได้ปล่อยชุติมามันกลับมาซักที”
“ฉันก็อยากทำใจจะขาด แต่ไอ้คุณชายมันไม่ร่วมมือกับฉันซักที นี่ก็บ้าบออะไรอีกก็ไม่รู้ จะให้ฉันไปหาหลักฐาน มาหยารัศมีตัวจริง นี่ถ้าไม่อยากได้เป็นลูกเขย ฉันจัดการมันไปแล้ว”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับชุติมา?”
สีหน้าสุดใจเวลานั้นลุ้น รอฟังอยากรู้มากเรื่องอะไร
“ก็นังชุติมามันกุมความลับของฉันเอาไว้นะสิ” สีหน้าเจิมสงสัย “ขืนมันเปิดเผยก่อนยัยเพ็ญแต่งงาน ฉันก็จบเห่พอดี ยังไงพี่ก็ทนมันหน่อยแล้วกัน” จันทราย้ำเสียงเข้ม
“ก็ได้.....แต่...” เจิมลูบปาก ยื่นมือแบมาขอเงิน
“อย่างนี้ทุกที ฉันไม่ได้พกเงินมาด้วย” จันทราปลด ถอดสร้อยให้ “พี่เอาสร้อยนี่ไปขายไป”
เจิมยิ้มกริ่มมองด้วยสีหน้าพึงพอใจ “ท่าจะหลายตังค์”
“ได้สร้อยแล้วก็รีบกลับไปดูนังชุติมา ไป๊”
“เออ...”
เจิมเดินออกมาผ่านหน้าสุดใจ สุดใจทำตัวลีบเล็ก แต่เจิมดันเห็นหน้าอย่างจัง
“เฮ้ย”
จันทราที่ทำท่าจะเดินเข้าบ้านได้ยิน จึงหันมาถาม “อะไร?”
เจิมตะโกน “นังสุดใจๆๆ”
“นังสุดใจ” จันทราหน้าตื่นตะลึง
สุดใจหน้าซีด รีบวิ่งหนีเตลิดออกไปอย่างเร็วรี่
สุดใจวิ่งหนีเตลิดออกมาจากบ้าน จันทรากับเจิมวิ่งตามติดๆ จันทราร้องตะโกน
“นังสุดใจ มันอยู่นั่นๆ ตามมันไปเร็วพี่เจิม”
เจิมวิ่งจี้ตามไป “หยุดเดี๋ยวนี้นะแก หยุด!”
สองคนวิ่งไล่ สุดใจวิ่งหนีสุดชีวิตแต่หันหน้าแลข้างหลังระวังตลอด
สุดใจมัวแต่มองหลังจึงไม่เห็นว่าเบื้องหน้าแม้นเทพขับรถตรงมา เกือบจะ สุดใจร้องกรี๊ดออกมา แล้ววิ่งหลีก รีบมาที่ถนนหน้าบ้าน ขณะที่แม้นเทพต้องเบรกรถเอี๊ยด
“เฮ้ย” แม้นเทพร้องลั่น
เจิมกับจันทราชะงักกึก “ไอ้แม้นเทพ”
เจิมเบรกเร็วไปหน่อยจนสะดุดเท้าตัวเองล้มลง สร้อยที่จันทราเพิ่งให้ ร่วงหล่นลง โดยที่เจิมไม่ทันเห็น
แม้นเทพก้าวลงจากรถ ขณะที่สุดใจอาศัยจังหวะนั้นวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว แม้นเทพเห็นแค่หลังไวๆ
พอแม้นเทพเหลียวมองไปทางเดินในบ้าน ก็เห็นด้านหลังจันทรากับเจิมแวบๆ แม้นเทพวิ่งตาม แต่ต้องหยุดกึก เมื่อเห็นสร้อยเส้นโตหล่นที่พื้น แม้นเทพก้มลงเก็บ แล้วรีบขึ้นรถขับไปทางบ้านตัวเอง
จันทรากับเจิมเดินแกมวิ่งเข้ามาในบ้าน สองคนตกใจ
“ซวยจริงๆทำไมต้องเจอไอ้แม้นเทพด้วย หนีไปเร็วพี่เจิม เร็ว”
“เออๆ”
“ดูนังชุให้ดีนะ เสร็จธุระแล้วฉันจะรีบไป”
“เออ”
สองคนแยกย้ายกันไปอย่างรวดเร็ว แม้นเทพจอดรถแล้ววิ่งเข้ามา
“คุณจันทราต้องทำอะไรแน่เลย?”
