xs
xsm
sm
md
lg

ขุนเดช ตอนที่ 7

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ขุนเดช ตอนที่ 7
ส่วนที่แคมป์โบราณคดี ดารารีบเร่งออกจากแคมป์มาที่รถจี๊ปเพราะจะรีบไปด้วยเรื่องด่วน บัวทองตามออกมาด้วย ส่วนดำรงพยายามห้าม
“เดี๋ยวสิครับอาจารย์ ผมว่ารอให้อาจารย์ประทีปกลับมาก่อนดีกว่า”
“ชั้นรอไม่ได้หรอกค่ะ ชั้นต้องไปห้ามพวกนั้นก่อนที่จะสายเกินไป”
ดารารีบไปที่รถจี๊ปของทางคณะโบราณคดี บัวทองเป็นห่วงรีบขึ้นไปนั่งด้วย
“บัวทองไม่ยอมให้อาจารย์ไปทำเรื่องเสี่ยงอันตรายคนเดียวหรอกค่ะ”
“บัวทอง”
“บังทองจะไปด้วยด้วยค่ะ”
บัวทองยืนยันหนักแน่นไม่ยอมลงจากรถ ดาราไม่มีทางเลือกเลยต้องพาบัวทองไปด้วยกัน
ดาราขับรถออกไปกับบัวทองได้ครู่ ดำรงมองตามอย่างเป็นห่วงกลัวว่าจะเกิดเรื่อง ระหว่างนั้นขุนเดชกลับเข้ามาพอดี
“ขุนเดช...เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”

ขณะนั้นพวกชาวบ้านกำลังขนย้ายข้าวของออกจากพื้นที่เพราะถูกเวนคืน มีพวกคนงานคอยไล่
“เอ้า...เร็วๆ เข้า...ชักช้าอยู่นั่นแหละ ได้เงินไปแล้วก็รีบๆ ไป”
ดาราขับรถจี๊ปเข้ามาจอดเอี๊ยดฝุ่นตลบแล้วรีบลงจากรถพร้อมกับบัวทอง
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ...พวกคุณจะตัดถนนผ่านแถวนี้ไม่ได้”
พวกคนงานพากันมองมาที่ดาราอย่างสงสัย
“ที่ตรงนี้เวนคืนถูกต้องทุกอย่าง อย่ามาขวาง...หลบไป”
“แต่นี่มันไม่ใช่การเวนคืนที่ถูกต้อง แนวถนนที่จะตัดไปข้างหน้านั่น พวกชั้นเพิ่งจะขุดพบแหล่งโบราณคดี พวกคุณต้องหยุดเดี๋ยวนี้” พวกคนงานไม่สนใจหันไปทำงานเตรียมเครื่องไม้เครื่องมือกันต่อ ดาราไม่ยอมรีบเข้าไปขวางอีก
“ชั้นบอกแล้วไงว่าห้ามทำให้แหล่งโบราณคดีเสียหาย”
พวกคนงานรำคาญผลักดาราจนล้ม บัวทองโมโหที่ดาราโดนผลักเลยเข้าไปทุบตีพวกคนงาน
“ไอ้พวกบ้า...พวกแกไม่รู้จักหวงแหนสมบัติของชาติกันบ้างเหรอไง”
ระหว่างนั้นแจ็คเข้ามาแล้วสั่งเสียงดัง
“STOP !!”
พวกคนงานพากันหยุดชะงัก แจ็คทำเป็นสุภาพบุรุษเข้าไปพยุงดาราให้ลุกขึ้น
“นายช่าง” คนงานเรียกแจ็ค
“ต้องขอโทษด้วยนะครับ เป็นอะไรมากรึเปล่า”
แจ็คถามดารา ดาราชะงักมองฝรั่งร่างโตที่ถูกพวกคนงานเรียกว่านายช่าง ดาราจะสะบัดแขนแต่โดนแจ็คจับบีบแขนเอาไว้แน่น มากจนเจ็บ แจ็คยิ้มให้อย่างน่ากลัว ประดับเดินตามเข้ามาสมทบ
“แจ็ค...เบามือกับผู้หญิงของชั้นหน่อย...ชั้นไม่อยากให้ผิวสวยๆ ของเธอต้องมีริ้วรอย”
แจ็คปล่อยมือ ดารารีบถอยมายืนใกล้กับบัวทอง
“อาจารย์คะ...ไอ้หมอนั่นมัน...”
“นายประดับ...นี่แกอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้เหรอ คอยดูนะ ชั้นไม่หยุดแค่นี้แน่”
ดาราเป็นห่วงว่าตัวเองกับบัวทองอยู่ในวงล้อมของพวกมัน เลยรีบพาบัวทองไปที่รถแล้วขับออกไปทันที
“จะปล่อยไปแบบนี้เฉยๆ เหรอครับคุณประดับ”
ลูกน้องถาม ประดับยิ้มร้ายแล้วหันไปมองแจ็ค พยักหน้าให้แจ็คอย่างรู้กัน

ดาราขับรถพาบัวทองมาตามถนนลูกรัง
“จะปล่อยไว้แบบนี้ไม่ได้นะคะอาจารย์ ถ้าพวกนั้นตัดถนนผ่านเข้าไปได้ โบราณสถาน ต้องถูกพวกมันทำลายจนย่อยยับแน่”
“ชั้นไม่หยุดหรอกบัวทอง ถ้าต้องแลกด้วยชีวิตชั้นก็ยอม”
ดารามุ่งมั่นเอาจริงเหยียบคันเร่งไปได้ครู่ก็ต้องเบรครถตัวโก่ง เพราะที่กลางถนนแจ็คกับลูกน้องประดับจอดรถจี๊ปขวางทาง พวกมันมองมาที่สองสาวแล้วยิ้มอย่างร้ายกาจ
“พวกมันไม่ปล่อยเราแน่ ทำยังไงดีคะ”
แจ็คกับลูกน้องประดับเร่งเครื่องส่งเสียงคำรามขู่ให้สองสาวกลัว ดาราครุ่นคิดตัดสินใจเปิดลิ้นชักหน้ารถเห็นมี ปืนสั้นอยู่กระบอกหนึ่ง
“เธอขับรถได้ใช่มั้ยบัวทอง”
“ได้ค่ะ”
“งั้นเราต้องช่วยกันแล้วล่ะ”
แจ็คกับลูกน้องประดับเร่งเครื่องจนล้อฟรีแล้วพุ่งเข้าหา ดาราลุกขึ้นยิงปืนใส่พวกมันรัวไม่ยั้งแล้วให้บัวทองเข้าเกียร์ถอยหลังหนีทันที

บัวทองขับรถจี๊ปหนีการไล่ตามของแจ็ค ดาราต้องคอยยิงสวนกลับไปแต่พวกมันก็หลบกระสุนได้ ดารายิงจนลูกปืนหมดพวกมันก็ยังไล่ตามไม่เลิก บัวทองเลยต้องตัดสินใจ
“จับแน่นๆ นะคะอาจารย์”
บัวทองหักพวงมาลัยขับรถอออกจากถนนลูกรัง รถพุ่งลงข้างทางไถลไปตามดงต้นอ้อย รถวิ่งทะลุผ่านดงอ้อยที่สูงมิดหัว บัวทองรีบจอดรถแล้วลงจากรถพร้อมกับดารา
“ทางนี้ค่ะอาจารย์”
บัวทองกับดารารีบจูงมือพากันวิ่งหนีหายไปในดงต้นอ้อย คล้อยหลังไม่นานแจ็คกับลูกน้องประดับก็ขับรถตามมาถึง พวกมันลงจากรถแล้วไล่ตามสองสาวเข้าไปในดงไร่อ้อย

บัวทองกับดาราวิ่งหนีการไล่ล่า สองสาววิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต บัวทองสะดุดล้มลง
“บัวทอง” ดารารีบเข้ามาดูบัวทองด้วยความเป็นห่วงแล้วพบว่าบัวทองเหยียบกิ่งไม้จนได้เลือดจนลุกแทบไม่ไหว “อดทนหน่อยนะบัวทอง”
ดาราพยุงบัวทองขึ้นมาประคองจะพาออกไปแต่ระหว่างนั้นต้นอ้อยใกล้ๆ ขยับเหมือนมีคนกำลังตามเขามา สองสาวหน้าเสีย
“อาจารย์หนีไปเถอะค่ะ ชั้นจะถ่วงเวลามันให้เอง”
“ไม่…ชั้นจะไม่ทิ้งเธอ”
ต้นอ้อยขยับใกล้เข้ามาทุกที ดารารีบดันบัวทองให้หลบไปอยู่หลัง แล้วคว้าท่อนไม้ที่พื้นขึ้นมาเตรียมเป็นอาวุธ
สองสาวเหงื่อตกลุ้นสุดฤทธิ์ เมื่อดงต้นอ้อยแหวกเข้ามา ดาราก็ปรี่เข้าไปฟาดมันด้วยท่อนไม้ทันที หมับ...วีรบุรุษบาปพันหน้าด้วยผ้าขาวม้า ใช้มือเดียวจับท่อนไม้ในมือดาราไว้ได้และแย่งจากมือโยนทิ้งไป ดาราตกใจถอยมายืนคู่กับบัวทองด้วยความสงสัย
“แกเป็นใคร”
วีรบุรุษบาปไม่ตอบกลับชักดาบดำออกมา สองสาวเห็นเข้าก็ตกใจนึกว่าจะโดนจัดการด้วยดาบอันคมกริบ
“ดาบ…หรือว่า…เขาคือวีรบุรุษบาปคะอาจารย์”
บัวทองบอก ดาราอึ้งไป
“วีรบุรุษบาป”
ขุนเดชชักดาบดำออกมาแล้วก็ปักดาบลงดินอย่างแข็งแรง…ฉึก หันหลังให้และชี้มือไปทางหนึ่งเป็นสัญญาณ ให้สองสาวหนีไปทางนั้น
“เขาต้องการให้เราไปจากที่นี่ค่ะอาจารย์”
ดารามองแผ่นหลังของวีรบุรุษบาปอยู่อีกอึดใจก่อนจะพาบัวทองหนีไปตามที่วีรบุรุษบาปสั่ง วีรบุรุษบาปหันไปชำเลืองมองสองสาวที่เพิ่งออกไป ก่อนจะยืนกำหมัดแน่นเตรียมพร้อมรับมือกับแจ็คและลูกน้องประดับที่ตามเข้ามาถึง ทั้งหมดยืนจรดจ้องกันเขม็ง

ยงยุทธเข้ามาเรียกขุนเดชอยู่ที่หน้ากระท่อมแต่ไม่มีวี่แววของขุนเดช
“ขุนเดชยังไม่กลับมาหรอก หมวดมีอะไรกับมันเหรอ”
หลวงลุงบอก
“ผมมีเรื่องอยากจะเตือนขุนเดชครับหลวงลุง”
“เตือน ...ขุนเดชกำลังมีเรื่องเดือดร้อนอะไรเหรอหมวด”
ยงยุทธนิ่งไปครู่
“ไม่ใช่ขุนเดชหรอกครับที่กำลังมีเรื่องเดือดร้อน แต่เป็นวีรบุรุษบาป”
“แล้ววีรบุรุษบาปเกี่ยวอะไรกับขุนเดช” หลวงลุงถามอย่างแปลกใจ
“ผมขอโทษครับหลวงพ่อ ผมเคยเชื่อมั่นในสัญชาติญาณความสงสัยของผมมาตลอด แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ผมอยากให้ตัวเองสงสัยผิด”
หลวงลุงมองยงยุทธอย่างแปลกใจ

ที่ไร่อ้อย ขุนเดชขืนจังก้าต่อหน้าแจ็คกับลูกน้องประดับที่พร้อมจะลุยใส่กันได้ตลอดเวลา
“ไอ้หมอนี่มันเป็นใคร”
“ท่าทางกับดาบของมัน...มันคือวีรบุรุษบาปแน่”
“วีรบุรุษบาปเหรอ...” แจ็คยิ้มร้ายๆ “หึๆๆ...ได้ยินชื่อเสียงมานาน ในที่สุดก็ได้เจอตัวซะที”
แจ็คกำหมัดตั้งท่าพร้อม ลูกน้องประดับเตือน
“ระวังนะ อย่าประมาทมันเด็ดขาด ฝีมือมันไม่ธรรมดา”
แจ็คไม่สนใจหักนิ้วบิดคอเสียงกระดูกดัง...กร่อบ !! แล้วปรี่เข้าไปเปิดฉากเพลงมวยใส่ทันที ขุนเดชตั้งท่าเชิงมวยมือเปล่าต่อสู้กับแจ็ค ทั้งคู่ตอบโต้กันไปมาทั้งเชิงหมัด เข่า ศอก ครบเครื่อง แต่แจ็คก็รับหมัดของขุนเดชได้หมดไม่ว่าจะประเคนใส่มากขนาดไหน
ขุนเดชโดนซัดด้วยลูกถีบจนกระเด็น ลูกน้องแจ็คได้โอกาสเข้าไปช่วยซ้ำ ขุนเดชเลยต้องหันมาเปิดฉากชกกับ ลูกน้องประดับอีกคน และสามารถเล่นงานลูกน้องแจ็คได้แต่นั่นก็ทำให้แจ็คเข้ามาเล่นงานซ้ำอีก แจ็คกระหน่ำชกขุนเดชหมัดแล้วหมัดเล่าเหมือนที่เคยเล่นงานยงยุทธ ขุนเดชเข่าทรุดโงนเงนอ่อนแรง แจ็คเข้าไปจับแขนขุนเดชมาบิดอย่างแรง
“อ๊ากกกกกกกก”
ขุนเดชร้องด้วยความเจ็บ

ดาราที่ประคองบัวทองซึ่งเท้าบาดเจ็บถูกกิ่งไม้ตำเดินกระเผลก สองคนได้ยินเสียงร้องเจ็บปวดของวีรบุรุษบาปดังก้องไปทั่ว
“วีรบุรุษบาป”
บัวทองเป็นห่วงวีรบุรุษบาปเลยรีบผละจากดาราเพื่อจะย้อนกลับไป
“บัวทอง เธอจะทำอะไร”
“อาจารย์ไม่ได้ยินเหรอคะ เขาพยายามจะช่วยเรา”
“ชั้นได้ยิน แต่ว่า...” ดาราหนักใจเพระาเป็นห่วงบัวทองที่อยู่ในสภาพได้รับบาดเจ็บ “สภาพเธอแบบนี้ กลับไปก็ช่วยเขาไม่ได้...” ดาราหยิบปืนออกมา “ชั้นจะกลับไปช่วยเขาเอง”
ดาราตัดสินใจถือปืนวิ่งย้อนกลับไป บัวทองเป็นห่วง
“อาจารย์!!”

ขุนเดชซวนเซเจ็บแขนข้างที่ถูกแจ็คจับบิดจนตอนนี้กลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
“ท่าทางมันจะไม่ไหวแล้ว...วันนี้เป็นวันตายของแกแล้วไอ้วีรบุรุษบาป” ลูกน้องถีบขุนเดชจนกระเด็นและจะซ้ำอีก แต่แจ็คจับคอเสื้อลูกน้องประดับแล้วส่ายหน้าว่าให้มันจัดการเอง “ได้...ลูกพี่อยากให้แกใช้หมัดสั่งตายส่งมันไปนรกอยู่แล้ว”
ลูกน้องเปิดทางให้แจ็คที่กำหมัดแน่นด้วยท่าไม้ตาย นิ้วกลางสันหมัดโหนกนูนขึ้นมาเป็น 3 เหลี่ยม ขุนเดชชำเลืองไปที่ดาบดำซึ่งปักอยู่ที่พื้นห่างจากตัวไปไม่เท่าไหร่
“หมัดสั่งตาย”
จังหวะที่แจ็คเหวี่ยงหมัดสั่งตายใส่ ขุนเดชตัดสินใจใช้เท้าถีบเข้าไปที่หน้าแข้งแจ็คเต็มแรงทำให้จังหวะชกหมัดสั่งตายแจ็คพลาด หมัดเหวี่ยงไม่โดนหน้าแต่ไปกระแทกเข้าที่กลางหน้าอกแทน ขุนเดชกระเด็นกลิ้งไปทางดาบดำที่ปักอยู่ แจ็คโมโหจะเข้าไปซ้ำแต่ขุนเดชพยุงตัวขึ้นแล้วชักดาบดำขึ้นจากพื้น กำแน่นพร้อมจะใช้ดาบดำสู้กับมัน แต่เห็นได้ชัดว่าเลือดได้กระอักออกจากปากจนเปรอะผ้าขาวม้าที่พันหน้าอยู่ แจ็คง้างหมัดสั่งตายจะเข้าไปจัดการ แต่ทันใดนั้นเสียงปืนก็แทรกเข้ามา...ปัง !! ดาราเข้ามาใช้ปืนยิงใส่แจ็ค กระสุนโดนที่หัวไหล่ข้างที่แจ็คใช้หมัดสั่งตายพอดี
ดาราหน้าตาเอาจริงขึ้นไกนัดต่อไปพร้อมยิงอีกอย่างขึงขัง
“ไปให้พ้นเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นนัดนี้จะแสกหน้าแกแน่”
แจ็คมองดาราอย่างเจ็บใจก่อนจะถอยออกไปพร้อมกับลูกน้องประดับ บัวทองกระเผลกตามดาราเข้ามาและได้เห็นวีรบุรุษบาปในสภาพเจ็บเอาเรื่อง ทั้งคู่ต่างเป็นห่วง
“วีรบุรุษบาป” บัวทองจะเข้าไปหา แต่วีรบุรุษบาปชี้ดาบดำใส่อย่างขึงขังสื่อว่าไม่ต้องเข้าใกล้ “ให้เราช่วยคุณเถอะ”
วีรบุรุษบาปส่ายหน้าปฏิเสธแล้วกำดาบดำชี้หน้าสองสาวว่าไม่ให้ตามแล้วรีบถอยออกไป
“ปล่อยเขาไปเถอะบัวทอง...เขาไม่ต้องการให้เราตามเขา”
แต่บัวทองก็ยังอดมองตามวีรบุรุษบาปไปด้วยความเป็นห่วงไม่ได้

