xs
xsm
sm
md
lg

ขุนศึก ตอนที่ ๓

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ขุนศึก ตอนที่ ๓

เรไรกับพวกนางข้าหลวงกำลังเลือกซื้อของใช้ต่างๆ เรไรมีสีหน้าเบื่อๆ ก่อนจะเดินเลี่ยงออกมา พอเรไรอยู่คนเดียว เสมาก็โผล่ออกมาหาทันที พอเรไรเห็นเสมาก็หงุดหงิดจะเดินหนีไปอีก เสมารีบขวางหน้าไว้
“รอก่อนเถิดแม่หญิง อ้ายเสมาผิดกระไร แม่หญิงก็แจ้งมาให้เสมารู้ แต่อย่าหนีหน้าเช่นนี้เลย” 
เรไรจะเดินหนีไปอีกทาง เสมารีบคว้ามือเรไรไว้ทันที เรไรสะบัดมือออก
“โอหังอีกแล้ว หรือต้องให้ฉันกล่าวโทษ จนถูกถอดไปเป็นตะพุ่นหญ้าช้างจึงจะสำนึก”
“เสมาผิดที่มือไว แต่หาใช่จะสบประมาทหมิ่นหรือกำเริบล่วงเกินแม่หญิงไม่ แลน้ำใจสุจริตของข้าพระเจ้านั้น ย่อมประจักษ์แก่แม่หญิงอยู่”

“ฮะ เจ้าเอ๋ย กรากมาจับข้อมือแล้วก็ประสมกล่าวเอาว่าน้ำใจสุจริต แสนขันนักหนา อันกิริยาชอบหาเล็กน้อยเป็นกำไร เห็นจะเคยตัวมาจากหญิงอื่นกระมัง แต่ฉันหาใช่นางนั่งตลาดอย่างนางเอื้อยแตงไม่ อย่ามาบังอาจล่วงเกินเช่นนี้อีก”
“แม่หญิงกล่าวถึงเอื้อยแตงเป็นหนสองแล้ว ข้าพระเจ้าไม่เข้าใจว่าเป็นเรื่องกระไรกัน”
“อย่าแสร้งโง่แสร้งเขลาทำเป็นไม่รู้ความเลย เรื่องเจ้าชู้ของเจ้านั้นรู้กันทั่วแล้ว แม้นแต่พ่อฉันก็รู้ เพราะพันฤทธิ์ พันจบ เล่าให้ฟังจนหมดความ ว่าคนไม่รักศักดิ์ถึงกับลวนลามแลแย่งหญิงกลางตลาดเป็นเยี่ยงไร”
“ที่แท้เป็นเพราะฝีปากอ้ายขันเองรึ อ้ายขันมันชังข้าพระเจ้า แม่หญิงก็แจ้งใจอยู่ แล้วเหตุใดแม่หญิงยังเชื่อคำมันมากกว่าคำข้าพระเจ้าเล่า”
เรไรหน้าเจื่อน ยอมรับว่าเสมาพูดถูก แต่ทิฐิไม่ยอมแพ้จึงสะบัดหน้าไปทางอื่น เสมาเห็นเรไรไม่เชื่อตน ก็ยิ่งน้อยใจปนโมโห
“เอาเถิด เมื่อแม่หญิงไม่เชื่อน้ำใจอ้ายเสมาเสียแล้ว ก็ตามใจเถิด แต่ข้อที่อ้ายขันมันใส่ความ ข้าพระเจ้าจะไปแก้ให้พระคุณฟังเอง”
เสมาจะเดินเลี่ยงไป เรไรเห็นเสมาโมโหก็ชักเป็นห่วง
“จะไปทำกระไร พ่อท่านกำลังเคืองประเดี๋ยวก็ต้องโทษอีกดอก”
“อย่าว่าแต่จำคุกใส่กรวนเหมือนคราวก่อนเลย ต่อให้ตัดหัวเสียบประจาน อ้ายเสมาก็ต้องไป ดีกว่าให้อ้ายขันมันกล่าวโทษเล่นตามแต่ใจ เหมือนอ้ายเสมาเป็นคนขลาดไม่กล้าสู้คน เลยต้องยอมให้มันอยู่ร่ำไป”

เสมาเลี่ยงไปด้วยความโมโห เรไรตกใจไม่คิดว่าเรื่องจะบานปลายจนอดห่วงเสมาไม่ได้

เวลาต่อมา ที่ลานกว้างบ้านรามเดชะ สมบุญถูกขันเตะร่วงล้มคว่ำลงกับพื้น ปากคอแตกเลือดกบปาก“นี่รึซ้อมดาบพันฤทธิ์ หากจักทำร้ายกันก็พูดมาตรงๆเลยเถิด จะมาอุบายชวนข้าซ้อมดาบทำกระไร”
“อย่าโกรธกันเลยวะอ้ายสมบุญ ข้าเพิ่งหัดแม่ไม้ดาบสองมือจากครูบ่ายมาใหม่ยังมิใคร่ชำนาญ จึงหนักมือไปสักหน่อย” ขันบอก
“ครูเอ็งเป็นศิษย์วัดพุทไธสวรรย์มิใช่รึ เหตุใดเพลงดาบเอ็งอ่อนด้อยถึงปานนี้วะ ท่าครูเอ็งจะหวงวิชา หรือไม่ สำนักวัดพุทไธสวรรย์ก็มีแต่ชื่อ” พุฒสบประมาท
สมบุญโกรธจัดที่พุฒด่าลามถึงสำนักอาจารย์ เลยร้องลั่น แล้วลุกขึ้นโถมฟันดาบใส่ขันทันที
ขันใช้เพลงดาบสองมือของตนเข้าสู้กับสมบุญ ช่วงแรกๆยังสูสี แต่ซักพักขันก็เริ่มคุมไว้ได้หมด เพราะทั้งฝีมือและประสบการณ์เหนือกว่าสมบุญมาก
ขันได้โอกาสพลิกตัวใช้ด้ามดาบกระทุ้งใส่สมบุญจนจุก แล้วฟันซ้ำทันที
สมบุญฉากหลบไปได้หวุดหวิด แต่ก็โดนฟันถากเลือดไหลเช่นกัน ขันไม่ปล่อยโอกาสทอง ตรงเข้าซ้ำทันที
สมบุญบาดเจ็บเลยยิ่งแย่ทั้งโดนฟัน โดนถีบ โดนชก จนสะบักสะบอมไปหมด
ขันเงื้อจะฟันเผด็จศึก กะว่าถ้าสมบุญไม่ตายก็สาหัส แต่ทันใดนั้น เสมาก็กระโจนเข่าลอย กระแทกขันจากทางด้านข้างจนกระเด็นออกไป เสมารีบเข้าไปประคองสมบุญ
“อ้ายสมบุญ เอ็งเป็นกระไรบ้าง”
สมบุญเจ็บจุก เลือดท่วมตัว บอบช้ำจนพูดไม่ออก เสมาโมโหมาก หยิบดาบสมบุญมา ชี้หน้าขัน
“มึงดีจริงก็มาปะดาบกับกูอ้ายขัน หากวันนี้กูให้มึงเจ็บน้อยกว่าอ้ายสมบุญ กูไม่ขอเป็นคน”
เสมาและขันตรงเข้าฟาดฟันด้วยความเคียดแค้นชิงชัง
พิณและพวกทาสที่ได้ยินเสียงก็เริ่มมามุงดูกัน เสมาและขันปะดาบกันได้ไม่กี่ยก ทันใดนั้น ขุนรามเดชะก็เดือดดาลเดินออกมาจากข้างใน
“หยุดประเดี๋ยวนี้อ้ายเสมา บ้านกู มิใช่ที่ให้มึงท้าทายเสมือนเห็นเป็นกลางถนน”
เสมาไหว้ขุนรามเดชะแล้วว่า
“ขอขมาเถิดพระคุณ แต่อ้ายขันมันทำกับอ้ายสมบุญถึงเพียงนี้ จักให้ข้าพระเจ้าข่มใจได้อย่างไรกัน”
ขุนรามเดชะเห็นสภาพสมบุญแล้วก็หน้าเสียพูดไม่ออก เบี่ยงประเด็น หันไปสั่งทาสทันที
“เฮ้ย รีบพาอ้ายสมบุญไปทำแผลเร็ว”
ทาสกลุ่มหนึ่งเข้ามาประคองสมบุญเลี่ยงไป ขุนรามเดชะหันไปพูดกับเสมา
“กูจะไต่สวนทวนความเอง มึงกลับไปเถิดอ้ายเสมา”
“แผลอ้ายสมบุญเห็นอยู่ตำตายังต้องไต่สวนกระไรอีกขอรับ หรือเพราะพระคุณเห็นอ้ายขันเสมอญาติ จึงต้องไต่สวน แต่ยามอ้ายเสมาถูกใส่ความกลับมีแต่คนเชื่อ ไม่มีผู้ใดไต่สวนอ้ายเสมาบ้าง”
คำพูดของเสมาเข้าไปจี้ใจดำขุนรามเดชะทันที
“นี่มึงกล้าด่ากูว่าลำเอียงเชียวรึ อ้ายเสมา”
เสมาคุกเข่าก้มลงกราบ
“ไหนเลยข้าพระเจ้าจะบังอาจด่าพระคุณได้ แต่อ้ายเสมามันน้อยใจนัก ด้วยนิ่งยอมกันมาแล้วหลายครั้ง หากจะยอมกันอีกเมื่อนี้เล่า เมื่อหน้ามันก็จักไม่มีสิ้นสุด แม้จะต้องปรึกษาวางโทษประการใดก็จะไม่ขอยอมอีก”
“ไม่ขอยอมอีก แสดงว่าจักท้าทายกันใช่หรือไม่ จะเป็นไรมีเล่าหัวหมู่ เชิญให้พ้นบ้านท่านขุนเสียก่อนเถิด จะได้ซ้อมฝีมือกัน” พุฒว่า
พุฒและขัน เหล่มองกันแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ เพราะคิดว่า ฝ่ายเสมามีเพียงคนเดียวจะสู้กับฝ่ายตนที่มีสองคนได้อย่างไร
พิณ เห็นทั้งสองฝ่ายท้าทายกันก็ชักกลัว รีบหลบออกมาไปหาเรไรทันที
เสมาหันไปจ้องหน้าพุฒ และขันด้วยสายตาแข็งกร้าว ดูดุดันน่ากลัว
ยามสายต่อมา เสมายืนถือดาบสองมืออยู่กลางลานกว้างกลางเมือง โดยมีขันถือดาบสองมือ ส่วนพุฒถือกระบี่ ยืนเตรียมพร้อม พวกชาวบ้านรีบมุงกันเข้ามาเต็มไปหมด เพื่อจะดูการประลอง ขณะที่เรไร และพิณ ที่เพิ่งมาถึง
เรไรมองไปที่เสมาด้วยความห่วงใย ไม่คิดว่าการหึงหวงของตน จะเป็นชนวนมาถึงขนาดนี้ได้ เลยทำให้เรไรยิ่งเครียดหนัก ขันหันไปกระซิบกับพุฒ
“เพลงดาบสองมืออ้ายเสมามันร้ายนักกำลังมันก็มาก แต่เห็นท่ามันจะไม่ช่ำชองเพลงกระบี่ พันจบท้าประลองกระบี่กับมันเถิด”
พุฒยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วบอก
“วางใจเถิดพันฤทธิ์ ฉันไม่เคยแพ้เชิงกระบี่แก่ใคร มันตายคากระบี่ฉันก่อนถึงมือพันฤทธิ์เป็นแน่” พุฒหันไปพูดกับเสมาแล้วชักกระบี่ออกมา
“ฟังว่าวัดพุทไธสวรรย์ ชำนาญทุกศาสตร์วิชาการรบ มิรู้ว่าจะกล้าสู้ในเชิงกระบี่กับข้าหรือไม่”
“ข้าไม่ได้พกกระบี่มา แต่จะขอใช้ดาบมือเดียวแทนกระบี่ก็แล้วกัน”
ขาดคำ เสมาก็ขว้างดาบอีกเล่มไปปักที่ต้นไม้ แล้วถือดาบเล่มเดียวตั้งท่าในวิชาเพลงกระบี่
พุฒใช้กระบี่ขีดเส้นที่พื้น แบ่งแดน เป็นธรรมเนียมการประลองว่าใครข้ามเส้นแบ่งแดนเข้ามาก็สู้กันได้เลย พุฒและเสมา ตั้งท่าในวิชาเพลงกระบี่หาจังหวะเข้าทำ ทั้งคู่เริ่มขยับเข้าใกล้เส้นแบ่งแดนกันมากขึ้น จนได้ระยะ พุฒก็ใช้ไม้ตายเข้าจู่โจมเสมาทันที เสมาใช้ดาบต่างกระบี่ตั้งรับ แล้วหลบรอดกระบี่พุฒไปได้หวุดหวิด เสมาทึ่งกับเพลงกระบี่พุฒ จนอดชมไม่ได้
“ไม้นี้สูงนัก”
พุฒกระหยิ่มลำพอง ฟันกระบี่ใส่เสมาไม่ยั้ง เสมาไม่เก่งกระบี่เท่าดาบสองมือ แถมยังใช้ดาบแทนอีกต่างหากเลยเสียเปรียบ ต้องคอยตั้งรับสถานเดียว เรไร พอเห็นเสมาถอย ตั้งรับหนักๆเข้า ก็ชักเป็นห่วง
เสมาคอยตั้งรับแล้วหลบหลีกกระบี่ของพุฒอย่างใจเย็นจนดูเผินๆเหมือนเสียเปรียบ แต่พอได้โอกาสก็แทงสวนไปปลายดาบจ่อคอหอยพุฒทันที พุฒได้แต่ตกใจทำอะไรไม่ถูกไม่คิดว่าเสมาจะใช้วิธีนี้
“แพ้ข้าพระเจ้าเสียเถิดพันจบ อ้ายเสมาประสงค์จะฟันพันฤทธิ์ยิ่งกว่าสู้ท่าน”
เสมาลดดาบที่จ่อคอพุฒลง แล้วเดินหันหลังจะเตรียมสู้กับขัน แต่ทันใดนั้น พุฒฟันกระบี่มาทางด้านหลังที่ท้ายทอยเสมาทันที
“เสมา ระวัง” เรไรร้องลั่น
เสมาได้ยินเสียงเรไรเตือนเลยหลบได้หวุดหวิด แต่ปลายกระบี่ก็บาดท้ายทอยเป็นแผลเลือดออกพอสมควร เสมาจับแผลที่ท้ายทอยด้วยความโมโห
“แผลหนึ่งของกู ต้องแลกสักสี่ห้าแผลของมึง”
เสมาบุกเข้าใส่ทันที พุฒก็บุกเข้าปะทะตรงๆเช่นกัน แต่สู้กันได้ไม่นานก็สู้กำลังข้อเสมาไม่ได้ ต้องตั้งรับจนเป๋ไปเป๋มา ทันใดนั้น เสมาก็เตะตัดขาจนพุฒล้มลงกับพื้น แล้วเปลี่ยนเป็นใช้สันดาบ ฟันใส่ใบหน้า หัวไหล่ ต้นแขนของพุฒ จนเลือดซึมออกมา ถ้าใช้คมดาบคงขาดเป็นชิ้นๆไปแล้ว
ทันใดนั้นเอง ขันก็ใช้ดาบสองมือฟันเข้าใส่เสมาเพื่อช่วยพุฒทันที ทั้งคู่สู้กันอย่างดุเดือด ขันเรียนเพลงดาบใหม่มาเลยฟันเสมาเลือดออกที่ต้นแขนแต่ไม่ลึก ฝ่ายเรไรตกใจมาก
เสมาพยายามจะไปเอาดาบที่ตนขว้างไปปักที่ต้นไม้ แต่ขันก็พยายามขัดขวาง ทั้งคู่เกลียดชังกันอยู่แล้ว เลยใส่กันไม่ยั้ง เสมาใช้ท่าไม้ตายฟันใส่ขัน จนขันต้องผงะหลบออกไป เสมาเลยฉวยโอกาสดึงดาบที่ปักอยู่ออกมาได้ พอมีดาบครบทั้งสองมือ เสมาก็ลุยใส่ขันไม่ยั้ง แม้ขันจะได้ท่าไม้ตายใหม่มาก็สู้เสมาไม่ได้ โดนไล่ฟันจนถอยร่น
เสมาพลิกตัวศอกกลับใส่ขันจนเลือดกลบปาก ก่อนจะฟันเต็มแรงจนดาบขันกระเด็นหลุดจากมือ พอเหลือดาบเล่มเดียวขันก็ยิ่งแย่ โดนเสมาทั้งเตะต่อย ฟันแทง จนขันสะบักสะบอมหนักกว่าสมบุญด้วยซ้ำ
แต่ทันใดนั้นเอง ขุนรามเดชะก็คุมทหารแหวกชาวบ้านเข้ามาล้อมพวกเสมาเอาไว้ ขุนรามเดชะตะโกนลั่น
“หัวหมู่หยุดประเดี๋ยวนี้ อย่าฆ่าทหารกันเองเป็นอันขาด ไม่แล้วต้องรบกับกู”
เรไรเห็นพ่อมาก็หน้าซีดเผือด เสมาเห็นขุนรามเดชะคุมกำลังมาเองก็ยอมหยุด
“หัวหมู่เอ็งวางดาบให้จับเสียโดยดี เอ็งผิดเอ็งต้องรู้ วางดาบเสียให้เห็นว่าเคารพกู” ขุนรามเดชะว่า
“พระคุณเป็นที่เคารพของข้าพระเจ้าแต่ไหนแต่ไร อย่าว่าแต่วางดาบเปล่าเลย พระคุณหักมันเสียแล้วให้เสมากราบฝ่าเท้าก็ยังได้ แต่การนี้ถึงจะแสนผิดร้าย ข้าพระเจ้าก็จำเป็นนัก ต้องกราบลาพระคุณไปตามเรื่อง”
“มึงจะกราบลาก็คือไม่ยอมให้จับรึ งั้นมึงก็ต้องรบด้วยกู” ขุนรามเดชะพูดแล้วชักดาบออกจากฝัก
“มิได้พระคุณ” เสมาว่าแล้วก็หันไปมองเรไรด้วยสายตาตัดพ้อ ก่อนจะค่อยๆคุกเข่าลงแล้ววางดาบลงต่อหน้าขุนรามเดชะแล้วว่า
“เพียงแต่อ้ายเสมาขอคืนแลถอดถอนตำแหน่งต่อหน้าท่าน แต่นี้อ้ายเสมาไม่ใช่ทหารแล้ว ขอกราบลาพระคุณท่านประเดี๋ยวนี้”
เสมาก้มลงกราบเท้าขุนรามเดชะ ขุนรามเดชะมองเสมาด้วยสายตาโกรธเคือง เพราะเมื่อเสมาลาออกแล้วจะจับอีกก็จะดูทุเรศเกินไป เรไรมองเสมาด้วยน้ำตาคลอเบ้า ทั้งสงสารและรู้สึกผิดที่ตนเป็นต้นเหตุทั้งหมด เสมาลุกขึ้นหันมามองเรไรอีกครั้ง ก่อนจะเดินแหวกทหารและชาวบ้านเลี่ยงหนีไป โดยไม่มีใครขัดขวาง