แม้นเทพมองสร้อยเส้นนั้นในมือด้วยความสงสัย
เวลาเดียวกันธิติรัตน์ขับรถมาตามทาง พยายามโทร.หาเดือนแรม ในขณะที่เดือนแรม นั่งอยู่ในห้องมองโทรศัพท์ที่ดังต่อเนื่อง แต่ไม่ยอมรับ
“คุณชาย!”
ธิติรัตน์หน้าหงิก “ทำไมไม่รับโทรศัพท์ซะที มัวทำอะไรอยู่?” นึกขึ้นได้ “แรมยังโกรธเราแน่ๆ เลย” ตัดสินใจกดSMS
เสียงสัญญานข้อความดัง เดือนคว้ารีบมาแล้วกดอ่าน “ออกมาหาฉันหน่อย ฉันจะบอก ว่าฉันพาคนนั้นมาบ้านเธอทำไม?”
สีหน้าเดือนแรมชั่งใจอย่างหนักว่าจะไปหรือไม่ไปดี
ในที่สุดเดือนแรมยอมออกมา แต่สองคนก็ทะเลาะกันอยู่ดี
เวลานั้นจันทราเดินพล่านเป็นหนูติดจั่นอยู่ในห้อง ครุ่นคิดอย่างหนัก
“เรื่องยุ่งเข้าไปทุกวัน เราจะต้องจัดการ รวบหัวรวบหางคุณชายให้เพ็ญประกายเร็วที่สุด”
ทางด้านชุติมายังคงได้แต่อาละวาด วีน เหวี่ยงอยู่อย่างเดิม ทำอะไรไม่ได้เพราะถูกล่ามโซ่ไว้
“โอ๊ย! เมื่อไหร่ลุงจะกลับมาซักที พี่ต้อม...พี่ต้อมอยู่ไหน มาช่วยชุด้วย”
ส่วนเจิมนึกถึงสร้อยที่จันทราถอดให้ แต่หาไม่เจอ จึงออกค้นหาสร้อยเส้นนั้นตามทาง หาจนทั่วแต่ไม่มี มั่นใจว่าตัวเองต้องทำหล่นแน่ๆ
เวลาเดียวกันแม้นเทพชูสร้อยที่เก็บได้ขึ้นมาดู เห็นชัดว่าเป็นสร้อยของผู้หญิง
“ทำไมมันคุ้นตาอย่างนี้?”
แม้นเทพเขม้นมอง พยายามนึกแต่ก็คิดไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
เช้าวันต่อมามะลินั่งอยู่ในห้องโถง กับแม้นเทพ ในมือหญิงชราถือสร้อยเส้นนั้นมองอย่างเพ่งพิศ พิมนั่งอยู่ด้วย
“สวยจังเลยนะครับ” พิมว่า
ครับสวย...แต่ที่ผมสนใจมากกว่าความสวย คือผมคุ้นสร้อยเส้นนี้มาก”
มะลิโพล่งขึ้นมา “ของแม่จันทรา แม่จำได้ ของแม่จันทรา”
พิมเองก็นึกได้ “จริงด้วยค่ะ ของคุณจันทรา พิมเคยเห็นคุณจันทราใส่อยู่บ่อยๆ”
แม้นเทพนึกถึงตอนที่ตัวเองเห็นคนไล่ล่ากัน
“แปลว่า...” แม้นเทพพึมพำ
“อะไรลูก?”
มะลิและพิมตามแม้นเทพมาที่บ้านเมิน พอเจอหน้าแม้นเทพก็ถามจันทราว่าทำสร้อยคอหายหรือเปล่า? แต่จันทราปฏิเสธ แถมหันมาถามย้อน มองตาเขียวปั๊ด
“จะบ้าเหรอ? ฉันจะไปทำสร้อยหายได้ยังไง?”
