ขุนเดช ตอนที่ 14
สัมฤทธิ์โดนวีรบุรุษบาปฟันไปที่หน้าจนเป็นรอยร้องโอดโอยดิ้นพราดๆ
“โอ้ยยยย...ข้ากลัวแล้ว ข้าสำนึกบาปกรรมแล้ว ปล่อยข้าไปเถอะ ข้าขอร้อง”
สัมฤทธิ์พยายามอ้อนวอนขอร้องในสภาพที่ตัวเองแขนหักไปข้างนึง ใบหน้ามีรอยบากเลือดเต็มหน้า
“หึ...คนชั่วอย่างเอ็งจะมาสำนึกบาปเอาตอนนี้มันสายไปแล้ว ที่เดียวที่จะทำให้เอ็งได้เห็นว่าเอ็งได้ทำบาปกรรมอะไรไว้บ้างก็มีแต่ในนรกเท่านั้น” วีรบุรุษบาปควงดาบด้วยเพลงดาบเดือนดับ “และเพลงดาบเดือนดับของข้าจะส่งให้เอ็งไปนรก...เดี๋ยวนี้”
สัมฤทธิ์หน้าเหวอวีรบุรุษบาปปรี่เข้าไปกำลังจะฟัน แต่ทันใดนั้นลมกรรโชกเข้ามาอย่างแรง วีรบุรุษบาปชะงักหันขวับ เสือเพิกยืนพนมมือบริกรรมคาถาแล้วเป่าพรวดใส่หุ่นปั้นด้วยดินเหนียวขนาดฝ่ามือ ชั่วครู่โหงพรายที่ปรากฏ ตัวในรูปของเมฆหมอกสีดำก็พวยพุ่งเข้าหาวีรบุรุษบาปจนต้องฟาดฟันใส่
“จะอยู่เฉยทำไมล่ะไอ้สัมฤทธิ์...รีบหนีไป”
สัมฤทธิ์รีบกระเสือกกระสนคลานหนี วีรบุรุษบาปจะตามแต่หมอกดำโหงพรายขัดขวางเข้าล้อมรอบตัว
วีรบุรุษบาปต้องใช้ดาบดำไล่ฟันจนหมอกดำโหงพรายจางหายไปพร้อมกับทั้งเสือเพิกและไอ้สัมฤทธิ์ให้เจ็บใจที่พลาดการจัดการกับคนบาปอย่างพวกมัน
เสือเพิกพยุงสัมฤทธิ์ที่บาดเจ็บหนักเข้ามาเจอกับกำนันบุญที่กลางทาง
“ไอ้สัมฤทธิ์”
“พ่อ...ช่วยชั้นด้วย...โอ้ยยยย”
“พวกเอ็งพาลูกข้าไปทำแผลเดี๋ยวนี้ อย่าให้ลูกข้าเป็นอะไรเด็ดขาด”
พวกลูกน้องรีบเข้าไปช่วยพยุงสัมฤทธิ์พาออกไป
“ขอบใจมากนะไอ้เสือเพิก”
“ไม่เป็นไรหรอกไอ้กำนัน สหายเดือดร้อนขอความช่วยเหลือมาข้าก็ต้องช่วยเป็นธรรมดา”
“แล้วไอ้วีรบุรุษบาปล่ะ เอ็งจัดการมันไปแล้วใช่มั้ย”
“ยัง...ดาบดำในมือของมันไม่ธรรมดา ขนาดโหงพรายของข้ายังเอาไม่อยู่ แต่ถ้าเจออีกทีล่ะก็ไม่แน่”
เสือเพิกยิ้มร้าย กำนันบุญยิ้มพอใจ
คำปันดีใจที่ยงยุทธพาดารากลับมา
“อาจารย์กับผู้หมวดปลอดภัยกลับมาน้าก็ดีใจ จะได้หมดห่วงซะที”
“โธ่แม่...อาจารย์หมอก็บอกอยู่แล้วว่าวีรบุรุษบาปไม่ได้ทำอะไรหมวดกับอาจารย์”
คำปันหันมาตีแขนบัวทอง
“แต่อยู่ๆ นึกจะมาลักพาตัวใครไปก็ได้แบบนี้มันใช้ได้ที่ไหน”
“เขาจำเป็นต้องทำจ้ะน้า...ถ้าไม่มีใครช่วย ยงยุทธก็อาจจะไม่รอดกลับมา”
“แต่การที่มันปล่อยให้ผมรอดกลับมาได้...มันคิดผิด”
“ยงยุทธ”
ยงยุทธมีสีหน้าจริงจังแล้วเดินออกไป ดารามีสีหน้าหนักใจ
ดาราตามยงยุทธออกมาที่หน้าบ้าน
“เดี๋ยวสิยงยุทธ เธอจะไปไหน”
“ไอ้สัมฤทธิ์ยังลอยนวล วีรบุรุษบาปต้องไล่ล่ามันแน่ แต่ผมจะไม่ยอมให้มันชิงตัดหน้าจัดการกับไอ้สัมฤทธิ์”
“แต่เธอเพิ่งจะดีขึ้นเองนะ ชั้นว่ากลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ”
“ให้ผมกลับไปนอนพักผ่อนแล้วรอดูมันเที่ยวถือดาบไล่ฆ่าคนน่ะเหรอ ไม่หรอกดาราตราบใดที่มันไม่หยุด ผมก็ไม่หยุด”
ยงยุทธเสียงแข็งจะออกไปแต่ดารายังรั้งดึงแขนไว้
“เดี๋ยวสิยงยุทธ...ฟังชั้นบ้างไม่ได้เหรอไง เขาช่วยเธอถึงขนาดนี้แล้ว ทำไมเธอไม่เลิกเกลียดเขาซะที”
ยงยุทธนิ่งไปแล้วหันมาแกะมือดารา
“ผมไม่มีทางญาติดีกับฆาตกรปากเสียแส่ไม่เข้าเรื่อง อย่างมันหรอก”
“ปากเสีย...เขาพูดอะไรกับเธอ” ดาราถามอย่างแปลกใจ ยงยุทธนิ่งไปมองดาราแล้วไม่ตอบอะไรเดินหุนหันออกไปทันที “ยงยุทธ”
ขุนเดชถอดผ้าขาวม้าออกจากหน้า ดาราอยู่กับขุนเดชในกระท่อม
“ไม่มีอะไรหรอกดารา ขุนเดชไม่สามารถบอกความจริงมันได้ ผมก็เลยให้วีรบุรุษบาปพูดความจริงให้มันยังมีหวังว่าคุณกับมันยังลงเอยกันได้”
“ขุนเดช”
“ขอโทษด้วยนะดารา...ลูกผู้ชายทุกคนต้องสู้เพื่อความรักกันทั้งนั้น ผมเลยไม่อยากให้มัน หมดไฟเพราะเรื่องที่เราไปโกหกมัน”
ดารางอนเข้าไปตีแขนขุนเดช
“เธอนี่นะขุนเดช ยงยุทธนิสัยมุทะลุชอบใช้แต่อารมณ์เป็นใหญ่ ชั้นกลัวว่าคราวนี้เขาจะยิ่งโกรธแค้นวีรบุรุษบาปมากกว่าเดิมน่ะสิ”
“ปล่อยให้มันแค้นผมไปเถอะ เพราะความโกรธแค้นก็คือพลังที่ทำให้สู้ได้ไม่ถอยด้วย”
“เหมือนอย่างที่เธอใช้ความโกรธแค้นมาทำให้เธอเป็นวีรบุรุษบาปน่ะเหรอ” ขุนเดชนิ่งไปสีหน้าจริงจังขึ้นผิดไปเป็นคนละคนทันที ดารารู้สึกสงสัยเข้าไปจับแขนดึงมาถาม “ขุนเดช...เธอวางแผนไว้แล้วใช่มั้ย เธอพยายามยั่วโมโหยงยุทธเพื่อให้เขาเป็นเหมือนเธอ เพราะเขาจะได้ทำหน้าที่ของวีรบุรุษบาปแทนหลังจากที่เธอ..”
ดาราพูดไปก็ชะงักเองเพราะไม่คิดว่าขุนเดชจะคิดแบบนี้
“ใช่ผมเคยบอกคุณว่าผมจะวางมือแต่กรรมที่ผมทำไว้ สุดท้ายผมก็ต้องชดใช้กรรมในนรกไม่ต่างจากไอ้โจรบาปที่ถูกผมฆ่าตาย”
“ขุนเดช...เธอคิดว่าเธอจะต้องตาย”
ขุนเดชมีสีหน้าหนักแน่นแล้วเดินออกไป ดาราได้แต่ยืนอึ้งตะลึง
วันต่อมาในห้องทำงานปราชญ์ ปราชญ์กำลังหัวเสียเป็นอย่างมากปัดข้าวของบนโต๊ะจนแตกกระจาย
“โธ่เว้ย”
คุณหญิงพยายามเข้าไปปลอบ
“ใจเย็นสิคะคุณ...ก็แค่ไอ้เด็กเมื่อวานซืนที่อาศัยบารมีพ่อมาอวด เบ่งใส่ อย่าไปถือสาเลย”
“เธอจะไม่ให้ชั้นสนใจเลยได้ยังไง เด็กหนุ่มไฟแรงอย่างมันกล้าพูดจาดูถูกชั้นกลางสภา ทำให้ชั้นเสียหน้า ถ้าเลือกตั้งคราวหน้ามันได้เก้าอี้ชั้นไปล่ะ จะเอาอะไรกินกัน...หา” ปราชญ์ยังไม่หายโมโหคว้าแก้วปาใส่ผนังจนแตกกระจายแล้วหันไปถามประดับ “เมื่อไหร่อาจารย์ก้องเกียรติจะมาถึง”
“อาจารย์ก้องเกียรติเพิ่งเสร็จธุระที่เพชรบูรณ์ ตอนนี้กำลังเดินทางมาครับ”
“ให้คนของแกเอารถไปรอรับ มาถึงเมื่อไหร่ให้พามาหาชั้นทันที”
“ครับท่าน”
ประดับออกจากห้องไปพร้อมกับคุณหญิงทิ้งให้ปราชญ์นั่งหัวเสียอยู่คนเดียว
ประดับกับคุณหญิงเดินออกมาที่ห้องโถง
“ชั้นไม่ได้อยากจะนินทาสามีลับหลังหรอกนะประดับ แต่ไอ้ที่เขาโดนเด็กรุ่นใหม่ดูถูกมามันก็สมควรแล้ว แก่แล้วถ้าบริหารงานไม่ไหวก็ต้องปล่อยให้เด็กรุ่นใหม่ๆ เขาทำบ้าง”
“คุณหญิงควรจะระวังหน่อยนะครับ ถ้าท่านได้ยิน ท่านอาจจะไล่คุณหญิงออกจากบ้าน”
“กลัวซะที่ไหน ทำอย่างกับทุกวันนี้เขาดูแลชั้นดีตายล่ะ จริงๆ นะประดับ ชั้นน่ะเบื่อจนไม่ รู้จะเบื่อยังไงแล้ว ชั้นว่าเขาน่าจะเลิกเล่นการเมืองแล้วปล่อยให้เป็นโอกาสของคนรุ่น ใหม่อย่างเธอขึ้นมาแทน”
“ผมเป็นแค่เลขาท่านนะครับ”
“เลขาอย่างเธอนั่นแหละเหมาะสมที่สุด เพราะเธอทำงานแทนเขามาตลอด ชั้นแทบไม่เคยเห็นเขาตัดสินใจอะไรจนกว่าจะได้รับคำตอบจากเธอ”
“เป็นเพราะท่านไว้ใจผม”
“ประดับ...ความสามารถของเธอมีมากเกินกว่าที่จะมาเป็นเลขาตามตาแก่บ้าอำนาจนั่นนะ ถ้าเขายอมผลักดันเธอล่ะก็เธอจะยิ่งใหญ่เหนือกว่าเขาเยอะ”
คุณหญิงพูดไปก็จับมือประดับมากุมแล้วพูดให้ความหวังจนประดับหันมาสีหน้าครุ่นคิดสนใจ
ประดับคุยกับเบิ้มที่มุมหนึ่งหน้าคฤหาสน์ เบิ้มตกใจสีน้าคิดไม่ถึง
“จะให้ผมทำอย่างนั้นจริงๆ เหรอครับนาย”
“เออสิวะ”
“แต่ว่า...ถ้าท่านรู้เรื่องเข้า ท่านไม่ไว้ชีวิตนายแน่”
“ชั้นรู้น่า งานนี้ชั้นต้องพนันครั้งใหญ่ ถ้าไม่เล่นหมดหน้าตัก แล้วชั้นจะยิ่งใหญ่ได้ยังไง ไปจัดการตามที่ชั้นสั่ง”
“ครับนาย”
เบิ้มออกไป ประดับหันมาจิกหน้าเหี้ยม
ขุนเดชกำลังตีเหล็กทำเครื่องมืออยู่ที่หน้าเตาหลอม เสียงจำเริญดังเข้ามา
“พี่ขุนเดช”
ขุนเดชหยุดชะงักแล้วหันไปเห็นจำเริญอยู่ในชุดนาคเตรียมจะเข้าพิธีบวช ในมือถือพานพุ่มขอขมา
“เอ็งกำลังจะเข้าพิธีบวชแล้วเหรอ”
“จ้ะพี่ ได้ข่าวว่าไอ้สัมฤทธิ์มันยังลอยนวลอยู่”
“มีคนมาช่วยมันไว้ได้ แต่มันจะลอยนวลได้ไม่นานหรอก”
“จ้ะ...ชั้นเชื่อว่าวีรบุรุษบาปจะต้องลงโทษมันได้ในเร็ววัน มันจะต้องได้รับกรรมที่มันก่อไว้ ไม่เว้นแม้แต่ชั้น”
“จำเริญ”
“คำสัญญาที่ชั้นได้บอกกับวีรบุรุษบาปไว้ชั้นจะไม่บิดพริ้วแน่นอน รอให้ชั้นบวชให้แม่ได้เห็นชายผ้าเหลืองของชั้น แล้วชั้นจะสึกออกมารับโทษที่ถูกลงทัณฑ์ไว้”
จำเริญถือพานพุ่มขอขมาลาสิกขาเข้ามากราบ ขุนเดชรับพานพุ่มมาแล้วมองจำเริญอย่างหนักใจ
“ชั้นพร้อมแล้วจ้ะพี่...มันผู้ใดทำกรรมมันผู้นั้นต้องรับกรรม อย่าให้มีใครหนีกรรมพ้น”
สัมฤทธิ์เจ็บใจโกรธแค้นเหวี่ยงกระจกส่องหน้าทิ้งจนแตกกระจายทันทีที่ได้เห็นหน้าตัวเองในกระจก กำนันบุญได้ยินเสียงก็รีบเข้ามา
“ไอ้สัมฤทธิ์...เป็นอะไรของเอ็งอีก”
สัมฤทธิ์หันหน้ามาเลยได้เห็นใบหน้าเต็มๆ ว่ามีรอยบาดแผลจากการถูกดาบดำฟันจนน่าเกลียดเสียโฉม
“พ่อก็ดูหน้าชั้นสิ ชั้นกลายเป็นไอ้หน้าบาก ชั้นต้องเสียโฉมเพราะมัน”
“เอ็งรอดตายมาก็ถือว่าดีเท่าไหร่แล้ว”
“แต่ชั้นไม่ยอมให้มันมาทำกับชั้นแบบนี้แน่ ทุกคนที่เกี่ยวข้องจะต้องถูกชั้นแก้แค้น”
สัมฤทธิ์จะออกไปแต่กำนันบุญคว้าคอเสื้อไว้
“หยุดเดี๋ยวนี้นะไอ้สัมฤทธิ์ ตอนนี้ตำรวจกำลังตามตัวเอ็งให้ทั่วสุโขทัย ถ้าขืนเอ็งออกไปซ่าอาละวาดไม่เข้าเรื่องอีก เอ็งได้ถูกวิสามัญนอนตายไม่ต่างจากหมาข้างถนนแน่”
“แต่ชั้นต้องแก้แค้น ชั้นอยากเอาคืนเพราะหน้าชั้นมันอุบาทว์ขนาดนี้...พ่อเห็นมั้ย”
“เป็นเสือเป็นโจรอยู่ในป่า มันต้องมีแผลเป็นให้ดูน่าเกรงขามสิวะไอ้หลานชาย ชาวบ้านเขาจะได้กลัวเอ็ง” เสือเพิกบอก
“ชั้นยอมเป็นเสือตามอา ประกาศศักดาอยู่ในป่านี่ก็ได้แต่ยังไงก็ต้องแก้แค้นเอาคืน ถ้าอาให้ชั้นยืมโหงพรายของอารับรองว่าตำรวจก็ทำอะไรชั้นไม่ได้”
“ไม่ได้เว้ย...โหงพรายเป็นของข้า ถ้าข้าไม่ตายมันก็ไม่ทำตามคำสั่งใครทั้งนั้น”
“แต่ว่า...”
