ขุนศึก ตอนที่ ๔
ในเวลาต่อมา ขุนรามเดชะและลำภูกำลังจะขึ้นจากเรือโดยมีพวกทาสขนของตามขึ้นมา ขณะนั้นเอง ขันก็เดินเข้ามาหาและไหว้ขุนรามเดชะ
“ท่านอาขอรับ”
ขุนรามเดชะรับไหว้และยิ้มรับ
“อ้าว พ่อพันฤทธิ์ บังเอิญแท้”
“มิได้บังเอิญดอกขอรับ ข้าพระเจ้าตั้งใจมาดักพบท่านอาขอรับ”
“มีกระไรรึ”
เรไรกำลังคุยกับเสมาอยู่บนเรือนด้วยท่าทีเอียงอาย
“วันนี้เสมามาอ้างห่วงฉัน แต่พรึ่งนี้ก็คงจะห่วงหญิงอื่นกระมัง อย่าไถลหน่อยเลยเพราะใครเค้าก็รู้เท่าทันกันอยู่ ว่าบุรุษนั้นมิได้มีดวงใจเดียวแต่สักคนเดียวเหมือนปากพูด”
“จริงอยู่ที่ใจชายอื่นเค้าหลากหลายไปเอง แต่น้ำใจเสมานี้เปรียบดั่งเนื้อเหล็กในเบ้าหลอม สุดแต่แม่หญิงจะตีแต่งไปตามปรารถนา เมื่อเป็นรูปใดแล้ว เหล็กก็คงอยู่ด้วยลักษณะนั้นเอง ไม่เปลี่ยนเป็นอื่นได้”
เรไรทิ้งค้อน
“พ่อเป็นช่างตีเหล็ก ก็เอาเหล็กมาเปรียบน้ำใจตัว นึกว่าใครจะเชื่อ อันชาติเหล็กไม่วายขึ้นสนิมฉันใด ฉันนั้นหัวใจบุรุษ ก็มิวายสนิมไปได้ดอกพ่อหมื่นศึก”
เสมาเห็นเรไรแง่งอนก็ยิ่งปั่นป่วนใจ จนหักห้ามใจไม่ไหว ค่อยๆโอบเอวเรไร แล้วดึงเข้ามากอดอย่างทะนุถนอม เรไรทั้งตกใจและอาย
“เสมา”
ทันใดนั้นเอง บัวเผื่อนก็เดินขึ้นเรือนมาพร้อมกับพุฒ บัวเผื่อนแกล้งตกใจ
“อุแม่เอ๋ย ตายล่ะซี แม่เพื่อนฉันไฉนจึงเป็นไปกระนี้ มิได้นึกเลย”
เรไร เสมาตกใจมากรีบผละออกจากกันทันที พุฒได้ช่องจึงใส่ไฟกลบเรื่องตัวเองทันที
“เหตุใดแม่หญิงเรไร ช่างไม่รักศักดิ์เสียบ้างเลย ปล่อยให้ชายเพลินเล่นเช่นนี้”
เสมาโมโหพลางว่า
“เอ็งอย่าลบหลู่แม่หญิง หากจะกล่าวโทษก็กล่าวโทษข้าแต่ผู้เดียว แต่ถึงข้าจะผิดก็ยังผิดบนสำนักเรือน หาใช่ริมหนทางแพร่งทางเดินไม่อายผีสางเทวดาเหมือนเอ็งกับแม่หญิงบัวเผื่อนไม่”
พุฒ และบัวเผื่อนยิ่งโกรธที่เสมาแฉออกมา
“ปากพล่อยเสียแล้วหมื่นศึก ฉันไปประพฤติชั่วฉะนั้นรึ จึงมากล่าวย้อนแก่กันเช่นนี้”
พุฒทำหน้าเซ็งๆ
“จะทุ่มเถียงให้ป่วยแก่เพลาเราไยเล่าแม่หญิงบัวเผื่อน หมื่นศึกคงมิยอมผิดคนเดียว จึงกล่าวพอแก้อายไปเท่านั้นดอกกระมัง”
“ข้าแจ้งแก่ใจแล้ว ที่กล่าวเช่นนี้ เพราะจะพรางแผลบัดสีเอาเถิด ถ้าจักชวนวิวาทเพื่อกลบชั่ว อ้ายเสมาก็หากลัวไม่”
ทันใดนั้น ก็ได้ยินเสียงขุนรามเดชะดังขึ้น
“โอหังนัก อ้ายเสมา”
ขุนรามเดชะ ลำภู และขันเดินขึ้นเรือนมา พุฒและบัวเผื่อนมีสีหน้าสะใจที่เป็นไปตามแผน ขณะที่เสมา และเรไร ต่างตกใจอย่างถึงที่สุด
เสมา เรไร ขัน พุฒ บัวเผื่อน นั่งพับเพียบอยู่ที่พื้นหอนั่ง ในขณะที่ขุนรามเดชะกำลังโกรธจัด โดยมีลำภูนั่งอยู่บนตั่งใกล้ๆ ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเพราะเป็นห่วงลูกแต่ก็กลัวเสียชื่อ ทาสคนอื่นๆ อยู่นอกเรือน เพราะเป็นเรื่องอื้อฉาวเลยไม่มีใครอยู่บนเรือนซักคน
“ช่างอดสูนัก บุตรีขุนรามเดชะกลับพาชายมาประพฤติชั่วถึงในเรือน ไม่รักศักดิ์ตน ไม่รักพ่อแม่ คิดแต่จะทำตามใจตัวเหมือนไพร่สกุลต่ำ” ขุนรามเดชะว่า
เรไรร้องไห้สะอึกสะอื้นพลางว่า
“พ่อท่าน ฟังลูกชี้แจงสักครู่ก่อนเถิด ลูกหาได้เลวถึงเพียงนั้นไม่”
เสมาพนมมือไหว้ขุนรามเดชะ
“ได้โปรดเมตตาเถิดพระคุณ อันการนี้แม่หญิงมิได้มีผิดร้ายเป็นมลทินแต่ประการใดๆเลย จึงหาควรไม่ที่จะต้องรับโทษ หากจะลงโทษแล้ว ก็ขอลงโทษด้วยอ้ายเสมาแต่เพียงผู้เดียวเถิด แม้จะตัดหัวอ้ายเสมาเสียบประจาน อ้ายเสมาก็มิปริปาก แต่ขอพระคุณอย่าฟังคำมุสาของคนคดเลย”
“เอ๊ะ หมื่นศึก ใครกันรึที่มุสา ฉันกับพันจบเห็นกับตา พ่อยังจะกล่าวร้ายฉันอีกรึ” บัวเผื่อนว่า
“แม่บัวเผื่อน เสียแรงเราเป็นเพื่อนกันมา เหตุใดแม่จึงใส่ร้ายฉันเช่นนี้ หรือจะเป็นเช่นหมื่นศึกพูด ด้วยแม่กับพันจบกลัวอาญา จึงชิงให้ร้ายฉันกับหมื่นศึกเสียก่อน เพื่อกลบความผิดของตน” เรไรพูดอย่างแค้นใจ
“พอได้แล้วเรไร ประพฤติได้อายแล้วยังทุ่มเถียงมิลดละ หรือจะให้พ่อแม่ต้องอับอายยิ่งกว่านี้” ลำภูทนไม่ไหวจนต้องปรามเรไร
พุฒแสร้งปั้นหน้าอย่างหนักใจแล้วว่า
“เถียงกันเช่นนี้ก็หายุติไม่ เช่นนี้เถิดขอรับพระคุณ เมื่อแม่หญิงทั้งสองเป็นข้าหลวงฝ่ายในก็นำเรื่องขึ้นกราบทูลเสด็จให้ท่านทรงตัดสินเถิด”
ขุนรามเดชะถึงกับหน้าเสีย เพราะกลัวเรื่องถึงเจ้านาย
“พันจบ เห็นแก่หน้าฉันสักครั้ง อย่าได้นำเนื้อความนี้กราบทูลเลย” ขุนรามเดชะว่าแล้วหันไปสั่งเรไรทันที
“แม่เรไร จงกราบแม่บัวเผื่อน พันฤทธิ์ พันจบ แลกล่าวคำขอโทษให้ได้ยินประเดี๋ยวนี้”
เรไรอึ้งไป ก่อนจะร้องไห้ด้วยความแค้นใจ ขันได้ทีรีบปั้นหน้าแสดงความเห็นใจ
“ไม่ต้องดอกขอรับท่านอา เมื่อท่านอาขอ ข้าพระเจ้าทั้งสามก็หาติดใจไม่ แล้วกันไปเถิดขอรับ”
“ไม่ได้ดอก ลูกอามันรักชั่ว จึงต้องลงโทษเสียให้หลาบจำ”
ขุนรามเดชะหันไปสั่งเรไรอีกด้วยเสียงดุเฉียบขาด
“แม่เรไร จะขัดคำพ่อกระนั้นรึ”
เรไรร้องไห้สะอึกสะอื้น แต่ก็เข้าไปไหว้ขอโทษทั้งสามคน
“ฉันขอขมาจ้ะ”
บัวเผื่อน และพุฒ รับไหว้ด้วยสีหน้าสะใจ นอกจากเอาตัวรอดแล้วยังได้แกล้งเรไรอีก ส่วนขันก็เหล่ๆ เสมาด้วยสีหน้าสมน้ำหน้า เสมาสงสารเรไรจับใจ กำหมัดแน่นด้วยความโกรธ รามเดชะตะโกนเรียก
“เหวย มีใครอยู่ข้างล่างบ้างขึ้นมาบนเรือนที”
พิณ และทาสหญิงอีกสามสี่คน รีบขึ้นเรือนมา พิณคลานเข้ามานั่งพับเพียบ
“ลูกข้าประพฤติงามหน้านัก เมื่อชอบเป็นไพร่สกุลต่ำ ข้าก็จักจำไว้เสมือนทาสให้สมแก่หน้า นังพิณ เอ็งจงเอากรวนมาล่ามลูกข้าแล้วขังไว้ในเรือนทาสประเดี๋ยวนี้”
ทุกคนพากันตกใจ ไม่คิดว่าขุนรามจะโกรธขนาดนี้
“พี่ขุน...” ลำภูร้องขึ้นด้วยความสงสารลูก
ขุนรามเดชะรีบตัดบทแล้วสั่งอีก
“เร็วซีวะนังพิณ ข้าสั่ง ไม่ได้ยินรึ”
พิณสงสารเรไร ได้แต่ร้องไห้เข้าไปหาเรไรตามคำสั่งของขุนรามเดชะ
“เจ้าค่ะ … เชิญเจ้าค่ะแม่หญิง”
เรไรร้องไห้สะอึกสะอื้น ทั้งเสียใจและน้อยใจพ่อสุดๆ เสมาทนไม่ไหว คลานเข้าไปกราบเท้าขุนรามเดชะ
“เมตตาเถิดขอรับพระคุณ อย่าลงโทษแม่หญิงถึงเพียงนี้เลย ลงโทษเสมาแทนเถิดขอรับ”
ขุนรามเดชะมองเสมาด้วยสายตาเกลียดชัง
“อย่ามาเข้าขวางเกี่ยวยุ่งเลยหมื่นศึก แลนับแต่นี้สืบไป เจ้าก็มิต้องมาเหยียบเหย้าเรือนเคหาของข้าอีก หรือแม้แต่ลานบ้านก็มิสมควร เข้าใจหรือไม่”
เสมาผงะนิ่งงันไป เรไรลุกตามพิณลงจากเรือนไป แต่ยังหันมามองเสมาด้วยน้ำตานองหน้า ขันเห็นสายตาเรไรที่อาลัยอาวรณ์เสมายิ่งเจ็บแค้นใจ ในขณะที่เสมาหมดทางช่วย ได้แต่มองเรไรด้วยสายตาสงสาร น้ำตาคลอเบ้ายิ่งกว่าโดนเอง พุฒ และบัวเผื่อนแอบสะแหยะยิ้มสมน้ำหน้าเสมา
ในเวลาต่อมา บริเวณเรือนทาส พิณใส่โซ่ตรวนล่ามขาเรไรไว้ทั้งน้ำตา ขณะที่ลำภูนั่งร้องสะอึกสะอื้นอยู่ใกล้ๆ
“แม่หญิงของบ่าว ให้บ่าวโดนล่ามกรวนเองเสียยังจะดีกว่า”
“แม่เรไรเอ๋ย เหตุใดเป็นได้ถึงเพียงนี้ ลูกชาติลูกตระกูลโดยแท้ แต่กลับมาต้องกรวนมิผิดทาสเลย”
เรไรก็ร้องไห้ด้วยความเสียใจและน้อยใจ
“ใช่ลูกอยากจะต้องกรวนดอกจ้ะแม่ แต่จนใจด้วยเป็นคำสั่งของพ่อ เมื่อพ่อเลือกที่จักเชื่อคนอื่นมากกว่าลูก ลูกก็ได้แต่ก้มหน้ารับไปตามกรรม”
“ถึงเพียงนี้แล้ว ยังพูดดั่งไม่สำนึกอีกรึ”
แม้เรไรจะสะอึกสะอื้น แต่สายตาเด็ดเดี่ยว
“ลูกยอมรับโทษ ด้วยเป็นคำสั่งของพ่อ แต่ลูกหายอมรับว่าประพฤติชั่วไม่ แม้จะฆ่าลูกเสียลูกก็มิยอมเป็นอันขาด”
ในเวลาต่อมา พิณเดินปาดน้ำตาด้วยความสงสารเรไร เสมาซึ่งแอบอยู่ พอเห็นพิณก็รีบเข้าไปหาทันทีและถามเรื่องเรไรด้วยความเป็นห่วง
“แม่พิณ แม่หญิงเรไรเป็นกระไรบ้าง”
พิณถึงกับชะงักหน้าเสียเล็กน้อย
“หมื่นศึก เหตุใดยังไม่กลับไปอีกเล่า ท่านขุนสั่งห้ามไม่ให้เหยียบแม้แต่ลานบ้านแล้วไม่ใช่รึ”
“ฉันรู้ แต่ฉันเป็นห่วงแม่หญิงนัก จึงรออยู่ก่อน แลจะอยู่ชำระความแก่อ้ายขัน อ้ายพุฒด้วย ฉันไม่ยอมเสียรู้ให้มันกระทำเล่นฝ่ายเดียวเช่นนี้ดอก”
“วู่วามไปแล้วหมื่นศึก หากพวกท่านปะดาบกันในเขตบ้าน ก็เช่นหักหน้าท่านขุน ท่านขุนคงไม่ยอมเป็นแน่”
เสมาสายตาแข็งกร้าวด้วยความแค้น
“พระคุณนั้นฉันยกไว้เสียคน แต่คนอื่นขอให้ดาหน้าเข้ามาเถิด ข้าศึกเรือนพันเรือนหมื่น ฉันยังไม่เคยหวาดกลัว”
“แต่แม่หญิงของฉันจักพลอยเดือดร้อนไปด้วยน่ะซี เพียงแค่ต้องกรวนถูกจำ ยังมัวหมองไม่พออีกรึ”
เสมาหน้าสลดไป พอคิดถึงเรไรว่าจะเดือดร้อนไปด้วยก็ไม่กล้า
“กลับไปเสียเถิดหมื่นศึก ท่านขุนหายเคืองเมื่อใดก็ปล่อยแม่หญิงเอง พ่ออยู่ มีแต่จักทำให้แม่หญิงต้องโทษหนักขึ้นเท่านั้น” พิณเตือนเสมา
เสมาได้แต่ถอนใจแล้วมองไปที่เรือนของขุนรามเดชะ เป็นห่วงเรไรจับใจ พิณพูดถูกจนต้องยอมรับ
ทาสหญิงคนหนึ่งเปิดประตูเรือนทาสให้ขันเข้าไปหาเรไร ส่วนทาสนั้นก็นั่งรออยู่หน้าเรือนทาสที่ไม่
ได้ปิดประตู เรไรพอเห็นขันเข้ามาก็นึกเจ็บใจ เบือนหน้าไปทางอื่นจนขันหน้าเสีย
“แม่หญิงเรไรเอ๋ย เชิญแม่เหลียวสักหน่อยเถิด ข้าพระเจ้าจักพูดด้วยสักครู่หนึ่ง”
“เชิญท่านพูดเถิด เมื่อท่านได้อำนาจพ่อมาถึงในห้องนี้ จักพูดจาอย่างไรก็พูดเถิด แต่โดยเร็วแล้วก็เร่งออกไปเสีย”
“อย่าเพิ่งด่วนขับไสข้าพระเจ้าเสียก่อนสิแม่หญิง ข้าพระเจ้าสู้ขอพระคุณมาสนทนากับแม่หญิงนี้ก็เพื่อจักช่วยแม่หญิงดอก”
“ช่วยอย่างไรรึ” เรไรเสียงปั้นปึง
ขันยิ้มกรุ้มกริ่มทันที
“แม่หญิงก็แจ้งใจอยู่ว่าข้าพระเจ้าพึงใจในตัวแม่หญิงมาช้านานแล้ว หากแม่หญิงเมตตา พระคุณก็คงจักเห็นแก่ข้าพระเจ้าบ้าง ไม่ลงโทษแม่หญิงสืบไป”
เรไรยิ้มเยาะที่สีหน้าแล้วกล่าวว่า
“พันฤทธิ์เอ๋ย ขอบน้ำใจท่านนัก แต่เรไรนี้ได้ชื่อว่าประพฤติน้ำใจชั่วเกลือกอยู่กับช่างตีดาบ ก็จะขอให้ชั่วไปตลอดเลยตามเลย อย่าได้ทำให้ศักดิ์ท่านต้องเสื่อมเสียด้วยอีกคนหนึ่งเลย”
“แม่หญิงพูดเช่นนี้ ยอมรับแล้วใช่หรือไม่ว่ามีใจให้อ้ายช่างตีเหล็ก” ขันโมโหด้วยความหึง
เรไรสะบัดหน้าไปทางอื่นไม่ยอมตอบ
“เอาเถิด แม่หญิงจงคอยดูสืบไปเถิด เพราะข้าพระเจ้าก็จะคอยดูสืบไปเช่นกันว่า ผิดจากข้าพระเจ้าแล้วใครจักช่วยแม่หญิงได้”
เรไรโมโหที่โดนข่มขู่