แม้นเทพชูสร้อยขึ้นตรงหน้าจันทรา “งั้นก็แปลว่า...สร้อยเส้นนี้ไม่ใช่ของคุณจันทรา”
จันทรามองสร้อยหน้าซีดเผือด มะลิดูออก รีบพูดเสริมขึ้น
“งั้นก็ถือว่าเป็นลาภแล้วล่ะต้อม...แม่คะเนดูแล้ว สร้อยเส้นนี้หลายแสนแน่ในเมื่อไม่มีเจ้าของ เราก็กลับบ้านไปฉลองกันเถอะ พิม...วันนี้อาหารเย็นจัดหนักเลยนะ”
พิมยิ้มรับคำ “ค่ะ” สามคนจะเดินออกไป
แป้นมองตาละห้อยสุดแสนจะเสียดายจึงโพล่งออกมา “คุณนาย..นี่มันสร้อยของคุณนายนี่คะ…”
แม้นเทพ มะลิ และพิมยังเดินไปไม่พ้น เหลียวหันมามอง จันทราหน้าซีดนึกเสียดายของ พูดตะกุกตะกัก
“ไหน? ฉันขอดูใหม่หน่อย”
แม้นเทพชูสร้อยขึ้นตรงหน้าชัดๆ จันทราบอกจ๋อยๆ แม้จะกลัวเสียฟอร์ม แต่งกจึงรีบรับ
“ของฉันจริงๆ ด้วย”
มะลิเยาะเอา “แม่จันทราเธอนี่ท่าจะสมองพิกลพิการ แม้กระทั่งสร้อยของตัวเองก็จำไม่ได้”
จันทราถลึงตาใส่ เอาสีข้างแถ “มันก็อาจจะมีสร้อยที่เหมือนกัน”
“ของดีราคาแพงแบบนี้ ไม่มีเหมือนกันหรอกจ้ะ....วันๆ หัวสมองคิดแต่เรื่องจับผู้ชายเป็นเขยล่ะสิท่า ถึงได้ฟั่นเฟือนขนาดนี้น่ะ” มะลิใส่อีกดอก
“ก็ถ้าได้คุณชายเป็นเขย ฉันจะได้มากกว่าสร้อยเส้นนี้ร้อยล้านเท่าน่ะสิคะ” เน้นเสียง “คุณป้า เอาของฉันคืนมา” ยื่นมือมาหมายจะเอาไป
แต่แม้นเทพดึงสร้อยหลบ “งั้นก็แปลว่า เมื่อคืน คุณจันทรา วิ่งตามล่าใครบางคนเค้าคนนั้นเป็นใครครับ?”
จันทราหน้าซีดกว่าเดิม แต่เถียงข้างๆ คูๆ “จะบ้าเหรอ ฉันก็อยู่ในบ้าน จะไปวิ่งตามไล่ล่าใคร”
“งั้นสร้อยเส้นนี้ก็ไม่ใช่ของคุณจันทรา เพราะผมเก็บได้หน้าบ้าน ตอนที่มีคนไล่ล่ากัน”
“ก็..ฉันอาจจะไปทำตกไว้”
“มันไม่บังเอิญขนาดนั้นหรอกครับ ผมเห็นกับตา...เอาเป็นว่า...คุณจันทราเปลี่ยนใจเล่าความจริงเมื่อไหร่? ผมจะคืนสร้อยให้แล้วกัน ไปครับคุณแม่”
มะลิเหน็บจันทราสั่งลาผ่านพิม “ว้า!!สร้อยเหมือนจะมีเจ้าของ เย็นนี้อย่าเพิ่งฉลองเลยนะพิม”
พิมยิ้มรับ “ค่ะคุณ”
พอคล้อยหลังสามคน จันทราร้องกรี๊ดสุดเสียง
“พวกแกจ้องหาเรื่องฉันชัดๆ บ้าๆๆๆ”
สามคนคุยกันมาตามทางจะกลับบ้าน มะลิเอ่ยขึ้น
“สุดท้าย เพราะความงก จันทราก็ยอมรับออกมาจนได้ ว่าสร้อยของตัวเอง”
“งั้นก็แปลว่า..เมื่อคืนคุณจันทราวิ่งไล่คนจริงๆ” พิมออกความเห็น
“ครับ...เสียดายผมเห็นหน้าไม่ชัด เลยไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร?”
“ไม่งั้น..อาจจะมีกุญแจไขปริศนา ความลับของบ้านมณีกุล เพราะฉันมั่นใจว่า จันทราต้องมีอะไรปกปิดเราแน่ๆ และต้องเป็นเรื่องไม่ดี” มะลิมั่นใจ
แม้นเทพฟังคำแม่แล้วนึกบางอย่างออก “คุณแม่..ผมจะกลับไปบ้านน้าเมิน”
มะลิงง “ไปทำไมลูก?”