“พอได้แล้วไอ้สัมฤทธิ์ ข้าสั่งไม่ให้เอ็งออกไปจากที่นี่เด็ดขาดเข้าใจมั้ย”
สัมฤทธิ์หงุดหงิดหัวฟัดหัวเหวี่ยง
“ก็ได้พ่อ”
สัมฤทธิ์รับปากแต่สีหน้ายังเจ้าคิดเจ้าแค้นไม่หาย
ที่วัด จำเริญนั่งพนมมือให้แม่ถือกรรไกรเข้ามาตัดผมตามพิธีก่อนบวช แม่จำเริญน้ำตาคลอเมื่อได้ตัดปอยผมลูก
“วันนี้เอ็งทำให้แม่ภูมิใจที่สุดนะไอ้จำเริญ”
“จ้ะแม่...ชั้นก็ดีใจที่ได้ทำหน้าที่ลูกให้แม่ได้ภูมิใจ”
“บวชเป็นพระแล้ว เอ็งต้องตั้งใจศึกษาพระธรรม ช่วยสืบสานพุทธศาสนานะ”
จำเริญนิ่งไปแอบหนักใจมองไปที่ขุนเดชซึ่งยืนมองอยู่ไกลๆ
“จ้ะแม่”
แม่จำเริญดีใจที่ลูกรับปาก ขุนเดชยืนมองสีหน้าครุ่นคิดได้ครู่ยงยุทธก็เข้ามา
“นาคที่กำลังจะเข้าพิธีบวชคือนายจำเริญ คนงานในไร่ของกำนันบุญใช่มั้ย”
“ใช่...แกมีอะไร”
ยงยุทธมีสีหน้าจริงจังจนขุนเดชแปลกใจ
ขุนเดชกับยงยุทธมาที่หน้าโบสถ์ที่กำลังมีพิธีแห่นาควนรอบโบสถ์ เสียงดนตรีประโคมดังชาวบ้านรำแห่นาค
“ชั้นว่าแกมาสอบปากคำตอนนี้คงไม่เหมาะ”
“พอดีชั้นเพิ่งสืบมาได้ว่ามีคนงานในไร่ของกำนันบุญไปช่วยเหลือไอ้สัมฤทธิ์ลักพาตัวดารากับนักศึกษา”
“งั้นแกก็คงต้องรอให้จำเริญบวชเป็นพระเสร็จก่อนแกถึงจะไปถามได้”
ยงยุทธนิ่งไปมองจำเริญที่ถูกแห่เข้าไปในโบสถ์
เสือเพิกเดินมาส่งกำนันบุญที่กระท่อมกลางป่า
“ข้าฝากเอ็งดูแลไอ้สัมฤทธิ์แทนข้าด้วย ถ้าข้าหายไปนานๆ พวกตำรวจมันจะสงสัยเอาได้”
“เอ็งไม่ต้องห่วง เห็นกันมาตั้งแต่ตัวเล็กตัวน้อย มันก็ลูกหลานข้าเหมือนกัน”
“เฮ้อ...มันน่ะชอบใจร้อน ทำอะไรไม่ยั้งคิด หาแต่เรื่องเดือดร้อนมาให้ข้าตลอด”
“ฮ่าๆๆ มันก็เหมือนเอ็งตอนหนุ่มๆ นั่นแหละโว้ย ลุยดะมันไปทั่ว ใครขวางหน้าเป็นฆ่า แม้แต่พ่อเอ็งก็ยังเอาไม่อยู่”
“แต่ไอ้สัมฤทธิ์ไม่เหมือนข้า...ฝีมือมันยังไม่ดีพอ ข้าถึงต้องพึ่งเอ็งให้ช่วยพามันไปฝึก”
“ได้...พรุ่งนี้เช้าข้าจะพามันไปจากที่นี่ เอ็งคงจะไม่ได้เจอหน้ามันอีกนาน แต่เมื่อไหร่ที่มันกลับมาหาเอ็งอีกครั้ง มันอาจจะเก่งกว่าเอ็งแล้วก็ได้”
“ขอบใจเอ็งมากสหาย”
กำนันบุญตบบ่าเสือเพิกแล้วเดินออกไป สัมฤทธิ์แอบฟังพ่อคุยกับเสือเพิกแล้วสีหน้าครุ่นคิดตัดสินใจ
“จะให้ชั้นไปโดยไม่ได้แก้แค้น ชั้นทำไม่ได้หรอกพ่อ อย่างชั้นถนัดแต่ล่าไม่ถนัดหนี”
แววตาของสัมฤทธิ์อาฆาตเจ็บใจ
ที่หน้าโบสถ์จำเริญบวชเป็นพระเรียบร้อยแล้วและได้ก้าวออกมาจากโบสถ์พร้อมห่มจีวรดูน่าเลื่อมใส
แม่จำเริญคุกเข่าพนมมือไหว้พระลูกชายน้ำตาคลอเบ้าด้วยความปิติ
“งดงามเหลือเกิน เพียงแค่นี้โยมแม่ก็ตายตาหลับแล้ว”
“เห็นโยมแม่ดีใจแบบนี้ ชั้นก็พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมการบวชถึงเป็นกุศลอันยิ่งใหญ่ เพราะบุญกุศลใดก็ไม่ยิ่งใหญ่เท่าทำให้บุพการีมีความสุข”
“โยมแม่มีความสุขจริงๆ ค่ะพระ ไว้พรุ่งนี้โยมแม่จะมาตักบาตร”
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะโยมแม่...ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงก็พักอยู่ที่บ้านเถอะ ถ้าโยมแม่มาชั้นจะกังวลพลอยไม่ได้ทำหน้าที่ศึกษาพระธรรม”
“จ้ะพระ”
แม่จำเริญยกมือพนมไหว้ พระจำเริญยิ้มให้โยมแม่แล้วหันไปมองเห็นขุนเดชพายงยุทธเข้ามายืนรอ
พระจำเริญกราบพระพุทธรูปปางประทานอภัยที่ได้มาจากขุนเดชและนำมาไว้ในกุฏิแล้วหันมาที่ยงยุทธกับขุนเดช
“เรื่องนั้นชั้นไม่รู้เรื่องอะไรเลย”
“แต่ผมเจอศพคนงานในไร่กำนันบุญถูกทิ้งไว้บนเขา 2 ศพ และนักศึกษาที่ถูกลักพาตัวไปเล่าว่ามีคนงาน 3 คนที่ไปช่วยนายสัมฤทธิ์”
“โยมสงสัยว่าชั้นจะเป็นคนที่โยมตามหางั้นเหรอ” ยงยุทธนิ่งไป
“พระท่านไม่ใช่คนที่แกสงสัยอยู่หรอกยงยุทธ ชั้นเป็นพยานได้เพราะว่าชั้นนี่แหละที่เป็นธุระจัดการเรื่องบวชให้ท่าน คนกำลังจะบวชไม่มีทางทำเรื่องแบบนั้นได้หรอก”
ขุนเดชกับจำเริญมองหน้ากัน
“ถ้าผมสงสัยผิดคนก็ต้องกราบขอโทษท่านด้วย”
“ไม่เป็นไรหรอกโยม ชั้นเข้าใจว่าโยมต้องทำตามหน้าที่”
ยงยุทธเดินลงมาจากกุฏิ ขุนเดชกับพระจำเริญยืนมองจากบนนั้น
“ขอบใจนะพี่ขุนเดช”
“ท่านยังห่มผ้าเหลืองอยู่ เรื่องโกหกให้เป็นหน้าที่ผมจะดีกว่า”
“แต่ชั้นไม่ใช่พระตั้งแต่ตอนที่ชั้นก้าวออกมาจากโบสถ์แล้วผิดศีลด้วยการโกหกแม่ ตอนนี้ชั้นก็คือคนบาปที่ใช้ผ้าเหลืองปกป้องตัวเอง” ขุนเดชนิ่งเงียบแล้วหันมามองพระจำเริญ “ตามที่ชั้นสัญญากับพี่ไว้ พี่จะมาตัดสินลงโทษชั้นเมื่อไหร่ก็ได้ ชั้นไม่หนีไปไหนแน่นอน”
ขุนเดชมองพระจำเริญแล้วมองผ่านไปที่พระพุทธรูปปางประทานอภัยที่ตั้งอยู่ที่แท่นบูชา
ที่กระท่อม ขุนเดชมาหยิบดาบดำที่ซุกซ่อนไว้แล้วจ้องเขม็ง ดาบดำค่อยๆ ถูกดึงออกจากฝักช้าๆ ด้วยสีหน้า ที่หนักใจของขุนเดชเมื่อนึกถึงวันที่มอบพระพุทธรูปปางประทานอภัยให้จำเริญกับแม่
“ศรัทธาไม่ได้อยู่ที่วัตถุ แต่อยู่ที่คุณงามความดีที่พระพุทธองค์ทรงปฏิบัติเป็นตัวอย่าง แม้พระเจ้าอชาตศัตรูจะเคยส่งนายธนูไปลอบปลงพระชนม์องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เมื่อรู้สึกสำนึกผิดต่อบาปมหันต์ พระพุทธองค์ก็ทรงประทานอภัย”
ขุนเดชกำดาบดำแน่นแววตาเต็มไปด้วยความลำบากใจและยากที่จะตัดสินความผิดครั้งนี้
เบิ้มขับรถเข้ามาในโกดังร้างแห่งหนึ่ง ก้องเกียรติอดแปลกใจไม่ได้ว่าเบิ้มพามาที่นี่ทำไม
“นี่แกพาชั้นมาที่นี่ทำไม ชั้นมีนัดกับท่านนะ”
เบิ้มไม่ตอบอะไรลงจากรถแล้วเปิดประตูให้ก้องเกียรติ
“กรุณาลงจากรถด้วยครับอาจารย์ก้องเกียรติ”
ก้องเกียรติชักระแวง
“ไม่...พาชั้นกลับไปหาท่านเดี๋ยวนี้”
“ผมขอดีๆ แล้วนะครับ อย่าให้ผมต้องใช้กำลังกับอาจารย์”
เบิ้มชักปืนที่เอวออกมาจ่อหน้า ก้องเกียรติตกใจ ประดับเข้ามา
“เฮ้ย...ชั้นบอกแล้วไงไอ้เบิ้ม ต้องไม่ทำให้อาจารย์เขากลัว”
เบิ้มลดปืนลงแล้วเก็บเข้าที่เดิมเปิดทางให้ประดับเข้ามาที่ก้องเกียรติ
“ประดับ...นี่มันเรื่องบ้าอะไรของแก”
“ผมมีเรื่องอยากคุยกับอาจารย์”
“คุยกับชั้น โดยมีปืนขู่แบบนี้เนี่ยนะ พูดมาตรงๆ ดีกว่าประดับ แกต้องการอะไรกันแน่”
“ถ้าอาจารย์พอจะเข้าใจก็ดี ผมจะได้ไม่ต้องพูดมากเราจะได้เข้าเรื่องธุรกิจที่เราต้องมาตกลงกัน”
ก้องเกียรติหรี่ตามอง ประดับยิ้มเจ้าเล่ห์สุดๆ
ก้องเกียรติปฏิเสธเสียงแข็งใส่ประดับ
“ไม่...ชั้นไม่ร่วมมือกับแกหักหลังท่านเด็ดขาด”
“คิดให้ดีก่อนตอบนะครับอาจารย์ ผลประโยชน์ที่อาจารย์จะได้มันมากขึ้นกว่าเท่าตัวที่ท่านให้อาจารย์”
ก้องเกียรตินิ่งไปครู่
“แกจะมีปัญญาเอาที่ไหนมาให้ชั้น”
“ก็ถ้าอาจารย์ทำตามที่ผมบอก ช่วยให้ผมได้ขึ้นมาแทนที่ท่าน” ประดับยิ้มร้ายแล้วเข้าไปทำเป็นจัดปกเสื้อให้ “อาจารย์อยากจะได้เพิ่มอีกผมก็ไม่มีปัญหา” ก้องเกียรติมองสายตาประดับที่ยิ้มร้ายใส่ดูมันช่างเป็นอสรพิษที่น่ากลัวซะเหลือเกิน “หึ...มันไม่น่าจะตัดสินใจยากหรอกนะอาจารย์ ก็รู้อยู่ว่าทุกวันนี้ท่านแทบจะไม่ทำอะไร นอกจากให้ผมจัดการไปหมดซะทุกเรื่อง ปล่อยให้ท่านได้พักผ่อนตามประสาคนแก่น่าจะเป็นการดีแล้วไม่ใช่เหรอครับ”
“ชั้นไม่เอาด้วย...ชั้นไม่ร่วมมือกับแก”
ก้องเกียรติจะเดินออกไปประดับเลยชักปืนออกมาแล้วยิงขึ้นฟ้า...เปรี้ยง ก้องเกียรติชะงัก
“ผมสุภาพกับอาจารย์มากที่สุดแล้วนะครับ แต่ถ้าอาจารย์ยังทำหยิ่งใส่ผมอีกล่ะก็พรุ่ง นี้เช้าก็เตรียมอ่านข่าวลูกเมียของอาจารย์ประสบอุบัติเหตุตายสยองทั้งคู่แน่”
“แก”
ประดับยิ้มร้ายหัวเราะลั่น
“ฮ่าๆๆๆๆ”
เสือเพิกเข้ามาหาสัมฤทธิ์ที่กระท่อมแต่ไม่เจอสัมฤทธิ์
“ไอ้สัมฤทธิ์…ไอ้สัมฤทธิ์” เสือเพิกเริ่มแปลกใจสงสัยรีบไปดูที่ย่ามตัวเองที่แขวนข้างฝา เสือเพิกไม่เจอหุ่นดินเหนียวโหงพราย “ไอ้เด็กเวรเอ้ย”
สัมฤทธิ์ก้าวเข้ามาในวัด เห็นรอยแผลเป็นบนหน้าในมือมันกำหุ่นดินเหนียวโหงพรายของเสือเพิกเอาไว้
“ไอ้จำเริญ คิดว่าหนีกูมาบวชแล้วกูจะอโหสิให้มึงเหรอ...ถุย”
สัมฤทธิ์ก้าวเขาไปในวัดอย่างเอาเรื่อง
ขุนเดชกำดาบดำแน่นมุ่งมั่นตัดสินใจแล้วเดินออกจากกระท่อม ยงยุทธหลบอยู่ที่หลังต้นไม้ห่างจากบริเวณกระท่อมมองตามขุนเดชด้วยสีหน้าสงสัยแล้วนึกถึงสิ่งที่ตัวเองคุยกับจ่าแท่นที่สถานีตำรวจก่อนหน้านี้
“หมวดไม่เชื่อที่พระจำเริญบอกเหรอครับ”
ยงยุทธพยักหน้ารับ
“ผมมั่นใจว่าพระจำเริญคือคนงานที่ไปช่วยไอ้สัมฤทธิ์ลักพากตัวดารากับฃนักศึกษา”
“แต่ขุนเดชเป็นพยานยืนยันว่าพระจำเริญไม่เกี่ยวข้อง แล้วที่สำคัญพระสงฆ์องค์เจ้า จะมาโกหกผิดศีลได้ยังไง”
“เราพุทธศาสนิกชนล้วนกราบไหว้พระสงฆ์เพราะศรัทธาต่อคำสอนของพระพุทธองค์ ถ้าพระจำเริญผิดจริงแล้วใช้ผ้าเหลืองปกป้องตัวเอง เราก็ไม่สมควรจะเรียกเขาว่าพระ”
“งั้นผู้หมวดคงต้องหาทางพิสูจน์ให้ได้ก่อนว่าพระจำเริญทำผิดจริงๆ”
“คืนนี้แหละจ่า...ผมจะตามสืบจากขุนเดช”
ขุนเดชถือดาบกำลังมุ่งหน้าไปที่กุฏิ ยงยุทธแอบสะกดรอยตามมาตลอดทางแต่ขุนเดชก็รู้ตัวว่ากำลังถูกตาม
ขุนเดชหยุดที่กลางทาง ยงยุทธรีบหลบหลังต้นไม้รออยู่ครู่จนแน่ใจว่าจะไม่ถูกเห็นจึงเดินออกมาแต่ไม่พบขุนเดชแล้ว
“หายไปไหนแล้ววะ”
ยงยุทธเจ็บใจแต่รีบเดินไปตามหาต่อ
ภายในกุฏิพระจำเริญนั่งสวดมนต์อยู่หน้าพระพุทธรูปปางประทานอภัย ขณะที่กำลังกราบพระเท้าของใครบาง คนก็เดินเข้ามา พระจำเริญสูดลมหายใจลึกๆ อย่างตั้งใจ
“มาแล้วเหรอวีรบุรุษบาป ขอเวลาให้ชั้นได้ถอดจีวรก่อนจะได้มั้ย ชั้นไม่อยากให้เลือดคนบาปเปรอะเปื้อนสิ่งศักดิ์สิทธิ์”
“หึ..นึกแล้วไม่ผิดว่าเอ็งนั่นแหละที่หักหลังข้า...ไอ้จำเริญ”
จำเริญอึ้งไปเมื่อหันไปเห็นสัมฤทธิ์หน้าบากถือปืนจ้องมาที่ตน
“พี่สัมฤทธิ์”
“ไอ้เลวเอ้ย..เอ็งไปบอกให้วีรบุรุษบาปตามไปจัดการข้า แต่คนอย่างข้ามันยังไม่ถึงคราวตายหรอกเว้ย”
“ถ้าข้ามันเลว เอ็งมันก็โคตรเลว ถึงวันนี้เอ็งอาจจะรอดจากกรรมของเอ็ง แต่กรรมจะต้องตามไปจัดการกับเอ็งอย่างสาสมแน่นอน”
“ฮ่าๆๆ บวชพระไม่ทันจะข้ามวัน ทำเป็นเอาคำพระมาสอนข้า ผ้าเหลืองมันไม่ช่วยให้เอ็งรอดตายหรอกเว้ยไอ้จำเริญ”
สัมฤทธิ์ยิ้มร้ายนิ้วแตะไกปืน จำเริญผงะ
ยงยุทธตามเข้ามาแต่หาตัวขุนเดชไม่เจอ ระหว่างนั้นรู้สึกว่ามีคนโผล่มาข้างหลังจึงตั้งรับทันใดนั้นวีรบุรุษบาปปรี่เข้ามาเล่นงาน ยงยุทธเลยฉากหลบ
“วีรบุรุษบาป ไอ้หมาลอบกัด”
“ถ้าผมคิดจะเล่นงานคุณให้ตาย ป่านนี้คุณตายแล้วเกิดใหม่ไปหลายรอบแล้วผู้หมวด”
“อย่าดีแต่ราคาคุย...ถ้าคิดจะทำเรื่องชั่วๆ ต่อแกก็ต้องฆ่าชั้นให้ได้”
ยงยทธชกเข้าหน้าวีรบุรุษบาปจนกระเด็น ยงยุทธตามไปลุยอีกหลายเพลงหมัด วีรบุรุษบาปตั้งรับก่อนจะรุกกลับแลกหมัดเข่าศอกกันนัว ก่อนจะใช้สองมือจับหมัดกันและกันงัดแรงใส่จ้องเขม็ง
“ผมเตือนคุณแล้วนะหมวด คนอย่างไอ้สัมฤทธิ์มันต้องถูกลงโทษด้วยความตาย”