ยามบ่ายวันเดียวกัน บุญเรือนกำลังระเบิดอารมณ์ใส่มั่นโดยมีจำเรียงสะอึกสะอื้นอยู่ใกล้ๆ
“อ้ายลูกคนนี้นำพาแต่ความเดือดร้อนมาให้ ฉันบอกพี่แล้วว่าอย่าให้มันเป็นทหาร พี่ก็หาฟังฉันไม่”
จำเรียงสะอึกสะอื้นด้วยความห่วงขันแบบสุดๆ
“พี่เสมานะพี่เสมา ทำกับพี่พันฤทธิ์ถึงสาหัสแล้วยังหนีหน้าไปอีก พ่อแม่คอยดูเถิดหากพี่พันฤทธิ์เป็นกระไรไป ฉันจะโกรธพี่เสมาไปชั่วชีวิต”
“หากพันฤทธิ์เป็นกระไรไปจริง โทษจะมาถึงเราหรือไม่พี่มั่น” บุญเรือนถาม
มั่นหน้าเครียดขึ้นทันที
“ถึงหรือไม่ข้าไม่รู้ แต่ตอนนี้ข้าห่วงลูกชายข้ามากกว่า เอ็งสองคนก็ช่างกระไรเลย คนหนึ่งเป็นแม่ คนหนึ่งเป็นน้อง อ้ายเสมาจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่รู้ ไม่คิดจะถามถึงบ้างเลยรึ”
จำเรียงหน้าจ๋อยไปที่ถูกพ่อดุเลยสำนึกได้ว่าห่วงแฟนมากกว่าพี่ บุญเรือนทิ้งค้อนใส่มั่น
“ฉันเป็นแม่มีรึจะไม่ห่วงใย แต่หากเราต้องรับโทษเพราะความหุนหันพลันแล่นของมันจริง พี่ตอบฉันทีรึว่าเราสามคนจะทำเยี่ยงไร”
มั่นสีหน้าเคร่งเครียดเพราะถ้าต้องรับโทษจริงก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน

ตอนหัวค่ำวันเดียวกัน ขันกัดผ้าแน่นด้วยความเจ็บปวด ขณะที่พวกทาสชาย หญิง กำลังช่วยกันทายาให้ขัน โดยที่ดวงแขยืนดูด้วยความเป็นห่วงพี่ พอทายาเสร็จ ดวงแขก็เอาผ้าออกจากปากพี่ชายในขณะที่พวกทาสช่วยกันพันผ้าพันแผลให้ขัน ขันเจ็บปวดมากทั้งยังแค้นสุดๆ
“อ้ายเสมา หากหาตัวมึงเจอเมื่อใด กูจักฟ้องร้องเอามึงขึ้นตะแลงแกงให้จงได้ ให้สมกับที่มึงทำกับกู”
“พวกพี่ท้าประลองกันเองจะฟ้องร้องเอาผิดกระไรได้” ดวงแขว่า
“นี่แม่ดวงแขเข้าข้างมันรึ”
“น้องมิได้เข้าข้างใครแต่น้องพูดตามธรรมเนียม พี่ขันก็แจ้งใจอยู่”
“ไม่ต้องมาย้อนพี่ คดีเก่าของน้องกับอ้ายเสมายังมิได้ชำระกัน อย่านึกว่าพี่จะลืม แต่นี้ต่อไปน้องอย่าข้องเกี่ยวกับอ้ายศัตรูของพี่คนนี้อีก ไม่เช่นนั้นก็อย่ามานับถือเป็นพี่เป็นน้องกันอีกเลย”
ดวงแขมีสีหน้าหนักใจขึ้นมาทันทีเพราะดวงแขชอบเสมาแต่ก็ดันมามีเรื่องแบบนี้ แล้วต่อไปจะทำยังไง

เช้าวันต่อมา ขุนรามเดชะ พันอิน และพระพิชัยสงครามกำลังคุยกันด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอยู่ที่ชานบ้านขุนรามเดชะ
“ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าอ้ายเสมามันหนีไปที่ใด ตั้งแต่เกิดเรื่องมันยังไม่ได้กลับมาที่เรือนฉันเลย” พันอินว่า
“เรือนมันเองก็ไม่กลับ เรือนพันอินก็ไม่มี แล้วฉันจะ กราบเรียนท่านเจ้าคุณผู้ใหญ่ได้อย่างไรกัน” พระพิชัยสงครามพูดขึ้น
“หากพระคุณต้องการตัวอ้ายเสมามัน ก็ตั้งด่านจับดีหรือไม่ขอรับ” ขุนรามเดชะเสนอความเห็น
“จับรึ ข้อหากระไรล่ะท้าประลองกันเองจะเอาผิดก็มิได้ แลอ้ายเสมาก็ออกจากทหารแล้วจะบังคับมันได้กระไร เพราะออกขุนโดยแท้ เสียแรงเป็นผู้หลักผู้ใหญ่กะอีแค่ทหารในสังกัดผิดใจกันก็จัดการมิได้” พระพิชัยสงครามบอก
ขุนรามเดชะถึงกับหน้าสลดไป เพราะลึกๆแล้วโกรธเสมาที่ทำให้โดนด่าไปด้วย
“เหตุใดพระคุณ ถึงอยากได้ตัวอ้ายเสมามันนักขอรับ” พันอินถาม
“อีกไม่นานจะมีศึกใหญ่ แล้วฝีมืออ้ายเสมาก็ประจักษ์แล้วครั้งศึกบางเกี่ยวหญ้า ฉันจึงเสียดายนัก หากต้องขาดคนดีมีฝีมือเยี่ยงมันไป”
ขุนรามเดชะได้ยินเรื่องศึกครั้งใหม่ก็ตกใจ
“จะมีศึกอีกหรือขอรับ ก็พวกข้าศึกเพิ่งแตกพ่ายกลับไปไม่นานแล้วมันยังมีกำลังมาต่อตีกับพวกเราอีกหรือขอรับ”
“มีแน่ออกขุน หงสานั้นยิ่งใหญ่นักแตกพ่ายไปเพียงครั้งหาทำให้กำลังลดน้อยถอยลงไปไม่ มีแต่จะบุกกลับมาด้วยกำลังที่ใหญ่ยิ่งกว่าเดิม”

พระพิชัยสงครามคาดการณ์ไว้มิผิด ในช่วงเวลาเดียวกัน พระเจ้านันทบุเรงประทับอยู่บนบัลลังก์ ในขณะที่พระมหาอุปราชากับพระเจ้าเชียงใหม่ประทับอยู่บนตั่งลดระดับลงมา ทั้งหมดกำลังปรึกษาความกันอยู่ในท้องพระโรงเมืองหงสาวดีอันตระการตายิ่งใหญ่
“มีพลเรือนแสนแต่กลับพ่ายพลแค่หยิบมือเดียว เจ้ายังมีสายเลือดของสมเด็จพระราชบิดาอยู่อีกหรือไม่มังนรธาช่อ” พระเจ้านันทบุเรงพูดอย่างบันดาลโทสะ
พระเจ้าเชียงใหม่อยู่ในอาการกลัวพระเจ้านันทบุเรงจึงพนมมือแล้วยอมรับผิดว่า
“ข้าพระพุทธเจ้าผิดไปแล้ว ขอพระองค์เมตตาให้ข้าพระพุทธเจ้ากระทำการแก้ตัวอีกสักครั้งหนึ่งเถิด”
“มันก็ควรจักเป็นเช่นนั้นอยู่แล้วมิใช่รึ หากเจ้าไม่เฉื่อยช้า ยกทัพไปตามกำหนดให้ทันทัพสมเด็จอา พระยาพสิมรุมตีกระหนาบทั้งสองด้านมีหรือจะพ่ายแพ้แก่สมเด็จพระนเรศได้”
พระมหาอุปราชาพนมมือถวายบังคมแล้วกล่าวว่า
“ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้าขอพลห้าหมื่นไปตั้งทัพ ณ เมืองกำแพงเพชรเพื่อสะสมเสบียงอาหาร เกลือกว่าสมเด็จอามังนรธาช่อเสียทีอีกจะได้มีกำลังไว้ทำศึกครั้งต่อไปพระพุทธเจ้าข้า”
พระเจ้านันทบุเรงยิ้มพอใจ
“ชอบแล้ว สมกับที่เจ้าเป็นบุตรเรามังกะยอชวา” จากนั้นทรงหันไปเล่นงานพระเจ้าเชียงใหม่
“เจ้าจงยกพลเชียงใหม่ หนึ่งแสนไปทำศึก หากพ่ายแพ้ก็ไม่ต้องมาให้เราเห็นหน้าอีกต่อไป”

หลายวันต่อมา เมื่อยามสาย พุฒซึ่งยังมีอาการบาดเจ็บเดินมาส่งบัวเผื่อนที่มาเยี่ยมและกำลังจะกลับ
“พันจบกลับไปพักผ่อนเถิด มิต้องออกมาส่งฉันดอก”
“ได้กระไรกัน แม่หญิงบัวเผื่อนจะจากฉันไปแล้ว มิรู้ต้องรออีกนานเท่าใดจะได้เห็นหน้ากันอีก ขอให้ฉันได้เห็นหน้าแม่หญิงนานขึ้นอีกสักครู่เถิด” พุฒพูดพลางส่งสายตาออดอ้อน
บัวเผื่อนเขินอายที่ถูกพุฒจีบซึ่งหน้า ขณะนั้นเอง ดวงแขพร้อมด้วยข้าทาสถือของฝากของพุฒ เดินขึ้นเรือนมาพอดี เพราะใจจริงของพุฒนั้นหลงรักดวงแขอยู่ เพียงแต่จีบบัวเผื่อนสนุกๆเท่านั้นเอง
“แม่หญิงดวงแข”
“ฉันไหว้จ้ะพี่พุฒ พี่ขันให้ฉันเอาหยูกยาแลผลหมากรากไม้มาให้พี่พุฒจ้ะ”
ดวงแขหันไปพูดกับบัวเผื่อน
“แม่บัวเผื่อนมานานแล้วรึ”
บัวเผื่อนกำลังจะตอบ แต่พุฒรีบชิงพูดขึ้นก่อน
“แม่หญิงบัวเผื่อนกำลังจะกลับแล้วจ้ะ เชิญแม่หญิงดวงแขข้างในเถิดตรงนี้แดดมันแรงนัก”
พุฒรีบกุลีกุจอต้อนรับดวงแขเดินนำเข้าข้างในไป บัวเผื่อนยืนอึ้งอยู่ครู่นึงก่อนจะมองพุฒและดวงแขที่เดินไปด้วยความเจ็บใจปนหมั่นไส้ ไม่คิดว่าพุฒจะเจ้าชู้ขนาดนี้

ยามบ่ายต่อมา เรไร จำเรียงและนางข้าหลวงอีกคนกำลังช่วยกันแกะสลักขิงดองอยู่ เมื่อแกะสลักเสร็จก็เอาไปล้างน้ำให้สะอาด ก่อนจะเอาไปใส่โถดอง จำเรียงมีท่าทีเหม่อลอย จนในที่สุดมีดแกะสลักก็บาดนิ้วเข้าจนได้
“อุ๊ย” จำเรียงอุทานขึ้นเมื่อมีดบาดนิ้ว
“ตายจริง มีดบาดรึ” เรไรพูดก่อน หันไปพูดกับนางข้าหลวงอีกคน
“ชบาไปหยิบยามาให้จำเรียงหน่อยเถิด”
“เจ้าค่ะแม่หญิง”
เมื่อนางข้าหลวงเดินออกไปคงเหลือแต่เรไรกับจำเรียงสองคน เรไรเข้าไปดูแผลให้จำเรียง
“ลึกเสียด้วย เหตุใดเลินเล่อเช่นนี้เล่าจำเรียง”
จำเรียงน้ำตาคลอขึ้นมาทันที เพราะเก็บกดมาหลายวัน
“เป็นกระไรไป เจ็บมากรึ”
“ไม่ใช่ดอกเจ้าค่ะแม่หญิง จำเรียง...จำเรียงอยากเห็นหน้าพี่พันฤทธิ์ นับแต่พี่เสมาทำร้ายพี่พันฤทธิ์ จำเรียงก็ไม่เคยได้ปะหน้าพี่พันฤทธิ์อีกเลย ไปเยี่ยมที่เรือนพี่พันฤทธิ์ก็ไม่ยอมให้ขึ้นเรือน คงจะโกรธ เพราะเหตุที่จำเรียงเป็นน้องพี่เสมาเป็นแน่เจ้าค่ะแม่หญิง” จำเรียงพูดพลางสะอึกสะอื้นและปล่อยโฮออกมา
เรไรนึกสงสารได้แต่ปลอบโยน
“อย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้เลย พันฤทธิ์อาจจะยังป่วยอยู่ ไม่สะดวกจะปะหน้าผู้คนก็เป็นได้ หากจำเรียงเป็นห่วงพันฤทธิ์ ฉันจะถามไถ่จากดวงแขให้”
“ขอบน้ำใจแม่หญิงมากเจ้าค่ะ ที่เป็นเช่นนี้เพราะพี่เสมาโดยแท้ หากกลับมาจำเรียงจะไม่พูดด้วยอีกเลย”
“นี่เสมายังไม่กลับอีกรึ”
“ยังเลยจ้ะแม่หญิง”
“ตามตัวทั่วแล้วหรือไม่”
“ไม่มีที่ไปก็คงกลับมาเองดอกค่ะ”
“บางที อาจจะอยู่บ้านคู่รักที่ชื่อเอื้อยแตงกระไรนั่นก็ได้”
“เอื้อยแตงไม่ใช่คู่รักของพี่เสมาดอกจ้ะ ถึงคนอื่นจะนินทาอย่างไร ข้อนี้จำเรียงก็หาเชื่อไม่”
“จริงรึ แน่ใจได้อย่างไร”
“เอื้อยแตงเกิดปีเดียวกับจำเรียง เราโตด้วยกันมาแต่เล็กแต่น้อย หากพี่เสมาชอบพอเอื้อยแตงจริง คงผูกข้อไม้ข้อมือไปเสียนานแล้วจ้ะ”
เรไรนิ่งคิดขึ้นมาว่าเข้าใจเสมาผิดไป

เย็นวันนั้นขณะที่เอื้อยแตง และมั่นกำลังช่วยกันเก็บของเพื่อปิดร้าน เรไรแกล้งเดินมาที่แผงขายเหล็กและทำเป็นหาซื้อของ
“เก็บของแล้วรึ ฉันอยากได้พร้าสักเล่มพอจะมีหรือไม่”
“มีจ้ะ” เอื้อยแตงตอบ แต่ครั้งเห็นหน้าเรไรชัดๆก็จำได้ จึงอึ้งไปหันไปหยิบมีดเล่มใหญ่ มาวางให้ตรงหน้า
“เล่มนี้ใช่ฝีมือของเสมารึไม่” เรไรถาม
เอื้อยแตงแอบเหยียดปากด้วยความหมั่นไส้แต่สงวนท่าทีไว้แล้วบอก
“ไม่น่าใช่..นับแต่วันที่พี่เสมาท้าประลองกับอ้ายพวกนั้น ฉันยังไม่ได้เห็นหน้าอีกเลย”
เรไรมีสีหน้าขรึมไปเล็กน้อย
“เสียดาย ที่ไม่ได้ไปดู อยากเห็นอ้ายพันจบรณรงค์ มันโดนพี่เสมาตีนัก”
“เอ็งไม่ไปน่ะดีแล้ว จะไปให้ถูกครหาว่าเป็นต้นเหตุให้ชายวิวาทกันรึ” แต้มพูดแทรกขึ้น
“พ่อก็พูดไปได้ อ้ายพันจบมันลวนลามฉัน พี่เสมาเข้ามาช่วยจึงผิดใจกับมัน จะหาว่าฉันเป็นต้นเหตุได้กระไร ต้นเหตุคือความชั่วของอ้ายพันจบมันตะหาก”
เรไรดีใจที่ได้รู้ความจริงว่า เสมาไม่ใช่คนเลว แต่ยังตีหน้าตายถามต่อ
“มีเรื่องเช่นนี้รึ พันจบรณรงค์ถึงกับกล้าลวนลามกลางตลาดเชียวรึ”
“จ้ะ ชาวตลาดละแวกนี้เห็นกันแทบทุกคน อ้ายสมบุญศิษย์พี่เสมาก็เป็นพยานได้จ้ะ”

สมบุญกำลังนั่งคุกเข่าคุยกับเรไร โดยมีพิณนั่งพับเพียบอยู่ใกล้ๆ ตรงบริเวณหน้าเรือนตอน
หัวค่ำ
“เป็นความสัตย์จริงขอรับแม่หญิง อ้ายพันจบมันคงคิดแค้นจึงใส่ร้ายพี่เสมา แล้วอ้ายขัน เอ่อ พันฤทธิ์ยังทำร้ายข้าพระเจ้าอีก พี่เสมาเลยทนมิได้ต้องท้าประลองกับพวกมันขอรับ”
เรไรหน้าเครียด ยิ่งสมบุญพูดตรงกับเอื้อยแตง ยิ่งทำให้เรไรรู้สึกผิดที่หูเบา พิณเหล่มองสีหน้าเรไร ก่อนจะหันไปพูดกับสมบุญ
“แล้วเอ็งกราบเรียนให้ท่านขุนทราบแล้วหรือไม่ว่าพ่อเสมาไม่ใช่คนผิด”
“พิโธ่ แม่พิณ เหตุใดฉันจะไม่พูด แต่ท่านขุนทำเฉยเสียด้วยเหตุที่พันฤทธิ์เป็นบุตรของเกลอเก่า แลมั่งมีกว่าช่างตีเหล็กอย่างพี่เสมามากนัก พี่เสมาจึงน้อยใจต้องออกจากทหารหนีไป”
“ฉันผิดเอง” เรไรพูดขึ้น
“แม่หญิงผิดเรื่องกระไรกันเจ้าคะ” พิณถามขึ้นด้วยความแปลกใจ
เรไรรีบตัดบท
“ไม่มีกระไรดอก เอ่อ เจ้าสมบุญ เจ้าได้ข่าวครูเจ้าบ้างหรือไม่”
สมบุญมองไปรอบๆ อย่างระแวดระวังเพราะกลัวคนอื่นได้ยิน
“ได้ขอรับ แต่ข้าพระเจ้าไม่กล้าพูดไป กลัวพันฤทธิ์กับพันจบมันตามไปทำร้ายขอรับ”
“จริงรึ งั้นตอนนี้เสมาอยู่ที่ใดเล่า”