“สร้อยหายทั้งเส้น แถมยังพัวพันกับเรื่องเมื่อคืนอีก ตอนนี้คุณจันทราอยู่ไม่สุขแน่” แม้นเทพรีบผละไป
มะลิตะโกนตามหลัง “ระวังตัวนะต้อม!”
แม้นเทพย่องกลับไปยังบ้านของเมินอย่างระแวดระวัง แอบดูอยู่มุมลับตา เห็น
จันทราออกอาการเครียดจัด สุดแสนจะหงุดหงิด จันทราบ่นพลางคว้าโทรศัพท์
“ไอ้พี่บ้าเจิม สร้างปัญหาให้ฉันอีกแล้ว” กดโทร.หาเจิม
เจิมกำลังสุดจะเซ็ง นั่งกินบะหมี่สำเร็จรูปขณะที่ชุติมามองตาขวาง เสียงมือ
ถือดังเจิมรับ
“จันทรา..สร้อย..สร้อยฉัน”
ชุติมาที่นั่งเซ็งอยู่ ถึงกับหูผึ่ง ตาโตขึ้นมาทันที “แม่!!” ชุติมากรีดร้อง “แม่..ปล่อยชุเถอะนะ แม่ ปล่อยชุ” แล้วตะโกนร้องตลอด ไม่สนว่าเค้าคุยอะไรกัน
จันทราได้ยินเสียงชุติมาแว่วๆ แต่ด่าเจิมติดพันอยู่
“ฉันรู้แล้วว่าพี่ทำมันหล่น ทำไมพี่ถึงโง่งี่เง่าอย่างนี้ สร้อยแค่เส้นเดียวก็รักษาไว้ไม่ได้”
“ก็ตอนนั้นฉันรีบหนีนี่หว่า แก..แกเก็บสร้อยไว้ให้ฉันด้วยนะ เดี๋ยวฉันไปเอา”
จันทราแว้ดใส่ “จะเก็บได้ยังไง ไอ้ต้อมมันเป็นคนเก็บเอาไว้”
“ไอ้ต้อมเก็บเอาไว้” เจิมอุทานเสียงดัง
ชุติมาได้ยินก็กรีดร้อง “พี่ต้อม!! พี่ต้อมช่วยด้วยๆๆ แม่ปล่อยชุ”
จันทราแว้ดใส่อีก “โอ๊ย!พี่บอกให้นังชุติมาหุบปากซักที ฉันรำคาญ”
แม้นเทพเงี่ยหูฟัง ได้ยินเจิมตอบจันทรา
“มันไม่หยุดหรอก ถ้าแกไม่ปล่อยมัน จะเอายังไง ฉันรำคาญมันจะแย่”
“ก็บอกแล้วไง รอให้งานของฉันเรียบร้อยก่อนพี่ค่อยปล่อยมัน ตอนนี้พี่ก็ขังมันไว้ก่อน”
เจิมลากเสียงยาว “แต่ตอนนี้เงินหมดแล้วไง”
“พี่ก็ไปเชื่อเค้าสิ คนที่บางน้ำเปรี้ยวรู้จักฉันทุกคน ใครๆ ก็รู้ว่าฉันมีผัวรวย ฉันไม่เบี้ยวหรอก”
แม้นเทพตื่นเต้นตกใจระคน ดีใจ ขณะที่ได้ยินเจิมบอกต่อ
“เออๆ...งั้นฉันจะไปเชื่อเค้าก่อนแล้วกัน รีบๆ ทำงานให้เสร็จด้วยนะเว้ย ฉันรำคาญนังชุติมา”
“ฉันก็รำคาญพี่ รำคาญมันเหมือนกัน ฮึ๊ยยย!!” จันทราวางสายอย่างหงุดหงิด “งี่เง่ากันจริงๆ เลย”
แม้นเทพผละออกไปจากตรงนั้นอย่างเร็วรี่
มะลิ นั่งกระวนกระวายอยู่ที่โถงในบ้านกับพิม พลางมองไปที่บ้านเมิน
“มีอะไรรึเปล่า? ทำไมป่านนี้ตาต้อมยังไม่กลับมาอีก?”
“นั่นน่ะสิคะ...ตะกี้เราน่าจะอยู่ต่อกับคุณต้อม”
มะลิยิ้มพูดประชด “ขืนอยู่ คงถูกแม่จันทราด่าเหน็บทั้งหัวหงอกหัวดำ ตะกี้ก็เพิ่งเจอดีมาไม่ใช่เร๊อะ??”