“ชั้นปล่อยให้มันตายไม่ได้ ชั้นต้องเอามันมารับโทษตามกฏหมาย”
“แต่คนที่ไม่เคยสำนึกผิดต่อบาปอย่างมัน ติดคุกแค่ไม่กี่ปีมันก็ออกมาทำเลวอีก ผมถึงต้องฆ่ามัน”
“ถ้าความเลวของมันสมควรต้องรับโทษถึงตาย คนที่จะตัดสินก็คือศาลยุติธรรม และคนที่จะฆ่ามันได้ก็มีแต่เพชรฆาตในเรือนจำ...ไม่ใช่แก”
สองคนงัดแรงใส่กันชนิดไม่มีใครยอมใคร ทันใดนั้นเสียงดังขึ้น..เปรี้ยง
ทั้งคู่หันขวับไปทางเสียงปืน วีรบุรุษบาปอาศัยจังหวะเผลอศอกเข้าหน้ายงยุทธแล้วซ้ำอีกหลายหมัดก่อนจะกระแทกศอกเข้าที่แผลของยงยุทธจนทรุดแล้วรีบหนีไปอย่างรวดเร็ว
“ไอ้วีรบุรุษบาป”
ยงยุทธจะตามแต่เจ็บแผลจนเลือดซึมออกมา
จำเริญยังห่มจีวรถูกยิงได้รับบาดเจ็บเลือดเต็มมือล้มลุกคลุกคลานหนีสัมฤทธิ์ที่ไล่ยิงมาตามหลัง
“หนีให้รอดนะไอ้จำเริญ คนที่คิดหักหลังไอ้สัมฤทธิ์ มันมีแต่ตายกับตายเท่านั้นเว้ย”
สัมฤทธิ์ยิงใส่ไม่ยั้ง...เปรี้ยงๆๆ ปล่อยให้จำเริญคลานกระเสือกกระสนหายไปแล้วหัวเราะสะใจเอากระสุนมาเติมลูกโม่อย่างใจเย็น
ติดตามอ่านขุนเดช ตอนที่ 14 (ต่อ) พรุ่งนี้
ขุนเดช ตอนที่ 14
จำเริญเลือดเต็มตัวเปรอะจีวรเดินเซเข้ามาล้มลง วีรบุรุษบาปเข้ามาช่วยประคองเอาไว้
“จำเริญ”
“พะ…พะ…พี่ขุนเดช
“ใคร”
“ไอ้...ไอ้สัมฤทธิ์”
ขุนเดชเจ็บใจขบกรามแน่นแล้วช่วยเอามือกดแผลให้จำเริญ
“พี่จะพาเอ็งไปหาหมอ”
“ปล่อย..ปล่อยชั้นให้ตายไปเถอะจ้ะพี่ขุนเดช” จำเริญกระอักเลือดออกมาเพราะอาการหนักมากจนเกินรักษา
“มันเป็นบาปกรรมที่ชั้นเตรียมรับไว้...ไว้แล้ว”
“ไม่...ข้าจะไม่ปล่อยให้เอ็งตาย”
“ทำ...ทำไมล่ะพี่...ชั้นเป็นคนบาป ถ้าไม่ตายเพราะไอ้สัมฤทธิ์ ชั้นก็ต้องตายเพราะดาบดำของวีรบรุษบาป”
“ข้าไม่ได้มาเอาชีวิตเอ็ง ข้ามาอโหสิกรรมให้เอ็งต่างหาก”
“พี่...พี่ขุนเดช”
“เอ็งสำนึกต่อบาป ข้าก็ควรต้องอภัยให้”
จำเริญน้ำตานองหน้าอย่างซึ้งใจ
“ขอบ...ขอบใจจ้ะพี่...แต่...แต่ถึงพี่จะอโหสิกรรมให้ชั้น ชั้น...ชั้นก็ยังต้องชดใช้กรรม เพราะไม่มีใครหนีบาปกรรมพ้น”
จำเริญสะดุ้งเฮือกกระอักเลือดออกมาแล้วแน่นิ่งไป
“จำเริญ...จำเริญ”
จำเริญแน่นิ่งไปตาเบิกค้างมือตก ขุนเดชเวทนาสงสารช่วยเอามือปิดตาให้จำเริญได้ตายอย่างสงบแล้วฉีกจีวรที่เปื้อนเลือดเอามาพันที่ด้ามดาบดำแววตาดุดันเอาจริง
สัมฤทธิ์ถือปืนเดินเข้ามามองหาจำเริญ แต่ระหว่างนั้นวีรบุรุษบาปก้าวเข้ามายืนน่ากลัวจ้องเขม็ง
“ไอ้วีรบุรุษบาป โผล่หัวมาได้ก็ดีวันนี้แหละข้าจะกระชากหน้ากากของเอ็งออกมา”
“ไอ้สัมฤทธิ์ไอ้คนใจบาป แม้แต่คนที่สำนึกต่อบาป แม้แต่ผ้าเหลืองเอ็งก็ไม่ละเว้น เอ็งจะต้องตกนรกไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด เป็นผีเปรตไปชั่วกัปป์ชั่วกัลป์”
วีรบุรุษบาปชักดาบดำออกจากฝัก สัมฤทธิ์หัวเราะสะใจ
“มาเลยไอ้วีรบุรุษบาป แผลเป็นบนหน้าข้ากำลังรอเอาคืน” สัมฤทธิ์เอาหุ่นดินเหนียวโหงพรายขึ้นมาหวังจะเรียกผีโหงพรายให้มาช่วยจัดการกับวีรบุรุษบาป “คราวนี้เอ็งไม่รอดจากโหงพรายแน่” วีรบุรุษบาปยังถือดาบเดินเข้าไปอย่างไม่เกรงกลัวจนสัมฤทธิ์เริ่มหวาดเสียวเพราะโหงพรายไม่ออกมาสักที “ออกมาสิวะโหงพราย...ออกมาจัดการกับมันสิเว้ย”
สัมฤทธิ์พยายามเรียกเท่าไหร่แต่โหงพรายก็ไม่ออกมา วีรบุรุษบาปเข้ามาฟันสัมฤทธิ์ผงะถอยหลบหวุดหวิดโดน
“ซวยแล้วไงกู”
สัมฤทธิ์พยายามคลานหนีแต่ถูกวีรบรุษบาปกระชากตัวมาซ้อมจนสะบักสะบอมและเตรียมจะตัดสินด้วยดาบ แต่ทันใดนั้นเสือเพิกโผล่เข้ามายิงใส่เพื่อถ่วงเวลาแล้วรีบเข้าไปช่วยสัมฤทธิ์
“มานี่เลยไอ้สัมฤทธิ์...ไปกับข้าเดี๋ยวนี้”
เสือเพิกรีบลากตัวสัมฤทธิ์พาออกไป วีรบุรุษบาปไม่ยอมปล่อยให้พวกมันหนีมองตามหน้าตาเอาเรื่อง
เสือเพิกลากคอสัมฤทธิ์เข้ามาในป่าพอเห็นว่าปลอดภัยก็เหวี่ยงสัมฤทธิ์กระเด็นไปกระแทกต้นไม้
“ไอ้เด็กเมื่อวานซืนเอ้ย”
เสือเพิกตามไปตบหน้าอีกที สัมฤทธิ์เลือดกบปาก
“เบาหน่อยสิอา ชั้นเจ็บนะ”
“ข้าน่าจะกระทืบเอ็งให้หนักกว่านี้ด้วยซ้ำ ถ้ามาช่วยเอ็งไม่ทันเอ็งโดนมันฆ่าตายไปแล้ว”
“ก็โหงพรายของอามันกระจอกใช่การอะไรก็ไม่ได้”
เสือเพิกกระชากคอเสื้อสัมฤทธิ์มาตะคอกทันที
“อย่ามาดูถูกโหงพรายของข้าที่เอ็งเรียกใช้ไม่ได้เพราะมันทำตามคำสั่งเจ้าของมันคนเดียวเท่านั้น ถ้าข้าไม่ตายมันไม่มีทางฟังคนอื่น”
“งั้นอาก็ใช้โหงพรายของอาไปจัดการไอ้วีรบุรุษบาปให้ชั้น ชั้นจะได้หายแค้นมันซะที”
“นี่เอ็งใช้ข้าเหรอ...ไอ้เด็กเวร”
เสือเพิกเข้าไปทั้งตบหัวตบหน้าสัมฤทธิ์สั่งสอนไม่ยั้งมือ
“ชั้นเจ็บนะอา...โอ๊ย...พอได้แล้ว”
“ข้าเหลืออดกับเอ็งเต็มทนแล้ว ถ้าพ่อกำนันเอ็งไม่ใช่เพื่อนข้าล่ะก็เอ็งโดนข้าจับส่งให้ไอ้วีรบรุษบาปมันตัดคอไปแล้ว”
“หึ...ที่ไม่ยอมช่วยชั้นเพราะแกกลัวไอ้วีรบุรุษบาปใช่มั้ย”
“ไอ้สัมฤทธิ์”
“โธ่เอ้ยไอ้เสือเพิก อย่างแกมันก็แค่ไอ้เสือแก่ๆ ไม่มีน้ำยา ยอมรับเถอะวะว่าหมดยุคของแกแล้ว”
เสือเพิกเจ็บใจที่ถูกสัมฤทธิ์ต่อว่าจึงผลักสัมฤทธิ์กระเด็นแล้วชักดาบออกมาหมายจะเล่นงาน
“ถ้าข้าไม่สั่งสอนเอ็งต่อไปจะไม่มีใครกำราบเอ็งได้”
เสือเพิกปรี่เข้าไปจะฟัน แต่สัมฤทธิ์กลับยิ้มร้ายเหมือนเตรียมการไว้แล้ว พอเสือเพิกเข้ามาใกล้สัมฤทธิ์ก็ชักปืนยิงใส่ทันที...เปรี้ยงๆๆๆๆ เสือเพิกถูกยิงใส่จนพรุนไปทั้งร่างทรุดฮวบ
“ไอ้...ไอ้สัมฤทธิ์”
“หึๆๆ บอกแล้วว่าแกมันก็แค่ไอ้เสือแก่ไร้น้ำยา” สัมฤทธิ์ยกเท้าถีบเสือเพิกจนล้มแล้วเข้าไปแย่งเอาหุ่นดินเหนียวโหงพรายมา “ถ้าข้าฆ่าไอ้วีรบุรุษบาปได้ ชื่อเสียงของข้าก็จะดังกระฉ่อน แม้แต่พ่อข้าก็จะต้องยอมรับว่าข้าคือคนที่เก่งที่สุดของสุโขทัย”
สัมฤทธิ์เอาหุ่นดินเหนียวโหงพรายขึ้นมาจบ ทันใดนั้นหมอกควันของผีโหงพรายก็ลอยออกมาล้อมรอบสัมฤทธิ์
สัมฤทธิ์หัวเราะสะใจ
“มาเลยไอ้วีรบุรุษบาป คืนนี้แหละจะเป็นวันตายของแก...ฮ่าๆๆๆๆ”
ปราชญ์รออยู่ในห้องสะสมโบราณวัตถุ ประดับพาตัวก้องเกียรติเข้ามา
“อาจารย์ก้องเกียรติ ทำไมถึงมาช้านัก รู้มั้ยว่าผมมีเรื่องร้อนใจอยากให้อาจารย์ช่วย”
“เอ่อ...คือ”
ก้องเกียรติหันไปมองหน้าประดับที่จ้องหน้าขู่แล้วหันไปแก้ตัวแทนก้องเกียรติ
“ภรรยาของอาจารย์ไม่ค่อยสบายครับท่าน เลยต้องวุ่นวายพาไปโรงพยาบาล”
“ถ้าแค่ไม่สบายธรรมดาให้คนของผมจัดการเป็นธุระให้ก็ได้ เพราะเรื่องผมมันด่วนกว่า”
“ท่านจะให้ผมช่วยอะไรครับ”
“อีกนานมั้ยกว่าจะหาโลหะศักดิ์สิทธิ์โบราณครบ 7 อย่างเพื่อทำให้ชั้นเป็นสัตตะโลหะบุรุษ”
“ไม่ใช่ในเร็วๆ นี่แน่นอนครับท่าน เพราะว่าชิ้นที่เหลือผมยังเลือกโลหะศักดิ์สิทธิ์โบราณที่มีคุณสมบัติเหมาะสมไม่ได้”
“แต่ผมรอไม่ได้แล้วนะอาจารย์ ผมกำลังโดนเด็กมันถอนหงอก ถ้าผมไม่ทำอะไรสักอย่างในวันนี้พรุ่งนี้ ผมไม่เหลืออะไรแน่” ก้องเกียรตินิ่งไปแล้วหันไปมองประดับที่พยักหน้าให้ก้องเกียรติเข้าใจ “ว่าไงล่ะอาจารย์ ต้องหาทางช่วยผมให้ได้ภายในวันนี้ ถ้าทำไม่ได้อาจารย์ก็ไม่มีประโยชน์สำหรับผมอีกแล้ว ผมจะทำเรื่องย้ายอาจารย์ให้ไปขุดดินขุดหินอยู่ในป่า”
“ถ้าท่านต้องการจริงๆ และไม่มีทางเลือกอื่น ผมก็พอจะช่วยทำพิธีเสริมบารมีให้ท่านก่อนได้ครับ”
“จริงนะอาจารย์”
“ครับท่าน...จะไม่มีใครกล้าลบหลู่ดูหมิ่นท่าน จะมีแต่คนหวั่นเกรง เคารพนบนอบเหมือนว่าท่านเป็นจอมคน”
“ดี...งั้นก็รีบจัดการเลย”
ปราชญ์ยิ้มดีใจ ก้องเกียรติกับประดับมองหน้ากัน ประดับยิ้มพอใจ
ปราชญ์นั่งอยู่ท่ามกลางโลหะศักดิ์สิทธิ์โบราณ ประดับนำรูปปั้นนางรำทองคำไปประจำที่ทิศบูรพา (ตะวันออก) ก้องเกียรติโยงสายสิญจ์จากโลหะศักดิ์สิทธิ์แต่ละชิ้นให้เข้ามารวมอยู่ในมือของปราชญ์
“ท่านครับ ผมอยากบอกท่านไว้ก่อนว่าเพราะการตามหาโลหะศักดิ์สิทธิ์ยังไม่ครบตามจำนวนที่ต้องการ แต่เราต้องเร่งทำพิธีก่อนมันอาจจะมีผลตามมากับท่านได้”
“หนักหนารึเปล่าล่ะ”
ก้องเกียรตินิ่งไปครู่
“ไม่ครับ”
“ถ้าไม่มากมายอะไรก็ไม่ต้องถามให้เสียเวลารีบจัดการซะ”
“ครับท่าน”
ปราชญ์รับสายสิญจ์มาถือเอาไว้ ก้องเกียรติถอยไปบริกรรมคาถาแสงไฟในห้องกระพริบ ความศักดิ์สิทธิ์ของโลหะวัตถุโบราณล่องลอยเป็นสีทองออกมาจากสมบัติแต่ละชิ้น แล้วพวยพุ่งเข้าหาปราชญ์อย่างรุนแรงจนปราชญ์ถึงกับร้องออกมาเสียงดังเหมือนกับของแรงๆ พุ่งเข้าหาตัว
“อ๊ากกกกกกกก”
ไฟในห้องดับพรึบ ปราชญ์แน่นิ่งไป
“อาจารย์ก้องเกียรติ”
ก้องเกียรติไม่พูดอะไรชูมือให้ประดับอยู่เฉยๆ รอดูปราชญ์ที่ค่อยๆ รู้สึกตัว
“อาจารย์ก้องเกียรติ…ชั้น...ชั้นรู้สึกไม่เหมือนกับทุกครั้งที่อาจารย์ทำพิธีให้ชั้น”
“ครับท่าน...การทำพิธีที่สมบูรณ์โดยยังไม่มีของครบจำนวน ถ้าผู้รับไม่พร้อมที่จะเป็นสัตตะโลหะบุรุษแทนที่จะส่งผลดีจะเป็นตรงกันข้าม”
“หมายความว่ายังไง” พูดไม่ทันจบปราชญ์ก็สะดุ้งเฮือกแล้วกระอักเลือดออกมาเป็นลิ่มๆ “นี่...นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับชั้น”
เลือดทะลักออกมาเต็มปากปราชญ์แล้วทำให้หมดสติแน่นิ่งไปทันที
“อาจารย์…ผมบอกไม่ให้ทำให้ท่านตายไง” ประดับบอกอย่างตกใจ
“ใจเย็นๆ ท่านยังไม่ตายหรอก แต่พอท่านฟื้นขึ้นมานี่สิ จะยิ่งกว่าตายซะอีก ทีนี้คุณจะทำอะไรก็ได้ตามที่คุณต้องการ”
ประดับยิ้มพอใจ
“ถ้าอาจารย์ยืนยันอย่างนั้นก็เท่ากับว่า...” ประดับยื่นมือออกไป “ธุรกิจครั้งนี้ของเราเป็นอันจบลงด้วยดี”
คืนนั้นคำปันกับจ่าแท่นคุยกันเรื่องการตายของจำเริญ โดยมีบัวทองกับดาราอยู่ด้วย
“พระจำเริญน่ะเหรอถูกฆ่าตายแล้ว”
“ใช่…หมวดไปพบศพอยู่ที่หลังวัดหลังจากถูกวีรบุรุษบาปโผล่มาขัดขวางการทำงาน”
“คุณพระคุณเจ้า…ทำไมถึงได้โหดเหี้ยมแบบนี้ แม้แต่ผ้าเหลืองก็ไม่เว้น”
“เรื่องเลวๆ แบบนี้ไม่ใช่ฝีมือของวีรบุรุษบาปหรอกแม่ ชั้นว่าเป็นไอ้สัมฤทธิ์มากกว่า”
“นี่…เราไปอยู่ตรงนั้นกับเขาด้วยเหรอถึงรู้ไปหมดทุกอย่าง”
“แต่ชั้นเห็นด้วยกับบัวทองนะจ๊ะน้า…วีรบุรุษบาปปกป้องพุทธสถานย่อมต้องปกป้องพุทธศาสนาด้วยเหมือนกัน”
“ชั้นก็ไม่เชื่อเหมือนกันว่าวีรบุรุษบาปจะลงมือกับพระจำเริญ แต่การที่มันโผล่มาเล่นงานหมวด ชั้นว่ามันต้องมีเหตุผลแน่”
“ไม่เห็นต้องเดาให้ยากเลยลุงจ่า งานนี้ไอ้สัมฤทธิ์ได้โดนตัดสินบาปด้วยดาบของวีรบุรุษบาปแน่นอน”
“แต่มันจะไม่ง่ายอย่างนั้นสิบัวทอง หมวดยงยุทธอยู่ที่นั่นด้วยคงไม่ยอมแน่”
ดาราฟังจ่าแท่นแล้วมีสีหน้าหนักใจนึกเป็นห่วงทั้งยงยุทธและขุนเดช
ขณะเดียวกันนั้นขุนเดชตามร่องรอยของสัมฤทธิ์มากลางป่าที่ค่อนข้างวังเวง มีหมอกควันจางๆ ปกคลุม ขุนเดชรู้สึกไม่ไว้วางใจ กระชับดาบดำในมือเตรียมพร้อม
หมอกดำผีโหงพรายลอยบุกจู่โจมเข้าหา ขุนเดชถอยหลบแล้วใช้ดาบดำฟาดฟันต่อสู้ แต่ก็ยากลำบากเพราะ มันคือโหงพรายที่สู้ด้วยดาบอย่างเดียวไม่ได้