ในอดีตขุนเดชแอบเดินตามเด็กเกเรหัวโจกที่เคยเล่นงานขุนเดช พอมันเผลอขุนเดชก็ออกไปขวางทาง
“ไอ้ขุนเดช...ไอ้ลูกแหง่ คิดจะหาเรื่องเจ็บตัวอีกเหรอไงวะ”
“ข้าไม่ใช่ลูกแหง่เว้ย ข้ามาเตือนเอ็งว่าทีหลังอยากมาหาเรื่องข้าอีก ไม่งั้นข้าจะสั่งสอน ให้เอ็งจำชื่อข้า...ขุนเดช ไปจนวันตาย”
“อย่างเอ็งน่ะเหรอจะทำอะไรข้าได้”
“นี่ไง...ดาบของพ่อข้าที่ใช้ปราบโจรมาแล้วทั้งสุโขทัย ถ้าเอ็งไม่ยอมขอโทษข้า ข้าจะใช้จัดการกับเอ็ง”
“ข้าไม่ขอโทษ แล้วเอ็งจะทำไม”
เด็กเกเรทำกวน ขุนเดชเลยโมโหจะชักดาบดำของพ่อออกจากฝัก แต่ไม่ทันระวังตัว พรรคพวกเด็กเกเรเข้ามาจากข้างหลัง ล็อคตัวแล้วแย่งดาบดำโยนทิ้ง พวกมันยิ้มร้ายก่อนจะขยับเข้ามาที่ขุนเดช
ขุนเดชนอนหมอบอยู่กับพื้น เนื้อตัวมอมแมมสภาพหน้าและตามตัวถูกซ้อมจนปากแตก ตาบวม ขุนเดชโซซัดโซเซลุกขึ้น พอจะล้มนายเดื่องก็เข้ามาจับมือลูกชายเอาไว้ พร้อมกับหยิบดาบดำขึ้นจากพื้น
“พ่อ...”
นายเดื่องไม่พูดอะไรเอาผ้าขาวม้ามาเช็ดคราบเลือดที่ปากและเช็ดหน้าเช็ดตาให้ลูกอย่างเป็นห่วง
“เดี๋ยวเอ็งกลับไปทำแผล สักสองสามวันก็หาย ส่วนเรื่องทะเลาะวิวาทของเอ็ง ก็พอได้แล้ว แค่นี้ก็เห็นแล้วว่าเอ็งสู้เขาไม่ได้” ขุนเดชเสียใจจะร้องไห้ “อย่าร้องไห้ให้พ่อเห็นเด็ดขาด น้ำตามันไม่ได้ช่วยทำให้เอ็งรู้สึกดีขึ้นหรอก จำไว้ว่านี่ แหละคือบทเรียนที่เอ็งไม่รู้จักคิด แล้วก็อย่าขโมยดาบพ่อออกมาอีก เพราะถ้าเอ็งพลาด มันจะทำให้เอ็งเดินทางผิดไปตลอด”
“ชั้นขอโทษจ้ะพ่อ” ขุนเดชกลั้นสะอื้น “ชั้นต้องการพิสูจน์ให้พ่อเห็นว่าชั้นพิเศษกว่าคนอื่น อย่างที่พ่ออยากให้ชั้นเป็น”
“ขุนเดช...ที่พ่ออยากให้เอ็งพิเศษกว่าคนอื่น พ่อหมายความว่าผู้ที่หลงอยู่แต่กับความทะนงตน ย่อมหลงอยู่กับความพ่ายแพ้ พ่อไม่อยากเห็นเอ็งเป็นคนแบบนั้นต่างหาก”
ขุนเดชนิ่งไปพอจะเข้าใจที่พ่อตักเตือน นายเดื่องช่วยประคองลูกชายพาเดินกลับบ้านท่ามกลางแสงอัศดง

ปัจจุบันขุนเดชเดินโซซัดโซเซมือกุมแผ่นอกที่ถูกแจ็คใช้หมัดสั่งตายชกไป ขุนเดชปลดผ้าขาวม้าที่พันหน้าออก แล้วกระอักเลือดออกมาเพราะร่างกายข้างในช้ำใน เลือดเปรอะมือ ขุนเดชเข่าทรุดล้มลงที่ริมลำธาร สายน้ำไหลผ่านปนกับเลือดขุนเดชที่ดูแล้วน่าเวทนาสงสาร ผ้าขาวม้าที่พันหน้าลอยไปกับสายน้ำ
หมอน้อยมาหาสมุนไพรอยู่ใกล้ๆ ลำธาร หมอน้อยแวะมาล้างหน้าล้างตาหลังจากเก็บสมุนไพรไปได้พอสมควร ก่อนจะเห็นผ้าขาวม้าเปื้อนเลือดลอยตามน้ำมา หมอน้อยหยิบขึ้นมาดูอย่างสงสัยแล้วมองย้อนขึ้นไปที่ทางน้ำไหล แล้วต้องตกใจเมื่อเห็นขุนเดชนอนบาดเจ็บ
“ขุนเดช”
“อา...หมอ”

ที่บ้านคำปัน บัวทองร้องซี้ดเจ็บ เมื่อคำปันเอายาใส่แผลที่เท้าให้บัวทอง
“แสบจังเลยแม่”
“แสบสิดี แผลจะได้ไม่ติดเชื้อโรค ไม่งั้นได้ตัดขาแทนแน่”
“ตัดขาเลยเหรอแม่ ไม่เอาหรอก”
บัวทองปล่อยให้คำปันช่วยทำแผลต่อ ดารากับยงยุทธยืนมองดูอยู่ห่างๆ ยงยุทธมีสีหน้าครุ่นคิดตัดสินใจแล้วรีบเดินออกไป ดาราเห็นก็รีบตามยงยุทธไปทันที

ดารารีบตามยงยุทธออกมา
“ยงยุทธ...เธอจะไปไหน”
ยงยุทธนิ่งไปครู่
“ไอ้ฝรั่งนายช่างที่คุณเจอ มันชื่อแจ็ค ผมเคยชกกับมันมาแล้ว ลองถ้ามันใช้หมัดสั่งตายกับใครแล้ว ตอนนี้วีรบุรุษบาปก็คงกำลังยืนอยู่ปากเหว รอให้พญายมพาตัวลงนรก”
ยงยุทธบอกเสร็จก็ออกไป ดาราอยากไปด้วยแต่จ่าแท่นเข้ามาจับแขนเอาไว้
“อย่าเลยครับอาจารย์ หมวดรู้ดีว่าต้องทำยังไง”

หมอน้อยพยุงขุนเดชที่แทบจะหมดเรี่ยวแรงเข้ามาในกระท่อม หมอน้อยต้องรีบให้ขุนเดชนอนที่แคร่ ขุนเดชกระอักเลือดออกมาอีก
“อาว่าขุนเดชต้องไปที่อนามัยกับอาแล้วล่ะ อาการแบบนี้ทิ้งไว้ไม่ได้”
“ไม่ได้ครับอาหมอ...ผมจะให้ใครรู้ว่าผมเป็นแบบนี้ไม่ได้”
“ทำไมล่ะขุนเดช” ขุนเดชเหนื่อยอ่อนแรง “ขุนเดชอาหมอต้องรักษาเธอนะ”
“อาหมอช่วยรักษาผมที่นี่เถอะครับ...ผมขอร้อง”
“ทำไม...ทำไมเธอถึงให้ใครรู้ไม่ได้ล่ะ”
ขุนเดชตัดสินใจหยิบดาบดำขึ้นมาแล้วชักดาบออกจากฟัก ดาบดำอันคมกริบทำให้หมอน้อยถึงกับตะลึงตกใจ
“ขุนเดช...นี่เธอ”
หมอน้อยไม่ทันจะพูดอะไรต่อ ขุนเดชก็รีบเก็บดาบคืนฝักเพราะได้ยินเสียงคนกำลังเข้ามา
“อาหมอครับ...ไว้ผมจะอธิบายให้อาหมอฟังว่าทำไมผมถึงต้องทำแบบนี้ แต่อาหมอต้องช่วยผม...ผมขอร้องล่ะครับ”
“ขุนเดช”
แววตาของขุนเดชมองหมอน้อยอย่างอ้อนวอนขอร้อง หมอน้อยเห็นแล้วสีหน้าเคร่งเครียด

หมอน้อยเปิดประตูกระท่อมออกมาเจอยงยุทธพอดี
“คุณหมอ...นี่คุณหมอมาทำอะไรที่นี่ครับ”
“เอ่อ...คือ...”
หมอน้อยหันกลับไปมองในกระท่อมเลยทำให้ท่าทางเหมือนมีพิรุธ
“คุณหมอครับ...คุณหมอมาทำอะไรที่นี่”
“เอ่อ...ผม...ผมมาหาขุนเดช จะเอาสมุนไพรที่ขุนเดชฝากให้ช่วยหามาให้”
ยงยุทธหรี่ตามองอย่างสงสัย
“งั้นขุนเดชก็อยู่ข้างใน”
ยงยุทธพูดเสร็จก็รีบตรงไปเปิดประตูเข้าไปในกระท่อมทันที หมอน้อยหน้าเสียตกใจ
“เดี๋ยวครับหมวด”

ยงยุทธบุ่มบ่ามเข้ามาในกระท่อมกวาดตามองหาขุนเดช หมอน้อยรีบตามเข้ามา
“ขุนเดชไม่อยู่ที่นี่หรอกครับหมวด”
หมอน้อยบอก แต่ยงยุทธไม่เชื่อเดินหาขุนเดชรอบๆ
“แน่ใจเหรอครับหมอว่าขุนเดชไม่ได้อยู่ที่นี่” หมอน้อยนิ่งไป “คุณหมอ”
“แน่ใจสิครับ...ผมหาดูจนทั่วแล้ว” ยงยุทธนิ่งไป ขณะนั้นขุนเดชหลบอยู่นอกกระท่อมคอยมองยงยุทธอย่างระวังตัว “หมวดมีอะไรกับขุนเดชเหรอครับ”
“ธุระนิดหน่อยครับ ไว้ขุนเดชกลับมาแล้วผมจะแวะมาอีกทีแล้วกัน”
ยงยุทธยังกวาดตามองรอบๆ อีกครั้งก่อนจะเดินออกไป คล้อยหลังยงยุทธไปได้ครู่หนึ่ง ขุนเดชก็กลับเข้ามาในกระท่อมในสภาพบาดเจ็บหนัก
“อาหมอ...”
ขุนเดชกระอักออกมาเป็นเลือดอีก หมอน้อยรีบเข้าไปประคองเอาไว้ได้ทัน
“อย่าเพิ่งพูดอะไร...เธอต้องให้อารักษาเธอก่อน”
ขุนเดชพยักหน้ารับอย่างอ่อนเพลียเต็มที

ส่วนที่บ้านกำนันบุญขณะนั้นแจ็คกระดกขวดเหล้าเข้าปากหน้าตาขึงขังระหว่างที่ให้ลูกน้องประดับเย็บแผลสดที่ถูกดารายิง
“ทำไมไม่พาไปหาหมอ...ชั้นเห็นเลือดแล้วมันสยองยังไงก็ไม่รู้” ผกาบอก
“ถูกยิงแค่นี้ สำหรับมันแล้วเรียกว่านิดหน่อยเท่านั้น”
“ถ้าเก่งซะขนาดนั้น แล้วทำไมถึงฆ่าวีรบุรุษบาปไม่ได้ จะได้รู้กันซะทีว่ามันเป็นใคร” แจ็คที่กำลังกระดกเหล้าเข้าปากอั๊กๆๆๆ หันขวับมาที่ผกาอย่างไม่พอใจเหวี่ยงขวดเหล้าแตกกระจาย “นี่...อย่าคิดมาอาละวาดใส่ชั้นนะไอ้ยักษ์ปักหลั่น”
“พอได้แล้ว ถึงแจ็คมันจะจัดการกับวีรบุรุษบาปไม่ได้ แต่ถ้ามันโดนหมัดสั่งตายเข้าไปแล้วล่ะก็...หึๆๆ”
ประดับยิ้มร้ายอย่างพอใจ ระหว่างนั้นสัมฤทธิ์เข้ามา
“หมวดยงยุทธมา เขาบอกมีเรื่องอยากคุยกับคุณ”
ประดับได้ยินชื่อยงยุทธก็หันมาสนใจ

ยงยุทธยืนอยู่กลางลานบ้านกำนันบุญที่ห้อมลอมไปด้วยกำนันบุญ สัมฤทธิ์และคนของกำนันบุญ ยิ่งเมื่อประดับตามเข้ามาสมทบก็เหมือนว่ายงยุทธกำลังยืนอยู่กลางกลุ่มโจรที่ปิดล้อมจนน่ากลัว แต่ยงยุทธไม่มีทีท่าสะทกสะท้าน
“หมวดยงยุทธ คิดอยู่แล้วเชียวว่าหมวดจะต้องมาหาผม”
“ชั้นจะพูดตรงๆ กับแกเลยนะไอ้ประดับ แกกับคนของแกต้องออกไปจากที่นี่ภายใน 24 ชั่วโมง”
“นี่หมวดพูดจริงหรือพูดเล่น”
ยงยุทธจ้องหน้าประดับแล้วเปิดเอวให้เห็นปืนที่พกมายืนยันว่าพูดจริง พวกลูกน้องกำนันบุญรีบแตะปืน แต่กำนันบุญสั่งห้าม
“เฮ้ย...ให้เกียรติคุณตำรวจเขาหน่อยสิวะ เก็บปืนไป” พวกลูกน้องทำตามที่กำนันบุญสั่ง เก็บปืนเข้าที่แต่ยังยืนคุมเชิงล้อมกรอบยงยุทธ “พวกเราที่นี่ล้วนมีหน้ามีตา หน้าที่การงานก็ใหญ่ๆ โตๆ หมวดไม่ควรจะมาใช้อำนาจ หน้าที่ของหมวดมาข่มขู่พวกเรา”
“ชั้นไม่ได้ขู่...แต่คราวนี้ชั้นเอาจริง เพราะชั้นไม่เชื่อว่าถนนที่พวกแกกำลังจะตัดผ่านเป็นที่เวนคืนถูกต้อง ถ้าแกรุกล้ำเข้าไปในแหล่งโบราณคดีเมื่อไหร่ แกมีเรื่องกับชั้นแน่”
ประดับจ้องหน้ายงยุทธอย่างเชือดเฉือนแล้วขยับเข้าไปเผชิญหน้าเอาเรื่อง
“อย่าหาว่าชั้นสอนแกเลยนะ คนของชั้นเพิ่งจะจัดการกับไอ้วีรบุรุษบาป ไอ้ฆาตกรที่แกยังตามล่าตัวไม่ได้ งานนี้แกควรจะต้องมาขอบใจชั้นมากกว่า เข้าใจมั้ย ไอ้ตำรวจไร้ น้ำยา!”
ยงยุทธเจ็บใจกำหมัดแล้วซัดเปรี้ยงเข้าหน้าประดับทันที ประดับหน้าหันเลือดกลบปาก แจ็ครีบวิ่งเข้ามาพร้อมกับกำหมัดสั่งตายจะเข้าไปเล่นงานยงยุทธ แต่ยงยุทธอาศัยความไวชักปืนออกมาแล้วจ่อไปที่แจ็คทันที ทำเอาแจ็คชะงักค้าง
นิ้วยงยุทธแตะไกปืนพร้อมลั่นไก
“หมัดสั่งตายของแก ไม่ได้ไวไปกว่าลูกปืนสั่งตายของชั้นหรอกไอ้แจ็ค”
แจ็คคำรามในคออย่างเจ็บใจ ประดับเข้ามาแตะไหล่แจ็คแล้วเช็ดเลือดที่มุมปาก
“ปล่อยมันไป” แจ็คหงุดหงิดเจ็บใจ ถอยกลับมา ยงยุทธกวาดปืนไปรอบๆ ไม่ให้พวกของกำนันบุญเข้ามาใกล้
“กำนัน”
ประดับสั่งให้กำนันบุญสั่งลูกน้องอีกที กำนันบุญเลยหันไปพยักหน้าให้พวกลูกน้องเปิดทางให้ยงยุทธ
“จำเอาไว้ ชั้นให้เวลาแก 24 ชั่วโมง ถ้าชั้นเห็นแกในพื้นที่ของชั้นอีก...ชั้นจะลากคอพวกแกเข้าตะรางให้หมด”
ยงยุทธจ้องปืนเน้นๆ ไปที่ประดับกับแจ็คก่อนจะเดินออกไป ประดับจิกตามองตามยงยุทธอย่างเจ็บใจ

กำนันบุญรู้สึกไม่ค่อยพอใจประดับเลยออกอาการโวยใส่
“คนของคุณไปกระตุกหนวดเสือแบบนั้น คราวนี้ไอ้หมวดนั่นเอาจริงแน่ มีหวังเราได้เดือดร้อนกันหมด”
“ผมโดนมันหยามหน้ามากกว่ากำนัน ผมยังไม่เห็นจะกลัวมันเลย”
“ผมไม่ได้กลัวมัน แต่ผมไม่เหมือนคุณ คุณเป็นมือขวาของท่าน เกิดอะไรขึ้นมายังไง ท่านก็ต้องช่วยเหลือคุณก่อนผม”
“ไม่เอาน่ากำนัน เราคุยกันแล้วไม่ใช่เหรอ น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า ในเมื่อตัดสินใจลงเรือลำเดียวกันแล้ว ถ้าแผนการของเราสำเร็จ กำนันอยากได้อะไรผมให้ได้ทุกอย่าง” กำนันบุญนิ่งไป สัมฤทธิ์ฟังคำพูดของประดับแล้วอดหมั่นไส้ไม่ได้ “เรื่องไอ้หมวดยงยุทธกับไอ้วีรบุรุษบาป ปล่อยให้เป็นเรื่องของผม ไว้ผมขุดเจอวัตถุโบราณโลหะศักดิ์สิทธิ์ชิ้นต่อไปได้เมื่อไหร่ กำนันค่อยมาทำพิธีให้ผม เราจะได้ไปถึงฝั่งพร้อมกัน”
ประดับเข้ามาตบบ่ากำนันบุญแล้วเดินออกไปกับผกา สัมฤทธิ์แทบไม่อยากรอให้พวกมันเดินพ้นออกไปก็รีบเข้ามาพูดกับพ่ออย่างไม่พอใจ
“พ่อจะให้มันข่มพ่อแบบนี้เหรอ บอกท่านไปเลยว่ามันวางแผนหักหลังท่าน ท่านจะ ได้ให้ความสำคัญกับพ่อมากกว่ามัน”
กำนันบุญหันขวับมาบีบปากลูกชายไม่ให้พูดต่อ
“หุบปากเอ็งไปเลยนะไอ้สัมฤทธิ์ ข้าร่วมมือช่วยมันหักหลังท่านไปแล้ว ถ้าท่านรู้เรื่องขึ้นมา ข้านี่แหละที่จะเป็นคนแรกที่โดนท่านสั่งเก็บ”
กำนันบุญผลักลูกชายแล้วเดินเข้าบ้านไป สัมฤทธิ์ยังรู้สึกหงุดหงิดไม่หาย
 