เวลาผ่านไปหลายเดือนจนถึงเช้าวันหนึ่ง ภายในวัดแห่งหนึ่งในเมืองวิเศษไชยชาญ เสมากำลังซ้อมเพลงดาบสองมืออยู่ต่อหน้าพระพระพุทธรูปองค์ใหญ่ เสมาร่ายรำเพลงดาบอย่างพลิ้วไหว แต่ก็แฝงไปด้วยความเข้มแข็งดุดัน ลมจากการร่ายรำดาบของเสมา พัดไหวไปทั่วบริเวณ จนต้นไม้ ดอกไม้ถูกพัดไหวตามไปด้วย เสมาร่ายรำเพลงดาบจนจบกระบวนเพลง
พระครูขุน กับ พระภิกษุอีกรูปยืนมองเสมาด้วยสายตาชื่นชม เสมาเหลือบไปเห็นเข้าพอดีจึงรีบเข้าไปกราบพระภิกษุทั้งสองทันที
“ข้าพระเจ้าไม่ทราบว่าหลวงพ่อจะมา มิเช่นนั้นคงไปรอกราบเสียนานแล้ว”
พระครูขุนยิ้มบางๆ อย่างภูมิใจในตัวเสมาแล้วว่า
“มิเป็นไรดอก ข้าอยากดูเพลงดาบของเอ็งมากกว่า อ้ายเสมาเอ๋ยมิผิดข้าในวัยฉกรรจ์เลย”
“เห็นเช่นนี้แล้วก็เสียดายนัก ฝีมือของเอ็งน่าจะได้ฉลองคุณชาติ คุณแผ่นดิน มิใช่หลบอยู่ในวัดดั่งคนขลาดเช่นนี้” พระภิกษุอีกรูปพูดขึ้น
เสมาหน้าเศร้าลงแล้วว่า
“ข้าพระเจ้ามิใช่ไม่อยากกลับไปดอกขอรับหลวงน้า แต่ท้อใจในราชการนัก แม้นทำดีเท่าใดก็สู้อ้ายพวกประจบสอพลอมิได้ พอไม่ยอมมันก็กลับกลายเป็นคนผิดเสียอีก คิดดังนี้แล้วก็อยากวางเฉยเสียไม่อยากข้องเกี่ยวกับผู้ใดแล้ว”
พระครูขุนกับหลวงน้าหันมาสบตากันเพราะรู้ว่า เสมาน้อยใจจนไม่อยากรับราชการอีก
“เอ็งรู้จักสงครามช้างเผือกหรือไม่วะ อ้ายเสมา” หลวงน้าพูดขึ้น
“รู้ขอรับ พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองอยากได้ช้างเผือกจากพ่ออยู่หัวพระองค์ก่อนเลยยกทัพเข้ามาตีใช่หรือไม่ขอรับ”
“ใช่ แต่ก่อนที่จะยกทัพมา พระเจ้าบุเรงนองได้ส่งพระราชสาสน์มายังกรุงอโยธยาก่อน”
หลวงน้าพูดแล้วหยิบจดหมายใบลานฉบับหนึ่งออกจากย่ามแล้วว่า
“นี่เป็นเนื้อความในพระราชสาสน์ที่ได้แปลอักขระแลคัดลอกไว้ เอ็งลองอ่านดูเถิด”
เสมาไหว้ ก่อนจะรับจดหมายใบลานมาด้วยความแปลกใจไม่เข้าใจว่า หลวงน้าต้องการสื่ออะไร
เสมานั่งพับเพียบลงอ่านจดหมายใบลานเบื้องหน้าพระครูขุนและหลวงน้า
“หม่อมฉันได้ยินข่าวที่เล่าลือไปถึงกรุงหงสาวดี ว่าสมเด็จ พระเชษฐามีบุญญาธิการมากนัก...ทรงมีช้างเผือกเข้ามาสู่พระบารมีมากถึงเจ็ดช้าง แต่ทางกรุงหงสาวดียังหามีช้างเผือกสำหรับพระนครไม่ ขอให้สมเด็จพระเชษฐาเห็นแก่ไมตรี ขอประทานช้างเผือกให้แก่ข้าพระเจ้าผู้เป็นอนุชา ไว้เป็นศรีแห่งนครสักสองช้าง ทางพระราชไมตรีทั้งสองพระนคร จะได้จำเริญวัฒนาการสืบไป...”
เสมาอ่านจบก็ครุ่นคิดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“อ้ายเสมา เป็นเอ็งจะให้ช้างเผือกหรือไม่” พระครูขุนถาม
“ตอบยากเหลือเกินขอรับหลวงพ่อ พระเจ้าบุเรงนองทรงมีพระราชสาสน์อย่างอ่อนน้อมนัก แลมีช้างถึงเจ็ดช้าง ให้ไปเสียสองช้างเพื่อไม่ต้องรบให้เสียชีวิตไพร่พล ก็น่าจะควรอยู่ แต่...”
“แต่ช้างเผือกเป็นของมงคลหามีธรรมเนียมที่เมืองอันมีศักดิ์เสมอกันจะยกให้แก่กัน ใช่หรือไม่วะ” หลวงน้าถาม
“ขอรับ”
พระครูขุนถอนใจแล้วว่า
“นี่คือพระสติปัญญาของพระเจ้าบุเรงนอง ในครั้งนั้นฝ่ายขุนนางก็มีทั้งเห็นด้วยแลไม่เห็นด้วยเช่นกัน ที่สุดแล้วพระมหาจักรพรรดิไม่ทรงยกให้จนต้องเกิดศึกกันขึ้น บรรดาขุนนางต่างโทษว่ากันเองจนแตกสามัคคี ไม่เพียงแต่จะแพ้ศึกครั้งนี้แต่ยังผลมาถึงการเสียกรุงในกาลต่อมาด้วย”
“ที่ข้ายกเรื่องนี้ขึ้นมากล่าวก็หวังเตือนใจเอ็ง ให้เห็นถึงความสามัคคีเป็นที่ตั้ง ข้ารู้ว่าเอ็งท้อใจในราชการ แต่หากเอ็งไม่ละวาง บ้านเมืองก็ต้องขาดคนดีมีฝีมือไปอีกคนหนึ่ง” หลวงน้าบอก
พระครูขุนหยิบห่อผ้าห่อใหญ่ยื่นให้เสมา
“ที่ข้ามาหาเอ็งถึงวิเศษไชยชาญก็เพื่อจะเอาของที่เอ็งไปทิ้งไว้ให้ข้ามาคืนแก่เอ็ง เอ็งรับไปเถิดอ้ายเสมา รับไปแล้วจะกระทำการใดต่อก็สุดแต่ใจเอ็ง”
เสมาไหว้ก่อนจะรับห่อผ้ามาเปิดออก...
“ดาบแสนศึกพ่าย”
เสมาชักดาบออกมาดู สายตาเริ่มเป็นประกายขึ้นเรื่อยๆเมื่อเห็นดาบคู่มือ เลือดทหารกล้าแห่งกรุงศรีอยุธยาฉีดพุ่งเมื่อได้จับดาบอีกครั้ง

ขุนฤทธิ์พิชัยกำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่โดยมีเสมานั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้า บรรยากาศยามบ่ายช่างคึกคัก ในจวนของขุนฤทธิ์พิชัยมีชาวบ้านมาอาสาคัดเลือกเพื่อไปออกรบมากมาย คนที่เป็นทหารอยู่แล้วก็จับคู่กันฝึกซ้อมเพลงอาวุธ ขุนฤทธิ์พิชัยมองเสมาด้วยความพอใจ
“เอ็งอยากเป็นทหารรึ รูปร่างเข้าทีชื่อกระไรเล่า”
“เสมาขอรับพระคุณท่านแม่กอง”
“ชื่อเสียงก็ได้ฤกษ์เป็นมงคลดี อยากอยู่ทัพใดเล่า”
“กองทะลวงฟันขอรับ”
ขุนฤทธิ์พิชัยตบเข่าฉาดด้วยความถูกใจ
“บ๋า ทะลวงฟันเชียวรึ หายากนัก ได้ซี ข้ากำลังขาดคนอยู่ แต่ต้องสอบฝีมือเอ็งเสียก่อน”
“ขอรับ”
เสมาหน้าขรึมลงแล้วพูดต่อ
“เอ่อ แต่ข้าพระเจ้ามีเรื่องต้องกราบเรียนท่าน แม่กองก่อนขอรับ ด้วยข้าพระเจ้าเป็นคนผิดหนีพระนครบาลมาแต่ในกรุง แลขาดเกณฑ์พระราชพิธีท่าน จึงขอสารภาพรับผิดไว้ สิ้นศึกเมื่อใดก็ขอเมตตาพระคุณแม่กองนำเฝ้าท่านแม่ทัพ พอได้เป็นพยานความดีมั่งเถิดขอรับ”
“เท่านั้นเองดอกรึ อย่าวิตกเลย ข้าจะช่วยเพราะรักในน้ำใจเอ็งนักที่มาบอกเล่าให้รู้แต่โดยจริง... โทษภัยเพียงนี้...”
ขณะนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย ดังลั่นมาจากท้ายจวน
“อ้ายสิน อ้ายสินวิวาทอีกแล้ว เร็ว รีบจับมันเร็ว” ทหารคนหนึ่งตะโกนขึ้น
พวกทหารในจวนต่างรีบรุดไปช่วย ขุนฤทธิ์พิชัยรีบลุกไปดูเหตุการณ์ทันที
“อ้ายสิน” ขุนฤทธิ์พิชัยเรียกชื่อด้วยน้ำเสียงโมโห
เสมาแปลกใจเลยรีบตามไปดูเหตุการณ์อีกคน
 
อ่านต่อหน้า ๒

เกร็ดความรู้เกี่ยวกับขุนศึก

๑๗. หงสาวดี เป็นเมืองของชาวมอญมาก่อนในอดีต ก่อนที่ พระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้จะยึดครองได้ในปีพ.ศ.2082 และสถาปนาเป็นศูนย์กลางอำนาจของราชวงศ์ตองอู รุ่งเรืองถึงขีดสุดในรัชสมัยพระเจ้าบุเรงนอง

๑๘. เมืองวิเศษไชยชาญ สันนิษฐานว่าตั้งขึ้นระหว่างปีพุทธศักราช 2122 ถึง ปีพุทธศักราช 2127 โดยเป็นชัยภูมิสำคัญในการทำสงครามสมัยสมเด็จ พระนเรศวรมหาราชหลายครั้ง ปัจจุบัน เป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดอ่างทอง
 
......................................................................................................





ขุนศึก ตอนที่ ๓ (ต่อ)

ที่ท้ายจวน ทหารคนหนึ่งถูกสินเตะกระเด็น ตีลังการ่วงลงกับพื้จนสลบเหมือดคาที่ สินใช้สองมือยืนถือทวนอยู่ท่ามกลางวงล้อมทหารสามสี่คน
 
“น้ำมะหน้าอย่างพวกเอ็งรึ จะอาสาเป็นทหาร ถุย อาสาไปให้พวกพม่ารามัญมันฆ่าเล่นเสียมากกว่า”
พวกทหารที่ล้อมอยู่โมโหต่างคนต่างกุมอาวุธเข้ารุมสินทันที สินควงทวนเข้าต่อสู้อย่างดุเดือด สินมีพละกำลังมากเลยไล่ตีไล่แทงเตะต่อยพวกทหารจนกระเจิดกระเจิง ทหารคนหนึ่งเข้าไปล็อกขาของสินไว้ ที่เหลือก็ช่วยกันล็อกไม่ให้สินขยับ สินร้องลั่นเรียกพลัง ก่อนจะสะบัดทหาร 3-4 คน กระเด็นไปคนละทิศละทาง ขุนฤทธิ์พิชัยมาถึงพอดีแล้วตวาดห้าม
“อ้ายสิน”
สิน ใช้ปลายทวนชี้พวกทหารที่โดนเล่นงานแล้วว่า
“ท่านขุนมาพอดี ปลดอ้ายพวกนี้ออกเถิด ขืนใช้ออกรบก็อับอายอ้ายพวกข้าศึกเสียเปล่า”
ขุนฤทธิ์พิชัยโมโหมากชี้หน้าสิน
“กูจะปลดมึงออกตะหาก ประเดี๋ยวเมาเหล้า ประเดี๋ยววิวาท จำคุกใส่กรวนมาไม่รู้เท่าใด ก็หาสำนึกไม่”
สินหัวเราะชอบใจ
“ปลดข้าออกจะดีรึพระคุณ เพลานี้แผ่นดินเกิดศึก ต้องการกำลังทหารนัก แล้วคนดีมีฝีมือเยี่ยงข้า ก็มิใช่หาได้ง่าย อ้ายพวกที่ยืนอยู่ที่นี่ มีสักคนหรือไม่เล่าพระคุณ ที่จะเทียบข้าได้”
ขณะนั้นเอง เสมาก็เดินออกมาหาสิน เสมาหยิบทวนที่ตกอยู่บนพื้น แล้วมายืนจ้องหน้าสิน
“เอ็งบอกว่าที่ยืนอยู่ หามีสักคนเทียบเอ็งได้ใช่หรือไม่”
เสมาควงทวนตั้งท่าเตรียมสู้ สินยิ้มพอใจควงทวนตั้งท่าเตรียมสู้เหมือนกัน ทั้งคู่ย่างสามขุมเข้าหากัน ก่อนจะปะทะกันตรงๆอย่างดุเดือด ต่างฝ่ายต่างมีพละกำลังมากและไม่ยอมแพ้กัน
“เรี่ยวแรงดี เช่นนี้ซีถึงจะสบใจข้า”
“กำลังเอ็งกล้า แต่เชิงทวนเอ็งยังอ่อนนัก ไม่อาจสู้ผู้มีฝีมือแท้จริงได้ดอก”
สินโมโหโหมบุกใส่เสมา แต่คราวนี้เสมาใช้เพลงทวนที่เหนือกว่าแทนการปะทะด้วยกำลัง เพียงไม่กี่เพลงก็หวดด้ามทวนเข้าใส่ขาสินจนตัวลอย สองเท้าลอยพ้นพื้นกระแทกลงกับพื้น”
สินโมโหรีบลุกขึ้นกะเอาคืนเสมา แต่สู้กันได้ไม่กี่เพลงก็โดนเสมาหวดจนทวนในมือหลุดกระเด็น แถมยังโดนเสมาใช้ปลายทวนจ่อคอหอยอีกต่างหาก สินอึ้งที่พ่ายแพ้หมดรูป ในขณะที่ทหารคนอื่นโห่ร้องลั่น ดีใจที่มีคนเอาชนะสินได้ ขุนฤทธิ์ยิ้มพอใจที่ได้คนดี มีฝีมืออย่างเสมามาอยู่ในกองทัพอย่างไม่คาดคิด เสมาลดปลายทวน แล้วยิ้มบางๆ แม้สินจะเกเรไปบ้าง แต่ก็เป็นคนมีน้ำใจใช้ได้

ขุนรามเดชะกำลังดูเครื่องลายครามราคาแพงด้วยความพึงพอใจ โดยมีขันและพุฒนั่งพับเพียบอยู่ใกล้ๆ
“งามนักพ่อขัน ถ้าจะแพงกระมัง”
“ราคาค่างวดไม่สำคัญดอกขอรับ หากท่านอาชอบ ข้าพระเจ้าก็พร้อมจะหามาให้ขอรับ” ขันพูดพลางยิ้มประจบ
พุฒหยิบผ้าไหมหลายผืนวางต่อหน้าขุนรามเดชะ
“ส่วนผ้าไหมหลายพับนี้ ข้าพระเจ้าขอฝากให้แม่น้าด้วยขอรับ”
“ขอบน้ำใจมากพ่อพุฒ แม่ลำภูกลับมาเมื่อใด ฉันจะบอกให้”
ขัน และพุฒประจบประแจขุนรามเดชะเต็มที่ กะเข้าทางพ่อเพื่อไปหาเรไร และอยากก้าวหน้าในหน้าที่การงานด้วย เรไรยืนแอบมองอยู่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เพราะขัน กับพุฒประจบเก่ง แถมพ่อยังชอบอีกต่างหาก

เวลาต่อมา ที่บริเวณใต้ถุนเรือน สมบุญกำลังเอาอาหารแห้งเช่นข้าวตาก เนื้อเค็ม ฯลฯ ห่อใส่ห่อผ้าเพื่อเอาไปกินระหว่างไปสงคราม
“สิ้นศึกครานี้ เอ็งจะออกจากบ้านท่านขุนจริงรึ อ้ายสมบุญ” ทาสคนหนึ่งบอก
“จริงจ้ะลุง ท่านขุนมีพระคุณแก่ฉันนัก ถึงเป็นไทแล้ว ฉันก็ยังอยากตอบแทนคุณท่าน แต่อ้ายขันอ้ายพุฒมันไม่ชอบฉัน แลท่านขุนก็เข้าข้างมัน ขืนฉันอยู่ต่อคงไม่แคล้วโดนอย่างพี่เสมาเป็นแน่”
“แล้วเอ็งจะไปอยู่ที่ใดวะอ้ายสมบุญ เอ็งไม่มีญาติพี่น้องแล้วไม่ใช่รึ” ทาสอีกคนถาม
“ฉันเป็นทหารอาสา ทุกคราที่ออกศึกก็จักได้เบี้ยจากหลวงท่าน คงพอจะหาที่ปลูกเรือนเล็กๆอยู่ได้บ้างดอกจ้ะป้า”
พิณเดินเข้ามาหาสมบุญ
“อ้ายสมบุญ ตามข้ามานี่”
“มีกระไรรึแม่พิณ”
“อย่าซักไซ้มาก ข้าบอกให้มาก็มาเถิด”
พิณเดินนำไป สมบุญมองตามด้วยสีหน้างงๆ