“เชิญท่านเถิด เราเป็นหญิงแม้จักต้องอยู่ในอำนาจพ่อ แต่น้ำใจเราหาใช่นางทาสไม่ จึงอยากคอยดูสืบไปอีกเหมือนกันว่า บุรุษไหนเล่าที่จักมาชำนะเราด้วยอำนาจบังคับได้ก็ให้รู้ไป”
ขันและเรไรต่างมองกันด้วยความโกรธเคืองอยากเอาชนะอีกฝ่ายให้ได้ ขันขบกรามแน่น ก่อนจะเดินออกจากห้องไป เรไรมองตามขันไปด้วยความเจ็บใจ กลัวว่าจะโดนทำโทษให้หนักไปกว่านี้
หน้าบ้านพันอินตอนหัวค่ำ เสมากำลังดูแหวนของเรไรด้วยความเป็นห่วงเรไร โดยมีสิน สมบุญ และ
พันอิน อยู่ใกล้ๆ ทุคนแต่งตัวเตรียมไปราชการ มีเพียงสมบุญคนเดียวเท่านั้นที่แต่งตัวปกติเพราะไม่ได้ไปด้วยพันอินตบบ่าเสมาอย่างปลอบใจ
“อย่าเสียใจไปเลยลูกเอ๋ย ครานี้ขุนรามเดชะทำเกินไปนัก หากมิใช่มีราชการ พ่อคงไปพูดจาให้ปล่อยแม่เรไรแล้ว หากไม่ยอมคงต้องขาดสหายกันแต่วันนี้สืบไป” พันอินพูดแล้วยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บใจ
“อย่าเลยจ้ะพ่อพันอิน หากพ่อกับพระคุณต้องบาดหมางกันเพราะฉัน ฉันคงบาปนักหนา เพียงแค่แม่หญิงเรไร ต้องมามัวหมองเพราะความวู่วามของฉันก็ผิดมากแล้ว”
คนสนทนาของพันอินกับเสมา มีศรีเมืองที่แอบฟังการสนทนาอยู่พลางส่งสายตาลอบมองเสมาด้วยความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ฝ่ายเสมาเหลือบตามองไปเห็นเข้าพอดี...ศรีเมืองรีบผลุบหลบไปทันที
“ไว้สิ้นราชการแล้วค่อยย้อนไปอีกก็ได้นาพี่เสมา ผิดนักเราก็ชิงแม่หญิงเรไรออกมาเสียเลย” สินพูดขึ้นด้วยความมันเขี้ยว จนสมบุญต้องรีบปราม
“อ้ายบ้าสิน จะหากรวนให้พี่เสมาอีกเส้นรึ พอ พอเลยเถิดเอ็ง”
สมบุญแหงนมองท้องฟ้าก่อนจะหันไปพูดกับเสมา
“จวนได้ฤกษ์แล้ว ไปกันเถิดพี่เสมา ประเดี๋ยวจะเสียราชการ”
“รอข้าประเดี๋ยว ข้าไปเอาอ้ายแสนศึกพ่ายก่อน”
เสมาเดินกลับเข้าไปข้างในเรือนเพื่อหยิบดาบคู่แสนศึกพ่ายของที่แขวนอยู่ ขณะนั้นเอง ศรีเมืองก็เดินออกมาขวางหน้า
“ศรีเมือง ยังไม่นอนอีกรึ”
ศรีเมืองไม่ตอบแต่จ้องหน้าเสมาแล้วถามว่า
“ฉันให้ประหลาดใจนัก เหตุใดพี่ยังเพียรฝากรักแม่หญิงเรไรอยู่ได้ ทั้งที่ท่านอาขุนรามเดชะ ได้แสดงกิริยารังเกียจพี่ถึงเพียงนี้ แล้วพี่ยังจะหาความเดือดร้อนใส่ตัวไปเพื่อกระไร”
เสมาหน้าขรึมลงแล้วบอก
“เจ้ายังเด็กนักศรีเมือง มิเข้าใจดอก”
“ฉันยังเด็ก หรือพี่มิอาจตอบฉันได้กันแน่”
เสมายิ้มบางๆพลางว่า
“ศรีเมือง หากวันใดที่เจ้ารู้แจ้งว่าความรักเป็นเช่นใดแล้ว วันนั้นเจ้าก็จักเข้าใจพี่เอง เพลานี้เจ้ายังไม่รู้ ก็ป่วยการที่พี่จักกล่าว”
เสมาเดินสะพายดาบจากไป ศรีเมืองมองตามด้วยสายตาเศร้าสร้อยและน้ำตารื้น
“แล้วผู้ใดว่าฉันไม่รู้เล่าพี่เสมา พี่คงไม่เคยแอบชอบใครแต่ฝ่ายเดียวดอกกระมัง”
เช้าวันรุ่งขึ้น พิณยิ้มแย้มดีใจและกำลังไขโซ่ตรวนที่ขาให้เรไร
“คุณพระคุณเจ้าคุ้มครองแท้แม่หญิงของบ่าว มิทันไรท่านขุนก็ปลดปล่อยแม่หญิงแล้ว”
เรไรหน้าขรึมลง สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัยและกังวล
“เจ้าคิดเช่นนั้นรึพิณ แต่ฉันหวั่นใจนัก พ่อท่านเป็นคนโทสะแรง หากปลดปล่อยฉันโดยง่าย คงมีเหตุใดสักประการเป็นแน่”
ในเวลาต่อมา อำพันกำลังพูดคุยสู่ขอเรไรให้ขันต่อหน้าขุนรามเดชะและลำภู โดยพิณและทาสหญิงคนอื่นๆคอยรับใช้อยู่ใกล้ๆ อำพันมองมาทางเรไรด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“หากแต่เคืองผู้อื่นแลมาหวนซัดโทษให้แก่บุตรเช่นนี้เสียเอง ก็ประหนึ่งพ่อตีวัวกระทบคราด มิเสียประโยชน์เรารึ ขอออกขุนปลดปล่อยแม่เรไรเสียเถิด แลหากเมตตา ฉันก็จักขอแม่เรไรไปเป็นลูกอีกคน ออกขุนกับแม่ลำภูจะว่ากระไร”
เรไรหน้าเสียทันทีที่รู้ว่าขันให้แม่มาสู่ขอ ในขณะที่ขันยิ้มกริ่มมั่นใจว่าได้ตัวเรไรแน่
ขุนรามเดชะกับลำภูหันไปยิ้มให้กันเพราะชอบขันเป็นทุนอยู่แล้ว
“แม่อำพันช่างมีเมตตานัก ลูกฉันประพฤติชั่วไม่ถือศักดิ์รักตระกูลยังจะสู่ขอไปอีก แล้วฉันจะขัดกระไรได้”
ลำภูยิ้มแย้มตอบอำพันแล้วหันไปพูดกับเรไร
“เราเองก็มิใช่อื่นไกล เห็นกันมานมนานกาเลแล้ว หากได้ผูกกันอีกชั้นหนึ่ง ฉันคงมีสุขนัก...แม่เรไร จะว่าอย่างไรเล่าลูก”
เรไรอึกอัก หน้าเสียทันที
“ขอลูกได้มีเพลาตรองสักสามสี่วันก่อนเถิดเจ้าค่ะ”
ขุนรามเดชะโทโหขึ้นมาทันที
“บ๊ะ เมตตาถึงเพียงนี้แล้ว ยังจะขอตรองกระไรอีก หรือจะอยู่รออ้ายหมื่นศึกก็ว่ามา”
“พ่ออย่าบังคับให้ลูกรับคำเลยจ้ะ ลูกรับไปตอนนี้ก็หามาจากใจจริงไม่”
“ได้ ขอเพลาตรอง พ่อก็จักให้ แต่เมื่อตรองวันหนึ่งก็ต้องถูกโบยวันหนึ่ง เป็นเช่นนี้ทุกวันจะตกลงหรือไม่”
“ท่านอาขอรับ ระงับโทสะก่อนเถิดขอรับ แม่หญิง...” ขันตกใจถึงกับหน้าเสียทันที
เรไรถือทิฐิพูดสวนขึ้น
“ตกลงเจ้าค่ะ ลูกเห็นควรว่ายุติธรรมดีแล้ว”
ขุนรามเดชะโมโหจนสุดกลั่นที่เรไรท้าทาย
“นังพิณ เอาหวายมา”
พิณกลัวตัวสั่นด้วยความสงสารเรไรจนทำอะไรไม่ถูก ขุนรามเดชะหันไปตวาดย้ำ
“นังพิณ หากชักช้าข้าจะโบยเอ็งเสียอีกคน”
“เจ้าค่ะ...เจ้าค่ะ”
พิณรีบวิ่งลงเรือนไป ซักพักก็กลับมาพร้อมหวายในมือ พิณคุกเข่ายื่นหวายให้ขุนราม
“นี่เจ้าค่ะ”
“ทัพพันทหารหมื่น ก็เคยได้บังคับตัดหัวมาแล้ว ลูกคนเดียวจะขัดขุนรามเอาชนะไปได้ก็ให้รู้ไปเถิด”
ขาดคำ ขุนรามเดชะก็โบยหวายลงที่กลางหลังของเรไรทันที เรไรกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดคว่ำหน้าลงกับพื้นตามแรงหวายที่หวดลงมา อำพันและขันถึงกับหน้าเสียไป ขุนรามหวดซ้ำไปอีกที สองที ลำภูทนเห็นภาพที่เรไรถูกขุนรามเดชะลงโทษไม่ไหวจึงร้องไห้และวิ่งเข้าไปกอดบังเรไรไว้
“พอเถิดท่านขุน”
ขุนรามชะงักทันที ลำภูร้องไห้สะอึกสะอื้น
“ท่านขุนจะเฆี่ยนลูกก็เฆี่ยนฉันแทนเถิด เพราะหากแม่เรไรเป็นกระไรไป ฉันก็คงอยู่ไม่ได้เช่นกัน”
อำพันหน้าเสียไม่คิดว่าเรื่องจะเลยเถิดไปขนาดนี้
“เห็นแก่ฉันเถิดออกขุน เพราะเหตุที่ฉันมาสู่ขอจนแม่เรไรต้องโดนโบยเช่นนี้ ฉันคงหาความสบายใจมิได้เลย”
“นังพิณเอามันกลับไปเรือนทาสให้พ้นตากู” ขุนรามเดชะสั่ง
“เจ้าค่ะ”
พิณกับทาสหญิงสองสามคนรีบกุลีกุจอประคองเรไรขึ้นมา เรไรร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด แต่ยังหันไปมองขันด้วยสายตาแข็งกร้าวไม่ยอมแพ้ ขันเห็นสายตาเรไรก็หวั่นใจจนไม่กล้าสบตาต้องเบือนหน้าหนี พิณและทาสหญิงประคองเรไรลงจากเรือนไป
ภายในเรือนทาส เรไรนอนคว่ำให้พิณทายาโดยมีลำภูนั่งร้องไห้สงสารลูกอยู่ใกล้ๆ เรไรแสบแผลที่ถูกยาทาจนต้องร้องออกมา “โอ๊ย” พิณน้ำตาคลอ ด้วยความสงสารเรไร
“อดทนหน่อยเถิดนะเจ้าคะแม่หญิง แผลจักได้หาย พิโธ่เอ๋ย ผิวงามแท้ ไม่ควรต้องเป็นรอยหวายเลย”
“ให้เป็นไปเถิดพิณ โดนเฆี่ยนเป็นรอยหวาย ยังดีกว่าถูกบังคับใจกัน”
“เหตุใดพูดเช่นนี้เล่าแม่เรไร ลูกโดนโบย ก็เหมือนหัวใจแม่โดนกรีดให้เป็นแผลไปด้วย” ลำภูพูดพลางน้ำตาไหลเป็นทางอาบแก้ม
เรไรสงสารแม่ จับมือแม่มาแนบแก้ม
“แม่เจ้าขา แม่ของลูก”
“แม่ประหลาดใจนัก อ้ายเสมามีกระไรดีกว่าพ่อขัน ลูกถึงได้ยอมเจ็บตัวเพื่อมันถึงเพียงนี้”
เรไรน้ำตาคลอเบ้าไม่ตอบคำถามใดๆของลำภู
สมบุญกำลังคุยกับพิณที่นั่งหน้าเศร้าๆอยู่ที่บ้านของเสมา ส่วนเอื้อยแตง ศรีเมือง มั่น บุญเรือนกำลังช่วยกันทำงานทั่วไปอยู่ในบ้านเพื่อเตรียมอาหารไว้กินในยามศึกสงคราม บ้างก็เอาเอากระด้งมาร่อนหาเศษกรวด เศษดินออกจากข้าว ช่วยกันทำกล้วยตาก ข้าวตาก
สมบุญตกใจที่ได้ยินพิณเล่าให้ฟัง
“ถึงโบยกันเลยรึแม่พิณ”
พิณพยักหน้าน้ำตาคลอ
“ฉันสงสารแม่หญิงจับใจจึงรีบเอาความมาบอก แล้วนี่หมื่นศึกจะกลับเมื่อใดจะได้ช่วยกันคิดหาทางช่วยแม่หญิง”
“ฉันไม่รู้ดอก พี่เสมาเป็นแต่แม่กองลาดศึก จะได้กลับเมื่อใดก็สุดแต่พระคุณที่เป็นแม่ทัพท่าน”
มั่นถอนใจเฮือกแล้วว่า
“เมื่อแรก ฉันก็คิดว่าอ้ายเสมามันเหิมเกริม คิดหมายลูกท่านแต่ผู้เดียว แต่ดูท่าแม่หญิงเรไรคงมีใจตอบมันเป็นแน่”
ทั้งเอื้อยแตงและศรีเมืองได้ยินที่มั่นพูดถึงกับหน้าสลดทันที
“ฉันหวั่นใจว่าจักเกินวาสนามัน ท่านขุนคงไม่ยอมดองกับไพร่เช่นพวกเราเป็นแน่ ไม่เช่นนั้นจะถึงกับโบยเพื่อให้แม่หญิงรับคำพันฤทธิ์ดอกรึ” บุญเรือนว่า
“แต่แม่หญิงเรไรน้ำใจเด็ดเดี่ยวนัก ถึงกับยอมถูกใส่กรวนจำไว้ในเรือนทาส แลถูกโบยจนเนื้อแตก ก็ไม่ยอมรับคำ จะมีหญิงสักกี่คนในอโยธยาที่จักทำเช่นนี้ได้เล่า” เอื้อยแตงบอก
ศรีเมืองพูดด้วยสีหน้าเครียด
“ถึงจะน่านับถือ แต่จักทนอาญาไปได้นานเท่าใด หากท่านอาขุนรามโบยตีทุกวันดังปากว่า ไม่นานแม่หญิงคงรับคำพันฤทธิ์เป็นแน่ พันฤทธิ์ผู้นี้ก็ช่างกระไรเลย เพื่อจะได้หญิงมาครองถึงกับดูดายให้ใช้กำลังเฆี่ยนตี อย่าว่าแต่มิสมเป็นทหารเลยมิสมเป็นชายเสียด้วยซ้ำ”
ทันใดนั้นเอง จำเรียงก็เดินออกมาจากข้างในด้วยความโกรธเพราะยังหึงหวงขันอยู่
“เป็นเท็จ เป็นเท็จทั้งสิ้น ฉันไม่เชื่อเป็นอันขาดว่า พี่พันฤทธิ์จะไปสู่ขอแม่หญิงเรไรโดยใจสมัคร แลถึงกับยอมให้เฆี่ยนตีเพื่อให้ได้แม่หญิงมา ฉันจะไปฟังคำจากปากพี่พันฤทธิ์เอง”
จำเรียงเดินฉับๆไปทันที ท่ามกลางความตกใจของทุกคน
“พี่จำเรียง อย่าไปจ้ะ พี่จำเรียง” ศรีเมืองร้องเรียกขึ้น
เอื้อยแตงหันมาตวาดแว๊ดใส่สมบุญ
“ยืนโง่เง่าอยู่ทำกระไร รีบตามไปซี”
สมบุญตกอกตกใจ รีบตามจำเรียงไปทันที
อ่านต่อหน้า ๒
เกร็ดความรู้เกี่ยวกับขุนศึก
๒๕. พระราชวังจันทรเกษม สร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชา เพื่อเป็นที่ประทับของสมเด็จพระนเรศวร และต่อมาได้กลายเป็นที่ประทับของพระมหาอุปราชพระองค์อื่นแห่งกรุงศรีอยุธยาด้วย โดยชาวบ้านมักจะเรียกติดปากกันว่า “วังหน้า”
๒๖. โปรตุเกส เป็นชาวตะวันตกชาติแรก ที่เข้ามาในประเทศไทย
ในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 โดยการเข้ามาในระยะแรก ได้เข้ามาทำการค้าขาย และเผยแพร่ศาสนาคริสต์เป็นหลัก ต่อมาถึงได้เข้ามาเป็นทหารอาสาช่วยทำการรบ ให้กับกรุงศรีอยุธยา
.........................................................................................................