อ่านต่อหน้าที่ 2




ขุนเดช ตอนที่ 7 (ต่อ)
ประดับยืนสีหน้าครุ่นคิดอยู่ในห้อง ผกาเข้ามาโอบไหล่เอาไวน์ที่เทใส่แก้วยื่นให้
“เจ็บมั้ย...ชั้นช่วยดูให้”
“ไม่ต้อง เธอได้ยินที่ลูกชายกำนันมันพูดแล้วใช่มั้ย”
“ได้ยินสิ...เด็กเมื่อวานซืนก็อย่างนี้แหละ เก่งแต่ปาก หาแต่เรื่อง”
“ถึงมันจะเป็นแค่เด็กเมื่อวานซืน แต่นั่นก็ทำให้ชั้นไว้ใจใครไม่ได้”
ประดับหันมาแล้วจับมือผกาที่กำลังลูบไล้เขาให้หยุดลูบซะทีทำเอาผกาตกใจ
“เธอหมายความว่ายังไง”
“ชีวิตชั้นผ่านมาหมดแล้ว พ่อชั้นเคยใหญ่คับฟ้า ไปไหนมาไหนมีแต่คนก้มหัวให้ และชั้นก็เคยตกต่ำจนแม้แต่ที่ซุกหัวนอนก็ไม่มี เพราะฉะนั้นสิ่งที่ชั้นเชื่อใจที่สุดคือตัวชั้นเอง”
“ชั้นเป็นของเธอ พร้อมทำทุกอย่างตามที่เธอต้องการ”
ประดับนิ่งคิดอีกครู่แล้วเดินไปหยิบแก้วไวน์ขึ้นมาเขย่าเบาๆ มองดูสีของไวน์ในแก้ว
“ถึงคราวนี้ไอ้วีรบุรุษบาปมันจะรอดไปได้ แต่ก็ทำให้ชั้นอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมโจรที่คอยไล่ฆ่าพวกขุดกรุถึงแสดงตัวออกมาปกป้องผู้หญิงธรรมดาอย่างอาจารย์ดารากับบัวทอง”
“บางทีวีรบุรุษบาปอาจจะรู้จักสองคนนั้นเป็นพิเศษ”
“ชั้นก็คิดอย่างนั้น...เพราะฉะนั้นชั้นถึงต้องหาวิธีล่อให้มันโผล่ออกมาอีก”
ผกานิ่งคิดอยู่ครู่ก่อนนึกได้
“งั้นชั้นก็พอจะช่วยเธอได้”
ผกาเข้าไปเชยคางประดับแล้วยิ้มยั่วยวนอย่างเจ้าเล่ห์ไม่แพ้กับประดับ

บรรยากาศยามเย็นที่วัดเกาะน้อย พระลูกวัดตีระฆังบอกเวลาทำวัตรเย็น หมอน้อยดูแลอาการบาดเจ็บให้ขุนเดชเรียบร้อยแล้วจึงกำชับกับขุนเดช
“สภาพภายในร่างกายของเธอตอนนี้บอบช้ำมาก แต่เพราะเธอแข็งแรงกว่าคนทั่วไปเธอถึงรอดมาได้ ยังไงอาก็อยากให้เธอพักนะขุนเดช”
“ครับอาหมอ แล้วเรื่องนั้นล่ะครับ”
“เธอฆ่าคนนะขุนเดช ถึงพวกนั้นจะเป็นโจร แต่มันก็ไม่ใช่หน้าที่ของเธอ”
“เพราะทุกคนคิดแต่ว่าหน้าที่ไม่ใช่ ศาสนาจึงถูกย่ำยี คนชั่วกลายเป็นคนดี พ่อผมถึงต้องตายอย่างน่าเวทนา ทั้งๆ ที่ต้องการปกป้องรากเหง้าของพวกเราเอาไว้”
“เพราะพ่อเธอต้องตายแบบนั้นไงขุนเดช อาถึงไม่อยากเห็นเธอต้องมีจุดจบแบบนั้นอีก”
“อาหมอ”
“ไม่ต้องห่วง อาจะไม่พูดเรื่องนี้กับใคร แต่อาอยากให้เธอเก็บเอาไปคิด มือคู่นี้ของเธอจะต้องเปื้อนเลือดไปอีกนานเท่าไหร่ เธอถึงจะหยุดคนพวกนั้นได้”
หมอน้อยเก็บของแล้วเดินออกไป ขุนเดชนิ่งมองมือตัวเอง

บัวทองกำลังปักผ้าอยู่ในบ้านแต่ไม่ค่อยมีสมาธิเท่าไหร่นักเพราะคิดถึงเรื่องวีรบุรุษบาป
บัวทองกระเผลกตามดาราเข้ามาและได้เห็นวีรบุรุษบาปในสภาพเจ็บเอาเรื่องทั้งคู่ต่างเป็นห่วง
“วีรบุรุษบาป” บัวทองจะเข้าไปหาแต่วีรบุรุษบาปชี้ดาบดำใส่อย่างขึงขังสื่อว่าไม่ต้องเข้าใกล้ “ให้เราช่วยคุณเถอะ”
วีรบุรุษบาปส่ายหน้าปฏิเสธแล้วกำดาบดำชี้หน้าสองสาวว่าไม่ให้ตามแล้วรีบถอยออกไป
“ปล่อยเขาไปเถอะบัวทอง...เขาไม่ต้องการให้เราตามเขา”
แต่บัวทองก็ยังอดมองตามวีรบุรุษบาปไปด้วยความเป็นห่วงไม่ได้
บัวทองเหม่อคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนเผลอทำเข็มปักผ้าทิ่มนิ้วตัวเอง
“โอ๊ย!”
บัวทองดูแผลที่นิ้วซึ่งนิดหน่อยไม่เป็นอะไรมาก แต่สีหน้ายังไม่หายสงสัย

บรรยากาศกลางคืนบริเวณกระท่อมขุนเดช บัวทองเดินกะเผลกๆ แอบย่องเข้ามาเพราะยังบาดเจ็บที่เท้าอยู่ เข้ามาถึงก็เห็นขุนเดชเดินออกมาจากกระท่อม บัวทองรีบหลบหลังต้นไม้ซุ่มแอบดู ขุนเดชหยุดนิ่งเหมือนรู้สึกว่ามีคนเข้ามาบัวทองรีบก้มหัวต่ำไม่ให้ขุนเดชเห็น รอจนขุนเดชคิดว่าไม่มีอะไรแล้ว เดินไปที่เตาหลอมเหล็กบัวทองจึงชะโงกหน้าออกมาแอบซุ่มดูต่อ ขุนเดชหยิบแท่งเหล็กที่อยู่ในเตาออกมา เหล็กแดงฉานวางลงบนทั่ง ขุนเดชใช้ฆ้อนตีเหล็กเสียงดัง
“ถ้าวีรบุรุษบาปคือพี่ขุนเดช เจ็บหนักขนาดนั้นคงไม่มีแรงมานั่งตีเหล็กได้หรอก”
บัวทองพึมพำออกมา ขณะนั้นขุนเดชออกแรงตีเหล็กเต็มที่เพื่อตบตาไม่ให้บัวทองสงสัย แต่นั่นก็ทำให้ร่ากายที่บอบช้ำกำเริบ ขุนเดชเจ็บที่หน้าอกแต่ก็พยายามฝืนไว้ บัวทองยังมองครุ่นคิดได้อีกครู่งูตัวหนึ่งเลื้อยจากกิ่งไม้เหนือหัว บัวทองชะงักเหวอตาตั้งแล้วร้องเสียงดังวิ่งหนีออกมาจากที่ซ่อนไปสะดุดรากไม้ตกลงไปในลำธารใกล้ๆ...ตูม

บัวทองตัวเปียกตัวสั่นเพราะหนาวนั่งผิงไฟอยู่หน้ากระท่อม
“ค่ำๆมืดๆ มาทำตัวลับๆล่อๆ ดีนะไม่โดนงูเงี้ยวเขี้ยวขอมันเล่นงานเอา”
“อย่ามาซ้ำเติมชั้นได้มั้ยพี่ขุนเดช คนยิ่งหนาวๆ อยู่”
บัวทองพูดไปก็หนาวสั่นเอามือผิงไฟ ขุนเดชเลยเอาผ้าขาวม้าที่พันคออยู่มาช่วยห่มให้ ขุนเดชใกล้ชิดบัวทองจนหน้าแทบจะชนกัน บัวทองเผลอมองขุนเดชตาสบตา บัวทองหน้าแดงร้อนผ่าวใจเต้นแรงก่อนจะคัดจมูกขึ้นมาซะงั้น…ฮัด…ฮัดชิ้ว! ขุนเดชหน้านิ่งเพราะฮัดชิ้วของบัวทองเต็มหน้า
“พี่ขุนเดช...ชั้นขอโทษ...ชั้นไม่ตั้งใจ”
“เต็มหน้าพี่แบบนี้เนี่ยนะ ไม่ตั้งใจ”
“ก็ใครใช้ให้พี่เอาหน้ามาใกล้ชั้นล่ะ ชั้นก็หลบไม่ทันน่ะสิ”
“ก็ถ้าบัวทองไม่มาถ้ำมองพี่จนตกน้ำตกท่าแบบนี้ พี่ก็คงไม่ต้องมาห่วงว่าบัวทองจะหนาวตายหรอก”
“ชั้นไม่ใช่พวกโรคจิตมาถ้ำมองพี่นะ ชั้นแค่อยากมาพิสูจน์ความจริงแค่นั้น”
“พิสูจน์ความจริงอะไร”
บัวทองเผลอพูดไปแล้วชะงัก ขุนเดชมองตาบัวทองไม่กล้าสบตารีบเอาผ้าขาวม้าคืนให้แล้วรีบลุกเดินกะเผลก
“ไม่มีอะไรหรอก ชั้นกลับล่ะ”

บัวทองเดินกระเผลกกระย่องกระแย่งเร่งฝีเท้าเดินหนี ขุนเดชรีบเดินตามบัวทองเห็นขุนเดชตามก็ยิ่งเดินเร็วจน จะล้มอีกคราวนี้ขุนเดชเข้าไปประคองเอาไว้ทัน...หมับ บัวทองตกใจในขณะที่ขุนเดชไม่ยอมปล่อย
“ปล่อยชั้นนะพี่ขุนเดช”
“บัวทองกำลังสงสัยอะไรพี่”
“เปล่า”
“ไม่บอกพี่ก็ไม่ปล่อย”
ขุนเดชยิ่งกอดรัดบัวทองแน่น
“ปล่อยชั้นนะพี่”
“ไม่ปล่อย!”
“ก็ได้ ชั้นสงสัยว่าพี่เป็นวีรบุรุษบาป”
ขุนเดชนิ่งไปครู่แล้วปล่อยมือ
“ทำไมถึงสงสัยพี่ล่ะ”
“ก็…วันนี้วีรบุรุษบาปมาชีวิตชั้นไว้ ชั้นเห็นเขาบาดเจ็บชั้นก็เลยมาดูว่าพี่บาดเจ็บรึเปล่า”
“แล้วเท่าที่เห็นพี่ตอนนี้ บัวทองหายสงสัยรึยัง” บัวทองนิ่งไป “ว่าไงล่ะบัวทอง”
“ชั้นยอมรับว่าชั้นเห็นด้วยกับการกระทำของเขา มันต้องมีใครสักคนเอาจริงเดินหน้าตามล่าพวกคนใจบาป พวกมันจะได้รู้จักกลัว แต่คนคนนั้นต้องไม่ใช่พี่...วันนี้ชั้นดีใจมากที่ได้รู้ว่าพี่ไม่ใช่วีรบุรุษบาป”
บัวทองบอกขุนเดชแล้วเดินกลับไป ขุนเดชนิ่งไป

ขุนเดชกลับเข้ามาในกระท่อมชักดาบดำออกมาจากฝักสายตาจับจ้องที่คมดาบอย่างตัดสินใจ
ภาพนายเดื่องถูกฟันคอขาดกระเด็นต่อหน้าขุนเดชตอนเด็ก
ภาพประดับยกปืนจ่อหน้าท้ายขุนเดชที่อ่างเก็บน้ำ
ภาพการต่อสู้ของขุนเดชกับแจ็คที่ไร่อ้อยและขุนเดชโดนเล่นงานจนบาดเจ็บ
ขุนเดชควงดาบดำอย่างสวยงามและหนักหน่วง ประกับกับเสียงคำสัตย์ของขุนเดช
“เมื่อถึงเวลาที่ยมบาลต้องการตัวข้า เมื่อถึงเวลาที่ข้าต้องใช้กรรม เลือดทุกหยดของข้า พร้อมหยดลงแผ่นดินเพื่อปกป้องรากเหง้าของบรรพบุรุษและปกป้อง...คนที่ข้ารัก”
สิ้นคำพูดคมดาบฟันแหวกอากาศเสียงดัง...ฉับ! แววตาของขุนเดชจริงจังเป็นอย่างมาก

ส่วนที่บ้านพักยงยุทธ ยงยุทธตั้งท่าเชิงมวยเตรียมใช้ไม้ตายหมัดฟ้าฟาด กล้ามเนื้อเกร็งแววตาขึงขังเอาจริง
ยงยุทธเหวี่ยงหมัดกระโจนตัวแล้วกระแทกหมัดใส่กระสอบทรายทันที…เปรี้ยง กระสอบทรายแกว่งไปมาอย่างแรงแต่ยงยุทธกลับไม่พอใจ
“โธ่เว้ย!”
“เธอก็ทำได้ดีแล้วนี่ยงยุทธ ทำไมจะต้องอารมณ์เสียด้วย”
เสียงดาราดังขึ้น ยงยุทธถึงกับชะงัก
“ดารา”
ยงยุทธกับดาราสบตากัน

ดาราช่วยยงยุทธแกะผ้าพันมือออกหลังจากยงยุทธซ้อมมวยเสร็จ ยงยุทธมองเธอตลอดเวลา
“นึกถึงเมื่อก่อนตอนที่ลุงเถินจับผม ไอ้ขุนเดชแล้วก็คุณฝึกมวยด้วยกัน”
“พ่อบ่นให้ชั้นฟังประจำว่าฝึกเธอสองคนทีไรเหมือนฝึกลิง สอนอะไรก็ไม่ฟัง สู้ชั้นก็ไม่ได้ ฝึกแป๊บเดียวก็เป็น”
“น่าเสียดายนะ ถ้าคุณฝึกต่ออีกหน่อยคงได้เป็นแชมป์มวยหญิง” ยงยุทธบอกแล้วยิ้มขำ ดาราหมั่นไส้จึงหยิกเข้าให้
“นี่แน๊ะ ชั้นก็แค่ฝึกเอาไว้เพื่อรู้จักป้องกันตัวก็แค่นั้น”
ดาราแกะผ้าพันมือเสร็จก็จับแขนยงยุทธมาเทน้ำมันมวยแล้วช่วยนวดกล้ามเนื้อให้
“ลุงเถินพยายามเคี่ยวกรำผมกับขุนเดชให้เป็นนักสู้ที่แข็งแกร่ง ถ้าตอนนั้นผมตั้งใจฟังคำสั่งสอน ฝีมือผมอาจจะดีกว่านี้”
“นึกแล้วเชียว ชั้นคุยกับจ่าแท่นมาเรื่องที่เธอเคยเกือบเอาชีวิตไม่รอดเพราะหมัดสั่งตาย”
ยงยุทธหันมาจับมือดาราที่นวดคลายกล้ามเนื้อให้
“ดารา...ผมโกรธตัวเองที่ปล่อยให้คุณถูกไอ้พวกนั้นมันเล่นงาน แถมยังปล่อยให้ไอ้วีรบุรุษบาปมันมาช่วยคุณ”
“ทำไมเธอถึงได้เกลียดวีรบุรุษบาปมากนักล่ะยงยุทธ”
“คุณจะให้ผมชอบคนที่ทำตัวอยู่เหนือกฏหมายเหรอดารา”
“ชั้นไม่ได้สนับสนุนเขา แต่เท่าที่ชั้นได้เจอ...ชั้นว่าเขาไม่ใช่คนไม่ดี บางทีถ้าเธอกับเขาร่วมมือกัน พวกเธออาจจะช่วยกันกวาดล้างคนเลวได้”
“ที่คุณมาหาผม เพราะคุณจะให้ผมร่วมมือกับโจรงั้นเหรอ”
ดาราไม่ทันตอบอะไร ยงยุทธได้ยินเสียงบางอย่างที่ทำให้สัญชาติญาณระวังตัวระวังขึ้นมาทันที
“มีอะไรเหรอยงยุทธ”
“ชู่ว์...อยู่แต่ในนี้นะ อย่าออกไปไหนเด็ดขาด”
ยงยุทธกำชับดาราแล้วหันไปปิดไฟให้ในบ้านมืดแล้วรีบออกไป ดาราใจคอไม่ดี
“ยงยุทธ”

ยงยุทธถือปืนออกมาอย่างระวังตัวที่หน้าบ้านพัก เงาตะคุ่มที่แนวกำแพงค่อยๆ โผล่หัวออกมาเป็นไอ้โม่งลูกน้องประดับยกปืนเล็งเตรียมยิง ยงยุทธไม่รู้ตัวว่ากำลังตกเป็นเป้าปืน

ดาราเดินไปเดินมาอยู่ในบ้านพัก ระหว่างนั้นลูกน้องกำนันบุญสวมหมวกไอ้โม่งถือมีดสั้นลอบจู่โจมเข้าหา ดารารู้ตัวก่อนเพราะเห็นเงาของมันผ่านกระจกเลยเบี่ยงหลบทัน ลูกน้องกำนันบุญตามไปเล่นงานอีกแต่ดาราหันไปคว้า ‘ดั้ง’ เกราะไม้สวมแขนที่ไว้ป้องกันดาบซึ่งยงยุทธประดับไว้ที่ผนังมาสวมแขนแล้วใช้ปัดป้องการฟันของลูกน้องกำนันบุญ

ขณะนั้นยงยุทธกำลังตกเป็นเป้าปืนสังหาร ลูกน้องประดับกำลังจะลั่นไกแต่เสียงดาราต่อสู้กับลูกน้องกำนันบุญดังมาจากในบ้านทำให้ยงยุทธตกใจ
“ดารา”
เปรี้ยง! ลูกปืนเฉียดยงยุทธไปแค่นิดเดียว ลูกน้องประดับเจ็บใจที่ยิงพลาดจะยิงใส่อีกทีแต่ยงยุทธยิงสวนกลับ มาก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปในบ้าน

ในบ้าน ดาราถูกลูกน้องกำนันบุญตบฉาดใหญ่เข้าที่หน้าเพราะพลาดท่าพละกำลังที่มากกว่า ลูกน้องกำนันบุญใช้มีดสั้น ฟันเฉียดที่ต้นแขนดาราจนได้เลือด ยงยุทธจึงวิ่งเข้ามาช่วยเอาไว้ ยงยุทธแลกหมัดกับลูกน้องกำนันบุญจนมันสู้ไม่ได้ต้องรีบกระโดดหนีออกจากหน้าต่างไป ยงยุทธจะตามแต่หันมาเห็นดาราบาดเจ็บที่ต้นแขน เลือดเต็มมือ

ดาราต้องเปิดเสื้อเปลือยไหล่ออกข้างหนึ่งเพื่อให้ยงยุทธช่วยห้ามเลือดและทำแผล
“เจ็บหน่อยนะ” ดาราพยักหน้ารับแต่พอยงยุทธทำแผลให้ก็แสดงสีหน้าเจ็บ ยงยุทธเป็นห่วง “ผมขอโทษนะดารา เพราะผมคุณถึงต้องเจ็บตัว”
“ไม่เป็นไรหรอก ใช่ว่าเรื่องแบบนี้ชั้นจะไม่เคยเจอ ว่าแต่เธอรู้รึเปล่าว่าพวกนั้นเป็นใคร”
“คิดว่าเป็นคนของไอ้ประดับ ผมสั่งให้มันออกจากที่นี่ภายใน 24 ชั่วโมง มันเลยส่งคนมาให้คำตอบผม”
“ประดับทำงานให้กับนักการเมืองระดับผู้ใหญ่ ชั้นไม่อยากให้เธอมีปัญหากับเขา”
“ผมไม่กลัวอิทธิพลหรอก เพราะความยุติธรรมจะเป็นเกราะป้องกันผม”
ยงยุทธทำแผลให้ดาราเสร็จเรียบร้อย ดาราหันมาสบตายงยุทธ สองคนสบตากันไปมา ดารารู้สึกตัวว่าตัวเอง เปลือยไหล่อยู่เลยรีบดึงเสื้อขึ้นมาปิด
“ดึกแล้ว ชั้นว่าชั้นกลับดีกว่า”
ยงยุทธคว้ามือดาราเอาไว้
“ผมว่าคุณอย่าเพิ่งกลับเลย คืนนี่อยู่กับผมที่นี่เถอะ พวกมันอาจจะดักซุ่มระหว่างทางรอเล่นงานคุณก็ได้ อยู่กับผมที่นี่คุณจะปลอดภัยกว่า”