บริเวณชานหลังบ้าน เรไรวางแหวนทองเกลี้ยงลงบนฝ่ามือของสมบุญที่นั่งคุกเข่าอยู่
“หากไปศึกครานี้ เจ้าเจอหัวหมู่เสมา จงมอบแหวนวงนี้ให้หัวหมู่เถิด”
“ขอรับแม่หญิง แต่กองทัพมีคนมากนัก ทั้งยังแบ่งเป็นหลายกอง ข้าพระเจ้าเกรงว่าจะหาได้เจอพี่เสมาไม่ แลพี่เสมาก็สิ้นอาลัยในยศศักดิ์อาจไม่อาสาเป็นทหารแล้วกระมังขอรับ”
“หากเรื่องเพียงนี้ทำให้ถอดใจยอมแพ้เสียแล้วก็ถือว่าสิ้นวาสนา แต่หากเสมายังใฝ่ใจเป็นทหาร ฉันเชื่อว่าเจ้าต้องได้เจอเป็นแน่ หากได้เจอเจ้าจงบอกครูเจ้า ว่าฉันรู้เรื่องทั้งปวงแล้ว ต้องขอขมาที่เคยผิดไป แลขออวยชัยให้ชนะข้าศึก กลับคืนสู่อโยธยาอย่างปลอดภัยเถิด”

ทหารไทย กำลังปะทะกับทหารพม่าอย่างดุเดือดที่ชายป่ายามค่ำ เสมาใช้ดาบ “แสนศึกพ่าย” คู่มือ ไล่ทะลวงฟาดฟันพม่าจนแตกกระเจิง สินก็ใช้ทวนไล่แทง ไล่ฟาดพวกพม่า กำลังของทหารไทยรบเก่งกว่า จนพวกพม่าสู้ไม่ไหวหนีตายกันจ้าล่ะหวั่น เสมาชูดาบขึ้น ท่ามกลางเสียงโห่ร้องของกองทหารไทยดังกึกก้อง

พระศรีวิเศษไชยชาญแม่ทัพไทย หัวเราะสะใจที่ชนะศึกได้อย่างอย่างงดงามอยู่ในกระโจม ต่อหน้าเสมา สิน ขุนฤทธิ์ และทหารคนอื่นๆ
“เยี่ยงนี้ซีวะทหารข้า ออกศึกคราแรกก็ได้ชัยเป็นมงคลแก่กองทัพแล้ว”
“ศึกวันนี้ยังเล็กนักขอรับ ศึกใหญ่คงรออยู่ที่ปากโมกเป็นแน่ ด้วยทัพของสมเด็จพระราชโอรสตั้งอยู่ ณ ลุมพลี กำลังจะยกขึ้นปากโมก แลทัพหน้าของพระเจ้าเชียงใหม่ก็ใกล้จะถึงปากโมกแล้วคงจะได้ปะทะกันในวันรุ่งพรุ่งนี้” ขุนฤทธิ์พิชัยว่า
พระศรีวิเศษไชยชาญพยักหน้ารับ
“เช่นนั้นทัพพลอาสาของเรา ต้องเข้ายอศึกดูกำลัง อย่าให้อ้ายพวกข้าศึกเข้าปากโมกได้ จนกว่าสมเด็จพระราชโอรสทั้งสองจะเสด็จมาถึง”
เสมาพนมมือแล้วว่า
“ถ้าเช่นนั้น ข้าพระเจ้าขอเป็นกองหน้าทะลวงฟัน หากอ้ายเสมาถอยแม้เพียงก้าวเดียว พระคุณโปรดตัดหัวอ้ายเสมาเถิดขอรับ”
สินพนมมือแล้วบอก
“ข้าพระเจ้าขอไปด้วยกับพี่เสมาขอรับ ไม่ว่าข้าศึกจะมีเรือนพันเรือนหมื่น ก็จักขอสู้ตายไม่อาลัยแก่ชีวิตเลยขอรับ”
พระศรีวิเศษไชยชาญ และขุนฤทธิ์พิชัยมองหน้ากันแล้วพยักหน้าด้วยความพอใจ เสมา และสิน สีหน้าแววตาเต็มไปด้วยความมั่นใจ ฮึกเหิมเต็มที่จะเข้าต่อสู้ในการศึกครั้งนี้

ยามเช้า บริเวณทุ่งกว้างริมแม่น้ำ เสมามีดาบคู่ขัดหลังขี่ม้ามายืนอยู่หน้าทหารไทย โดยมีสินขี่ม้าถือทวนยืนอยู่ใกล้ๆ ทุกคนสงบนิ่ง มองสายตาไปข้างหน้าเพื่อรอข้าศึกที่กำลังจะมา เพียงชั่วอึดใจก็เห็นธงของฝ่ายข้าศึกโบกนำมา กองทัพข้าศึกมีจำนวนมาก ทยอยบุกกันเข้ามา เสมาขี่ม้าเหยาะๆนำหน้าทหารพร้อมกับพูดเสียงดังไปทั่วบริเวณ
“พี่น้องทั้งหลายเอ๋ย ข้าพระเจ้าเสมา ทหารหลวงสมเด็จพระราชโอรสองค์พระนเรศเป็นเจ้า จักนำเพื่อนเข้าตะลุมบอน ป่านี้ เมืองนี้ คนไทยเป็นเจ้าของบ้าน เมื่อเพื่อนหงสามาเยือนเราด้วยดาบ เราก็ต้องรับแขกด้วยดาบ ไม่ต้องถอย ไม่ต้องพรั่น ใครถอยมิใช่ไทยถึงจะตาย ก็จักเรียงทุ่งนอนตากผืนดิน เป็นผี รักษาบ้านเรา”
ขาดคำ เสมาก็ชักดาบที่ขัดหลังออก สินและบรรดาทหารไทยโห่ร้องสุดเสียงด้วยความฮึกเหิมเสมาขับม้าควบเข้าหาข้าศึกพร้อมกับสินและทหารไทย พุ่งเข้ารบกับข้าศึกโดยไม่เสียดายชีวิต เพื่อปกป้องผืนแผ่นดินไทย

กองทัพไทยบุกเข้าต่อสู้อย่างกล้าหาญ ทัพอาสาของไทย ได้เข้าตะลุมบอนกับทัพหน้าของ พระเจ้าเชียงใหม่ ที่มีสเรนันทสู และพระเจ้าเชียงแสนเป็นแม่ทัพ อย่างดุเดือด จนกระทั่งสมเด็จพระนเรศวร และสมเด็จพระเอกาทศรถ ยกทัพเรือเสด็จมาถึง จึงมีรับสั่งให้ทัพเรือระดมยิงปืนเข้าใส่ทัพของพระเจ้าเชียงแสน ถูกไพร่พลล้มตายลงเป็นอันมาก
ทัพพระเจ้าเชียงแสนหันมายิงปืน ยิงธนู ขว้างหอกฯลฯ ตอบโต้มาที่เรือพระที่นั่ง จนสมเด็จ พระเอกาทศรถ มีรับสั่งให้สอดเรือพระที่นั่งของพระองค์ เข้าบังเรือพระที่นั่งของสมเด็จพระนเรศวรไว้ โดยสมเด็จพระนเรศวรได้ทรงพระแสงปืนนกสับ ถูกนายทัพคนสำคัญของข้าศึกล้มตายลงหลายคน
ฝ่ายกองทัพอาสาก็ได้ยกเข้าตีกระหนาบ ทำให้ทัพพระเจ้าเชียงแสนต้องรับศึกหนัก จนต้องพ่ายแพ้ถอยทัพกลับไปในที่สุด

ภายในกระโจมเจ้าพระยาสุโขทัย ภายในค่ายสมเด็จพระนเรศวร เสมาก้มลงกราบขุนรามเดชะ โดยมีพันอิน ขัน พุฒ นั่งอยู่ใกล้ๆ เสมายกพนมมือ
“สิ่งใดที่ข้าพระเจ้าล่วงเกินพระคุณ ขอให้พระคุณประทานอภัยแก่ข้าพระเจ้าด้วยเถิด”
เจ้าพระยาสุโขทัยพูดกับขุนรามเดชะว่า
“ศึกครานี้นายหมู่เสมามีความชอบนัก ฉันจึงรับปากขุนฤทธิ์พิชัยแลพระศรีวิเศษไชยชาญ มาขอให้ออกขุนประทานอภัยแก่อ้ายเสมามัน มิรู้ว่าออกขุนจะว่ากระไร”
แม้ว่ารามเดชะจะยังโกรธเสมาอยู่ แต่คนระดับเจ้าพระยามาพูดให้ทั้งทีก็ต้องแสดงความเกรงใจ “เมื่อพระคุณขอ กระผมมีหรือจะกล้าขัดขอรับ ... เอ็งจงตั้งใจรับราชการให้ดีเถิดอ้ายเสมา ข้าไม่ติดใจกระไรแล้ว”
“ขอบพระคุณขอรับ”
เจ้าพระยาสุโขทัยหันไปพูดกับขันกับพุฒ
“พันฤทธิ์แลพันจบเล่า เห็นเช่นไร”
แม้ขันจะไม่พอใจแต่ไม่กล้าหือ
“สุดแล้วแต่พระคุณเถิดขอรับ”
“ข้าพระเจ้าลืมเรื่องนี้เสียนานแล้วขอรับ ตามวิสัยชายชาติทหารย่อมมีประลองวิชากันบ้าง แต่แท้จริงแล้วก็เป็นเกลอกันทั้งสิ้นขอรับ” พุฒว่า
“เจ้ากล่าวชอบแล้วพันจบ ยิ่งยามศึกเช่นนี้ เรายิ่งต้องควรสมัครสมานสามัคคีกันไว้ ไม่ควรยึดเรื่องบาดหมางเล็กๆน้อยๆมาขุ่นเคืองให้เสียการใหญ่” เจ้าพระยายิ้มอย่างพอใจ
พันอินลูบหัวเสมาและยิ้มด้วยความดีใจ
“หมดเคราะห์หมดโศกเสียทีลูกเอ๋ย สิ้นศึกแล้ว จักได้กลับกรุงด้วยกับเรา พ่อแม่ของเจ้าคงดีใจนักหนา”
“ขอบพระคุณมากจ้ะพ่อพันอิน” พูดแล้วเสมาก็ก้มกราบเท้าพันอิน
ขันและพุฒแอบเหล่ๆ มองกันเพราะยังเขม่นหมั่นไส้เสมาอยู่

ในเวลาต่อมา ด้านหน้ากระโจมของขัน ทั้งขันและพุฒกำลังคุยกันอยู่ในกระโจมด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เพราะเจ็บใจเรื่องเสมาไม่หาย
“อ้ายเสมามันโชคดีนัก ได้ท่านเจ้าคุณสุโขทัยออกหน้า หาไม่แล้วมันต้องถูกจำคุกด้วยผิดที่หนีเกณฑ์เป็นแน่”
“เพลานี้บ้านเมืองมีศึกสงคราม อ้ายเสมามันมีฝีมือสูงนัก ออกญา แม่ทัพทั้งหลายจึงได้เมตตามัน รอสิ้นศึกบ้านเมืองสงบก่อนเถิด มันจักไม่มีแผ่นดินจะอยู่” พุฒยิ้มเจ้าเล่ห์
“พวกพม่ารามัญยกทัพมามิเคยว่างเว้น แล้วเมื่อใดจะสิ้นศึกกันเล่า ฉันว่าหาทางฆ่ามันเสียกลางศึกครานี้เถิด ระหว่างตะลุมบอนหามีใครรู้ไม่ดอก”
“ใจร้อนนักเกลอฉัน อย่าลืมซี ว่าอ้ายเสมาเป็นหัวหมู่ทะลวงฟัน แต่เราสองคนอยู่ในทัพหลวง จะลอบฆ่ามันกระไรได้ แลถึงมีโอกาสก็เสี่ยงภัยเกินไป เกลือกมีพยานรู้เห็น เราสองคนเป็นต้องโดนตัดหัวเก้าชั่วโคตรเป็นแน่”
“แล้วจะปล่อยให้มันเป็นหนามตำใจฉันเยี่ยงนี้รึ”
“ฉันบอกแล้ว ให้รอสิ้นศึกก่อน อ้ายเสมามันเป็นเพียงทหารอาสา ต่อให้มีบรรดาศักดิ์เป็นพระยา ก็หามีศักดินาไม่ ขุนศึกขุนพลยากจนไร้ไพร่พลจะเทียบกระไรกับเศรษฐีอย่างพันฤทธิ์เพื่อนฉันเล่า”
ขันคิดตาม เริ่มได้คิดเลยยิ้มเจ้าเล่ห์ และเห็นด้วยพุฒทุกอย่าง

เย็นวันนั้น สมบุญส่งแหวนทองเกลี้ยงของเรไรให้กับเสมาโดยมีสินยืนดูอยู่ใกล้ๆ
“แม่หญิงเรไรยังฝากอวยชัยให้พี่ชนะศึกแลกลับอโยธยา อย่างปลอดภัยด้วยจ้ะ”
เสมาดูแหวนทองด้วยความปลื้มใจสุดๆ
“แม่หญิงเรไร อ้ายเสมาสาบาน จะเอาแหวนปากโมกน้อยวงนี้ กลับไปคืนแม่หญิงให้จงได้” เสมาสวมแหวนไว้ที่นิ้วก้อยข้างขวาเพื่อระลึกถึงเรไร
“ชะ มาศึกที่ปากโมก จึงตั้งชื่อแหวนเป็นปากโมกน้อย เจ้าชู้ใช่เล่นเหวย” สินกระเซ้า
“หากมิเจ้าชู้ คงมิต้องหนีมาจนข้าต้องเอาแหวนมาให้กลางศึกเช่นนี้ดอกวะ” สมบุญว่า
“ปากพวกเอ็งมันน่าเฉือนทิ้งนัก ข้ารึเจ้าชู้ แม่หญิงเรไรยังเห็นจริงแล้วว่าข้าเป็นเช่นไร มีแต่ปากพวกเอ็ง ที่พูดให้ข้าได้ชั่วเสีย”
“ครูเอ็งเคืองแล้วอ้ายสมบุญ ดูท่าวาจาของข้ากับเอ็งคงเสียดแทงใจกระมัง” สินพูดพลางหัวเราะชอบใจ
“เลิกหยอกเถิดวะออสิน ประเดี๋ยวหัวหมู่ของเอ็ง ใช้ดาบเฉือนปากพวกเราเสีย จะไม่มีปากให้พูดนา” สมบุญพูดหน้าตาย
“เอ็งสองคนเพิ่งปะหน้ากัน แต่เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยดีแท้ ไป ไปให้พ้นหน้าข้าประเดี๋ยวนี้ ข้าอยากหลับสักงีบแล้ว”
สินและสมบุญเดินเลี่ยงไป คุยหัวเราะกันเอิ๊กอ๊ากอย่างถูกคอทั้งๆที่เพิ่งเจอกัน
เสมามองแหวนของเรไรในนิ้วก้อยขวาของตน แล้วก็ยิ้มบางๆอย่างสุขใจ

ตอนหัวค่ำ... เรไรเดินลงจากเรือนของเสมาโดยมีพิณยืนถือโคมรออยู่แล้ว ขณะเดียวกันมั่น บุญเรือน จำเรียงก็เดินลงมาส่งเรไร
“แม่ป้าไม่ใคร่สบาย ไม่ต้องส่งฉันดอกจ้ะ ขึ้นเรือนไปพักเถิด”
“เจ้าค่ะแม่หญิง ขอบน้ำใจแม่หญิงมากนะเจ้าคะที่มาเยี่ยม”
“ไม่เป็นกระไรดอกจ้ะ”
เรไรหันไปพูดกับมั่น
“พ่อลุงไปดูแลแม่ป้าเถิด ฉันมีบ่าวไพร่มาหลายคน ไม่ต้องห่วงฉันดอก”
“ขอรับแม่หญิง”
มั่นประคองบุญเรือนที่มีอาการไข้กลับขึ้นเรือนไป เรไรเหลือบมองจำเรียงที่มีสีหน้าอมทุกข์ เรไรหันไปพูดกับพิณ
“พิณ ไปตามพวกที่เรือมาช่วยส่องโคมอีกสักสองสามคนเถิด ทางมันมืดนัก”
“เจ้าค่ะแม่หญิง”
พิณเดินเลี่ยงไป เรไรหันไปพูดกับจำเรียง
“เป็นกระไรรึจำเรียง จนป่านฉะนี้ยังไม่ได้พูดคุยกับพันฤทธิ์อีกรึ”
จำเรียงน้ำตาคลอทันทีแล้วว่า
“เจ้าค่ะ พี่พันฤทธิ์ไม่ไปมาหาสู่จำเรียงเช่นเคย แลจำเรียงไปหาที่เรือนก็ไม่ให้พบ จนจำเรียงสิ้นปัญญาแล้ว”
“เมื่อพันฤทธิ์เค้ายังไม่ละพยาบาทเสมา แลพาลมาถึงจำเรียงเช่นนี้ก็ตัดใจเสียเถิด อย่าทุกข์เพราะเค้าอีกเลย” เรไรพูดพลางถอนใจ
“แต่พี่พันฤทธิ์เค้ายังมีน้ำใจให้จำเรียงอยู่นะเจ้าคะ ไม่เช่นนั้นคงไม่ให้เบี้ยจำเรียงยืมไปรักษาแม่ดอกจ้ะ”
“นี่จำเรียงไปกู้ยืมพันฤทธิ์มารึ”
จำเรียงน้ำตาคลอพร้อมเล่าความจริงให้เรไรฟัง
“แม่ป่วยครานี้หนักนักเจ้าค่ะ จำเรียงทุกข์ใจเหลือเกินจึงเล่าให้แม่หญิงดวงแขฟัง วันรุ่งพี่พันฤทธิ์ก็ฝากเบี้ยกับแม่หญิงมาให้ยืม จำเรียงจึงได้เบี้ยไปรักษาแม่ หากพี่พันฤทธิ์ไม่เหลือน้ำใจให้จำเรียงแล้ว จะให้ยืมทำไมล่ะเจ้าคะ”
เรไรสีหน้าเครียด ระแวงว่าขันจะมาไม้ไหน เพราะรู้นิสัยว่าคงไม่ใจดีให้ยืมง่ายๆ
“หากยังมีน้ำใจอยู่แต่เจ้า เหตุใดจึงไม่ให้เจ้าได้พบหน้าเล่าจำเรียง”
จำเรียงน้ำตาไหลพรากด้วยความอัดอั้นตันใจ
“แม่หญิงเรไรเจ้าขา จำเรียงคิดไม่ตก หรือจะเป็นด้วยพี่พันฤทธิ์มีหญิงอื่นเจ้าคะ จึงได้ทำกับจำเรียงเพียงนี้”
เรไรหน้าเสียทันที เพราะรู้ดีว่าหญิงอื่นนั้น ก็คือเรไรนั่นเอง

