ขุนศึก ตอนที่ ๗
บนบ้านของแต้ม จำเรียงกำลังทำแผลให้สมบุญ ในขณะที่สินก็กำลังเอายาแก้ช้ำในให้แต้ม ส่วนเอื้อยแตงทายาให้แต้ม โดยมีเสมายืนหน้าเคร่งเครียดอยู่ใกล้ๆ
“นับว่าเอ็งยังไม่ถึงฆาตถึงได้มีคนมาสั่งให้ข้าตีดาบยามดึก ข้าเลยตามมาบอกเอื้อยแตงให้หาเหล็ก มิเช่นนั้น เอ็งคงไม่รอดแล้วอ้ายสมบุญ”
“หากเป็นโจรทั่วไปคงไม่พอมือฉันดอกพี่เสมา แต่นี่เป็นอ้ายขันปลอมตัวมาเป็นแน่”
“ถ้ากระนั้นอ้ายคนที่สู้กับข้าก็คงเป็นอ้ายพุฒ เสียดายนัก น่าจะตามไปจับเป็นมันกลับมา”
“หากเป็นหมื่นชาญณรงค์กับหมื่นทรงเดชะ เหตุใดไม่แจ้งนครบาลมาจับตัวฉันเล่า ต้องปลอมเป็นโจรไปเพื่อกระไร”
“ก็เพราะมันหมายจะย่ำยีฉันกับแม่จำเรียงน่ะซี จึงปลอมเป็นโจรมาฉุดเราสองคนไป” เอื้อยแตงว่า
“มันคงแค้น ที่ข้าบุกไปถึงเรือนมันช่วยจำเรียงออกมา แลเอ็งยังให้ที่พักพิงแก่จำเรียงอีก มันจึงไม่แจ้งนครบาลแต่แสร้งปลอมเป็นโจรมา”
แต้มพาลโมโห
“เพราะเอ็งแท้ๆเทียวอ้ายเสมา หาเรื่องเดือดร้อนมาให้ข้า ข้ากับลูกเกือบต้องกลายเป็นผีเพราะเอ็งแล้ว”
เสมา และจำเรียงหน้าเสียไปทันที
“พ่อ เหตุใดพูดเช่นนี้เล่า” เอื้อยแตงพูดขึ้น
“รึไม่จริง หากไม่ใช่เพราะอ้ายเสมาชิงตัวนังจำเรียงมาอยู่ที่นี่ ข้ากับเอ็งจักโดนเช่นนี้รึ ฟ้าสางเมื่อใด เอ็งพาน้องเอ็งไปอยู่ที่อื่นเถิด ข้าไม่อยากรับเคราะห์อีก”
แต้มเดินหงุดหงิดกลับเข้าข้างในไป ทุกคนพากันหน้าเสียไปหมด เสมาหนักใจ ไม่อยากให้คนอื่นต้องเดือดร้อน แต่ถึงอย่างไรจะให้ทิ้งจำเรียงได้อย่างไร
ตอนเช้าตรู่ เสมา สิน และสมบุญในชุดทหารกำลังคุยกับจำเรียงอยู่ที่หน้ากระท่อมของสมบุญ โดยจำเรียงกำลังช่วยกวาดถูกระท่อมไปคุยกับพวกเสมาไป
“เอ็งอยู่ที่นี่ไปก่อน มีโอกาสเมื่อใด ข้าจะพาเอ็งไปหลบที่หัวเมือง อย่างน้อยข้าก็เป็นแม่กองอาสาเมืองวิเศษไชยชาญพอจักมีผู้คนเมตตาข้าอยู่บ้างดอก” เสมาบอก
“ขอบพระคุณจ้ะพี่เสมา แต่ถ้าต้องไปหลบถึงหัวเมือง ฉันก็ห่วงพ่อกับแม่นักฝากพี่ดูแลพ่อแม่ด้วยเถิด”
“จะต้องฝากไปไย ข้าก็ลูกเหมือนกันเอ็งไม่ต้องห่วงดอก หากข้าไม่อยู่เอื้อยแตงก็ช่วยดูแลเอง”
จำเรียงยิ้มรับ ใจชื้นขึ้นเยอะ สมบุญยิ้มกรุ้มกริ่ม
“แม่จำเรียงจ๊ะ ฉันจักไปฝึกก่อน เสร็จเมื่อใดจะกลับมาอยู่เป็นเพื่อนนะจ๊ะ”
จำเรียงเขินอาย หลบสายตาสมบุญ เสมากระแอมด้วยความหวงน้อง
“อ้ายสมบุญเอ็งกับอ้ายสินไปค้างที่วัดพุทไธสวรรย์เถิด ข้าจะอยู่กับจำเรียงเอง”
สมบุญจ๋อยสนิท สินหัวเราะเยาะ
“สมน้ำมะหน้า”
“ไปเถิด ได้เพลาแล้ว ประเดี๋ยวจะสาย” เสมาบอก
เสมาเดินนำสิน และสมบุญไป
“อีกประเดี๋ยวก็ต้องเจอหน้าอ้ายขันอ้ายพุฒอีก ฉันยังเจ็บใจมันไม่หาย หากอดใจไม่อยู่ พี่ไปเยี่ยมฉันในคุกด้วยนาพี่เสมา” สินว่า
“ไม่ต้องถึงขั้นนั้นดอก พวกมันข่มเหงข้ากับน้องหลายครั้งหลายครา แล้วยังต้องติดคุกเพราะมันอีกรึ ข้าจะแก้แค้นพวกมันโดยมิต้องออกแรงเอง”
เสมาสายตาแข็งกร้าวเอาจริง ทว่าสีหน้าเจ้าเล่ห์อย่างมีแผนการ
เสมา สิน และสมบุญ กำลังเดินตรวจการฝึกทหารแต่ละหมู่อยู่ … ทหารจำนวนมากกำลังฝึกฝนอยู่เป็นหมู่เหล่า ทั้งดาบดั้ง ดาบโล่ห์ ดาบสองมือ กระบี่ทวน กระบอง ไปจนถึงมวยไทย ฯลฯ แต่ละหมู่เป็นระเบียบเรียบร้อย พร้อมเพรียงกัน ขุนรามเดชะ พันอิน ขัน และพุฒที่เดินกะเผลกเข้ามาหา เสมาเดินเข้าไปไหว้ขุนราม และพันอิน
“ฉันไหว้จ้ะพระคุณ พ่อพันอิน”
ขุนรามเดชะ และพันอิน รับไหว้อย่างเสียไม่ได้
ฃเสมาหันไปพูดกับขันและพุฒ
“หมื่นชาญ หมื่นทรง เหตุใดหน้าตาฟกช้ำเช่นนั้นเล่า”
ขันรู้ว่าเสมาจงใจเย้ย
“ฉันฝึกซ้อมฝีมือหนัก จึงได้แผลมาบ้างแปลกกระไรรึ”
“ไม่แปลกดอก แต่ถึงหมื่นชาญจักฝึกหนัก ก็ไม่ควรมาสาย เช่นนี้ ฉันจะลงโทษให้ยืนตากแดดสักครึ่งชั่วยาม มิให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่ผู้อื่น”
พุฒโมโหแล้วพูดขึ้น
“มากไปหล่ะเหวยขุนศึกไชยชาญ อาศัยอำนาจกระไรจะมาลงโทษพวกข้า”
“พอปะหน้าก็หาเรื่องเช่นนี้ จะไม่พาลไปหน่อยรึเสมา” พันอินพูดด้วยความไม่พอใจ
“ฉันไม่ได้หาเรื่องเลยจ้ะพ่อพันอิน แต่หัวหมื่นทั้งสองมาสายจริง ตามอาญาต้องลงโทษ”
ขันเข้าไปผลักอกเสมาพลางว่า
“เอ็งไม่ต้องมาอ้างอาญา คิดว่าข้ากลัวรึ หากจะลงโทษพวกข้าก็ถอดดาบออกมา”
เข้าตามแผนของเสมา
“กล้าทำร้ายข้ารึ ทหาร จับอ้ายหัวหมื่นทั้งสองไปประหารเสีย” เสมาสั่งเสียงดัง
พวกทหารที่ได้ยินคำสั่งก็กรูเข้ามาล้อมทั้งสี่คนไว้
“โอหังนักอ้ายเสมา มึงก็ขุน กูก็ขุน ใครเล่าจะยอมให้มึงตัดหัวเล่นง่ายๆ มึงเข้ามา” ขุนรามเดชะบอกพลางชักดาบออกทันที
สมบุญหยิบตราตั้งของเสมาออกมาชูขึ้น
“ขุนศึกไชยชาญ เป็นแม่กองฝึกแลตรวจตราทหาร มีอำนาจเด็ดขาดในที่นี้ ผู้ใดทำร้ายท่านแม่กอง มีโทษประหารสถานเดียว”
พวกขุนรามเดชะ ต่างตกใจหน้าซีดเผือดที่เสมาเป็นแม่กองคุมการฝึก
“แม่กองมิใช่หลวงพิชัยดอกรึ” พันอินหน้าเสียแล้วถามขึ้น
สินกระหยิ่มยิ้มย่องแล้วบอก
“หลวงพิชัยเจ็บป่วยได้ไข้ พี่ขุนศึกจึงได้เป็นแม่กองแทน พ่อพันอินเป็นทหารมานาน คงรู้กระมัง ว่าเพลาฝึกปรือทหาร แม่กองผู้ควบคุมถืออาญาเด็ดขาด เสมือนแม่ทัพนายกองในเพลาศึกห้ามมิให้ผู้ใดล่วงเกิน”
ขัน พุฒ ขุนราม และพันอินต่างตกใจหน้าถอดสี เข้าตาจนแบบคิดไม่ถึง ขณะนั้นเอง พระยาศรีไสยณรงค์ก็เดินเข้ามาถึง
“มีกระไรรึ ออกขุนศึกไชยชาญ”
เสมายิ้มเจ้าเล่ห์เมื่อเห็นพระยาศรีไสยณรงค์เข้ามาอีกคน คราวนี้พวกขันโดนหนักแน่
พระยาศรีไสยณรงค์ (ทหารเอกสมเด็จพระนเรศวรเช่นเดียวกับพระราชมนู) กำลังนั่งหน้าเครียดตัดสินคดี โดยมีเสมา สิน และสมบุญนั่งฝั่งหนึ่ง อีกฝั่งเป็นพวกขัน พุฒ ขุนราม และพันอิน
“ผิดนี้หนักนัก ขุนรามเดชะ ท่านเป็นผู้ใหญ่ เหตุใดจึงให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้”
“ข้าพระเจ้าผิดไปแล้ว เหตุเกิดเพียงเพราะสองหัวหมื่นมาฝึกสาย แลไม่รู้ว่าขุนศึกไชยชาญเป็นแม่กองจึงได้ล่วงเกินไป ขอท่านออกญาเมตตาด้วยเถิดขอรับ” ขุนรามเดชะว่า
“ข้าช่วยท่านไม่ได้ดอก เรื่องนี้อยู่ในอำนาจขุนศึกไชยชาญ แม้ข้าจะเป็นพระยาก็ไม่อาจก้าวล่วงได้”
ขุนรามเดชะเครียดหนัก เสมาไหว้พระยาศรีไสยณรงค์
“พระคุณขุนรามแลพ่อพันอิน หาได้รู้เห็นเกี่ยวข้องด้วยไม่ มีเพียงสองหมื่นนี้เท่านั้นที่ผิดอาญาขอรับ”
ขุนราม และพันอินหันมาสบตากัน คิดไม่ถึงว่าเสมาจะช่วยตน ขุนรามเดชะพูดหน้านิ่ง
“ขอบน้ำใจขุนศึกหนักหนา ครานี้ฉันผิดจริง ไม่มีกระไรโต้แย้งเมื่อออกขุนไม่เอาโทษ ก็ขอให้ออกขุนจำเริญเถิด”
พุฒไม่พอใจที่ขุนรามเดชะพูดจาดีกับเสมา
“เหตุใดพระคุณขุนรามพูดเช่นนี้เล่าหรือพระคุณจะเอาตัวรอดแต่ฝ่ายเดียว”
ขุนรามเดชะหน้าตึงไม่พอใจขึ้นมาทันที เช่นเดียวกับพันอินก็ไม่พอใจพุฒเช่นกัน
“เจรจาเช่นนี้ก็ผิดแล้วหมื่นทรง ธรรมดาเมื่อผิดแล้วก็ควรยอมรับเสีย จะดื้อดึงไปไย แต่ผิดของสองหัวหมื่นเกิดแต่การไม่รู้ความ ขอให้ขุนศึกเห็นแก่พ่อ อย่าเอาโทษหนักเลย” พันอินพูดขึ้น
“เช่นนั้นฉันก็ขอด้วยอีกคน คราศึกละแวกสองหมื่นนี้ก็ฝากฝีมือไว้จะฆ่าก็เสียดายฝีมือ ขอออกขุนเมตตา เก็บไว้ใช้ฉลองพระเดชพระคุณแก่แผ่นดินเถิด” พระยาศรีไสยณรงค์กล่าว
เสมายกมือไหว้
“เมื่อพ่อท่านกับออกญาขอ ไหนเลยข้าพระเจ้าจักขัดได้ เพียงหัวหมื่นทั้งสองขอขมา โทษอื่นก็แล้วกันไปเถิด”
“จะให้กูขมามึงรึ อ้ายช่างตี...” ขันว่า
“อย่าดื้อเกินไปนัก เราพูดจาขอไว้ก็โดยเมตตาหมื่นเจ้า แต่หากดื้อมิขมา จักยอมรับอาญานั้นก็สุดแต่หัวใจหมื่นเถิด” พระยาศรีไสยณรงค์พูดสวนขึ้น
ขัน และพุฒขบกรามแน่นจนขึ้นสัน แค้นสุดๆแต่ยังดีกว่าตาย ในที่สุดก็เลยยอมคุกเข่าลงต่อหน้าเสมา ขันกับพุฒยกมือไหว้เสมา แล้วหันไปมองหน้ากันก่อนจะกลั้นใจพูด
“ข้าพระเจ้าขอขมาออกขุนท่าน”
สิน และสมบุญ สบตากัน สะใจสุดๆแต่ต้องอดทนไว้ไม่เยาะเย้ยต่อหน้าพระยาศรีไสยณรงค์
“เช่นนั้น ฉันก็อภัยให้” เสมายิ้มบางรับไหว้
ขันและพุฒรีบลุกขึ้นด้วยความเจ็บแค้นใจเป็นที่สุด เสมาแอบอมยิ้มสะใจอยู่ในทีที่ได้แก้แค้นเอาคืนขันและพุฒได้
ทหารจำนวนมากกำลังจับคู่กันซ้อมตามความถนัดของตนอยู่ เสมา สินและสมบุญกำลังเดินพูดคุยกันมา
“ ไม่รู้มาก่อน ว่าอ้ายขันอ้ายพุฒจะไหว้สวยเช่นนี้ เสียดายนักที่คงไม่ได้เห็นเช่นนี้อีกแล้ว” สมบุญว่า
“แต่ข้ากลับเสียดายที่มันไม่โดนโทษมากกว่า น้ำมะหน้าอย่างพวกมันน่าจะกุดหัวทิ้งนัก” สินบอก
เสมายิ้มบางๆพลางกล่าว
“ ไม่ได้ดอกเช่นที่ออกญาท่านพูด เพลานี้บ้านเมืองต้องการกำลังจะถือแก่อาฆาต แล้วทำให้บ้านเมืองต้องเสียคนมีฝีมือไปก็หาควรไม่”
“เช่นนั้นก็ถือว่าอ้ายขันอ้ายพุฒยังมีบุญเก่าคุ้มหัว ครานี้ก็ถือว่าล้างอายให้แม่เอื้อยแตงกับแม่จำเรียงเถิด” สมบุญว่า
“ถ้ากระนั้น เห็นทีข้าต้องไปเล่าให้แม่เอื้อยแตงฟังเสียแล้ว ว่าอ้ายขันอ้ายพุฒ มันไหว้สวยปานใด” สินพูดขึ้น
สมบุญกับสินหัวเราะอย่างสาแก่ใจที่พวกขันกับพุฒต้องไหว้ขอโทษเสมา เสมา ยิ้มบางๆถือว่าเอาคืนพอหอมปากหอมคอ
ยามบ่ายที่บ้าน พุฒโมโหกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนต้องระบายอารมณ์ปาจอกเหล้าไม้จอกหนึ่งใส่พวกทาสหญิงจนกรีดร้องวิ่งหลบกันกระเจิง ขันนั่งหน้าเครียดอยู่ใกล้ๆ
“ ไปเอาสุรามาให้กูอีก หากชักช้า กูจะเฆี่ยนพวกมึงให้หลังขาดเทียว” พุฒสั่ง
พวกทาสรีบวิ่งลงเรือนไปด้วยความหวาดกลัว
“ อ้ายเสมา หากชาตินี้กูไม่ได้บั่นคอมึงกับมือ อย่ามาเรียกกูว่าอ้ายขัน”
“ต้องมีสักวันเป็นทีของเราแน่ แต่เพลานี้ คนที่วางใจไม่ได้คือขุนรามเดชะเสียมากกว่า”
“ท่านอาน่ะรึ เหตุใดกัน”
“หมื่นชาญไม่เห็นหรือว่าขุนรามเจรจาเอาตัวรอด เพียงอ้ายเสมาไม่เอาโทษก็เปลี่ยนท่าทีไปดีกับมัน คนเช่นนี้ยังจะไว้ใจได้อยู่อีกรึ”
ขันคิดตามจนเริ่มไม่พอใจเหมือนกัน
“แล้วหมื่นทรงจะให้ฉันทำเช่นไร ในเมื่อฉันหมายปองลูกสาวของขุนรามเดชะอยู่ แม้พ่อจักไม่ดี ก็มีแต่ต้องเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เสีย”
พุฒฉายสีหน้าเจ้าเล่ห์แล้วบอก
“ถ้าหากกำจัดขุนรามเดชะเสีย บางทีท่านจะได้แม่หญิงเรไรมาครองเร็วขึ้น”
“นี่จะให้ฉัน...” ขันตกใจ
“ลองตรองดูเถิด ไม่มีขุนรามเดชะสักคน แม่น้าลำภูย่อมต้องเร่งยกแม่หญิงเรไรให้ท่านเป็นแน่ ด้วยไม่มีชายเป็นหลักแก่เรือน แต่หากขุนรามยังอยู่ แล้วเกิดเห็นแก่ความรุ่งเรืองของอ้ายเสมาจนแปรพักตร์ไปเล่า ท่านจะไม่เสียแม่หญิงไปรึ” พุฒพูดสวนขึ้น
ขันหน้าเสียได้แต่อึกอักพูดไม่ออก จะต้องฆ่าขุนรามเดชะเลยหรือนี่ !!?