ดาราสวมเสื้อเชิ้ตตัวใหญ่ของยงยุทธอยู่ในห้องนอนคนเดียว อากาศค่อนข้างเย็นมองไปที่ระเบียงเห็นยงยุทธ ถือปืนเฝ้าระวัง ดาราอดเป็นห่วงเขาไม่ได้
ยงยุทธถูมือแล้วเป่าไออุ่นๆ จากปากเพื่อดับหนาว แต่ก็ช่วยอะไรได้ไม่มากนัก ดาราห่มผ้าเดินออกมา
“อยู่ข้างนอกมันหนาว เข้าไปในบ้านเถอะ”
“ไม่เป็นไรหรอก หนาวแค่นี้เองผมทนได้”
“แต่ถ้าชั้นต้องเป็นต้นเหตุให้ผู้หมวดคนเก่งมายืนหนาวแข็งตายอยู่ข้างนอกแบบนี้ พวกคนร้ายคงจะมีรางวัลให้ชั้นแน่” ดาราพูดพร้อมกับเข้าไปแตะแขนยงยุทธอย่างเป็นห่วง “เข้าไปนอนในห้องเถอะ ข้างในอุ่นกว่าเยอะ”
ดาราบอกแล้วก็เดินเข้าไป ยงยุทธมองตามใจเต้นตึกตัก

ยงยุทธตามเข้ามาเจอดารานอนอยู่บนเตียง แต่แบ่งที่ครึ่งเตียงให้ยงยุทธได้นอนบนเตียงเดียวกัน ยงยุทธล้มตัวลงนอนทั้งคู่ต่างหันหลังให้กันใจเต้นตึกตักจนแทบจะได้ยินเสียงหัวใจ ทั้งคู่อดคิดถึงเรื่องราวในวัยหนุ่มสาวไม่ได้
“ชีวิตผมมันก็แค่ไอ้เด็กกำพร้าคนนึง ถ้าไม่มีหลวงพ่อ ไม่มีลุงเถิน ไม่มีขุนเดช และไม่มีคุณ อนาคตผมก็คงหาดีอะไรไม่ได้ และถึงผมจะโชคดีที่รอดมาได้ แต่โชคก็ไม่ได้เข้าข้างเรื่องความรักของผม”
“ยงยุทธ...นี่นาย”
“ผมแค่อยากให้คุณรู้ว่าผมอยากเป็นคนที่อยู่ในสายตาคุณบ้าง”
ดารานิ่งไปไม่ทันตั้งตัว ยงยุทธมองเธอเข้าไปในแววตาและด้วยความใกล้ชิด อารมณ์ที่พาไปยงยุทธยื่นหน้าไป จูบหน้าผากของดาราอย่างนุ่มนวล ก่อนจะเลื่อนลงมาสัมผัสริมฝีปากเธอ
ดาราและยงยุทธหันหน้ามาเจอกันที่กลางเตียงพอดีอย่างไม่ตั้งใจ ใบหน้าขยับเข้าใกล้กันเหมือนมีแรงดึงดูด จมูกแทบชนจมูก ตาสบตา หัวใจเต้นแรง...ตึกตักๆ

วันต่อมาที่กระท่อมขุนเดช ขุนเดชใช้ดาบไม้ฟันอากาศเสียงดัง...ฉับ! ขุนเดชซ้อมเพลงดาบอยู่คนเดียวอย่างตั้งใจเรียกพละกำลังให้กลับคืนโดยเร็ว หมอน้อยเดนเข้ามา
“ร่างกายเธอยังบอบช้ำอยู่ ทำไมไม่พัก”
“ตราบใดที่พวกใจบาปยังไม่หยุดทำบาป ผมก็หยุดไม่ได้เหมือนกันครับอาหมอ”
“ขุนเดช...นี่เธอ...”
ขุนเดชปักดาบไม้ลงดินแล้วเข้ามากราบเท้าหมอน้อยอย่างเคารพ
“ผมกราบขอโทษอาหมอที่ไม่ฟังคำตักเตือน แต่ผมตัดสินใจแล้วตั้งวันที่ผมถวายตัวเป็นทหารของพระร่วงเจ้า ทั้งวิญญาณและเลือดเนื้อนี้ไม่ใช่ของขุนเดช แต่เป็นของแผ่นดินศรีสัชนาลัย ถ้าคิดจะหยุดขุนเดชก็ต้องฆ่าขุนเดชเท่านั้น”
“แต่จุดจบของเธอจะไม่ต่างจากพ่อของเธอ”
“เกิดมาแล้วก็ต้องตาย แต่ขอให้ตายเพื่อแผ่นดิน อาหมอจะเอาเรื่องของผมไปบอกตำรวจก็ได้ แต่ผมจะไม่ยอมให้จับ ผมจะไปซ่อนตัวอยู่ในป่าคอยตามล่าพวกใจบาปจนกว่ามันจะหยุด”
“นั่นหมายความว่า เธอพร้อมจะทิ้งทุกคนที่รักและห่วงเธองั้นเหรอขุนเดช”
ขุนเดชนิ่งใบหน้าไร้ความรู้สึก

บริเวณพื้นที่โบราณสถาน คนงานกับเจ้าหน้าที่โบราณคดีทำงานอยู่รอบๆ ดารายืนเหม่อใจลอยอยู่คนเดียวได้ครู่บัวทองก็เข้ามาเรียก
“อาจารย์คะ…อาจารย์ดารา”
“อะไรเหรอจ๊ะบัวทอง”
“เมื่อคืนอาจารย์ไปไหนมา บัวทองกับแม่เป็นห่วงมากเลยนะคะ”
“เอ่อ...ชั้น...ชั้น...”

ดารานึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืน จมูกเธอกับยงยุทธเกือบจะชนกันเพราะอารมณ์พาไป แต่ยงยุทธกลับเป็นฝ่ายจูบหน้าผาก ดาราเบาๆ แทน
“หลับฝันดีนะดารา ผมสัญญาว่าถึงแม้คุณจะไม่เลือกผม แต่มิตรภาพของเราก็จะยังคงอยู่เหมือนเดิม ผมจะยังเป็นผู้ชายที่คุณไว้ใจ มีไหล่ไว้ให้คุณพักได้เสมอ”
ยงยุทธปัดไรผมให้ดาราแล้วปิดตานอนหลับพักผ่อนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเพราะต้องการให้เกียรติดารา ดารามองยงยุทธแล้วอดยิ้มไม่ได้ที่ยงยุทธแสดงความเป็นสุภาพบุรุษออกมาให้เธอได้สบายใจ ดาราขยับหัวเข้าไปพิงไหล่ยงยุทธอย่างรู้สึกอบอุ่นก่อนจะปิดตาหลับไปด้วยกัน

บัวทองมองดาราที่นิ่งงันไปอย่างแปลกใจ
“อาจารย์คะ”
ดารารู้สึกตัว
“เอ่อ...ชั้นอยู่กับหมวดยงยุทธ”
“ที่บ้านพักหมวดน่ะเหรอคะ”
“จ้ะ ชั้นแวะไปหาเขาอยากให้เขาพิจารณาเรื่องดึงวีรบุรุษบาปมาเป็นพวกเดียวกับตำรวจ แต่บังเอิญมีมือปืนบุกมาซะก่อน”
“แล้วอาจารย์กับหมวดเป็นอะไรรึเปล่าคะ” บัวทองถามอย่างตกใจ
“ไม่เป็นไรจ้ะ ชั้นได้รับบาดเจ็บนิดหน่อย ส่วนพวกมันหนีไปได้”
“พวกมันเป็นใครเหรอคะ”
“ยงยุทธคิดว่าเป็นคนของพวกนายประดับ”
“ขนาดผู้หมวดยงยุทธมันยังกล้าส่งมือปืนมาซุ่มยิง ถ้าพวกมันไม่กลัวกฏหมายก็ขอให้วีรบุรุษบาปตามลากคอพวกมันจับส่งลงนรกให้หมด”
ไม่ทันขาดคำสัมฤทธิ์กับลูกน้องก็เข้ามายียวนกวนใส่
“เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าบัวทองชอบพวกใช้ความรุนแรง แบบนี้ก็เข้าทางชั้นเลยสิ”
บัวทองกับดาราเห็นสัมฤทธิ์พร้อมลูกน้องเข้ามาก็ตกใจ เพราะท่าทางของพวกมันไม่ได้มาดีแน่ พวกคนงานเห็นพวกสัมฤทธิ์ไม่น่าไว้ใจเลยถือจอบถือเสียมจะเข้ามาแต่กลับถูกพวกลูกน้องสัมฤทธิ์เปิดเอวโชว์ปืนหรา
“ไม่ใช่เรื่องของพวกเอ็ง อย่ารนหาที่ดีกว่า”
พวกคนงานพากันกลัวปืนเลยได้แต่ยืนดู ดาราเห็นท่าไม่ดีรีบจูงมือพาบัวทองเดินหนีออกไป สัมฤทธิ์ยิ้มร้ายๆก่อนจะรีบเดินตาม พวกลูกน้องสัมฤทธิ์ชี้หน้าพวกคนงานขู่ไม่ให้มีใครกล้าตาม

ขุนเดชเดินสีหน้ามุ่งมั่นออกจากวัด หมอน้อยรีบตามมาขวาง
“ขุนเดช...ฟังอาเถอะ อาไม่อยากให้เธอทิ้งทุกคนไป”
“อาหมอครับ ถ้าทุกคนรู้ความจริงว่าผมคือวีรบุรุษบาปคนที่ใกล้ชิดกับผมจะต้องตกอยู่ในอันตราย พวกมันจะตามล่าทำร้ายทุกคน ผมยอมเดือดร้อนคนเดียวดีกว่าให้ทุกคนต้องมาเดือดร้อนเพราะผม”
“แต่มันมีทางออกที่ดีกว่านั้น เธอร่วมมือกับตำรวจได้”
“กฏหมายใช้จัดการกับพวกที่กลัวกฏหมายได้เท่านั้น แต่สำหรับพวกที่แม้แต่รากเหง้าตัวเองยังไม่รักษา ศาสนายังชำระจิตใจมันไม่ได้ คนจำพวกนั้นรอให้บาปกรรมตามไปชำระมันก็มีแต่คำว่าสายเกินไป ผมขอโทษครับอาหมอ”
ขุนเดชยกมือไหว้หมอน้อยแล้วเดินจากไป หมอน้อยได้แต่มองตามด้วยความรู้สึกเป็นห่วงและอึดอัดใจ

ดารากับบัวทองพากันเดินหนีสัมฤทธิ์กับพวกลูกน้องที่เดินตามตื้อ
“จะรีบเดินหนีไปไหนล่ะบัวทอง เพิ่งเจอหน้ากันแป๊บเดียวอยู่คุยกันก่อนสิ”
“ถอยไปนะนายสัมฤทธิ์ อย่าให้ชั้นต้องเอาเรื่องนายไม่งั้นนายจะลำบาก”
“นี่อาจารย์ขู่ผมเหรอครับ” ดาราจ้องหน้าเอาเรื่องจริงจัง สัมฤทธิ์กับลูกน้องพากันหัวเราะร่วน “อย่างอาจารย์จะทำอะไรผมได้”
สัมฤทธิ์พูดไปก็เข้าไปจับข้อมือดาราอย่างประมาทเลยโดนดาราจับข้อมือมาบิดแรงๆ จนร้องเสียงหลงแล้วผลักกระเด็น สัมฤทธิ์โกรธสุดๆ
“นังตัวแสบ! ยืนเซ่ออะไรอยู่วะ จัดการสิเว้ย”
สัมฤทธิ์กับลูกน้องจะเข้าไปเอาเรื่องกับสองสาวที่ถอยหลังชนกัน แต่ทันใดนั้นสัมฤทธิ์ก็ถูกกระชากคอเหวี่ยงออกไปอย่างแรง
“ยงยุทธ”
ยงยุทธเข้ามาและยืนเอาเรื่องจริงจัง ลูกน้องสัมฤทธิ์รีบเข้าไปประคองลูกพี่ลุกขึ้น ส่วนลูกน้องกำนันบุญตั้งการ์ดเชิงมวยพร้อมลุย ร้องเสียงดังปรี่เข้าไปประเคนทั้งหมัดเข้าศอกกีบยงยุทธ ยงยุทธงัดเชิงมวยตอบโต้ ทุกหมัดงัดเชิงมวยใส่กันเต็มที่ สัมฤทธิ์ให้ลูกน้องรีบฉวยโอกาสเข้าไปหาดารากับบัวทอง ยงยุทธหันไปเห็นเลยใช้เท้าเขี่ยก้อนหินขึ้นมาแล้วเดาะแบบเดาะลูกบอล เตะเหมือนชู้ตประตู ก้อนหินพุ่งไปโดนแสกหน้าลูกน้องสัมฤทธิ์อย่างจังจนกระเด็นล้ม ลูกน้องกำนันบุญฉวยโอกาสศอกเข้าหน้าและตามด้วยถีบยอดอกยงยุทธจนยงยุทธผงะเสียจังหวะ มันจะรีบซ้ำอีกแต่เจอยงยุทธใช้จระเข้ฟาดหางเข้าหน้ากระเด็นหมุนคว้างกลิ้งไปหลายตลบ สัมฤทธิ์เจ็บใจที่โดนยงยุทธสั่งสอน ทำได้แค่ชี้หน้าผูกใจเจ็บ แล้วรีบหนีเอาตัวรอด ลูกน้องรีบตามไป
ขุนเดชยืนมองอยู่ห่างๆ ขุนเดชปล่อยให้ยงยุทธดูแลดารากับบัวทอง ส่วนตัวเองก็เลือกที่จะตามพวกสัมฤทธิ์ไป ยงยุทธหันขวับไปทางที่ขุนเดชเดินไป สีหน้าสงสัยเพราะรู้สึกสังหรณ์ใจอะไรบางอย่าง
“ดารา...ช่วยพาบัวทองกลับบ้านไปก่อน”
“แล้วเธอจะไปไหน”
ยงยุทธไม่ตอบรีบออกไปทันที

สัมฤทธิ์หงุดหงิดหัวเสียระเบิดอารมณ์อยู่ข้างรถที่จอดข้างทาง
“โธ่เว้ย...ไอ้หมวดยงยุทธเมื่อไหร่มึงจะเลิกมาเกะกะกูซะทีวะ”
“ให้ชั้นไปลอบยิงมันให้มั้ยพี่ รับรองว่ามันจะไม่มาเป็นก้างขวางคอพี่อีก”
สัมฤทธิ์กระชากคอเสื้อลูกน้อง
“ถ้าพ่อข้าไม่กลัวเรื่องไปถึงผู้ใหญ่ ข้าสอยมันไปนานแล้วโว้ย”
สัมฤทธิ์ผลักลูกน้องกระเด็นอย่างฉุนเฉียว ระหว่างนั้นลูกน้องกำนันบุญได้ยินเสียงบางอย่าง
“พี่สัมฤทธิ์ มีคนตามเรามา”
ไม่ทันขาดคำ มีดสั้นเล่มหนึ่งถูกปาเข้ามาพุ่งตรงมาที่สัมฤทธิ์ ลูกน้องกำนันบุญรีบกระชากสัมฤทธิ์หลบ...ฉึก! มีดสั้นปักเข้ากลางลำต้นไม้ใหญ่ฉิวเฉียดสัมฤทธิ์ไปแค่นิดเดียว ขุนเดชก้าวออกมามีผ้าขาวม้าพันหน้าในมือถือดาบดำ สัมฤทธิ์กับลูกน้องรีบชักปืนยิงใส่ไม่ยั้ง...เปรี้ยงๆๆๆๆๆ
ควันจากกระสุนปืนคละคลุ้ง แต่ขุนเดชหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
“ไอ้วีรบุรุษบาป...ในที่สุดมึงก็โผล่ออกมาจนได้”

ลูกน้องสองคนเข้ามาตามหาวีรบุรุษบาป บรรยากาศในสวนป่าเงียบเชียบพวกมันคอยระวังตัวทุกฝีก้าว ขุนเดชค่อยๆ โผล่มายืนข้างหลังลูกน้องสัมฤทธิ์ พอมันรู้สึกตัวหันมาจะยิง ขุนเดชก็ใช้มือเปล่าจับมันหักข้อมือแล้วหันปาก กระบอกปืนไปยิงใส่ลูกน้องกำนันบุญแต่มันกระโจนหลบแล้วยิงสวนกลับไป ลูกน้องสัมฤทธิ์โวยวาย
“เฮ้ย...หยุดยิง เดี๋ยวโดนข้า ทิ้งปืนไป”
ลูกน้องกำนันบุญต้องหยุดยิงเพราะโดนวีรบุรุษบาปล็อคตัวเอาไว้ ขุนเดชทุบต้นคอมันจนสลบ ลูกน้องกำนันบุญกัดฟันเจ็บใจกระชากเสื้อตัวเองจนขาดแล้วตั้งท่าเชิงมวยจู่โจมใส่ขุนเดชทันที ขุนเดชตั้งการ์ดเชิงมวยรับแล้วเปิดฉากแลกหมัดกันมันส์หยด แต่สุดท้ายลูกน้องกำนันบุญก็โดนขุนเดชกระโจนเหยียบเข่าแล้วศอกลงกลางกระหม่อมร่วงผล่อยหมดสติไปอีกคน

ขุนเดชเดินตามสัมฤทธิ์มาอย่างเงียบๆ พอรู้ตัวมันก็หันปืนมายิงใส...เปรี้ยงๆๆๆ ขุนเดชหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยแล้วไปโผล่อีกด้าน สัมฤทธิ์ก็หันปืนไปยิงอีกเปรี้ยงๆๆๆ จนกระสุนหมด ตามแผนที่ขุนเดชหลอกล่อ สัมฤทธิ์รีบใส่ลูกปืนอีกชุด แต่ขุนเดชก็ควงดาบดำฟาดฟันอากาศตรงดิ่งเข้ามาสัมฤทธิ์ตกใจมือสั่นรีบใส่กระสุนอย่างเร่งรีบจนทำกระสุนหล่นพื้นกระจาย
ขุนเดชควงดาบดำวิ่งเข้ามาใกล้ สัมฤทธิ์หน้าเสียไม่มีอาวุธติดตัวเลยใช้ปืนปาใส่แต่ก็ไม่โดน ขุนเดชเดินเข้ามาในระยะสังหาร สัมฤทธิ์กลัวจนหน้าซีดคลานถอยหนีอย่างหมดสภาพน่าเวทนา
“อย่า อย่า อย่า...”
อ่านต่อหน้าที่ 3