ขุนศึก ตอนที่ ๔ (ต่อ)
จำเรียงเดินลิ่วมาด้วยความโกรธ หึงหวง สมบุญรีบตามมาแล้วดึงแขนจำเรียงไว้ จำเรียงสะบัดแขนออกด้วยความโกรธ
“รอก่อนแม่จำเรียง”
“พี่อย่ามาห้ามฉัน ฉันจะไปฟังคำพี่พันฤทธิ์ หากไม่จริงทุกคนจะได้รู้ ไม่กล่าวร้ายพี่พันฤทธิ์อีก”
“แล้วแม่จะพบตัวพันฤทธิ์ได้กระไร ไปหาที่บ้านมาหลายคราแล้วไม่ใช่รึ ก็มิได้เห็นหน้าสักคราเดียว”
จำเรียงหน้าเสียเพราะลืมคิดข้อนี้ไป สมบุญถอนหายใจ
“หากอยากเจอตัวพันฤทธิ์ก็มากับฉันเถิด ครั้งเป็นทาสออกขุนรามท่าน ฉันเคยไปที่เรือนพันฤทธิ์หลายคราพอจะรู้ลู่ทางอยู่บ้าง”
“เช่นนั้นพี่ก็นำฉันไปเถิด ฉันอยากพูดคุยกับพี่พันมานานแล้ว”
“ตามมาทางนี้”
สมบุญเดินนำไป จำเรียงยิ้มดีใจรีบเดินตามสมบุญไปติดๆ
เวลาต่อมา สมบุญพาจำเรียงลอบเข้ามาในบ้านขัน สมบุญมองไปรอบๆเพื่อความแน่ใจ ก่อนจะรีบพาจำเรียงเข้าใต้ถุนเรือนทันที ขณะนั้นเองก็ได้ยินเสียงขันดังออกมาจากบนเรือน
“แม่พูดเช่นนี้ เหมือนจะให้ลูกตัดใจจากแม่หญิงเรไรเสีย”
บนเรือน ขันกำลังคุยกับอำพันและดวงแขอยู่
“ก็แล้วพ่อขันจะให้แม่ตากหน้าไปสู่ขออีกรึ หญิงเค้าไม่รักถึงขั้นยอมถูกโบยแล้ว ถ้าแม่ยังไปอีก ก็เป็นดั่งอันธพาลข่มเหงน้ำใจกันแล้ว” อำพันว่า
“ฉันรู้ใจแม่เรไรดี พี่ยิ่งถืออำนาจ แม่เรไรยิ่งไม่ยอมเฉกเช่นไม้ใหญ่ยอมถูกลมพายุโค่น แต่ไม่ยอมลู่ตามลมดังต้นอ้อ เสียดายที่ฉันอยู่ในตำหนักเพิ่งรู้ความ หาไม่แล้ว ฉันคงไม่ยอมให้พี่ทำเช่นนั้นเป็นแน่” ดวงแขว่า
“อย่ากล่าวโทษพี่เลยแม่ดวงแข ใครเล่าจะรู้ว่าแม่หญิงเรไรจะดื้อรั้นถึงปานนี้ หากรู้ พี่คงใช้วิธีอื่นไปเสียแล้ว”
“แม่ว่าพ่อขันตัดอกตัดใจเสียเถิด หญิงอื่นที่คู่ควรด้วยพ่อขันยังมีอีกมาก อย่างแม่จำเรียงนั่นปะไร หน้าตารึก็สะสวย กิริยาก็งาม แม้สกุลไม่สูง แม่ก็หารังเกียจเดียดฉันไม่”
ขันถึงกับเบะปากอย่างดูถูก
“นังจำเรียงรึขอรับ ชาติไพร่ต่ำสกุลเช่นนั้น จะให้ลูกคว้ามาเป็นศรีเรือนได้เช่นไรที่ลูกเกี้ยวพาราสี ก็เพียงแต่จักหยามน้ำมะหน้าอ้ายเสมามันเท่านั้น”
จำเรียงได้ยินเต็มสองหูถึงกับน้ำตาร่วงเผาะด้วยความเสียใจอย่างสุดๆ สมบุญมองจำเรียงด้วยความสงสาร ครั้นจะปลอบใจก็ไม่สะดวกเนื่องจากอยู่ใต้ถุนเรือนบ้านขัน
“เช่นนั้นพี่ขันก็มองหญิงอื่นเถิด อย่างไรเสีย แม่เรไรก็เจ็บทั้งกายแลใจเพราะพี่ คงสิ้นหนทางจะครองคู่กันได้แล้ว”
ขันไม่ยอมละทิฐิที่จะเอาชนะเรไร
“พี่ไม่ยอม ถึงอย่างไรพี่ก็ไม่ยอม พี่ปองรักแม่หญิงเรไรมานานปีแล้ว หากมิใช่เพราะอ้ายเสมา แม่หญิงคงรับรักพี่ไปเสียนานแล้ว”
จำเรียงเอามือปิดปากร้องไห้ไม่ให้เสียงดัง แต่ทนฟังต่อไม่ไหวจนต้องวิ่งหนีออกไป สมบุญรีบตามไปด้วยความเป็นห่วงทันที
ที่กลางป่า เวลากลางคืน เสมานั่งผิงไฟอยู่คนเดียว มือซ้ายลูบลำแหวนของเรไรที่นิ้วก้อยขวาไปมาอยู่ตลอดเวลา ขณะที่พันอินกับทหารคนอื่นๆ จับกลุ่มพูดคุยกัน บางคนก็นอนหลับรอบกองไฟ พันอินเหลือบไปเห็นเสมานั่งอยู่คนเดียวจึงเดินเข้าไปหา
“หักใจเสียบ้างเถิดลูกเอ๋ย พ่อให้คำมั่นแก่เจ้าว่า สิ้นราชการเมื่อใด พ่อจักไปออกปากช่วยแม่เรไร หากขุนรามไม่เห็นแก่หน้า พ่อก็จักไปขอออกญาผู้ใหญ่ท่านอื่นให้ช่วยเหลือ”
เสมายกมือไหว้
“ขอบพระคุณพ่อพันอินขอรับ ลูกห่วงแม่หญิงเรไรนัก หากไม่ติดราชการ ลูกคงไม่ยอมจากมาเช่นนี้เป็นแน่”
พันอินตบบ่าเสมาเป็นเชิงเห็นใจและเข้าใจ
ขณะนั้นเอง สินก็วิ่งกระหืดกระหอบมาถึง สินพูดอย่างเหนื่อยหอบหายใจหายคอแทบไม่ทัน
“พี่เสมาๆ พ่อพันอิน ฉัน...ฉันเจอทัพข้าศึกแล้ว แต่... แต่..” สินหอบแฮ่ก
“แต่กระไรวะ อ้ายสิน...” เสมาถามด้วยความแปลกใจ แววตาสงสัย
ในเวลาต่อมา เสมา สินและพันอิน ทั้งสามคนซุ่มดูอยู่จากระยะไกลเห็นค่ายทหารพม่าใหญ่โตมาก มีกระโจมนับพันหลัง ทหารเดินกันเต็ม จุดคบไฟสว่างไสวเหมือนตอนกลางวันไม่มีผิด พันอินเห็นแล้วก็อึ้งไป
“รบมาจนแก่ ไม่เคยเห็นทัพใดใหญ่โตปานนี้มาก่อน”
สินเครียดหนักหันไปพูดกับเสมา
“เพียงแค่แสงจากคบไฟ ก็สว่างดั่งกลางวันแล้ว ไพร่พลคงเรือนแสนเป็นแน่ จะทำเช่นใดดีพี่เสมา”
เสมานิ่งขรึมลงยิ่งเห็นความใหญ่โตของทัพศัตรูก็ยิ่งต้องใช้ความคิดให้รอบคอบที่สุด
ผ่านเวลา 7-8 วัน สมเด็จพระนเรศวร และสมเด็จพระเอกาทศรถ เดินผ่านประตูในวังออกมาในตอนกลางวันด้วยสีพระพักตร์เคร่งขรึมเอาจริงโดยมีทหารจำนวนมากถืออาวุธครบมือยืนตั้งแถวรอรับ สมเด็จพระนเรศวรทรงตรัสดังพระสุรเสียงดัง กึกก้อง เฉียบขาด
“สั่งการลงไป ให้เจ้าพระยากำแพงเพชร สมุหกลาโหม จงยกทัพออกหยั่งเชิงข้าศึก ณ ทุ่งชายเคือง แลเตรียมทัพให้พร้อม เราจะรับศึกพระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรง”
ขุนรามเดชะ และขุนนางคนอื่นๆทยอยกันออกมาจากวัง หลังจากเสร็จงานราชการ ขันและพุฒยืนรออยู่ พอเห็นขุนรามเดชะ ก็รีบเข้าไปไหว้ทันที ขุนรามเดชะรับไหว้แล้วยิ้มรับ
“นี่รออาอยู่รึ พ่อพันฤทธิ์ พ่อพันจบ”
“ขอรับ ข้าพระเจ้ากับพันจบต้องไปทัพท่านเจ้าพระยากำแพงเพชร จึงให้เป็นห่วงแม่หญิงเรไรนัก”
ขุนรามเดชะแปลกใจ
“ห่วงเรื่องกระไร หรือพันฤทธิ์อยากให้อาปลดปล่อยแม่เรไร แต่ถ้ากระทำเช่นนั้น แม่เรไรคงไม่รู้ผิดชอบชั่วดี ข้องแวะกับอ้ายเสมาให้อาเคืองใจอีกเป็นแน่”
“เพราะเช่นนี้ดอกขอรับ ข้าพระเจ้าจึงห่วงแม่หญิงนัก กลัวว่าระหว่างศึก อ้ายเสมาจะมาทำให้แม่หญิงมัวหมองอีก จึงอยากขอเมตตาท่านอาตบแต่งแม่หญิงพอเป็นพิธีไว้เสียก่อน สิ้นศึกเมื่อใด ค่อยส่งเข้าหอตามธรรมเนียมต่อไป”
“ใช่ว่าอาไม่เมตตาดอกนะ แต่พ่อขันก็เห็นกับตาแล้วว่า แม่เรไรนั้นดื้อรั้นนัก แม้ลงหวายทุกวันยังไม่ยอมรับคำ แล้วจักให้อาทำเช่นใด”
พุฒยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วว่า
“ข้าพระเจ้ามีหนทางขอรับ แต่ไม่ทราบว่าพระคุณจะเห็นดีด้วยหรือไม่”
ขุนรามเดชะมองพุฒด้วยความแปลกใจ ไม่รู้ว่าพุฒมีแผนอะไรถึงจะทำให้เรไรยอมแต่งกับขันได้
เรไรนอนซมทั้งยังถูกล่ามขาไว้อีก เมื่อใดที่ขยับตัวเป็นต้องเจ็บปวดแผลที่แผ่นหลังจนต้องร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ขณะนั้นเอง ก็มีเสียงก๊อกๆแก๊กๆดังขึ้นที่หน้าต่าง เรไรหันไปมองตามเสียง
“ใครกัน”
ทันใดนั้นเอง หน้าต่างก็ถูกเปิดออก เสมาที่ปีนหน้าต่างเข้ามาและรีบเข้ามาหาเรไรทันที
“แม่หญิง”
“หมื่นศึก ท่านกลับจากลาดศึก”
เรไรพูดไม่ทันจบ เสมาก็ดึงเรไรเข้ามากอดด้วยความห่วงใย สงสารจับใจ เรไรอึ้งไปครู่รู้ว่าไม่ดี แต่อ้อมกอดของเสมาอบอุ่นและเต็มไปด้วยความห่วงใย โดยปราศจากการลวนลามจนเรไรได้แต่นิ่งอึ้งในอ้อมกอดของแสมา ก่อนจะค่อยๆกอดเสมาตอบ แล้วหลับตาพริ้มอย่างมีความสุข
“โอ๊ย” เรไรเจ็บแผลที่หลังขึ้นมาจนต้องร้องออกมา
เสมาตกใจเมื่อเห็นแผลจากรอยหวายบนหลังของเรไรทั้งที่หายแล้วเหลือรอยจางๆ กับแผลใหม่ที่เพิ่งถูกเฆี่ยนไม่ต่ำกว่า 8-9 แผล เสมาสงสารจับใจ
“แม่หญิง นี่แม่หญิงโดนถึงเพียงนี้เลยรึ”
เรไรน้ำตาคลอเบ้าเบี่ยงตัวหลบแผลทั้งน้อยใจเสียใจที่พ่อทำกับตนแบบนี้ เสมาเช็ดน้ำตาให้เรไรอย่างทะนุถนอม
“เรไรแม่เอ๋ย จงนิ่งเสียเถิด เสมาได้เห็นแม่มื้อนี้แล้วหัวใจสั่นนัก เสียทัพต้องล่าแก่ตองอูร้อยครั้ง มิช้ำหัวใจเหมือนบัดนี้เลย”
“ฉันก็เช่นกันเสมา แต่อีกใจก็ปลาบปลื้มนักที่พ่อยังไม่ลืมฉัน”
“ความตายเท่านั้นดอก ที่จะพรากเสมาจากแม่ได้”
เสมาเหลือบเห็นโซ่ตรวนที่ขาเรไรยิ่งแค้นจัดจับโซ่ตรวนขึ้นมาแล้วกล่าวว่า
“โซ่เช่นนี้ อย่าเก็บมันไว้เป็นเสนียดแก่ข้อเท้าแม่เลย”
เสมาออกแรงด้วยความแค้น ง้างปอกเหล็กที่ตรวนจนหัก แล้วโยนโซ่ทิ้ง
“อ้ายเสมาขอสาบาน แม้เสร็จศึกแล้ว อ้ายเสมามิได้ความดีมาถวายสมเด็จพระราชโอรสท่านจนปลดแม่หญิงได้ อ้ายช่างตีเหล็กนี้แหละแม่เอ๋ยจะเชือดคอตัว แต่อรินั้นก็จะประหารเสียมิให้เหลืออยู่ข่มเหงใจแม่หญิง”
เรไรน้ำตาคลอด้วยความปลื้มใจ
“เช่นนั้น ฉันก็จักขอตายด้วยคมมีดในอโยธยานี้ แม้ฉันมีญาติก็เหมือนไร้แล้ว หากเสมาสิ้นอีก ฉันก็มิสมควรที่จะอยู่”
“แม่หญิง ยอดใจเสมาเอ๋ย”
เสมาและเรไรต่างกอดกันด้วยความรักอันเต็มเปี่ยม ยิ่งถูกขัดขวางเท่าไหร่ ความรักของทั้งคู่ก็มั่นคงมากขึ้นทุกที
ขณะนั้นเองก็มีเสียงก้อนหินปามาที่หน้าต่างเป็นการส่งสัญญาณว่ามีคนมา
“อ้ายสิน อ้ายสมบุญ ปาหินเตือนว่ามีคนมาแล้ว”
“เช่นนั้นก็รีบไปเถิด อย่าให้มีเรื่องวิวาทแก่พ่อท่านอีกเลย”
เสมามองเรไรนิ่งอยู่ครู่นึงก่อนจะดึงเรไรเข้ามาสวมกอดอีกครั้ง เรไรรีบผละตัวออกด้วยความเป็นห่วงเสมา
“เจ้ารีบไปเถิด”
เสมามองหน้าเรไรอย่างตัดใจแล้วรีบปีนหน้าต่างหนีไปตามที่เรไรบอก เรไรมองตามเสมาไปแล้วน้ำตาก็เอ่อคลอขึ้นมา
สักครู่หนึ่งต่อมา พิณเดินนำเรไรขึ้นเรือนมา เรไรตกใจที่เห็นขุนรามเดชะ ลำภู ขัน พุฒ และ พระยาท่านหนึ่งนั่งรออยู่ก่อนแล้ว ฝ่ายเสมา สิน และสมบุญ ลอบเข้ามาที่ใต้ถุนบ้านเพื่อแอบฟังการสนทนา
ลำภูรีบเข้าไปหาเรไรด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“แม่เรไรของแม่ มาพอดีเทียว ไปกราบท่านเจ้าคุณผู้ใหญ่ก่อนเถิดลูก”
เรไรเดินเข้าไปกราบพระยา
“หลานขอกราบท่านเจ้าคุณเจ้าค่ะ”
“จำเริญสุขเถิดแม่เรไร เห็นมาแต่น้อย ไม่คิดเลยว่าจะได้มาผูกข้อไม้ข้อมือให้แม่เรไรวันออกเรือนเช่นนี้” พระยายิ้มแย้มพลางเอ่ยชึ้น
เรไรตกใจสุดๆ ไม่คิดว่าพ่อแม่จะจับตนมัดมือชกแต่งงานกับขัน
บริเวณใต้ถุนเรือน ทุกคนต่างรู้สึกแปลกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น
“กระไรกันพี่เสมา เหตุใดแม่หญิงของพี่ถึงจะออกเรือนเสียเล่า” สินว่า
เสมาไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
บนเรือน ขุนรามเดชะยิ้มแย้มพลางยกมือไหว้พระยา
“เป็นพระคุณเหลือเกินขอรับ ที่ท่านเจ้าคุณเมตตาแก่แม่เรไรแลพ่อพันฤทธิ์”
ขุนรามเดชะหันไปพูดกับเรไร และขัน
“จวนได้ฤกษ์แล้ว แม่เรไร พ่อพันฤทธิ์ ไปให้ท่านเจ้าคุณผูกข้อไม้ข้อมือเสียเถิด”
“แต่...”