อีกด้านหนึ่งของป่า สัมฤทธิ์ทำปากขมุบขมิบท่องคาถากำกับโหงพรายให้เล่นงานวีรบุรุษบาป
“ไอ้วีรบุรุษบาป ข้านี่แหละคือเพชรฆาตที่จะฆ่าแก…ฮ่าๆๆๆ”
สัมฤทธิ์กำหุ่นดินเหนียวโหงพรายเอาไว้แล้วระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น แต่ขณะนั้นเสียงขึ้นไกปืนจ่อด้านหลัง
“แกเสร็จชั้นแล้ว…ไอ้สัมฤทธิ์”
สัมฤทธิ์ชะงัก
“หมวดยงยุทธ”
“ชูมือขึ้น สูงๆ” สัมฤทธิ์ยังยืนเฉยไม่ฟัง ยงยุทธเลยใช้ด้ามปืนกระแทกหลังแรงๆ “ชั้นสั่งให้ยกมือขึ้น”
แรงกระแทกทำให้หุ่นดินเหนียวโหงพรายในมือสัมฤทธิ์ตกพื้น ยงยุทธหันไปมองอย่างสงสัย
“หมวดน่าจะปล่อยผมนะ แล้วเรามาคุยกันดีๆ เพราะผมมีข้อเสนอที่หมวดจะต้องสนใจ”
“ข้อเสนออะไรของแก”
ขุนเดชต่อสู้กับผีโหงพรายแต่สู้ไม่ได้ถูกหมอกควันโหงพรายเล่นงาน มันพุ่งเข้าไปในตัวของขุนเดชสร้างความเจ็บปวดทรมานจนดาบดำหลุดจากมือปักพื้น
“อ๊ากกกกกกกกก”
อีกด้านหนึ่งยงยุทธยังจ่อปืนไปที่สัมฤทธิ์
“นี่แกคิดจะต่องรองกับชั้นงั้นเหรอ”
“แต่ก็เป็นข้อเสนอที่น่าสนใจไม่ใช่เหรอครับหมวด ปล่อยให้ผมเล่นงานไอ้วีรบุรุษบาปได้ หมวดก็จะได้ตัวมันไปลงโทษ ส่วนผมก็สัญญาว่าจะไม่กลับมาเหยียบที่ศรีสัชฯอีก” ยงยุทธนิ่งไป “ไม่เห็นจะต้องคิดเยอะเลยหมวด...หมวดตามล่ามันมาตั้งนานแล้ว แต่ทุกครั้งมันก็ทำให้หมวดเสียหน้าตลอด อย่าทิ้งโอกาสงามๆ แบบนี้ไปเลย เชื่อผมเถอะ”
“อย่างไอ้วีรบุรุษบาป ชั้นจับมันได้โดยไม่ต้องพึ่งแกหรอก”
ยงยุทธกดสัมฤทธิ์ลงเตรียมจะใส่กุญแจมือ แต่สัมฤทธิ์สะบัดตัวฮึดสู้ศอกจนยงยุทธกระเด็นปืนหลุดมือแล้ว กระโดดแย่งปืนที่พื้น ยงยุทธเข้าไปเตะขวาง สัมฤทธิ์เจ็บใจตั้งท่าเชิงมวยเปิดศึกงัดเชิงมวยสู้กันมันส์หยด
ขุนเดชโดนโหงพรายเล่นงานด้วยอาคมเหวี่ยงตัวกระเด็นไปกระแทกกับต้นไม้หล่นลงมาเจ็บจุกหมดทางสู้ ขุนเดชต้องถอดผ้าขาวม้าที่พันหน้าเป็นวีรบุรุษบาปออกเช็ดเลือดที่กระอักออกมาอย่างเจ็บ โหงพรายห้อมล้อมขุนเดชเตรียมจะเล่นงานเอาให้ตาย ขุนเดชหน้าเครียด
ยงยุทธสู้กับสัมฤทธิ์แลกหมัดกันไปมาแต่สัมฤทธิ์สู้ไม่ได้ถูกยงยุทธเล่นงานจนสะบักสะบอม สุดท้ายก็โดนหมัดฟ้าฟาดไม้ตายของยงยุทธกระแทกหน้าจังๆ จนซวนเซไปล้มลงใกล้ๆ กับหุ่นดินเหนียวโหงพราย ยงยุทธจะเข้าไปจับใส่กุญแจมือ แต่สมฤทธิ์ไม่ยอมแพ้
“คนอย่างข้าไม่ยอมให้แกง่ายๆ หรอกเว้ย” สัมฤทธิ์คว้าหุ่นดินเหนียวมาพนมมือเรียก “โหงพราย มาช่วยข้าเดี๋ยวนี้”
สัมฤทธิ์หัวเราะสะใจ ยงยุทธชะงักมองอย่างสงสัย
ขุนเดชกำลังจะถูกโหงพรายจู่โจมซึ่งต้องตายแน่ๆ แต่ฉับพลันโหงพรายก็หายวับไปต่อหน้าต่อตา เล่นเอาขุนเดชเป่าปากโล่งอก ก่อนจะเดินไปดึงดาบดำขึ้นจากพื้นมองจีวรเปื้อนเลือดที่พันไว้ที่ด้ามดาบดำแววตาเขม็ง
ยงยุทธกระชากคอสัมฤทธิ์ขึ้นมาแล้วจับใส่กุญแจมือ
“คิดว่าไอ้อวิชชาของแกจะทำอะไรชั้นได้เหรอ...งานนี้ใครก็ช่วยแกไม่ได้อีกแล้ว แกติดคุกแน่”
“หึ..ถึงหมวดจะเอาชั้นเข้าคุกได้ แต่คุกก็ขังชั้นได้แค่ไม่กี่ปีหรอก เมื่อไหร่ที่พ่อชั้นขึ้นมายิ่ง ใหญ่เป็นหนึ่งในแผ่นดินไม่มีใครเทียบได้ ทั้งหมวดทั้งไอ้วีรบุรุษบาปได้โดนฆ่าตายแน่”
ยงยุทธผลักสัมฤทธิ์ให้เดิน
“อยากพล่ามอะไรก็พล่ามไป คนอย่างพวกแกไม่มีทางใหญ่เหนือกฏหมาย”
“ชั้นไม่ได้พล่ามเรื่องเพ้อเจ้อ...ถ้าหมวดไม่เชื่อก็ไว้รอดูตอนที่พ่อชั้นได้เป็นสัตตะโลหะบุรุษก่อนเถอะ ขี้คร้านจะร้องขอชีวิตไม่ทัน ฮ่าๆๆๆๆ”
ยงยุทธหรี่ตามองอย่างหยามหยันพร้อมกระชากคอเสื้อมันมาจ้องหน้าเขม็ง
“คนที่จะขึ้นมายิ่งใหญ่เป็นหนึ่งในแผ่นดินได้ ต้องได้มาด้วยความดีไม่ใช่ความเลว”
ยงยุทธตะคอกใส่หน้าสั่งสอน ทันใดนั้นเสียงหัวเราะดังกึกก้อง โหงพรายปรากฏมาเป็นหมอกควันพุ่งเข้าล้อม รอบยงยุทธ
“อยู่สนุกกับโหงพรายของข้าไปแล้วกันนะไอ้หมวดยงยุทธ...ฮ่าๆๆๆๆๆ”
สัมฤทธิ์รีบหนีออกไป ยงยุทธจะไล่ตามสัมฤทธิ์แต่ก็ถูกโหงพรายดักขวางทาง ยงยุทธยิงใส่เปรี้ยงๆๆ แต่กระสุน ปืนทำอะไรไม่ได้ ยงยุทธหน้าเครียด
สัมฤทธิ์เดินหนีเข้ามาในมือยังติดกุญแจมืออยู่
“หึ...มาเล่นกับคนอย่างไอ้สัมฤทธิ์...แกตายแน่ไอ้หมวดยงยุทธ” สัมฤทธิ์ได้ใจเดินต่อไปสักครู่ วีรบุรุษบาปก็โผล่มายืนขวางทาง สัมฤทธิ์ผงะหน้าเสีย “ไอ้วีรบุรุษบาป” สัมฤทธิ์รีบถอยแต่ล้มลง วีรบุรุษบาปเข้ามาเงื้อดาบดำฟันใส่ทันที “อย่า”
ฉับ! สัมฤทธิ์หลับตาปี๋ นึกว่าไม่รอดแน่แล้ว แต่พอลืมตาขึ้นมาพบว่ากุญแจมือถูกตัดขาดด้วยคมดาบดำ
วีรบุรุษบาปปักดาบดำลงพื้นแล้วจ้องเขม็ง สัมฤทธิ์เลยปรี่เข้าไปชกใส่อย่างบ้าเลือดแต่ก็โดนวีรบุรุษบาปซ้อมสั่งสอนจนจุกตัวงอ สัมฤทธิ์ทำท่าจะยอมแพ้แต่พอวีรบุรุษบาปเข้าใกล้ก็ฉวยโอกาสกระชากผ้าขาวม้าที่พันหน้าออก
สัมฤทธิ์จึงเห็นว่าวีรบุรุษบาปก็คือขุนเดช
“ไอ้ขุนเดช...ที่แท้...ก็แก”
“เอ็งเห็นหน้าข้าแล้ว แต่ก็เอาไปบอกใครไม่ได้ เพราะคืนนี้ประตูนรกกำลังเปิดรอรับเอ็งอยู่”
สัมฤทธิ์หน้าเสียรีบถอยหนีอย่างลนลาน ขุนเดชยิ้มร้ายอย่างน่ากลัว
ยงยุทธวิ่งหนีผีโหงพรายเข้ามาก่อนจะถูกตามมาโจมตีพุ่งเข้าใส่จนยงยุทธกระเด็นล้ม ยงยุทธพยายามยิงใส่ไม่หยุด กระสุนหมดก็เติมและยิงต่อ ปังๆๆๆๆๆ
อีกด้านหนึ่งสัมฤทธิ์วิ่งหนีขุนเดชมาสะดุดล้มลงบนพื้นต่อหน้าซากโบราณสถานที่ผุพัง หุ่นปั้นดินเหนียวโหงพรายกระเด็นตกพื้น สัมฤทธิ์พบว่าตัวเองเหยียบอยู่บนพื้นที่เปียกชุ่ม
“น้ำ...น้ำอะไรวะ” สัมฤทธิ์แตะแล้วมาดมดูก่อนจะหน้าเสียตกใจมาก “น้ำมัน”
สัมฤทธิ์หน้าเสียรีบคลานหนีแต่ผงะเมื่อเจอขุนเดชยืนถือคบไฟอยู่บนซากสถูปที่หักพัง
“เอ็งหนีไม่พ้นแล้วไอ้สัมฤทธิ์ ที่นี่คือลานประหารของเอ็ง”
สัมฤทธิ์ตกตะลึงตาเหลือก
ยงยุทธยิงใส่โหงพรายจนกระสุนหมดเกลี้ยง เสียงหัวเราะดังกึกก้อง โหงพรายพุ่งเข้าใส่จนยงยุทธกระเด็น ไปกระแทกต้นไม้เลือดกบปาก ยงยุทธยันตัวเองลุกขึ้น เจ็บใจที่คราวนี้ต้องตายแน่ๆ
“โธ่เว้ย...นี่เราต้องมาตายแบบนี้เหรอวะ”
อีกด้านหนึ่งสัมฤทธิ์คุกเข่าพนมมือขอร้องขุนเดช
“ปละ...ปล่อยชั้นไปเถอะนะขุนเดช ชั้นจะไม่ปริปากพูดเลยแม้แต่นิดเดียว ชั้นจะเลิก ทำชั่วทุกอย่าง จริงๆ นะชั้นสาบาน”
“เอ็งกล้าสาบานว่าเอ็งจะเลิกทำชั่ว”
“จริง...ชั้นสาบาน ชั้นจะเลิกทำชั่ว จะเลิกทำลายโบราณสถาน จะหันมาทำนุบำรุงศาสนา ถ้าชั้นไม่ทำตามขอให้ชั้นตายโหงตายห่า”
ขุนเดชนิ่งไปถือคบไฟเดินลงมาจากซากสถูป
“ข้าอโหสิให้เอ็ง”
“จริงเหรอขุนเดช...ขอบใจมาก”
“แต่ข้าจะบอกอะไรเอ็งอย่าง ตอนที่ข้าถูกเอ็งจับฝังทั้งเป็น ข้าเคยเฉียดนรกมาแล้ว เพราะข้าก็คือพวกคนบาปเหมือนอย่างเอ็ง บาปกรรมที่ข้าทำกลายเป็นเพลิงที่พร้อมเผาผลาญทั้งตัวและวิญญาณให้ต้องทนทุกข์ทรมาน”
“เอ็งถึงอโหสิกรรมให้ข้ามั้ย เพื่อเอ็งจะได้บุญกุศลไปด้วย งั้นข้าก็จะหันมาเร่งทำบุญ เผื่อให้เอ็ง เผื่อให้ข้าด้วย”
“หึ...ไอ้เรื่องทำบุญล้างบาปมันไม่มีหรอก บาปส่วนบาป บุญก็ส่วนบุญ ทำบาปก็ต้องชดใช้มันลบล้างไม่ได้หรอก”
ขุนเดชยิ้มร้ายแล้วค่อยๆ เอาคบไฟจ่อไปที่พื้นซึ่งเจิงไปด้วยน้ำมัน
“อย่านะขุนเดช ก็ไหนแกยอกว่าแกอโหสิกรรมให้ข้าแล้วไง”
“ข้าขุนเดชอโหสิกรรมให้เอ็ง แต่วีรบุรุษบาปไม่ได้บอกว่าจะอโหสิกรรมให้เอ็ง”
พูดจบขุนเดชก็โยนคบเพลิงลงไปที่พื้น ไฟลุกพรึ่บ! สัมฤทธิ์รีบวิ่งหนีแต่เปลวเพลิงเลื้อยตามเป็นแนวเหมือนงูไล่ ตามจนติดลุกท่วมตัวสัมฤทธิ์
“อ๊ากกกกก...ช่วยด้วย...ช่วยด้วยยยยย”
สัมฤทธิ์ดิ้นทุรนทุรายไฟคลอกตายอย่างอนาถ ขุนเดชเอาเศษจีวรเปื้อนเลือดของพระจำเริญมาโยนใส่กองไฟ ใบหน้าสงบนิ่ง แล้วเดินมาหยิบหุ่นดินเหนียวโหงพรายของสัมฤทธิ์ที่ตกอยู่ที่พื้นมาหักทิ้ง
ยงยุทธกำลังร้องเจ็บปวดเพราะถูกโหงพรายเล่นงาน แต่ทันใดนั้นโหงพรายก็หายวับไป ยงยุทธทรุดฮวบ เชือดเลือดริมฝีปากแล้วมองไปรอบๆ อย่างแปลกใจว่าทำไมโหงพรายถึงหายไป
“ไอ้สัมฤทธิ์...หรือว่าแก”
ขุนเดชกลับมาที่กระท่อมเอาพระพุทธรูปปางประทานอภัยกลับมาวางที่แท่นบูชาแล้วค่อเข่าพนมมือกราบ ไหว้อย่างนอบน้อม
“สาธุ...ข้าน้อยนี้ขอเคารพนพไหว้ พระไตรรัตน์ดวงประเสริฐ พระสยามเทวาธิราช พระมหาราชแต่อดีตจนปัจจุบัน ไหว้เจ้ากรรมเนายเวรทั้งหลายทั้งปวงทั้งสิ้น ไหว้ พ่อแม่ครูบาอาจารย์ผู้มีพระคุณ ข้าน้อยนามขุนเดชไหว้แผ่นดินพระร่วงเจ้า”
ยงยุทธตามมาพบศพสัมฤทธิ์นอนตายในสภาพถูกไฟคลอกควันยังกรุ่นๆ ยงยุทธเจ็บใจขบกรามแน่น
“วีรบุรุษบาป...แกมันโหดเหี้ยมเกินมนุษย์ไปแล้ว ชั้นจะตามล่าแก ต่อให้ต้องพลิกแผ่นดิน ชั้นก็ต้องจับแกให้ได้”
เช้าวันรุ่งขึ้นกำนันบุญนอนหลับอยู่บนเตียงแต่มีอาการกระสับกระส่ายเหงื่อแตกเต็มตัวเพราะฝันร้าย ...ในอดีตกำนันบุญถือคบไฟรออยู่ที่หน้าสถูป สักพักพวกลูกน้องวิ่งหน้าตื่นออกมา
“ไหนล่ะวะ สมบัติที่ข้าให้พวกเอ็งไปขุด”
“เอาออกมาไม่ได้จ้ะพ่อกำนัน...ข้างในนั้นมีแต่งูเต็มไปหมด สงสัยจะเป็นงูเจ้าด้วย”
ลูกน้องอีกคนหนึ่งถูกลากตัวออกมาสภาพดิ้นทุรนทุราย
“ช่วย...ช่วยด้วยพ่อกำนัน...งูมันกัดชั้น...โอ้ยยยยย”
ลูกน้องดิ้นไปมาตาเหลือกน้ำลายฟูมปาก กำนันบุญเลยชักปืนออกมาแล้วยิงใส่ดับชีวิตมันทันที
“ก็ไอ้แค่งูไม่กี่ตัว ไปเอาถังน้ำมันมา” พวกลูกน้องตกใจ กำนันบุญยกปืนขู่จ่อหน้า “ไปเอาถังน้ำมันมา”
กำนันบุญเอาถังน้ำมันราดลงบนพื้น งูเห่าตัวใหญ่เลื้อยออกมาแผ่แม่เบี้ยจ้องหน้ากำนันบุญ
“ข้าไม่กลัวเอ็งหรอก ลูกข้ากำลังจะคลอดแล้ว ข้าไม่อยากมาเสียเวลากับไอ้เดรัจฉานอย่างเอ็งหรอกเว้ย”
กำนันบุญยิ้มร้ายแล้วโยนคบไฟลงไปที่พื้นซึ่งเจิงนองไปด้วยน้ำมัน ไฟลามไปตามทางน้ำมันเผาไหม้งูเห่าทันที เสียงกำนันบุญหัวเราะลั่นไปทั่วอย่างสะใจ
กำนันบุญสะดุ้งตัวตื่นเหงื่อแตกพลั่กๆ ก่อนจะตกใจอีกครั้งเมื่อเจองูเห่าตัวเขื่องเลื้อยมาชูคอแผ่แม่เบี้ยอยู่ที่ปลายเตียง
“นี่เอ็งยังไม่เลิกจองเวรข้าอีกเหรอ ไอ้เดรัจฉาน” กำนันบุญจิกตาเจ็บใจถอดเสื้อออกเผยให้เห็นรอยสักแล้วพนมมือบริกรรมคาถาไล่งูเห่าจนหายวับ “อย่างเอ็งทำอะไรข้าไม่ได้หรอกเว้ย”
กำนันบุญแสยะยิ้มอย่างโอหัง ระหว่างนั้นเสียงไอ้นะ มาเคาะประตูห้องเรียก
“พ่อกำนัน...พ่อกำนัน”
“หนวกหู...มาเอะอะไรแต่เช้าวะ”
กำนันบุญบ่นอย่างหงุดหงิด
กำนันบุญไปเปิดประตูเห็นไอ้นะกับไอ้เน ซึ่งหน้าตาของทั้งคู่ตาลีตาเหลือกหอบแฮ่กๆ
“พ่อกำนัน”
กำนันบุญกระชากคอไอ้นะมาตะคอกใส่หน้า
“ไก่ยังไม่ทันขัน พวกเอ็งเอะอะโวยวายอะไร”
“เอ่อคือ...คือ”
ไอ้นะสะกิดให้ไอ้เนเป็นคนพูดแต่ไอ้เนส่ายหน้าไม่เอา
“อะไรของพวกเอ็งอีกวะ ข้าสั่งให้พวกเอ็งตามไปคอยดูแลไอ้สัมฤทธิ์ ระหว่างที่ไอ้เสือเพิกพาไปอยู่ด้วย แล้วทำไมพวกเอ็งถึงมายืนหน้าสลอนอยู่นี่”
“คือ...พวกเราคงตามไปดูแลพี่สัมฤทธิ์ไม่ได้แล้วจ้ะพ่อกำนัน”