ขุนเดช ตอนที่ 7 (ต่อ)
กำนันบุญตกใจเมื่อรู้เรื่องแผนการของประดับจากปากประดับเอง
“ว่าไงนะ...นี่แกส่งลูกชายชั้นไปเป็นเหยื่อล่อให้ไอ้วีรบุรุษบาปออกมาเหรอ”
“ชั้นเห็นลูกชายกำนันเดินไปเดินมางานการไม่ค่อยทำ เลยให้ไปทำงานง่ายๆ ก็แค่นั้น”
“แต่ถ้าไอ้วีรบุรุษบาปมันเล่นงานไอ้สัมฤทธิ์ล่ะ”
“กำนันก็จะได้รู้ไงว่าลูกชายกำนันไร้ฝีมือ วันข้างหน้าเมื่อกำนันขึ้นมายิ่งใหญ่อยู่ข้างๆ ชั้น มันจะได้ไม่มาเป็นตัวถ่วงความเจริญกำนัน”
“แก”
กำนันบุญเข้าไปกระชากคอเสื้อประดับมาจ้องหน้าอย่างเจ็บใจแต่ทำอะไรไม่ได้เลยได้แต่ผลักประดับ

ยงยุทธตามเข้ามาในสวนป่าพบลูกน้องกำนันบุญกับลูกน้องสัมฤทธิ์นอนหมดสติทั้งคู่ ยงยุทธสังหรณ์ใจไม่ดี
ยงยุทธรีบตามเข้ามาพบแต่รถของสัมฤทธิ์ที่จอดทิ้งไว้ ยงยุทธหันขวับเพราะเห็นใครบางคน
“หยุด! แกเป็นใคร”
ขุนเดชหยุดนิ่งค่อยๆ หันมา มีเพียงแววตาของขุนเดชที่มองยงยุทธผ่านผ้าขาวม้าที่ปิดหน้าเอาไว้
“แก....วีรบุรุษบาป”
ขุนเดชมองยงยุทธแล้วจะเดินออกไปต่อ แต่ยงยุทธยิงปืนขึ้นฟ้าขู่ทันที...เปรี้ยง
“อย่าคิดว่าการที่ชาวบ้านสรรเสริญการกระทำของแก แล้วจะทำให้แกกลายเป็นวีรบุรุษขึ้นมาจริงๆ แกก็เป็นได้แค่ไอ้ฆาตกรที่ต้องรับผิดในสิ่งที่แกทำเหมือนกัน” ขุนเดชนิ่ง “นายสัมฤทธิ์อยู่ไหน...แกทำอะไรมัน” ขุนเดชยังนิ่งไม่ตอบ
“ชั้นให้โอกาสแกมอบตัวดีๆ ถ้าคิดตุกติกล่ะก็...แกคิดผิดแน่”
ขุนเดชยังยืนนิ่งไม่ขยับ ยงยุทธลดปืนลงแล้วเอากุญแจมือออกมาจังหวะนั้นเองที่ขุนเดชเปลี่ยนจากนิ่งเป็นรุกใส่ จระเข้ฟาดหางทีเดียวปืนในมือยงยุทธกระเด็น ยงยุทธหันมาตั้งท่าเชิงมวยแล้วบุกเข้าจู่โจมใส่วีรบุรุษบาปทันที

บริเวณไซต์งานก่อสร้างถนน พวกคนงานวางแผนที่จะทำลายเจดีย์โบราณซึ่งขวางการทำถนน ที่นอกแนวรั้วลวดหนาม ดำรงพร้อมกับนักศึกษา สาลี่และฮวด พร้อมชาวบ้านเข้ามาถือป้ายประท้วงส่งเสียงตะโกนไล่พวกคนงานให้ออกไปๆๆ พร้อมชูป้าย ‘หยุดทำลายสมบัติของชาติ’ ‘สมบัติของแผ่นดินต้องรักษาไม่ใช่ทำลาย’
“พวกอาจารย์กับนักศึกษามาประท้วงกันใหญ่ เอาไงดี”
“นายช่างสั่งไว้ ไม่ต้องสนใจ ทำงานของเราไป รีบๆ เอาระเบิดไปวาง เราต้องเคลียร์พื้นที่”
คนงานรับคำสั่งพากันเอาระเบิดไปวางรอบๆ ฐานเจดีย์แล้วลากสายชนวนเตรียมใช้ระเบิดเปิดพื้นที่
นอกแนวรั้วดำรงกับพวกนักศึกษาและชาวบ้านยื้อยุดกระทบกระทั่งกับพวกคนงาน สาลี่ตาไวเห็นพวกคนงานกำลังวางระเบิดเจดีย์รีบหันไปตะโกนบอกทุกคน
พวกมันกำลังจะระเบิดเจดีย์ พวกเราต้องหยุดพวกมัน”
ทุกคนเฮโลไม่ยอมยื้อยุดกับพวกคนงานจนแนวกั้นพัง ดำรงกับพวกนักศึกษาและชาวบ้านเฮกันเข้าไปในพื้นที่ก่อสร้างขณะที่พวกคนงานกำลังกดชนวนระเบิด
“ถอยไปอย่าเข้ามา...บอกให้ถอยไป”
โฟร์แมนร้องห้ามเสียงดังแต่พวกชาวบ้านไม่ทันฟัง คนงานกดชนวนระเบิด...ตูม

ที่สถานีอนามัยชุลมุนวุ่นวายเพราะทั้งชาวบ้านและพวกนักศึกษาบาดเจ็บหัวร้างข้างแตกทยอยถูกพาตัวเข้ามาให้หมอน้อยรักษา
“คุณหมอครับ...ช่วยดูทางนี้ให้หน่อยครับ”
ดำรงเรียกให้หมอน้อยมาดูอาการชาวบ้านที่มีแผลที่ช่องท้อง หมอน้อยวุ่นวายดูคนเจ็บรายหนึ่งอยู่ก็ต้องรีบเข้ามาช่วยดู
“อาการไม่ดีเลย ต้องรีบห้ามเลือด พยาบาล...พยาบาล”
หมอน้อยเรียกหาพยาบาล แต่ทุกคนต่างวุ่นวายไม่มีใครว่าง
“ให้ผมช่วยนะครับหมอ ผมพอจะทำได้”
“ขอบคุณมากครับอาจารย์”
ดำรงเข้าไปช่วยคนเจ็บ มีพวกนักศึกษาเข้ามาช่วยกันเข็นเตียงพาเข้าไปในอนามัย หมอน้อยมองสภาพความวุ่นวายที่เกิดขึ้น เลือดเต็มมือหมอ ชาวบ้านต่างบาดเจ็บอาการน่าเป็นห่วง ทุกอย่างดูแล้วน่าเวทนา สาลี่กับฮวดประคองกันเข้ามา ตามเนื้อตามตัวมีผ้าพันแผลโดนมาไม่น้อยเหมือนกัน
“ทำไมถึงได้เป็นแบบนี้”
“พวกมันไม่สนใจชีวิตของพวกเรา ต่อให้ต้องไปตายต่อหน้ามัน มันก็ไม่สน” สาลี่บอก
“เวงกรรม เวงกรรม ขนาดสมบัติของชาติมันยังทำลายได้หน้าตาเฉย ไอ้คนพวกนี้อยู่ไปก็รกแผ่นดิน”
“แกก็ได้แต่แช่งมันอย่างเดียวอาฮวด อำนาจอยู่ในมือใครคนนั้นมันก็ใช้กฏหมายพวกเราจะไปทำอะไรได้”
“ได้สิ...วีรบุรุษบาปไง ถ้าเป็นอี พวกมันต้องกลัวหัวหดแน่”
หมอน้อยหันไปมองสองผัวเมียที่ต่างก็ฝากความหวังไว้ที่วีรบุรุษบาป

ยงยุทธถูกวีรบุรุษบาปเล่นงานจนกระเด็นกระแทกกับฝาผนังไม้ของโรงนาเข้ามานอนกลิ้ง ยงยุทธกัดฟันเจ็บใจถอดเสื้อแจ็คเก็ตออกแล้วตั้งท่าเชิงมวยรอ ขุนเดชปรี่เข้าโถมทั้งหมัด เข่า ศอก คราวนี้ยงยุทธรับได้ทุกหมัดและตอกกลับด้วยการฟันศอกกลับ ก่อนจะตามด้วยเชิงมวยไม้ตาย
“หมัด...ฟ้า...ฟาด”
วีรบุรุษบาปโดนไม้ตายของยงยุทธเข้าไปติดๆ กันถึง 3 ชุด วีรบุรุษบาปกลับมาเป็นฝ่ายเสียเปรียบ วีรบุรุษบาปตัดสินใจชักดาบดำออกมาเพื่อเปลี่ยนมาเปิดฉากการสู้ใหม่ด้วยอาวุธ ยงยุทธมีสีหน้าสนใจเป็นอย่างมากเมื่อได้เห็นอาวุธของวีรบุรุษบาปกับตาตัวเองเป็นครั้งแรก
“นั่นน่ะเหรอ ดาบที่แกใช้ฆ่าไอ้พวกโจร”
ขุนเดชควงดาบดำด้วยเชิงดาบอันสวยงามและเข้มแข็งดุดัน ยงยุทธมีเพียงแต่มือเปล่า เมื่อวีรบุรุษบาปไล่ฟาดฟัน ยงยุทธเลยต้องอาศัยความพริ้วและความเร็วหลบหลีก แต่ก็หลบได้แค่ไม่กี่เพลงดาบ ยงยุทธโดนถีบล้ม วีรบุรุษบาปเงื้อดาบจะฟัน ทันใดนั้นยงยุทธก็คว้าเคียวเกี่ยวข้าวที่อยู่ใกล้มือขึ้นมารับคมดาบทันท่วงที...แคร๊ง
ยงยุทธถีบวีรบุรุษบาปกระเด็น แล้วควงเคียวเกี่ยวข้าวสองอันด้วยสองมือหมุนไปมาอย่างสวยงาม สองคนจรดๆ จ้องๆ กันแล้วโถมเข้าใส่ เป็นการปะทะกันระหว่างดาบดำของขุนเดชกับเคียวสองมือของยงยุทธ ยงยุทธใช้เคียวรับเชิงดาบได้อย่างว่องไว โต้กันไปมาชนิดกินกันไม่ลง
“ไหนล่ะ เพลงดาบที่แกใช้จัดการไอ้พวกโจร...ถ้าคิดว่าแน่จริงก็งัดออกมาเลย”
วีรบุรุษบาปจ้องยงยุทธเขม็งก่อนจะเงื้อดาบแล้วควงเพลงดาบไม้ตาย
“ฟ้า...ดิน..เป็นพยาน...ดาบ...เดือน...ดับ”
ขุนเดชใช้เพลงดาบเดือนดับฟาดฟันใส่ทันที แต่ยงยุทธก็สามารถรับเพลงดาบได้ชนิดคมดาบดำห่างจากคอไป นิดเดียว และยงยุทธก็ไม่รอช้าใช้ความโค้งงอของเคียวหมุนรอบดาบดำบิดดาบจนหลุดจาดมือวีรบุรุษบาปได้...ฉึก ดาบดำกระเด็นปักพื้น ยงยุทธเป็นฝ่ายเอาชนะวีรบุรุษบาปไปได้ในยกนี้
“ยอมมอบตัวซะ...ฝีมืออย่างแก...น่าจะใช้ในทางที่ถูก ถ้าแกรับโทษตามกฏหมายแล้วชั้นจะให้โอกาสมาร่วมมือกับราชการ”
ขุนเดชนิ่งไป ยงยุทธใช้เคียวขู่และบังคับ สองคนจ้องตากันเขม็ง แต่ยังไม่ทันที่ขุนเดชจะตอบอะไร เสียงปืนก็ดัง ขึ้น...เปรี้ยง กระสุนเฉียดทั้งคู่ไปโดนอย่างอื่น ทั้งคู่หันไปเห็นแจ็คที่ควงปืนลูกซองสองมือเข้ามา
“ไอ้แจ็ค”
แจ็คยกปืนยิงถล่มซ้ำ วีรบุรุษบาปกับยงยุทธต้องรีบกระโจนหนีห่ากระสุนที่ระดมยิงใส่ไม่ยั้งหนีเอาตัวรอดออกไป

วีรบุรุษบาปกับยงยุทธหนีห่ากระสุนที่แจ็คยิงใส่จนทุกอย่างรอบตัวกระจุย ทั้งคู่ต้องเข้าไปหลบที่หลังเครื่องสีข้าวกลายเป็นฝ่ายโดนไล่ต้อน เมื่อเข้าตาจนทั้งคู่จึงต้องหันมาร่วมมือกัน วีรบุรุษบาปทำสัญญาณมือให้ยงยุทธรู้ว่าเขาจะออกไปล่อให้แจ็คยิงแล้วให้ยงยุทธเล่นงานมัน ยงยุทธพยักหน้า
แจ็คควงปืนลูกซองสองมือตามเข้ามา วีรบุรุษบาปกระโจนออกมาให้เห็นแจ็คหันไปยิงใส่ เปรี้ยงๆ วีรบุรุษบาป กระโจนหลบอย่างคล่องแคล่ว ยงยุทธได้โอกาสกระโจนออกมายิงใส่ แจ็คเลยหันมายิงยงยุทธบ้าง แจ็คยิงจนกระสุนหมด วีรบุรุษบาปเลยได้โอกาสปรี่เข้ามาถีบจนแจ็คกระเด็นอย่างแรงกระแทกกำแพงไม้ทะลุออกไป ฝุ่นคละคลุ้ง แจ็ค
เงียบไปเหมือนจะสิ้นฤทธิ์ วีรบุรุษบาปกับยงยุทธขยับมายืนคู่กัน
“แค่นั้น...ทำอะไรมันไม่ได้หรอก”
ยงยุทธกับวีรบุรุษบาปกำหมัดตั้งการ์ดพร้อม ทันใดนั้นแจ็คก็ส่งเสียงคำรามกึกก้องดังลั่น แจ็คลุกขึ้นมาจากกองไม้ฉีกเสื้อจนขาดกระจุยด้วยอาการโกรธสุดฤทธิ์ ถึงเวลาที่วีรบุรุษบาปกับยงยุทธต้องช่วยกันสู้กับแจ็ค สองคนลุยเข้าไปประเคนหมัดเข่าศอก ทุกแม่ไม้ที่มีรุมเล่นงาน แต่แจ็คก็รับได้หมดแถมยังเล่นงานทั้งคู่กลับจนกระเด็นไปคนละทาง
แจ็คหันไปเล่นงานยงยุทธที่กำลังมึน รัวหมัดใส่จนยงยุทธตั้งตัวไม่ทันโดนไปไม่ยั้งจนโซเซ แจ็คเห็นมีเชือกห้อย อยู่เลยจับยงยุทธมัดเอาไว้ก่อน เพราะเป้าหมายอยู่ที่การกำจัดวีรบุรุษบาปที่เพิ่งลุกขึ้นมาได้ แจ็คตามเข้าไปเล่นงานวีรบุรุษบาปชกใส่ไม่ยั้งวีรบุรุษบาปปัดป้องสุดฤทธิ์และสวนหมัดกลับไป ทั้งคู่แลกหมัดกันไปมาอย่างดุเดือด แต่คนที่แข็งแกร่งกว่าคือแจ็ค
ยงยุทธที่ถูกมัดไว้เห็นว่าถ้าไม่เข้าไปช่วยมีหวังวีรบุรุษบาปได้โดนแจ็คฆ่าตายแน่ ยงยุทธพยายามแก้มัดเชือก
วีรบุรุษบาปเสียเปรียบโดนแจ็คเตะสูงจนกระเด็นตัวลอยไปกองอยู่กับกองกระสอบ มันตามไปจับวีรบุรุษบาปมากอดรัดด้วยแรงมหาศาลจนวีรบุรุษบาปร้องเจ็บปวดดังลั่น
“อ๊ากกกกก”
วีรบุรุษบาปหมดแรงทรุดเข่า แจ็คยิ้มร้ายกำหมัดท่าไม้ตายสันนิ้วนูนขึ้นมาเป็นสามเหลี่ยม ยงยุทธเห็นท่าไม่ดี เร่งมือแก้มัดตัวเองสุดฤทธิ์
“หมัด...สั่ง...ตาย”
แจ็คง้างหมัดจะจบชีวิตวีรบุรุษบาป แต่ยงยุทธแก้มัดตัวเองได้ปุ๊บก็รีบกระโดดถีบแจ็คจนกระเด็นแล้วไม่ปล่อย ให้มันตั้งตัว ยงยุทธเอาคืนด้วยหมัดฟ้าฟาดชุดใหญ่ติดๆ กัน คราวนี้ได้ผลแจ็คโดนหนักจนเริ่มซวนเซตุปัดตุเป๋ ยงยุทธคิดจะจบเพลงมวยง้างหมัดสุดท้าย แต่แจ็คก็ฮึดแรงขึ้นมาอีกกำทรายที่พื้นปาใส่หน้ายงยุทธจนผงะ แจ็คคิดจะหนีเอาตัวรอดแต่วีรบุรุษบาปเข้ามายืนขวางพร้อมกับดาบดำในมือ แววตาโกรธแค้นเอาจริง
“ฟ้า...ดิน...เป็นพยาน...ดาบ...เดือนดับ”
วีบุรุษบาปฟัน...ฉับ ดาบดำกรีดหน้าแจ็คเป็นทางตั้งแต่เหนือคิ้วซ้ายผ่านลูกตาลงมาถึงแก้ม แจ็คร้องโอดโอย เลือดเต็มหน้าแต่ยังไม่ตาย วีรบุรุษบาปจะตามไปปลิดชีวิตอีกหนึ่งดาบแต่เสียงยงยุทธร้องห้าม
“อย่า...แกจะฆ่ามันไม่ได้” วีรบุรุษบาปหันมามองยงยุทธที่ยกปืนขึ้นมาเล็งวีรบุรุษบาปไม่ให้ฆ่าแจ็ค “วางดาบของแกซะ...แล้วปล่อยให้กฏหมายจัดการกับมัน” วีรบุรุษบาปหยุดนิ่งมองแจ็คที่กำลังร้องครวญครางเจ็บปวดเลือดเต็มหน้าเต็มมือ “แกกับชั้น...เรายังสามารถร่วมมือกันได้ วางดาบแล้วมาเป็นพวกเดียวกับชั้นเถอะ วีรบุรุษบาป”
“คนอย่างข้ามันบาปหนาเกินกว่าจะเป็นคนดี”
วีรบุรุษบาปไม่ฟังเงื้อดาบจะจัดการแจ็ค ยงยุทธเลยต้องยิงปืนใส่...เปรี้ยง
กระสุนปืนโดนดาบดำจนเกิดประดาบไฟ ดาบดำหลุดจากมือวีรบุรุษบาปแล้วปักลงดิน แจ็คเห็นได้โอกาสเลย รีบวิ่งหนีเอาตัวรอด วีรบุรุษบาปไม่ยอมปล่อยให้มันหนีเลยหยิบดาบดำขึ้นมาแล้วหันมาจ้องยงยุทธเขม็งโดยไม่สนใจ ไล่ตามแจ็คไป ยงยุทธเจ็บใจ