ขุนรามเดชะพูดเบาๆ ปรามเรไร
“ลูกจะเนรคุณพ่อกับแม่ให้ต้องเสื่อมเสียหน้ารึ พ่อนับถือท่านเจ้าคุณมานาน หากต้องหมางใจกัน แม่เรไรก็อย่าเรียกพ่อว่าพ่ออีกเลย”
“เหตุใดพ่อท่าน ทำกับลูกเช่นนี้”
ขันปั้นยิ้มแล้วรีบตัดบท
“แม่หญิงเรไรคงเห็นว่างานพิธีไม่สมหน้าสมตากระมัง แต่ข้าพระเจ้าต้องไปศึกแต่คืนนี้จึงจำต้องทำพอเป็นพิธีไปก่อน สิ้นศึกเมื่อใดจักจัดงานให้สมศักดิ์แม่หญิงเป็นแน่”
“จวนได้ฤกษ์แล้ว รีบเถิดแม่หญิง หากเสียฤกษ์ไปจะไม่เป็นมงคล” พุฒว่า
เรไรหันไปมองหน้าขุนรามเดชะที่กำลังถลึงตาจ้องกลับเป็นเชิงบังคับ
ใต้ถุนเรือน
“ทำกระไรดีพี่เสมา จะผูกข้อไม้ข้อมือกันแล้วนา” สมบุญถามขึ้นอย่างร้อนใจ
“บุกชิงตัวเลยดีหรือไม่พี่เสมา ผิดนักก็แค่ตาย” สินว่า
เสมาคิดหนักก่อนจะรีบวิ่งออกจากใต้ถุนไปทางท้ายเรือนทันที
“จะไปไหนพี่เสมา” สมบุญร้องถาม
“ตามไปซีวะ” สินว่า
สิน และสมบุญแปลกใจ แต่ก็รีบตามเสมาไปทันทีเช่นกัน
บนเรือน เรไรเห็นสายตาพ่อแล้วก็หันไปมองลำภูซึ่งหลบตาไม่ยอมมอง เรไรได้แต่เบือนหน้า น้ำตาท่วม แต่ก็ยอมคลานเข่าไปนั่งคู่กับขัน แล้วก้มลงกราบพระยาที่นั่งเป็นประธานในพิธี ขันยิ้มปลาบปลื้มใจหันมองเรไรซึ่งน้ำตาร่วงอย่างกลั้นเอาไว้ไม่อยู่ ท่านพระยากำลังจะให้พร
“ขอให้คุณพระ...”
ทันใดนั้น ก็มีเสียงเอะอะดังลั่นขึ้นที่ด้านหลังเรือน
“ไฟไหม้ ไฟไหม้เรือนแล้ว เจ้าข้าเอ๊ย ไฟไหม้” ทาสชายคนหนึ่งร้องขึ้น
ขัน พุฒ และขุนรามเดชะตกใจรีบตรงไปที่หลังเรือนทันที ปล่อยให้เรไร ลำภู พิณ พระยา ยืนตกใจอยู่บนเรือนงงไปหมดว่าไฟไหม้ได้ยังไง
พวกทาสชายหญิงกำลังช่วยกันดับไฟที่โหมไหม้หลังเรือนของขุนรามเดชะกันอย่างอลหม่าน ขัน พุฒ และขุนรามเดชะวิ่งตามออกมาดูเห็นไฟกำลังลุกโชติช่วง พุฒตะคอกถามทาสที่อยู่ใกล้ๆว่า
“ปล่อยให้ไฟไหม้เรือนได้เยี่ยงไรกันวะ พวกเอ็งไปมุดหัวอยู่ที่ใด”
ทาสที่ถูกถามพนมมือด้วยความกลัว
“ขอประทานโทษขอรับ พวกบ่าวได้ยินว่าจะมีพิธีสำคัญ จึงหลบกันอยู่ที่เรือนหลัง ไม่กล้าเข้าใกล้เรือนใหญ่ ถ้าไม่มีคำสั่งจากท่านขุนขอรับ เลยหารู้ไม่ ว่าไฟไหม้ได้อย่างไรขอรับ”
“ไม่มีคนอยู่ แล้วไฟจะไหม้ได้เช่นไร ต้องมีคนวางเพลิงเผาเรือนเป็นแน่ขอรับท่านอา” ขันว่า
“ล้อมไว้ให้ทั่วบ้านประเดี๋ยวนี้ กูจักจับ อ้ายคนจุดเพลิงประหารเสีย ไม่ให้มันมาหยามดูแคลนกูได้” ขุนรามเดชะว่า
พวกทาสส่วนนึงดับเพลิงต่อ อีกส่วนก็ไปขนอาวุธออกมาแจกจ่ายเพื่อล้อมบ้านตามคำสั่งขุนรามเดชะทันที ขันกำลังมองไปที่กองไฟ ทันใดนั้น สายตาก็เหลือบไปเห็นเสมา สิน และสมบุญ วิ่งหนีไปทางด้านหลังบ้าน
“พันจบ ตามฉันมา” ขันบอก
ขันเข้าไปหยิบดาบจากพวกทาส แล้วตามล่าเสมาทันที
เสมา สิน และสมบุญกำลังวิ่งหนีกันมา ต่างคนต่างวิ่งไปพูดไป
“กำลังสนุกเชียวไม่น่ารีบหนีเลย น่าอยู่ดูก่อนว่า ไฟจักไหม้ถึงเพียงใด” สินว่า
“อ้ายบ้าสิน เพลานี้เป็นยามศึก โทษวางเพลิงต้องตัดคอสถานเดียว เอ็งจะอยู่รอความตายรึ” สมบุญว่า
ทั้งสามคนวิ่งมาจนถึงสระบัวแห่งหนึ่ง รอบด้านเต็มไปด้วยกอหญ้า ต้นไม้ ขึ้นเต็มไปหมด
“เอากระไรดีพี่เสมา”
“เอ็งสองคนแยกกันไปคนละทาง ข้าจักหาทางรอดเอง แล้วพบกันที่ตลาด” เสมาว่า
“ระวังตัวด้วย พี่เสมา” สินบอก
สิน และสมบุญแยกย้ายกันไปคนละทางตามที่เสมาสั่ง เสมาหันไปมองเห็นพวกขันกำลังไล่เข้ามา เสมามองไปรอบๆ แล้วฉุกคิดอุบายได้ เลยแกล้งเดินถอยหลังทิ้งรอยเท้าไว้ตามพื้น เป็นทางยาว ก่อนจะถอยหลังลงสระบัวแล้วดำน้ำหายไป ขัน และพุฒ ตามมาถึงก็ไม่เห็นใครซักคน ขันเอาดาบฟันใส่กอหญ้าข้างทางด้วยความแค้น
“ออกมาซีวะอ้ายเสมา กูรู้ว่าเป็นมึง ออกมา”
พุฒมองไปรอบๆเห็นรอยเท้าบนพื้น
“พันฤทธิ์ ดูรอยเท้านี่ก่อนเถิด”
ขันตามเข้ามาดูเห็นรอยเท้าลุยผ่านกอหญ้าแล้วหายไป
“มันไปทางนี้เป็นแน่ ตาม”
พวกขัน และพุฒตามรอยเท้าไปทันที โดยไม่เฉลียวใจเลยว่าเสมา แกล้งเดินถอยหลังให้ตามไป แต่ตัวจริงดำน้ำหลบอยู่ใกล้ๆนั่นเอง เสมาค่อยๆ โผล่ตัวพ้นน้ำขึ้นมา มองตามพวกขันและพุฒไป
พิณกำลังจัดที่นอนหมอนมุ้งให้เรไรด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส เรไรเดินกลับเข้ามาในห้องนอน
“คุณพระคุ้มครองแท้ๆ แม่หญิงของบ่าว มิเพียงได้ปลดกรวนออกจากเรือนทาส ยังไม่ต้องออกเรือนไปกับพันฤทธิ์อีก สงสารก็แต่พันฤทธิ์ วางอุบายเสียมาก แต่ไม่ได้กระไรกลับไปเลย”
พิณหัวเราะคิกคักด้วยความชอบใจ จนเรไรต้องปราม
“อย่าพูดมากเลยพิณ พ่อท่านกำลังขุ่นเคืองที่งานต้องล้มเพราะเสียฤกษ์ หากความไปเข้าหูท่าน พิณจะเดือดร้อน”
พิณยิ้มแหยๆแล้วถามต่อ
“เอ่อ แล้วจับคนวางเพลิงได้หรือไม่เจ้าคะแม่หญิง”
เรไรเดินไปเปิดหน้าต่างเพื่อระบายอากาศ เรไรมองออกไปนอกหน้าต่าง
“จับไม่ได้จ้ะ”
“ไม่รู้ว่าผู้ใดนะเจ้าคะ ที่หาญกล้ามาทำการหยามหน้าท่านขุนได้เพียงนี้”
เรไรพูดโดยมองไปนอกหน้าต่างไม่หันหน้ากลับมาได้แต่ยิ้มขำๆคนเดียว
“ คนบ้าเท่านั้นดอกจ้ะ ถึงวางเพลิงเผาเรือนผู้อื่นเช่นนี้ได้ หากมิใช่คนบ้า ใครเล่าจักคิดทำได้”
เรไรพอจะเดาออกว่า งานนี้เป็นฝีมือของเสมาแน่ๆ ได้แต่ถอนใจส่ายหน้ากับความห่ามระห่ำของเสมา
เสมา สิน และสมบุญกำลังทานข้าวห่อใบตองโดยมีเอื้อยแตงยืนอยู่ใกล้ๆ
“คิดแล้วให้เสียดายนัก หากไม่หนีมาเสียก่อน ป่านฉะนี้คงเผาวอดเสียทั้งเรือนแล้ว ไม่เพียงแค่นี้ดอก” สินว่าพลางหัวเราะชอบใจ
ขาดคำ เอื้อยแตงก็เอามือตบปากสินทันที
“แม่เอื้อยแตง เหตุใดตบปากฉันกันจ๊ะ”
เอื้อยแตงตาเขียวปั้ดแล้วหยิบกระบอกน้ำไม้ไผ่มาจะฟาดสิน
“ตบปากยังน้อยไป มันน่าใช้กระบอกฟาดให้ฟันร่วงหมดปากนัก โทษวางเพลิงยามมีศึก ต้องตัดหัวสถานเดียว แล้วยังจะแหกปากให้คนรู้ทั้งตลาดอีกรึ โง่แท้”
สินจ๋อยลงไปทันทีด้วยความกลัวเอื้อยแตง จนสมบุญต้องหัวเราะเยาะ
“สมน้ำมะหน้า คนบ้าอย่างเอ็ง ต้องเจอเช่นนี้”
เอื้อยแตงตวาดแว๊ดใส่สมบุญอีก
“พี่ก็เช่นกัน ไปด้วยกันแทนที่จักห้าม กลับช่วยเหลือกันเสียนี่”
เล่นเอาสมบุญจ๋อยไปอีกคน
“อย่าด่าว่าอ้ายสินกับอ้ายสมบุญเลยเอื้อยแตง พวกมันทำไปเพราะรักข้า ใจจริง ข้าก็ไม่อยากทำดอก แต่มันเข้าตาจนแล้ว หากไม่ทำ แม่หญิงเรไรคงต้องออกเรือนไปกับอ้ายขันเป็นแน่”
เอื้อยแตงเบะปากหมั่นไส้
“ใจพี่จะขาดรอน จึงต้องเสี่ยงอาญาถึงตัดหัวว่ากระนั้นเถิด”
เสมาจ๋อยไปอีกคน เอื้อยแตงค้อนประหลับประเหลือกอยู่ไปมา
ยามบ่ายในเวลาต่อมา ขันโกธจัดคุยกับดวงแข โดยมีอำพันนั่งหน้าเครียดอยู่ใกล้ๆ
“หากพี่ไม่ได้นังจำเรียงมาเป็นทาส หักหน้าอ้ายเสมามัน พี่ไม่มีวันถอนแค้นครั้งนี้ไปได้ดอก”
“จะได้อย่างไรกันพี่ขัน เสมาเพิ่งให้ดอกเบี้ยแก่เรา หากเรายังบังคับจำเรียงมาเป็นทาส ก็เป็นดั่งอันธพาลแล้ว”
“แล้วทีอ้ายเสมามันเผาเรือนทำลายพิธีจนเสียฤกษ์เล่า ไม่ถือเป็นอันธพาลรึ”
อำพันถอนใจพลางว่า
“พ่อขันเพียงแต่ติดใจสงสัย จับตัวก็มิได้ แล้วจักแน่ใจได้อย่างไรว่าเป็นหมื่นศึก อีกประการ พ่อขันใช้เล่ห์บังคับใจแม่เรไรเช่นนี้ แม่กลับโล่งใจที่ไม่ได้ผูกข้อไม้ข้อมือกัน หาไม่แล้ว คงหาความจำเริญสุขในการออกเรือนมิได้”
“แม่อย่าเพิ่งติเตียนลูกเลย เพลานี้ ลูกต้องการให้นังจำเรียงมันมาเป็นทาสให้จงได้ หากไม่มีใครช่วยลูก ลูกก็จักไปลากตัวมันด้วยตัวลูกเองประเดี๋ยวนี้”
ดวงแข และอำพันหันไปมองหน้ากันด้วยความหนักใจกับนิสัยขันที่ไม่ยอมฟังใครเลย
เวลาเย็นต่อมา จำเรียงกำลังร้องไห้สะอึกสะอื้น โดยมีเสมายืนอยู่ใกล้ๆ เสมาสงสาร จึงเข้าไปปลอบใจ“นิ่งเสียเถิดจำเรียง เอ็งรู้สันดานอ้ายขันก็ประเสริฐแล้ว ถูกหลอกเพียงนี้ถือว่าเสียค่าครูเถิด”
“ถึงอย่างไรฉันก็ต้องขอขมาพี่ หากฉันเชื่อคำพี่ก็คงไม่ได้ชั่วจนต้องเจ็บอายถึงเพียงนี้ดอก พี่เสมาให้อภัยในความโง่ของฉันด้วยเถิด”
“ข้าไม่ถือโทษโกรธเอ็งดอกจำเรียงเอ๋ย อย่างไรเสีย เราก็เป็นพี่น้องคลานตามกันมา ขอเพียงเอ็งเข้าใจว่าข้าไม่ได้คิดร้ายก็พอแล้ว”
“แต่ฉันทำให้พี่แลพ่อแม่ต้องเดือดร้อน ไม่เพียงแต่อับอาย ยังต้องเป็นหนี้อีกมากโข”
“ช่างเถิด จะเป็นหนี้เพียงใด ข้าก็จัก...”
เสมาพูดยังไม่ทันขาดคำ เสียงขันก็ดังขึ้น
“อ้ายเสมา นังจำเรียง พวกเอ็งออกมาประเดี๋ยวนี้ เป็นหนี้ข้าแล้วคิดจะหลบหน้า คดโกงไม่ชดใช้รึ”
เสมาเลือดขึ้นหน้ารีบหยิบดาบคู่มือแล้วเดินออกไปทันที โดยมีจำเรียงตามติดไปด้วยความเป็นห่วง
เสมาและจำเรียงตามออกมาเห็นขันกับลูกน้องถืออาวุธครบมือยืนท้าอยู่หน้าบ้าน โดยมีดวงแขยืนหน้าเครียดอยู่ใกล้ๆ
“ออกมาแล้วรึ ข้านึกว่าเอ็งจะเก่งแต่ลอบกัดเผาเรือนผู้อื่น แต่ไม่กล้าสู้หน้านายเงินเจ้าหนี้เสียอีก”
“หมาที่ใดเห่าหอนวะ มันน่าเตะปากให้คอหักนัก”
“อ้ายเสมา...”