ดวงแขกำลังคุยกับขันด้วยสีหน้าเคร่งเครียดที่ศาลาท่าน้ำตอนหัวค่ำ ดวงแขโมโหมากที่พุฒแนะนำขันเช่นนี้
“แนะกระไรเช่นนี้ หัวใจช่างต่ำช้านัก พี่ขันอย่าได้ไปหลงคำเลยเชียว”
“ไม่ต้องห่วงดอก ท่านอาเป็นสหายรักกับพ่อท่าน พี่จะทำได้อย่างไร”
ดวงแขซึ่งเกลียดพุฒเป็นทุนอยู่แล้วก็เกลียดหนักเข้าไปอีก
“ หมื่นทรงผู้นี้เป็นคนพาลไม่ควรคบหา พี่ขันจงตัดเสียเถิดจะได้ไม่ชักนำเภทภัยมาให้ภายหน้า”
“พี่ยังต้องพึ่งพาเค้าอยู่มาก จะให้ตัดขาดทีเดียวคงไม่ได้”
“แต่หมื่นทรงผู้นี้... เคยกระทำชั่วลวนลามน้อง”
ดวงแขตัดใจพูดจนขันตกใจ
“จริงรึ”
“เรื่องเช่นนี้น้องไม่กล้าปดดอก ดีแต่ว่าเพลานั้นจำเรียงช่วยน้องไว้ เมื่อพี่ขันจะข่มเหงจำเรียง น้องถึงไม่ใคร่สบายใจ แต่จะพูดก็เกรงเสื่อมเสีย จึงต้องปล่อยเลยไป”
“อ้ายพุฒ ข้ารับปากแล้ว เหตุใดยังทำเช่นนี้อีก”
“รับปากกระไรรึ”
ขันหน้าเสียที่พลั้งปากเลยจำต้องยอมรับ
“อ้ายพุฒเคยแย้มพรายว่าชอบพอแม่ดวงแข พี่เลยรับปากว่าจักช่วยเหลือ แต่มีข้อแม้ให้ช่วยพี่ได้แต่งกับแม่หญิงเรไรเสียก่อน”
“มิน่าเล่า หมื่นทรงถึงกล้าหยามน้องเช่นนี้ นี่เพื่อแม่เรไรแล้ว พี่ขันถึงกับเอาน้องเป็นเหยื่อล่อเชียวรึ”
“พี่เพียงแต่อุบายหลอกมันเท่านั้นดอก ใครจะยกแม่ดวงแขให้คนเช่นอ้ายพุฒได้เล่า”
“หากพี่ละความเจ้าชู้ ตั้งใจรับราชการ แม่เรไรย่อมชอบพอพี่เอง หาต้องพึ่งอุบายใดไม่”
“ถึงพี่เป็นเช่นนี้ ก็ยังดีกว่าอ้ายเสมามากนัก มันเป็นทั้งไพร่ต่ำสกุล แลเจ้าชู้มักมาก แม้แต่แม่ศรีเมืองบุตรเลี้ยงพันอิน มันยังคิดชั่วจนแม่ศรีเมืองต้องถูกส่งเข้าวัง แล้วคนเช่นมันมีกระไรดีกว่าพี่ แม่เรไรถึงชอบพอมันนัก”
ขันเดินหงุดหงิดเลี่ยงไป
ดวงแขพอได้ยินชื่อศรีเมืองก็หงุดหงิดขึ้นมาอีก ดวงแขชักสีหน้าหมั่นไส้ปนอิจฉา
“ศรีเมือง”
ในตำหนัก... ดวงแขวางผ้าหลายผืนลงต่อหน้าศรีเมือง โดยมีเรไรนั่งปักผ้าอยู่ใกล้ๆ ศรีเมืองแปลกใจ หยิบผ้ามาดู)
“ผ้าที่ฉันปักนี่จ๊ะ มีกระไรรึแม่หญิงดวงแข”
ดวงแขสีหน้าเย็นชา
“ฝีมือปักใช้ไม่ได้ เอาไปปักเสียใหม่”
ศรีเมืองตกใจ
“หมดทุกผืนเลยหรือจ๊ะ”
“ถ้าไม่ใช่ทั้งหมดฉันจะเอามาทำกระไร แม่ศรีเมืองจงเร่งมือเข้าเถิด พรึ่งนี้ฉันต้องได้จนครบ”
ดวงแขเชิ่ดใส่แล้วเดินเลี่ยงไป ศรีเมืองดูผ้าปักของตนด้วยความท้อแท้ใจ เรไรสงสารเลยหยิบผ้าปักมาดูบ้างก็เห็นว่าสวยดี ไม่น่ามีปัญหา
“แม่หญิงเรไร เห็นว่าฉันปักใช้ไม่ได้เลยเชียวหรือ”
เรไรหน้าเจื่อนไปจะบอกว่าดีแล้วก็กลัวไปหักหน้าดวงแข)
“เรื่องเย็บปักถักร้อย ฉันสู้แม่ดวงแขไม่ได้ดอก พูดไปจักไม่ดี”
ศรีเมืองถอนใจ
“แต่เข้าวังมา แม่หญิงดวงแขทำราวกับว่าฉันเลวไปเสียหมด มิว่าทำกระไรเป็นต้องโดนตำหนิอยู่ร่ำไป หากเป็นแม่หญิงเรไร ฉันจะหาแปลกใจไม่”
“เหตุใดเป็นเช่นนั้น ฉันใจยักษ์ใจมารนักรึ”
“มิได้ แม่หญิงเรไรน้ำใจงามนัก แต่ที่ฉันพูดเช่นนี้ เพราะหากเป็นแม่หญิงเรไร ฉันยังพอคิดได้ว่าหึงหวงพี่เสมาเลยพาลไม่ชอบฉัน”
เรไรอายแต่ปั้นหน้าดุกลบเกลื่อน
“พูดจากระไรเช่นนั้น เหตุใดฉันต้องหึงหวงจนพาลด้วยเล่า”
ศรีเมืองได้แต่แอบยิ้มๆ โดยที่ทั้งคู่ไม่ได้เฉลียวใจเลยว่าที่ศรีเมืองรู้สึกเป็นเรื่องจริง
หลังจากเสร็จศึกหงสาวดีครั้งสุดท้าย กรุงศรีอยุธยาก็ไม่มีศึกใหญ่อีก ทำให้ได้รับการฟื้นฟู ทั้งด้านการค้า เกษตรกรรม ตลอดจนความเข้มแข็งของกองทัพก็มีมากขึ้น ยังผลให้มีหัวเมืองน้อยใหญ่เข้ามาสวามิภักดิ์จำนวนมาก สร้างความรุ่งเรืองให้กับกรุงศรีอยุธยา ไม่ต่างจากช่วงก่อนเสียเอกราชเลยแม้แต่น้อย
สองปีต่อมา ตอนสายวันหนึ่ง บรรดาทาสของขันกำลังวิ่งวุ่นทำงานกันหัวหมุน ทั้งทำความสะอาด ย้ายของ วุ่นวายไปหมด ฯลฯ ขันคอยชี้นิ้วสั่ง เสียงดังลั่น
“ให้มันรวดเร็วหน่อยซีวะ มัวแต่อ้อยสร้อยอยู่นั่นหล่ะ อีกไม่กี่วันก็จะมีงานแล้ว ขืนชักช้า จะขายทิ้งเสียให้หมด นังพวกนี้”
พวกทาสกลัวลนลาน เร่งทำงานกันยกใหญ่ ขันหันไปพูดกับทาสคนหนึ่ง
“นังปริก มหรสพได้ครบแล้วหรือไม่”
“ครบตามที่สั่งทุกประการเจ้าค่ะท่านหมื่น”
“ดี ข้ารอมากว่าสองปี งานแต่งงานของข้ากับแม่หญิงเรไรต้องยิ่งใหญ่เป็นที่โจษขานไปทั่ว”
พิณเดินลับๆล่อๆ หันซ้ายหันขวาจะหลบออกทางหลังบ้าน แต่ทันใดนั้น เสียงลำภูก็ดังดุขึ้น
“นังพิณ”
พิณสะดุ้งโหยง หันกลับไปเห็นลำภูกับทาสหญิงจำนวนหนึ่งยืนอยู่ พิณรีบเดินจ๋อยๆเข้าไปหาลำภู นั่งคุกเข่าลง
“แม่นายมีกระไรจะใช้บ่าวหรือเจ้าคะ”
“ เอ็งจะไปที่ใด” ลำภูพูดเสียงเครียด
“บ่าวจะไปตลาดเจ้าค่ะ”
“แล้วเหตุใดเอ็งต้องลับๆล่อๆออกทางหลังบ้าน ไม่ไปทางหน้าบ้านเล่า”
พิณอึกๆอักๆ กลัวจนตอบไม่ถูก ลำภูมองพิณตาเขียวปั้ด
“เอ็งจะไปส่งข่าวเรื่องงานแต่งของลูกข้ากับพ่อขันให้อ้ายเสมารู้ใช่หรือไม่”
“บ่าวผิดไปแล้วเจ้าค่ะ บ่าวผิดไปแล้ว”
“พวกเอ็งจงฟัง จนกว่างานแต่งของแม่เรไรลูกข้าจะผ่านไป ห้ามมิให้นังพิณออกจากเรือนแม้แต่ก้าวเดียว หากใครฝ่าฝืนช่วยมันหรือสันหลังยาวไม่คอยจับตามันไว้ ข้าจะเฆี่ยนจนกว่าหวายจะหักคาหลังเลยเทียว”
“เจ้าค่ะแม่นาย” ทาสทุกคนรับขึ้นพร้อมกัน
ลำภูหันไปปรายตาใส่พิณที่นั่งตัวสั่นงันงกอยู่กับพื้น
เวลาต่อมา เรไรกำลังร้อนใจ โดยมีพิณนั่งคุกเข่าหน้าจ๋อยอยู่ใกล้ๆ เรไรพูดด้วยความหงุดหงิด
“เรื่องเพียงนี้ก็ทำไม่ได้ แล้วฉันจะไว้ใจกระไรได้อีก”
“พิโธ่ แม่หญิงเจ้าขา ท่านขุนกับแม่นายเตรียมการรัดกุมนัก พอได้ฤกษ์ก็เร่งให้แต่งไม่ทันตั้งตัว แล้วปัญญาเท่าหางอึ่งของบ่าวจะช่วยกระไรได้เล่าเจ้าคะ”
เรไรทิ้งค้อน หงุดหงิดไม่อยากพูดอะไรกับพิณแล้ว พิณนึกขึ้นได้
“ถึงบ่าวจะแจ้งข่าวให้ขุนศึกไชยชาญไม่ได้ แต่บ่าวได้ข่าวออกขุนมานะเจ้าคะ”
“ข่าวกระไรรึ”
“ขุนศึกไปราชการหัวเมืองเจ้าค่ะ ถึงบ่าวจะนำข่าวการแต่งงานไปแจ้งก็ต้องฝากไว้กับผู้อื่นอยู่ดีเจ้าค่ะ”
เรไรโมโหหนักขึ้น
“ ยิ่งหนักขึ้นไปอีก เจ้าจะพูดให้ได้กระไรขึ้นมา”
พิณจ๋อยไม่กล้าพูดสุ่มสี่สุ่มห้าอีก ขณะนั้นเอง ดวงแขพร้อมด้วยบรรดาทาสก็ถือผ้ากับหีบใส่เครื่องประดับขึ้นเรือนมา
“แม่ดวงแข มีกระไรรึ”
“ฉันเอาผ้าผ่อนท่อนสไบแลเครื่องประดับมาให้แม่เรไรเลือกน่ะจ้ะ เผื่อจะเอาไว้ใช้ในวันพิธี”
เรไรฉุกคิดขึ้น มองดวงแขยิ้มกว้างออกมาอย่างมีความหวัง สายตาเป็นประกาย ดวงแขมองท่าทีของเรไรด้วยสายตางงๆ
ดวงแขกำลังหน้านิ่วคิ้วขมวดคุยกับเรไรอยู่ในห้องนอน
“เรื่องกระไรจะให้ฉันไปบอกขุนศึก หากทำเช่นนั้น มิเท่ากับว่าฉันหักหลักพี่ขันดอกรึ”
“ไม่ดอก แค่ไปบอกเท่านั้น ฉันไม่ได้ให้ล้มงานแต่งเสียหน่อย”
“แล้วมันต่างกันอย่างไร หากขุนศึกไชยชาญรู้ มีรึที่จะไม่มาล้มงานแต่ง”
“แม่ดวงแขก็รู้ ว่าฉันไม่ได้ปลงใจด้วยพี่ชายแม่ ถึงจะฝืนบังคับออกเรือนไปก็หาสุขมิได้ แลฉันให้สัตย์กับขุนศึกไว้ว่าจะไม่ขอเป็นหญิงสองใจเป็นเด็ดขาด หากสิ้นหนทางแล้ว ก็มีแต่ต้องตายเท่านั้น”
ดวงแขตกใจ
“อย่าเชียวนะแม่เรไร กระไรกัน ถึงขั้นเป็นขั้นตายกันเชียวรึ”
“เรารู้จักกันมาแต่เล็กแต่น้อย ใจคอฉันเป็นเช่นไรแม่ก็รู้อยู่ เถิดนะแม่ดวงแข ถือว่าเอาบุญ ช่วยฉันสักครา หากออกขุนศึกไม่มา ฉันก็จักได้ตัดใจว่าสิ้นวาสนา เช่นนั้นก็ไม่ถือว่าฉันเป็นหญิงสองใจให้เสื่อมเสียด้วยออกขุนตระบัดสัตย์ก่อน”
“ที่ท่านอาขุนรามเลือกจัดพิธีเพลานี้ ก็ด้วยขุนศึกไชยชาญไปราชการหัวเมือง แล้วแม่เรไรจะให้ฉันไปแจ้งแก่ใคร”
“ข้อนั้นไม่ต้องกังวลฉันตกลงกับขุนศึกไว้แล้ว แม่ดวงแขเพียงแต่ไปที่วัดพุทไธสวรรย์แจ้งแก่เหล่าทหารอาสาที่เป็นศิษย์ของขุนศึก ข่าวก็จะไปถึงขุนศึกเอง อีกหลายวันกว่าจะถึงงานแต่ง อย่างไรเสียขุนศึกก็คงมาทัน”
ดวงแขพยักหน้าแบบเสียไม่ได้
“เมื่อแม่เรไรคิดรอบคอบเช่นนี้แล้ว ฉันจะปัดได้อย่างไรเล่า”
“ขอบน้ำใจแม่ดวงแขนัก เช่นนั้นฉันขอฝากจดหมายไปให้ขุนศึกไชยชาญด้วยเถิด”
เรไรเดินไปเขียนจดหมาย ดวงแขมองตามก่อนจะยิ้มเจ้าเล่ห์ ...อย่าหวังเลยว่าเสมาจะมาทัน
เสมากำลังคุยกับจำเรียงตรงศาลาริมคลองที่หัวเมือง โดยมีสมบุญคอยอยู่ใกล้ๆ
“พักนี้แม่แข็งแรง ทำงานได้ดังเดิมเอ็งไม่ต้องห่วงดอก อยากได้กระไรก็บอกมา ข้ามาราชการคราหน้าจะเอามาให้”
“ฉันไม่อยากได้กระไรดอกพี่เสมา ถ้าจักมีก็อยากกลับบ้านเท่านั้น อยู่หัวเมืองมาสองปีแล้ว ฉันคิดถึงพ่อแม่นัก”
“ทนเอาหน่อยเถิดจำเรียง อโยธยาเพลานี้รุ่งเรืองค้าขายดีนัก พี่กับพ่อรับงานได้มากโข ปีหน้าก็คงพอจะไถ่ตัวเอ็งได้ ถึงเพลานั้นเอ็งค่อยกลับเถิดนะ”
“จ้ะพี่เสมา”
สินเดินเข้ามาหาเสมา
“พี่เสมา ออกขุนวิเศษมีข้อราชการจะปรึกษาจ้ะ”
เสมาเหล่มองสมบุญแล้วบอก
“ สมบุญ เอ็งไม่ต้องไปดอก ข้าไปพบท่านขุนวิเศษกับอ้ายสินเอง”
“จ้ะพี่เสมา”
เสมายิ้มให้พร้อมตบบ่าสมบุญอย่างรู้ใจก่อนจะเดินไปกับสิน เสมาจงใจเปิดโอกาส สมบุญมองจำเรียงด้วยสายตากรุ้มกริ่ม
“ฉันไม่ได้ปะหน้าแม่จำเรียงเกือบปี เห็นครานี้ ดูแม่จำเริญสะสวยขึ้นมากก็ให้ชื่นใจนัก”
จำเรียงเขินอาย หลบตาสมบุญก่อนจะถามว่า
“แล้วพี่สมบุญเล่า สุขสบายดีหรือไม่”
“พึ่งจะได้สุขสบายดีเมื่อได้ยลหน้าแม่นี่หล่ะจ้ะ” สมบุญป้อนคำหวานใส่ทันที
จำเรียงได้แต่ขวยเขินไปมา สมบุญแอบเขยิบตัวเข้าชิดอีกนิด ด้วยสีหน้าแช่มชื่น
เสมา และสินเดินคุยกันมาตามริมคลอง
“อีกนานหรือไม่พี่เสมา พวกเราถึงจะเสร็จราชการ”
“คงอีกสักวันสองวัน ถามทำไมรึ หรือเอ็งอยากกลับแล้ว”
“เปล่าดอก แต่ฉันกังวลใจนัก ราชการแต่เพียงนี้ ใช้ผู้ใดมาก็ได้ เหตุใดต้องเป็นพี่ เพลานี้ก็ใกล้จะถึงฤกษ์แต่งของแม่หญิงเรไรแล้ว ฉันเกรงว่าอ้ายขันจะคิดไม่ซื่อ วางอุบายกันพี่ออกมา”
“ข้อนี้ไม่ต้องกังวล ข้าระวังอยู่ เกิดกระไรขึ้นก็จะมีคนมาแจ้งข้าเอง”
สินพยักหน้ารับแล้วถาม