เวลากลางคืน ภายในกระโจมสมเด็จพระนเรศวร ซึ่งมีแบบจำลองภูมิประเทศบนโต๊ะ มีธงปักแสดงการตั้งทัพของไทย และทัพพระเจ้าเชียงใหม่ ทุกคนในห้องกำลังประชุมกันเครียดเพื่อรับศึกครั้งนี้
ขุนรามเดชะถวายบังคมแล้วกล่าวว่า
“ทัพพระเจ้าเชียงใหม่มีพลมากถึงเรือนแสน แลยกมาครานี้ ด้วยมีความผิดติดตัวคงต้องรบจนสิ้นฝีมือเป็นแน่พระพุทธเจ้าข้า”
สมเด็จพระนเรศวรว่า
“เราก็คิดเช่นนั้น แต่ที่เรากังวล เป็นด้วยเราตีทัพหน้าแตกกลับไป แต่พระเจ้าเชียงใหม่กลับทรงเงียบอยู่ ผิดวิสัยนัก ชะรอยจะคิดรวบรวมพลเป็นทัพใหญ่แน่แล้ว”
“ทัพเรามีน้อยกว่ามากนัก ชอบที่จะรบกลางแปลงจึงจะใช้อุบาย เอาชัยได้”
สมเด็จพระเอกาทศรถหันไปสั่งเจ้าพระยาสุโขทัย พระราชมนู พระศรีวิเศษไชยชาญ ขุนฤทธิ์พิชัยทั้งสี่คน พอถูกเรียกชื่อก็ยกถวายบังคม
“เจ้าทั้งสี่จงยกพลออกไปยั่วดูเพลาหนึ่ง หยั่งกำลังแลอุบายของข้าศึกก่อน”
“รับด้วยเกล้า พระพุทธเจ้าข้า”
“แต่หากไปยั่วข้าศึกออกจากค่ายเป็นสงครามกลางแปลงได้ เราจักเคลื่อนทัพหลวงเข้าหักให้ยับเยินเสียยิ่งกว่าคราก่อน เพื่อมิให้หงสาดูแคลนคนไทยได้อีก” สมเด็จพระนเรศวรว่า
ภายในวัดยามเช้า มีชาวบ้านมาทำบุญมากมาย เรไรกำลังเดินเข้าวัดมา โดยมีพิณถือพานใส่ดอกไม้ และอาหารมาถวายเพลด้วย
“วัดนี้มิเคยมาเลยกะไม่ใคร่ถูก มาถึงก่อนเพลโขอยู่นะพิณ”
“ถ้าเช่นนั้น ไปนั่งพักที่ศาลาริมน้ำก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ”
เรไรกำลังลังเลว่าจะเอาไงดี สายตาก็เหลือบไปเห็นชาวบ้านกลุ่มหนึ่งกำลังถือดอกไม้วนรอบโบสถ์อยู่ เรไรมองด้วยความแปลกใจ
“เหตุใดผู้คนจึงเดินรอบโบสถ์เช่นนี้ เพลานี้เป็นกลางวันแลไม่ใช่วันพระมิใช่รึ”
“อ๋อ บ่าวได้ยินมาว่า หลวงพ่อในโบสถ์ท่านศักดิ์สิทธิ์นัก หากบ้านใดมีชายไปศึกสงคราม ลูกเมียแลญาติพี่น้อง ตั้งจิตสวดมนต์เดินรอบโบสถ์จนครบดั่งลั่นวาจา ก็จักปลอดภัยเจ้าค่ะแม่หญิง”
เรไรได้ยินที่พิณพูดก็ชักสนใจ เพราะเป็นผู้หญิงทำอะไรไม่ได้นอกจากเป็นกำลังใจให้ผู้ชาย

ในเวลาต่อมา เรไรกำลังก้มลงกราบพระประธาน โดยมีพิณนั่งพับเพียบอยู่ใกล้ๆ กราบพระเสร็จก็อธิษฐานให้ขุนรามเดชะกับเสมา แต่ครั้นจะเอ่ยชื่อเสมาตรงๆก็ดูจะไม่งาม
“หลวงพ่อเจ้าขา พ่อกับ...เอ่อ คนรู้จักมักคุ้นของลูกไปศึก ลูกห่วงใยนัก ขอบารมีหลวงพ่อคุ้มครองเขาทั้งสองคนด้วยเถิดเจ้าค่ะ”
“คนรู้จักมักคุ้นของแม่หญิง เป็นช่างตีเหล็กหรือไม่เจ้าคะ”
“พิณ” เสียงเรไรปราม
“ขอขมาเถิดเจ้าค่ะ”
เรไรอธิษฐานในใจต่อไปเงียบๆ

หลังไหว้และอธิษฐานกับพระประธานแล้ว เรไรถือดอกไม้เดินวนรอบโบสถ์ช้าๆ ในใจก็สวดมนต์ไปด้วย พิณเดินตามและบ่นๆ
“ต้องเดินกี่รอบกันหรือนี่ ปวดขาไปหมดแล้ว”
“พิณ หยุดบ่นสักประเดี๋ยวได้หรือไม่”
พิณถึงกับจ๋อยไป
“ไม่อยากเดินก็ไปนั่งคอยเถิด ฉันอยากตั้งจิตให้มั่น จักได้กุศลแรง”
“เจ้าค่ะแม่หญิง”
พิณหน้าสลดเดินเลี่ยงออกไปหาที่นั่งพักรอ
เรไรเดินรอบโบสถ์ช้าๆ ด้วยท่าทีสงบเสงี่ยมและตั้งสมาธิเพื่อให้พ่อกับเสมาปลอดภัย

ยามสายวันนั้น เสมาและสินกำลังนำทหารไทยต่อสู้กับทหารพม่าอย่างดุเดือด เสมาใช้ดาบสองมือฟาดฟันใส่ทหารพม่าล้มตายเป็นใบไม้ร่วง สินเองก็ใช้ทวนทั้งหวด ทั้งแทงใส่ข้าศึกอย่างเหี้ยมหาญ ทั้งสองฝ่ายต่างตะลุมบอนกันอย่างดุเดือด แม้ทัพไทยจะมีน้อยกว่ามาก แต่ก็สู้ได้อย่างสูสี
สมิงโยคราช ชาวมอญซึ่งเป็นทหารเอกของพระเจ้าเชียงใหม่กำลังใช้ดาบสองมือเข่นฆ่าทหารไทยที่บุกเข้ามาจนตายเป็นเบือชนิดไม่คณามือแม้แต่น้อย เสมากับสมิงโยคราชหันไปสบตากันกลางศึก ต่างฝ่ายต่างสัมผัสได้ถึงความเก่งกาจของอีกฝ่าย สินจะเข้าไปสู้กับสมิงโยคราช แต่เสมาใช้ดาบกันสินไว้ก่อน
“อย่าอ้ายสิน เอ็งตอนนี้ยังสู้มันไม่ได้ดอก”
เสมาวิ่งเข้าหาสมิงโยคราช เช่นเดียวกับที่สมิงโยคราชวิ่งเข้าหาเสมาเช่นกัน ทั้งคู่ร้องตะโกนลั่นก่อนฟาดฟันเพลงดาบสองมือเข้าใส่กันอย่างดุเดือด สมเป็นทหารยอดฝีมืด้วยกันทั้งคู่

สมเด็จพระนเรศวร และสมเด็จพระพระเอกาทศรถ ทรงประทับอยู่บนหลังม้าอยู่ที่มุมหนึ่ง ขณะที่ขุนรามเดชะ ขัน พุฒ พันอิน จมื่นทิพย์รักษา และทหารไทยอีกจำนวนมาก ยืนห้อมล้อมทั้งสองพระองค์อยู่ สมบุญนั่งคุกเข่ารายงานสถานการณ์ให้สมเด็จพระนเรศวรทรงทราบอยู่ พระองค์ทรงแย้มพระสรวลอย่างพอพระทัย
“ทัพอ้ายราชมนูรบกับทัพพระเจ้าเชียงใหม่ที่บ้านแหรึ แสดงว่าพระเจ้าเชียงใหม่ทรงยกทัพมาตีเราเช่นกันจึงได้ปะทะกันระหว่างทาง ช่างบังเอิญดีแท้”
พระเอกาทศรถทรงพนมมือบังคมพระเชษฐาธิราชแล้วตรัสว่า
“ถ้ากระนั้นก็สมอุบายของเราแล้ว เร่งยกทัพหลวงขึ้นไปช่วยพระราชมนูกับเจ้าพระยาสุโขทัยเถิดพระพุทธเจ้าข้า”
พระนเรศวรทรงตริตรองอยู่ครู่นึงแล้วทรงหันไปสั่งสมบุญ
“เอ็งจงไปบอกอ้ายราชมนู ให้ถอยทัพประเดี๋ยวนี้”
สมบุญแปลกใจ แต่ไม่กล้าถามได้แต่ถวายบังคม
“รับด้วยเกล้าพระพุทธเจ้าข้า”
สมบุญรีบวิ่งไปขึ้นม้าของตนแล้วขี่ออกไปทันที ทุกคนพากันแปลกใจว่า ทำไมสมเด็จพระนเรศวรให้ถอยทัพ แต่ทุกคนกลัวเลยไม่กล้าถาม นอกจากสมเด็จพระเอกาทศรถ
“เหตุใดสมเด็จพี่ จึงให้พระราชมนูถอยทัพเล่าพระพุทธเจ้าข้า ทัพพระเจ้าเชียงใหม่มีเรือนแสน แต่ทัพพระราชมนูแลเจ้าพระยาสุโขทัยมีเพียงสองหมื่น ยังยันทัพไว้ได้แสดงว่าทหารของเราเข้มแข็งนัก หากยกทัพหลวงขึ้นไปช่วยต้องชำนะเป็นแน่”
“ชำนะ แต่เสียไพร่พลมากเกินไป หากรบกันที่บ้านแห หาควรที่เราจะยกทัพหลวงขึ้นไปช่วยไม่ แต่ชอบที่จักแปรขบวนทัพหลวงไปซุ่มอยู่ที่ป่ากระทุ่มข้างตะวันตก แล้วให้อ้ายราชมนูลาดถอยล่อข้าศึกตามมา แล้วให้ทัพหลวงที่ซุ่มอยู่ตีกระหนาบ ก็จักชำนะได้โดยง่าย”
สมเด็จพระเอกาทศรถทรงคิดตามแล้วแย้มสรวลด้วยความดีพระทัย เพราะเป็นแผนการรบที่ดีมากๆบรรดาทหารทุกคนหันไปพูดคุยกัน ต่างเห็นดีด้วย และยอมรับในพระปรีชาสามารถของสมเด็จพระนเรศวรกันทุกคน

อ่านต่อหน้า ๓ 
 

เกร็ดความรู้เกี่ยวกับขุนศึก

๑๙. วัดพระศรีสรรเพชญ์ เป็นวัดหลวงในพระราชวังโบราณของอยุธยา ซึ่งไม่มีพระสงฆ์จำพรรษา สร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่หนึ่ง โดยในปีพุทธศักราช 2043 ได้มีการหล่อพระพุทธรูปทองคำสูง16เมตร หุ้มด้วยทองคำหนัก171กิโลกรัม ประดิษฐานไว้ในวิหาร พระนามว่า “พระศรีสรรเพชญดาญาณ”

๒o. เงินตราสมัยอยุธยา มีเงินตราอยู่ 4 ชนิด คือเงินพดด้วง ซึ่งทำจากโลหะเงินแล้วประทับตรา เบี้ย คือหอยเบี้ยที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ ไพและกล่ำ ทำจากโลหะที่มีค่าน้อยกว่าเงิน เงินปะกับ เป็นเงินปลีกที่ทำจากดินเผา ใช้แทนเบี้ยเมื่อยาม ขาดแคลน
 
........................................................................................................





ขุนศึก ตอนที่ ๓ (ต่อ)

เสมากำลังรบกับสมิงโยคราชอย่างดุเดือด ในขณะที่สินและเหล่าทหารไทยก็กำลังสู้รบกับทหารพม่าอย่างหนักเช่นกัน สมิงโยคราชใช้ท่าไม้ตายฟันใส่เสมา แต่เสมาหลบได้หวุดหวิด เลยโดนพวกเดียวกันตายแทนสมิงโยคราชหันกลับมาฟันใส่เสมาอีก เสมาฟันสวนประกายดาบแลบเป็นไฟไปมา

เสมาฟันสู้กับสมิงโยคราช ก่อนจะใช้ท่าไม้ตายฟันเข้าเต็มๆ สมิงโยคราชยกดาบขึ้นกันได้หวุดหวิด แต่ก็กระเด็นไปตามแรงดาบ ก่อนจะโดนเสมาเตะต่อยจนเลือดกบปากจนต้องรีบถอยไปตั้งหลัก
ทางฝ่ายสิน ทหารพม่า 3-4 คนฟันดาบลงมาพร้อมกัน สินใช้ทวนรับ แต่ก็โดนพวกพม่ากดลงมากะให้สินทรุดลงแล้วจะได้รุมตามใจชอบ สินร้องลั่นเรียกพลัง ก่อนจะดันกลับจนพวกพม่ากระเด็นออกไปจนหมด

ขณะนั้นเอง สินก็เหลือบไปเห็นธงของทัพพระราชมนูกำลังโบกสะบัดเพื่อบอกนายทหารทุกนายให้บุกสินตะโกนลั่น
“พระราชมนูท่านแม่ทัพให้อาณัติสัญญาณแล้ว บุกเข้าไปให้ถึงทัพหลวงให้จงได้ บุกเข้าไป”
พวกทหารไทยกำลังใจฮึกเหิม แต่ละคนสู้ตายอย่างไม่คิดชีวิต

สมเด็จพระนเรศวรกำลังทรงพิโรธ เมื่อฟังรายงานจากสมบุญ
“อ้ายราชมนูมันกล้าขัดคำสั่ง ไม่ยอมถอยทัพเชียวรึ”
สมบุญถวายบังคมแล้วกล่าวว่า
“พระพุทธเจ้าข้า พระราชมนูท่านให้มากราบบังคังทูลว่ากำลังไล่เลี่ยพอจักสู้ทัพพระเจ้าเชียงใหม่ได้ แลศึกติดพัน หากถอยก็เกรงเสียทีแก่ข้าศึกพระพุทธเจ้าข้า”
พระเอกทศรถตรัสด้วยสีพระพักตร์เครียด
“พระราชมนูคงไม่แจ้งในพระราชดำริ จึงไม่ยอมถอยทัพ หากเป็นเช่นนี้ กลศึกของเราคงมิสมแน่”
“ตามอาญาศึก สั่งบุกแล้วไม่บุก สั่งถอยแล้วไม่ถอย ต้องตัดหัวสถานเดียว”
สมเด็จพระนเรศวรหันไปสั่งจมื่นทิพย์รักษา
จมื่นทิพย์รักษาถวายบังคม
“พระพุทธเจ้าข้า”
“เอ็งจงไปเร่งอ้ายราชมนูอีก หากมันยังมิยอมถอยทัพก็ให้ตัดศีรษะมันลงมา”
นายทหารแต่ละคนพอเห็นสมเด็จพระนเรศวรทรงเด็ดขาดในอาญาทัพ แม้แต่ทหารเอกคู่ใจก็ไม่เว้นเลยยิ่งยำเกรงหนักขึ้น
“รับด้วยเกล้าพระพุทธเจ้าข้า” จมื่นทิพย์ถวายบังคมลา
จมื่นทิพย์รักษารีบสะพายดาบแล้วขี่ม้าออกไป
ฝ่ายขันและพุฒ
“เสียดายนัก ที่มิใช่ศีรษะอ้ายเสมา หาไม่แล้วฉันจะขอให้จมื่นทิพย์รักษาตัดเสียในทันใด”
“ถึงจมื่นทิพย์รักษาไม่ตัดศีรษะมัน แต่หากลาดถอยทัพไม่ระวัง คงไม่แคล้วถูกอ้ายพวกข้าศึกรุมฆ่าเป็นแน่”
ขัน และพุฒยิ้มร้ายๆแช่งชักหักกระดูกเสมาอยู่ในใจ

ในสนามรบ เสมากระหน่ำฟันใส่สมิงโยคราช จนสมิงโยคราชต้องตั้งรับอย่างเดียว ก่อนจะโดนเสมาฟันถากไหล่เลือดอาบ แล้วโดนเสมาเตะต่อยจนล้มคว่ำลงกับพื้น เสมาจะเข้าไปซ้ำ แต่ทันใดนั้นก็เหลือบเห็นธงถอยทัพของพระราชมนูกำลังโบกสะบัดอยู่ เสมาตะโกนลั่น
“ท่านแม่ทัพสั่งถอยแล้ว เร็ว ลาดถอยให้เป็นขบวนอย่าให้แตกฉาน”
พวกทหารไทยงงกันไปหมด แต่เมื่อแม่ทัพสั่งถอยก็ต้องถอย เลยค่อยๆสู้พลางถอยพลางอย่างมีระเบียบ เพื่อไม่ให้ทหารพม่าตามซ้ำได้ สินเข้ามาหาเสมาบ่นเสียดายสุดๆ
“กำลังไล่เลี่ยกัน เหตุใดสั่งถอยเสียเล่า”
“เห็นทีจะมีกลศึกเป็นแน่ เอ็งจงคุมไพร่พลให้เร่งลาดถอย อย่าให้เสียขบวนเป็นอันขาด ข้าจะระวังหลังเอง”
สินรีบไปจัดการคุมทหารล่าถอยตามที่เสมาสั่งทันที เสมารั้งอยู่เป็นคนสุดท้าย คอยต่อสู้ไม่ให้พวกทหารพม่าตามไปตีทหารไทย ฝ่ายสมิงโยคราช ค่อยๆได้สติ พอเห็นเสมาถอย ก็รีบลุกขึ้นไปเอาม้าศึกที่ไม่มีเจ้าของแล้วขี่ตามไปทันที