“แต่ยังไง คุณของพิมก็ชนะเลิศค่ะ คุณจันทราสู้ไม่ได้หรอก” พิมว่า
“ฉันไม่ได้สู้เพื่อเอาแพ้ เอาชนะ ฉันแค่พูดความจริง ว่าแม่จันทราทำไม่ถูก...เฮ้อ!! แล้วนี่นายเมินก็ไม่รู้ไปไหน? โทร.ไปหาทีไรก็บอกแต่ว่าทำงานๆ ไม่ยอมกลับมารับรู้ซะเลย ว่าบ้านร้อนเป็นไฟแค่ไหน?”
“บางทีคุณเมินอาจจะทำอะไรโดยที่เราไม่รู้ก็ได้นะคะ....ผู้ชาย เวลามีปัญหาหลายคนชอบหลบในถ้ำ ตั้งหลัก” พิมออกความเห็น
“แหม....รู้ดีจังเลยนะ” มะลิสัพยอก
“ก็เพราะรู้ดีน่ะสิคะ พิมเลยยอมอยู่เป็นโสด เห็นคู่รักแต่ละคู่” พิมพูดเสียงสูง "มี๊...แต่ปัญหา งอนกันไปงอนกันมา เห็นแล้วปวดหัวแทนค่ะ”
“เห็นทีต้องส่งพิมไปคุยกับจันทรา กับยัยเพ็ญ เผื่อจะได้สติขึ้นมาบ้าง”
ระหว่างนั้นแม้นเทพวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา มะลิกระเซ้า
“อะไรต้อม? ถูกแม่จันทราไล่ฆ่ามาเหรอ?”
“ยิ่งกว่าอีกครับคุณแม่ คุณจันทราให้นายเจิมจับตัวชุติมาไป ผมจะไปช่วยชุติมา”
แม้นเทพคว้ากุญแจรถวิ่งออกไป ท่ามกลางความตกใจของสองคน
จันทราเต้นเร่าๆ กรี๊ดลั่นบ้าน มีแต่เรื่องไม่เว้นวัน แผนการณ์ที่วาดไว้ก็ไม่เป็นไปอย่างคิด
“โอ๊ยยย!!ทำไมชีวิตฉันวันๆ มันถึงได้มีแต่เรื่อง นังแป้น คุณมาหยารัศมีอยู่ไหน? แกไปตามมาหาฉันเดี๋ยวนี้”
“ท่าจะไม่ได้ค่ะ”แป้นที่ทำงานบ้านอยู่แถวนั้นหันมาบอก
จันทราแทบเข้าไปขย้ำคอ “นังแป้นนี่แกกล้าขัดคำสั่งฉันเหรอ??
“เปล่าค่ะเปล่า..ที่แป้นบอกไม่ได้ เพราะเมื่อเช้า แป้นเอานมไปให้ คุณมาหยารัศมีไม่สบายค่ะ”
จันทราตกใจมาก “มาหยารัศมีไม่สบาย”
เพ็ญประกายนอนซมเพราะอาการป่วย หน้าซีดเซียวอยู่บนเตียง จันทราเปิดประตูเข้ามา ทันทีที่ประตูปิดลง จันทราก็เอ่ยขึ้นเสียงดัง
“เพ็ญ..แกจะมาไม่สบายอะไรตอนนี้ ลุกขึ้นมาช่วยแม่ทำงานก่อน”
“ทำอะไรคะคุณแม่?..เพ็ญไม่สบาย”
“ก็ทำแผนให้คุณชายเค้าแต่งงานกับแกไง”
เพ็ญประกายทำหน้าเซ็งใส่ “เพ็ญไม่สบายค่ะคุณแม่ อีกอย่างเพ็ญเหนื่อยใจ เพ็ญไม่อยากยุ่งกับคุณชายอีกแล้ว ถ้าเค้ารักแรมก็ให้เค้าแต่งงานกับแรมไปเลย”
จันทราตวาดเสียงดังลั่น “ไม่ได้ !!ทุกอย่างกำลังจะเป็นของเรา แกจะปล่อยมือไปง่ายๆ ได้ยังไง?”
“แล้วหลักฐานการเป็นมาหยารัศมีล่ะคะ เราจะไปหาได้จากที่ไหน?”