“ แล้วพี่จะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ไปอีกนานเท่าใด พี่กับแม่หญิงเรไรก็ชอบพอกันมานานแล้วนา”
เสมาซึมไปด้วยความน้อยใจในโชคชะตา
“มันยากนักอ้ายสินเอ๋ย สองปีแล้วที่ข้าเพียรจะลบข้อครหาว่าเป็นคนเนรคุณ แม้ออกญาผู้ใหญ่หลายท่านจะเมตตาข้าขึ้นบ้าง แต่ก็หามีผู้ใดรับข้าสังกัดมูลนายไม่ หากยังยากจนอยู่เช่นนี้ก็สุดที่จะเทียมหน้าเทียมตากับแม่หญิงเรไรได้”
“แล้วหากชาตินี้ พี่ไม่ได้สังกัดมูลนาย ไร้ซึ่งศักดินายากจนไปตลอดเช่นนี้ ก็จักไม่ได้แม่หญิงเรไรมาเป็นศรีเรือนงั้นรึ”
เสมายิ่งซึมเศร้าหนักขึ้น หมดปัญญาไม่รู้จะตอบอย่างไร
อ่านต่อหน้า ๒
ขุนศึก ตอนที่ ๗ (ต่อ)
สี่ห้าวันต่อมาที่ตำหนัก เรไรกำลังคุยกับดวงแขด้วยสีหน้าเคร่งเครียด โดยมีบัวเผื่อนอยู่ใกล้ๆ
“พรึ่งนี้ก็จะเป็นงานแต่งแล้ว ขุนศึกยังไม่มาอีกรึ” เรไรถามขึ้น
“ฉันก็ทำตามที่แม่เรไรบอกทุกประการ แต่ก็ยังเห็นเงียบอยู่ หรือบรรดาศิษย์จะหาตัวขุนศึกไม่พบ”
“ไปราชการ ไม่ได้ไปอยู่ในป่าในดงจะหาตัวยากกระไรหนักหนา แลฉันรู้มาว่าออกขุนศึกไม่ได้ไปไกล เดินทางแต่หนึ่งวันหนึ่งคืนก็ถึงแล้ว ป่านฉะนี้ ควรรู้ข่าวของแม่เรไรแล้ว” บัวเผื่อนว่า
เรไรยิ่งร้อนใจหนัก ไม่รู้จะตามหาตัวเสมาที่ไหน
ดวงแขแสร้งถอนใจทำเป็นหวังดีแต่ประสงค์ร้าย
“อย่าหาว่าฉันปากพล่อยเลย แต่ถึงขุนศึกรู้ข่าวก็ยากจะแก้ไขแล้ว ด้วยในงานมีทั้งออกญาผู้ใหญ่หลายท่านแลขุนทหารมากมาย หากคิดล้มงานแต่งคงไม่แคล้วต้องโทษเป็นแน่ ลางที ออกขุนอาจกลัวโทษทัณฑ์จนละสัตย์แล้วก็เป็นได้”
เรไรหน้าเสียกลัวเสมาทิ้ง
บัวเผื่อนสีหน้าหมั่นไส้แล้วบอก
“ข้อนี้ฉันไม่เชื่อดอก หากเป็นพี่ชายแม่ดวงแขฉันคงหาแปลกใจไม่ แต่ขุนศึกไชยชาญเสี่ยงคุกเสี่ยงตายมามาก มีรึ จะกลัวโทษทัณฑ์แต่เพียงนี้”
ดวงแขทิ้งค้อนบัวเผื่อน
“ฉันก็เพียงแต่พูดเพราะหวังดี ที่ผ่านมาก็ช่วยจนสุดปัญญาแล้ว สุดแต่แม่เรไรจะคิดเห็นเช่นไรเถิด”
ดวงแขแอบยิ้มร้ายๆแล้วเดินเชิ่ดจากไปสวนกับศรีเมือง ที่เดินเข้ามาหาเรไรด้วยความร้อนใจ ดวงแขแอบทิ้งค้อนมองตามให้อีกขวับ ศรีเมืองต้องรีบเดินเลี่ยงหลบเร็วขึ้นด้วยความเกรง
“พรึ่งนี้แม่หญิงเรไรจะแต่งงานกับหมื่นชาญรึ เหตุใดไม่บอกกันบ้าง ฉันเพิ่งรู้เมื่อครู่นี้เอง” ศรีเมืองว่า
เรไรกำลังหงุดหงิดเลยพาลขึ้น
“ แม่ศรีเมืองคงดีใจกระมังที่ฉันออกเรือนไปเสียได้ ต่อไปภายหน้าคงไม่มีผู้ใดขวางแม่กับขุนศึกไชยชาญแล้ว”
เรไรสะบัดหน้าเดินเลี่ยงไปอีกทางปล่อยให้ศรีเมืองมองตามอย่างงๆ บัวเผื่อนยิ้มขำๆแล้วว่า
“ อย่าถือกันเลยแม่ศรีเมือง แม่เรไรกำลังร้อนรุ่มนักด้วยจะออกเรือนกับผู้ที่มิได้ชอบพอ แต่ผู้ชอบพอกลับหาตัวมิได้ว่าอยู่ที่ใด”
ศรีเมืองมองตามเรไรไปด้วยความสงสาร ยิ่งรู้ว่าเสมาไม่รู้เรื่องก็ยิ่งไม่สบายใจ
โถงบ้านขันยามเช้า ถูกประดับประดาอย่างสวยงามเต็มไปด้วยดอกไม้สวยงาม สมกับที่กำลังจะจัดพิธีแต่งงาน ขันแต่งตัวหล่อ เตรียมจะยกขบวนขันหมากไปสู่ขอเรไร พุฒเดินขึ้นเรือนมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส เพราะมาร่วมงานแต่งของขัน ขันหันไปยิ้มให้พุฒ
“หมื่นทรงมาพอดี เรื่องอ้ายเสมาเป็นอย่างไรบ้างเล่า”
พุฒยิ้มเจ้าเล่ห์
“มิต้องห่วงดอก ฉันให้คนไปสืบแล้ว อย่างไรเสียอ้ายเสมาก็มาล้มงานแต่งไม่ได้เป็นแน่ แต่ถึงมันจะมา ก็มีออกญาผู้ใหญ่อยู่หลายท่าน หากมันกล้าเป็นได้เข้าไปนอนในคุกแน่”
ขันขำชอบใจ
“เพราะปัญญาหมื่นทรงโดยแท้ ในที่สุด ฉันจึงมีวันนี้จนได้”
“เราท่านเป็นเกลอกันมานาน ไม่ช่วยท่านแล้วจะช่วยผู้ใดเล่าแต่เมื่อหมื่นชาญสมหวังแล้ว คงไม่ลืมสัญญาของเรากระมัง”
“เรื่องแม่ดวงแขน่ะรึ มิต้องห่วงดอก ฉันเป็นพี่ชายมีอำนาจรองลงมาจากพ่อ หากฉันให้แต่งกับใคร แม่ดวงแขจะขัดได้รึ”
พุฒหัวเราะชอบใจมีความสุขที่เรื่องใกล้สำเร็จแล้ว ขันปั้นยิ้ม แต่พอเบือนหน้าไปทางอื่นก็เบะปากรังเกียจพุฒ ไม่ยอมให้คู่กับน้องสาวแน่
ศรีเมืองชะเง้อมองอย่างกระวนกระวายอยู่บริเวณท่าน้ำ ซักพักก็เห็นเรือของเสมาแจวมา โดยที่มีสิน และสมบุญนั่งอยู่ในเรือด้วยก็ดีใจมาก พอเรือเสมาจอดเทียบท่าศรีเมืองก็รีบเข้าไปหาทันที
“แม่ศรีเมือง จะข้ามฟากรึ ให้ทหารพี่ไปส่งหรือไม่”
“ฉันไม่ได้ข้ามฟากดอกจ้ะ ฉันเสี่ยงดวงมาดักรอพี่เสมาต่างหาก พระท่านคุ้มครองแท้ มิคิดว่าพี่จะกลับมาพอดี”
เสมาชักเอะใจ
“รอพี่ มีกระไรรึ”
“แม่หญิงเรไรกำลังจะเข้าพิธีแต่งงานกับหมื่นชาญณรงค์แล้ว พี่เสมาเร่งคิดหาทางเข้าเถิด”
เสมาตกใจอย่างที่สุด หน้าซีดเผือดไปทันที
เสมาสะพายดาบสองมือคู่ชีพ เดินลิ่วมาด้วยหน้าตาถมึงทึง สิน สมบุญ และศรีเมืองรีบตามติดมาด้วยความร้อนใจ
“พี่เสมา รอก่อนพี่เสมา พี่เสมา”
สินและสมบุญรีบวิ่งไปดักหน้าเสมาไว้
“หากเอ็งสองคนรักข้าจงถอยไป ข้าจะไปหาแม่หญิงเรไร” เสมาตวาด
“ไม่ทันแล้วพี่ ท่านขุนรามกับอ้ายขันเตรียมการมารัดกุมนัก หากมิใช่เราเสร็จราชการเร็วเลยกลับมาก่อน คงไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่า แม่หญิงจะแต่งวันนี้” สมบุญว่า
“แล้วเอ็งจะยอมให้ข้าทนเห็นแม่หญิงเรไรเป็นของชายอื่นรึ ข้ารู้ว่า หากข้าไปย่อมร้ายมากกว่าดี แต่ข้าขอตายเสียดีกว่าให้หัวใจถูกเหยียบย่ำเช่นนี้”
ศรีเมืองตามมาถึงด้วยความเป็นห่วงเสมาสุดๆ
“ใจเย็นก่อนเถิดพี่เสมา ฉันมาบอกพี่ก็ด้วยสงสารพี่กับแม่หญิงนัก แต่พี่หาทางอื่นเถิด มุทะลุเช่นนี้หามีประโยชน์อันใดไม่”
“ช้าไปแล้วศรีเมืองเอ๋ย หากรู้ก่อนหน้ายังพอมีทาง แต่ประเดี๋ยวนี้จะหาทางใด นอกจากบุกชิงตัวแม่หญิงเท่านั้น”
“ถ้าเช่นนั้นก็ให้ฉันไปด้วย อย่างมากก็ตายเสียด้วยกัน” สินบอก
“ฉันด้วยพี่เสมา” สมบุญว่า
เสมาตบบ่าสินกับสมบุญฃ
“ขอบน้ำใจเอ็งสองคนมากนัก แต่ข้าไม่อาจให้พวกเอ็งต้องเดือดร้อนไปกับข้า ถ้าพวกเอ็งรักข้า ก็ขอให้ดูแลพ่อแม่แลน้องข้าก็พอแล้ว”
พูดจบ เสมาก็เดินเลี่ยงไป
“พี่เสมา”
สมบุญจะตามไปเพราะความเป็นห่วง แต่สินจับบ่าสมบุญบีบเอาไว้ แล้วส่ายหน้าห้าม
“พี่เสมาได้ลั่นวาจาฝากฝังแล้วอย่าได้ขัดใจพี่เสมาเลยสมบุญ”
สมบุญได้แต่ถอนใจออกมา ทั้งสิน สมบุญและศรีเมืองต่างรู้ว่า ห้ามเสมาไม่ได้แน่ ก็ได้แต่มองตามด้วยความเป็นห่วงจับใจ
พิณกำลังช่วยเรไรแต่งตัวชุดไทยสวยงามอยู่ภายในของห้องเรไรเพื่อให้สมกับเป็นว่าที่เจ้าสาว
แต่เรไรมีสีหน้าซึมเศร้าไร้ความสุข พิณยิ้มแย้ม
“งามเหลือเกินเจ้าค่ะแม่หญิง”
เรไรถอนหายใจสีหน้าขรึม
“ยังไม่ได้ข่าวขุนศึกอีกรึ”
“ยังเจ้าค่ะ ถึงเพลานี้แล้ว แม่หญิง”
“พิณ ออกไปบอกพ่อท่าน ว่าสักครู่ฉันจะออกไป” เรไรตัดบท
“เจ้าค่ะ”
พิณออกจากห้องไป เรไรเอื้อมมือไปเปิดกล่องๆหนึ่งที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง พอเปิดออกก็เห็นมีดเล่มหนึ่งวางอยู่ในกล่อง เรไรหยิบมีดออกมา แล้วชักมีดออกจากฝัก หน้าสลดลงพลางตัดพ้อว่า
“ฉันไม่เคยคิดจะผิดคำสัตย์ แล้วเหตุใดเสมามาทิ้งฉันไปเช่นนี้”
เรไรน้ำตาท่วมด้วยความผิดหวัง
บรรยากาศบนเรือน เต็มไปด้วยความคึกคัก แขกเหรื่อทยอยกันมาเรื่อยๆ ขุนรามเดชะและลำภูคอยพูดคุยต้อนรับแขกเหรื่อด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ขณะที่บัวเผื่อนและดวงแขก็คอยช่วยงานดูแลแขกเหรื่อและสั่งงานบ่าวไพร่
ดวงแขคอยชะเง้อมองหาขบวนขันหมากของขัน บัวเผื่อนมองตามดวงแข
“มองหาขบวนขันหมากหมื่นชาญรึ แม่ดวงแข”
“ใช่จ้ะ นี่ก็จวนได้ฤกษ์แล้ว เหตุใดพี่ขันกับแม่ท่านยังไม่มาเสียที”
บัวเผื่อนยิ้มขำ
“หรือจะเกิดเหตุใดล้มงานแต่งเสียก็ไม่รู้ งานของแม่เรไรกับหมื่นชาญยิ่งมีอาถรรพ์ เคยล้มมาแล้วเสียด้วย”
ดวงแขเหล่มองบัวเผื่อนด้วยความไม่พอใจ เพราะไม่ชอบนิสัยไม่รู้จักกาลเทศะ ปากเสีย ดวงแขเดินเลี่ยงไปทางอื่นไม่พูดด้วย บัวเผื่อนยิ้มเหยียดๆ ตามไป
พันอินเดินขึ้นเรือนมา พันอิน ขุนราม และลำภู ยกมือไหว้ทักทายกันด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
“ฉันกำลังบ่นกับแม่ลำภูอยู่เทียว ว่าเหตุใดยังไม่มา หวั่นใจนักว่าพ่อจะมาไม่ได้” ขุนรามเดชะพูดขึ้น
“งานแต่งหลานสาวทั้งที จะไม่มาได้กระไร แล้วแม่เรไรเล่า...” พันอินถาม
“เมื่อครู่บ่าวมาบอกว่าแต่งตัวเสร็จแล้ว สักครู่คงออกมาจ้ะ” ลำภูว่า
พันอินเหลือบไปเห็นเรไรเข้าพอดี
“นั่นปะไร มาพอดี”
ทุกคนหันไปมองตาม พิณเดินนำเรไรที่อยู่ในชุดไทยสวยงามมากเดินเข้ามา เรไรยกมือไหว้แขกเหรื่อและทักทายอย่างอ่อนน้อม ก่อนจะเดินเข้าไปหาพ่อแม่ ท่ามกลางความชื่นชมของทุกคน
เรไรไหว้พันอิน พันอินก็รับไหว้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มก่อนจะหันไปพูดกับขุนรามเดชะ
“จำเริญสุขเถิดแม่เรไร … เดิมทีก็งามอยู่แล้ว วันนี้ยิ่งงามจับตานัก หากหมื่นชาญเห็นเข้าคงตะลึงดังต้องมนต์เป็นแน่”
“นี่ฉันก็รออยู่ ป่านฉะนี้ ขบวนขันหมากของหมื่นชาญคงใกล้ถึงแล้วกระมัง”
พันอิน ขุนรามเดชะและลำภู ยิ้มแย้มแจ่มใสคุยกันถูกคอ เรไร สีหน้าเครียดขรึมลงไปเพราะตัดสินใจเด็ดขาดแน่นอนแล้ว
เสมาวิ่งลัดเลาะลอบเข้ามาทางท้ายเรือนขุนรามเดชะเห็นแขกเหรื่อคุยกันอย่างยิ้มแย้มแจ่มใสและทยอยกันขึ้นไปบนเรือน เสมาขบกรามแน่น ก่อนจะชักดาบออกมา
ขันนั่งคู่กับเรไรต่อหน้าพระยาผู้ใหญ่ที่เป็นเหมือนประธานในพิธี โดยมีผู้ใหญ่ฝ่ายชายคืออำพันนั่งอยู่ใกล้ๆขัน ส่วนผู้ใหญ่ฝ่ายหญิงคือขุนรามเดชะและลำภูนั่งอยู่ใกล้ๆเรไร
“ได้เพลาฤกษ์แล้ว เริ่มพิธีเถิดออกขุน” พระยาซึ่งเป็นประธานพิธีกล่าวขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
เรไรแอบยื่นมือเข้าไปในชายพก จับด้ามมีดไว้แน่น
“ขอรับท่านเจ้าคุณ” ขุนรามเดชะรับคำก่อนหันไปพูดกับเรไรและขัน
“แม่เรไร พ่อขัน...”