แจ็คประคองตัวเองที่บาดเจ็บหนีออกมา ขุนเดชถือดาบดำไล่ตาม แต่ทันใดนั้นประดับขับรถเข้ามาจอดเอี๊ยด ลูกน้องประดับรีบลงจากรถไปช่วยประคองแจ็คพาขึ้นรถ ประดับชักปืนออกมายิงใส่วีรบุรุษบาปเพื่อไม่ให้ตามต่อได้ แล้วพาแจ็คหนีออกไปได้อย่างปลอดภัย วีรบุรุษบาปก้าวออกมาถอดผ้าขาวม้าพันหน้าออกแล้วมองตามกัดฟัดแค้น
ยงยุทธตามออกมาแต่ไม่เจอใครแล้ว ยงยุทธเจ็บใจที่จับไม่ได้ทั้งวีรบุรุษบาปและแจ็ค
“โธ่เว้ย”

กำนันบุญไม่พอใจกระชากคอลูกน้องสัมฤทธิ์มาตะคอกใส่หน้า
“ลูกชายข้าอยู่ไหน”
“เอ่อ...เรา...เราตามหาแล้ว แต่ยังไม่เจอพี่สัมฤทธิ์เลยจ้ะพ่อกำนัน”
“ไอ้เวรเอ้ย” กำนันบุญตบหน้าลูกน้องสัมฤทธิ์แล้วหันไปตบหน้าลูกน้องตัวเองอีกคน “พวกเอ็งต้องหาไอ้สัมฤทธิ์ให้เจอ ถ้าต้องพลิกแผ่นดินสุโขทัยทั้งผืนก็ต้องทำ”
“เอ่อ…แล้วถ้าพี่สัมฤทธิ์ตายแล้วล่ะจ้ะพ่อกำนัน”
กำนันบุญหันขวับมาจ้องหน้าตาเขม็ง แล้วรีบคว้าดาบบนผนังมาจ่อคอหอย
“ถ้าลูกข้าเป็นอะไรไป คอเอ็งหลุดจากบ่าเป็นคนแรก…ไป” พวกลูกน้องรีบพากันออกไปสวนกับประดับที่ให้ลูกน้องตัวเองประคองพาแจ็คที่บาดเจ็บหนักเข้ามา “กลับมาสภาพแบบนี้ อย่าบอกนะว่าแผนของคุณไม่สำเร็จ”
ประดับหันไปสั่งลูกน้อง
“พาไอ้แจ็คเข้าไปแล้วตามหมอมารักษามัน อย่าให้มันตายเด็ดขาด”
ลูกน้องรับคำแล้วพาแจ็คเข้าไป ประดับเข้ามาจ้องหน้ากำนันบุญ
“ถ้าไอ้วีรบุรุษบาปกับไอ้หมวดยงยุทธไม่ร่วมมือกัน ไอ้แจ็คไม่มีทางแพ้แน่”
“งั้นคุณก็เอาชีวิตลูกชายผมไปเสี่ยงโดยไม่มีอะไรได้กลับมา”
“ถ้าโลกนี้มีอะไรได้มาง่ายๆ ป่านนี้คนอย่างกำนันคงไม่จมปลักอยู่แต่ที่สุโขทัยนี่หรอก”
ประดับจ้องหน้ากำนันบุญแล้วเดินเข้าไป กำนันบุญมองตามเริ่มไม่พอใจประดับมากขึ้นเรื่อยๆ
ภายในถ้ำศิลาที่หน้าพระศิลาที่ไร้เศียร ขุนเดชเข้ามาคุกเข่าพนมมือกราบก่อนจะรู้ตัวว่ามีคนอื่นอยู่ในนี้ ขุนเดชชักดาบดำชี้ดาบไปที่เป้าหมายแต่ชะงัก
“อาหมอ”
“เก็บดาบเธอไปเถอะ อาตั้งใจจะมาคุยกับเธอ”
“อารู้ได้ยังไงว่าผมอยู่ที่นี่”
“ที่นี่เป็นที่ๆ พ่อของเธอถูกพวกโจรฆ่าตาย”
ขุนเดชนิ่งไปแล้วเก็บดาบคืนฝัก
“ถ้าอาหมอจะมาเตือนให้ผมมอบตัว ผมก็ยังยืนยันคำเดิม”
“เปล่า...อาไม่ได้บอกเรื่องเธอกับตำรวจ แต่อามาตามให้เธอกลับไปด้วยกัน”
“ทำไมล่ะครับอาหมอ ในเมื่ออาไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ผมทำ”
ขุนเดชถามอย่างแปลกใจ หมอน้อยนิ่งไปแล้วเข้าไปคุกเข้าพนมมือกราบไหว้พระศิลาที่ไร้เศียร
“ยี่สิบกว่าปีตั้งแต่ที่พี่เดื่องถูกฆ่าตาย เศียรพระศิลาถูกลักตัดจนทุกวันนี้ก็ยังตามหาคืนมาไม่ได้คนที่มีหน้าที่รับผิดชอบไม่มีใครให้ความเหลียวแลเหมือนว่าการตายของพี่เดื่องเป็นเรื่องธรรมดา”
“วันนึงผมจะตามเศียรพระศิลากลับคืนมาให้ได้ครับ วิญญาณของพ่อจะได้สงบ”
“ขุนเดช...ในเมื่อเธอยอมเป็นคนบาป เพื่อรักษาความดีให้คงอยู่ อาจะไม่ปล่อยให้เธอแบกรับกรรมที่หนักหนาสาหัสนั้นไว้คนเดียว อาจะไม่บอกเรื่องเธอกับใครจะช่วยแบ่งเบากรรมนั้นมาจากเธอ ถึงต้องตกนรกหมกไหม้อาก็ยอม”
ขุนเดชถึงกับอึ้ง
“อาหมอ”
หมอน้อยจับไหล่ขุนเดชมาบีบแน่นอย่างลูกผู้ชาย

ที่สวนป่า พวกลูกน้องถือคบไฟออกตามหาสัมฤทธิ์
“พี่สัมฤทธิ์...พี่สัมฤทธิ์...หาพี่สัมฤทธิ์ให้เจอนะเว้ย ไม่งั้นพวกมึงคอหลุดเรียงตัวแน่”
พวกลูกน้องแยกย้ายกันตามหาท่ามกลางความหวั่นใจถึงความเป็นความตายของสัมฤทธิ์
“เจ้าประคู้น...ขออย่าให้พี่สัมฤทธิ์เป็นอะไรไปเลย ไม่งั้น...ข้าโดนพ่อกำนันเล่นงานแน่”
“ชู่ว์...เงียบๆ หน่อยเว้ย”
“อะไรของเอ็งวะ”
“ข้าได้ยินเสียงอะไรแปลกๆ”
“เสียง...เสียงอะไรวะ”
ลูกน้องกำนันบุญจุ๊ปากให้เงียบๆ ก่อนจะเดินไปตามเสียงแล้วไปหยุดที่พื้นดินซึ่งมีลำไผ่โผล่ขึ้นมาอย่างน่าสงสัย มันเอาหูแนบกับพื้นดินแล้วก็ตกใจ
“พี่สัมฤทธิ์ถูกฝังอยู่ในนี้”

ช่วงเวลาเดียวกันนั้นที่สถานีตำรวจ ยงยุทธใช้ดินสอร่างภาพบางอย่าง จ่าแท่นชะเง้อมองอย่างสนใจจนยงยุทธวาดเสร็จก็ยื่นให้จ่าแท่นดู
“นี่น่ะเหรอครับ...อาวุธที่วีรบุรุษบาปใช้”
“ใช่จ่า ดาบที่มันใช้ไม่ใช่เหล็กธรรมดาทั่วไปแน่ มีทั้งความคม เหนียวและเข็งแกร่ง แถมยังมีสีดำทั้งเล่ม”
“ดาบดำทั้งเล่ม ทั้งแปลกแล้วก็สวยดีนะครับ”
“จ่า”
“ขอโทษครับหมวด เอ่อ...เห็นหมวดว่ามันใช้เชิงดาบไม้ตายของมันกับหมวดด้วย”
ยงยุทธนิ่งไปแล้วลุกเดินไปยืนหน้าเคร่งเครียด
“มันเรียกเพลงดาบที่มันใช้ว่า...ดาบเดือนดับ”
“เพลงดาบเดือนดับเหรอครับ”
“จ่ารู้จักเหรอ”
จ่าแท่นมองยงยุทธสีหน้าครุ่นคิด

ขุนเดชทำงานตีเหล็กอยู่คนเดียวเสียงดัง ดาราเข้ามายืนมองอยู่ครู่ใหญ่ ขุนเดชรู้ตัวแต่ก็ทำงานไปไม่หยุด
“ค่ำมืดแล้วคุณไม่ควรจะมาหาผมที่นี่นะดารา ผมไม่อยากให้คนอื่นเข้าใจคุณผิด”
“แต่ชั้นมีเรื่องอยากคุยกับเธอ...เธอรู้เรื่องของนายสัมฤทธิ์ลูกชายกำนันบุญรึเปล่า”
“เรื่องของคนพรรณ์นั้นผมไม่สนใจหรอก”
“แต่เธอน่าจะรู้ไว้นะ นายสัมฤทธิ์ถูกวีรบุรุษบาปจับฝังทั้งเป็น มีแค่ลำไผ่ให้หายใจ รอให้คนไปพบ”
“คุณมาเล่าใฟ้ผมฟังทำไม”
“เพราะชั้นสงสัยน่ะสิ ทุกครั้งวีรบุรุษบาปจะใช้วิธีการฆ่าให้ตาย แต่สำหรับนายสัมฤทธิ์กลับใช้วิธีสั่งสอน เหมือนต้องการเตือนให้กลัวหลังจากที่ก่อเรื่องทำร้ายบัวทอง”
ขุนเดชที่กำลังตีเหล็กอยู่นิ่งไป เสียงตีเหล็กหยุดพร้อมกับสีหน้านิ่ง
“คุณสงสัยอะไรอยู่กันแน่ดารา”
ขุนเดชหันมามองหน้าดาราอย่างจริงจัง

ส่วนที่สถานีตำรวจ ยงยุทธกับจ่าแท่นยังคุยกันเรื่องเพลงดาบเดือนดับ
“เพลงดาบเดือนดับ เพลงดาบของเพชรฆาตโบราณ”
“ครับ เป็นเพลงดาบโบราณที่พวกเพชรฆาตฝึกไว้ใช้ลงโทษประหารนักโทษ ว่ากันว่าความร้ายกาจของมันสามารถฟันครั้งเดียวแต่ตัดเส้นเลือดใหญ่ทั้ง 5 จุดได้เลยครับ”
“โหดเหี้ยม ไร้ความปราณี”
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ครับหมวด แต่มันก็เป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู ทำให้คนที่คิดจะทำความ ผิดเกรงกลัว”
“แล้วจ่ารู้จักเพลงดาบนี้ได้ยังไง”
“สมัยหนุ่มๆ พี่เดื่องเคยเล่าให้ผมฟังครับ เขาว่าเป็นเพลงดาบที่หาคนฝึกได้ยากเต็มที เพราะมันอาจจะทำให้คนที่ฝึกเพลงดาบเดือนดับ กลายเป็นคนเสพติดความโหดเหี้ยม ถ้าควบคุมดาบไม่ได้ก็อาจจะทำให้เป็นบ้าได้เลย”
ยงยุทธครุ่นคิดสนใจ
“นายเดื่องที่จ่าพูดถึง...ใช่พ่อของขุนเดชรึเปล่า”
“ใช่ครับหมวด”
ยงยุทธนิ่งไปคิ้วขมวดแทบชนกัน

อีกด้านที่กระท่อมขุนเดช ดาราขยับเข้าใกล้ขุนเดช
“ตอนที่ชั้นกับบัวทองถูกพวกนายสัมฤทธิ์ตามรังควาญ มีคนงานเห็นเธออยู่แถวนั้น”
“คงจำผิดคนแล้วล่ะดารา วันนี้ผมอยู่ที่เขาหลวงกับหมอน้อย”
“แต่เขายืนยันว่าเป็นเธอ เพราะว่าเธอเป็นห่วงบัวทอง รู้ว่านายสัมฤทธิ์คงไม่ปล่อยบัวทองไปง่ายๆ เธอถึงได้ตามไปดูแล”
“คุณก็รู้ว่างานผมมีให้ทำเยอะ แล้วผมจะไปโผล่หลายๆ ที่ในเวลาเดียวกันได้ยังไง”
“ทำได้สิ...เพราะคนอย่างเธอถ้าเป็นห่วงใครแล้ว เธอทำให้เขาได้ทุกอย่าง เหมือนที่เคยทำให้ชั้น ให้ยงยุทธ”
“ถึงผมจะห่วงทุกคน แต่คนที่ทำหน้าที่ดูแลความปลอดภัยที่นี่คือยงยุทธและไอ้หมอนั่นก็ทำได้ดี เพราะฉะนั้นคุณเข้าใจผิด ผมไม่ได้ตามไปดูแลบัวทอง”
ขุนเดชยืนยันปฏิเสธแล้วหันไปตีเหล็กต่อเสียงดัง
“แล้วเธอรู้สึกยังไงกับบัวทอง” ขุนเดชไม่ตอบยังตีเหล็กต่อไป “เธอรู้มั้ยว่าบัวทองมีใจให้เธอ”
ขุนเดชหยุดตีเหล็กแล้วตอบออกมา
“บัวทองเป็นน้องสาว เป็นได้แค่เท่านั้น”
ขุนเดชพูดไปก็ตีเหล็กต่ออย่างเยือกเย็น

ที่นอกกระท่อม บัวทองมายืนอยู่และได้ยินคำพูดตอกย้ำของขุนเดช บัวทองน้ำตาซึมเสียใจแต่ก็ฝืนทนความ รู้สึกปาดน้ำตาก่อนจะเดินออกไป

คำปันกำลังเย็บชุดรำอยู่ที่ลานซ้อมในบริเวณบ้านก่อนจะเห็นบัวทองกลับเข้ามา
“อ้าว...ทำไมกลับมาไวล่ะบัวทอง”
“เอ่อ...จักรยานชั้น...ยางแบนจ้ะแม่”
“อ้าว...แล้วปิ่นโตที่เอาไปให้ขุนเดชล่ะ”
“ชั้นเจอเด็กวัดก็เลยฝากไปให้แล้ว”
คำปันมองลูกอย่างสงสัยเพราะเห็นก้มหน้าก้มตาดูผิดปกติ
“ไม่สบายรึเปล่าบัวทอง”
“เอ่อ...เปล่าจ้ะแม่ แม่ช่วยชั้นซ้อมรำหน่อยสิ”
บัวทองพยายามเลี่ยงหันไปหยิบชฎามาสวมเพื่อเตรียมซ้อมรำ คำปันไม่ได้แอะใจอะไรหันไปหยิบกรับมาตีให้ จังหวะให้บัวทองซ้อมรำ แต่การร่ายรำของบัวทองเป็นการรำที่เศร้าสร้อยน้ำตาซึม

วันต่อมาที่บ้านกำนันบุญ สัมฤทธิ์อยู่ในอาการตื่นผวาเหมือนคนจิตไม่อยู่กับตัว
“สัมฤทธิ์”
กำนันบุญแตะตัวลูกชาย สัมฤทธิ์สะดุ้งร้องเสียงหลง
“กลัวแล้ว...อย่าทำอะไรชั้นเลย กลัวแล้ว อย่าฆ่าชั้น”
สัมฤทธิ์ยกมือไหว้ปะหลกๆ จนดูน่าเวทนา กำนันบุญเห็นแล้วเจ็บใจโกรธแค้นหันไปสั่งลูกน้อง
“พาออกไป แล้วก็ดูแลลูกข้าให้ดี ถ้าไอ้สัมฤทธิ์กลับมาเป็นปกติไม่ได้พวกเอ็งจะโดนข้ากระทืบไส้แตกเรียงตัว”
พวกลูกน้องหน้าเสียรีบเข้าไปประคองสัมฤทธิ์แล้วพาออกไป ประดับเดินเข้ามา
“แค่นั้นยังไม่ถึงกับบ้าหรอกกำนัน หาสาวๆ สวยๆ ไปประคบประหงมดูแลสักสามสี่วัน เดี๋ยวก็ลุกขึ้นมาหาเรื่องเดือดร้อนให้กำนันได้แล้ว”
“คุณประดับ ต่อไปนี้ถ้าคุณทำอะไรแล้วไม่ปรึกษาผมก่อน ผมจะไม่ช่วยคุณอีก”
“ถ้าแค่นี้กำนันคิดจะถอย อยากดักดานเป็นกำนันบ้านนอกแบบนี้ไปทั้งชีวิตก็ตามใจ คนที่ทะเยอทะยานอยากมีอำนาจบารมีไม่ได้มีแค่กำนันคนเดียว”
ประดับจะเดินออกไป กำนันบุญกำหมัดเจ็บใจแต่ก็ต้องยอม
“ก็ได้...ครั้งนี้ผมจะให้มันแล้วไป ยังไงเราก็ลงเรือลำเดียวกันมา มันก็ต้องถึงฝั่งพร้อมกัน”
ประดับยิ้มพอใจ
“ดีมากกำนัน...ตอนนี้อาจารย์ก้องเกียรติติดต่อผมมาแล้ว ได้เวลาที่เราจะต้องนำโบราณวัตถุโลหะศักดิ์สิทธิ์ชิ้นที่ 4 ไปให้ท่านแล้ว”
ประดับกับกำนันบุญมองหน้ากันยิ้มร้ายๆ

ส่วนที่บ้านคำปัน บัวทองทำหน้าเฉยไม่สนใจจักรยานคันใหม่ที่ขุนเดชเอามาให้
“ไม่ชอบเหรอบัวทอง เอาไว้ใช้แทนคันเดิมไง”
“คันเดิมชั้นก็ยังใช้ได้ ยังไม่อยากเปลี่ยนคันใหม่”
บัวทองทำหน้างอนเดินออกไปเลย
“บัวทอง...ทำไมพูดอย่างนี้กับพี่ขุนเดชเขาล่ะ...บัวทอง”
คำปันเรียกลูกสาว แต่บัวทองไม่สนใจ
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะน้า คงไม่ชอบคันที่ชั้นเอามาให้”
“จะชอบหรือไม่ชอบก็ไม่ควรแสดงอาการแบบนี้ออกมา มันเสียมารยาท แล้วนี่ก็ไม่รู้เป็นอะไร ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว กลับจากเอาปิ่นโตไปให้ขุนเดชมาก็หน้าหงิกหน้างอ จนน้าอยากจะเขกกะโหลกนัก” ไม่ทันขาดคำบ่นของคำปัน บัวทองก็เข็นจักรยานคันเก่าจะออกไป “จะไปไหนล่ะบัวทอง”
“ไปเก็บบัวจ้ะแม่”
บัวทองตอบห้วนๆ แล้วขี่จักรยานออกไป คำปันเห็นแล้วก็ถอนใจบ่น
“ดูเข้าสิ...จักรยานล้อแบนอย่างนั้นยังทู่ซี้ขี่อีก แบบนี้จะไม่ให้น้าอยากเขกกะโหลกได้ไง”
ขุนเดชมองตามสีหน้าครุ่นคิด