“เอ็งหมายความว่าไง”
ไอ้นะกับไอ้เนหน้าจ๋องๆ ไม่กล้าสบตากำนันบุญ
ที่โบราณสถานร้าง ชาวบ้านกำลังมุงดูศพสัมฤทธิ์ที่มีผ้าคลุมเอาไว้ ดารากับบัวทองมาดูกับชาวบ้านด้วย
“กลิ่นเนื้อไหม้ยังเตะจมูกอยู่เลยนะคะอาจารย์”
บัวทองพูดไปก็เอามือปิดจมูก ส่วนดารากลับมีสีหน้าหนักใจแล้วหันไปมองพวกชาวบ้านที่จับกลุ่มคุย
“โดนย่างสดตายแบบนี้ สาสมกับความเลวของมันแล้ว”
“ทีนี้แผ่นดินสุโขทัยคงจะสูงขึ้นอีกเยอะ”
ชาวบ้านพากันสมน้ำหน้า ระหว่างนั้นกำนันบุญกับพวกลูกน้องรีบเข้ามา
“ถอยไป…หลบไปให้พ้น”
ไอ้นะกับไอ้เนไล่ะตะเพิดพวกชาวบ้านให้เปิดทาง กำนันบุญแหวกพวกชาวบ้านเข้ามาหยุดชะงักที่ศพซึ่งถูกคลุมผ้าเอาไว้
“พ่อกำนัน…ชั้นว่า…อย่าดูเลยดีกว่าจ้ะ”
กำนันบุญผลักไอ้เนออกไป
“ข้าไม่เชื่อ…นั่นไม่ใช่ลูกข้า”
กำนันบุญไม่ฟังตรงเข้าไปเปิดผ้าคลุมศพออก กำนันบุญถึงกับผงะเมื่อเห็นใบหน้าสัมฤทธิ์ถูกไฟไหม้หน้าเละเทะไปทั้งหน้า กำนันบุญอึ้งพูดไม่ออก มือสั่นปากสั่นอย่างเจ็บปวด
“ไอ้...ไอ้สัมฤทธิ์ลูกพ่อ...ไม่จริง ข้าไม่เชื่อ...ข้าไม่เชื่อ”
กำนันบุญกอดศพสัมฤทธิ์แล้วฟูมฟายออกมาเสียงดังลั่น ไอ้นะไอ้เนเห็นแล้วสลด แต่กำนันบุญกลับหันมาตา ขวางโกรธแค้นอย่างบ้าคลั่ง
“ใคร…ใครมาทำกับลูกข้าแบบนี้” กำนันบุญโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงบ้าคลั่ง ขาดสติสุดๆ เข้าไปกระชากคอเสื้อชาวบ้านมาตะคอก “เอ็งใช่มั้ย…เอ็งทำลูกข้าใช่มั้ย”
“ชั้นเปล่านะกำนัน”
ชาวบ้านรีบปฏิเสธกำนันบุญชกหน้ากระเด็นแล้วหันไปกระชากคอเสื้ออีกคน
“งั้นก็เป็นเอ็งที่ฆ่าลูกข้า”
“ชั้นเปล่านะกำนัน”
กำนันบุญยังโกรธไม่หยุดหันไปชักปืนจากเอวไอ้นะมาแล้วตบหน้าชาวบ้านกระเด็นเลือดกบปาก แล้วหันปืนมากราดไปทั่ว
“ถ้าไม่มีใครยอมรับ ข้าจะฆ่าพวกเอ็งให้หมด”
บัวทองออกมาขวาง
“อย่าทำอย่างนี้นะกำนัน ถ้าจะมาเรียกหาความยุติธรรมให้สัมฤทธิ์ล่ะก็...” บัวทองชี้ไปที่ศพ “นั่นแหละคือสิ่งที่ยุติธรรมที่สุดสำหรับลูกชายกำนันแล้ว”
กำนันบุญถึงกับอึ้ง
“นังบัวทอง...นังเด็กเมื่อวานซืน”
กำนันบุญปรี่เข้าไปจิกผมบัวทองกระชากมาจะเอาเรื่อง ดาราตกใจรีบดึง
“ปล่อยบัวทองเดี๋ยวนี้นะกำนัน”
“โอ๊ย...ชั้นเจ็บ...โอ๊ย”
“บอกให้ปล่อยบัวทองนะ”
กำนันบุญหันมาสะบัดผลักดาราจนล้ม แล้วหันมาใช้ปืนชี้หน้าบัวทองจ้องเอาเรื่อง
“ชีวิตของไอ้สัมฤทธิ์มีค่ามากกว่าชีวิตสวะๆ ของพวกเอ็งทุกคน”
“หยุดเดี๋ยวนี้นะกำนัน” เสียงยงยุทธดังเข้ามากำนันบุญหันไปเห็นยงยุทธกับจ่าแท่นยกปืนขู่กลับ “ทิ้งไปปืนไปซะ...ผมสั่ง”
“อย่ามายุ่งดีกว่าหมวด...ถ้าชั้นจับไอ้คนที่มันฆ่าลูกชายชั้นไม่ได้ ศรีสัชนาลัยจะต้องลุกเป็นไฟ พวกเอ็งทุกคนจะต้องรับผิดชอบที่ลูกข้าตาย”
“ถ้ากำนันอยากแก้แค้นให้ลูกด้วยชีวิตคนบริสุทธิ์ งั้นชั้นก็ต้องส่งกำนันไปอยู่กับไอ้สัมฤทธิ์เดี๋ยวนี้เล”ย
นิ้วยงยุทธแตะไกปืนพร้อมจะยิงใส่กำนันบุญทันที
“กำนันครับ...หมวดยงยุทธเอาจริงนะครับ”
กำนันบุญกับหมวดยงยุทธจ้องตากันเขม็งก่อนที่กำนันบุญจะยอมลดปืนลงแล้วผลักบัวทองไปหาดารา
“จำใส่กะโหลกพวกเอ็งไว้ทุกคน...ไอ้สัมฤทธิ์จะต้องไม่ตายฟรี...เอาศพลูกข้ากลับ”
กำนันบุญสั่งเสียงดังแล้วให้ลูกน้องช่วยกันอุ้มศพสัมฤทธิ์ออกไป ดารากอดบัวทองที่ยังตกใจไม่หายอย่างเป็นห่วง ยงยุทธเข้ามาดูสองสาวอย่างเป็นห่วง
“ไม่เป็นไรแล้วนะ บัวทอง...ดารา”
บัวทองกับดาราพยักหน้ารับโล่งอก
ดารามาคุยกับขุนเดชที่กระท่อม สีหน้าขุนเดชดูโกรธเมื่อรู้ว่ากำนันบุญอาละวาดใส่บัวทองกับดารา
“นี่มันถึงกับอาละวาดใส่คุณกับบัวทองเลยเหรอ”
“เห็นลูกตัวเองตายในสภาพนั้นคนอย่างกำนันบุญก็ต้องอาละวาดอยู่แล้ว ขุนเดชชั้นไม่เห็นด้วยเลยนะ ที่เธอทำกับนายสัมฤทธิ์มันโหดเหี้ยมเกินไป”
“ไม่เกินไปหรอกสำหรับบาปกรรมที่มันทำไว้กับโบราณสถาน แล้วไหนจะชีวิตคนบริสุทธิ์ที่เคยถูกมันฆ่าอีก”
“แต่เธอทำแบบนี้เท่ากับไปยั่วให้กำนันบุญโกรธแค้น ที่เขาพูดว่าแผ่นดินศรีสัชนาลัยจะต้องลุกเป็นไฟ คงไม่ใช่แค่คำขู่”
“ถ้าไอ้กำนันบุญมันกล้าทำให้แผ่นดินของคนดีลุกเป็นไฟได้ มันก็ต้องเจอกับการลงทัณฑ์ที่หนักหนากว่าที่ลูกมันเจอ”
ขุนเดชพูดไปก็ดึงดาบดำออกจากฝักแววตาดุดันเอาจริง ก่อนจะได้ยินเสียงคนเดินเข้ามา
ขุนเดชกับดาราเดินออกมาจากกระท่อมเจอยงยุทธกับจ่าแท่นที่กำลังเข้ามา
“อาจารย์ดารา มาอยู่ที่นี่ด้วยเหรอครับ”
“เขารักชอบพอกันอยู่ จะมาอยู่ด้วยกันก็ไม่เห็นจะแปลกนี่จ่า” ยงยุทธบอก
“ชั้นแวะมาคุยเรื่องงานกับขุนเดช”
“ผมก็ยังไม่บอกว่าคุณมาทำอะไรสักหน่อย”
“ยงยุทธ”
“แกมีอะไรกับชั้นก็ว่ามาดีกว่า”
ยงยุทธกับขุนเดชมองหน้ากัน
ยงยุทธคุยกับขุนเดชตามลำพัง
“แกโกหกชั้นเรื่องพระจำเริญทำไม”
“เพราะพระจำเริญสำนึกผิดต่อบาปและช่วยทำให้คนบาปอย่างไอ้สัมฤทธิ์ได้ชดใช้กรรม”
“งั้นก็แสดงว่าแกรู้เห็นทุกอย่าง แกรู้ว่าวีรบุรุษบาปจะมาจัดการพระจำเริญกับไอ้สัมฤทธิ์ จ่า...จ่าแท่น” จ่าแท่นรีบเข้ามาพร้อมกับดารา “จับขุนเดชใส่กุญแจมือ”
“ว่าไงนะครับหมวด” จ่าแท่นตกใจ
“ผมบอกให้จับขุนเดชใส่กุญแจมือ”
“ข้อหาอะไรครับ”
“สมรู้ร่วมคิดกับฆาตกรอย่างวีรบุรุษบาป”
“อย่านะยงยุทธ”
“ถอยไปดารา ขุนเดชยอมรับเองว่ารู้สมรู้ร่วมคิดให้วีรบุรุษบาปจัดการกับไอ้สัมฤทธิ์ ผมต้องทำตามกฏหมาย”
“ถ้างั้นเธอจะจับขุนเดชคนเดียวไม่ได้ เธอต้องจับชั้น จับชาวบ้านอีกหลายคนที่เห็นด้วยกับการกระทำของวีรบุษบาป”
“ดารา”
“จ่าแท่นคะ...เอากุญแจมือมาจับชั้นไปด้วย ไม่อย่างนั้นก็ไม่ต้องเอาตัวขุนเดชไป”
จ่าแท่นอึกอักลังเล ยงยุทธเลยเข้าไปจับมือดาราไว้
“เอาตัวขุนเดชไป ส่วนดาราผมจะจัดการเอง”
“ครับหมวด...ลุงขอโทษด้วยนะขุนเดช ลุงต้องทำตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา”
“ไม่เป็นไรหรอกครับจ่า”
ขุนเดชยอมให้จ่าแท่นจับใส่กุญแจมือแล้วพาตัวออกไป
“ขุนเดช...ขุนเดช”
ดาราจะตามแต่ยงยุทธบีบแขนเธอไว้ ดารามองยงยุทธด้วยสายตาไม่พอใจ
ยงยุทธพาดารากลับมาส่งที่บ้านคำปัน
“คิดว่าเธอห้ามชั้นได้เหรอยงยุทธ ชั้นจะไม่หยุดจนกว่าเธอจะปล่อยขุนเดช”
คำปันกับบัวทองได้ยินเสียงก็รีบออกมา
“มีเรื่องอะไรกันคะหมวด อาจารย์”
“ยงยุทธจับขุนเดชไป ตั้งข้อหาว่าสมรู้ร่วมคิดกับวีรบุรุษบาป”
“จริงเหรอคะหมวด” คำปันถามอย่างตกใจ
“เรื่องนี้ผมยังต้องสอบสวนอีก ถ้าขุนเดชให้ความกระจ่างผมได้ ผมก็จะปล่อยเขา”
“แต่อย่างพี่ขุนเดชคงไม่รู้เรื่องอะไรหรอกค่ะหมวด วันๆ เอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำงานของตัวเอง เคยสนใจใครซะที่ไหน”
“นั่นมันอยู่ที่ขุนเดชจะอธิบายให้ชั้นเชื่อได้ยังไงต่างหากนะบัวทอง ผมคงต้องฝากให้น้าคำปันช่วยดูอาจารย์ดาราให้ผมด้วย อย่าให้เธอไปยุ่งกับงานของผม”
ยงยุทธพูดไปก็มองดาราด้วยสายตาเอาจริงแล้วเดินออกไป ดาราจะตามแต่คำปันจับมือเธอไว้
“อย่าเลยค่ะอาจารย์...ให้หมวดได้ทำหน้าที่ของเขาก่อนเถอะค่ะ น้ำเชี่ยวแบบนี้ขืนเอาเรือเข้าไปขวางจะพาลจมกันหมด”
คำเตือนของคำปันทำให้ดารานิ่งไป แต่แววตายังเป็นกังวล
ที่คฤหาสน์ของปราชญ์ ปราชญ์นอนอยู่บนเตียงยังไม่ได้สติ ประดับยืนมองแล้วยิ้มร้ายอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนจะหันไปบอกพยาบาล
“ดูแลท่านให้ดีล่ะ”
พยาบาลรับคำ ประดับเดินออกไปทิ้งให้พยาบาลอยู่กับปราชญ์ตามลำพัง แต่คล้อยหลังออกไปได้ไม่เท่าไหร่ ปราชญ์ก็ลืมตาโพล่งขึ้นมาตาขวางๆ
ประดับเดินมาที่โถงเจอคุณหญิงที่รออยู่
“เขาเป็นยังไงบ้างประดับ”
“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับคุณหญิง ผมให้พยาบาลคอยดูแลแล้ว”
“มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมอยู่ๆ เขาถึงหมดสติไม่รู้สึกตัวข้ามวันข้ามคืนแบบนี้ ทั้งๆ ที่เขาก็เป็นคนแข็งแรงไม่มีโรคประจำตัว”
“เป็นความเครียดจากงานมากกว่าครับคุณหญิง ก็อย่างที่ทราบว่าตอนนี้ท่านกำลังเจอภาวะที่แพ้ไม่ได้อยู่”
“นั่นสินะ...แต่จะว่าไปป่วยแบบนี้ก็ดี...หน้าที่ทุกอย่างจะได้ตกอยู่ที่เธอ ให้เธอได้แสดงฝีมือเต็มที่”
คุณหญิงพูดไปก็แตะแขนประดับ แต่ระหว่างนั้นเสียงกรีดร้องดังเข้ามา
“ช่วยด้วย...ช่วยด้วยค่ะ”
คุณหญิงกับประดับหันไปเห็นปราชญ์จับตัวพยาบาลเอาดาบจ่อคออย่างบ้าคลั่ง
“ถอยไป..ถอยไปให้หมด...อย่าเข้ามา...ถอยไป”
“คุณ...นั่นคุณทำบ้าอะไรของคุณ” คุณหญิงถามอย่างตกใจ
“ชั้นคือสัตตะโลหะบุรุษ...ชั้นเป็นหนึ่งในแผ่นดิน ใครขวางทางชั้นมันต้องตาย !! ฮ่าๆๆๆ”
“ท่านครับ ผมว่าท่านวางดาบก่อนเถอะ”
“พวกแกคิดจะขวางทางชั้น พวกแกต้องตาย”
พยาบาลตัดสินใจจับมือปราชญ์มากัดเต็มแรงแล้วคิดจะหนี แต่ปราชญ์กลับจิกผมกลับมาแล้วเอาดาบกระซวกแทงทันทีเลือดพุ่ง
“กรี๊ดดดดดดดดด” คุณหยิงกรีดร้องด้วยความตกใจ
“ฮ่าๆๆๆๆ ข้าคือสัตตะโลหะบุรุษ...ข้าคือบุรุษแห่งแผ่นดิน”
ปราชญ์ควงดาบหัวเราะร่าออกไป ประดับเข้าไปดูศพพยาบาลแล้วหน้าเครียด
ติดตามอ่านขุนเดช ตอนที่ 14 (ต่อ) พรุ่งนี้
ขุนเดช ตอนที่ 14 (ต่อ)
ประดับรีบตามปราชญ์ออกมาหน้าคฤหาสน์
“ท่านอยู่ทางนี้ครับนาย”
เบิ้มเรียกประดับให้มาดูปราชญ์ที่กำลังใช้ดาบฟันแขนฟันตัวเองจนเลือดสาดไปทั้งตัวอย่างบ้าคลั่ง
“ข้าคือสัตตะโลหะบุรุษ...ข้าคือบุรุษแห่งแผ่นดิน ข้าอยู่ยงคงกระพัน ฮ่าๆๆๆๆ”
“ท่าน” ประดับถึงกับอึ้ง
“เอาไงครับนาย...ขืนเข้าไปสุ่มสี่สุ่มห้าได้โดนไล่ฟันหัวแบะแน่”
“จะปล่อยให้ท่านทำร้ายตัวเองแบบนี้ไม่ได้ เลือดได้ออกหมดตัวตายแน่ ชั้นยังต้องใช้ท่านเป็นบันไดไต่เต้าขึ้นไปอีก”
“ครับนาย” เบิ้มกับประดับพยักหน้ารับรู้ว่าต้องค่อยๆ ตะล่องเข้าไปซ้ายขวา เบิ้มเป็นตัวล่อปราชญ์
“ท่านครับ...ทางนี้ครับ”
“แก...คิดจะมาเล่นงานสัตตะโลหะบุรุษงั้นเหรอ...ฮ่าๆๆๆ แกรนหาที่ตายแล้ว”
ปราชญ์เงื้อดาบแล้ววิ่งเข้าไล่ฟัน เบิ้มหวุดหวิดจะโดนฟันหัวแบะแต่ประดับเข้าไปชาร์จตัวปราชญ์ซะก่อน ประดับต่อสู้แย่งดาบจากมือปราชญ์ได้ก็ตามด้วยหมัดกระแทกเข้าหน้าเต็มๆ ทีเดียวปราชญ์สลบเหมือด
คุณหญิงนั่งหน้าเครียดมือสั่นคว้าเหยือกเหล้ามาเทใส่แก้วแล้วกระดกดื่มอักๆๆ
“ผมตามหมอมาทำแผลให้ท่านแล้ว และได้ให้ยาระงับประสาทอย่างแรงไปด้วย คิดว่าท่านคงจะสงบได้พักใหญ่” ประดับบอกคุณหญิง
“แล้ว...แล้วพยาบาลที่ถูกท่านฆ่าล่ะ”
“ผมให้ลูกน้องจัดการเอาศพไปอำพรางแล้ว สั่งทุกคนในบ้านนี้ห้ามพูดเรื่องนี้ด้วย”
“ชั้นไม่เข้าใจ ไหนเธอบอกว่าท่านแค่เครียด แต่นี่บ้าถึงขนาดฆ่าคนตายเลยนะประดับ”
“ท่านไม่ฟังคำเตือนของผมกับอาจารย์ก้องเกียรติผลสุดท้ายก็เลยต้องลงเอยแบบนี้”