ทันใดนั้น เสมาก็ถือดาบวิ่งขึ้นมาบนเรือน ท่ามกลางความตกใจของทุกคน
“ช้าก่อนพระคุณ ฟังข้าพระเจ้าก่อนเถิด”
“เสมา” เรไรเรียกขึ้นพลางจะเดินลุกไปหาเสมา แต่ลำภูรีบจับข้อมือไว้
“ นี่มึงกล้าถือดาบขึ้นเรือนกูเชียวรึอ้ายเสมา” ขุนรามเดชะตวาดเสียงดัง
“เมตตาฟังก่อนเถิดขอรับพระคุณ ข้าพระเจ้าไม่ได้คิดหยามหมิ่นพระคุณเลย แต่ด้วยจวนตัวแล้วจึงจำต้องทำ”
พันอินเห็นท่ากลัวเรื่องจะบานปลายหนักจึงว่า
“จะด้วยเหตุกระไร ก็วางดาบก่อนเถิด ค่อยพูดค่อยจากันก็ยังไม่สาย”
ขัน และพุฒ หันไปสบตากันถือว่าได้โอกาสงามที่กำจัดเสมา
พุฒพูดสวนขึ้นทันที
“ถึงขั้นนี้แล้ว ยังจะต้องพูดกระไรกันอีก”
พุฒตะโกนเรียก
“เหวย มีใครอยู่บ้างวะ ขึ้นมาจับอ้ายเสมาโดยเร็ว”
ขาดคำ ลูกน้องขันนับสิบคนก็ถือดาบขึ้นเรือนมาล้อมเสมาไว้
เสมากระชับดาบแน่นเตรียมสู้เต็มที่
“งานมงคล ยังตระเตรียมผู้คนแลอาวุธครบมือเช่นนี้ อุบายครานี้ของท่านร้ายนักหมื่นชาญณรงค์”
“รีบเก็บดาบซีพ่อขัน งานมงคลจะให้มีเลือดตกยางออกได้อย่างไร” อำพันบอก
“แม่ท่านอย่าหลงกลอ้ายเสมามัน ต่อหน้าออกญาผู้ใหญ่หลายท่านมันยังกล้าเหิมเกริมถือดาบขึ้นมาบนเรือน แล้วจะละไว้ได้อย่างไรกัน”
ขันสั่งลูกน้อง
“เฮ้ย จับตายมัน”
เรไรดึงมือออกแล้วชักมีดออกมา พูดเสียงเข้มว่า
“หากขุนศึกไชยชาญตาย ฉันก็ขอตายตาม”
ทุกคนพากันตกใจมากกว่าเดิม ที่เห็นเรไรชักมีดออกมา ขุนรามเดชะและลำภูตกใจมาก คิดไม่ถึงว่าเรไรจะรักเสมามากขนาดยอมสละชีวิต บัวเผื่อนยิ้มขำๆ หันไปพูดกับดวงแข
“ผิดปากฉันหรือไม่เล่าแม่ดวงแข นึกแล้วว่างานแต่งแม่เรไรต้องล้ม”
ดวงแขโมโห
“รู้จักเวล่ำเวลาบ้างเถิดแม่บัวเผื่อน”
ดวงแขเดินไปพูดกับเรไร
“เก็บมีดก่อนแม่เรไร ไม่เห็นแก่ฉัน ก็นึกถึงหน้าตาของท่านอาขุนรามบ้างเถิด”
เรไรหน้าเสียพอคิดถึงพ่อแม่ก็รู้สึกผิดสุดๆ
“แม่เรไร วางมีดลงก่อนเถอะลูก”
ทันใดนั้นเองพระยาอีกคนหนึ่งก็เดินขึ้นมาบนเรือน พร้อมกับทหารตามหลัง ทหารคนหนึ่ง ถือม้วนพระราชโอการด้วย พระยาพูดเสียงดัง
“มีพระบรมราชโองการ ผู้ใดไม่เก็บดาบ ถือเป็นกบฏทั้งสิ้น”
เสมา และทุกคนพากันตกใจที่จู่ๆก็มีพระบรมราชโองการมา เสมารีบวางดาบ แล้วคุกเข่าลงพนมมือ
พระยาหันไปรับม้วนพระราชโองการจากทหารมาแล้วจบหัวก่อนจะเปิดออกอ่าน
“มีพระบรมราชโองการ ให้บรรดาทหาร ขุนนาง อำมาตย์ อีกทั้งข้าหลวงนางในทั้งปวง จงเร่งกลับเข้าสู่เขตพระราชฐานโดยพลัน แลรายล้อมพระราชวังไว้ มิให้ผู้ใดเข้าไปได้โดยเด็ดขาด ผู้ใดมิทำหน้าที่ของตนให้ประหารเสีย”
พระยาเอาพระบรมราชโองการจบหัวแล้วส่งคืนให้ทหารรับไป เสมาและเรไรหันมาชำเลืองมองกันคิดตรงกันว่า พระบรมราชโองการมาทันเวลาพอดี เรไรจึงพ้นจากงานแต่งงานได้อย่างหวิดหวิด แถมไม่ต้องมีเรื่องด้วย ขันนึกเจ็บใจที่ไม่ได้แต่งกับเรไรอีกแล้ว
“เหตุใดต้องไปโดยพลัน รอสักชั่วครู่ชั่วยามไม่ได้เทียวรึ ข้าพระเจ้ากำลังประกอบพิธีแต่งงานอยู่นะขอรับท่านเจ้าคุณ”
พระยาสีหน้าเศร้าลง
“ฉันรู้ แต่ล้มเลิกพิธีก่อนเถิด ด้วยเพลานี้ สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวเสด็จสู่สวรรคาลัยแล้ว”
ทุกคนตกใจที่สมเด็จพระมหาธรรมราชาเสด็จสวรรคต ต่างคนต่างหน้าเศร้า นึกไม่ถึง ทุกคนพากันหันหน้าไปทางทิศที่พระราชวังตั้งอยู่ แล้วก้มลงกราบถวายบังคมลาโดยพร้อมกัน
ในตลาด … ทหารคนหนึ่งขี่ม้าเข้ามา พร้อมกับตะโกนบอกข่าวการสวรรคต
“ พ่ออยู่หัว เสด็จสู่สวรรคาลัยแล้ว...พ่ออยู่หัวเสด็จสู่สวรรคาลัยแล้ว...พ่ออยู่หัว เสด็จสู่สวรรคาลัยแล้ว”
บรรดาชาวบ้านชาย-หญิงที่รู้ข่าวข่าวต่างตกใจ บางคนก็จับกลุ่มคุยกันเรื่องการสวรรคตของ
พระมหาธรรมราชา ชาวบ้านแต่ละคนมีหน้าตาเศร้าหมอง บางคนก็ถอนใจด้วยท่าทางสลดหดหู่ บ้างก็คุกเข่าหันหน้าไปทางพระมหาราชวังแล้วถวายบังคม
ท้องพระโรงกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระนเรศวรในชุดทรงแบบกษัตริย์เต็มยศ บนพระเศียรสวมพระมหาพิชัยมงกุฎเสด็จผ่านเหล่าขุนนาง ข้าหลวง มหาดเล็ก ที่ต่างนั่งคุกเข่าหมอบกราบอยู่กับพื้น
สมเด็จพระนเรศวรเสด็จมาถึงหน้าบัลลังก์ พระเอกาทศรถทรงลุกขึ้นแล้วคุกเข่าลงถวายบังคม
สมเด็จพระนเรศวรทรงนั่งลงบนบังลังก์ ใต้เศวตฉัตรเก้าชั้นอย่างสง่างามสมกับเป็นมหาราชเหนือกษัตริย์ทั่วไป
สมเด็จพระมหาธรรมราชา เสด็จสวรรคต เมื่อวันอาทิตย์ แรม 13 ค่ำ เดือน 8 พุทธศักราช 2133 พระชนมายุ 75 พรรษา หลังจากนั้น สมเด็จพระนเรศวร ได้ทรงขึ้นครองราชย์ เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 2 แห่งราชวงศ์สุโขทัย ทรงพระนามว่าสมเด็จพระสรรเพชญที่ 2 ขณะมีพระชนมพรรษาได้เพียง 35 พรรษา
สมเด็จพระนเรศวรทรงตรัสกับสมเด็จพระเอกาทศรถในท้องพระโรง
“บัดนี้อโยธยาก็มั่นคงเป็นปึกแผ่นดีแล้ว ทั้งเสบียง เงินทองแลกองทัพก็พร้อมสรรพ พี่จึงเห็นควรว่าจะยกทัพไปตีเมืองละแวก เพื่อแก้คืนครั้งที่ละแวกซ้ำเติมเรา คราศึกหงสาประชิดพระนคร น้องเห็นว่าเป็นเช่นไร”
“รี้พลอโยธยาในเพลานี้มีเรือนแสน นับว่าเข้มแข็งไม่แพ้ครั้งสมเด็จตา หากยกไปก็หาลำบากไม่ แต่ข้าพระพุทธเจ้าเกรงว่าหงสาจะฉวยโอกาสนี้บุกตีเรา”
“หงสาพ่ายศึกคราก่อนบอบช้ำไม่น้อย แลหลายปีที่ผ่านมาต้องออกศึกปราบปรามบรรดาเมืองใหญ่น้อยที่ตั้งแข็งเมือง ไพร่พลจึงไม่เข้มแข็งดังก่อน คงไม่กล้ายกทัพมาตีเราในเพลานี้ดอก”
“แต่...”
“หากน้องกังวล ก็ให้เจ้าพระยาจักรีอยู่รักษาพระนคร เกลือกหงสายกมาก็ตั้งรับให้ได้หนึ่งเดือน เพลานั้นเราคงกลับมาช่วยทัน แต่หากเราไม่ตีละแวก ยามมีศึกเมื่อใด ละแวกก็ซ้ำเติมเราอยู่เช่นนี้ จะเป็นภัยยิ่งกว่า”
“ตรัสถูกแล้ว พระพุทธเจ้าข้า”
สมเด็จพระนเรศวรทรงยิ้มอย่างมั่นใจตั้งใจจะแก้คืนเมืองละแวกให้จงได้
เจ็ดแปดวันต่อมา ในเวลากลางคืน ในท้องพระโรงเมืองหงสาวดี พระเจ้านันทบุเรงกำลังพิโรธพระมหาอุปราชาต่อหน้าขุนนางทุกคนเป็นการใหญ่
“อโยธยาเพิ่งผลัดแผ่นดิน ลางทีอาจเกิดความวุ่นวาย ชิงแผ่นดินกันเอง ระหว่างองค์พระนเรศกับองค์พระเอกาทศรถก็เป็นได้ นับว่าเป็นโอกาสอันงาม เหตุใดเจ้าจึงบ่ายเบี่ยง ไม่ยอมทำการศึกเล่า”
“ขอเดชะ มิใช่ว่าลูกจะเกียจคร้านการศึก แต่ด้วยโหรหลวงทำนายว่า พระชันษาข้าพระพุทธเจ้าร้ายนัก มิควรไปศึกในเพลานี้ ขอสมเด็จพ่อทรงพระกรุณาโปรดด้วยพระพุทธเจ้าข้า”
“พระมหาธรรมราชาไม่เสียแรงมีบุตร การสงครามไม่พักให้พระราชบิดาต้องใช้เลย ต้องคอยห้ามเสียด้วยซ้ำ แลเจ้าว่าตนเองมีเคราะห์ร้าย เช่นนั้นก็อย่าไปเลย เอาผ้าผ่อนสตรีนุ่งเสียเถิด จักได้สิ้นเคราะห์”
พระมหาอุปราชาอับอายสุดๆ แทบแทรกแผ่นดินหนีที่พ่อประชดว่าตนต่อหน้าเหล่าขุนนาง จนในที่สุดก็ต้องยอมออกศึกครั้งนี้
เจ็ดแปดวันต่อมา เสมาในชุดทหารพร้อมออกศึก กำลังก้มลงกราบพระครูขุนแห่งวัดพุทไธสวรรย์ โดยพระครูขุนกำลังพรมน้ำมนต์พร้อมให้ศีลให้พร
“ศึกครานี้ ขอให้เอ็งจงกลับมาอย่างปลอดภัย อย่าได้มีภัยใดมาแผ้วพานเลย”
เสมาเอามือไหว้จบหัวรับพร
“ศึกละแวกครานี้ ไม่น่าห่วงกระไร ทัพชัยของพระเจ้าอยู่หัวชำนะแน่ สำคัญแต่เอ็ง สิ้นศึกละแวกแล้ว จะก่อศึกในอโยธยาอีกหรือไม่” พระครูขุนว่า
เสมาถึงกับหน้าจ๋อยไป
“พิโธ่ หลวงพ่อขอรับ ใช่ข้าพระเจ้าอยากมีเรื่องมีความแต่วาสนาน้อย ศัตรูมาก จนใจเหลือเกินขอรับ”
“ไม่มีสิ่งใดเหนือกรรมไปได้ดอก หากเอ็งตั้งมั่นในกรรมดีสักวัน เอ็งก็จะได้ผลที่ดีตอบแทน”
เสมายกมือไหว้จบหัว รับพรหลวงพ่อ สินกับสมบุญเดินเข้ามาหาและคุกเข่ากราบพระครูขุน
เสมาแปลกใจจึงถามขึ้น
“ เหตุใดพวกเอ็งมาเร็วนัก ท่านเจ้าคุณให้มาตามรึ”
“ ไม่ใช่ดอกพี่เสมา พวกเราไม่ต้องไปศึกละแวกแล้ว” สินพูดหน้าเครียด
“ทำไมรึ”
“หงสาวดียกทัพเข้ามาตีเราแล้ว เห็นว่าครานี้พระมหาอุปราชาทรงเป็นจอมทัพ พระเจ้าแปรแลพระราชบุตรตองอูก็มาด้วย เป็นทัพกษัตริย์ถึงสามทัพ พลกว่าสองแสนสี่หมื่นเทียว” สมบุญบอก
“พวกเรามัวแต่จะทำศึกละแวกจึงไม่ระวัง บัดนี้ทัพหงสาผ่านด่านเจดีย์สามองค์ ใกล้ถึงพระนครแล้ว”
เสมาตกใจมาก ไม่คิดว่าศัตรูสำคัญมาจ่อคอหอยเร็วขนาดนี้
สมเด็จพระนเรศวรเสด็จพระราชดำเนินมากับสมเด็จพระเอกาทศรถ ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“เพราะพี่ไม่ฟังคำน้อง กระทำการโดยประมาท คิดแต่จะตีละแวกฝ่ายเดียว จึงถูกหงสาตีตลบหลัง ตามที่น้องว่าไว้ไม่มีผิด”
“อย่าทรงโทษองค์เองเลย พระมหาอุปราชายกทัพมาครานี้ รวดเร็วดังลมพัด มิว่าผู้ใดก็คิดไม่ถึงดอกพระพุทธเจ้าข้า”
“แต่จตุรงคบาทช้างทรงของพี่น่ะซี ปลดไปสิ้นด้วยสูงวัยแล้ว ศึกละแวกครานี้ พี่วางแผนจะล้อมเมืองมิได้รบกลางแปลง จึงมิได้คัดเลือกผู้ใดมาแทน หากต้องรบกลางแปลงกับหงสาคงเสียเปรียบนัก”
“เช่นนั้นก็จัดคัดเลือกเสียในเพลานี้เถิดพระพุทธเจ้าข้า ไพร่พลเรามีเรือนแสนคงหาคนดีมีฝีมือไม่ยากนัก”
“มีพระบรมราชโองการลงไปให้ทหารที่ชำนาญดาบสองมือทั้งปวง จงมาประลองฝีมือเพื่อคัดเลือกเป็น
จตุรงคบาทแห่งเรา”
ภายในตำหนัก ขณะที่เรไรกำลังห่อหมากเป็นคำๆแล้วจัดใส่พาน เพื่อเอาไปให้บรรดาข้าหลวง เรไรได้ยินเสียงเสมาดังขึ้น
“หากแม่หญิงเมตตา ขอหมากให้ข้าพระเจ้าสักคำได้หรือไม่”
เรไรหันกลับไปเห็นเสมาก็ตกใจมาก
“มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ที่นี่เป็นเขตพระราชฐานชั้นใน หากไม่มีรับสั่ง ผู้ใดเข้ามาโทษถึงตัดคอเชียว”
เสมายิ้มขำๆ
“มิต้องกังวลดอกแม่หญิง ข้าพระเจ้ามาตามรับสั่งด้วยจักมีการประลองดาบเพื่อคัดเลือกจตุรงคบาท เสมาจึงได้มีวาสนาเข้าวังใน”
“เช่นนี้เอง ฉันพอได้ยินมาบ้าง จตุรงคบาทช้างทรงของพระพุทธเจ้าอยู่หัวถือเป็นที่สุดของผู้ร่ำเรียนดาบสองมือแล้ว ฉันขออวยพรให้เสมาจงมีชัยชำนะเถิด”
เสมายิ้มกรุ้มกริ่มอีก
“พรแม่หญิงนี้สำคัญนัก แต่เสมาอยากขอหมากอีกสักคำเพื่อจักได้เป็นมงคลแก่ตัว”