ดวงแขรีบปรามแล้วว่า
“พี่ขัน น้องบอกแล้วไม่ใช่รึ ว่าน้องเจรจาเองมิให้วิวาทกัน อีกประการ พี่ขันต้องไปศึกแต่คืนนี้ หากเสียราชการเพราะการวิวาทจะต้องรับโทษใด”
ขันกัดเขี้ยวเคี้ยวฟัน พยายามระงับอารมณ์เต็มที่ ดวงแขเดินขึ้นเรือนไปคุยกับเสมาและจำเรียง
“หมื่นศึก จำเรียง ที่ฉันมาก็มิได้เต็มใจเลย แต่จนใจที่ต้องมาทวงหนี้สินที่ค้างกันอยู่”
“แม่หญิงดวงแขเอ๋ย ข้าพระเจ้าเพิ่งให้ดอกเบี้ยไป หากทวงต้นเงินอีก คงสุดปัญญาที่จักหามาให้ได้ ขอผันผ่อนไปสักกึ่งเดือนมิได้รึ” เสมาว่า
“เมตตาสักครั้งเถิดแม่หญิงดวงแข พ่อกับแม่กำลังเร่งกู้ยืมเงินอยู่ แต่เพลานี้เป็นยามศึก ยากนักที่จักหามาได้ทัน” จำเรียงบอก
“ใช่ว่าฉันจะไร้น้ำใจดอกนะจำเรียง เราสองคนก็เป็นเพื่อนข้าหลวงกันมาแต่ก่อน หากแต่พี่พันฤทธิ์จักเร่งเอาต้นเงินให้ได้ แม้ไม่ได้ก็ขอจำเรียงไปรับใช้ ฉันก็เพียรห้ามแล้ว แต่ก็จนใจ”
“เฮ้ย จักผิดสัญญาหรือกระไรวะอ้ายเสมา หากเอ็งไม่มีต้นเงินคืนข้า ก็เอาน้องเอ็งมา... ไปพานังจำเรียงมาประเดี๋ยวนี้” ขันตะโกนสั่งทาส
เสมาโมโหมากชักดาบคู่ออกมาทันที
“ก็เข้ามาซีวะ ที่นี่เรือนกู นี่น้องกู ใครลุแก่อำนาจก็ต้องข้ามศพกูไปก่อน”
เสมากระโดดลงจากเรือนเข้ามาขวางหน้าพวกลูกน้องขันไว้ พวกลูกน้องเห็นเสมาเอาจริง ก็ไม่มีใครกล้าซักคน ดวงแขกลัวมีเรื่อง
“ขอเสียเถิดพี่พันฤทธิ์ หมื่นศึก อย่าให้ถึงวิวาทเลย ค่อยพูดจากันโดยดีก็ยังจะพอพูดได้”
ขันไม่ฟังหันไปด่าลูกน้อง
“เฮ้ย พวกมึงกลัวอ้ายเสมายิ่งกว่าพันฤทธิ์นายมึงกระนั้นรึ ไป เข้าไปจับอีทาสนั่นมา”
พวกลูกน้องขันไม่มีทางเลือกรุมเข้าไปหาเสมาทันที เสมากำลังโกรธเลยลุยใส่กลับไป ลูกน้องขันแต่ละคนโดนเล่นงานกระเด็นกระดอนไปหมด เรียกว่าถ้าเสมาไม่ยั้งมือคงตายหมดแล้ว
ขันโมโหมากชักดาบสองมือออกมา แล้วโหมฟันเข้าใส่เสมาซึ่งสู้ไม่ยอมถอย ต่างฝ่ายต่างสู้กันอย่างดุเดือด ขันใช้ไม้ตายใหม่ที่เพิ่งเรียนมาเล่นงานเสมา เสมาหลบรอดไปได้ชนิดเส้นยาแดงผ่าแปด จนต้องถอยฉากออกไปตั้งหลัก
“นี่รึ เพลงดาบบ้านเผาข้าวที่ไปร่ำเรียนมา มิน่าเล่า พันฤทธิ์ท่านถึงลำพองใจ กล้ามาเหยียบถึงเรือนอ้ายเสมา”
ขันกระหยิ่มยิ้มย่องด้วยความมั่นใจ
“วันนี้หละอ้ายเสมา มึงแพ้กูแน่”
ขันโหมบุกใส่เสมาอย่างไม่ยั้ง เสมาสู้ไม่ถอย สู้กันได้ซักพัก ขันก็ใช้ไม้ตายใหม่อีกท่า แต่คราวนี้เสมาป้องกันได้ ขันใช้อีกท่า เสมาก็ป้องกันได้อีก แถมฟันสวนกลับอีกต่างหาก จนขันต้องถอยร่น
เสมาบุกลุยไม่ยั้ง จนขันต้องถอยกรูดติดๆกัน ก่อนจะใช้ท่าไม้ตาย กระแทกดาบขันจนหลุดจากมือ แล้วใช้ดาบอีกเล่มชี้ใส่หน้าขัน จนขันไม่กล้าขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย
“อันเพลงดาบ มิว่าสำนักใด ใครเรียนครบกระบวนก็ใช้ได้ทั้งสิ้น อยู่ที่ผู้ใดจักพลิกแพลงเลือกใช้ได้สูงกว่ากัน แม้เพลงดาบเอ็งจะกล้าแข็งหาได้ยากในอโยธยา แต่ยังห่างชั้นจากข้าอีกมากนัก”
ขันมองเสมาด้วยความเคียดแค้น มองปลายดาบที่เสมาชี้หน้าแล้วก็หวาดกลัวถึงกับกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ดวงแขห่วงพี่ชายจึงพูดกับเสมาว่า
“เมตตาเถิดหมื่นศึก รู้แพ้ชนะแล้ว อย่าได้เป็นเวรสืบกันไปเลย พ่อจะขอผัดผ่อนต้นเงินไม่ใช่รึ ฉันยอมรับปากแล้ว”
“พันฤทธิ์เป็นนายเงินมิใช่แม่หญิง แล้วแม่หญิงจะรับปากแทนได้รึ”
ดวงแขชะงักไปก่อนจะหันไปพูดกับขัน)
“พี่ขัน”
ขันขบกรามแน่นด้วยความแค้นใจ
“ได้ ข้ายอมให้เอ็งผัดผ่อน”
“เช่นนี้ก็แล้วกันไปเถิดพี่เสมา พันฤทธิ์ต้องไปศึกอีก อย่าให้เสียราชการสงครามเลย” จำเรียงว่า
เสมาได้คิดเลยลดดาบ แล้วเดินเลี่ยงกลับขึ้นเรือนไป ขันหันไปมองตามด้วยความแค้นที่สู้เสมาไม่ได้ ดวงแขแอบมองตามเสมาไป อมยิ้มปลื้มๆ ชื่นชมในความมีเหตุผลของเสมา
อ่านต่อ หน้า ๓
เกร็ดความรู้เกี่ยวกับขุนศึก
๒๗. พิธีแต่งงาน เป็นพิธีกรรมที่มีมาแต่โบราณ เพื่อประกาศความเป็นสามีภรรยากันอย่างถูกต้อง โดยการแต่งงานแบบไทยจะมีขั้นตอนหลักๆ 3 ขั้นตอน คือ การสู่ขอ การหมั้น และ พิธีแต่งงาน ซึ่งจะมีรายละเอียดแตกต่างกันตามแต่ละท้องถิ่น และเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย
ขุนศึก ตอนที่ ๔ (ต่อ)
ภายในบ้านตอนหัวค่ำ เรไรกำลังคุยกับขุนรามเดชะที่จุดตะเกียงอ่านจดหมายเอกสารราชการอยู่ โดยมีลำภูนั่งอยู่ใกล้ๆ
“พรุ่งนี้เลยหรือจ๊ะ เหตุใดจึงเร็วนัก”
“แล้วจักอยู่ให้เป็นที่ติฉินรึ กลับเข้าวังเสียโดยเร็วก็ควรแล้ว หรือแม่เรไรติดใจเรือนทาสก็บอกพ่อมา”
“มิได้เจ้าค่ะ”
“เมื่อเย็น หมื่นศึกกับพ่อพันฤทธิ์ก็วิวาทกันอีก แม้นจักเป็นเพราะพันฤทธิ์ทวงต้นเงิน แต่ผู้ใดก็รู้ ว่ามีเหตุมาจากแม่เรไรอยู่ก่อน หากแม่เรไรยังอยู่ที่เรือน คงไม่แคล้วปากคนอีกเป็นแน่” ลำภูว่า
“ชายวิวาทโกรธเคืองกันเอง แต่ลูกกลับต้องโทษ แลถูกตราหน้าว่าเป็นเหตุ เช่นนี้เป็นธรรมกับลูกแล้วหรือจ๊ะแม่”
“ถึงอย่างไรเจ้าก็ต้องกลับเข้าวัง พ่อจักได้วางใจ ว่าอ้ายเสมาหมดหนทางข้องเกี่ยวกับลูกอีก”
เรไรเบือนหน้าหลบด้วยแววตาเศร้า
“อ้ายชาติไพร่ แม้มันจักรุ่งเรืองขึ้นด้วยฝีมือเพียงใด พ่อก็หาชื่นชมจนหลงลืมสกุลของมันไม่”
เรไรเงียบซึมไป หมดทางโต้แย้งทุกประตู
เวลาต่อมา เมื่อตอนหัวค่ำ เรไรเดินเข้าห้องนอนมา ทันใดนั้น เสมาก็โหนตัวปีนเข้ามาทางหน้าต่างทันที เรไรเห็นเข้าพอดีก็ตกใจมากรีบหันไปปิดประตูทันที ก่อนจะหันมาพูดกับเสมา
“เสมา เหตุใดทำเช่นนี้ ผิว่ามีใครเห็นเข้าจะมิเดือดร้อนกันรึ”
“ข้าพระเจ้ามิได้อยากให้แม่หญิงต้องเดือดร้อนเลย แต่เมื่อครู่ ข้าพระเจ้าแอบฟังอยู่ใต้ถุนเรือน รู้ว่าแม่จักต้องเข้าวังวันพรึ่งแล้ว มิรู้ว่าจะได้เห็นกันอีกเมื่อใด เสมาจึงมิอาจหักใจไม่มาหาแม่ได้”
เรไรปั้นหน้าบึ้งตึง
“ฟังพูดเข้าเถิด เพราะทำเช่นนี้เล่า พ่อท่านถึงต้องส่งฉันเข้าวังเสีย”
“พระคุณชังอ้ายเสมานัก จึงกันแม่หญิงให้อยู่ห่างข้าพระเจ้า แม้นอ้ายเสมาจักรับใช้สมเด็จพระราชโอรสทั้งสองจนได้กินตำแหน่งหัวหมื่นก็ยังไม่เป็นที่ต้องใจพระคุณ เห็นทีชาตินี้ ข้าพระเจ้าจะไร้วาสนาเสียแล้ว”
เรไรหน้าขรึมลงพลางว่า
“อย่าเพิ่งเสียน้ำใจเลย หากเสมามั่นคงในตัวฉันแล้วก็ยังพอมีหนทางอยู่”
“หนทางกระไรรึแม่หญิง” เสมาถามขึ้นด้วยสนใจ
“เสมาจงตั้งใจรับราชการฉลองคุณให้ดี เมื่อทำความดีความชอบเป็นที่โปรดปรานเมื่อใดก็จงขอพระราชทานตัวฉันเสีย หากมีพระบรมราชโองการลงมา แม้พ่อท่านก็ขัดมิได้ เพียงเท่านี้ เจ้ากับข้า...”
เรพูดพลางยิ้มอายหลบตาเสมา
เสมาคิดตามแล้วก็ยิ้มดีใจอย่างมีความหวังขึ้นมาทันที อดใจไม่ได้ที่จะดึงเรไรเข้ามาสวมกอดเอาไว้ เรไรเอียงอายรีบผละตัวออกห่างไปด้วยความรักนวลสงวนตัว เสมายิ้มฝันเฟื่องอย่างมีความหวังขึ้นมารำไร
เช้าวันรุ่งขึ้น บรรยากาศในค่ายทหารชั่วคราว มีกระโจมมากมาย รวมทั้งมีทหารเดินเวรยามกันอย่างแข็งขัน ฝ่ายขันกำลังลับดาบกับหินลับมีดอยู่ ด้วยสีหน้าบึ้งตึง พุฒเดินเข้ามาหาขันแล้วพูดขึ้น
“ลับดาบแต่รุ่งสางเลยรึพันฤทธิ์ จะลับคมไว้ฟันพวกข้าศึกหรือจะฟันอ้ายช่างตีเหล็กกันเล่า”
ขันมองดูดาบด้วยสายตาเหี้ยมเกรียมแล้วว่า
“หากอยู่ด้วยกัน ก็จักฟันให้ขาดเสียทั้งสอง จักได้สมแค้นที่สุมอกฉัน”
“จะแค้นเคืองไปไยเล่า ถึงจะแพ้ด้วยเชิงดาบ แต่เชิงรักชำนะแน่ เพียงสิ้นศึกครานี้ พันฤทธิ์ท่านก็จักได้ออกเรือนกับแม่หญิงเรไรแล้ว”
“ท่านกับแม่หญิงบัวเผื่อนก็เช่นกันไม่ใช่รึ จะรอช้าทำกระไร สิ้นศึกครานี้ก็ออกเรือนพร้อมเสียด้วยกันเถิด”
“แม้นแต่พันฤทธิ์สหายเราก็ยังสำคัญว่าฉันจะออกเรือนกับแม่หญิงบัวเผื่อนรึ บอกโดยไม่อำพราง โดยรูปโฉมแลศักดิ์ของแม่บัวเผื่อนก็พึงใจอยู่ แต่พอสนิทจนอ่านใจแม่ดังอักษรเขียนแล้ว ฉันให้อายนัก แม้แต่แม่หญิงเรไรสหายรัก แม่บัวเผื่อนก็ยังประหารด้วยเล่ห์เสียได้ แล้วฉันจักวางใจได้รึ”
หากพันจบห่างเหินแม่บัวเผื่อนในเพลานี้จะมิเสียประโยชน์รึ อีกทั้งแม่บัวเผื่อนก็มีศักดิ์คู่ควรด้วยท่านอยู่ไม่ใช่หาได้โดยง่าย”
“การมงคลของท่านก็เป็นผลแล้วไม่ต้องพึ่งแรงนางอีก แล้วจะกลัวเสียประโยชน์อันใด ส่วนข้อที่แม่บัวเผื่อนคู่ควรด้วยฉันนั้น ฉันเห็นว่ามีอีกหญิงหนึ่ง เหมาะจะเป็นศรีเรือนของฉันมากกว่าเสียอีก”
“ใครกันรึ”
“ก็แม่ดวงแขน้องพันฤทธิ์ท่านน่ะซี”
ขันผงะไปเล็กน้อย
“มิรู้ว่าพันฤทธิ์ท่านจะคิดเห็นเช่นไร” พุฒถามขึ้น
ขันอึ้งไปครู่ ก่อนจะแกล้งหัวเราะตบบ่าพุฒ
“จะว่ากระไร ฉันก็ดีใจน่ะซี เราเป็นสหายร่วมใจกันมานาน ต่อไปจะได้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น”
พุฒกระหยิ่มยิ้มย่องดีใจที่ขันเข้าข้างตน ขันแอบหน้าเครียดทันทีเพราะรู้ดีว่าพุฒเป็นคนไม่ดี ยังไงก็ไม่อยากให้ดวงแขไปยุ่งด้วย แต่เพราะขันยังคิดจะหลอกใช้พุฒต่อไปจึงต้องแสร้งต้องทำดีไว้ก่อน
กองทัพของเจ้าพระยากำแพงเพชร สมุหกลาโหมได้ยกมาถึงทุ่งชายเคือง เพื่อคุ้มกันราษฎรให้เกี่ยวข้าว และหยั่งเชิงกองทัพของหงสาวดี ซึ่งในขณะนั้นเอง กองทัพของพระมหาอุปราชาก็ได้ยกมาถึงทุ่งชายเคืองด้วยเช่นกัน ทั้งสองฝ่าย จึงเปิดฉากสู้รบขึ้นทันที
ผ่านไปสามสี่วัน ทหารไทยกำลังรบกับทหารพม่าอย่างดุเดือดด้วยทหารพม่ามีจำนวนพลมากกว่าเยอะ ทหารไทยถูกฆ่าตายคนแล้วคนเล่าสุดแรงที่จะต้านทาน ขันใช้ดาบสองมือ พุฒใช้กระบี่ต่อสู้กับทหารพม่าอย่างหนัก แต่ข้าศึกมาทุกทิศทุกทางจนทั้งคู่เริ่มจะแย่ พุฒและขันเหนื่อยหอบจนเกิดอาการกลัวว่าจะเสียที
“ข้าศึกมากนักจะทำเช่นไรดี” พุฒถาม
“หนีก่อนเถิด เอาชีวิตรอดก่อนแล้วค่อยว่ากัน” ขันว่า