“ชั้นไม่สนใจหรอกนะว่าท่านกับพวกเธอกำลังทำอะไรกัน แต่ถ้าท่านเป็นบ้าไปถึงขนาดนี้ แล้วพวกชั้นจะอยู่กันยังไง”
คุณหญิงเครียดจัดรินเหล้ากระดกไม่หยุด ประดับยิ้มอย่างเล่ห์เหลี่ยมจับมือคุณหญิงแล้วเอาแก้วเหล้าวาง
“คุณหญิงจะเครียดไปทำไมในเมื่อนี่คือสิ่งที่คุณหญิงต้องการมาตลอดไม่ใช่เหรอครับ...วันที่ผมจะได้โอกาสขึ้นมาทำหน้าที่แทนท่าน...” ประดับเชยคางคุณหญิงขึ้นมา “ในทุกๆ อย่าง และทุกๆ เรื่อง”
“ประดับ...” คุณหญิงยิ้มขึ้นมาทันที “นั่นสินะ...ชั้นก็ลืมนึกไปว่าต้องขอบใจเวรกรรมที่ตามทันเขา แบบติดจรวด”
คุณหญิงโอบคอประดับอย่างกอดรัดแล้วยื่นหน้าจูบปากบดขยี้อย่างรุนแรง
ที่ไร่ของหมอน้อยพวกชาวบ้านแห่เข้ามาขุดจอบลงเสียมเฮโลกันยกใหญ่ หมอน้อยตามนายชื่นเข้ามาเห็นเข้าก็ตกใจ
“นี่พวกชาวบ้านรู้เรื่องได้ยังไงกันนายชื่น”
“คงได้ยินจากพวกคนงานที่ตามมาช่วยตัดอ้อยน่ะครับคุณหมอ”
หมอน้อยหน้าเครียดที่เห็นพวกชาวบ้านขุดกันจนเละไปทั่วไร่ระหว่างนั้นชาวบ้านคนหนึ่งขุดเจอชามสังคโลก
“เจอแล้ว...เจอแล้ว...รวยแล้วเว้ย” พวกชาวบ้านคนอื่นเห็นเข้าก็เฮโลเข้าไปยื้อแย่งชกต่อยกัน “ของข้านะเว้ย ข้าเป็นขุดเจอ มันต้องเป็นของข้า”
พวกชาวบ้านเปิดศึกชกต่อยกันจนวุ่นวายเพียงเพื่อแย่งชิงเครื่องชามสังคโลกจนหมอน้อยทนไม่ไหว
“นายชื่น...ปล่อยไว้แบบนี้ไม่ได้ มีหวังได้ฆ่ากันตายแน่”
“ครับคุณหมอ” นายชื่นถือปืนเข้าไปแล้วยิงขู่ขึ้นฟ้า...เปรี้ยง ๆๆ พวกชาวบ้านพากันตกใจ “ออกไปให้หมด ที่นี่เป็นที่ดินของหมอน้อย ถ้าใครหยิบเอาสังคโลกที่ขุดเจอไป ข้าจะตามตำรวจมาลากคอเข้าตะรางให้หมด...ไป” นายชื่นยิงขู่อีก เปรี้ยง พวกชาวบ้านพากันทิ้งจอบเสียมส่วนสังคโลกที่ขุดพบ ชาวบ้านคนหนึ่งฉวยหยิบไป “เฮ้ย...เอาคืนมานะเว้ย”
“ไม่ต้องตามไปหรอกนายชื่น”
หมอน้อยมองตามชาวบ้านที่ได้สังคโลกไปแล้วถอนใจเฮือกใหญ่อย่างเวทนา
เสียงเด็กอ่อนร้องดังมาจากในบ้านหมอน้อย ภายในบ้านดาราอยู่กับมะลิเมียของหมอน้อยที่กำลังอุ้มลูกปลอบประโลมที่กำลังโยเย
“ให้ชั้นช่วยมั้ยคะ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะอาจารย์ พอง่วงนอนก็มักจะโยเยแบบนี้ประจำ เดี๋ยวพอหลับแล้วก็เงียบกริบเลย” มะลิอุ้มกล่อมลูกน้อยอยู่ครู่เสียงร้องไห้ก็เงียบ “เห็นมั้ยคะ...ไม่ทันจะร้องเพลงกล่อมจบเลย”
มะลิพาลูกน้อยไปนอนเตียง ดาราแววตามีความสุขที่เห็นเด็กน้อย ระหว่างนั้นหมอน้อยกลับเข้ามา
“คุณหมอกลับมาพอดี คุณหมอคะ อาจารย์ดารามารอคุณหมอตั้งนานแล้วค่ะ”
“อาจารย์...มาถึงบ้านผมเลย มีเรื่องอะไรเหรอครับ”
“เรื่องเกี่ยวกับขุนเดชค่ะ” ดาราดูสีหน้ากังวล
ที่สถานีตำรวจ ขุนเดชนั่งอยูในห้องขัง ยงยุทธเข้ามาพร้อมจ่าแท่นที่จัดการเปิดประตูห้อง
“ถอดกุญแจมือให้เขาด้วยจ่า”
“ครับหมวด” จ่าแท่นไขกุญแจมือให้ขุนเดชพาตัวออกมา “หมวดเขาอยากคุยกับเอ็ง ใจเย็นๆ ค่อยพูดค่อยจากันนะ ยังไงก็เพื่อนกัน”
“จ่า”
“ขอโทษครับหมวด”
จ่าแท่นถอยหลบให้ยงยุทธเข้ามาจับแขนขุนเดชจะพาตัวไปแต่ขุนเดชปัดมือแรงๆ
“ชั้นเดินเองได้”
ขุนเดชเดินออกไป ยงยุทธมองตามขบกรามเจ็บใจก่อนจะตามไป จ่าแท่นมองตามแล้วถอนใจเฮือกใหญ่
“เจ้าประคู้น...ขออย่าให้ถึงกับต้องลงไม้ลงมือกันเลย”
ที่บ้านหมอน้อย มะลิเอาชาร้อนมาวางให้หมอน้อยดูแลตามหน้าที่เมีย
“ขอบใจนะมะลิ...ไปดูลูกเถอะมีอะไรแล้วชั้นจะเรียก”
“ค่ะคุณหมอ”
มะลิเดินออกไปทิ้งให้หมอน้อยอยู่กับดาราตามลำพัง
“ผมก็พอจะได้ข่าวมาเหมือนกันครับว่าหมวดยงยุทธคุมตัวขุนเดชไปสอบสวน”
“เพราะนายสัมฤทธิ์ถูกวีรบุรุษบาปฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยม ยงยุทธเขาเลยโกรธมากค่ะ เหมือนถูกวีรบุรุษบาปจงใจเย้ยหยันเขา”
“เฮ้อ...อาก็ไม่เห็นด้วยกับวิธีการแก้แค้นอย่างโหดเหี้ยมของวีรบุรุษบาปนะ แต่อาก็เข้าใจขุนเดช สำหรับคนบาปที่กฏหมายไม่สามารถทำอะไรได้จริงๆ ขุนเดชเลยต้องจัดการให้เป็นเยี่ยงอย่าง”
“แต่ครั้งนี้ยงยุทธเอาจริงแน่...หนูรู้จักเขาดี ครั้งนี้เขากับขุนเดชอาจจะถึงขั้นแตกหัก” หมอน้อยฟังแล้วหน้าเครียดคิดเป็นห่วงทั้งขุนเดชและยงยุทธ “อาหมอคะ...เราต้องทำอะไรสักอย่างแล้วค่ะ”
หมอน้อยมองดาราแล้วพยักหน้ารับ
ยงยุทธจอดรถจี๊ปที่โบราณสถานแล้วลงมายืนมองสถูปสถานสีหน้าเคร่งขรึม
“แกจะสอบปากคำชั้นไม่ใช่เหรอ มีอะไรสงสัยก็ว่ามา” ขุนเดชบอกขณะก้าวตามลงจากรถ
“ชั้นสะกดรอยตามแกไปตอนที่พระจำเริญถูกฆ่าตาย แต่แกหายตัวไปตอนที่วีรบุรุษบาปโผล่มาเล่นงานชั้นแล้วฆ่าไอ้สัมฤทธิ์”
“ชั้นกลับไปที่กระท่อม เพราะหมดหน้าที่หลอกล่อให้แกติดกับของวีรบุรุษบาป”
ยงยุทธหันขวับมาทันที
“ แกว่าไงนะ”
“ใช่...ชั้นร่วมมือกับวีรบุรุษบาปอย่างที่แกสงสัย แกจะเอาผิดชั้นยังไงก็ได้ แต่อย่าหวังว่าชั้นจะยอมเปิดปากว่าวีรบุรุษบาปเป็นใคร”
“แก...” ยงยุทธกำหมัดแน่นเจ็บใจเดือดดาลปรี่เข้าไปชกหน้าขุนเดชทันที ขุนเดชหน้าหันเลือดกบปาก
“เข้ามาเลยไอ้ขุนเดช...ชั้นจะง้างปากให้แกพูดออกมาว่ามันเป็นใคร”
ขุนเดชปรี่เข้าหา ยงยุทธตั้งท่าเชิงมวยรอและเปิดฉากแลกหมัดกันมันส์หยดแต่ฝีมือของทั้งคู่สูสีกินกันไม่ลง
ยงยุทธโดนขุนเดชถีบยอดออกกระเด็นและซ้ำด้วยหมัดจนปากแตก แต่ก็แก้เชิงด้วยเตะตัดขาขุนเดชจนล้ม ทั้งคู่ลุกขึ้นมาตั้งการ์ดจรดๆ จ้องๆ ดูเชิงรอเข้าเล่นงานกันอีก
“บอกความจริงชั้นมาไอ้ขุนเดช แล้วชั้นจะปล่อยแกไป”
“ไม่มีความจริงอะไรออกจากปากชั้นทั้งนั้น”
“แต่แกกำลังร่วมมือกับอาชญากร แกกำลังช่วยมันทำให้กฏหมายไร้ความศักดิ์สิทธิ์”
“พวกมันทำตัวอยู่เหนือกฏหมาย มันเกินที่บ่าของแกจะรับไว้ได้ หัดเข้าใจบ้างสิวะ”
“งั้นแกก็กำลังดูถูกชั้น”
“ชั้นไม่เคยคิดดูถูกแก แต่ชั้นกลัวแกจะตายก่อนที่แกจะทำให้กฏหมายของแกศักดิ์สิทธิ์”
“ชั้นไม่ต้องการความเห็นใจและความสงสารเว้ย” ยงยุทธใช้หัวกระแทกตอนขุนเดชเผลอจนทำให้หัวขุนเดชแตกเลือดอาบมาปิดตา จึงตามเข้าไปถล่มซ้ำทั้งหมัด เข่าศอกจนขุนเดชเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำโงนเงน ยงยุทธตามไปกระชากคอเสื้อขุนเดชขึ้นมาตอนใกล้จะหมดแรง “เลิกเห็นใจชั้นแล้วหันมาร่วมมือกัน ไอ้วีรบุรุษบาปมันเป็นใคร”
“ชั้น…ชั้นไม่รู้”
“แกไม่รู้หรือว่าแกไม่อยากจะบอก” ขุนเดชยิ้มอย่างเยาะเย้ย “ขุนเดช…ถ้าแกไม่บอกงั้นชั้นก็จะคิดว่าแกคือวีรบุรุษบาปอย่างที่ชั้นสงสัยมาตลอด”
ขุนเดชนิ่งมองตายงยุทธเขม็ง
“แล้วถ้าชั้นใช่วีรบุรุษบาปจริงๆ แกจะทำอะไรชั้น” ยงยุทธนิ่งไป “จับชั้นเข้าคุก ส่งชั้นให้ถูกตัดสินประหาร นั่นใช่มั้ยที่แกจะทำ”
ยงยุทธกัดฟันเจ็บใจผลักขุนเดชกระเด็น
“ไปจากศรีสัชนาลัยซะขุนเดช อย่าให้ชั้นเห็นหน้าแกที่นี่อีก”
“ทำไมล่ะ...ถ้าแกคิดว่าชั้นคือวีรบุรุษบาป แกก็จับชั้นสิวะ แกจะได้ผลงานทันทีที่เห็นชั้นถูกยิงเป้า”
ยงยุทธขบกรามเจ็บใจแล้วขึ้นเสียงดัง
“ชั้นบอกให้แกไปจากศรีสัชนาลัย...ไปแล้วไม่ต้องมา ให้ชั้นเห็นหน้าแกอีกชั่วชีวิต”
“หึๆๆ ชั้นขุนเดช...ลูกหลานพระร่วง บ้านของชั้นคือศรีสัชนาลัย เพราะฉะนั้นแกจะไล่เจ้าของบ้านออกจากบ้านตัวเองได้ยังไง แกต่างหากที่ควรไปจากที่นี่”
“ไอ้ขุนเดช”
ยงยุทธกระชากคอเสื้อขุนเดชมาง้างหมัดจะชกแต่ทันใดนั้นมีดสั้นพุ่งเข้ามาเฉียดหน้ายงยุทธไปปักที่ต้นไม้..ฉึก
ยงยุทธกับขุนเดชหันขวับเห็นวีรบุรุษบาปยืนอยู่เหนือสถูปที่หักพัง
“หยุดทำร้ายขุนเดชได้แล้วหมวดยงยุทธ เขาไม่ใช่รู้หรอกว่าชั้นเป็นใคร ต่อให้ฆ่าขุนเดชตายหมวดก็ไม่มีวันรู้ความจริง”
“วีรบุรุษบาป”
ยงยุทธปล่อยตัวขุนเดชแล้ววิ่งไล่ตาม วีรบุรุษบาปกระโดดจากสถูปแล้ววิ่งหนีทันที ขุนเดชยืนงงงวยสงสัยว่าวีรบุรุษบาปที่เห็นคือใคร
ยงยุทธไล่ตามเข้ามาในป่า แต่ไม่เห็นวีรบุรุษบาปแล้ว เพราะหายไปอย่างไร้ร่องรอย
“ไอ้วีรบุรุษบาป…โธ่เว้ย”
ขุนเดชเดินเซมตามถนนลูกรังระหว่างนั้นดาราขับรถตามหลังมาจอดใกล้ๆ
“ขุนเดช...เป็นยังไงบ้าง”
“ดารา เมื่อกี้นี้ผมเจอวีรบุรุษบาป”
“ชั้นรู้แล้วล่ะขุนเดช”
“รู้แล้ว...หมายความว่ายังไง”
“ชั้นว่าเดี๋ยวเราค่อยไปคุยกันดีกว่านะขุนเดช”
ดาราช่วยพยุงขุนเดชพาขึ้นรถแล้วขับพาออกไป
ดาราพาขุนเดชกลับมาที่กระท่อมแล้วทำแผลบนหน้าให้ขุนเดชจนเสร็จเรียบร้อย
“ตกลงว่าคุณจะบอกผมได้รึยังว่าที่ผมเห็นน่ะหมายความว่ายังไง”
“ชั้นเป็นห่วงเธอ เห็นยงยุทธไม่ยอมปล่อยเธอมาซะที ชั้นเลยไปปรึกษากับอาหมอ”
ขุนเดชยังมองดาราอย่างสงสัย ระหว่างนั้นหมอน้อยเข้ามาพร้อมหมวกและผ้าขาวม้าที่ปลอมตัวเป็นวีรบุรุษบาป
“ชั้นเองที่ปลอมตัวเป็นวีรบุรุษบาปไปหลอกหมวดยงยุทธ”
“อาหมอ”
“อาหมอต้องออกอุบายหลอกยงยุทธ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ปล่อยเธอออกมา”
“ขอบใจมากนะครับอาหมอ เลยทำให้อาหมอต้องเสี่ยง”
“ไม่เป็นไรหรอกขุนเดช ช่วยกันแล้วก็ต้องช่วยกันให้ถึงที่สุด”
“ครับ...แต่ผมว่างานนนี้ยงยุทธคงหัวฟัดหัวเหวี่ยงน่าดู”
หมอน้อยยิ้มมุมปาก
คืนนั้นที่คฤหาสน์ของปราชญ์ กำนันบุญนั่งรออยู่ที่ห้องโถง คุณหญิงเดินออกมาเจอก็สงสัยหันไปถามคนใช้
“แขกของใครเนี่ย”
“คุณประดับค่ะ”
กำนันบุญหันมามองคุณหญิงสายตาของกำนันบุญทำให้คุณหญิงไม่ชอบออกจะเหยียดหยาม
“เธอคบคนแบบนี้ด้วยเหรอ”
“ไม่ใช่แค่คุณประดับที่คบหากับผมเท่านั้น แม้แต่ท่านเองถ้าไม่มีผมคอยช่วย ท่านก็มาไม่ถึงวันนี้หรอก” กำนันบุญบอก คุณหยิงสะดุ้ง
“แก...ปากดีเหลือเกินนะ รู้มั้ยว่าชั้นเป็นใคร”
ประดับรีบเดินเข้ามา
“คุณหญิงครับ...คุณหญิงรีบอกไปทำธุระที่เราตกลงกันไว้เถอะครับ”
“ประดับ...แขกของเธอปากไม่ดีกับชั้น”
“อย่าไปถือสากำนันบุญเลยครับ เขาทำงานให้ท่านมานาน ที่ผมตามตัวมาก็เพราะต้อง ให้เขาช่วย” คุณหญิงยังเชิดหน้าใช้หางตามองกำนันบุญ “ส่วนคุณหญิงหน้าที่ก็คือไปทำให้ทุกคนรู้ว่าท่านไม่สบายมากและเตรียมที่จะวางมือเพื่อ เปิดทางให้ผมได้ขึ้นไปแทนท่าน”
“ไม่ต้องห่วงหรอก สังคมวงไพ่ของชั้นเรื่องปากต่อปากเนี่ยไวยิ่งกว่าหนังสือพิมพ์ซะอีก”
คุณหญิงเชิดหน้าเดินออกไป กำนันบุญมองตามอย่างหมั่นไส้
ประดับพากำนันบุญเข้ามาคุยในห้องเก็บสมบัติ กำนันบุญจึงรู้เรื่องปราชญ์เป็นบ้า
“ว่าไงนะท่านนะเหรอเป็นบ้าไปแล้ว”
“ใช่...ตอนนี้ท่านไม่อยู่ในสภาพที่จะสั่งการอะไรได้อีกแล้ว เพราะฉะนั้นชั้นคือคนเดียวที่จะสั่งการทุกอย่างแทนท่าน”
กำนันบุญหรี่ตามองประดับอย่างสงสัย
“แต่แผนการที่เราคุยกันไว้จะรอให้ท่านตามหาโลหะศักดิ์ สิทธิ์โบราณครบก่อนไม่ใช่เหรอ”
“ยังไงชั้นก็ต้องจัดการกับท่าน ช้าเร็วก็ไม่เห็นจะแตกต่าง ดีกว่าซะอีกที่ชั้นจะได้ใช้อำนาจให้เต็มที่มากกว่าเดิม”
“ถ้าคุณมีอำนาจใหญ่โตได้อย่างที่อ้าง จะให้ผมทำอะไรผมทำให้ได้ทั้งนั้น ขออย่างเดียว...”