“โลภมากนัก เท่าใดมิเคยพอ” เรไรพูดพลางมองค้อน
เรไรหยิบหมากคำหนึ่งให้เสมา เสมาหยิบผ้าเช็ดหมากออกจากชายพก แล้วเอาห่อหมากที่เรไรให้ไว้
เสมามองเรไรด้วยสายตารักใคร่ แม้เรไรจะเขินอาย แต่ก็มองเสมาด้วยสายตารักใคร่ไม่ต่างกัน
ลานกว้างในวัง สมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเอกกาทศรถ ทรงประทับอยู่ โดยมีเสมา ขัน สมบุญ และทหารอีกมากมายที่ชำนาญดาบสองมือ นั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นเพื่อเตรียมคัดเลือก ส่วนทหารอื่นเช่นพุฒ สิน ขุนรามเดชะ พันอิน ซึ่งไม่ได้คัดเลือก ก็นั่งคุกเข่าอยู่ใกล้ๆที่ประทับ
สมเด็จพระนเรศวรทรงตรัสว่า
“อีกไม่ช้าจะมีศึกใหญ่ การเปรียบฝีมือครานี้ จึงขอให้สู้กันแต่เพียงรู้แพ้แลชำนะ อย่าได้ถึงบาดเจ็บล้มตาย แลอย่าได้ผูกพยาบาทกันต่อไปภายหน้า”
เสมา และทหารที่คัดเลือกพร้อมกันถวายบังคม
“รับด้วยเกล้า พระพุทธเจ้าข้า”
“เริ่มการประลองเปรียบฝีมือได้” สมเด็จพระเอกาทศรถตรัส
เสมากำลังสู้กับทหารคนหนึ่งทั้งคู่สู้กันซักพัก เสมาก็กระแทกดาบคู่ต่อสู้หลุดแล้วเอาดาบจ่อคอ เป็นการพิสูจน์ผลแพ้ชนะ เสมากับทหารคนนั้น คุกเข่าลง ต่างไหว้ซึ่งกันและกันไม่ติดใจอีก สิน และสมบุญ ยืนมองเสมาด้วยความดีใจที่เสมาผ่านได้อย่างง่ายดาย
สมบุญสู้กับทหารอีกคน ทั้งคู่สู้กันดุเดือดผลัดกันรุกรับ แต่ในที่สุด สมบุญก็เอาชนะได้ เสมาและ สิน ต่างดีใจที่เห็นสมบุญชนะเช่นกัน
ขันกำลังสู้กับทหารอีกคน ขันลงมือหนัก คู่ต่อสู้ตั้งรับไม่ทันโดนขันต่อยจนปากแตกล้มลงกับพื้น ขุนรามเดชะ และพันอินมองฝีมือขันด้วยความพอใจ
พุฒ มองมาทางกลุ่มของเสมาที่ยิ้มแย้มแจ่มใส ด้วยสายตาเจ้าเล่ห์มีแผนการ
เสมา สมบุญ และทหารคนอื่นๆที่ผ่านเข้ารอบกำลังพักผ่อนกันอยู่ โดยที่สินคอยบีบนวดให้เสมาอยู่
“อ้ายสิน ข้าก็ลงเปรียบฝีมือเหมือนกัน เหตุใดเอ็งนวดให้พี่เสมาผู้เดียวไม่นวดให้ข้าบ้างวะ” สมบุญถาม
“หนอย น้ำมะหน้าอย่างเอ็ง จะให้ข้านวดให้รึ ไว้เป็นจัตุรงคบาทก่อนเถิดโว้ย ข้าอาจจักเมตตานวดให้” สินว่า
สมบุญชี้หน้าสิน
“เอ็งจำคำเอ็งไว้อ้ายสิน หากข้าได้เป็นจริง เอ็งต้องนวดให้ข้าอย่าบิดพลิ้วเชียว”
“เลิกต่อล้อต่อเถียงกันเสียทีเถิด ประเดี๋ยวอ้ายสินนวดให้ข้าเสร็จ ข้าจะนวดให้เอ็งบ้างก็แล้วกัน” เสมาว่า
“นวดให้มันทำกระไร อย่างไรเสียมันก็แพ้แน่พี่เสมา เพียงแค่ผ่านมาจนเหลือแปดคน ก็เกินวาสนามันแล้ว” สินบอก
สมบุญหมั่นไส้เลยหยิบฝักดาบไล่ตีสิน สินก็คอยหลบแล้วหยิบฝักดาบอีกอันขึ้นสู้จนวุ่นวายไปหมดจน เสมาต้องร้องห้ามคอยปราม
ขัน และพุฒที่แอบดูอยู่
“ประลองมาจนเหลือแปดคน อีกคราเดียวก็จะได้ตัวจตุรงคบาทครบสี่แล้ว เหตุใดต้องเจออ้ายเสมาด้วย”
“กล่าวเช่นนี้ เหมือนหมื่นชาญถอดใจยอมแพ้เสียแล้ว”
ขันขบกรามแน่นด้วยความเจ็บใจ
“แม้ฉันจะมีฝีมือรุดหน้าขึ้นมาก แต่อ้ายเสมาก็เหนือกว่าเดิมถึงจะแค้นใจเพียงใดแต่ก็คงต้องรับว่า ในเพลานี้จะหาผู้มีฝีมือในเชิงดาบสองมือเสมอด้วยอ้ายเสมายังยาก อย่าว่าแต่เหนือกว่าเลย” ขันว่า
“ถ้าสู้ด้วยฝีมือดาบคงใช่ แต่หากสู้ด้วยปัญญาคงไม่แน่ดอก”
ขันหันไปมองพุฒด้วยความสงสัย พุฒยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างมีแผน
มุมหนึ่งในวัง ขัน และพุฒกำลังยืนคุยกับพันอินโดยที่ลูกน้องขันยืนถือถาดใส่คนโทน้ำสมุนไพร
กับจอกดื่มอยู่ พันอินถามขึ้นอย่างแปลกใจ
“น้ำสมุนไพรรึ”
ขันปั้นยิ้มแล้วว่า
“ ใช่ขอรับ ข้าพระเจ้าได้น้ำสมุนไพรมา ดื่มแล้วชุ่มคอชื่นใจมีกำลังวังชานัก จึงอยากจะฝากไปให้ขุนศึกไชยชาญบ้าง แต่ข้าพระเจ้ากับออกขุนไม่ถูกกัน จึงขอไหว้วานท่านพันอินเอาไปให้แทน”
“แล้วนึกกระไรขึ้นมา จู่ๆถึงจะฝากไปให้เล่า” พันอินถาม
“ไม่มีกระไรดอกท่าน ฉันกับหมื่นชาญเห็นว่าเราหมางใจกันมานานแล้วจึงอยากผูกไมตรีด้วย อย่างไรเสีย เราก็เป็นข้าพระพุทธเจ้าอยู่หัวเช่นกัน หาควรไม่ที่จะโกรธเคืองกันเช่นนี้” พุฒว่า
“หากพ่อทั้งสองคิดได้เช่นนั้นจริงก็เป็นกุศลนัก แต่อีกไม่กี่อึดใจ หมื่นชาญต้องประลองกับขุนศึก หากเอาของกินไปให้ตอนนี้คงไม่ควร”
“ท่านพันอินคงเกรงว่าฉันจะวางยากระมัง” ขันว่า
ขันหันไปหยิบจอก ก่อนจะเทน้ำสมุนไพรจากคนโทลงไป แล้วยกจอกขึ้นดื่มจนหมด แสดงความบริสุทธิ์ใจ
“นอกจากฉันอยากผูกไมตรีแล้ว ฉันก็อยากประลองกับขุนศึก อย่างเป็นธรรมด้วย น้ำสมุนไพรนี้ดีนัก แม้จะประลองมาแล้วนับสิบรอบ แต่ก็หาเหน็ดเหนื่อยไม่ ฉันจึงอยากให้ขุนศึกได้ดื่มบ้าง จะได้ไม่เอาเปรียบกัน” ขันว่า
พันอินคิดอยู่ครู่นึง เห็นขันจริงใจก็พยักหน้ารับ
“เมื่อหัวหมื่นทั้งสองมีน้ำใจเผื่อแผ่เช่นนี้ ฉันก็จะเป็นธุระให้”
พันอินรับถาดใส่คนโทจากลูกน้องขันมา แล้วเดินเลี่ยงไป
ขัน และพุฒ มองตามแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์
“ยาที่ฉันกินเมื่อครู่ ไม่มีผลแน่รึหมื่นทรง” ขันถามขึ้นอย่างลังเล
“ไม่ดอก ฉันให้หมื่นชาญกินยาถอนไว้ก่อนแล้ว ต่อให้ดื่มจนหมดก็หาเป็นกระไรไม่ แต่กับอ้ายเสมาแล้ว... “ พุฒหัวเราะอย่างสะใจ
ขันแสยะยิ้มสะใจ งานนี้เสมาต้องแพ้เพราะหลงกลแน่ๆ
อ่านต่อหน้า ๓
ขุนศึก ตอนที่ ๗ (ต่อ)
เวลาเย็นต่อมา ภายในศาลาในวัง เสมากำลังดื่มน้ำสมุนไพรอยู่ โดยมีพันอินยืนอยู่ใกล้ๆ เสมายิ้มแย้มดีใจ
“รสดี ดื่มแล้วยังชุ่มคอนักขอรับพ่อพันอิน”
เสมายื่นคืนจอกให้พันอิน พันอินยิ้มรับจอกมา
“เช่นนี้ก็ดีแล้ว ถึงเพลาประลองเมื่อใดก็ขอให้เจ้าสู้ให้เต็มฝีมือ หากเจ้าได้เป็นจตุรงคบาทก็จะได้เป็นเกียรติแก่ตัวเจ้าเอง”
“ขอบพระคุณขอรับ เสมาขอถือพรของพ่อเป็นมงคลคุ้มครองตัวข้าพระเจ้าต่อไปขอรับ”
พันอินพยักหน้าพอใจ สินเดินเข้ามาหาเสมาแล้วบอก
“ได้เพลาแล้วพี่เสมา รีบไปเถิด”
เสมาพยักหน้ารับแล้วหันมาคุยกับพันอิน
“ถ้ากระนั้นข้าพระเจ้าไปก่อนนะขอรับ”
“ไปเถิด”
พันอินอดมองตามเสมาไปด้วยความชื่นชมไม่ได้ เสมาเดินตามสินไป ใครจะไปคิดว่า พันอินจะกลายเป็นเครื่องมือให้กับพุฒและขันวางยาเสมา
ลานกว้างในวัง สมเด็จพระนเรศวร กับ สมเด็จพระเอกาทศรถทรงทอดพระเนตรการประลองอยู่ที่พระที่นั่ง โดยขุนรามเดชะและกลุ่มทหารที่ไม่ได้ประลองจะนั่งอยู่ที่พื้นใกล้ๆพระองค์
ทหารสองคนกำลังใช้ดาบสองมือสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย แม้สมเด็จพระนเรศวรจะทรงบอกให้สู้กันแต่รู้ผลแพ้ชนะแต่พอมาถึงรอบนี้ก็ไม่มีใครยอมใคร
พระเอกาทศรถแย้มพระสรวลเล็กน้อยแล้วถวายบังคมพระเชษฐาธิราชพลางตรัสว่า
“เก่งกาจพอกันทั้งคู่ คาดเดาไม่ออกว่าผู้ใดจะชำนะเลยพระพุทธเจ้าข้า”
“ถึงแพ้ก็ควรตบรางวัลให้อย่างงาม ผู้มีฝีมือเช่นนี้ นับว่าหาตัวจับยากนัก” สมเด็จพระนเรศวรตรัส
ทหารทั้งคู่สู้กันอย่างพลิกแพลงไปมาจนถึงช่วงแตกหัก ทหารคนหนึ่งดาบหลุดจากมือทั้งสองเล่ม แต่กลับพลิกตัวหลบแล้วเตะไปที่ข้อมือฝ่ายตรงข้ามจนดาบหลุด ก่อนจะรับดาบไว้ แล้วจ่อไปที่ท้องของฝ่ายตรงข้าม พลิกแพ้กลับมาชนะได้อย่างงดงาม
ขุนรามเดชะ พันอิน และทหารคนอื่นๆต่างหันไปมองกันด้วยรอยยิ้ม พอใจในฝีมือของทหารคนนี้มาก
คู่ต่อไป... สมบุญกำลังสู้กับทหารอีกคนหนึ่งอย่างดุเดือด ฝีมือสูสีจนเดาไม่ถูก เสมาและสินคุยกันอยู่
“อ้ายสมบุญชำนะแน่พี่เสมา แม้เพลานี้จะก้ำกึ่ง แต่ออกขุนโยธาอายุมากกว่าถึงสิบปี หากสู้นานเข้า ย่อมแพ้แรงอ้ายสมบุญเป็นแน่”
เสมาส่ายหน้าช้าๆแล้วบอก
“ยังบอกยาก แม้สมบุญจะหนุ่มกว่า แต่ขุนโยธาผ่านศึกมามากนัก ใช่จักประมาทได้”
สมบุญโหมตะลุยรุกไล่จนทหารคนนั้นต้องถอยร่น สมบุญใช้ท่าไม้ตายบุกเข้าใส่จนฝ่ายตรงข้ามเริ่มไม่เป็นกระบวน แต่เพียงชั่วพริบตา ทหารคนนั้นก็พลิกแพลงสวนเข้าให้อย่างรวดเร็ว แต่ใช้เพียงสันดาปเคาะไปที่คอของสมบุญเบาๆ ก่อนจะฉากหลบออกมา เรียกว่าถ้าใช้คมดาบ คอสมบุญต้องขาดไปแล้ว สมบุญยืนอึ้งอยู่ครู่นึง ก่อนจะคุกเข่าลงไหว้ทหารคนนั้นเป็นการยอมรับความพ่ายแพ้
“พิโธ่เอ๋ย เกือบจะชำนะแล้ว เหตุใดชะล่าใจเช่นนี้วะ” สินบ่นเสียดายแทนเพื่อน
“อย่าเสียดายเลย แพ้แล้วยอมรับว่าแพ้ นี่ต่างหากที่สมกับเป็นชายชาตินักสู้” เสมาบอกสินและยิ้มภูมิใจในตัวสมบุญ
ฝ่ายขุนรามเดชะและพันอินยิ้มพอใจ
“ทาสเก่าในเรือนออกขุนไม่ใช่รึ ชะรอยภายหน้า จะได้เป็นขุนศึกขุนพลคนหนึ่งเช่นกัน”
ขุนรามเดชะพยักหน้าพอใจ
“ครูมันดี จึงสั่งสอนมันได้ถึงเพียงนี้” พูโล้วขุนรามเดชะก็หันไปมองหน้าเสมา
เสมานั่งนิ่งๆ แต่สีหน้าแววตาเต็มไปด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม จนได้เวลาประลอง เสมาและขันเดินถือดาบคู่มือเข้ามาที่กลางลาน ทั้งคู่ตั้งท่า ไม่นานนักก็บุกตะลุยเข้าใส่กันทันที สู้กันมาหลายครั้ง ไม่ต้องดูเชิงให้เสียเวลา ขันบุกตะลุยไม่ยั้ง เสมารับได้พักหนึ่งก็บุกกลับ จนขันถอยร่น หน้าตาซีดเผือด แต่ขันก็ไม่ยอมแพ้ บุกลุยเข้ามาอีก แต่ก็เจอเสมาบุกกลับจนต้องตั้งรับฝ่ายเดียว
“หมื่นชาญช่างโชคร้าย หากสู้กับผู้อื่นยังคู่คี่ แต่กับอ้ายเสมายังห่างชั้นกันอยู่มากนัก” พันอินพูดขึ้น
ขุนรามเดชะถอนหายใจ
“เสียดายฝีมือดาบมันนัก หากมิใช่มันคิดคดใฝ่สูงจนเกินศักดิ์ก็คงมิต้องตกในสภาพเช่นนี้”
เสมาบุกเข้าใส่ขัน ใช้ไม้ตายโหมฟันเข้าไปหลายทีจนขันต้องตั้งรับเป็นพัลวัน ใกล้จะแพ้เต็มที
“ไม่รอดแน่อ้ายขัน” สินพูดกับสมบุญ
ไม่คาดคิด...ทันใดนั้น เสมาก็มีอาการวิงเวียนขึ้นมา เสมาเห็นขันและทุกอย่างเบลอไปหมด ขันหันไปมองพุฒ พุฒพยักหน้าเป็นเชิงบอกว่ายาออกฤทธิ์แล้ว ขันร้องลั่นแล้วบุกตะลุยใช้ท่าไม้ตายใส่เสมาไม่ยั้ง เสมาตกใจตั้งรับแล้วถอยร่นอย่างไม่เป็นกระบวน
“เหตุใดเป็นเช่นนี้วะ” สมบุญถามขึ้นด้วยความแปลกใจ
สินเองก็งุนงงกับภาพที่เห็น ทางด้านขุนรามเดชะและพันอินก็กำลังคุยกันในเรื่องนี้อยู่เช่นกัน