สมิงโยคราชควบม้าตามหลังมา สมิงโยคราชฟันดาบใส่เสมา เสมาหันกลับมาใช้ดาบปะกัน แต่ด้วยความแรงเพราะสมิงโยคราชควบม้าอยู่ เสมาเลยผงะไป สมิงโยคราชหันกลับมาฟันซ้ำ เสมาตั้งรับอย่างลำบาก จนในที่สุดก็ถูกฟันที่ไหล่จนเลือดพุ่ง เสียหลักทรุดลงกับพื้น
สมิงโยคราชเงื้อจะฟันเสมากะเอาให้ตาย แต่ทันใดนั้น สินก็พุ่งทวนเข้ามาหาสมิงโยคราช ฝ่ายสมิงโยคราชตกใจรีบใช้ดาบปัดทวนทิ้ง เสมาได้โอกาสจึงรีบกระโดดฟันดาบคู่ใส่สมิงโยคราช ตายคาหลังม้าทันที
สินเห็นสมิงโยคราชตาย เลยรีบเข้ามาหาเสมา
“พี่เสมา เป็นกระไรบ้าง”
“เอ็งย้อนมาช่วยข้าทำกระไร รีบหนีไปประเดี๋ยวนี้”
“หากฉันหนีเอาตัวรอด ก็ชั่วเกินชายแล้ว”
ขาดคำ ทัพใหญ่ของพระเจ้าเชียงใหม่ก็ยกตามมาถึงมีไพร่พลมากมายเต็มไปหมด สุดลูกหูลูกตา สินได้แต่ยืนช็อกด้วยความตกใจไม่คิดว่าศัตรูจะมีมากขนาดนี้
“พี่เสมา ทัพพระเจ้าเชียงใหม่ยกมามืดฟ้ามัวดินถึงเพียงนี้เทียวรึ”
เสมาเพ่งมองไปยังข้าศึกด้วยสีหน้าและแววตามุ่งมั่น
“ยอมตายดีกว่าถอยแม้เพียงก้าว กูขอเอาเลือดทาแผ่นดินตรงนี้ จารึกไว้ ถึงตัวกูตาย วิญญาณกูจะรักษาแผ่นดินนี้แทนกู” เสมาดึงผ้าออกมาฉีก แล้วมัดดาบกับมือให้ติดกับมือไว้ เพื่อกันดาบลื่นจากเหงื่อที่ไหลจนหลุดมือ
“อ้ายสิน แม้ข้ากับเอ็งไม่ได้เกิดวันเดียวกัน แต่ดูท่าคงต้องตายวันเดียวกันแน่แล้ว”
สินเก็บทวนคู่มือขึ้นมาแล้วบอก
“จะเป็นกระไรเล่าพี่เสมา ได้ตายร่วมกับพี่เกิดมาไม่เสียชาติเกิดแล้ว”
เสมายิ้มรับ ก่อนจะหันไปมองแหวนของเรไรที่นิ้วก้อยข้างขวาของตน เสมาหน้าขรึมลงแล้วพูดขึ้นเบาๆ
“แม่หญิง อ้ายเสมาคงไม่มีวาสนาได้คืนแหวนให้แม่หญิงแล้ว” แล้วเสมาก็ยกแหวนมาจูบเบาๆ
เสมาตัดใจแล้วกระชับดาบยืนเคียงข้างสินหมายจะฆ่าศัตรูให้ได้มากที่สุด พวกข้าศึกกรูกันเข้ามามืดฟ้ามัวดิน เสมาและสินพุ่งเข้าใส่อย่างไม่อาลัยชีวิตเพื่อปกป้องแผ่นดิน
แต่ทันใดนั้น ก็มีเสียงปืนดังขึ้น !!
ทหารไทยจำนวนมากก็กรูกันออกมาจากที่ซุ่มแล้วยิงปืนใส่พวกข้าศึกจนข้าศึกล้มตายมากมาย สร้างความหวาดกลัวจนพวกข้าศึกต้องรีบหนีตายกันอุตลุต
“เป็นกลศึกจริงๆ เรารอดแล้วพี่เสมา”
เสมายิ้มดีใจก่อนจะตะโกนก้อง
“อ้ายพวกข้าศึกมันหนีแล้วตามตีพวกมัน”
เสมาและสินวิ่งเข้าหาข้าศึกบุกตะลุยอย่างไม่คิดชีวิต ทหารไทยโห่ร้องลั่น ต่างกุมอาวุธบุกเข้าหาข้าศึกตามเสมาทันที

กองทัพไทยซุ่มโจมตีทัพพระเจ้าเชียงใหม่จนแตกพ่ายต้องถอยไปถึงเมืองกำแพงเพชรที่พระมหาอุปราชาตั้งทัพอยู่ พระเจ้านันทบุเรงทรงกริ้วพระเจ้าเชียงใหม่มาก แต่ถ้าจะเอาผิดก็กลัวพระเจ้าเชียงใหม่จะกบฏ เลยมีรับสั่งให้พระเจ้าเชียงใหม่เร่งหาเสบียงอาหารจัดส่งมาให้พอกับกองทัพของพระองค์ ที่จะยกมาตีกรุงศรีอยุธยาด้วยตัวพระองค์เอง ซึ่งจะเป็นศึกใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เสียกรุงศรีอยุธยาเป็นต้นมา

บ่ายวันหนึ่ง พันอินกำลังเดินคุยกับขุนรามเดชะด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“วานนี้ปล่อยทหารหัวเมืองสิ้นแล้ว แต่เจ้าเสมายังไม่ได้กลับบ้าน ฉันจึงวิตกว่าเสมายังเกรงความผิด แล้วเลิกทัพไปกับทหารหัวเมือง ไม่ยอมกลับแล้ว” พันอินพูดขึ้นด้วยความห่วงเสมา
ขุนรามเดชะยิ้มๆ ในใจนึกอยากให้เป็นเช่นนั้น
“ฉันได้กล่าวให้อภัยต่อหน้าท่านเจ้าคุณผู้ใหญ่แล้ว หากเจ้าเสมายังระแวง ฉันก็จนใจแล้วพี่พันอิน”
พันอินถอนหายใจด้วยสีหน้าเครียดๆ ไม่รู้จะทำยังไง ขณะนั้นมีทาสหญิงคนหนึ่งในบ้านขุนรามเดชะเดินขึ้นเรือนมาแล้วนั่งพับเพียบลง
“ท่านขุนเจ้าคะ หมื่นศึกอาสามาขอกราบพบเจ้าค่ะ”
ขุนรามเดชะแปลกใจด้วยไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน
“รีบเชิญท่านเข้ามาเถิด บอกว่าข้าติดมีแขกจะลงไปด้วยตัวเองมิได้ แลขอขมาท่านให้ดี”
“เจ้าค่ะ”
ทาสหญิงเดินเลี่ยงลงจากเรือนไป พันอินถามขึ้นด้วยความแปลกใจ
“ใครกันรึ หมื่นศึกอาสา”
ขุนรามเดชะก็แปลกใจเช่นเดียวกัน
“ฉันก็ไม่เคยได้ยินชื่อเช่นกันพี่พันอิน แต่เมื่อมาหาถึงเรือน คงมีเหตุกระมัง”
ขณะนั้นเอง เสมาในชุดบรรดาศักดิ์หมื่น ก็เดินขึ้นเรือนมา เสมาเห็นพันอินเข้า ก็รีบเข้าไปคุกเข่ากราบเท้าพันอินทันที พันอินดีใจเป็นอย่างมาก
“เสมา เจ้าเองรึ พ่อกำลังห่วงอยู่เชียว แล้วชุดนี่...”
“สมเด็จพระราชโอรสทรงตั้งลูกเป็นหมื่นศึกอาสาแล้วขอรับ ต้องขอขมาที่ให้พ่อพันอินเป็นห่วงลูก แต่เสมาเพิ่งเลิกทัพประเดี๋ยวนี้ เพราะต้องเข้าขบวนถวายตัวขอรับ” เสมาพูดอย่างยิ้มแย้มภูมิใจ
พันอินลูบหัวเสมาด้วยความปลาบปลื้ม
“หมื่นศึกของพ่อเอ๋ย จงสิ้นเคราะห์เถิด แต่นี้ไปขอจงก้มหน้าประพฤติการอันควรด้วยเกียรติยศ ตำแหน่งขุนอันอยู่เบื้องหน้านี้จงอย่าประมาทเสีย อุตส่าห์สงวนตัวให้ถึงแก่ตำแหน่งนั้น พ่อก็ปลื้มใจนัก”
“ขอรับ ลูกขอรับพรพ่อพันอิน จำไว้ใส่ใจขอรับ”
เสมาหันไปพนมมือต่อหน้าขุนรามเดชะแล้วกล่าวว่า
“แม้นข้าพระเจ้าจักเคยขอขมาพระคุณที่กลางศึกแล้ว แต่ยังไม่ใคร่สบายใจ ด้วยข้าพระเจ้าได้กระทำการชั่วช้าล่วงเกินพระคุณไปมากนัก ขอพระคุณอย่าได้ถือโทษแก่ข้าพเจ้าเลยขอรับ” เสมาก้มลงกราบ
ขุนรามเดชะรับไหว้อย่างเสียไม่ได้ ไม่ค่อยพอใจแต่ด้วยความเป็นผู้ใหญ่จะโกรธต่อก็ดูจะไม่ดี พันอินมองเสมายิ้มด้วยความชื่นชมและเมตตา

เย็นวันนั้น เสมาและเรไรก้มลงกราบพระประธานภายในวัดพร้อมกัน ก่อนจะหันมองหน้ากันด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสมีความสุข ทั้งคู่เดินคุยกันออกมาจากโบสถ์
“แล้วพ่อว่ากระไรต่อจ๊ะ”
“ออกขุนจักว่ากระไรได้ นอกจากให้ศีลให้พรข้าพระเจ้า พระคุณคงหายเคืองอ้ายเสมาแล้ว”
เรไรหน้าขรึมลงอย่างรู้นิสัยขุนรามเดชะแต่ไม่กล้าพูด เสมามองเรไรด้วยสายตากรุ้มกริ่ม ก่อนจะถอดแหวนของเรไรที่นิ้วก้อยข้างขวาออกมา
“เมื่อแรก ข้าพระเจ้าตั้งใจจักคืนแหวนปากโมกน้อยนี้แก่แม่หญิง แต่บัดนี้ ข้าพระเจ้าใคร่จะเก็บไว้เอง ขอแม่หญิงเมตตาประทานแหวนน้อยนี้แก่เสมาเถิด”
เรไรทิ้งค้อนเบาๆแล้วว่า
“คนช่างขอ ดอกจำปีก็แล้ว คำหมากแลยาสูบก็แล้ว ยังจักขอแหวนอีก ช่างโลภไม่รู้จักพอเสียเลยหมื่นศึกอาสา”
“เสมาหาได้โลภอยากได้ของไม่ แต่แหวนนี้เป็นสาเหตุสำคัญให้ข้าพระเจ้าได้ตำแหน่งหมื่นศึกอาสา จึงอยากสวมไว้เพื่อคุ้มเสมายามออกศึก แลเพื่อรำลึกถึงเจ้าของแหวนซึ่งมีอุปการะแก่เสมา”
เรไรแกล้งตีหน้าตายแล้วว่า
“หมื่นศึกเอากระไรมาพูด ฉันเป็นเพียงหญิง จักมีอุปการะแก่ใครได้เล่า”
“มีได้ซีแม่หญิง ในเมื่อยศศักดิ์ของเสมานี้ก็ได้มาเพราะน้ำคำแม่หญิงทั้งสิ้น แม่หญิงบอกเสมาว่า บุรุษในเรือนทาสหรือบ่าวไพร่ราบไพร่เลวก็ตามแต่กรรม ผิว่าบุรุษนั้นจักรุ่งเรืองเป็นหมื่นเป็นขุนเมื่อใด เมื่อนั้นศักดิ์ตระกูลก็จักเฟื่องขึ้น”
“ยังจำได้อีกรึ” เรไรพูดแล้วทำเขินอายหลบสายตาเสมา
“ทุกคำของแม่หญิง ข้าพระเจ้าจักลืมได้เยี่ยงไร...”
เสมาจะยื่นมือไปจับมือเรไร แต่ชะงักไว้เพราะกลัวจะล่วงเกินเรไรและทำให้เรไรโกรธขึ้นมาอีก เสมาเลยหันไปจับชายสไบของเรไรแทนจนเรไรเขินอาย หน้าแดง
“เสมาปรารถนาเป็นทหาร อาสาด้วยดวงใจถวายแผ่นดินเป็นกตัญญู แต่ยศศักดิ์ทั้งปวง เสมาถวายแด่แม่หญิงเรไรเพียงผู้เดียว”
เสมาสบตาเรไรด้วยสายตากรุ้มกริ่ม เรไรเขินอายหลบสายตา แต่ในใจมีความสุขที่สุด

สินกำลังยกไหเหล้าขึ้นดื่มอยู่กับชาวบ้านชาย 3-4 คนภายในร้านเหล้าบริเวณตลาดในช่วงเวลาเย็น ทันทีที่เหล้าผ่านลำคอ สินถึงกับทำหน้าเหยเก เพราะเหล้าแรงมากแต่ก็สะใจ
“นี่มันสุรากระไรกัน แรงดีแท้”
ชาวบ้านชายคนหนึ่งถามขึ้นว่า
“ชอบหรือไม่เล่าออสิน”
สินตบบ่าชายชาวบ้านอย่างแรง
“ชอบซีวะ สุรากับข้ามันไม่ก็ต่างกระไรจากเนื้อคู่หนังคู่ หากไม่ติดว่าต้องช่วยพี่เสมาตีดาบขาย ข้าจะดื่มกับพวกเอ็งให้หนำใจยันมืดเทียว” สินหัวเราะร่วนจะยกไหเหล้าขึ้นดื่มอีก
ทันใดนั้น สายตาของสินก็เหลือบไปเห็นเอื้อยแตงกำลังยืนคุยกับชาวบ้านหญิงคนหนึ่งอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส เอื้อยแตงดูสวยน่ารัก ตรงสเป็กสินไปหมด กามเทพแผลงศรเข้าเต็มๆ สินถึงกับมือไม้สั่นจนเหล้าหกอย่างไม่รู้สึกตัว ชายชาวบ้านรีบแย่งไหเหล้ามา
“เฮ้ยๆๆ อุบ๋า เป็นไข้จับสั่นรึ ออสิน สุราหกไปโข เสียดายนัก”
สินรีบล็อกคอชายชาวบ้านแล้วชี้ไปที่เอื้อยแตงพลางถามว่า
“แม่หญิงผู้นั้นเป็นใครกันวะ”
“ข้าก็เพิ่งมาจากวิเศษไชยชาญด้วยกันกับออสิน จะรู้ได้กระไรว่านางเป็นใคร”
สินหงุดหงิดแล้วผลักหน้าชายชาวบ้านออกไปทันที
“โง่แท้ ไม่ได้เรื่องได้ราวเลย ... สมเป็นหญิงอโยธยา ช่างงามหมดจด”
เอื้อยแตงรับถุงใส่เบี้ยเสร็จก็เดินจากไป สินหันมองตามจนเหลียวหลัง จนลืมเหล้าของโปรดไปเลย
“จะได้เมียต้องใจก็ครานี้แหละอ้ายสิน” สินพึมพำขึ้นพลางยิ้มปลาบปลื้มอย่างหลงเสน่ห์

บุญเรือนร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความเศร้าเสียใจ ในขณะที่มั่นยืนอยู่ใกล้ๆด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เต็มไปด้วยความทุกข์ใจ เมื่อตอนหัวค่ำ เป็นจังหวะเดียวกับเสมากำลังเดินขึ้นเรือนมาด้วยความดีอกดีใจ
“พ่อจ๋าแม่จ๋า ฉันกลับมาแล้วจ้ะ”
มั่นกับบุญเรือนเมื่อเห็นเสมากลับมาก็ดีใจ รีบเข้าไปหาลูกทันที เสมาก้มลงกราบพ่อแม่ก่อนจะลุกขึ้นมากอดพ่อแม่
“เสมา เหตุใดหายไปเสียนาน พ่อนึกว่าจะไม่ได้ปะหน้าเจ้าแล้ว”
“ฉันขอขมาเถิดจ้ะพ่อ อ้ายเสมาหนีไปเป็นทหารอาสา สังกัดขุนฤทธิ์พิชัยท่าน ที่วิเศษไชยชาญ สิ้นศึกจึงได้กลับมา บัดเดี๋ยวนี้ ฉันได้เป็นหมื่นศึกอาสาแล้วจ้ะพ่อ”
“หมื่นศึกอาสาเชียวรึลูกพ่อ บุญของเอ็งนัก”
บุญเรือนซับน้ำตาดีใจที่ได้เห็นลูก และเริ่มมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง
“เอ็งได้เป็นถึงหัวหมื่น คงมั่งมีแล้วกระมัง เช่นนั้นก็เมตตาช่วยน้องมันสักหน่อยเถิด”
“กระไรหรือจ๊ะแม่ จำเรียงเป็นกระไรไป” เสมาถามขึ้นด้วยความแปลกใจ

ในเวลาต่อมา จำเรียงกำลังร้องห่มร้องไห้อย่างสะอึกสะอื้นคุยกับเสมาอยู่
“ฉันจะรู้ได้กระไร ว่าหนี้ที่ยืมมารักษาแม่จะเพิ่มพูนมากถึงปานนี้ หากรู้ มีรึฉันจะยืมพี่พันฤทธิ์”
“เพราะเอ็งไม่เชื่อคำข้า ประมาทหมิ่นข้าที่เป็นพี่เอ็ง แต่กลับไปหลงเชื่อคำอ้ายขันมัน”
“ฉันยังทุกข์ไม่พออีกรึ พี่ถึงซ้ำฉันด้วยวาจาอีก สาแก่ใจพี่แล้วซี”
“เอ็งเป็นน้องข้า ชั่วดีถี่ห่างกระไรก็ยังเป็นน้อง มีรึที่ข้าจะสาแก่ใจ สมน้ำมะหน้าเอ็ง แต่หนี้ออกโขถึงปานนี้ข้าจักเอาเบี้ยที่ใดมาใช้คืนอ้ายขันมัน”
“พี่เป็นหัวหมื่นแล้วสูงกว่าพี่พันฤทธิ์เสียอีก เหตุใดไม่มีเล่า”
“ข้าเป็นแต่ทหารอาสา แม้นจักมียศหมื่นแต่หามีศักดินาไม่ แล้วจะมั่งมีเหมือนคนอื่นได้เช่นไร”
จำเรียงปล่อยโฮลั่น
“ถ้ากระนั้น ฉันก็คงต้องตากหน้าไปเป็นทาสเพื่อขัดดอกแล้ว”
“อย่าฟูมฟายไปเลย หนี้เกิดแต่เอามารักษาแม่ หาใช่เอ็งเอามาทำชั่วไม่ ข้าจักใจจืดใจดำปล่อยให้เอ็งไปเป็นทาสกระไรได้ อย่างไรเสีย ข้าก็ต้องช่วยเอ็ง แต่นี้ต่อไป เอ็งต้องห้ามข้องเกี่ยวกับอ้ายขันอีก รู้หรือไม่”
“แต่ก่อนพี่พันฤทธิ์ดีกับฉันนัก หากมิใช่พี่ผิดใจกับเค้า พี่พันฤทธิ์ก็คงไม่ทำกับฉันเช่นนี้ดอก เหตุมันเกิดแต่พี่นั่นแหละ”
จำเรียงหันไปร้องไห้ฟูมฟายต่ออีก เสมาได้แต่มองน้องด้วยความอ่อนใจ ขนาดนี้ยังไม่เลิกหลงขันอีก