ทั้งคู่กัดฟันสู้กับข้าศึก สู้พลางถอยพลางเพื่อหนีเอาตัวรอด
ภายในค่าย สมเด็จพระนเรศวร และสมเด็จพระเอกาทศรถ ทรงสวมชุดเสื้อเกราะประทับอยู่ในพลับพลาขนาดใหญ่ ท่ามกลางทหารจำนวนมาก สมเด็จพระนเรศวร ทรงบันดาลโทสะแล้วตรัสว่า
“นับแต่รับศึกหงสาวดีมาช้านาน มิเคยเสียทีเช่นนี้เลย เหตุเพราะเจ้าพระยากำแพงเพชรทำศึกย่อหย่อนโดยแท้ ... ทหาร เอาตัวเจ้าพระยากำแพงเพชรแลนายกองที่พ่ายศึก ไปตัดหัวเสียให้สิ้น”
พระเอกาทศรถพนมมือแล้วตรัสว่า
“ขอเดชะสมเด็จพี่ แม้นเจ้าพระยากำแพงเพชรจักมีความผิด แต่ด้วยเป็นฝ่ายพลเรือนไม่สันทัดการรบมาแต่ก่อน ขอทรงโปรดละเว้นโทษตายด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า”
พระนเรศวรพยักหน้ารับแล้วตรัส
“เช่นนั้นก็ได้ แต่ต้องลงโทษมิให้เป็นเยี่ยงอย่าง จงถอดออกจากที่สมุหกลาโหมเสีย ส่วนบรรดานายกองทั้งปวงให้จองจำไว้ก่อน สิ้นศึกเมื่อใดค่อยตัดสิน”
“ชอบแล้วพระพุทธเจ้าข้า เพลานี้ข้าศึกกำลังได้ใจนัก ขืนนิ่งอยู่ให้ช้าวันเห็นมิชอบกลสงคราม ชอบแต่จะยกพยุหยาตราออกตีทัพพระมหาอุปราชาอย่าให้ตั้งอยู่ ณ ชายเคืองได้” พระเอกาทศรถตรัส
พระนเรศวรสายพระเนตรเด็ดเดี่ยวแล้วตรัส
“จงยกทัพบกแลทัพเรือสองร้อยลำ พร้อมด้วยสรรพยุทธปืนใหญ่มุ่งสู่ทุ่งชายเคือง ศึกนี้เราต้องชำนะเพื่อเรียกขวัญของอโยธยากลับมา”
ในเวลาเย็น ภายในบ้านของขัน ทหารไทยสี่ห้าคนกำลังล่ามโซ่ ตีตรวนที่มือของขัน โดยมีดวงแข และอำพันนั่งกอดกันร้องไห้อยู่ใกล้ๆ
“พ่อขัน...พ่อขันลูกแม่”
ขันน้ำตาคลอ ก้มลงกราบเท้าแม่
“ลูกต้องลาไปแล้ว จะได้กลับมากราบเท้าแม่อีกหรือไม่ คงสุดแต่บุญแต่กรรม”
อำพันปล่อยโฮทันที หัวใจแทบสลาย ดวงแขร้องไห้อยู่แล้วพูดขึ้น
“อย่าพูดเช่นนั้นเลยพี่ขัน หากสมเด็จเจ้าฟ้าวังหน้าท่านได้ชัยกลับมา ลางทีพี่อาจจะได้อภัยโทษก็เป็นได้”
“พี่พ่ายศึก เป็นเหตุให้เสียปฐมฤกษ์ จนข้าศึกได้ใจนัก แต่ยังไม่ถูกตัดคอเพียงให้จองจำไว้ก่อน ก็ถือว่าเป็นบุญมากแล้ว ฝากแม่ท่านด้วยแม่ดวงแข หากคุณพระคุณเจ้าคุ้มครอง พี่คงได้กลับมาหาแม่กับน้องอีก” ขันพูดน้ำตาคลอ
ทหารคุมตัวขันไป ดวงแขและอำพันร้องไห้ด้วยความเสียใจสุดๆ เพราะกลัวว่าขันจะตายตามอาญาศึก
ภายในพระราชวังเวลาค่ำ บัวเผื่อนกำลังร้องไห้อย่างสะอึกสะอื้น โดยมีนางข้าหลวงกลุ่มหนึ่งคอยปลอบ ในขณะที่เรไรกับนางข้าหลวงอีกกลุ่มกำลังเอาขนมใส่โถเพื่ออบควันเทียน
“น่าสลดใจนักพ่อเอ๋ย โธ่ พันฤทธิ์ พันจบ เคยเห็นกันอยู่มิกี่วัน ใครจะนึกบ้างเล่า ว่าเคราะห์จะร้ายกาจถึงต้องประหารโดยพระบัณฑูรราชโอรสท่าน”
เรไรทำงานเสร็จก็หันไปพูดกับบัวเผื่อน
“เพียงถูกจองจำไว้ก่อน ยังไม่ได้ถูกประหารดอก อย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้เลยแม่บัวเผื่อน”
“ผู้ใดก็รู้ว่าอาญาทัพนั้นแรงนัก แม้แต่ท่านเจ้าพระยากำแพงเพชรยังเกือบถูกประหาร แล้วทหารแต่เพียงหัวพัน มีหรือที่จะรอดได้ คงสมใจแม่เรไรแล้วกระมัง” บัวเผื่อนไม่วายแขวะเรไร
“เหตุใดต้องสมใจฉันด้วย พาลแล้วแม่บัวเผื่อน”
“ฉันน่ะรึพาล ใครก็รู้ว่าแม่เรไรพึงใจด้วยหมื่นศึก ป่านฉะนี้มิโลดหัวใจแล้วรึ เพราะที่กีดที่เกรงก็สิ้นหมดแล้ว”
เรไรไม่พอใจ
“นี่แม่บัวเผื่อนเห็นฉันเป็นคนอาฆาตมาดร้ายถึงเพียงนี้เทียวรึ หากเป็นเช่นนั้นจริง คนแรกที่ฉันจะสนองคืนให้สมแค้น คงเป็นแม่เพื่อนร่วมตำหนักที่ใส่ไคล้ปรักปรำจนฉันต้องโทษเป็นแน่”
บัวเผื่อนโมโหที่ถูกเรไรด่ากระทบชิ่งเลยสะบัดหน้าเดินหนีไปพร้อมกับบรรดาข้าหลวงลูกคู่คนอื่น เรไรมองตามแล้วถอนใจส่ายหน้าอย่างปลงๆ
พันอินมายส่งเสมาอยู่ที่ท่าน้ำและยืนคุยกัน
“พ่อเกรงว่าศรีเมืองจะเป็นห่วง ไม่ได้กินไม่ได้นอน”
“พ่อท่านไม่ต้องกังวลใจไป ข้าจะไปส่งข่าวให้ศรีเมืองรู้ความถึงเรือนด้วยตัวข้าเอง”
“ขอบน้ำใจเอ็งมากเสมา”
สมบุญพายเรือเข้ามาเทียบพร้อมตะโกนบอก
“เรือมาแล้วจ้ะ”
“เดินทางให้จงดี”
เสมาไหว้ลาพันอินแล้วลงเรือไป พันอินมองส่งเล็กน้อยก่อนเดินกลับเข้าไปทำหน้าที่การงานต่อ
สมบุญพายเรือต่อไป เสมายกเท้าลอยขึ้นเล็กน้อย
“น้ำกระไรวะ เจิงนองไปหมด” เสมาถาม
“เรือมันรั่วจ้ะพี่”
“แล้วเอ็งไปเอาเรือรั่วมารับข้าทำไมอ้ายสมบุญ”
“ก็ไม่รู้ว่ารั่วถึงเอามา”
“ยังมาย้อนข้าอีก แล้วจะถึงกันหรือไม่”
“ถึงอยู่แล้วล่ะจ้ะ แต่จะถึงแบบเปียกมากหรือเปียกน้อยเพียงนั้นเอง”
เสมาเขกมะแหงกใส่กลางหัวสมบุญ
สมบุญร้องด้วยความเจ็บเล็กน้อย
“ช่วยข้าวักน้ำหน่อยเถิดพี่เสมา มือไม่พายก็ช่วยวักน้ำ”
เสมาเจ็บใจปนหมั่นไส้ วักน้ำในเรือสาดใส่หน้าสมบุญจนร้องลั่น
ศรีเมืองกำลังจุดตะเกียงปะชุนเสื้อผ้าอยู่ที่ชานบ้านเมื่อตอนหัวค่ำ ระหว่างรอพันอินกลับจากราชการอยู่ ขณะนั้นเองก็ได้ยินเสียงเสมาตะโกนเรียก
“แม่ศรีเมืองๆ”
ศรีเมืองจำเสียงเสมาได้จึงตะโกนตอบ
“นั่นพี่หมื่นศึกรึ เชิญขึ้นเรือนมาเถิดจ้ะ”
เสมาเดินขึ้นเรือนมา เนื้อตัวเปียกน้ำไปทั้งตัว
“นั่นพี่หมื่นศึกไปทำกระไรมา เหตุใดเปียกไปทั้งตัวเช่นนี้”
“พี่รับฝากคำพ่อพันอินให้มาบอกแม่ศรีเมือง ว่าพ่อพันอินต้องไปศึกกะทันหัน แต่ขามาน่ะซี อ้ายสมบุญดันเอาเรือท้องรั่วมาเสียได้ต้องพายไปวิดน้ำไป กว่าจะถึงจึงเปียกเช่นนี้”
ศรีเมืองหัวเราะแล้วว่า
“เช่นนั้นก็ขอบน้ำใจพี่หมื่นศึกมากแล้ว แล้วนี่พี่ทานกระไรมาหรือยังจ๊ะ”
“ยังดอก พี่รับฝากคำพ่อพันอินก็รีบมาที่นี่เลย”
“ถ้ากระนั้น ขอเชิญพี่หมื่นศึกอาบน้ำผลัดเสื้อผ้าก่อนเถิด จะได้มารับข้าวปลาแลหมากพลูด้วยกัน”
“ขอบน้ำใจเจ้านัก”
เสมาเดินเลี่ยงไป ศรีเมืองมองตามแล้วยิ้มบางๆ นอกจากเป็นทหารกล้าแล้ว เสมาก็มีมุมน่ารักบางมุมเหมือนกัน
ผ่านเวลาไปสักครู่ … เสมากำลังอาบน้ำอยู่ในคลองหน้าบ้านพันอิน เสมาถูตัวไปมาอย่างผ่อนคลาย
ศรีเมืองเดินถือตะเกียง กับกระจาดใส่เสื้อผ้ามาให้เสมาผลัดเปลี่ยน
“พี่หมื่นศึก ฉันเอาตะเกียงแลผ้ามาให้ผลัดจ้ะ”
“ขอบน้ำใจเจ้านัก แต่เจ้าไม่ต้องเรียกยศของพี่ดอกเรียกพี่เสมาเถิด ถึงอย่างไรเสีย เราก็เป็นลูกพ่อพันอินเช่นกัน”
ศรีเมืองยิ้มแย้มแล้ววางโคมกับกระจาดใส่เสื้อผ้าลง
“จ้ะ พี่เสมา”
เสมาขึ้นจากน้ำ ในสภาพเปลือยอกนุ่งโจงกระเบนตัวเดียว ศรีเมืองเห็นเต็มๆ รีบเบือนหน้าหนีด้วยความอายทันที เสมาหยิบผ้าจากในกระจาดมาเช็ดตัวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“เหนียวตัวมาเสียทั้งวัน ได้อาบน้ำอาบท่า สบายตัวขึ้นมาเทียว”
เสมาเห็นศรีเมืองหันหน้าไปทางอื่นด้วยท่าทางแปลกๆก็รู้สึกแปลกใจแล้วถามขึ้น
“เป็นกระไรรึแม่ศรีเมือง”
“ไม่มีกระไรจ้ะ” ศรีเมืองบอกด้วยน้ำเสียงอึกอักปากคอสั่น
เสมา ลุกขึ้นมานั่งหน้าศรีเมืองแล้วเอามือจับหน้าผาก
“แล้วเหตุใดเจ้าต้องตัวสั่นเช่นนี้ด้วย ได้ไข้รึ ตัวก็ไม่ใคร่ร้อนแล้วเหตุใดหน้าเจ้าแดงนัก หรือจักเป็นแสงจากคบไฟ”
ศรีเมืองอายด้วยความประหม่ารีบตัดบท
“เอ่อ ฉัน...ฉันไปจัดสำรับก่อนนะจ๊ะ”
ศรีเมืองรีบเดินหนีไปทันทีด้วยความเขินอาย เสมามองตามด้วยสายตางงๆ
บนเรือนของพันอิน เสมากำลังเปิบข้าวกินอย่างเอร็ดอร่อย โดยมีศรีเมืองทานอยู่ใกล้ๆ แต่ศรีเมืองใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เปิบข้าวไปก็ชำเลืองมองเสมาไป
“รสมือเจ้าดีนักแม่ศรีเมือง พี่ไม่ได้กินข้าวมากเช่นนี้มานานแล้ว”
ศรีเมืองยิ้มรับพลางกล่าว
“ขอบน้ำใจจ้ะ”
เสมาฃดื่มน้ำจากขันก่อนจะบอกว่า
“อิ่มแล้วพี่คงต้องกลับก่อน เสื้อผ้านี้พี่จะซักคืนให้วันหลัง”
“มืดค่ำแล้ว เหตุใดพี่เสมาไม่ค้างเสียที่นี่เล่าจ๊ะ”
“พี่กลัวเจ้าถูกครหา แม้เราจะเป็นลูกพ่อพันอินเหมือนกัน แต่ก็หาใช่พี่น้องกันจริงแท้ไม่”
ศรีเมืองยิ้มบางชื่นชมในความเป็นลูกผู้ชายของเสมา
“พี่ไม่ต้องกลัวดอก ทุกคราที่พ่อท่านไปศึก ฉันก็ให้บ่าวไพร่มานอนหน้าห้องเป็นเพื่อน ไม่มีเสียงครหาดอกจ้ะ”
“รอบคอบแท้ มิน่าเล่า พ่อพันอินท่านจึงให้เจ้าดูแลเรือน ผิว่าแม่ศรีเมืองออกเรือนไป พ่อพันอินคงเสียดายนัก” เสมามองศรีเมืองด้วยสายตาชื่นชม
ศรีเมืองเห็นสายตาหวานเป็นประกายของเสมาระยะใกล้ๆก็เขินอาย หลบตา
“ฉันไปจัดห้องหับให้พี่ก่อนนะจ๊ะ”
ศรีเมืองรีบลุกขึ้น เดินเลี่ยงไปทันที
เสมามองตามด้วยความงงๆ
“ประเดี๋ยวจัดสำรับ ประเดี๋ยวจัดห้องหับ เหตุใดต้องรีบถึงเพียงนี้ด้วยประหลาดแท้” เสมายิ้มส่ายหน้าแล้วกินข้าวต่อไป
ในเวลาต่อมา ศรีเมืองพยายามข่มตายังไงก็ไม่หลับซะที พลิกไป พลิกมา นอนไป อมยิ้มไปอยู่ในห้องนอน เสียงขลุ่ยดังแว่วมาด้วยท่วงทำนองหวานซึ้งจับใจ ศรีเมืองนึกแปลกใจจึงเปิดมุ้งออกมาเพื่อหาที่มาของเสียง ศรีเมืองเปิดหน้าต่าง เห็นเสมากำลังนั่งเป่าขลุ่ยอยู่ที่หน้าเรือน
เสมาเป่าขลุ่ยด้วยท่วงทำนอง หวานซึ้ง แสดงถึงความละเมียดละไมภายในจิตใจของเสมาที่ไม่ได้มีเฉพาะความเข้มแข็งดุดันเท่านั้น ศรีเมืองมองเสมาด้วยสายตาปลาบปลื้ม นานวัน ความรักที่ศรีเมืองแอบมีให้กับเสมายิ่งมากขึ้นทุกทีแม้จะเป็นรักข้างเดียวก็ตาม
เช้าวันหนึ่ง สมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรถ ทรงขี่ม้านำกองทหารจำนวนมากกลับเข้า
พระนคร ท่ามกลางชาวบ้านจำนวนมากที่ก้มหน้าลงกับพื้นหมอบกราบเพื่อรอรับเสด็จเต็มสองข้างทาง เมื่อสมเด็จพระนเรศวรทรงขี่ม้าเลยผ่านกลุ่มชาวบ้านที่มาชื่นชมในพระบารมีไป ชาวบ้านก็พากันตะโกนโห่ร้อง “ทรงพระเจริญๆๆๆ” ตามหลังขึ้นพร้อมกัน ความฮึกเหิมของคนไทยที่กลับมาเต็มเปี่ยมอีกครั้ง
(หมายเหตุ - ในสมัยนั้น ห้ามไม่ให้ประชาชนดูหน้าพระมหากษัตริย์ หรือเจ้าฟ้า เพื่อป้องกันการลอบสังหาร ใครเงยหน้าขึ้นมองต้องถูกยิงตาบอด ซึ่งกฎนี้มายกเลิกในสมัยสมเด็จพระนเรศวรเป็นพระมหากษัตริย์)