“เรื่องการตายของไอ้สัมฤทธิ์ใช่มั้ยกำนัน” กำนันบุญนิ่งขบกรามเจ็บใจ “ชั้นรู้ข่าวแล้ว...ก็อย่างที่ชั้นเคยเตือนกำนันมาตลอดนั่นแหละ ไอ้สัมฤทธิ์มันไม่ฉลาด ยังไงมันก็ต้องเป็นเหยื่อของวีรบุรุษบาป”
“แต่ชั้นจะไม่ยอมให้ลูกชายชั้นตายอย่างไร้ศักดิ์ศรี”
“เรื่องนั้นชั้นรับปากว่าจะดูให้แน่ แต่ก่อนอื่นกำนันต้องช่วยทำให้ชั้นได้ขึ้นมาแทนที่ท่านอย่างสมบูรณ์ซะก่อน”
“ชั้นช่วยอะไรได้”
ประดับมองกำนันบุญแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์
หมอน้อยเอาเครื่องชามสังคโลกสภาพดีมานั่งทำความสะอาด มะลิเข้ามาช่วยบีบนวดให้
“ตาหนูหลับแล้วเหรอ”
“จ้ะ กินนมอิ่มแล้วก็หลับสบายเลย ดึกแล้วคุณหมอไม่เข้านอนเหรอคะ”
“ก็ว่าจะเข้านอนอยู่ แต่มีหลายเรื่องให้อดคิดไม่ได้”
“เรื่องเตาสังคโลกโบราณที่ขุดพบในไร่ของเราน่ะเหรอคะ”
หมอน้อยพยักหน้ารับ
“ชั้นลองให้อาจารย์ประทีปมาสำรวจดูแล้ว ที่นี่เป็นแหล่งสังคโลกที่ยังสมบูรณ์อยู่มาก ถ้าเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปชั้นเกรงว่าจะทำให้เธอกับลูกวุ่นวาย”
“คุณหมอไม่ต้องห่วงมะลิกับลูกหรอกค่ะ ศรีสัชนาลัยได้ชื่อว่าเป็นเมืองของคนดี มะลิเชื่อว่าวีรบุรุษบาปกับเจ้าหน้าที่จะต้องช่วยเหลือคุณหมอให้ผ่านเรื่องนี้ไปได้”
หมอน้อยหันมายิ้มกับมะลิแล้วกุมมือมะลิเอาไว้แต่ลึกๆ ในใจก็ยังอดห่วงไม่ได้
ที่คฤหาสน์ของปราชญ์ ประดับยังคุยกหับกำนันบุญ
“ชั้นได้ข่าวมาว่าผู้ใหญ่ที่จะสามารถช่วยรับรองให้ชั้นได้เข้ามาทำหน้าที่แทนท่านได้เป็น นักสะสมเครื่องสังคโลกสุโขทัยตัวยง ถ้ากำนันหาสังคโลกที่สมบูรณ์ที่สุดมาได้ ชั้นก็จะ ได้ขึ้นมาแทนท่านทันที”
“แต่สังคโลกสุโขทัยที่สภาพยังสมบูรณ์มันหาไม่ได้ง่ายๆ นะคุณประดับ ที่มีอยู่ก็เห็นมีแต่ในพิพิธภัณฑ์”
“อย่ามาบอกชั้นว่ายังทำไม่ได้จนกว่ากำนันจะลองไปหาดู”
“ได้คุณประดับ...แผ่นดินสุโขทัยออกจะกว้างใหญ่ สมบัติยังมีให้ขุดกันอีกเยอะ มันต้องมีสักที่ที่ผมจะไปหาสังคโลกดีๆ กลับมาให้คุณได้แน่นอน”
กำนันบุญรับคำแล้วเดินออกไป ประดับหันมายิ้มร้ายน่ากลัว
จบตอน 31
ขุนเดช ตอน 32.1
วันต่อมาทีมงานโบราณคดีของอาจารย์ประทีปกำลังทำการสำรวจตกแต่งร่องรอยเตาสังคโลกโบราณอยู่ในไร่หมอน้อย
ขุนเดช ดารา ดำรงกำลังคุมคนงานช่วยกันขุดเอาเครื่องสังคโลกออกมาจากเตาเผาโบราณมีบัวทอง คอยลุ้นอยู่ใกล้ๆ
“เบาๆ ระวังหน่อยนะ” ดาราบอก คนงานขุดอย่างเบามือจนค่อยๆ เอาจานสังคโลกสภาพสมบูรณ์ออกมาให้ดาราที่เห็นเข้าก็อดตกตะลึงไม่ได้ “ดูสิคะอาจารย์ดำรง ตั้งแต่ขุดพบเตาเผาสังคโลกมา ชั้นยังไม่เคยพบที่ไหนที่ยังเหลือ เครื่องสังคโลกที่ทั้งสวยและสมบูรณ์มากขนาดนี้เลย”
“นับเป็นโชคดีของเราที่เตาเผาโบราณนี้อยู่ในที่ของหมอน้อย เพราะถ้าอยู่ที่อื่นล่ะก็ป่าน นี้คง...” ดำรงหน้าเครียด ถอนใจ
“ทำไมเหรอคะอาจารย์”
“คงจะโดนขุดจนแตกพังเสียหายหมดน่ะสิบัวทอง เพราะเครื่องสังคโลกมีราคาสูงมากในหมู่พวกนักสะสม” ขุนเดชบอก
“บัวทองสงสัยจังเลย เครื่องสังคโลกโบราณพวกนี้ทำไมถึงได้มีราคาสูงจนพวกนักสะสม ถึงต้องแย่งกันเอาเป็นเอาตายด้วย”
กำนันบุญยืนมองรูปถ่ายของสัมฤทธิ์ที่ประดับฝาผนังแล้วขบกรามแน่นความเจ็บแค้นยังฝังลึก
“พ่อกำนันครับ”
กำนันบุญหันมาตวาด
“ข้าสั่งแล้วใช่มั้ยว่าอย่ามารบกวนข้า”
“ชั้นขอโทษด้วยจ้ะ แต่ว่ามีชาวบ้านเอาเครื่องสังคโลกมาขายให้พ่อกำนันจ้ะ”
“เครื่องสังคโลก” ไอ้นะพยักหน้าให้ไอ้เนเอาจานสังคโลกที่ชาวบ้านขุดเอามาจากไร่ของหมอน้อยมาให้ดู กำนันบุญเห็นเข้าก็สนใจรับมาพิจารณาดูอย่างละเอียด “สภาพยังไม่สมบูรณ์เท่าไหร่ แต่ก็จัดว่าดีกว่าทุกชิ้นที่ข้าเคยเห็น มันไปขุดเจอมาจาก ไหนวะ”
“ไร่ของหมอน้อยที่ศรีสัชจ้ะ มันว่าที่นั่นยังมีที่สมบูรณ์แล้วก็สวยกว่านี้อีกเยอะ แต่คนอื่นเข้าไปไม่ได้แล้ว เพราะหมอน้อยให้พวกนักโบราณคดีปิดพื้นที่เข้าไปสำรวจ”
“ไอ้พวกโบราณคดีน่ะเหรอ...แผ่นดินสุโขทัยไม่ใช่ที่ของพวกมัน...แต่เป็นของข้าต่างหาก”
สีหน้ากำนันบุญดูเหี้ยมร้ายกาจ
ที่ไร่หมอน้อย ดารา ขุนเดชและดำรงพาบัวทองมาดูเครื่องสังคโลกที่ขุดขึ้นมาได้หลายชิ้น แต่ละชิ้นสวยงาม ด้วยลวดลายและสีสรร
“สังคโลกเป็นเครื่องปั้นดินเผาคุณภาพดี มีการเคลือบผิวและตกแต่งลวดลายอย่างงดงาม เผาด้วยความร้อนสูงมากประมาณ 1,150-1,280 องศาเซลเซียส เตาเผาและเทคนิคการเผาได้รับการพัฒนามาเป็นเวลานานนับร้อยปี ตั้งแต่สมัยต้นกรุงสุโขทัยจนปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา”
“ช่วงพุทธศตวรรษที่ 19 ชาวศรีสัชนาลัยสามารถสร้างเตาที่ใช้เผาเครื่องสังคโลกคุณภาพ ดี และผลิตจนสามารถส่งออกขายแพร่หลายในตลาดต่างแดนขายไปไกลถึงญี่ปุ่นเลยนะบัวทอง”
“ขายไปได้ทั่วโลกเลยเหรอคะอาจารย์ แสดงว่าฝีมือช่างของสุโขทัยก็ต้องเป็นที่ยอมรับมากเลยสิคะ”
“บรรพบุรุษของเราล้วนมีฝีมือและภูมิปัญญาไม่น้อยไปกว่าชาติใดในโลก ถ้าสถูปสถานคือความรุ่งเรืองของพุทธศาสนาในสุโขทัย เครื่องสังคโลกก็คือความรุ่งเรืองของเศรษฐกิจชาวสุโขทัย”
บัวทองฟังแล้วถอนใจ
“แต่ที่ทุกวันนี้ประเทศของเราได้แต่เดินตามหลังคนอื่น เพราะเราไม่รักและหวงแหนภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ แบบนี้ไงถึงต้องมีวีรบุรุษบาปคอยจัดการ”
“มันก็มีแค่คนส่วนน้อยเท่านั้นแหละบัวทองที่คิดเรื่องชั่วๆ พวกนั้น ซึ่งมันต้อง เป็นหน้าที่ตำรวจจัดการไม่ใช่วีรบุรุษบาป”
ทุกคนหันไปมองยงยุทธที่มาถึงก็จ้องหน้าขุนเดชเขม็ง
ยงยุทธคุยกับหมอน้อยที่หน้าบ้านกับนายชื่น
“ขอบคุณมากครับหมวด แต่ไม่ต้องหรอกครับ มีแค่ผมกับนายชื่นก็พอแล้ว”
“ไม่ได้หรอกครับอาหมอ เครื่องสังคโลกที่ขุดพบที่นี่มีมูลค่ามหาศาล ยั่วน้ำลายพวกโจรให้เข้ามาไม่น้อยแน่”
“แต่หมวดมีคดีที่ต้องสะสางอีกเยอะ กำลังตำรวจจะไม่พอ”
“พวกผมทำงานเพื่อประชาชน จะไม่หยุดพักจนกว่าจะได้เห็นทุกคนนอนหลับอย่างเป็น สุข ผมกับจ่าแท่นจะแวะเข้ามาดูบ่อยๆ เพราะผมเป็นห่วงที่นี่จริงๆ”
“ก็ได้ครับ ผมต้องขอบคุณหมวดมาก งั้นเดี๋ยวผมจะให้นายชื่นพาหมวดไปดูว่าเตาที่ขุดพบอยู่ตรงไหนของไร่บ้าง”
“ทางนี้เลยครับหมวด”
นายชื่นพาหมวดยงยุทธออกไปสวนกับขุนเดชที่เดินเข้ามา ขุนเดชกับยงยุทธมองหน้ากันแบบผ่านๆ
ขุนเดชเดินไปคุยไปในบริเวณบ้านหมอน้อย เห็นบัวทองช่วยมะลิเลี้ยงลูกของหมอน้อยอยู่ใกล้ๆ
“ที่ยงยุทธพูดมาก็น่าเป็นห่วงนะครับ”
“มันไม่มีอะไรต้องน่าเป็นห่วงหรอกขุนเดช ทั้งเธอทั้งยงยุทธต่างก็มีหน้าที่ต้องไปจัดการอีกตั้งมากมาย เพราะฉะนั้นปล่อยให้ที่นี่เป็นหน้าที่ของชั้นกับนายชื่นเถอะ”
“แต่กว่าคณะของอาจารย์ดาราจะสำรวจเตาเผาสังคโลกจนเสร็จคงใช้เวลานานอีกนานหลายเดือน ผมว่าอาหมอกับลูกเมียน่าจะย้ายไปอยู่ที่อื่นจนกว่าจะปลอดภัย”
“ชั้นทิ้งหน้าที่ดูแลคนที่นี่ไปไม่ได้หรอก แต่กับลูกเมียชั้น ไว้ชั้นจะบอกให้เขาย้ายไปอยู่ที่ลำปางก่อนก็แล้วกัน”
ขุนเดชกับหมอน้อยตกลงกันแล้วก็มองไปที่บัวทองที่ช่วยอุ้มลูกของมะลิมาช่วยป้อนนมจากขวดให้
“ท่าทางยัยหนูจะหิวนะคะน้า ดูดนมไม่หยุดเลย”
“บัวทองนี่เลี้ยงเด็กเก่งจังเลยนะจ๊ะ ปกติเป็นคนอื่นป้อนนมให้ ตาหนูไม่ยอมง่ายๆ แบบนี้”
“สงสัยบัวทองจะหลอกเด็กเก่งน่ะจ้ะน้า”
ขุนเดชยืนมองบัวทองที่เลี้ยงเด็กอย่างมีความสุขแล้วอดยิ้มกับภาพที่เห็นไม่ได้ เหมือนน้ำเย็นๆ ที่ผ่านเข้ามาหล่อ เลี้ยงหัวใจที่แห้งผากของขุนเดช
ระหว่างนั้นดาราเดินเข้ามาเห็นขุนเดชมองบัวทองเลี้ยงเด็กแล้วมีรอยยิ้มบนหน้า ดาราเข้าใจความรู้สึกของ ขุนเดชดี แต่พอขุนเดชหันมาเห็นดาราที่มองตนเองอยู่ ขุนเดชก็ตีหน้าขรึมเหมือนเดิมแล้วรีบเดินออกไป
“เดี๋ยวสิขุนเดช...”
ดาราเดินตามขุนเดชที่กำลังมาขึ้นมามอเตอร์ไซค์
“เดี๋ยวสิขุนเดช...นั่นเธอจะไปไหน”
“ผมจะไปสืบดูว่าสังคโลกที่ชาวบ้านขุดเจอก่อนหน้านี้ ตอนนี้พวกเขาเอาไปขายให้ใคร เผื่อจะตามกลับคืนมาได้บ้าง”
“อย่าทำร้ายชาวบ้านนะขุนเดช พวกเขาทำไปเพราะความจนและความไม่รู้”
“ถ้าเพราะความจนและความไม่รู้จริงๆ ผมอภัยให้ได้ แต่ถ้าไม่ใช่...”