คืนวันเดียวกัน ...ขันกำลังใช้ดาบสองมือสู้กับศิษย์ครูบ่าย 4-5 คนอย่างดุเดือด ครูบ่ายและพุฒกำลังยืนดูการต่อสู้ของขันด้วยความพอใจ ฝีมือขันก้าวหน้ากว่าเดิมมาก ขันใช้ดาบสองมือไล่ฟาดฟัน แม้จะมีแค่คนเดียวแต่คู่ต่อสู้ก็ทำอะไรไม่ได้ ก่อนจะโดนขันเล่นงานจนพ่ายแพ้ไปทุกคน
ขันยื่นดาบให้ศิษย์คนอื่นรับไป แล้วเดินเข้าไปหาครูบ่ายและคุกเข่าไหว้ ครูบ่ายตบบ่าขันด้วยความพอใจ
“ร้ายนักพันฤทธิ์ เพียงไม่กี่เดือนเพลงดาบสองมือของข้าก็สิ้นกระบวนจะสอนแล้ว ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับตัวเจ้าเองว่าจะแตกฉานเพียงไร”
“เพราะครูท่านเมตตา หาไม่แล้ว ฝีมือของข้าพระเจ้าคงไม่รุดหน้าเร็วถึงเพียงนี้”
“เช่นนี้ก็ใกล้เพลา จะทวงถามความอัปยศคืนจากอ้ายเสมาแล้วกระมัง” พุฒว่า
“แน่แล้วพันจบ มิใช่แค่อ้ายเสมาจักต้องพ่ายแพ้แก่มือฉันเท่านั้น แต่แผ่นดินอโยธยา ฉันก็จะไม่ให้มันมีที่ยืนอยู่ได้”

เสมาเอาถุงใส่เงินยื่นให้ดวงแขรับไปในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น
“นี่เป็นเบี้ยคราวออกรบของเสมามิใช่รึ ให้ฉันหมด แล้วเสมาจะใช้กระไร” ดวงแขพูดขึ้นด้วยความไม่สบายใจ
“ขอบน้ำใจแม่หญิงที่ห่วงข้าพระเจ้า แต่อ้ายเสมา ชำนาญในการตีดาบเร่ขายเหล็ก ถึงกระไรก็คงไม่อดตาย ขอแม่หญิงจงรับดอกเบี้ยนี้ไว้เถิด หากมีต้นเงินเมื่อใด อ้ายเสมาจะนำมาชดใช้คืน”
“เสมาก็รู้มิใช่รึ ว่าพี่ขันให้จำเรียงยืมเงินครานี้หาใช่เรื่องดีไม่”
“ข้าพระเจ้าแจ้งใจอยู่ แต่ถึงกระไร เงินนี้ก็นำมารักษาแม่จริง หากข้าพระเจ้าบ่ายเบี่ยง ก็ถือว่าเป็นคนคดโกงแล้ว”
ดวงแขยิ้มบางๆ มองเสมาด้วยสายตาชื่นชมในความซื่อสัตย์ของเสมา
“เอาเถอะ ฉันจะลองคุยกับพี่ขันให้อีกที”
“น้ำใจแม่หญิงช่างงามไม่แพ้รูปกาย ผิดพี่ผิดเชื้อนัก”
ดวงแขแอบเอียงอายปลาบปลื้ม

ตอนสายที่บริเวณศาลาท่าน้ำบ้านของขัน ขันกับดวงแขสนทนากันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“น้องอย่าพูดอีกเลย ถึงกระไรพี่ก็หาเปลี่ยนใจไม่”
“แต่พี่ขันทำเช่นนี้ ก็เหมือนแกล้งให้เสมากับจำเรียงตายเสียทั้งเป็น เพราะถึงอย่างไร เสมาก็คงยากที่จะหาต้นเงินมาใช้คืนได้”
ขันยิ้มร้ายแล้วว่า
“พี่ก็ต้องการเยี่ยงนั้น เมื่อใดอ้ายเสมาหามีดอกเบี้ยมาใช้พี่ไม่แล้ว พี่ก็จักยึดนังจำเรียงมาเป็นทาส หยามน้ำมะหน้าอ้ายเสมามันเสีย”
“พี่ขัน นี่พี่ชังเสมาถึงเพียงนี้เชียวรึ”
“พี่ชิงชังมันยิ่งกว่าผู้ใด มันทำให้พี่ได้อายแลเจ็บถึงเจียนตาย แม้แต่แม่หญิงเรไรที่พี่หมายปองมานาน ก็กลับมีใจให้มัน หากพี่ไม่ล้างอัปยศก็เสียทีที่เป็นชายแล้ว”
“แต่...”
“แม่ดวงแข คงไม่เห็นผู้อื่นดีกว่าพี่กระมัง” ขันพูดดักคอแล้วจ้องหน้า
ดวงแขหลบสายตาไป
“ถึงกระไรเสีย เราก็เป็นพี่น้องคลานตามกันมา แม่ดวงแขคงไม่ลืมดอกนะ”
ดวงแขหน้าเจื่อนไปที่เจอขันพูดดักคอจนพูดอะไรไม่ออก ขันเหล่ๆ มองดวงแขอย่างจับผิดและเอาเรื่อง

บัวเผื่อนกำลังคุมจำเรียงและข้าหลวงคนอื่นๆทำความสะอาด ข้าวของเครื่องใช้มีค่า ทั้งเครื่องลายคราม เครื่องแก้วจากต่างประเทศ และอื่นๆอยู่ จำเรียงยืนเหม่อ คิดถึงแต่เรื่องที่เกิดขึ้นจนไม่มีสมาธิทำอะไร
“ข้าวของประดานี้ ล้วนแต่มีค่าหายากทั้งสิ้น เสด็จท่านได้มาจากเมืองจีนบ้าง โปรตุเกสบ้าง จะหยิบจะจับกระไร ก็ระมัดระวังกันไว้ให้ดี ประเดี๋ยวจะหาว่าฉันไม่เตือน... แม่จำเรียง แม่จำเรียง”
จำเรียงเพิ่งรู้สึกตัว
“เจ้าคะ แม่หญิงบัวเผื่อน”
“เป็นกระไร จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว”
จำเรียงหน้าจ๋อยไป
“ไม่มีกระไรเจ้าค่ะ”
“ไม่มีกระไรก็ดี เอาเครื่องแก้วที่เช็ดถูแล้ว ไปวางตรงชั้นด้านโน้นซี”
“เจ้าค่ะ”
จำเรียงเดินไปหยิบเครื่องแก้ว พอจำเรียงเดินถือเครื่องแก้วมา บัวเผื่อนก็แกล้งมองไปทางอื่น แล้วเดินชนจำเรียงจนเครื่องแก้วหล่นแตกกระจายทันที จำเรียงตกใจหน้าซีดเผือด ทำอะไรไม่ถูก บัวเผื่อนแกล้งทำเป็นโกรธ เสียงโวยลั่นเสียงดัง
“ตายแล้ว คุณพระคุณเจ้าช่วย นี่หล่อนทำกระไรของหล่อนแม่จำเรียง รู้หรือไม่ว่าเครื่องแก้วพวกนี้มีราคาค่างวดเพียงใด” จำเรียงรีบคุกเข่าลง ตัวสั่นงันงกด้วยความหวาดกลัว บัวเผื่อนแอบสะแหยะยิ้มร้าย

ในเวลาต่อมา บัวเผื่อนผลักจำเรียงออกจากประตูวังพร้อมห่อผ้าใส่ข้าวของและเสื้อผ้าส่วนตัว โดยมีนางข้าหลวง 3-4 คนยืนเป็นลูกคู่อยู่ด้วย จำเรียงร้อนใจสุดๆ เข้าไปกอดแขนบัวเผื่อนเพื่ออ้อนวอน
“แม่หญิงบัวเผื่อน เมตตาด้วยเถิดเจ้าค่ะ อย่าขับจำเรียงออกจากตำหนักเลย จำเรียงสำนึกผิดแล้ว เมตตาด้วยเจ้าค่ะ”
บัวเผื่อนดึงมือจำเรียงแล้วผลักออกแล้วบอกว่า
“เพียงแค่ขับออกจากตำหนักยังไม่เมตตาพออีกรึ”
เมื่อบัวเผื่อนจะเดินกลับ จำเรียงรีบเข้าไปกอดขาบัวเผื่อนไว้ทันทีแล้วร้องไห้
“จำเรียงผิดไปแล้ว อภัยด้วยเถิดเจ้าค่ะ จำเรียงเป็นหนี้เป็นสินโขอยู่ หากถูกขับออกจากตำหนัก แล้วจะเอาเบี้ยเอาอัฐที่ใดใช้หนี้เล่าเจ้าคะ เมตตาจำเรียงด้วยเถิดเจ้าค่ะ”
“หล่อนจะมีหนี้เท่าใด ก็หาใช่กงการกระไรของฉันไม่ ปล่อยฉันได้แล้ว”
จำเรียงร้องไห้สะอึกสะอื้น แต่ไม่ยอมปล่อยจนบัวเผื่อนต้องหันไปสั่งข้าหลวงคนอื่น
“ยืนเฉยทำกระไร เอาออกไปซี”
พวกนางข้าหลวง ช่วยกันดึงตัวจำเรียงออกมา
“ แม่หญิง แม่หญิงบัวเผื่อน แม่หญิงเจ้าคะ”
บัวเผื่อนกับพวกนางข้าหลวงเดินเข้าวังไป ทิ้งให้จำเรียงนั่งร้องไห้อยู่คนเดียว จำเรียงจะเข้าไปเก็บห่อผ้าของตน แต่มีมือข้างหนึ่งหยิบห่อผ้าขึ้นมาให้
เรไรเป็นคนช่วยเก็บห่อผ้าให้จำเรียง
“แม่หญิงเรไร” จำเรียงเรียกเสียงสะอึกสะอื้น
เรไรถอนหายใจออกและมองจำเรียงด้วยความสงสาร พร้อมกับคิดว่าจะหาทางช่วยยังไง

เย็นวันนั้น สินกำลังตีเหล็กอยู่ แต่สายตาจ้องเขม็งไปที่เอื้อยแตงซึ่งกำลังคุยอยู่กับเสมาที่หน้าร้าน ในขณะที่สมบุญกำลังขนเหล็ก ทำงานเล็กๆน้อยๆอยู่ใกล้ๆ เอื้อยแตงถอนใจแล้วว่า
“แต่เกิดมา ฉันมิเคยเห็นหัวหมื่นหัวพันใด ยากจนอย่างพี่มาก่อน แล้วหนี้สินออกโขปานนี้ พี่จะเอาที่ใดไปชดใช้ ไม่ตีเหล็กจนตายคาทั่งรึ”
“เรื่องดาบข้ายังพอสู้ แต่เรื่องปาก ข้ารับว่าสู้เอ็งไม่ได้”
เอื้อยแตงกระหยิ่มยิ้มย่อง
เสมาแบมือออก
“เอาค่ามีดมาเถิด ข้าจะได้กลับเรือนเสียที”
“ทนฟังเรื่องจริงไม่ได้รึ” เอื้อยแตงยิ้มขำพลางหยิบถุงใส่เงินส่งให้เสมา
“แล้วฉันจะหาเหล็กมาให้ตีอีก เผื่อชาตินี้พี่จะได้หมดหนี้”
เสมายิ้มขอบใจให้เอื้อยแตงที่อมยิ้มปลื้มใจที่ได้ช่วยชายที่ตนหมายปองก่อนจะเดินอารมณ์ดีกลับไป สินรีบลุกมาหาสมบุญอย่างกระตือรือร้นทันที
“อ้ายบุญๆ แม่หญิงที่เพิ่งกลับไป ชื่อกระไรวะ”
“เอื้อยแตงอยู่บ้านสัมพนี แม่เอื้อยแตงเอาเหล็กมาให้พี่เสมาตีแล้วขายเอาเบี้ยแบ่งกัน”
“แม่เอื้อยแตง งามทั้งชื่อทั้งคน” สินยิ้มเคลิ้มเล่นเอาสมบุญตกใจ
“เอ็งถูกใจแม่เอื้อยแตงรึ”
สินมองสมบุญตาเขียวปั้ดด้วยความหึงหวง
“รึเอ็งก็ชอบแม่เอื้อยแตงด้วย เช่นข้า”
“ชอบกระไรได้ แม่เอื้อยแตงงามก็จริง แต่ปากร้ายนัก ฉันชอบไม่ลงดอก” สมบุญบอก
สินตบเข่าฉาดถูกใจเพราะไม่ต้องมีคู่แข่ง
“เช่นนี้สิวะดี ถูกใจข้า” สินหัวเราะชอบใจ
สมบุญมองสินอย่างงงๆ ยิ่งเห็นอาการกระเหี้ยนกระหือรือก็ยิ่งไม่เข้าใจ
เสมา กำลังเก็บของเตรียมจะกลับบ้าน ขณะนั้นเอง พิณก็เดินเข้ามาหาเสมา
“หมื่นศึก”
เสมาเห็นพิณมาหาก็รู้สึกแปลกใจ

เวลาต่อมา เสมากำลังเดินคุยกับเรไรที่มีสีหน้าเคร่งเครียดอยู่ที่บริเวณชายคลอง
“ฉันเห็นจำเรียงแล้ว ก็ให้เวทนานัก แต่ครั้นจะให้เงินไปใช้หนี้ ก็เกรงเสมาจะเคือง จึงต้องมาถามก่อน”
“แม่หญิงทำถูกแล้ว อ้ายเสมาไม่กล้ารับเงินของแม่หญิงดอก หนี้สินของข้าพระเจ้า ข้าพระเจ้าก็ควรจะชดใช้เอง”
“แต่หนี้สินมากโขนัก เมื่อใดเสมาจักใช้หมดเล่า ยิ่งจำเรียงโดนขับออกจากตำหนักแล้ว ฉันยิ่งมองไม่เห็นทาง”
“แม้นจะลำบากเพียงใด เสมาก็ต้องชดใช้ให้จงได้ แต่เรื่องยืมเงินแม่หญิงนั้น เสมาขอเถิด อ้ายเสมาเป็นชาย หากต้องหยิบยืมเงินของหญิงที่หมายปอง มาชดใช้หนี้ของตนแล้ว ศักดิ์ของชายจะมีค่าอันใด”
เรไรเบือนหน้าไปทางอื่นแก้เขิน
“หากคิดเช่นนั้นก็ตามใจเถิด แต่ถ้าเสมาจวนตัว ก็ขอให้คิดถึงฉันไว้คนแรก”
เสมามองเรไรด้วยสายตากรุ้มกริ่มแล้วจับชายสไบของเรไร
“แม้นไม่จวนตัว ข้าพระเจ้าก็คิดถึงแม่หญิงนัก แท้ที่จริง เสมาเป็นลูกหนี้แม่หญิงนานแล้ว นับแต่วันที่เชิญขอนให้แม่นั่ง อ้ายเสมาก็เป็นหนี้รักแม่หญิง ไม่มีวันไถ่ถอนได้” เสมาจูบชายสไบของเรไร
เรไรเขินอายด้วยความรักนวลสงวนตัวจนต้องเบือนหน้าหลบไปทางอื่น เสมายังคงยึดครองชายสไบไว้หอมแนบแก้มดมกลิ่นกายเรไรด้วยความรักใคร่ใหลหลง

อ่านต่อหน้า ๔ 

เกร็ดความรู้เกี่ยวกับขุนศึก

๒๑. บรรดาศักดิ์ คือระดับชั้น หรือยศของขุนนางไทยในสมัยโบราณ มี ๙ ระดับ คือ นาย พัน หมื่น ขุน หลวง พระ พระยา เจ้าพระยา และ สมเด็จเจ้าพระยา

๒๒. ทาส หมายถึง บุคคลที่ถูกนับสิทธิ์เสมือนสิ่งของของผู้อื่น ไม่มีอิสระในการดำรงชีวิต และไม่ได้รับค่าตอบแทนจากเจ้าของ และหากไม่เชื่อฟังคำสั่ง อาจถูกลงโทษได้ตามแต่เจ้าของจะกำหนด ยกเว้นเป็นการกระทำที่ทำให้ถึงแก่ความตาย
....................................................................................................