สมเด็จพระนเรศวรทรงยกทัพ ทั้งทางบกทางเรือ เข้ารบกับทัพของพระมหาอุปราชาที่ทุ่งชายเคือง เพื่อเรียกขวัญกำลังใจของกรุงศรีอยุธยากลับมา การรบถึงขั้นตะลุมบอนอย่างดุเดือด จนในที่สุดก็สามารถตีทัพของพระมหาอุปราชา พ้นทุ่งชายเคืองไปจนได้
ยามสายวันหนึ่ง ขันเดินกลับขึ้นเรือนมา ด้วยใบหน้าเซื่องซึม ดวงแขและอำพันก็รีบเข้าไปกอดขันทันทีด้วยความดีใจ
“พ่อขัน กลับมาแล้วหรือลูก บุญกุศลคุ้มครองโดยแท้”
ขันฝืนยิ้มพลางบอก
“ถึงจักรอดจากโทษประหาร แต่ลูกก็ถูกถอดจากตำแหน่งกลับมาเป็นหมู่เหมือนเมื่อแรกแล้วแม่เอ๋ย”
“ยศศักดิ์ก็เหมือนไม้ใกล้ทาง ไม่เลือกไพร่ผู้ดีดอก เพียงท่านโปรดละเว้นชีวิตให้นี้ก็กุศลอยู่นักแล้ว อย่าเสียดายเลยพี่ขัน” ดวงแขว่า
ขณะนั้นเอง ขุนรามเดชะก็ออกมาจากข้างในบ้าน พอขันเห็นก็ยกมือไหว้
“นี่ท่านอามานานแล้วรึขอรับ”
“สักพักใหญ่แล้ว อาไม่รู้ว่าพ่อขันพ้นโทษวันนี้ กำลังคุยกับแม่อำพันถึงพ่อขันกับแม่เรไรอยู่เทียว”
ขันอดระแวงจนต้องชักหน้าบึ้งตึงขึ้นทันที
“คุยกันเรื่องกระไรรึขอรับ หรือท่านอาเห็นข้าพระเจ้าวาสนาเสื่อมถอยสิ้นแล้ว จึงจะถอนเลิกคำสัญญา ระหว่างข้าพระเจ้ากับแม่หญิงเรไรเสีย”
“เอ๊ะ พ่อขันหลานเรา ไฉนพูดแรงปานนี้ เหมือนดูแคลนสิ้นนับถือกันแล้ว” ขุนรามเดชะพูดอย่างไม่พอใจ
ขันถึงกับหน้าเสียไป อำพันรีบดุลูก
“มิสมควรเลยพ่อขัน แม่เป็นฝ่ายร้อนใจด้วยเห็นว่า พ่อขันต้องอาญา เกรงว่าแม่เรไรจักพลอยผิดไปด้วย ออกขุนท่านยังปลอบใจแม่ แลบอกข่าวพ่อขันได้พระราชทานอภัยโทษแล้ว ควรรึที่พ่อขันจักล่วงเกินออกขุนท่าน”
ขันรีบคุกเข่าลงไหว้ขุนรามเดชะทันที
“ข้าพระเจ้าขอขมาโทษท่านอาด้วยขอรับ ด้วยข้าพระเจ้าเพิ่งพ้นโทษมาสู่เหย้า น้ำจิตที่ตระหนกนักก็ย่อมจะหวั่นวุ่นอยู่ ขอท่านอาโปรดอภัยด้วยเถิดขอรับ”
ขุนรามเดชะถอนใจ
“ช่างเถิด อาไม่ถือโทษโกรธเคืองดอก”
อำพันรีบปั้นยิ้มไกล่เกลี่ย
“นี่ก็ใกล้เที่ยงแล้ว ขอเชิญท่านขุนรับสำรับด้วยกันเถิดจ้ะ ฉันเตรียมของคาวหวานไว้หลากหลายนัก”
“ขอบน้ำใจนักแม่อำพัน”
ขุนรามเดชะเดินตามอำพันเข้าข้างในไป เหลือขันกับดวงแขสองคน ขันถอนใจแล้วลุกขึ้นยืน
“พี่ขัน เมื่อครู่ก่อนพี่มา พ่อเฒ่ามั่นได้เอาเบี้ยมาชดใช้หนี้แล้ว”
“กระไร รวบรวมได้ครบแล้วรึ”
“ยังดอกจ้ะ ได้เพียงกึ่งหนึ่ง แต่น้องอยากจะขอให้พี่เมตตารับเอาไว้ก่อนเถิด อย่าเพิ่งบังคับเอาจำเรียงมาเป็นทาสเลย”
ขันเหยียดปาก สีหน้าแววตาร้าย
จำเรียงถือห่อผ้าลงจากเรือนพร้อมกับร้องไห้สะอึกสะอื้นน้ำตานองหน้า โดยมีเอื้อยแตงเดินตามออกมาส่ง ขณะที่เสมาและดวงแขยืนรออยู่หน้าเรือนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด จำเรียงสะอึกสะอื้นแล้วพนมมือไหว้ดวงแข
“แม่หญิงเจ้าคะ จำเรียงต้องไปเป็นทาสในเรือนแม่หญิงแล้ว ขอจำเรียงลาพ่อกับแม่ก่อนได้หรือไม่เจ้าคะ พ่อกับแม่ไปเร่ขายเหล็กอยู่ เพลาเย็นก็จะกลับแล้ว”
“ใช่ว่าฉันใจไม้ไส้ระกำดอกนะ แต่ฉันจนใจด้วยพี่ขันเร่งรัดอยู่ จำเรียงไปกับฉันก่อนเถิด ไว้ภายหลังค่อยให้พ่อลุงกับแม่ป้าไปเยี่ยมเยียนที่เรือน ฉันไม่หวงห้ามดอก”
เอื้อยแตงเบะปากหมั่นไส้ดวงแข แกล้งพูดลอยๆขึ้น
“ประเสริฐแท้ ดอกเบี้ยออกแพงโข ชดใช้กึ่งหนึ่งยังต้องไปเป็นทาส จะร่ำลาพ่อแม่ก็มิได้ แต่พูดราวกับมีน้ำใจนัก” พูดจบเอื้อยแตงยังทิ้งค้อนให้ดวงแขอีกขวับใหญ่
ดวงแขไม่พอใจที่เอื้อยแตงแขวะจึงเหล่มองเอื้อยแตงหน้าตึง ก่อนจะเดินเลี่ยงนำไป
“ฉันไปรอที่ท่าน้ำก่อน จำเรียงรีบตามมาเถิด”
เอื้อยแตงไม่วายเบะปากตามหลัง ก่อนจะหันไปพูดกับเสมา
“พาจำเรียงหนีเถิดพี่เสมา เหตุใดจักยอมให้จำเรียงไปเป็นทาสเล่า”
“ไม่ได้ดอก ถึงอย่างไรก็ยืมเบี้ยมาจริง แม่ท่านก็หายไข้ด้วยเบี้ยนี้ จะคดโกงได้กระไร”
“ฉันหาแยกออกไม่ว่าพี่เป็นคนดีหรือโง่แท้”
“แตงเจ้า ฉันฝากพ่อกับแม่ด้วยเถิด หากว่างเมื่อใด โปรดมาเยี่ยมเยียนแทนฉันบ้าง”
“วางใจเถิดจำเรียง ฉันจักหมั่นดูแลพ่อลุงกับแม่ป้าเอง” เอื้อยแตงว่า
จำเรียงพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินร้องไห้สะอึกสะอื้นไปหาดวงแข เอื้อยแตงหน้าหงิกงอกอดอกแน่น เจ็บแค้นใจแทนจำเรียง เสมาได้แต่มองตามน้องด้วยความห่วงใย แต่ก็สุดปัญญาจะช่วยเหลือจริงๆ
อ่านต่อหน้า ๔
เกร็ดความรู้เกี่ยวกับขุนศึก
๒๘. โทษประหารชีวิต ในสมัยอยุธยาเป็นโทษที่ร้ายแรงที่สุด โดยปกติจะใช้ดาบตัดคอผู้กระทำความผิด แต่ถ้าเป็นความผิดฐาน “กบฏ” จะมีการประหารอย่างโหดเหี้ยมถึง 21 วิธี
๒๙. ทาสสินไถ่ เป็นทาสชนิดหนึ่งใน 7 ชนิด เกิดจากผู้ที่ยากจนเลี้ยงดูตนเองหรือครอบครัว
ไม่ได้ หรือผู้ที่ติดหนี้แล้วไม่มีเงินชดใช้ จนต้องขายตัวเองหรือคนในครอบครัวมาเป็นทาส
โดยสามารถเป็นอิสระได้ เมื่อมีการนำเงินมาไถ่ถอน
......................................................................................................
ขุนศึก ตอนที่ ๔ (ต่อ)
บ้านขันตอนหัวค่ำ จำเรียงเดินถือห่อผ้าตามทาสหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งเข้ามาในเรือนทาส จำเรียงต้องนอนรวมกันกับทาสหญิงอีกหลายคน ทาสหญิงคนหนึ่ง สีหน้าบึ้งตึงพูดเสียงห้วน
“เอ็งนอนตรงโน้น วันพรึ่งต้องตื่นก่อนรุ่งสาง อย่าให้ข้าต้องปลุก มิเช่นนั้นเอ็งโดนหวายเป็นแน่”
จำเรียงมองไปรอบๆ เห็นที่ทางค่อนข้างแออัดยัดเยียดก็หน้าเสีย
“ต้องนอนรวมกันหมดเลยรึจ๊ะป้า ฉันเห็นมีห้องกั้นไว้หลายห้อง เหตุใดไม่แยกกันอยู่เป็น
สัดส่วนเล่าจ๊ะ”
ทาสคนเดิมตวาดแว๊ด
“อีนี่ เพิ่งจะเหยียบเรือนก็คิดจะมีห้องเสียแล้วรึ ข้าอยู่มาจนป่านฉะนี้ ยังต้องนอนรวมกับเอ็งเลย”
ทาสหญิงอีกคนยิ้มขำๆ
“ว่าได้รึป้า หน้าตานังนี่ก็สะสวยใช่หยอก หากได้รับใช้พระคุณขันสักครา อย่าว่าแต่ห้องเพียงเท่านี้เลย แม้แต่เรือนใหม่ก็ยังหาใช่เรื่องแปลกกระไรไม่”
ทาสคนแรกทิ้งค้อนด้วยความหมั่นไส้ที่เห็นจำเรียงเป็นสาวสวย จำเรียงหน้าเสียรีบเดินมายังที่นอนของของตัวเอง จำเรียงมองออกไปทางหน้าต่าง เห็นทาสชายกลุ่มหนึ่งกำลังจับกลุ่มคุยเรื่องจำเรียงอยู่
“เอ็งเห็นนังคนสวยที่มาใหม่หรือไม่วะ ข้าว่าไม่เกินสามวัน พระคุณขันต้องเรียกไปรับใช้เป็นแน่” ทาสชายคนหนึ่งพูดขึ้น
ทาสชายอีกคนหัวเราะชอบใจพลางว่า
“สามวันเชียวรึ ข้าว่าพรึ่งนี้มากกว่า หากไม่เชื่อ พนันกันไหมล่ะ”
พวกทาสชายคึกคักต่างพนันขันต่อกันใหญ่ว่า จำเรียงจะรอดมือขันได้กี่วัน จำเรียงกอดห่อผ้าแน่น สีหน้าเสียใจปนกลัว น้ำตาเริ่มคลอเบ้าขึ้นมา
ในเวลาเดียวกัน มั่นค่อยๆประคองบุญเรือนที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นขึ้นเรือนมา โดยมีเสมาเดินหน้าเครียดตามหลังมา
“หักอกหักใจเสียเถิดแม่บุญเรือน เรามีเงินอยู่ชั่งหนึ่งแล้ว ถ้าขยันขันแข็ง อีกชั่งหนึ่งคงหาไม่ยากดอก ไม่นานต้องไถ่ตัวจำเรียงมันออกมาได้เป็นแน่”
“เพราะฉันมันโง่เองไม่เชื่อคำอ้ายเสมา นึกว่าเค้ารักจำเรียงมันจริง จึงได้เสียทีเอาเช่นนี้ ฉันมันโง่เขลาเบาปัญญานัก” บุญเรือนพูดแล้วก็ทุบหัวตัวเองไม่หยุด
เสมารีบจับมือแม่ไว้
“อย่าแม่ อย่าทำเช่นนี้ ฉันสัญญาว่าจะไถ่ตัวจำเรียงมันให้เร็วที่สุด แม่อย่าได้โทษว่าตัวเองอีกเลย” เสมาว่า
“ขอบน้ำใจเอ็งนักเสมาเอ๋ยที่เอ็งไม่ทิ้งน้อง แต่จำเรียงมันไปเป็นทาสเรือนเค้า คงยากที่จัก...” บุญเรือนลำคอตีบตันพูดไม่ออก ก่อนจะปล่อยโฮ
เสมา และมั่นหันไปสบตากัน ด้วยความหนักใจ เพราะทั้งคู่ต่างรู้ดีว่าจำเรียงคงพ้นมือขันยาก
บนเรือนยามเช้า ดวงแขกำลังเดินคุยพร้อมกับสั่งงานทาสหญิงไปด้วย
“เพลานี้มีศึกมิรู้จะสิ้นเมื่อใด พวกเอ็งจงเร่งเตรียมอาหารแห้งไว้ จักได้เก็บไว้ได้นานวัน เผื่ออโยธยาจักต้องรับศึกนานเดือน จะได้ไม่อัตคัดขัดสน”
“เจ้าค่ะแม่หญิง”
ทันใดนั้น เสียงจำเรียงร้องกรี๊ดลั่นดังมาจากข้างใน ดวงแขตกใจ รีบตามเข้าข้างในไปทันที
ขันกำลังยื้อยุดฉุดกระชากจำเรียงอยู่ในห้องนอน
“ช่วยด้วย ช่วยด้วยเจ้าค่ะ”
“เอ็งจะเรียกให้ใครช่วยนังจำเรียง เอ็งเป็นทาสในเรือนข้า ก็เหมือนดั่งเป็นข้าวของติดเรือน ข้าจักทำอะไรกับเอ็งก็ได้ทั้งสิ้น” ขันตะคอกใส่
ขันกระชากมือ จำเรียงพยายามขืนตัวจะหนีออกจากห้อง ดวงแขตามเข้ามาที่ห้องนอนขัน เห็นเหตุการณ์เข้าพอดี
“แม่หญิงดวงแขช่วยจำเรียงด้วยเถิดเจ้าค่ะ”
“พอเสียทีเถิดพี่ขัน จำเรียงหาได้เต็มใจไม่ พี่บังคับกันเช่นนี้จะมิเสื่อมเกียรติของชายชาติทหารรึ”
ขันอึ้งไปครู่ แต่ทิฐิมีมากกว่าจึงว่า
“ไม่ว่าเรือนใดก็นับทาสเป็นเพียงสมบัติในเรือนทั้งสิ้น พี่ไม่ได้ทำกระไรผิด แม่ดวงแขอย่าได้ข้องเกี่ยวเรื่องนี้เลย”
“แต่พระคุณขัน ใช้เล่ห์บีบให้บ่าวมาเป็นทาส แล้วยังคิดจะกระทำย่ำยี เพียงเพื่อหักหน้าพี่ชายบ่าวให้สาแก่ใจ แม้นไม่ผิดแต่ก็หาใช่วิสัยชายจะพึงกระทำไม่”
“อีจำเรียง” ขันโมโหเงื้อมือขึ้นจะตบจำเรียง
“อย่านะพี่ขัน” ดวงแขห้าม
แต่ขณะนั้นเองก็มีทาสหญิงคนหนึ่ง ลนลานเข้ามาหาขัน
“พระคุณเจ้าคะ”
ขันยังโมโหเรื่องจำเรียงอยู่จคงตะคอกใส่ทาสคนนั้น
“กระไรวะนังขาว เอ็งอยากจะรับหวายแทนรึ”
“มิได้เจ้าค่ะ แต่มีราชการศึกเร่งด่วนมาถึงพระคุณ คนถือสาสน์รออยู่ที่หอนั่งเจ้าค่ะ”
ขันหน้าเจื่อนลงทันที ในขณะที่จำเรียงและดวงแขโล่งอกที่รอดเหตุการณ์นี้ไปได้อย่างหวุดหวิด
ในช่วงนั้นเอง กรุงละแวกได้ฉวยโอกาสที่กรุงศรีอยุธยาต้องรับศึกหนักกับกองทัพหงสาวดี เลยยกทัพพลหนึ่งหมื่นบุกเข้าตีเมืองปราจีนจนแตก สมเด็จพระนเรศวรทรงกริ้วมาก แต่ด้วยติดทัพหงสาจึงมีรับสั่งให้พระยาศรีไสยณรงค์ และพระยาสีหราชเดโช ยกทัพห้าพันเพื่อเข้ารับศึกละแวกทันที