“กระไรกัน เมื่อครู่ยังได้เปรียบอยู่ โหมบุกไม่กี่อึดใจก็ชำนะแล้ว” พันอินว่า
“อ้ายเสมาคงประมาทจงใจอ่อนข้อเพื่อหยอกพ่อขันเล่นกระมัง ช่างไม่สมเป็นชายชาติทหารเอาเสียเลย” ขุนรามเดชะพูดอย่างมีอคติกับเสมา
เสมาเริ่มเวียนหัวไม่มีเรี่ยวแรงในการตอบโต้ ฝ่ายขันก็ชิงบุกหนักทันทีและฟันใส่ เสมาพลิกตัวหลบไปได้หวุดหวิด แต่ก็โดนดาบฟันใส่ที่ต้นแขนจนเลือดออกแต่ไม่ลึกมากนัก”
สมเด็จพระนเรศวรซึ่งทอดพระเนตรการประลอง ทรงตรัสขึ้นอย่างไม่พอพระทัย
“ว่าให้แต่พอรู้แพ้แลชำนะ เหตุใดลงมือหนักเช่นนี้”
“หากสู้ต่อเกรงว่าจะเจ็บหนัก สั่งหยุดดีหรือไม่พระพุทธเจ้าข้า” สมเด็จพระเอกาทศรถกราบบังคมทูล
สมเด็จพระนเรศวรทรงลังเลพระทัยว่าจะเอายังไงดี
ขณะที่เสมาโดนขันบุกหนักจนถูกฟันที่ต้นขาเลือดออกไปอีก
“หยุด...” สมเด็จพระนเรศวรทรงตรัสไม่ทันจบ
ขณะนั้น เสมาก็ใช้มือตัวเองจับคมดาบแล้วดึงออกเพื่อ ให้ดาบบาดฝ่ามือ เสมาร้องลั่นอย่างเจ็บปวดเพื่อเรียกสติกลับมา เสมากัดฟันระดมบุกใส่ขันอย่างบ้าคลั่ง ขันตกใจเลยได้แต่ตั้งรับเป็นพัลวัน เสมาระดมไม้ตายประเคนใส่กะเอาชนะขันให้ได้ก่อนที่ตนจะล้มลง
ในที่สุด เสมาก็ใช้แรงเฮือกสุดท้ายบุกหนักโหมฟันจนดาบของขันหลุดมือ แล้วใช้ดาบจ่อคอขันเอาไว้จนได้ สิน สมบุญและบรรดาทหารต่างเฮกันลั่น สะใจที่เสมาเป็นผู้ชนะ ขันหน้าเสียทั้งเจ็บทั้งอาย พุฒยิ่งเจ็บใจมากเพราะทุกอย่างผิดแผนไปหมด
สมเด็จพระนเรศวร กับ สมเด็จพระเอกาทศรถ ทั้งสองพระองค์แย้มพระสรวลให้กันอย่างดีพระทัย
ที่มีทหารเก่งกาจแบบนี้ในบ้านเมือง
เวลาต่อมา มั่นและบุญเรือนประคองเสมาที่มีอาการมึนงงจากฤทธิ์ยาและบาดเจ็บ แผลที่ได้รับบาดเจ็บถูกพันด้วยผ้าห้ามเลือดไว้อย่างหลวมๆ ฝ่ายสินกับสมบุญถือดาบห่อผ้าของเสมาตามหลังมา เอื้อยแตงเดินถือหม้อข้าวดินเผาออกมาจากในเรือน พอเห็นเสมาบาดเจ็บก็ตกใจ รีบวางหม้อข้าวแล้วเข้าไปหาเสมาทันที
“นี่เจ็บถึงเพียงนี้เชียวรึพี่เสมา เกิดกระไรขึ้น” เอื้อยแตงถามขึ้น
“ฝีมืออ้ายขันน่ะซี แต่แปลกนักทุกทีมันแพ้ฝีมือพี่เสมา แต่เหตุใดครานี้ถึงได้เก่งกาจนัก” สินบอก
“อย่าเพิ่งพูดเลย รีบพาอ้ายเสมาไปพักก่อนเถิด” บุญเรือนพูดด้วยความเป็นห่วงลูก
ทุกคนช่วยกันพาเสมาเข้ามาในบ้านแล้วประคองนั่งลงพักผ่อน มั่นจับหน้าผากเสมาก็รู้สึกแปลกใจ
“เหตุใดตัวเย็นเช่นนี้เล่า เสมาเป็นกระไรบ้าง”
เสมาพยายามจะตอบ แต่อาการวิงเวียนศีรษะทำให้ไม่มีแรงจนในที่สุดก็สลบเหมือดไป
ทุกคนต่างตกใจ ทั้งเรียกทั้งเขย่าตัวเสมากันยกใหญ่ แต่เสมาก็สลบไสลไม่ได้สติ
ในบ้านของพันอินเมื่อตอนหัวค่ำ พันอินและศรีเมืองซึ่งยืนอยู่ใกล้ตกใจมากที่สินกับสมบุญบอกว่า เสมาโดนวางยา
“เช่นนี้มันหาเรื่องกันแล้ว อ้ายเสมามันเจ็บป่วยได้ไข้ เหตุใดถึงมาโทษฉันเล่า” พันอินพูดขึ้นอย่างโมโห
“หากได้ไข้ทั่วไปก็ไม่กระไรดอก แต่หมอบอกว่า พี่เสมาถูกวางยา เพลานี้ยังไม่ฟื้นเลย”
“โดนวางยารึ เป็นไปได้กระไร ก็พี่เสมาชำนะประลองจนได้เป็นจตุรงคบาทไม่ใช่รึ” ศรีเมืองถามขึ้นอย่างตกใจ
“ที่ชำนะก็เพราะพี่เสมาอดทนดอก แต่กว่าจักชำนะก็หนักหนานัก แม่ศรีเมืองลองไปดูพี่เสมาที่เรือนก็จักเห็นเอง”
ศรีเมืองชำเลืองมองพันอินด้วยความเป็นห่วงเสมาแต่ไม่กล้าแสดงออกนอกหน้ามาก
พันอินถอนใจหน้าเครียดพลางถาม
“แล้วผู้ใดที่วางยาเสมา พวกเอ็งรู้หรือไม่”
“ยังจะถามอีกรึพ่อพัน ทั้งวันพี่เสมากินกระไร ฉันก็กินเช่นนั้น มีแต่ตอนที่พ่อพันเอาน้ำสมุนไพรนั่นให้พี่เสมากินเท่านั้นหล่ะแล้วจะไม่ให้ฉันมาถามพ่อพันได้รึ” สินว่า
“นี่พวกเอ็งหาว่าข้าวางยารึ หยามกันเช่นนี้ก็อย่านับถือกันต่อไปเลย”
“แต่มันก็น่าระแวงไม่ใช่รึ เพราะพ่อพันอินรังเกียจพี่เสมา หันไปคบค้าสนิทกับหมื่นชาญ หมื่นทรงอยู่นานแล้ว หากจะเข้าข้างหมื่นชาญก็หาแปลกไม่” สมบุญว่า
“เมื่อพวกเอ็งเห็นพันอินทราชเป็นคนเช่นนั้น ก็ไปแจ้งนครบาลมาจับกุมซีวะ หาไม่แล้วก็ไปให้พ้นเรือนข้าประเดี๋ยวนี้”
สินและสมบุญมองพันอินด้วยสายตาโกรธเคือง แต่ไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่านี้เพราะพันอินเป็นพ่อบุญธรรมของเสมาจึงพากันเดินลงจากเรือนไป
ศรีเมืองถามขึ้นด้วยความแปลกใจ
“น้ำสมุนไพรกระไรหรือจ๊ะพ่อ”
พันอินนิ่งเงียบไป แต่พอคิดดีๆก็ชักระแวงขึ้นมา หรือพันอินจะขันกับพุฒถูกหลอกใช้เข้าให้แล้ว
ภายในบ้านของขันในเวลาต่อมา ขันและพุฒกำลังคุยกับพันอินอยู่
“ฉันก็กินน้ำนั่นให้ดูต่อหน้าแล้ว เหตุใดท่านพันยังมาสงสัยฉันอีก” ขันว่า
“ก็เพราะเช่นนั้น ฉันถึงมาถามก่อนไงเล่า หมื่นชาญกับเสมามีความแค้นกันมานานนัก แลต้องประลองกันอีก หากจะลอบทำร้ายกันโดยหลอกใช้ฉันจะแปลกอันใด”
“ถ้ารู้เช่นนี้ ฉันไม่ให้น้ำสมุนไพรนั่นไปดอก ทำคุณบูชาโทษแท้” ขันแกล้งพูดด้วยความโมโห
“อ้ายเสมาหาใช่คนดีไม่ ท่านพันอินก็เคืองมันอยู่ไม่ใช่รึ แล้วจะมาถามแทนมันเพื่อกระไร” พุฒว่า
“ถึงฉันจะไม่ชอบที่อ้ายเสมามันเนรคุณ แต่เรื่องต่ำช้าถึงขั้นลอบทำร้ายทำลายคนอื่นลับหลัง ฉันไม่เคยคิด หากหัวหมื่นทั้งสองทำจริงก็บอกมา หนักจะได้เป็นเบา” พันอินว่า
“ฉันขอสาบาน หากฉันวางยาอ้ายเสมาก็ขอให้บั้นปลายต้องเสื่อมลาภวาสนา กลายเป็นคนพิกลพิการเถิด” พุฒสาบานไปตามเรื่อง
“ฉันก็ขอสาบานเช่นกัน เช่นนี้พ่อพันอินพอใจหรือไม่” ขันว่า
“เมื่อสัตย์สาบานด้วยถ้อยคำสาหัสเช่นนี้ ฉันก็ไม่ติดใจแล้ว”
เมื่อพันอินเดินเลี่ยงลงจากเรือนไป ขันมองตามด้วยความหงุดหงิดพลางว่า
“อ้ายเฒ่าสู่รู้มากนัก”
“แต่การนี้ก็ผิดคาดไปมากนัก ไม่คิดว่าอ้ายเสมาจะอดทนถึงเพียงนี้ เป็นผู้อื่นคงสลบไปกลางการประลองแล้ว” พุฒว่า
“อ้ายเสมา มึงเกิดมาเป็นมารขวางกูโดยแท้ ทั้งหัวใจ ทั้งยศศักดิ์ ชาตินี้ไม่เป็นทีของกูบ้างก็ให้มันรู้ไป” ขันพูดด้วยสีหน้าเจ็บแค้นใจอย่างที่สุด
ภายในห้องนอนของเสมา ประตูห้องถูกเปิดไว้เพื่อไม่ให้เป็นที่ครหา เอื้อยแตงกำลังเช็ดตัวให้เสมาอยู่ สีหน้าของเอื้อยแตงเต็มไปด้วยความสุขที่ได้ดูแล เสมามีอาการไข้ขึ้นและละเมอ
“น้ำ...ขอน้ำให้ฉัน...”
เอื้อยแตงเทน้ำจากเหยือกใส่จอก แล้วค่อยๆประคองเสมาขึ้นมาเพื่อจิบน้ำ ก่อนจะประคองให้นอนลงไป เอื้อยแตงยิ้มอย่างมีความสุข
“นอนเช่นนี้แม้จะน่าสงสาร แต่ก็มีข้อดีอยู่ คือมิต้องไปเจ้าชู้กับหญิงอื่นอีก”
เอื้อยแตงบีบจมูกเสมาเล่น ขณะนั้น สินกำลังจะเข้าไปเยี่ยมเสมา แต่พอเห็นเอื้อยแตงกำลังหยอกล้อเสมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มก็อึ้งไป ก่อนจะเดินเลี่ยงออกมาด้วยสีหน้าเจื่อนไป
เอื้อยแตงเช็ดตัวให้เสมาอย่างมีความสุขต่อไป เสียงเสมาละเมอขึ้นอีก
“แม่หญิง แม่หญิงเรไร...”
เอื้อยแตงหน้าจ๋อยลงไปทันทีที่เสมาละเมอชื่อเรไรออกมาแสดงว่าในใจเสมามีแต่เรไรเท่านั้น เอื้อยแตงอดน้อยใจปนหมั่นไส้ไม่ได้จึงกางผ้าขนหนูคลุมหน้าเสมาแล้วค้อนใส่
“หายใจไม่ออกตายไปเลยยิ่งดี”
ผ่านเวลาเล็กน้อย สินนั่งหงุดหงิด โมโหหึงอยู่ที่ท้ายเรือน เอื้อยแตงเดินถืออ่างกับผ้าที่เช็ดตัวเข้ามาพอดี เอื้อยแตงเทน้ำทิ้งแล้วตักน้ำจากโอ่งเปลี่ยนให้ ก่อนจะเอาผ้าไปซัก สินเห็นเอื้อยแตงดูแลเสมาอย่างดีก็ยิ่งหงุดหงิดกระฟัดกระเฟียด เอื้อยแตงเหล่มองสินแล้วว่า
“เป็นกระไรของเอ็งออสิน มืดค่ำแล้วยังไม่กลับบ้านกลับช่องอีกรึ”
สินทนไม่ไหว เดินเข้ามาหาเอื้อยแตง
“เลิกหวังเสียทีเถิด พี่เสมาคิดกับเอ็งเช่นน้อง ไม่มีวันมองเอ็งเป็นอื่นดอกแม่เอื้อย”
“พูดกระไรของเอ็ง เป็นบ้ารึอ้ายสิน”
“เออ ข้าบ้า ทั้งที่เอ็งไม่เคยชอบพอข้า ข้าก็ยังบ้ารักเอ็ง แต่เอ็งก็บ้าเช่นกัน รู้ว่าใจพี่เสมามีแต่แม่หญิงเรไร เอ็งก็ยังไม่เลิกหวัง เหตุใดเอ็งไม่มองคน...”
พูดไม่ทันจบ เอื้อยแตงก็ตบหน้าสินเข้าเต็มๆแล้ว ตวาดใส่ทั้งน้ำตาคลอ
“ข้าจะเป็นเช่นไร ชอบผู้ใดมันก็เรื่องของข้า เอ็งไม่ต้องมาสอด”
เอื้อยแตงหยิบอ่างใส่น้ำกับผ้าแล้วเดินลิ่วหนีกลับเข้าไปด้วยความโมโห สินได้แต่มองตามด้วยความเสียใจที่ไม่น่าพูดแบบนั้นเลย คิดแล้วตบปากตัวเองไปมาแล้วบ่นด้วยความหงุดหงิด
“ปากเสียนักอ้ายสิน”
เช้าวันรุ่งขึ้น เสมาค่อยๆลืมตาตื่นขึ้น พอตื่นขึ้นมาก็เห็นเอื้อยแตงนั่งหลับ หัวพิงข้างฝาด้วยความอ่อนเพลียเพราะเฝ้าไข้เสมาทั้งคืน
“เอื้อยแตง”
เอื้อยแตงรู้สึกตัวตื่นแล้วรีบเข้ามาหาเสมาพลางจับที่เนื้อตัว
“ ฟื้นแล้วรึพี่เสมา เป็นกระไรบ้าง ตัวเย็นแล้ว ดีจริง”
“นี่เอ็งเฝ้าไข้พี่ทั้งคืนเลยรึ”
เสมาจับมือเอื้อยแตงด้วยความรู้สึกขอบใจ
“ขอบน้ำใจนักเอื้อยแตงเอ๋ย”
เอื้อยแตงเห็นเสมาจับมือตนก็ยิ้มเขิน
ขณะนั้นเอง มั่นและบุญเรือนก็เข้ามาในห้อง เสมารีบปล่อยมือจากเอื้อยแตง บุญเรือนดีใจ รีบเข้ามาหาลูก
“หายไข้แล้วรึเสมา”
“จ้ะแม่ ดีขึ้นมากแล้ว นี่ยามกระไรแล้วจ๊ะแม่ ใกล้เพลาไปศึกแล้วหรือไม่”
“นี่เอ็งยังคิดจะไปศึกอีกรึ เจ็บเพียงนี้จะไปทำกระไร”
“ไม่เจ็บเท่าใดดอกแม่ ฉันสู้อดทนจนได้เป็นจตุรงคบาทแล้ว จะให้พลาดศึกครานี้ได้อย่างไร”
บุญเรือนและมั่นหันไปมองหน้ากันด้วยความอ่อนใจ
“เมื่อเอ็งคิดเช่นนั้น ก็ตามใจเถิด ขอให้เอ็งจงปลอดภัยมีชัยชำนะต่อข้าศึกทั้งปวง” มั่นบอก
เสมาคุกเข่าก้มลงกราบรับพรจากพ่อ
ยามสาย … สมเด็จพระนเรศวรกับสมเด็จพระเอกาทศรถขึ้นช้างทรงพร้อมด้วยเหล่าทหารมากมายตามหลังเพื่อไปทำศึก ราษฎรสองข้างทางหมอบกราบอยู่กับพื้นเพื่อส่งเสด็จ ที่ท้ายขบวนบรรดาชาวบ้านมาส่งทหารที่ไปศึก บ้างก็เอาของให้ บ้างก็ร่ำลากัน ฯลฯ
เสมาในชุดเครื่องแบบทหารขี่ม้าอยู่ ศรีเมืองกำลังมอบพวงมาลัยดอกรักให้กับเสมา
“ฉันห่วงใยพี่นัก เกรงว่าพี่จักเจ็บหนัก แต่เห็นพี่แข็งแรงเช่นนี้ก็ให้ดีใจเหลือเกิน”
“ขอบน้ำใจเจ้านักศรีเมือง พี่จักเก็บมาลัยของเจ้าไว้ เป็นมงคลแก่พี่”
ศรีเมืองเขินอาย
“แล้วพี่รู้หรือไม่ ว่ามาลัยดอกรักนี้...”