ขุนเดชไม่พูดต่อสีหน้าจริงจังแทนคำพูด ดาราเข้าไปแตะไหล่อย่างเป็นห่วง
“ขุนเดช...ลำพังเธอคนเดียวยังไงก็คงจัดการกับคนบาปทั้งแผ่นดินไม่ได้หรอก ชั้นเห็นนะ สายตาที่เธอมองบัวทองเมื่อกี้ เธอคงรู้สึกเหนื่อยอยากจะพักเพื่อมีชีวิตอย่างคนปกติทั่วไปแล้วใช่มั้ย”
ขุนเดชนิ่งไปไม่กล้าสบตาดาราก่อนจะตัดใจจับมือดาราออกจากไหล่
“ผมมีชีวิตปกติอย่างคนทั่วไปไม่ได้หรอก เพราะคนอย่างผมมีแต่จะทำให้คนที่รักผมต้องนอนร้องไห้ทุกคืน”
ขุนเดชพูดเสร็จก็บิดคันเร่งแล้วขับมอเตอร์ไซค์ออกไป ดารามองตามอย่างเป็นห่วง
อ่านต่อหน้าที่ 4
ขุนเดช ตอนที่ 14 (ต่อ)
คืนเดียวกันนั้นที่คฤหาสน์ของปราชญ์ คุณหญิงอยู่ในชุดนอนบางเบานั่งหวีผมอยู่หน้ากระจก มองผ่านที่กระจกเห็นประดับนอนเปลือยอกยิ้มให้ ขณะที่คุณหญิงกำลังเดินนวยนาดเข้าไปหาประดับเสียงเคาะประตูดังขัดจังหวะ
“คุณหญิงคะ...คุณหญิง...คุณหญิง”
คุณหญิงชักสีหน้าไม่พอใจแล้วหันไปพยักหน้าให้ประดับหลบไปก่อน ส่วนคุณหญิงเปิดประตูออกไปคุยกับคนใช้
“นี่มันดึกดื่นกี่โมงกี่ยามแล้ว มารบกวนชั้นทำไม”
“ขอโทษด้วยค่ะคุณหญิง คือคุณท่านอาละวาดอีกแล้วค่ะ”
“คนบ้าถูกจับมัดนอนนิ่งๆ อยู่บนเตียง ถ้าไม่มีใครสะเออะไปแกมัดให้มันจะลุกขึ้นมาอาละวาดได้มั้ย...หา”
“เอ่อ...แต่ว่าคุณท่านถ่ายเรี่ยราดบนเตียง ดิชั้นต้องทำความสะอาดให้ท่านนะคะ”
“ชั้นรู้แล้ว...ถ้าคนเดียวเอาไม่อยู่ เดี๋ยวชั้นจะสั่งให้คนไปช่วยหล่อน ไปได้แล้ว” คุณหญิงปิดประตูอย่างหัวเสียแล้วหันมาบ่น “โอ๊ย...ชั้นจะบ้าตาย ผัวก็เป็นบ้า ลูกก็นอนป่วยเหมือนผักเน่า” คุณหญิงบ่นแล้วเห็นประดับกำลังใส่เสื้อผ้า “ประดับ เธอจะไปแล้วเหรอ”
ประดับเข้ามาในห้องเก็บสมบัติที่มีโลหะวัตถุศักดิ์สิทธิ์วางในตำแหน่งประจำทิศ ครู่หนึ่งคุณหญิงตามเข้ามา
“ประดับเธอเดินหนีชั้นออกมาทำไม”
“คืนนี้ผมไม่มีอารมณ์แล้วครับ”
“ทำไมล่ะ หรือว่าเพราะท่านทำให้เธอรู้สึกไม่ดีเวลาที่ต้องนอนเตียงท่าน งั้นชั้นจะส่งเขาไปอยู่โรงพยาบาล เธอจะได้สบายใจ”
“ผมบอกแล้วไงว่าคุณหญิงจะส่งท่านไปโรงพยาบาลไม่ได้ จนกว่าผมจะได้รับการยอมรับให้ขึ้นมาแทนที่ท่าน”
“แต่กว่าเธอจะหาเครื่องสังคโลกดีๆ เข้าไปไหว้ท่านประธานได้ ชั้นว่าจะมีคนมาเสียบแทนเธอแล้วน่ะสิ เอาอย่างนี้ดีกว่า...” คุณหญิงหันไปที่รูปปั้นนางรำทองคำ “รูปปั้นทองคำเนี่ย มูลค่ามันน่าจะมากกว่าเครื่องสังคโลกที่ท่านประธานชอบ บางทีเธอน่าจะ...”
คุณหญิงจะแตะที่รูปปั้นแต่ประดับจับมือบีบยั้งไว้
“ห้ามคุณหญิงแตะต้องของพวกนี้เด็ดขาด”
“ชั้นเจ็บนะประดับ” คุณหญิงสบัดมือสีหน้าเจ็บเพราะประดับบีบแรง “ทำไมเธอต้องห้ามชั้น ของพวกนี้มันก็เหมือนของๆ ชั้น”
“ของพวกนี้ไม่ใช่ของคุณหญิง...มันเป็นของผม”
คุณหญิงผงะ
“นี่เธอ”
ประดับขยับเข้าไปใกล้ชนิดหน้าแทบชนแล้วจ้องหน้าเขม็ง
“ถ้าคุณหญิงยังอยากมีเงินใช้ไม่ขาดมือ ยังอยากให้คนนับหน้าถือตาอยู่ในวงสังคมอยู่อีก ต่อไปนี้ห้ามคุณหญิงมาออกคำสั่งกับผมและห้ามเข้ามาในห้องนี้เด็ดขาด ถ้าคุณหญิงไม่ฟัง...สิ่งที่คุณหญิงสูญเสียจะไม่ใช่แค่ท่านกับลูกแน่ ทุกอย่างที่คุณหญิงมีจะหายไปในพริบตา”
ประดับขู่สีหน้าจริงจังทำเอาคุณหญิงถึงกับหน้าถอดสี
คุณหญิงกลับเข้ามาในห้องอย่างหงุดหงิดหัวเสียคว้าหมอนปาระบายอารมณ์
“ไอ้ประดับ...เดี๋ยวนี้แกกล้าขู่ชั้น ไอ้สารเลว...แกใช้ชั้นเป็นบันได ชั้นไม่น่าเสียรู้แกเลย”
คุณหญิงอารมณ์เสียมากระหว่างนั้นคนใช้มาเคาะประตูอีก
“คุณหญิงคะ...คุณหญิง”
คุณหญิงหงุดหงิด เดินไปเปิดประตู
“โอ๊ย...อะไรกันหนักกันหนา”
“คุณปาค่ะ...อาเจียนตลอดอาการไม่ค่อยดีเลย”
“ก็ให้กินยาไปสิ ถ้ายังไม่หลับก็เอายานอนหลับให้กิน”
“จะดีเหรอคะ”
“ไป”
“เอ่อ...ค่ะๆๆๆ”
คนใช้รีบออกไปคุณหญิง คุณหญิงปิดประตูเสียงดัง ปัง แล้วหันมาอย่างหัวเสีย
“นี่มันเวรกรรมอะไรของชั้นเนี่ย ทั้งผัวทั้งลูก โอ๊ย...ชั้นจะบ้าตายอยู่แล้ว”
คุณหญิงเดินไปนั่งหน้ากระจกอย่างหัวเสียคิ้วขมวดครุ่นคิดอยู่ครู่ก็ฉุกคิดถึงคำพูดของประดับขึ้นมา
“...ต่อไปนี้ห้ามคุณหญิงมาออกคำสั่งกับผมและห้ามเข้ามาในห้องนี้เด็ดขาด ถ้าคุณหญิง ไม่ฟัง...สิ่งที่คุณหญิงสูญเสียจะไม่ใช่แค่ท่านกับลูกแน่ ทุกอย่างที่คุณหญิงมีจะหายไป ในพริบตา”
คุณหญิงนิ่วหน้าสงสัยอะไรบางอย่าง
วันต่อมาที่บ้านคำปัน ดารามีสีหน้าแปลกใจเมื่อบัวทองเอาเรื่องที่น่าตกใจมาบอก
“จริงเหรอบัวทอง”
“จริงสิคะอาจารย์ บัวทองได้ยินมายังไม่อยากจะเชื่อเลย”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ มันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่”
“ถ้าสงสัยก็ต้องไปดูให้เห็นกับตา รีบไปเถอะค่ะอาจารย์”
บัวทองคว้ามือดารารีบพาออกไปด้วยกันทันที
ที่ไร่หมอน้อย ดำรงกำลังพิจารณาดูเครื่องสังคโลกที่กำนันบุญเอามาให้
“ใช่เครื่องสังคโลกที่เจอที่นี่รึเปล่าครับอาจารย์” ยงยุทธถาม ดำรงพยักหน้ารับ
“ดูจากลวดลายแล้วเป็นเครื่องสังคโลกที่ขุดพบจากเตาเดียวกันครับ”
“ถ้าอาจารย์ยืนยันว่าใช่ ผมก็สบายใจที่ได้ช่วยนำสมบัติของแผ่นดินกลับคืนมาได้”
ยงยุทธมองกำนันบุญอย่างสงสัย
“กำนันจะมาไม้ไหนกันแน่”
“อะไรกันครับหมวด มีชาวบ้านเอาสังคโลกมาขายให้ผม ผมอุตส่าห์เอากลับคืนมาให้ หมวดยังมากล่าวหาผมอีก”
“แต่พวกเราไม่ได้กินหญ้านะกำนัน...เบื้องหลังวัตุโบราณที่หายไปใครๆ เขาก็รู้ว่า กำนันมีส่วนรู้เห็นทั้งนั้น” ดาราบอกพร้อมกับเดินเข้ามา
“อาจารย์ดาราพูดจากับผมแบบนี้ ผมแจ้งข้อหาดูหมิ่นให้หมวดจับคุณตอนนี้เลยได้นะ”
“ชั้นยอมเสียค่าปรับถ้าจะเผยธาตุแท้ของกำนันได้”
“หมวดยงยุทธ...คุณเป็นผู้รักษากฏหมาย จะยืนเฉยไม่ปกป้องพลเมืองดีเลยเหรอ”
“พอเถอะดารา”
“ยงยุทธ”
“ผมก็คิดเหมือนคุณนั่นแหละ แต่ตอนนี้เราทำอะไรไม่ได้” ยงยุทธกระซิบบอก ดารานิ่งไป บัวทองพยักหน้าเห็นด้วยกับยงยุทธ “เอาเป็นว่าเรื่องสังคโลกที่เอามาคืนคงต้องขอบคุณกำนัน”
“คำขอบคุณผมไม่ต้องการ ผมแค่อยากให้หมวดรีบเร่งจัดการตามล่าตัวไอ้วีรบุรุษบาปมารับโทษที่มันทำไว้กับลูกชายผม เพราะถ้าพลเมืองดีอย่างผมยังไม่ได้รับความยุติ ธรรม ผมจะถือว่าหมวดบกพร่องในหน้าที่ ถ้าผู้ใหญ่รู้เรื่องเข้า หมวดก็เตรียมย้ายไปจากศรีสัชฯได้เลย”
กำนันบุญจ้องหน้ายงยุทธแล้วพากันออกไปพร้อมกับพวกลูกน้อง ยงยุทธมองตามเจ็บใจ
ไอ้นะไอ้เนขับรถจี๊ปมาตามทางขากลับ พวกมันหัวเราะชอบใจ
“เห็นหน้าไอ้หมวดยงยุทธตอนโดนพ่อกำนันขู่แล้ว ชั้นสะใจเป็นบ้า”
“นี่ถ้าพี่สัมฤทธิ์ยังอยู่ล่ะก็...คงได้หัวเราะเยาะใส่หน้ามันไปแล้ว”
“ข้าไม่ได้มาแค่ขู่มันอย่างเดียว แต่ข้าจะเล่นงานพวกมันให้สาสมกับที่ลูกข้าต้องตายอย่างไร้เกียรติ ทั้งไอ้วีรบุรุษบาป ทั้งไอ้หมวดยงยุทธ เตรียมตัวรับมือกับมือสังหารที่ข้าสั่งให้มาจัดการกับพวกแกไว้ให้ดีเถอะ”
กำนันบุญยิ้มร้ายอยู่บนรถจี๊ปที่วิ่งฝ่าฝุ่นตลบ
ขุนเดชกับหมอน้อยเดินคุยกันมาที่หน้าบ้าน
“ผมทราบจากพวกอาจารย์แล้วครับอาหมอ การที่กำนันบุญกำลังพยายามจะสร้างภาพให้ตัวเองดูเป็นพลเมืองดี ยิ่งทำให้ต้องระวังมากขึ้น คงไม่พ้นคิดเรื่องชั่วๆ อยู่แน่”
“กำนันบุญเป็นยิ่งกว่าอสรพิษ ยิ่งลูกชายมาถูกวีรบุรุษบาปฆ่าตายแบบนี้อาเป็นห่วง เธอมากนะขุนเดช แผนการครั้งนี้ของมันเป้าหมายจะอยู่ที่เธอ”
“ถ้ากำนันบุญคิดจะชนกับผมจริงๆ ก็ดีสิครับอาหมอ...ดาบดำของผมจะได้ตัดสินโทษประหารมันซะที”
ระหว่างนั้นมะลิรีบเดินเข้ามาหาหมอน้อย มีบัวทองที่ช่วยอุ้มตาหนูเดินตามออกมา
“พี่หมอ”
“มะลิ นี่ยังไม่ไปอีกเหรอ”
“ไม่จ้ะ...ชั้นจะไม่ไปไหน ชั้นจะอยู่กับพี่ที่นี่”
“ไม่ได้หรอก ตอนนี้ที่ดินของเราเหมือนกับขุมทรัพย์ล่อให้พวกโจรเข้ามาไม่เว้นแต่ละวัน ถ้ามะลิยังอยู่ที่นี่ พี่จะดูแลมะลิกับลูกไม่ได้”
“แล้วพี่หมอล่ะ ถ้าเกิดอะไรขึ้นจริงๆ ชั้นไม่อยากให้ตาหนูเป็นกำพร้านะ”
“คิดมากน่ามะลิ นายชื่นก็อยู่ หมวดก็คอยส่งตำรวจมาช่วยดู แล้วยังมีขุนเดชอีก”
“งั้นถ้าพี่หมอมั่นใจว่าไม่มีอะไร ชั้นกับลูกก็จะอยู่ด้วย”
“มะลิ อย่าทำให้อาหมอหนักใจเลย”
“ขุนเดช เธอใช้ชีวิตตัวคนเดียวมาตลอด เธอไม่เข้าใจหรอกว่าการไม่ได้อยู่กับคนที่เรารักมันทรมานแค่ไหน”
ขุนเดชชะงักไปเพราะคำพูดของมะลิทิ่มแทงใจ บัวทองเห็นสีหน้าของขุนเดช
“เอาล่ะ...ถ้ามะลิยืนยันว่าไม่ยอมไปก็ไม่เป็นไร ชั้นจะปกป้องมะลิกับลูกเอง”
มะลิดีใจเข้าไปสวมกอดหมอน้อย บัวทองเห็นสีหน้าขุนเดชแล้วสงสาร
ขุนเดชเดินมาตามทาง บัวทองเดินตามหลังมาห่างๆ มีเด็กๆ เล่นกันอยู่ข้างทาง ขุนเดชรู้ว่าบัวทองเดินตามเลยหยุด บัวทองเห็นขุนเดชหยุดก็ทำเป็นหยุดหันไปดูพวกเด็กๆ เล่นกัน
“เล่นอะไรอยู่น่ะ ท่าทางสนุกนะไอ้ด่าง”
“แก่แล้ว ไม่ให้เล่นด้วยหรอก”
“ไอ้ด่าง...ปากเสีย เดี๋ยวก็ตบปากแตกหรอก”
พวกเด็กๆ แลบลิ้นใส่ ขุนเดชขำบัวทองเลยทำให้บัวทองหน้าเสียทำเชิดเดินผ่านขุนเดช แต่เดินไม่ดูทางจึงสะดุดหินที่พื้นเกือบจะล้ม
“ว๊าย”
ขุนเดชเข้าไปคว้าตัวบัวทองเอาไว้ บัวทองชะงักอยู่ในอ้อมแขนของขุนเดช ทั้งคู่สบตากัน พวกเด็กๆ เข้ามามุงดูแล้วผิวปากแซว บัวทองรีบผลักขุนเดช
“ปล่อยชั้นนะพี่ขุนเดช ดูสิ…ไอ้เด็กพวกนั้นมันแซวชั้นไม่หยุดแล้ว”
“ถ้าพี่ไม่ช่วยบัวทองไว้ บัวทองได้ล้มก้นจ้ำเบ้า พวกไอ้ด่างยิ่งล้อบัวทองมากกว่านี้อีกนะ”
“พี่ขุนเดช”
บัวทองหันไปที่พวกเด็กๆ ที่ยังแซวขำหัวเราะบัวทองไม่หยุด
“แต่พี่ว่าคงห้ามพวกนั้นไม่ให้ล้อบัวทองไม่ได้แล้วล่ะ”
“เพราะพี่นั่นแหละ...ทีหลังพี่อยู่ให้ห่างชั้นเลยนะ”
“อยู่ห่างบัวทองพี่คงทำไม่ได้หรอก แต่ถ้าทำให้พวกนั้นเลิกล้อบัวทอง พี่พอช่วยได้” ขุนเดชยิ้มให้แล้วหันไปเรียกพวกเด็กๆ “พวกเอ็งน่ะมานี่สิ” พวกเด็กๆ วิ่งเข้าไปหาขุนเดช “ถ้าใครเอาบัวทองไปล้อเล่นล่ะก็อดได้ของเล่นแน่”
“ไม่ล้อพี่บัวทองแล้วก็ได้จ้ะพี่ขุนเดช แต่พวกเราต้องได้ของเล่นตอนนี้เลยนะ”
“ได้...ไปเลือกเอาเลย”
พวกเด็กๆ เฮโลวิ่งออกไปกันอย่างลิงโลด ขุนเดชหันมายิ้มให้บัวทองแต่โดนแลบลิ้นใส่
“เชอะ...ติดสินบนเด็ก”
จบตอนที่ 14
ติดตามอ่านขุนเดชตอนต่อไป พรุ่งนี้