ริมถนนลูกรัง บัวทองหน้าตาสุดเซ็งมองจักรยานที่ทั้งโซ่หลุด ทั้งยางแบน
“จะเอาอย่างนี้ใช่มั้ย จะให้ชั้นส่งแกไปร้านขายของเก่า ให้เขาถอดแกเป็นชิ้นส่วนใช่มั้ย บ้าที่สุด”
บัวทองหัวเสียหงุดหงิดที่จักรยานใช้งานไม่ได้ ระหว่างนั้นขุนเดชขี่จักรยานผิวปากสบายๆ ผ่านเข้ามา
“แวะชมนกชมไม้เหรอบัวทอง” บัวทองเชิดหน้าอย่างไม่สนใจ “จะสายแล้วนะ ไม่รีบไปเก็บบัว เดี๋ยวก็โดนแดดเผาหรอก” ขุนเดชบอกแล้วตบเบาะท้ายจักรยาน “ให้พี่ไปส่งมั้ย”
“ชั้นมีขาเดินเองได้ ไม่อยากเป็นภาระใคร”
“ถ้าพี่ไปทำอะไรให้บัวทองไม่พอใจ ก็บอกพี่มาสิพี่จะได้รู้แล้วขอโทษบัวทองถูก”
“พี่ไม่ได้ทำอะไรชั้นสักหน่อย”
“แล้วทำไมแม้แต่หน้าพี่ บัวทองก็ไม่อยากมอง พูดก็ห้วนๆ เหมือนโกรธกันมาเป็นสิบชาติ”
“ชั้นก็เป็นของชั้นแบบนี้ ไม่เคยจ๊ะจ๋าพูดหวานกับพี่เลยสักครั้ง”
“เหรอ...แต่ใครนะที่ไปหาพี่ที่กระท่อมแล้วบอกว่าดีใจที่พี่ไม่ใช่วีรบุรุษบาป”
บัวทองชะงักอึ้งแล้วตาเขียวปั๊ดด้วยความโกรธ
“พี่ขุนเดช...ตอนนี้ชั้นอารมณ์ไม่ดี จริงๆ แล้วถ้าพี่ไม่รีบไปให้พ้นหน้าชั้น พี่มีเรื่องกับชั้นแน่”
“ได้...พี่ไม่กวนแล้ว พี่ไปนะ”
ขุนเดชขี่จักรยานผิวปากไปอย่างสบายๆ บัวทองมองตามอย่างหมั่นไส้ แล้วหันไปมองจักรยานตัวเองเซ็งสุดฤทธิ์

ดารากับยงยุทธคุยกันอยู่บนสะพานข้ามคลอง
“ขุนเดชกับนายเดื่อง พ่อเขาน่ะเหรอ”
ดาราทำเสียงแปลกใจ
“ใช่...ขุนเดชเคยเล่าเรื่องพ่อให้คุณฟังบ้างรึเปล่า”
“ไม่นะ ขุนเดชไม่เคยเล่าอะไรที่เกี่ยวกับพ่อให้ฟังเลย นอกจาก...”
“นอกจากเรื่องอะไรเหรอดารา”
“ก็เรื่องที่พ่อเขาถูกโจรลักตัดเศียรพระศิลาฆ่าตาย แต่นั่นชั้นก็รู้ว่ามาจากอาจารย์ประทีปอีกที” ยงยุทธนิ่งเงียบไปสีหน้าครุ่นคิด “มีอะไรเหรอยงยุทธ ทำไมอยู่ๆ เธอถึงสนใจเรื่องพ่อของขุนเดช”
“พ่อของขุนเดช เป็นคนสุดท้ายที่ฝึกเพลงดาบเดือนดับ เพลงดาบเพชรฆาตโบราณที่วีรบุรุษบาปใช้เข่นฆ่าพวกโจร”
ดารามีสีหน้าตกใจเมื่อรู้เรื่องนี้ ระหว่างนั้นจ่าแท่นขับรถจี๊ปเข้ามาตาม
“หมวดครับ...หมวด...ได้มาแล้วครับ”
จ่าแท่นรีบจอดรถแล้วเข้ามายื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้หมวดยงยุทธ


ที่ไซต์งานก่อสร้างถนน คนงานกำลังทยอยขนเอาเศษอิฐ เศษปูนจากซากโบราณสถานที่ระเบิดทำลายไปเมื่อวันก่อนออก ประดับกับกำนันบุญพร้อมลูกน้องยืนดูพวกคนงานทำงานอยู่ไม่ไกล
“เอ้า...ระวังหน่อย...เบาๆ”
คนงานทยอยขนเศษอิฐเศษปูนออกได้ครู่ คนหนึ่งก็ร้องตะโกนเพราะขุดเจออะไรบางอย่าง
“เจอแล้วครับ”
ประดับกับกำนันบุญหันไปสนใจแล้วรีบเข้าไปดูพวกคนงานที่ขุดพบหีบไม้เก่าๆ ขึ้นมาท่าทางหนักอึ้ง ตัวหีบโบราณมีห่วงเหล็กล็อคเอาไว้อย่างแน่นหนา ประดับหันไปรับชะแลงมาจากลูกน้องแล้วกระแทกเปิดอย่างแรง ทันทีที่ประดับเปิดหีบออก ในนั้นเต็มไปด้วยอาวุธโบราณจำพวกปืนคาบศิลาและเครื่องกระสุนอายุอยู่ในช่วง กลางอยุธยา ประดับให้กำนันบุญเข้าไปตรวจสอบดูปืนในหีบ
“เจอปืนคาบศิลาเหล็กไหลมั้ยกำนัน”
กำนันบุญรื้อค้นปืนในหีบทุกกระบอก แต่ก็ไม่พบของที่ต้องการ
“ไม่มี”
“โธ่เว้ย” ประดันหันไปสั่งคนงาน “ขุดให้ทั่วทุกตารางนิ้ว หาให้เจอให้ได้มันน่าจะอยู่แถวนี้แหละ”
พวกคนงานแยกย้ายกันไป ระหว่างนั้นคนงานคนหนึ่งรีบเข้ามา
“คุณประดับ...มีเรื่องแล้วครับ”
ประดับกับกำนันบุญหันมามองสงสัย

ที่หน้าไซต์งานยงยุทธยื่นแผ่นกระดาษที่ได้มาจากจ่าแท่นให้ประดับกับกำนันบุญดู
“นี่เป็นคำสั่งจากราชการ ที่ดินผืนนี้ถูกอายัดไว้แล้ว พวกแกต้องหยุดการก่อสร้างทุกอย่าง แล้วรีบเก็บของออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้”
ประดับจ้องหน้ายงยุทธอย่างเอาเรื่อง
“คิดจะใช้กฏหมายกับชั้นเหรอหมวดยงยุทธ”
“ก็ถ้ากฏหมายพูดกับแกไม่รู้เรื่อง” ยงยุทธเปิดเอวให้ดูปืนที่เหน็บอยู่ “ชั้นก็ยังมีอย่างอื่นใช้บังคับให้แกทำตามกฏหมายได้เหมือนกัน”
ประดับขบกรามกำหมัดอยากจะเอาเรื่องยงยุทธ ระหว่างนั้นดาราหันไปเห็นพวกคนงานช่วยกันยกหีบวัตถุ โบราณที่เพิ่งค้นพบยกไปใส่ที่ท้ายรถดารารีบร้องห้าม
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ...ห้ามเคลื่อนย้ายวัตถุโบราณทุกชิ้นออกจากที่นี่”
“ไม่ได้ยินเหรอไง วางลง”
จ่าแท่นออกคำสั่ง แต่พวกคนงานไม่ได้สนใจฟังคำสั่งตำรวจรอแต่คำสั่งของประดับเท่านั้น
“สั่งคนของพวกแกให้หยุดเดี๋ยวนี้...ไม่อย่างนั้นชั้นจะสงเคราะห์ให้ไปอยู่ในคุกให้หมด”
“กำนัน...บอกทุกคนให้หยุด” ประดับบอก
“แล้วของนั่นล่ะ”
“ไม่ใช่ตอนนี้กำนัน”
กำนันบุญกับประดับมองหน้ากันก่อนที่กำนันบุญจะพยักหน้ารับแล้วหันไปสั่งคนงาน
“หยุด...พอได้แล้ว”
ประดับขยับเข้าไปจ้องหน้ายงยุทธตาเขม็งใส่
“แล้วแกจะได้รู้ว่ากฏหมายที่แท้จริงไม่ใช่ไอ้แผ่นกระดาษที่อยู่ในมือแก แต่เป็นชั้นต่างหาก”
ประดับขู่ยงยุทธแล้วเดินออกไปพร้อมกับกำนันบุญและลูกน้อง
อ่านต่อหน้าที่ 4




ขุนเดช ตอนที่ 7 (ต่อ)
บัวทองเดินเหนื่อยเหงื่อแตกพลั่กๆ เข้ามาที่สระบัวก่อนจะหันไปเห็นขุนเดชพายเรือเข้ามาเทียบที่ตลิ่ง
“พักเหนื่อยกินน้ำก่อนสิ แล้วเดี๋ยวพี่จะพายเรือพาบัวทองไปเก็บบัว”
“พี่ขุนเดช...พี่ไม่มีงานทำเหรอไง”
“คนเราทำงานก็ต้องมีวันหยุดวันลาบ้างสิ”
“งั้นพี่ก็น่าจะใช้วันหยุดของพี่ไปช่วยงานวัดหลวงลุง ไม่ใช่มาคอยตามกวนโมโหชั้น”
“พี่เห็นบัวทองจะมาเก็บบัว พี่ก็ตั้งใจจะเก็บบัวไปถวายวัดเหมือนกัน”
“พี่ขุนเดช”
“ลงเรือมาเถอะบัวทอง...มัวแต่เถียงพี่แบบนี้ วันนี้ทั้งวันก็คงไม่ได้บัวกลับไป”
“ถ้าชั้นจะไม่ได้บัวกลับไปก็เพราะพี่นั่นแหละ”
บัวทองไม่พอใจขุนเดชจึงไม่อยากคุยด้วย ปั้นปึ่งจะกลับ
“เอาล่ะๆ พี่ตามใจบัวทอง บัวทองเอาเรือไปแล้วกันพี่จะไม่ยุ่งกับบัวทองอีก”
บัวทองชะงักหันมามองขุนเดช

บัวทองพายเรือเก็บบัวอยู่ในสระ แต่รู้สึกแปลกใจเหมือนบางอย่างว่ายน้ำพลุบๆ โผล่ๆ บัวทองมองไปที่กอบัวอย่างสงสัย จนชักระแวงคว้าไม้พายขึ้นมาแล้วขยับเข้าไปดูที่ท้ายเรือ ทันใดนั้นขุนเดชก็ทะลึ่งพรวดโผล่หัวขึ้นมาจากน้ำ
“กรี๊ดดดดด” บัวทองตกใจรีบเอาไม้พายฟาดเข้าหน้าขุนเดชทันที...ผั๊วะ ขุนเดชจมลงไปในน้ำทันที “พี่ขุนเดช...พี่ขุนเดช”
บัวทองมองไปรอบๆ เรือไม่เห็นขุนเดชโผล่ขึ้นมาก็ใจเสีย แต่ขุนเดชค่อยๆ โผล่ขึ้นมาอีกด้านเกาะขอบเรือ
“พี่อยู่นี่”
“พี่ขุนเดช...เจ็บรึเปล่า”
บัวทองถามอยว่างเป็นห่วง ขุนเดชเอามือกุมหัว
“โชคดีนะที่พี่เป็นพวกหัวแข็ง ไม่งั้นคงได้เป็นผีเฝ้าสระบัวแน่”
“ยังมาพูดเล่นอีก ชั้นไม่สนุกกับพี่ด้วยหรอกนะ พี่ทำชั้นตกใจถ้าชั้นทำให้พี่ตายขึ้นมาล่ะ”
“โธ่เอ้ย...ที่แท้ก็กลัวเดือดร้อน นึกว่ากลัวพี่ตายซะอีก”
“พี่ขุนเดช...คนบ้า ชั้นขอถอนคำพูดทุกอย่างที่เคยพูดชื่นชมพี่”
“แต่บัวทองชื่นชมพี่ไปตั้งหลายเรื่องนะ”
“ตาบ้านี่...ทุกเรื่องเลย...โดยเฉพาะที่ชั้นบอกพี่ไปว่าชั้นดีใจที่พี่ไม่ใช่วีรบุรุษบาป ชั้นจะบอกให้ว่าเพราะอะไร”
“เพราะอะไรเหรอ”
“เพราะวีรบุรุษบาปเขาเป็นสุภาพบุรุษมากกว่าพี่ไง”
บัวทองแกะมือขุนเดชให้ปล่อยมือจากขอบเรือแล้วรีบจ้ำพายเรือกลับฝั่ง ขุนเดชลอยคอมองบัวทองพายเรือไปได้ครู่ เรือโคลงเคลงเพราะบัวทองเอาแต่พายๆ ไม่ทันระวังเรือจึงพลิกคว่ำ บัวทองตกเรือ ขุนเดชรออยู่พักใหญ่ไม่เห็นบัวทองโผล่ขึ้นมาก็แปลกใจ
“บัวทอง...บัวทอง”
ขุนเดชชักใจคอไม่ดีรีบดำผุดดำว่ายหาบัวทองที่จมลงไปในสระ

ขุนเดชอุ้มบัวทองที่หมดสติเพราะจมน้ำขึ้นมาริมตลิ่ง ขุนเดชพยายามเรียกสติบัวทอง
“บัวทอง...บัวทอง”
ขุนเดชไม่เห็นบัวทองรู้สึกตัวเลยตัดสินใจผายปอดให้จนบัวทองสำลักน้ำออกมาและเริ่มหายใจได้เองแต่ยังหมดสติอยู่ ขุนเดชโล่งอกที่บัวทองปลอดภัยเลยจับให้บัวทองนอนหนุนตัก
“บัวทอง...พี่ขอโทษนะที่พี่ทำให้บัวทองต้องเสียใจ”
ขุนเดชปัดไรผมลูบหน้าบัวทองเบาๆ อย่างเป็นห่วงเป็นใย
“พี่มันเป็นคนบาป ไม่คู่ควรกับนางฟ้านางสวรรค์จิตใจงามอย่างบัวทอง แต่พี่สัญญาจนกว่าจะถึงเวลาที่ต้องลงไปชดใช้บาปในนรก พี่จะดูแลรักษาแผ่นดินนี้ไว้ให้บัวทองได้ภูมิใจ...พี่สัญญา”
ขุนเดชค่อยๆ หอมหน้าผากบัวทองอย่างบรรจงแล้วกอดบัวทองเอาไว้ราวกับจะไม่ได้มีโอกาสกอดอีก

แคมป์โบราณคดี ยงยุทธช่วยดาราเอาอาวุธปืนคาบศิลาโบราณที่พวกประดับค้นพบมาตรวจดูระหว่างนั้นอาจารย์ประทีปเข้ามา
“เป็นยังไงบ้างอาจารย์ ทันทีที่ผมได้รับโทรเลขจากอาจารย์ผมก็รีบเดินมาทางเลย”
“นี่ค่ะอาจารย์ วัตถุโบราณที่คนของนายประดับขุดเจอ”
อาจารย์ประทีปรับปืนมาดูพิจารณาอยู่ครู่
“ปืนคาบศิลาลักษณะแบบนี้น่าจะเป็นของอยุธยา”
“ปืนสมัยอยุธยา แล้วทำไมอยู่ที่สุโขทัยนี่ล่ะครับอาจารย์”
“ช่วงปลายของอาณาจักรสุโขทัย เมืองอยุธยาขยายอาณาเขตยึดเมืองรอบๆ สุโขทัยได้ ทำให้เมืองที่ขึ้นกับสุโขทัยที่เหลือยอมสวามิภักษ์ และสุดท้ายสุโขทัยก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของอยุธยา”
“ตอนนั้นเรามีการติดต่อกับต่างชาติมาก อาวุธปืนอย่างตะวันตกถูกนำเข้ามา มีการสอนให้ไพร่พลใช้ปืน ทำปืนและลูกกระสุนเพื่อใช้ในการรบและปราบหัวเมืองที่คิดแข็งเมือง”
ยงยุทธพยักหน้ารับเข้าใจ
“เห็นคุณบอกว่านอกจากจะพบอาวุธปืนแล้ว ยังพบพวกข้าวของเครื่องใช้ที่พวกทหารใช้เดินทัพด้วย”
“งั้นก็พอจะสันนิษฐานเบื้องต้นได้ว่า พื้นที่ที่ขุดพบน่าจะเป็นจุดพักระหว่างเดินทัพทหาร”
“ต้องขอบคุณยงยุทธเขาเลยค่ะอาจารย์ เพราะถ้าไม่ได้เขาเดินเรื่องอายัดพื้นที่ไว้ ป่านนี้สมบัติของชาติทุกชิ้นก็คงต้องตกไปอยู่ในมือพวกโจร”
ยงยุทธยิ้มรับแล้วหยิบปืนคาบศิลาโบราณขึ้นมามองอย่างสงสัย เพราะมีบางอย่างที่ยังติดใจ

บัวทองรู้สึกลุกขึ้นพบว่าตัวเองนอนอยู่ที่ริมตลิ่งมีเสื้อตัวนอกของคุณเดชคลุมตัวเองไว้ ส่วนขุนเดชหายตัวไป
“พี่ขุนเดช...พี่ขุนเดช”
บัวทองพยายามมองหา แต่ไม่เจอแม้แต่เงา บัวทองเอาเสื้อของขุนเดชมามอง มันแทนความห่วงใยที่ขุนเดชมีให้เธอ

กลางคืนขณะที่ยงยุทธก้มหน้าก้มตาซ่อมเครื่องยนต์รถจี๊ปอยู่ที่ลานในบ้านพัก ยงยุทธไขประแจเครื่องยนต์ให้แน่นหนาแล้วหยุดนิ่งสีหน้าครุ่นคิดสงสัยบางอย่างแต่คิดไม่ตก
“สั่งคนของพวกแกให้หยุดเดี๋ยวนี้..ไม่อย่างนั้นชั้นจะสงเคราะห์ให้ไปอยู่ในคุกให้หมด”
“กำนัน...บอกทุกคนให้หยุด”
“แล้วของนั่นล่ะ”
“ไม่ใช่ตอนนี้กำนัน”
ดาราเดินเข้ามาหา
“ยุ่งอยู่รึเปล่า”
ยงยุทธได้ยินเสียงดาราเลยลืมตัวไปว่าก้มหน้าอยู่ใต้ฝากระโปรงรถ รีบร้อนเงยหน้าขึ้นหัวเลยโขก...โป๊ก
“อู้ยยยยยย...เจ็บ” ดาราหลุดขำ “นี่ผมเจ็บจริงๆ นะดารา”
“ไหน...ขอชั้นดูหน่อย” ดาราเข้าไปช่วยดูให้ “โอ้โห...หัวโนเลย เกือบแตกได้เลือดเลยนะเนี่ย”
“จริงเหรอ”
“ล้อเล่น”
“นี่คุณล้อผมเล่นเรื่องแบบนี้เหรอ เดี๋ยวก็จับขังข้อหากลั่นแกล้งเจ้าหน้าที่”
“ก็ลองจับสิ...เธอได้อดมื้อเย็นแน่”
ดาราพูดไปก็ยกปิ่นโตให้ยงยุทธดูว่าที่มาเพราะเอาปิ่นโตมาให้