ขณะนั้น เสมาเหลือบไปเห็นเรไร ศรีเมืองหันมองตามทางสายตาเสมาไป ศรีเมืองหน้าจ๋อยไปทันที เสมารีบตัดบท
“พี่ต้องไปแล้ว ขอให้เจ้าจำเริญเถิดศรีเมือง”
“ขอให้พี่แคล้วคลาดจากภยันตรายทั้งปวงนะจ๊ะ”
เสมาไม่ทันฟังศรีเมืองจนจบคำก็ขี่ม้าเหยาะๆ ไปหาเรไรทันที เล่นเอาศรีเมืองจ๋อยสนิท เสมารีบลงจากม้าพลางยิ้มแย้มให้เรไรอย่างดีใจ
“แม่หญิงเรไร ข้าพระเจ้าโชคดีนักที่ได้เห็นหน้าแม่หญิง”
เรไรเหล่พวงมาลัยในมือเสมาแล้วหันไปมองศรีเมืองนิดนึงแล้วกล่าวว่า
“คราแรกฉันรู้ข่าวว่าขุนศึกท่านเจ็บไม่น้อย แต่เห็นเช่นนี้ก็ให้เสียดายนัก ไม่น่ารีบร้อนออกจากวังมาเลยเทียว”
เสมาทำยิ้มกรุ้มกริ่ม
“หากแม่หญิงจะออกจากวัง แต่เฉพาะที่เสมาเจ็บหนัก เสมาก็ขอเจ็บเจียนตายเพื่อให้ได้เห็นหน้าแม่หญิงอยู่ทุกวัน”
เรไรตีแขนเสมาเบาๆแล้วทำหน้าดุ
“ปากพล่อยนัก จะไปศึกสงคราม พูดเช่นนี้ได้อย่างไร”
เรไรเหลือบปลายตาไปที่พวงมาลัย
“มาลัยดอกรักนี้งามนัก ดอกไม้อื่นคงสู้มิได้ ฉันคงไม่ต้องให้แล้วกระมัง”
เสมาหน้าเจื่อนไป
“มาลัยนี้แม่ศรีเมืองเป็นผู้ให้ เสมือนน้องอวยพรพี่จะเปรียบกับแม่หญิงได้กระไร”
เสมาไม่เห็นเรไรเตรียมอะไรมาเลยจึงแอบน้อยใจ
เรไรหยิบดอกจำปีจากชายพกขึ้นมา
“ฉันมีดอกจำปีติดมาดอกเดียว มิรู้จะสู้มาลัยดอกรักได้หรือไม่”
เสมาดีใจมากรีบรับดอกจำปีมาแล้วว่า
“จะหาดอกไม้ใด เป็นมงคลแก่ข้าพระเจ้าเท่าดอกจำปีนี้เป็นไม่มีแล้ว”
เรไรแอบทิ้งค้อนอย่างงอนๆ เสมายิ้มสู้มองเรไรด้วยสายตากรุ้มกริ่มจนเรไรได้แต่เขินอายแอบอมยิ้มอย่างมีความสุข
ดวงแขยืนถือมาลัยที่ร้อยอย่างสวยงามมากพวกหนึ่งอยู่ท่ามกลางกลุ่มคน แต่เมื่อเห็นเสมาและเรไร แสดงความรักห่วงใยต่อกันอยู่ก็ริษยาจนออกนอกหน้า ดวงแขสะบัดหน้าพรืดเดินแทรกกลุ่มคนหายไปทันที
เหตุการณ์ทั้งหมดก็ไม่พ้นสายตาของศรีเมือง ศรีเมืองมองตามดวงแขไป ด้วยสีหน้าติดใจสงสัยในความรู้สึกของดวงแขที่มีต่อเสมา
ศรีเมืองกำลังเดินอยู่คนเดียวเพื่อจะกลับเข้าไปในวัง ขณะนั้นเอง เรไรก็เดินผ่านมาเห็นศรีเมืองเข้าพอดี พิณถือข้าวของเดินตามเรไรอยู่ข้างหลัง
“แม่ศรีเมือง” เรไรทัก
ศรีเมืองหันกลับไปมองตามเสียง พอเห็นเรไรก็เดินเข้าไปหาและยกมือไหว้
“ฉันไหว้จ้ะแม่หญิง”
เรไรรับไหว้
“จะกลับวังหรือไม่แม่ศรีเมือง ถ้ากลับก็ไปเรือฉันซี ไม่ต้องเดิน”
“อย่าเลยจ้ะ ฉันเกรงใจแม่หญิง”
“ไม่ต้องเกรงใจดอก ฉันมีเรื่องอยากคุยกับแม่ศรีเมืองด้วย”
ศรีเมืองรู้สึกแปลกใจในเรื่องที่เรไรจะคุยด้วย
บนเรือกลางลำคลอง ทาสชายกำลังพายเรือให้เรไร ศรีเมือง และพิณซึ่งนั่งอยู่
“ว่าจะพูดหลายวันแล้วก็ยังหาโอกาสมิได้ ฉันอยากขอบน้ำใจแม่ศรีเมืองนัก ที่ไปบอกขุนศึกไชยชาญ ว่าฉันจะเข้าพิธีแต่งงานกับหมื่นชาญ”
“พิโธ่ นึกว่าเรื่องกระไร ไม่ต้องขอบอกขอบใจดอกจ้ะ เรื่องเพียงนี้เอง”
เรไรมีบางเรื่องซึ่งคาใจมานานจึงตัดสินใจถามศรีเมืองตรงๆ
“แต่ถ้าฉันออกเรือนไปเสีย แม่ศรีเมืองก็มีหวังในตัวขุนศึกมากขึ้นไม่ใช่รึ”
พิณซึ่งนั่งอยู่สะดุ้งตกใจเพราะไม่คิดว่าเรไรจะกล้าพูด
“แม่หญิงเจ้าคะ เหตุใดพูดเช่นนี้เล่าเจ้าคะ”
ศรีเมืองหัวเราะแล้วว่า
“ไม่เป็นไรดอกแม่พิณ แม่หญิงเรไรพูดตรงเช่นนี้ ฉันชอบ...แม่หญิงเจ้าคะ ฉันรักชอบพี่เสมา แม่หญิงก็แจ้งใจอยู่ แต่ฉันขอถามสักคำว่ารักของแม่หญิงคือกระไรเล่าเจ้าคะ”
เรไรแปลกใจกับคำถามของศรีเมืองจนต้องคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“รักของฉันคือกระไรงั้นรึ เรื่องรักชอบก็มีอยู่ในตัวทุกผู้คน ฉันไม่เห็นจะผิดแผกแต่งต่างกันอย่างไรนี่จ๊ะ”
“ผิดแผกแตกต่างซีเจ้าคะ เพราะรักของศรีเมืองคือ อยากเห็นคนที่ศรีเมืองรักเป็นสุข”
เรไรชะงักไปเล็กน้อย
“ศรีเมืองรู้ว่า ใจพี่เสมามีแต่แม่หญิงเพียงผู้เดียว หากต้องเสียแม่หญิงไป พี่เสมาจะเสียใจมากขนาดไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อเลยเทียว ศรีเมืองจึงไปบอกพี่เสมาเพื่อหาทางช่วยแม่หญิงไงเล่าเจ้าคะ”
เรไรอึ้งไปทันที ไม่คิดว่าศรีเมืองจะคิดอะไรแบบนี้ ต่างจากตัวเองที่เอาแต่หึงหวงเสมาไม่ยอมให้ใคร ความต่างนี้ทำให้เรไรไม่กล้าสู้ตาศรีเมืองจนต้องเบือนหน้ามองไปทางอื่นแทน
ยามบ่ายในเวลาต่อมา ภายในตำหนัก บัวเผื่อนกำลังหัวเราะร่วนชอบใจ
“เออ พิกลนัก ไม่เคยได้ยินว่า ผู้ใดคิดเช่นแม่ศรีเมืองมาก่อน ชะรอยว่า บ้านที่แม่เรือนยอมให้ผัวมีเมียน้อยแต่กลับไม่มีเรื่องหึงหวงร้อนใจ คงคิดเช่นนี้กันกระมัง”
“ฉันไม่ได้พูดให้เห็นเป็นขำนะแม่บัวเผื่อน แม่ศรีเมืองพูดเช่นนี้ เหมือนฉันเป็นหญิงร้าย ใจแคบ หึงหวงชายจนหน้ามืดตามัว ไม่คิดถึงว่าเค้าจะสุขหรือไม่” เรไรพูดหน้าตึง
“แม่เรไรไม่ได้หึงหวงชายอื่นนี่นา หึงหวงแต่ขุนศึกเพียงผู้เดียว หาเป็นกระไรไม่ดอก”
เรไรทิ้งค้อนใส่บัวเผื่อน
“อย่าใส่ใจเลย ต่างคนต่างจิตต่างใจ จะให้แม่เรไรคิดเช่นแม่ศรีเมืองกระไรได้ สำคัญที่ขุนศึกคิดเช่นไรมากกว่า แต่ถ้าขุนศึกไชยชาญคิดเช่นแม่ศรีเมือง ก็น่าหวั่นใจอยู่ดอก”
“เช่นไรรึ”
“ก็แม่ศรีเมืองมิใช่สาวรุ่นเช่นตอนเพิ่งเข้าวัง หากแต่เป็นสาวเต็มตัวแลงามจับตานัก ซ้ำยังใจกว้างเช่นนี้ ชายใดบ้างเล่าจะไม่สิเหน่หา แม่เรไรเพื่อนฉันคงต้องเจอศึกหนักครานี้เป็นแน่” บัวเผื่อนแกล้งแหย่
เรไรหน้าเครียดเข้าทางบัวเผื่อนขึ้นมาทันที เรไรยอมรับว่าศรีเมืองเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวกว่าเอื้อยแตงซะอีก
ในเวลาเดียวกัน ศาลาภายในสวนของตำหนัก ดวงแขนั่งถือมาลัยอยู่ด้วยใบหน้าเซื่องซึม อยากจะเอามาลัยพวงนี้ให้เสมาแต่ก็ทำไม่ได้ ศรีเมืองถือกระจาดใส่ดอกไม้ที่เก็บมาได้เดินผ่านมา พอเห็นดวงแขนั่งใจลอยมือถือพวงมาลัยก็ฉุกใจคิดกับภาพที่เห็นเมื่อเช้าสาย
ศรีเมืองใช้ความคิดเล็กน้อยก่อนจะปั้นยิ้มเดินเข้าไปหาดวงแขเพื่อหยั่งเชิง
“แม่หญิงดวงแข ทำกระไรอยู่หรือจ๊ะ”
ดวงแขชะงักไปเล็กน้อย
“เปล่า ฉันเพียงแต่มานั่งหลบแดดชั่วครู่”
ศรีเมืองแกล้งมองไปที่มาลัยของดวงแข
“อุ๊ย มาลัยนี้แม่หญิงดวงแขร้อยเองหรือจ๊ะ ช่างงามนัก”
“ใช่” ดวงแขพูดเสียงห้วน
“นี่คงร้อยถวายเสด็จพระองค์หญิงกระมัง ขอฉันดูสักนิดได้หรือไม่จ๊ะ”
ดวงแขเสียไม่ได้เลยส่งมาลัยให้ศรีเมืองไป ศรีเมืองรับมาลัยมาดู ก่อนจะแอบเหล่มองดวงแข และจงใจพูดแทงใจดำเพราะความอยากรู้ใจดวงแข
“สมเป็นแม่หญิงดวงแขหาที่ติไม่ได้เลย”
ดวงแขนั่งเชิ่ดคอตั้งอย่างภูมิใจและมั่นใจ
“นี่ถ้าฉันร้อยได้งามสักครึ่งของแม่หญิงก็คงดี พี่เสมาจะได้หวงเก็บไว้ดูนานๆ”
ดวงแขดึงมาลัยจากมือศรีเมืองแล้วขยำขยี้ทิ้งในทันที เล่นเอาศรีเมืองตกใจเพราะนึกไม่ถึง
“แม่หญิงดวงแข เหตุใดทำเช่นนั้นเล่า”
“มาลัยนี้ฉันร้อยเอง จักทำเช่นใดก็ได้ เมื่อร้อยมาแล้วจะให้ผู้ใดก็ไม่ได้ ต้องเก็บไว้ชื่นชมคนเดียว จะมีค่าอันใด ทำลายทิ้งเสียยังดีกว่า” ดวงแขโมโหด้วยเสียงริษยาจับใจ
ดวงแขสะบัดหน้าจากไปปล่อยให้ศรีเมืองมองตามด้วยติดใจสงสัยดวงแขมากยิ่งขึ้น
อ่านต่อหน้า ๔
ขุนศึก ตอนที่ ๗ (ต่อ)
ผ่านเวลาไปสองสามวัน ที่ค่ายพระมหาอุปราชาที่บ้านทวน ทหารจำนวนมากกำลังช่วยกันจับช้างทรงของพระมหาอุปราชาที่อาละวาดอยู่
ช้างทรงร้องลั่น บรรดาทหารกำลังจะเอาเชือกล่ามเพื่อล้อมจับ ต่างถูกเหวี่ยงกันไปคนละทิศละทาง
พระมหาอุปราชาทรงพิโรธที่พวกทหารพม่าจับช้างทรงให้สงบไม่ได้ซักที
“ชักช้ากระไรอยู่ พลายพัทธกอของกูคลั่งใหญ่แล้วไม่เห็นรึ หากช้างกูเป็นกระไรไป กูจะตัดหัวพวกมึงเสียให้สิ้นทั้งโคตร”
พวกทหารกลัวมาก รีบเข้าไปช่วยกันยกใหญ่ ช้างอาละวาดหนักขึ้น ไม่ยอมให้จับง่ายๆ
ทันใดนั้นเองก็เกิดลมพัดแรงขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยจนฝุ่นทรายตลบไปหมดทั่วบริเวณ ลมพัดแรงมาก จนเศวตฉัตรบนหลังช้างทรงหักสะบั้นหล่นลงมา
พระมหาอุปราชาทรงตกพระทัยมากที่เกิดเหตุการณ์ไม่เป็นมงคลเช่นนี้ต่อหน้าพระพักตร์
พะมหาอุปราชาทรงนั่งประทับในกระโจมด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเมื่อตอนหัวค่ำ ในขณะที่โหรหลวงกำลังขีดเขียนกระดานชนวนเพื่อตรวจพระชะตาอยู่ โหรหลวงเครียดหนักจนไม่รู้จะกราบทูลอย่างไรดี
“เป็นกระไรบ้าง ข้าสะเดาะเคราะห์ไปแล้วยังไม่ดีขึ้นอีกรึ จึงมีเหตุเป็นลางร้ายเกิดลมพัดต้องเศวตฉัตรหักเช่นนี้”
โหรหลวงกลัวลนลานรีบยกพนมมือไหว้
“หามิได้พระพุทธเจ้าข้า การครานี้เป็นเพียงเรื่องประจวบเหมาะหาได้เกี่ยวข้องกับพระชะตาไม่พระพุทธเจ้าข้า”
“แน่ใจรึ”
“แน่ใจพระพุทธเจ้าข้า”
พระมหาอุปราชาถอนพระทัยอย่างโล่งอก
“เช่นนั้นข้าก็สบายใจ ศึกครานี้ข้าขัดสมเด็จพ่อไม่ได้จึงต้องมา หาได้เต็มใจไม่ แต่ธนูง้างสายแล้วก็ต้องยิง เป็นทหารออกศึกแล้วก็ต้องรบให้สุดฝีมือ เมื่อไม่มีเคราะห์ร้ายใด ข้าจะได้หมดกังวล พิสูจน์ฝีมือกับองค์พระนเรศให้เห็นประจักษ์กันไป”
ที่โหรหลวงมิกล้ากราบทูลตามตรงเพราะดวงชะตาพระมหาอุปราชถึงฆาตแล้ว
ที่กระโจมพลับพลา ค่ายสมเด็จพระนเรศวรที่ตำบลมะม่วงหวาน สมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรถกำลังนั่งประทับแวดล้อมด้วยบรรดาขุนนาง เช่นพระยาศรีไสยณรงค์ ขุนรามเดชะ พันอิน และขุนนางคนอื่นๆ
“เมื่อคืน พี่ฝันว่าเกิดน้ำท่วมป่ามาจากทิศตะวันตก เสียงอึกทึกนัก พี่จึงเดินลุยน้ำสวนไป พบจระเข้ใหญ่เข้าตัวหนึ่ง สู้กันเป็นสามารถจนพี่ประหารจระเข้ตัวนั้นลงจนได้”
“นับเป็นศุภนิมิตนัก ชะรอยว่าจะเกิดมหายุทธสงครามขึ้น ถึงได้กระทำยุทธหัตถี แลสมเด็จพี่จะได้ชัยชำนะเป็นพระเกียรติยศสืบไปเป็นแน่พระพุทธเจ้าข้า”
“สมพรปากเจ้าเถิด แต่สำคัญกว่าเกียรติยศคือ เราต้องปกป้องแผ่นดินไว้ให้จงได้”
สมเด็จพระนเรศวรทรงมีพระบัญชา
“พระยาศรีไสยณรงค์”
พระยาศรีไสยณรงค์ถวายบังคม
“พระพุทธเจ้าข้า”
“เจ้าจงเร่งยกไปขัดตาทัพที่ดอนระฆัง แล้วส่งทัพออกลาดตระเวนข้าศึก เมื่อรู้เค้าเงื่อนว่า ข้าศึกใช้กระบวนทัพใดจงรีบถอยกลับมาแจ้งแก่เรา”
พระยาศรีไสยณรงค์ถวายบังคม
“รับด้วยเกล้าพระพุทธเจ้าข้า”
ขุนรามเดชะถวายบังคมแล้วกราบทูลว่า
“ขอเดชะ พระอาญาไม่พ้นเกล้า ข้าพระพุทธเจ้ากับพันอินทราชกลาโหม ขอไปทัพด้วยออกญาศรีไสยณรงค์พระพุทธเจ้าข้า”
“เจ้าสองคนอายุไม่น้อยแล้ว ออกทัพหน้าจะดีรึ” พระเอกาทศรถตรัสถามขึ้น
พันอินถวายบังคมกราบบังคมทูลว่า