ขุนรามเดชะสวมชุดเกราะเต็มยศสีหน้าเคร่งเครียด เดินลงจากเรือนมาหากลุ่มทหารที่รออยู่ โดยมีลำภูเดินตามมาส่ง
“อ้ายเสมาต้องอยู่รับทัพหงสา ไม่ได้ไปศึกละแวกกับฉันแลพ่อขัน ฉันจึงหวั่นใจนัก ไม่อยากให้แม่เรไรออกจากวังเลย แต่ด้วยธรรมเนียมจึงไม่อาจขัดได้ ถ้าอย่างไรแม่ลำภูจงคอยดูแลลูกให้ดีเถิด”
“ท่านขุนไม่ต้องเป็นห่วงดอก ฉันกำชับบ่าวไพร่ทุกคนแล้ว ว่าหากเห็นอ้ายเสมามาที่เรือนก็ให้ขับไล่ไปเสีย แลสั่งเป็นคำขาดกับแม่เรไรไม่ให้ออกจากเขตบ้าน ฉันรับรองว่า อ้ายเสมาไม่มีทางได้ปะหน้าแม่เรไรเป็นอันขาด”
“เช่นนี้ฉันก็เบาใจ ไม่ต้องห่วงกระไรแล้ว อ้ายเสมามันช่างไม่เจียมตัวนัก หากมันไม่ใฝ่สูงจนเกินศักดิ์ ป่านฉะนี้ ฉันคงให้มันสังกัดมูลนาย มีศักดินาตำแหน่งหมื่นกินแล้ว ไหนเลยน้องมันจักต้องไปเป็นทาสเค้าเช่นนี้”
ลำภูมองตามขุนรามเดชะได้แต่ถอนใจออกมาอย่างไม่สบายใจนัก
เวลาเดียวกัน พุฒกำลังคุยกับบัวเผื่อนอยู่ใต้ต้นไม้ที่หน้าเรือนของพุฒ
“เพิ่งออกจากคุกมาก็ต้องไปศึกละแวกอีก ฉันหวั่นใจเหลือเกินเกรงว่า ถ้าพ่ายศึกอีกครานี้คงไม่พ้นฟันคอริบเรือนเป็นแน่”
พุฒโมโหขึ้นทันที
“เอ๊ะ แม่บัวเผื่อน ฉันกำลังจะไปศึกเหตุใดพูดจาอัปมงคลเช่นนี้”
บัวเผื่อนหน้าเสียและรีบเปลี่ยนเรื่องทันที
“ขอขมาเถิดพ่อพุฒ ฉันพูดเพราะเป็นห่วงพ่อ หาได้คิดร้ายไม่ เอ่อ แล้วนี่พ่อพุฒจะไปสักกี่วันกันเล่า”
“ไปรบทัพจับศึกจะกะได้เยี่ยงไร แม่บัวเผื่อนถามเช่นนี้ต้องการกระไรรึ”
“เปล่าดอก ฉันเกรงว่ายามพ่อพุฒไปศึกจักไม่มีใครดูแลเรือน เลยจะอาสามาดูแลให้”
“ไม่ต้องดอก ฉันไหว้วานป้าแลอาของฉันมาดูแลให้แล้ว หากไม่ใช่เหตุจำเป็น แม่บัวเผื่อนไม่ต้องมาที่เรือนฉันดอก”
พุฒ เหล่มองบัวเผื่อน เตรียมที่จะหาเรื่องเขี่ยบัวเผื่อนทิ้ง
“เอ๊ะ พ่อพุฒ เหตุใดพูดเช่นนี้ ฉันไปทำกระไรให้พ่อพุฒโกรธเคืองหนักหนารึ ถึงขั้นห้ามเหยียบเรือนกัน”
“ไม่ใช่ห้ามเหยียบ แต่หากไม่มีเหตุจำเป็นก็ไม่บังควรมา แม่บัวเผื่อนเป็นหญิงมาหาชายอื่นถึงเรือนไม่นึกอายบ้างรึ”
บัวเผื่อนตกใจไม่คิดว่าพุฒจะด่าซึ่งหน้าแบบนี้
“แม่บัวเผื่อนเป็นคนฉลาด ฉันพูดถึงเพียงนี้ คงพอเข้าใจดอกนะ”
พุฒเดินขึ้นเรือนไปโดยไม่แยแส ปล่อยให้บัวเผื่อนยืนนิ่งอึ้งตกใจจนพูดอะไรไม่ออก
ภายในตำหนักยามบ่าย บัวเผื่อนร้องห่มร้องไห้ โดยมีเรไรอยู่ใกล้ๆ
“เสียแรงที่ฉันมีใจใฝ่ให้กลับทอดทิ้งไม่ใยดีกันได้ ขอให้มันโดนพวกละแวกฆ่า เป็นผีเฝ้าเมืองปราจีนเสียเลย”
เรไรนึกปลงกับนิสัยเพื่อน
“เพลานี้เป็นยามศึก อย่าแช่งกันเช่นนี้เลย หากฝีมือเช่นหมู่พุฒยังตายเสียไพร่พลอื่นมิหนักกว่ารึ แม่บัวเผื่อนอย่าเอาแต่โทสะเป็นที่ตั้งเลย”
“แม่เรไรพูดเช่นนี้เพราะไม่รู้ความจริง ที่แม่เรไรต้องโทษจนถึงขั้นตีกรวนแลโดนโบยนั้น ก็เพราะอุบายอ้ายพุฒมันทั้งสิ้น”
“ฉันรู้ หากแต่ฉันอโหสิให้หมดสิ้นแล้ว”
บัวเผื่อนเจ็บใจที่ยุเรไรไม่ขึ้น
“อโหสิทำกระไร เหตุใดไม่ฟ้องขุนรามเดชะท่านเล่า ศึกละแวกครานี้ อ้ายพุฒเป็นทหารในบังคับของออกขุนรามท่านจะได้ให้มันโดนดีเสียบ้าง”
“แม่บัวเผื่อนคิดว่าพ่อท่านยังฟังคำฉันอีกรึ แล้วที่ฉันต้องโทษมิใช่เพราะเพื่อนที่คบมานานปีร่วมมือกับเค้าใส่ไคล้ฉันดอกรึ หากฉันไม่อโหสิ เพลานี้คงไม่คุยกับแม่บัวเผื่อนอยู่ดอก” เรไรแขวะบ้าง
บัวเผื่อนหน้าแตกและพาลโกรธเรไรทันที
“แม่เรไรพูดเช่นนี้ก็ตามใจเถิด ฉันเป็นเช่นนี้แล้วคงสาแก่ใจแม่ขึ้นมาบ้างกระมัง”
บัวเผื่อนสะบัดหน้าเดินเลี่ยงไปทางอื่นด้วยความหงุดหงิด เรไรมองตาม แล้วส่ายหน้าแบบปลงๆ
จำเรียงหอบเสื่อหมอนเดินตามดวงแขเข้ามาในห้อง
“นับแต่นี้จำเรียงนอนในห้องกับฉันเถิดไม่ต้องไปนอนรวมกับพวกทาสที่เรือนแล้ว มีฉันอยู่ด้วย พี่ขันจะทำกระไรก็คงต้องเกรงกันบ้าง”
จำเรียงนั่งพับเพียบไหว้ดวงแข
“ขอบพระคุณแม่หญิงมากเจ้าค่ะ”
ดวงแขรับไหว้พลางยิ้มบางๆก่อนกล่าวว่า
“ไม่เป็นกระไรดอก เราเคยเป็นเพื่อนร่วมตำหนักกันมา แลฉันรับปากหมื่นศึกไว้แล้วว่าจะดูแลจำเรียง แล้วจะปล่อยให้โดนข่มเหงได้อย่างไร”
“พูดถึงพี่เสมาแล้วก็พิกลเหลือนะเจ้าคะ จำเรียง เอ่อ... บ่าวเห็นผู้อื่นได้ยศเป็นหัวพันหัวหมื่นก็มั่งมีหนักหนา แล้วเหตุใดพี่เสมาจึงยากจนถึงเพียงนี้”
“ฉันก็ไม่ใคร่เข้าใจกฎของทหารนักดอก แต่คาดว่าการผิดใจกันของหมื่นศึกกับท่านอาขุนรามเดชะ น่าจะเป็นเหตุหนึ่งกระมัง”
“นับแต่พี่เสมาชอบพอกับแม่หญิงเรไร ก็มีแต่เรื่องเดือดร้อนเมื่อใดพี่เสมาจักเข้าใจเสียที”
ดวงแขยิ้มเล็กน้อยแล้วว่า
“ต่อไปคงไม่ต้องกังวลแล้วกระมัง ท่านอาขุนราม คงไม่ยอมให้หมื่นศึกปะหน้ากับแม่เรไรอีกดอก”
“กระไรได้เล่าเจ้าคะ พี่เสมานั้นดื้อรั้นนัก แลเคยเป็นครูฝึกอยู่ที่บ้านท่านขุนรามเดชะ รู้ทางหนีทีไล่ที่บ้านท่านขุนดี พี่สมบุญยังเคยบอกว่าพี่เสมาเคยลักลอบเข้าไปในบ้านท่านขุนเสียหลายครั้ง แม้แต่ปีนเข้าห้องนอนแม่หญิง ก็ยังเคยเลยเจ้าค่ะ”
ดวงแขเหยียดปากด้วยโมโหหึง สีหน้าแววตาหมั่นไส้เรไรขึ้นมาทันทีอย่างลืมตัว
ทาสของขุนรามเดชะกำลังพายเรือพาลำภูมาขึ้นที่ท่าน้ำ พอลำภูขึ้นฝั่ง ทาสหญิงคนหนึ่งของดวงแขก็รีบเข้ามาหาลำภูและคุกเข่าลงไหว้ทันที
“ขอประทานโทษเจ้าค่ะ แม่นายใช่แม่นายลำภูหรือไม่เจ้าคะ”
“ใช่ เจ้าเป็นใครกันรึ”
“ข้อนั้น บ่าวบอกไม่ได้เจ้าค่ะ”
ทาสหยิบจดหมายออกมายื่นให้ลำภู
“แต่นายของบ่าว ให้นำสาสน์นี้มาให้แม่นายเจ้าค่ะ แม่นายอ่านแล้วก็จะเข้าใจเอง”
ลำภูสายตาระแวง
“ลับๆล่อๆ พิลึกนัก ฉันไม่อ่านดอก”
“อ่านเถิดเจ้าค่ะ เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงแม่หญิงเรไรแลหมื่นศึกอาสาด้วยเจ้าค่ะ”
ลำภูตกใจเลยรีบรับจดหมายมาฉีกออกอ่านทันที พออ่านไปได้ซักครู่ก็ยิ่งตกใจจนหน้าซีดเผือด
บ้านรามเดชะตอนหัวค่ำ เรไรกำลังยืนมองออกไปนอกหน้าต่างเพื่อรอเสมา มองเท่าไหร่ก็ไม่เห็นวี่แววเสมาแม้แต่น้อย เรไรถอนหายใจคิดว่า เสมาคงไม่มาแล้วจึงเอื้อมมือจะปิดหน้าต่าง พลันมือของเสมาก็มาดันหน้าต่างไว้ แล้วโหนตัวปีนหน้าต่างเข้าห้องมา เสมาดีใจมากรีบจับมือเรไรไว้
“คิดถึงหนักหนาแล้วแม่หญิงเอ๋ย พอรู้ข่าวว่าพระคุณไปศึกละแวก แม่หญิงต้องกลับมาที่เรือน ใจอ้ายเสมาก็ร้อนดังไฟเผา อยากมาหาแม่หญิงเหลือเกินแล้ว”
เรไรเขินอาย เสมาไม่ปล่อยมือเหมือนทุกที ยิ้มกรุ้มกริ่มแล้วเอามือเรไรมาจูบ เรไรรีบดึงมือออกแล้วเดินเลี่ยง
“ร้ายกาจแล้วเสมา ตัวฉันนี้แม้จะชั่ว ก็ขอชั่วเพียงนอกโอวาทพ่อแม่ท่าน แต่ผีสางเทวดาก็สุดละอายท่านนักแล้ว”
เสมาพูดพลางยิ้มกรุ้มกริ่ม
“อภัยเถิดแม่หญิงเอ๋ย เสมาไม่ได้ปะหน้าแม่หญิงมานานวันให้คิดถึงนัก พอได้พบเจอ จึงสุดจะหักห้ามใจแล้ว แม่หญิงสุดรักแห่งข้าพระเจ้า”
เสมาค่อยๆกอดเรไรจากทางด้านหลังอย่างทะนุถนอม เรไรพยายามจะเบี่ยงตัวออก
“ช้าก่อนเสมา อย่า...”
ทันใดนั้นเอง ลำภูก็เปิดประตูห้องเข้ามาเห็นเสมากับเรไรอย่างเต็มตา ทั้งสองรีบผละออกจากกันทันที
ลำภูชี้หน้าเรไรด้วยความโมโห
“งามหน้าแล้วแม่เรไร นี่ต่อหน้าต่อตาจับได้เอง หากเป็นผู้อื่นจะว่าซัดใส่โทษ”
เรไรกลัวรีบนั่งพับเพียบกราบเท้าแม่ น้ำตาคลอเบ้า ร้องไห้ออกมาด้วยความรู้สึกผิด
“แม่ท่าน ผิดลูกเกินตัวที่จะอภัยแล้ว
ฝ่ายลำภูก็โกรธจนน้ำตาคลอ
“แม่มีลูกแต่คนหนึ่งเป็นเอื้อยหัวปีก็ประพฤติไม่สมศักดิ์สมรักนัก”
ลำภูหันไปพูดกับเสม
“แน่ะหมื่นศึก ฉันนี้นึกว่าใคร มิคาดเลยว่าจะเป็นหมื่นที่ท่านขุนอุปการะมาย้อนเนรคุณถึงฟากเรือน”
เสมาละอายใจคุกเข่าลงกราบ
“สุดแต่เมตตาพระคุณ ใช่ข้าพระเจ้าจักลบหลู่ล่วงเกินพระคุณทั้งสองนั้นหามิได้ หากที่ประพฤตินี้ก็โดยสุดรักแม่หญิงยิ่งอื่นแม้ชีวิตตัว พระคุณจงเมตตาเถิด”
“เมตตารึ” ลำภูแค่นหัวเราะแล้วว่า
“หมื่นศึกก็รู้แล้ว คำขุนท่านประกาศมิให้เหยียบเรือนเรา แลเมื่อชะล่าเช่นนี้ มิหมายใจจักลองดีเพราะสิ้นเกรงกันรึ”
“หามิได้เลยพระคุณ...”
“พอเถิด แม้เจ้าจักเป็นหมื่นมียศแล้ว ฉันก็ยังมองอยู่ว่าเป็นช่างเหล็กที่เคยหมอบอยู่ปลายเท้า หากอโยธยาสิ้นบุรุษแล้วนั้นก็จนใจ แต่บัดนี้ เชิญเสียให้พ้นเรือนแต่โดยเร็วเถิด หาไม่จะเรียกไพร่มาจับส่งพระนครบาล” ลำภูพูดสวนขึ้น
เสมาขบกรามจนขึ้นสันด้วยความเจ็บใจสุดๆ แต่เมื่อคิดว่าลำภูเป็นแม่ของเรไรเลยต้องทน
“พระคุณกล่าวถูกแล้ว แลเมื่อพระคุณมาลั่นวาจาเสียว่า สิ้นบุรุษแล้วจนใจนั้นข้าพระเจ้าก็เสียใจอยู่ มิทราบจะขอเมตตาประการใดจึงต้องขอขมาด้วย”
เสมาก้มลงกราบอีกแล้วหันมามองเรไรซึ่งมองตอบด้วยน้ำตานองหน้า แต่สายตาที่ทั้งคู่มองกันยังมั่นคงต่อกันเต็มเปี่ยม เสมาลุกขึ้นออกจากห้องไป เรไรได้แต่มองตามทั้งน้ำตานอง ลำภูหงุดหงิด สะบัดหน้าพรืดเดินออกไปจากห้องนอนเรไรอีกคน เรไรได้แต่เดินไปนั่งที่เตียงแล้วร่ำไห้เสียใจต่อโชคชะตา
จบตอนที่ ๔
อ่านต่อตอนที่ ๕ พรุ่งนี้
ความรู้เกี่ยวกับขุนศึก
๓o. การสังกัดมูลนาย ในสมัยโบราณ กำหนดให้ผู้ที่จะรับราชการ ต้องมีสังกัดขึ้นตรงกับ
ข้าราชการคนใดคนหนึ่ง ซึ่งเรียกกันว่า “มูลนาย” ถ้าไม่มีสังกัดมูลนาย ก็จะไม่ได้รับ
ประโยชน์จากราชการ เช่น ไม่ได้รับศักดินา หรือเบี้ยหวัดเงินปี
๓๑. พระแสงดาบคาบค่าย เป็นพระแสงดาบของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ที่ทรงคาบนำ
ทหาร ปีนบันไดเข้าตีค่ายหลวงของพระเจ้าหงสาวดี พระแสงดาบเล่มนี้ จึงได้ชื่อว่า “พระแสงดาบคาบค่าย”
........................................................................................................