ยงยุทธตักกับข้าวในปิ่นโตใส่จานข้าวแล้วใส่ปากคำโตเคี้ยวจนแก้มป่องเพราะอร่อยมาก
“เธอนี่เหมือนเดิมเลยนะ เจอกับข้าวถูกปากทีไรกินเหมือนชูชกทุกที”
“คุณก็ลองกินกับข้าวฝีมือเจ๊สาลี่ทุกมื้อดูสิ ลองแค่วันเดียวผักต้มเปล่าๆ ก็อร่อยกว่าแล้ว”
ยงยุทธเคี้ยวข้าวเต็มปากอร่อยสุดฤทธิ์ก่อนจะชะงักกึกเมื่อเคี้ยวเจอบางอย่าง
“เป็นอะไรไป” ดาราถามอย่างสงสัย ยงยุทธหน้าแดงก่ำรีบกลืนของที่อยู่ในปากแล้วหันรีหันขวาง
“น้ำ...น้ำ...น้ำอยู่ไหน” ยงยุทธเห็นเหยือกน้ำก็รีบวิ่งไปยกซดอึกๆๆๆ แต่ก็ยังไม่หายเผ็ดร้อน “น้ำ...น้ำ...”
ยงยุทธวิ่งพรวดพราดออกไป ดาราหยิบกับข้าวในปิ่นโตขึ้นมาแล้วหน้าเสีย

ยงยุทธวิ่งออกมาแล้วตรงรี่ไปที่ตุ่มน้ำใช้กระบวยตักขึ้นมาซดน้ำหลายอึก
“ยงยุทธ...ชั้นขอโทษ ชั้นไม่ตั้งใจจริงๆ ชั้นจำได้ว่าเธอกินเผ็ดไม่ได้ แต่ตอนทำกับข้าวพริกขี้หนูมันคงตกลงไปในผัดผัก”
ยงยุทธลิ้นห้อยหน้าแดง
“แต่มันไม่ใช่เม็ดเดียวนะที่ผมเคี้ยวโดน”
ดารามีสีหน้าสำนึกผิดมากๆ
“จ้ะ...มันหล่นลงไปทั้งตระกร้าเลย”
“หา”
ยงยุทธหน้าเสียยังไม่หายเผ็ดร้อนปาก เลยยกตุ่มน้ำขึ้นซดโฮกๆๆๆ

ในแคมป์โบราณคดีขณะอาจารย์ประทีปยังนั่งทำงานเอาปืนคาบศิลาที่ถูกขุดพบมาส่องแว่นขยายดู จดบันทึกทำรายละเอียด
“มีอะไรให้ผมช่วยมั้ยครับอาจารย์” ขุนเดชถามเมื่อเดินเข้ามา
“ขุนเดช...มาก็ดี ช่วยดูปืนคาบศิลาพวกนี้ให้ชั้นหน่อยสิ” ขุนเดชรับแว่นขยายมาส่องดูที่รางปืนพิจารณาอยู่ครู่
“คิดเหมือนชั้นมั้ยว่าปืนที่พบ ไม่ใช่ปืนของพวกทหารฝรั่งที่ถูกจ้างให้มาช่วยการศึกในสมัยอยุธยา”
“ครับอาจารย์ไม่มีตราสัญลักษณ์ของพวกทหารฝรั่ง ถ้าอย่างนั้นก็เป็นไปได้ว่าเป็นฝีมือของช่างสยาม”
“สมบัติพวกนี้มีค่ามาก แสดงถึงภูมิปัญญาของชนชาติเรา ถึงแม้จะรับวัฒนธรรมมาจากตะวันตก แต่เราก็มีความรู้ความสามารถทัดเทียมกับพวกเขา ดูสิ...ทั้งละเอียดและสวยงามมาก”
“เท่าที่ดูจากข้าวของเครื่องใช้เดินทัพที่ขุดพบมีแค่ไม่กี่ชิ้น อาวุธพวกนี้น่าจะเป็นกองทหารสอดแนมไม่ใช่ทัพ
หน้า” ขุนเดชพูดไปก็หยิบดาบโบราณที่ขุดพบพร้อมกันขึ้นมาดูแล้วยื่นให้อาจารย์ประทีปช่วยดูด้วย “อาจารย์เห็นมั้ยครับ คมดาบพวกนี้บิ่นเพราะผ่านการต่อสู้มาอย่างหนัก เป็นไปได้ว่ากองทหารกลุ่มนี้คงจะโดนข้าศึกไล่ล่าจนเหลือน้อยเต็มที ทำให้ต้องหนีมาซ่อนตัวในพื้นที่ที่เราขุดพบ”
อาจารย์ประทีปฟังขุนเดชวิเคราะห์แล้วถือไปป์ไปยืนสีหน้าครุ่นคิด จุดไม้ขีดกำลังจะจุดไปป์สูบแต่นึกบางอย่างขึ้นมาได้ เลยรีบดับไม้ขีดแล้วหันมาบอกขุนเดช
“มีตำนานอยู่เรื่องหนึ่งที่ชั้นเคยได้ยินมา เกี่ยวกับกองทหารที่หายไปอย่างลึกลับ”
“ตำนาน”

ที่คฤหาสน์ของปราชญ์ ปราชญ์หันหน้ามาด้วยสีหน้าไม่พอใจและต่อว่าประดับทันที
“ว่าไงนะ นี่แกปล่อยให้ไอ้พวกนั้นไล่แกออกมาเหรอ”
“ไอ้หมวดยงยุทธมันหัวหมอ มันเดินเรื่องจนทำให้ผมต้องยอมถอย”
“แต่ปืนคาบศิลาเหล็กไหลน่าจะยังอยู่ในบริเวณนั้น ถ้าพวกนักโบราณคดีไปขุดพบเข้าโอกาสที่ชั้นจะได้มาทำพิธีก็คงลำบาก แกเข้าใจมั้ย”
“ครับท่าน”
ปราชญ์ไม่พอใจเข้าไปตบหน้าประดับจนหน้าหัน...เพี๊ยะ
“ตอบดังๆ”
“ครับท่าน ผมจะหาทางเอาปืนคาบศิลาเหล็กไหลมาให้ท่าน”
“ไอ้เรื่องวีรบุรุษบาปนั่นด้วย อย่าพลาดให้มันบ่อยนัก ข่าวของมันเริ่มลือออกมาจากสุโขทัยแล้ว ถ้าพวกนักข่าวรู้เรื่องตีข่าวมันใหญ่โต มันอาจจะพาหายนะมาให้ชั้นได้”
“ครับท่าน”
ระหว่างนั้นคุณหญิงที่แต่งตัวในชุดราตรีเกาะอกเตรียมตัวไปออกงานเข้ามาตามปราชญ์
“ยังไม่เสร็จธุระอีกเหรอคะคุณ งานนี้ชั้นเป็นประธานนะคะ ถ้าชั้นไปเปิดงานสายแล้วใครจะเชื่อถือชั้นอีก”ปราชญ์ไม่สนใจคำโวยวายของคุณหญิงหันไปหยิบวัตถุโบราณที่ชื่นชอบขึ้นมาดูซะงั้น “คุณ...ได้ยินที่ชั้นพูดรึเปล่า”
“ประดับ...ออกไปได้แล้ว”
ประดับเดินออกไปทิ้งให้สองผัวเมียที่มีท่าทางมึนตึงอยู่ด้วยกัน


ประดับเดินออกมานอกห้องยังเจ็บใจปราชญ์ไม่หาย มือจับแก้มที่โดนตบหน้าเข้าไปฉาดใหญ่
“ไอ้แก่บ้าอำนาจเอ้ย...ชั้นจะอดทนกับแกจนถึงวันที่ชั้นพร้อมล้มแกเท่านั้น”
ประดับพูดไม่ทันขาดคำเสียงแจกันแตกในห้องเก็บวัตถุโบราณก็ดังออกมา ประดับหันไปมองเหตุการณ์ ทะเลาะกันของปราชญ์กับคุณหญิงในห้องจากประตูที่เปิดแง้มเอาไว้
“นี่คุณหญิงทำอะไร รู้มั้ยว่าแจกันใบนั้นมันมีค่าเท่าไหร่”
“จะกี่สิบล้านหรือเป็นร้อยล้านชั้นก็ไม่สน เพราะมันไม่ได้มีค่ามากกว่าชั้นที่เป็นเมียคุณ”
ปราชญ์โกรธจัดเข้าไปตบหน้าคุณหญิง...เพี๊ยะ คุณหญิงหน้าหันเลือดกบปาก
“อีกไม่นาน ชั้นจะเป็นมหาบุรุษที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เพราะฉะนั้นถ้าเธอยังอยากมีค่าสำหรับชั้นอยู่ ก็จำใส่หัวเอาไว้...อย่ามาแตะต้องของของชั้นอีก”
ปราชญ์ขู่จริงจัง คุณหญิงเจ็บใจน้ำตาไหลนองหน้า ประดับยืนมองแล้วสีหน้าครุ่นคิด

ที่แคมป์โบราณคดี ขุนเดชมีสีหน้าสงสัยเมื่ออาจารย์ประทีปเล่าให้ฟัง
“ปืนคาบศิลาเหล็กไหลเหรอครับอาจารย์”
“สมัยที่ผมยังตระเวนบูรณะโบราณสถานกับอาจารย์ก้องเกียรติ มีคนเฒ่าคนแก่เล่าให้ฟังว่า กองทหารที่ถูกส่งไปลาดตระเวนถูกพวกทหารฝั่งตรงข้ามโจมตีจนต้องหนีไปซ่อนตัวอยู่ในป่า พวกทหารที่บาดเจ็บก็ทยอยล้มตาย อาวุธที่ใช้ต่อสู้ก็บิ่นหักจนเหลือเพียงแค่ปืนไม่กี่กระบอกและกระสุนอีกไม่กี่นัด”
“สถานการณ์แบบนั้นมีทางเลือกแค่สองทาง คือยอมเป็นเชลยกับสู้ตายถวายหัว”
“ใช่..เหมือนโชคจะเข้าข้าง มีการพบเหล็กไหลระหว่างการเตรียมตัวสู้ตายในกลุ่มทหารที่เหลือรอดมีช่างทำปืนอยู่ด้วย เลยใช้เหล็กไหลมาทำปืนและกระสุน ลงอาคมเรียกว่า ปืนคาบศิลาเหล็กไหล ว่ากันว่าผู้ที่โดนยิงด้วยกระสุนเหล็กไหล อาถรรพ์จะทำให้วิญญาณไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด เป็นผีโหงพรายทนทุกทรมานไปชั่วกัปชั่วกัลป์”
ขุนเดชนิ่งไปสีหน้าครุ่นคิด
“เหล็กไหล”
“มันก็เป็นตำนานที่เล่าขานกันมาเกี่ยวกับเหล็กไหล เรื่องลี้ลับที่ยังมีคนพยายามพิสูจน์ ถึงความศักดิ์สิทธิ์และต้องการครอบครองมัน”
“ครับอาจารย์ แต่ของดีต้องอยู่กับคนดีจึงดีเลิศ คนไม่ดีถึงจะได้ครอบครองของดี ก็มีอยู่ได้ไม่นาน และจะนำพาหายนะไปสู่มัน”
ขุนเดชพูดไปแววตาก็ดูขึงขังจริงจังขึ้นมา

คุณหญิงยังอยู่ในชุดราตรีเปิดไหล่เห็นร่องอก เธอเจ็บปวดเสียใจจึงเอาไวน์มาเทดื่มเหมือนกับกินน้ำเปล่าจนเริ่มเมา ประดับเข้ามายืนมองด้วยสีหน้าครุ่นคิดบางอย่างแล้วทำทีเข้าไปห้าม
“อย่าดื่มต่อเลยนะครับคุณหญิง”
“อย่ามาห้ามชั้น”
“ท่านกำชับให้ผมดูแลคุณหญิง เพราะท่านต้องไปราชการหลายวัน”
“เห็นมั้ย...มันตบหน้าชั้นแล้วมันก็หายหัว คนอย่างมันวันๆ เอาแต่ลูบๆ คลำๆ ไอ้เศษอิฐ เศษดินเก่าๆ แต่ชั้นสิ...เป็นเมีย มันแท้ๆ แต่มันไม่เคยแม้แต่จะกอดชั้นเลย” คุณหญิงกระดกแก้วไวน์เข้าปากแล้วเริ่มร้องไห้ฟูมฟาย “อยู่กับมันแล้วชั้นไม่มีความสุข...ชั้นเหงา...เธอรู้มั้ยประดับชั้นเหงา”
คุณหญิงร้องไห้ไปแล้วก็ซบหน้าลงที่แผ่นอกประดับ ประดับโอบไหล่แล้วมองไหล่เปลือยเปล่าด้วยสายตาเจ้าเล่ห์
“เอ่อ...คุณหญิงครับ...ผมว่าคุณหญิงเริ่มเมาแล้ว ผมพาคุณหญิงไปนอนดีกว่า”
ประดับทำทีค่อยๆ พยุงคุณหญิงอย่างเป็นห่วงเป็นใย คุณหญิงมองประดับด้วยแววตาประทับใจ

ประดับประคองคุณหญิงเข้ามานอนในห้อง แต่คุณหญิงกลับคว้ามือประดับเอาไว้
“อย่าเพิ่งไปสิประดับ...คืนนี้บ้านหลังนี้มันเงียบเหลือเกิน ยัยปาก็ไปเที่ยวกับเพื่อน”
“แต่ว่า”
คุณหญิงโน้มประดับเข้ามาใกล้ๆ
“ประดับ...ก็มีแต่เธอเท่านั้นแหละ ที่ช่วยดูแลชั้นกับลูกสาว เธอช่างดีกับเราเหลือเกิน”
คุณหญิงกับประดับสบตากัน ไฟราคะลุกโหมกระหน่ำ คุณหญิงดึงประดับมากอดจูบอย่างดุเดือดทันที
ประดับโน้มตัวลงไปบนเตียงกับคุณหญิง ที่หัวเตียงมีกรอบรูปปราชญ์มือคุณหญิงเอื้อมไปคว้ากรอบรูปแล้วปาทิ้งแตกกระจาย..เพล้ง

วันต่อมายงยุทธลุกขึ้นจากเตียงนอนด้วยอาการมึนๆ หัว รู้สึกว่าจำอะไรไม่ค่อยได้ ลุกเดินไปหยิบเสื้อเชิ้ตที่แขวนพาดอยู่มาสวมแล้วมองออกไปนอกหน้าต่างเห็นดารากำลังตากเสื้อผ้าและผ้าปูที่นอนให้เขาอยู่ที่ลานตาก
ยงยุทธสีหน้าแปลกใจสงสัย

ดาราตากผ้าเสร็จพอดีหันมาเจอยงยุทธ
“อ้าว...ตื่นแล้วเหรอ” ยงยุทธมองดารางงๆ ไม่เข้าใจ ดาราเลยอธิบายให้ฟัง “เมื่อคืนอาการแพ้ของเธอหนักไม่ใช่เล่น พอชั้นเอายาแก้แพ้ให้กิน เธอก็หมดสติไม่รู้เรื่องเลย”
“อ๋อ...ผมนึกออกแล้ว...งั้น...คุณก็ไม่ได้ทำอะไรผมใช่มั้ย”
“ทำ...ทำอะไร” ดารานึกได้ “ตาบ้า!...ทะลึ่ง ชั้นเห็นบ้านเธอทั้งรกทั้งสกปรก เสื้อผ้าก็กองไว้ไม่เคยซัก ผ้าปูที่นอนก็ไม่เคยเปลี่ยน ชั้นเลยช่วยจัดการให้ แต่ในเมื่อเธอมาคิดทะลึ่งตึงตังกับชั้นแบบนี้ล่ะก็...ทำเองแล้วกัน”
ดาราปาเสื้อผ้าในตระกร้าใส่หน้ายงยุทธแล้วรีบเดินออกไป ยงยุทธรีบตามไปขอโทษ
“เดี๋ยวสิดารา...ผมล้อเล่น ผมขอโทษ”
ดาราไม่สนใจเดินไปที่กะละมังซักผ้าแล้วหยิบสายยางขึ้นมาฉีดน้ำใส่ยงยุทธทันที
“นี่แน๊ะ ปากเสียนักใช่มั้ย”
“ไม่เอานะดารา ผมเปียกไปหมดแล้ว”
“สมน้ำหน้า นี่แน๊ะๆๆ”
ดาราฉีดน้ำใส่ไม่หยุด ยงยุทธวิ่งหลบแล้วไปคว้าสายยางอีกอันมาฉีดใส่เอาคืน สองคนเปิดฉากฉีดน้ำใส่กัน ระหว่างนั้นจ่าแท่นเข้ามาเห็นอดแซวไม่ได้
“แหม...เล่นกันน่ารักจังเลยนะครับ...เหมือนคู่แต่งงานข้าวใหม่ปลามันเลย”
ดารากับยงยุทธชะงักคำแซวของจ่าแท่น หันขวับมาพร้อมกันน้ำจากสายยางเลยฉีดเข้าหน้าจ่าแท่นเต็มๆ

กำนันบุญอ่านโทรเลขที่เพิ่งได้มา ผการีบถาม
“ประดับโทรเลขมาว่ายังไงคะกำนัน”
“สั่งให้ผมเริ่มทำตามแผนที่คุยกันไว้”
“แล้วประดับบอกรึเปล่าว่าจะกลับมาสุโขทัยวันไหน”
“เปล่า”
“คนบ้า...ชั้นไม่ใช่ของเก่าเก็บนะ นึกจะทิ้งก็ทิ้ง นึกจะหยิบใช้เมื่อไหร่ก็ได้”
ผกาหงุดหงิดหัวเสีย กำนันบุญยิ้มชอบใจแล้วเข้าไปปากหวานใส่
“แต่สำหรับชั้นไม่เคยมองว่าเธอเป็นของเก่าของใครนะ”
ผกาหันมามองตากำนันบุญ
“ถ้ากำนันคิดว่าสุภาษิตน้ำหยดลงบนหินทุกวัน ยังไงหินก็ต้อง กร่อนล่ะก็...คำหวานของกำนันใช้กับชั้นไม่ได้หรอก”
“ใครว่าชั้นปากหวานอย่างเดียว...” กำนันบุญชูสร้อยคอทองคำขึ้นมาให้ดู “เรื่องเอาใจผู้หญิงชั้นไม่เป็นสองรองใครหรอก”
ผกามองสร้อยทองคำในมือกำนันบุญที่แกว่งไปมาอย่างสนใจ
จบตอนที่ 7
ติดตามอ่านขุนเดช ตอนต่อไปพรุ่งนี้



กำลังโหลดความคิดเห็น