“ ข้าพระพุทธเจ้าทั้งสองแม้จะชราภาพ แต่น้ำใจยังสู้ หมายปกป้องแผ่นดินจนตัวตาย โปรดประทานพระบรมราชานุญาติด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า”
สมเด็จพระนเรศวรแย้มพระสรวลอย่างพอใจและมีรับสั่งเสียงดัง
“เมื่อเจ้ามีใจเช่นนั้น ก็ตามแต่ใจเถิด ...มีพระบรมราชโองการลงไป เราจะยกทัพเป็นกระบวนเบญจเสนาตามตำราพิชัยสงคราม ให้ทหารทั้งปวงพร้อมทำศึกทุกเมื่อ”
พระยาศรีไสยณรงค์ กำลังเดินคุยกับขัน พุฒ ขุนรามเดชะ และพันอินอยู่ที่ค่ายพระยาศรีไสยณรงค์ ในตอนสาย
“พ่ออยู่หัวทรงไว้วางพระทัย ให้ทัพเราเป็นกองหน้าลาดตระเวนข้าศึก นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณนัก หน้าที่นี้สำคัญ ไม่อาจผิดพลาดได้โดยเด็ดขาด” พระยาศรีไสยณรงค์ว่า
“ท่านเจ้าคุณขอรับ ขอให้ข้าพระเจ้ากับหมื่นทรงเดชะได้เป็นกองตระเวนหน้าเถิดขอรับ ข้าพระเจ้าขอให้คำมั่น ว่าจะหยั่งเชิงข้าศึกให้รู้ตื้นลึกหนาบาง มิให้ท่านเจ้าคุณผิดหวังขอรับ” ขันพูดอย่างเอาใจสุดๆ
“เพลานี้สองทัพใกล้กันนัก การตระเวนมีภัยกว่าเดิมมาก ด้วยมิรู้ว่าข้าศึกจะซุ่มซ่อนกำลังไว้เท่าใด หัวหมื่นทั้งสองแม้จะมีฝีมือแลความกล้า แต่ยังผ่านศึกมาน้อยนักเป็นกองระวังหลังไปก่อนเถิด” ขุนรามเดชะพูดด้วยความเป็นห่วง
พุฒไม่พอใจขึ้นทันที
“ออกขุนท่านพูดเช่นนี้ก็ไม่ถูก พวกฉันตามเสด็จแต่ครั้งเมืองแครง จะว่าผ่านศึกมาน้อยได้เช่นไร แลศึกหนักหนาถึงขั้นตะลุมบอนก็ผ่านมานักแล้ว เพียงแค่ลาดตระเวนจะกระไรหนักหนากันเชียว”
“ครานี้ไม่ใช่ลาดตระเวนทั่วไป ด้วยหงสามีกำลังมากกว่า แลยึดชัยภูมิได้ก่อน ป่านฉะนี้คงรู้แจ้งชัยภูมิโดยรอบดั่งนิ้วในฝ่ามือ หากไม่ระวังจะถูกโจมตีได้โดยง่าย” พันอินว่า
ขันไม่พอใจที่พวกขุนรามมาขัดความดีความชอบ
“ท่านพันอินจะไม่พูดเกินจริงไปรึ หรือมีแต่ท่านเท่านั้น จึงจะลาดตระเวนครานี้ได้”
พันอินชักสีหน้าไม่พอใจทันที พระยาศรีไสยณรงค์พยายามรีบไกล่เกลี่ย
“พอเถิด มาศึกด้วยกัน อย่าแตกสามัคคีกันเองเลย ขุนรามเดชะ พันอินทราชกลาโหม ท่านทั้งสองผ่านศึกมามากหน้าที่นี้ยกให้พวกท่านเหมาะควรแล้ว”
“ขอรับท่านเจ้าคุณ” ขุนรามเดชะกับพันอินรับขึ้นพร้อมกัน
ขณะที่ขันและพุฒจ่างก็ชักสีหน้าด้วยความเจ็บใจ
มุมหนึ่งในค่าย ขุนรามเดชะกำลังจะเดินไปทำงาน ขันเดินตามหลังมาติดๆ
“ท่านอาขอรับ”
ขุนรามเดชะหันกลับมาหาขัน
“มีกระไรรึหมื่นชาญ”
“ข้าพระเจ้าอยากถามท่านอา เรื่องพิธีแต่งของข้าพเจ้ากับแม่หญิงเรไรขอรับ ถึงเพลานี้ก็คลาดแคล้วกันมาหลายคราแล้ว ท่านอายังคงเมตตายกแม่หญิงเรไรให้ข้าพระเจ้าอยู่อีกหรือไม่ขอรับ”
“เหตุใดกล่าวเช่นนั้น อารับปากแล้วไหนเลยจะคืนคำได้ แต่เหมือนกรรมเก่าไม่สิ้นต้องมีเหตุให้เป็นไปทุกครา อาจึงเห็นควรให้หมั้นกันไว้ก่อน ได้ฤกษ์ดีเมื่อใดจึงค่อยจัดงานแต่ง”
ขันหน้าบึ้งตึงไม่พอใจ
“ข้าพระเจ้ารอมาสองปีกว่าแล้ว ต้องรออีกถึงเมื่อใดกันเล่าขอรับ”
ขุนรามเดชะถอนหายใจสีหน้าเครียด
“หมื่นชาญก็เห็นว่า น้ำใจแม่เรไรเด็ดเดี่ยวเพียงใด หากไม่มีพระบรมราชโองการมาก่อน ป่านฉะนี้ แม่เรไรอาจฆ่าตัวตายพร้อมอ้ายเสมาเสียแต่ในวันงานแล้วก็เป็นได้ อาจึงไม่อยากหักด้ามพร้าด้วยเข่าอีก”
“แต่ท่านอาเป็นพ่อจะบังคับให้ลูกเชื่อฟังไม่ได้เลยหรือขอรับ”
ขุนรามเดชะตบบ่าขัน
“บังคับก็ไม่สู้ใจสมัครดอก เชื่ออาเถิด นานวันเข้าแม่เรไรต้องเห็นความชั่วของอ้ายเสมา แล้วตัดใจหันมาหาหมื่นชาญเป็นแน่”
ขันพยายามระงับอารมณ์สุดๆ
“เช่นนั้นก็แล้วแต่ท่านอาเถิดขอรับ”
ขุนรามเดชะยิ้มรับก่อนจะเดินเลี่ยงไป ขณะนั้นเอง พุฒก็เดินออกมาหาขัน พุฒมองตามขุนรามเดชะไป ด้วยสายตาเกลียดชัง
“แย่งความดีความชอบ แล้วยังตระบัดสัตย์ไม่ยกลูกสาวให้อีก เช่นนี้แล้วยังจะทนอยู่อีกรึ”
“แล้วหมื่นทรงจักให้ฉันทำเช่นใดเล่า” ขันว่า
“ฉันเคยบอกแต่เมื่อสองปีก่อนแล้วว่า น้ำใจขุนรามเดชะหาสัตย์ซื่อไม่ หากอยากได้แม่หญิงเรไร ก็ต้อง...”
พุฒหยุดพูดด้วยปากแล้วหันส่งทุกอย่างผ่านสายตาแทน ขันหน้าเสียเมื่อนึกได้ว่า พุฒเคยแนะให้ตนฆ่าขุนรามเดชะเสีย
ช่วงเวลาเย็น ขุนรามเดชะ และพันอิน กำลังนำทหารออกลาดตระเวนหยั่งเชิงข้าศึกอยู่ในป่า พันอินมองไปรอบๆอย่างแปลกใจ
“ประหลาดนัก แถบนี้ก็ใกล้ค่ายข้าศึกแล้ว เหตุใดยังเงียบกริบเช่นนี้ ข่าวว่าหงสายกพลมาถึงสองแสนสี่หมื่น เอิกเกริกเป็นทัพกษัตริย์จะเงียบเช่นนี้ได้อย่างไร”
“ไม่แน่ว่าพระมหาอุปราชาอาจทรงตั้งมั่นในค่ายที่เดียว จึงไม่มีทัพอื่นรายล้อมอยู่ก็เป็นได้ พวกพม่ารามัญแพ้ทัพอโยธยาหลายครา ครั้งนี้จึงรอบคอบระมัดระวังนัก” ขุนรามเดชะว่า
“หากเป็นเช่นนั้นก็ดี แต่ฉันเกรงว่าหงสาจะจัดทัพเป็นหลายกอง คอยซุ่มโจมตีเรามากกว่า”
ขุนรามเดชะยิ้มอย่างมั่นใจ
“ไม่ต้องกลัวไปดอกท่านพันอิน หมื่นชาญณรงค์กับหมื่นทรงเดชะเป็นกองระวังหลังให้เรา หากมีทัพคอยซุ่มโจมตีจริง คงส่งคนมาแจ้งแล้ว”
พันอินพยักหน้ารับเห็นด้วยกับขุนรามเดชะเช่นกัน
ขณะนั้น ทหารพม่าคนหนึ่งซึ่งซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้คอยจับตาดูการเคลื่อนไหวของกองทัพขุนรามดชะทุกฝีก้าว
มุมหนึ่งในป่า ขันและพุฒกำลังฟังรายงานจากทหารคนหนึ่งอยู่โดยมีกองทหารไทยจำนวนมากคอยรับฟังคำสั่ง
“ข้าพระเจ้าเห็นทัพหงสาวดีแบ่งเป็นหลายกองคอยซุ่มซ่อนอยู่ บัดนี้ใกล้จะล้อมทัพขุนรามเดชะไว้ได้แล้ว ขอท่านหมื่นจงเร่งส่งคนไปแจ้งออกขุนรามให้ถอยทัพ ก่อนถูกโจมตีเถิด”
ขันคิดหนักว่าจะเอาไงดี พุฒเห็นท่าทางขันลังเลเลยดึงตัวขันออกมาเพื่อพูดกันสองคน
“ท่านยังหลากใจอยู่อีกรึ ข้าพระเจ้าพูดเพราะรักท่านดอกนะ หากสิ้นขุนรามเสียคนหนึ่งเมื่อใด อันการสู่ขอก็สะดวกนักเพราะมารดาแม่หญิงก็คงปรารถนาให้พ้นอกปกครองไปโดยเร็ว”
เหตุที่ขันลังเลเพราะขุนรามเดชะเป็นเพื่อนพ่อที่ตนเห็นมาตั้งแต่เด็ก
“แต่ท่านอาก็ไม่ได้ตัดรอนเพียงแต่ให้หมั้นไว้ก่อน แล้วเราต้องทำถึงเพียงนี้เชียวรึ”
“ขุนรามเดชะเที่ยวประกาศต่อคนทั้งปวงว่ารับปากโดยวาจาให้แม่หญิงหมั้นกับท่านแล้ว จะยังจัดพิธีหมั้นไปเพื่อกระไรอีก นอกจากขุนรามเสแสร้งผัดผ่อน ข้าพระเจ้าสังเกตเล่ห์ขุนรามมาหลายครั้งหลายหนนานครันอยู่จนหลากใจแทนท่านแล้ว”
ขันคิดตามจนเริ่มคล้อยตามพุฒ ขันขบกรามแน่นด้วยความเจ็บใจ พุฒเห็นดังนั้นก็ใส่ไฟต่อ
“แม่หญิงเรไรนั้นงามนัก มิเพียงแต่ท่านกับอ้ายเสมาเท่านั้นดอกที่พึงใจ ลางทีขุนรามอาจเสแสร้งเพื่อหาคนดีกว่าท่านมาเป็นเขยก็เป็นได้ ท่านจะไว้ใจได้รึ แต่หากมิตรงความคิดหมื่นชาญสืบไปเบื้องหน้า อย่าโทษข้าพระเจ้าว่าไม่รักเพื่อนก็แล้วกัน”
ขันแค้นใจและเริ่มหึงหวงเรไรจนหน้ามืดตามัว
ข้าพระเจ้าเชื่อปัญญาท่าน เมื่อหมื่นทรง
“เห็นการนี้เป็นสมควร ข้าพระเจ้าก็จักเชื่อตามปัญญา”
พุฒยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะหันไปสั่งทหารอื่นเสียงดัง
“พวกเอ็งจงฟัง หากทัพออกขุนรามเดชะถูกซุ่มโจมตี พวกเอ็งจงสงบไว้ อย่าวุ่นวายเป็นเด็ดขาด ขุนรามเดชะกับพันอินทราชจะตีหักฝ่าออกมาเอง”
พวกทหารตกใจมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ไม่คิดว่าพุฒจะสั่งอะไรแบบนี้
“ทัพออกขุนอยู่ในวงล้อมข้าศึก รี้พลเป็นรองมากนัก จะฝ่าออกมาได้อย่างไร” ทหารคนหนึ่งถามขึ้นอย่างร้อนใจ
“เอ็งเป็นแค่หัวหมู่จะรู้กระไร ตามอาญาทัพ หากไม่มีคำสั่งถอยจากแม่ทัพนายกอง ห้ามถอยเป็นเด็ดขาด ถ้าพวกข้าแจ้งให้ขุนรามถอยจะไม่โดนตัดหัวกันหมดนี่รึ” พุฒตะคอกใส่มันที
พอพุฒอ้างอาญาทัพทุกคนก็จ๋อยไป ไม่มีใครกล้าเถียงพุฒอีก
ทันใดนั้น ...ก็มีเสียงปืนดังขึ้นในป่า ทหารไทยคนหนึ่งถูกยิงล้มคว่ำไปทันที ขุนรามเดชะ และพันอิน ซึ่งกำลังควบคุมกองทัพลาดตระเวนอยู่ก็ตกใจพลางตะโกนลั่น
“หาที่กำบัง อ้ายข้าศึกโจมตีแล้ว”
พวกทหารรีบหาที่กำบังตามคำสั่ง แต่ช้าเกินไปเสียแล้ว เพราะทหารพม่าโผล่ขึ้นมารอบทิศ ล้อมทัพของขุนรามเดชะเอาไว้ แล้วระดมยิงปืนยาวเป็นห่าฝนใส่ทันที ทหารไทยล้มตายเป็นใบไม้ร่วง ทหารบางคนพยายามจะวิ่งเข้าไปฆ่าศัตรูก็ไม่สำเร็จ ยังไม่ทันถึงตัวศัตรูก็โดนยิงตายไปก่อน
ขุนรามเดชะและพันอินวิ่งหนีหาที่กำบังหัวซุกหัวซุนหลบรอดไปได้หวุดหวิด
“เหตุใดกองระวังหลังไม่แจ้ง ปล่อยให้ถูกซุ่มโจมตีเช่นนี้ เราจะทำเช่นใดกันดีเล่าออกขุน” พันอินว่า
“ฉันจะส่งพลุสัญญาณให้หมื่นชาญ หมื่นทรงมาช่วย พ่อพันอินนำทหารยันไว้ก่อนเถิด” ขุนรามเดชะว่า
พันอินตะโกนลั่น
“พวกเอ็งทุกคนฟังข้า อ้ายข้าศึกยิงปืนหมดเมื่อใดพวกมันจะบุกเข้ามา พวกเอ็งจงล้อมเป็นวงกลมไว้ ต้านทานพวกมันจนกว่าทัพหนุนจะมาช่วย”
ทหารพม่ายิงปืนเสร็จ ก็ชักอาวุธออกแล้วกรูกันเข้ามาหาพวกขุนรามเดชะ ตั้งใจจะฆ่าให้หมดทุกคน
ทหารไทยภายใต้การนำของพันอินก็ทำตามคำสั่ง ล้อมเป็นวงกลมต้านทานข้าศึกเอาไว้ ในขณะที่ขุนรามเดชะหยิบพลุสัญญาณขึ้นมาจุด พลุสัญญาณ พุ่งตรงขึ้นสู่ท้องฟ้า
หมายเหตุ ปืนสมัยก่อน เสียเวลาบรรจุกระสุนและดินปืนนาน ถ้าอยู่ใกล้ๆกันจะยิงตัดกำลังครั้งเดียวแล้วตะลุมบอนเลย แต่ถ้าอยู่ไกลกัน ก็ยิงได้หลายนัดเพราะมีเวลาบรรจุกระสุน
ขัน พุฒ และเหล่าทหารเห็นพลุสัญญาณขอความช่วยเหลือของขุนรามเดชะ
“ออกขุนรามยิงพลุสัญญาณขอทัพหนุนไปช่วยแล้ว รีบไปกันเถิดขอรับท่านหมื่น” ทหารคนหนึ่งพูดขึ้น
ขันเห็นสถานการณ์คับขันก็ชักลังเลขึ้นมา พุฒเห็นสีหน้าขันจึงพูดกันเบาๆได้ยินกันแค่สองคน
“ครานี้สมคิดแล้ว ท่านมิทำก็โง่หนักหนา ผิว่าสิ้นชีวิตขุนรามเมื่อใด การท่านก็จักสำเร็จแต่โดยง่าย จงยืมดาบหงสาวดีกำจัดเสียเถิด”
ขันได้ลูกยุก็ตัดใจก็หันไปพูดกับพวกทหารทันที
“ยังไม่มีคำสั่งจากออกญาศรีไสยณรงค์ มิว่าผู้ใดก็ห้ามเคลื่อนไหวทั้งสิ้น ผู้ใดไม่ฟังคำข้าจะตัดหัวมันประเดี๋ยวนี้”
พวกทหารหันไปมองหน้ากัน รู้สึกว่าไม่ถูกต้อง แต่เมื่อขันและพุฒไม่ยอมพวกตนก็ไม่รู้จะทำยังไง ขณะนั้นเองก็มีทหารคนหนึ่งควบม้าเข้ามาหาแล้วร้องเรียก
“หมื่นชาญณรงค์ หมื่นทรงเดชะ”
ทหารคนนั้นลงจากม้าทันที ...
“เจ้าเป็นทหารในทัพออกญาศรีไสยณรงค์ไม่ใช่รึ มาทำกระไรที่นี่” พุฒถามขึ้น
“ บัดนี้ทัพของท่านออกญา ปะทะกับทัพหน้าของข้าศึกแล้วกำลังคับขันนัก เหตุใดกองตระเวนของพวกท่านจึงไม่แจ้งข่าวไปเล่า”
ขัน และพุฒตกใจสุดๆไม่คิดว่าเพราะแผนนี้จะทำให้เสียหายหนักขนาดนี้
จบตอนที่ ๗
อ่านต่อ ตอนที่ ๘ พรุ่งนี้