จันทรบอกลูกสาวเสียงเข้ม “ไม่จำเป็นต้องหาหลักฐาน ถ้าแกทำทุกอย่างตามฉัน และแกไม่มีทางปฏิเสธ นอกจากแกต้องทำตามคำสั่งฉันอย่างเดียว”
เพ็ญประกายหน้ามุ่ยขึ้นมาทันที
เวลาเดียวกันธิติรัตน์มาทำบุญที่วัด กล่ำ กับละเอียด กำลังยื่นของสังฆทานที่เตรียมมาให้ธิติรัตน์ถวายพระ ทุกคนยกมือไหว้ อนุโมทนา และตั้งจิตอธิษฐาน ก่อนจะพากันออกมา
เห็นท่าทางของธิติรัตน์เครียดจัด กล่ำกับละเอียดมองหน้าอย่างเห็นใจ สองบ่าวคนสนิทช่วยกันพูดปลุกปลอบใจเจ้านาย
“ได้มาทำบุญกับคุณชายแล้วสบายใจจังนะละเอียด” กล่ำเอ่ยขึ้น
“ใช่! ฉันเชื่อว่าผลบุญที่เราได้ทำ เวลาที่มีปัญหาอะไร จะทำให้ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี คุณชายว่ามั้ยคะ?” ละเอียดว่า
“ไม่รู้สิ.....ปัญหาบางอย่าง เหมือนยิ่งแก้ยิ่งยุ่ง เวลามาทำบุญ ฉันก็ได้ความสบายใจ ได้ความสงบ มีพลังพอที่จะแก้ปัญหา...ที่สำคัญ ถึงใครไม่รู้ว่าฉันทำอะไร แต่ฉันรู้ว่าท่านมองเห็น” ธิติรัตน์อมยิ้มนิดๆ “และส่งพลังให้ฉันอยู่” สีหน้าเปลี่ยนเป็นหนักใจ “หวังว่า ..อย่ามีอะไรให้ฉันต้องปวดหัวอีกแล้วกัน”
พูดไม่ทันขาดคำ เสียงมือถือดังขึ้น พอธิติรัตน์เห็นชื่อก็หน้ามุ่ย
“คุณจันทรา” ธิติรัตน์กดรับสาย “สวัสดีครับ”
จันทราซึ่งเวลานั้นที่อยู่บ้านเมิน เล่นละครทำท่าตกอกตกใจมาก
“คุณชายขา...เกิดเรื่องใหญ่แล้วค่ะ.. มาหยา..มาหยารัศมี”
“ทำไมครับ?”
“มาหยารัศมีหนีออกจากบ้านค่ะ”
“อะไรนะครับคุณมาหยารัศมีหนออกจากบ้าน”
สามคนมองหน้ากันด้วยความตกใจ
ตากล่ำรีบเดินนำตรงไปที่รถ ธิติรัตน์เดินไปพลางโทรศัพท์หาศรัณย์ ซึ่งเวลานั้นศรัณย์ อยู่กับวีระที่บริษัทแล้ว
“ว่าไงชาย?” ศรัณย์รับสาย
“วันนี้ฉันไม่เข้าออฟฟิศนะ”
“ไม่ได้ วันนี้มีประชุม” ศรัณย์บอกเสียงซีเรียส
“ไม่ได้จริงๆ ว่ะ คุณเพ็ญหนีออกจากบ้าน” ธิติรัตน์บอก
ศรัณย์ฟังแล้วตกใจมาก “คุณเพ็ญหนีออกจากบ้าน?”
“ฮื่อ!! ฉันจะรีบไปบ้านคุณเมิน ฝากงานด้วย”
“เออๆ”
ธิติรัตน์วางสายก่อนจะหันมาบอกกล่ำ กับละเอียด
“ตากล่ำ ละเอียด เดี๋ยวฉันเอารถไปเอง”
“ครับๆ” / “ค่ะๆ” สองคนรับคำพร้อมกัน
ธิติรัตน์ขับรถทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว กล่ำ กับละเอียด ยังมีท่าทีตกใจมาก
ศรัณย์อยู่ในออฟฟิศสีหน้ากังวลหนัก ตัดสินใจบอกวีระ
“วีระแคนเซิลประชุมแล้วกันเพื่อน”
“ทำไมล่ะ?”
“ฉันจะไปตามคุณเพ็ญ ช่วยนายชาย”
ศรัณย์พูดแค่นั้นก็ผลุนผลันออกไปทันควัน วีระเกาหัวแกรกๆ
“ทำไมมันวุ่นวายอย่างนี้วะ?”
อ่านต่อตอนที่ 14