ขุนศึก ตอนที่ ๓ (ต่อ)

เวลาต่อมา เอื้อยแตงกำลังใช้กระด้งร่อนเศษกรวดเศษทรายออกจากเมล็ดถั่วอยู่ที่หน้าเรือนของตน สินเดินมาหาเอื้อยแตงยืนอยู่คนเดียวก็ยิ้มกรุ้มกริ่ม สินพนมมือ หลับตาร่ายเวทมนตร์ให้สาวรักสาวหลง เสร็จแล้วก็หยิบตลับสีผึ้งขึ้นมาทาปาก เพื่อให้พูดอะไรหญิงก็ชอบไปหมด เอื้อยแตงเหลือบตามาเห็นสินพอดี สินถึงกับสะดุ้ง มองตลับสีผึ้งในมือ
 
“ศักดิ์สิทธิแท้ ไม่ทันไร แม่เอื้อยแตงก็ชม้ายตามามอง”
เอื้อยแตงกวาดตามาเหมือนมองหาอะไรบางอย่าง สินใช้มือปาดผม ทำตัวให้หล่อที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนจะเดินเข้าไปหาเอื้อยแตง สินยิ้มกรุ้มกริ่ม
“แม่เอื้อยแตงใช่หรือไม่จ๊ะ”
“ใช่”
“ฉันชื่อสิน ศิษย์ผู้น้องของพี่เสมา”
“อ๋อ ออสินนี่เอง เคยได้ยินอ้ายสมบุญพูดถึงอยู่...มาก็ดีแล้ว ฉันมีเรื่องไหว้วานสักหน่อย ออสินทำให้ฉันได้หรือไม่”
สินตบอกเสียงดัง ฮึกเหิมเต็มที่
“ได้ซีแม่เอื้อยแตง ต่อให้บุกน้ำลุยไฟ ฉันก็จะทำให้ แม่เอื้อยแตงสั่งมาเถิด”
เอื้อยแตงสีหน้าเศร้าแล้วบอก
“วันนี้อ้ายดำยังไม่มาให้ฉันเห็นหน้าเลย ฉันคิดถึงมันนัก ออสินช่วยไปตามให้ได้หรือไม่”
“อ้ายดำ มันเป็นใครรึ ถึงกับทำให้แม่เอื้อยแตงคร่ำครวญที่ไม่ได้เห็นหน้ามันได้” สินพูดอย่างโมโหหวง
“อ้ายดำ ก็ควายที่ฉันเลี้ยงไว้ท้ายเรือนนั้นไงเล่า พ่อฉันปล่อยมันออกไปกินหญ้า จนป่านนี้ยังไม่กลับ ฉันห่วงมันนัก”
“แม่จะให้ฉันไปช่วยตามควายรึ”
สินถามขึ้นอย่างไม่ค่อยแน่ใจ เอื้อยแตงตวาดแว๊ด
“เมื่อครู่บอกว่าบุกน้ำลุยไฟก็จะไปไงเล่าไม่ทันไรก็ปดเสียแล้ว”
“เปล่าจ้ะ ฉันจะไปตามให้ประเดี๋ยวนี้เลยจ้ะ”
“ถ้ากระนั้นก็รีบด้วย จวนได้เพลากินข้าวกินปลาแล้ว หากฉันไม่เห็นหน้าอ้ายดำ ฉันกินข้าวไม่ใคร่ลง” เอื้อยแตงพูดเสียงห้วน แล้วเอื้อยแตงเชิ่ดหน้ากลับเข้าข้างในไป
สินนึกเจ็บใจ หยิบสีผึ้งขึ้นมาดูแล้วด่าใส่
“ทาแล้วสาวรักสาวหลง พูดเพียงคำแรกก็โดนไล่ไปตามควายแล้ว”
สินปาสีผึ้งลงพื้นแล้วเหยียบซ้ำ

เวลาผ่านไปราวสองเดือน เหล่ามหาดเล็กวิ่งถือคบเพลิงกันมายังท้องพระโรงเมืองอยุธยาในเวลากลางคืน แสงไฟจากคบเพลิงสว่างไสวเต็มไปทั่วบริเวณเพื่อรอรับการเสด็จของสมเด็จพระนเรศวร เพียงชั่วครู่ มหาดเล็กผู้หนึ่งก็พูดเสียงดังขึ้น
“สมเด็จเจ้าฟ้าวังหน้า เสด็จแล้ว”
สมเด็จพระนเรศวร สมเด็จพระเอกาทศรถ พระมหาธรรมราชาเสด็จมายัง ตรงกลางท้องพระโรง มีแบบจำลองชัยภูมิ สถานที่ เพื่อแสดงการตั้งทัพของข้าศึก ทุกพระองค์กำลังทรงประชุมเครียด หลังจากได้ข่าวศึก
สมเด็จพระเอกาทศรถตรัสว่า
“หงสาจัดทัพเป็นทัพกษัตริย์ถึงสามทัพ มีไพร่พลมากมายนัก เหลือกำลังที่หัวเมืองฝ่ายเหนือจักต้านทานได้ ชอบที่จักถอยทัพหัวเมืองฝ่ายเหนือทั้งปวงมาที่อโยธยาเพื่อรับศึกพระพุทธเจ้าข้า”
“ชอบแล้ว หากดูกระบวนทัพของพระเจ้าหงสาคงต้องยกเข้าตีอโยธยาเป็นสามทางไม่เกินเดือนยี่ต้องถึงอโยธยาเป็นแน่” พระมหาธรรมราชาตรัสดังนี้
สมเด็จพระนเรศวรตรัสว่า
“ลูกก็คิดดังนั้น แต่ห่วงด้วยเพลานี้ข้าวกำลังออกรวง หากถอยทัพหัวเมืองฝ่ายเหนือลงมา ข้าศึกก็จักเกี่ยวข้าวไปเป็นเสบียงย้อนกลับเป็นภัยต่ออโยธยาได้”
พระมหาธรรมราชาตรัสว่า
“เช่นนั้น จงแต่งพลออกป้องกันอาณาประชาราษฎร์ เพื่อให้รีบเก็บเกี่ยวข้าวขนเข้ากรุงให้สิ้น หากเอามาไม่ทัน ก็ให้เผาทำลายเสีย อย่าทิ้งให้เป็นกำลังแก่ข้าศึก ศึกนี้ใหญ่หลวงนัก แต่อโยธยาจะแพ้ไม่ได้เป็นอันขาด”

เช้าวันหนึ่ง เสมาเดินถือดาบคู่แสนศึกพ่ายพร้อมกับห่อผ้าออกมาจากบนบ้าน โดยมีมั่น บุญเรือน นั่งรออยู่ที่ชานบ้านอยู่ก่อนแล้ว ในขณะที่จำเรียงนั่งหน้าตาบึ้งตึงอยู่ห่างออกไป
“ฉันต้องไปราชการหลายวันทั้งสอดแนมข้าศึกแลคุ้มกันชาวบ้านออกเกี่ยวข้าว หากพ่อแม่มีเหตุใดจงบอกอ้ายสมบุญมันเถิด ฉันฝากฝังมันไว้แล้ว”
“อ็งไม่ต้องห่วงดอก ตั้งใจทำราชการไปเถิด พ่อแม่คงหามีเหตุใดไม่” มั่นบอก
เสมายิ้มรับ หันไปเรียก “จำเรียง”
จำเรียงเหล่มองเสมาด้วยสายตาแข็งกร้าว ก่อนจะสะบัดหน้าเดินปึงปังเข้าข้างในบ้านทันที เสมาถึงกับหน้าเสียที่จำเรียงยังไม่หายโกรธ บุญเรือนนึกสงสารลูกสาวบอกเสมาว่า
“อย่าไปถือโทษโกรธน้องมันเลยเสมา จำเรียงมันไม่เคยลำบากถึงเพียงนี้ ก็เลยพาลมาลงที่เอ็งว่าเป็นต้นเหตุ”
เสมาได้แต่ถอนหายใจเฮือก
“ป่านฉะนี้แล้ว เมื่อใดจำเรียงจะเชื่อเสียทีว่าอ้ายขันไม่ได้รักมันจริง ถึงไม่ผิดใจกับฉัน อ้ายขันก็ไม่มีวันเลือกจำเรียงมันดอก”

เอื้อยแตงลงจากเรือนเพื่อจะไปขายดาบในยามเช้า แต่พอลงจากเรือนมาก็เห็นสินและสมบุญ นั่งรออยู่ที่หน้าเรือนอยู่แล้ว เอื้อยแตงแปลกใจจึงถามขึ้น
“มีกระไรรึ มาพร้อมหน้าแต่เช้าเชียว... เอ๊ะหรือว่าเกิดกระไรกับพี่เสมา”
“เปล่าดอกจ้ะ เพียงแต่พวกฉันจะไปศึกก็เลยจะมาลาแม่เอื้อยแตง อยากได้ขวัญแลกำลังใจจากปากแม่เอื้อยนัก” สินพูดพลางยิ้มกรุ้มกริ่ม สายตากระลิ้มกระเหลี่ย สมบุญเห็นท่าทีของสินก็แอบอมยิ้มขันๆ
เอื้อยแตงรู้ทันสิน เลยคิดอยากแกล้ง
“รอสักประเดี๋ยวนะ”
เอื้อยแตงกลับเข้าไปในเรือน สินกระดี๊กระด๊าดีใจ
“คงจะเป็นแหวนสวมก้อยเทียมพี่เสมาเป็นแน่อ้ายสมบุญ”
“ไม่ฝันหวานไปหน่อยรึ” สมบุญพูดอย่างรู้จักนิสัยเอื้อยแตงดี
เอื้อยแตงเดินออกมาพร้อมดอกบัวและธูปเทียนและยื่นให้สิน
“เอ้า เอาไปซี”
สินอึ้งไปเล็กน้อยแต่ก็รับมาด้วยความดีใจ
“แม่เอื้อยแตงให้ฉันเป็นขวัญในการทำศึกรึ ฉันจะรักษาไว้อย่างดีเลยจ้ะ”
เอื้อยแตงยิ้มเล็กน้อยแล้วบอก
“คุกเข่า”
สินรีบคุกเข่าทันที
“พนมมือ”
สินพนมมือพร้อมดอกไม้ธูปเทียน
“ว่าตามฉัน ขออาราธนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ” เอื้อยแตงว่านำ
“ขออาราธนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ” สินว่าตาม
“จงปกปักรักษาข้าพระเจ้า จากภัยอันตรายทั้งปวง”
“จงปกปักรักษาข้าพระเจ้า จากภัยอันตรายทั้งปวง”
สมบุญพยายามกลั้นหัวเราะเต็มที่ แต่ทนไม่ไหวปล่อยก๊ากออกมาจนได้ สินหันไปดุสมบุญ
“อ็งหัวเราะหากระไรวะ แม่เอื้อยแตงกำลังให้พรข้าชำนะศึกไม่เห็นรึ”
“แม่เอื้อยแตงเป็นแม่เอ็งรึอ้ายสิน เอ็งถึงต้องคุกเข่าเบื้องหน้าพร้อมดอกไม้ธูปเทียนเช่นนี้”
สินค่อยตามแล้วมองดูตัวเองคุกเข่าไหว้เอื้อยแตงอยู่ เอื้อยแตงหัวเราะออกมาอีกคน สินเพิ่งรู้ตัวว่าถูกหลอกจึงรีบลุกขึ้นทันที
“หลอกกันได้แม่เอื้อยแตงเสียแรงเชื่อใจ”
“ก็อยากได้พรเองมิใช่รึ” เอื้อยแตงพูดขำๆอย่างชอบใจ
เอื้อยแตงเดินเชิ่ดจากไป สมบุญยังหัวเราะคิกๆคักๆ สินเหล่สมบุญตาเขียวปั้ด สมบุญถึงกับหน้าเจื่อนไป รีบเบือนหน้าไปทางอื่นทันที สินได้แต่มองตามเอื้อยแตงและรู้สึกว่าน่ารักไม่เหมือนใคร

พุฒกำลังยืนคอยบัวเผื่อนอยู่ริมทางเปลี่ยวซึ่งไม่มีผู้คนผ่านไปมา ชั่วอึดใจบัวเผื่อนก็เดินเข้ามาหาพุฒที่ยิ้มกรุ้มกริ่มอยู่
“ฉันกำลังร้อนใจนักหนา เกรงว่าแม่หญิงบัวเผื่อนจะไม่มาเสียแล้ว”
บัวเผื่อนทิ้งค้อนแล้วกล่าวว่า
“หากฉันไม่มาจะดีใจเสียมากกว่ากระมัง จักได้ไปหาหญิงอื่นให้สำราญใจไม่ต้องพะวงถึงฉัน”
“แม่เอากระไรมาพูด ฉันมีดอกบัวงามในมือแล้ว จักต้องการดอกไม้อื่นไปไย” พุฒออดอ้อน
“มิต้องการดอกไม้ แล้วพระจันทร์วันเพ็งเล่า พันจบอย่าดูเบาปัญญาฉันนักเลย นึกว่าฉันไม่รู้รึว่าพ่อหมายแม่ดวงแขอยู่”
พุฒถึงกับหน้าเสียแล้วแกล้งทำเป็นตกใจ
“พิโธ่พิถัง แม่หญิงดวงแขเป็นน้องสาวพันฤทธิ์ ก็เสมอน้องสาวฉันเอง จะคิดเช่นนั้นได้กระไร”
พุฒจับมือบัวเผื่อนไว้แล้วยิ้มกรุ้มกริ่ม
“หญิงเดียวที่ฉันจักทูนไว้เหนือหัว ก็มีแต่แม่บัวเผื่อนเท่านั้น”
บัวเผื่อนเขินอายแต่ก็ไม่เอามือออก
“คำชาย จะเชื่อได้เช่นไรกัน”
“เชื่อเถิด แม่บัวเผื่อนที่แสนรักแห่งข้าพระเจ้า หญิงใดจะร่วมใจเสมอแม่เป็นไม่มี ฉันเจ็บแค้นอ้ายเสมา แม่ก็หาทางขับน้องสาวมันจากตำหนักเสีย แม่แสนดีถึงเพียงนี้ แล้วฉันจะมีหญิงอื่นได้กระไร”
พุฒดึงตัวบัวเผื่อนเข้ามากอด บัวเผื่อนเขินอายสุดๆ พยายามจะผลักออกแต่พุฒยิ่งกอดแน่
“อย่าพันจบ สถานที่นี้เป็นแพร่งหนทาง มันไม่งาม”
“ฉันไม่ลวนลามแม่หญิงเกินกว่าสมควรดอก ขอแต่เพียงแม่หญิงจงตอบแต่สักคำหนึ่ง ว่ารักฉัน”
“เพลาอื่นเถิดพันจบ”
“ชั่วคำเดียวจะตอบเท่านั้นแม่หญิง แม้เมตตาแล้วก็คงจะมิยากลำบาก ถึงต้องผลัดไปเพลาอื่นเลย”
พุฒกอดบัวเผื่อนแน่นเข้าแล้วจะหอมแก้ม แต่บัวเผื่อนก็เขินอายพยายามจะหลบ แต่ทันใดนั้น พุฒก็ตกใจสุดๆรีบผละออกจากบัวเผื่อนทันที
บัวเผื่อนตกใจหันไปมองตามพุฒ แล้วก็ต้องตกใจยิ่งกว่า เมื่อเห็นเสมายืนมองอยู่ห่างออกไปด้วยสายตำหนิติเตียนแล้วเดินจากไปโดยไม่พูดอะไร ทั้งคู่หน้าซีดเผือด โดยเฉพาะบัวเผื่อนที่กลัวสุดๆที่เสมามาเห็นเข้าแบบนี้

ผ่านเวลาซักครู่ ภายในบ้านของขัน พุฒและบัวเผื่อนกำลังคุยกับขันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“หากหมื่นศึกเอาเรื่องนี้ไปป่าวร้อง มิเพียงแต่ฉันจะไม่มีหน้าสู้ผู้คน แม้แต่ตำแหน่งข้าหลวงฝ่ายใน ก็คงถูกถอดแล้วขับพ้นจากตำหนักเป็นแน่”
“กฎของฝ่ายในนั้นแรงนัก ฉันเองก็คงไม่พ้นผิดไปได้ พันฤทธิ์เพื่อนจงเมตตา หาทางช่วยฉันสักครั้งเถิด”
“แพร่งทางที่พันจบกับแม่บัวเผื่อนนัดเจอกัน หาใช่ทางที่คนจะผ่านไปมาไม่ แล้วเหตุใดอ้ายเสมาจึงไปทางนั้นพอดีเล่า”
“จะกระไรเสียอีก ก็ไปเรือนขุนรามเดชะน่ะซี แพร่งทางนั้นเป็นทางลัดไปสู่เรือนขุนรามได้ แต่หนทางมันรกเรื้อกันดารนัก จึงไม่มีใครใคร่ใช้”
ขันโมโหหึงกำหมัดทุบต้นไม้ด้วยความเจ็บใจทันที
“ท่านอากับท่านอาหญิงไปงานบุญกับแม่ฉัน แล้วอ้ายเสมาจะไปที่เรือนทำกระไร เช่นนี้เป็นว่า คงนัดเจอกับแม่หญิงเรไรเป็นแน่”
พุฒฉุกคิดขึ้น
“อ้ายเสมาไปหาแม่หญิงเรไรรึ เช่นนั้นเราก็มีทางรอดแล้ว”
บัวเผื่อนและขัน มองหน้าพุฒแปลกใจ ไม่เข้าใจว่าเสมาไปหาเรไรแล้วเกี่ยวอะไรกัน

เวลาต่อมา เรไรกำลังเก็บดอกจำปีต้นเดิมอยู่ที่หน้าบ้าน โดยเอาดอกจำปีที่เด็ดได้ใส่ไว้ในขัน
ดอกจำปีดอกหนึ่งอยู่สูง เรไรเขย่งเท้าขึ้นไปจะเก็บ แต่ก็ไม่ถึง ขณะนั้นเองก็มีมือข้างหนึ่งเอื้อมมาเด็ดดอกจำปีให้เรไร เรไรหันไปมองตามเห็นเสมาเป็นคนเก็บดอกจำปีให้ เสมายืนอยู่ข้างหลังเรไร ห่างกันเล็กน้อยจนร่างกายแทบจะเบียดชิดกัน เสมายิ้มกรุ้มกริ่ม
“หากได้เด็ดดอกจำปีให้แม่หญิงเช่นนี้ทุกวัน คงเป็นบุญของเสมานัก”
เรไรเขินอายแต่แกล้งทำเสียงดุ
“พ่อท่านไม่อยู่ หมื่นศึกมาทำไมรึ”
“ข้าพระเจ้าจะมาอำลาพระคุณแลแม่หญิง ไปลาดศึก ณ ทุ่งชายเคือง”
เรไรหน้าขรึมลงด้วยความเป็นห่วง
“เช่นนั้น ก็ขอหมื่นศึกจงจำเริญด้วยราชการเถิด ฉันนี้จะขอปีติด้วย แลจะคอยฟังข่าวกลับของท่าน”
“อย่ากล่าวเช่นนั้นเลยแม่หญิง ขอแม่หญิงจงเรียกชื่อเสมาเสมือนก่อน เสมาไปศึกครานี้ มิว่าเจอศัตรูใด ก็จักขออ้างแม่หญิงเป็นเครื่องรำลึกแล้วตีเสียให้พ่าย เพื่อขอตำแหน่งขุนมากำนัลแม่ มาล้างอับอายที่เค้าเคยหยามกันว่าเสียดายศักดิ์แม่หญิง ซึ่งจะมาเกลือกใกล้แก่ช่างตีดาบ”
เรไรเอียงอายที่เสมาให้ความสำคัญกับตนเสมอต้นเสมอปลาย เสมาแอบจับปลายผมหอมของเรไรมาดอมดม

หมายเหตุ พระจันทร์วันเพ็ง - สมัยก่อนเรียกพระจันทร์เต็มดวงว่า “เพ็ง” เพิ่งเปลี่ยนว่า “เพ็ญ” เมื่อไม่กี่สิบปีนี่เอง

 
จบตอนที่ ๓ 

อ่านต่อตอนที่ ๔ พรุ่งนี้

เกร็ดความรู้เกี่ยวกับขุนศึก

๒๓. วังหน้า เป็นชื่อที่ใช้เรียกพระมหาอุปราช หรือผู้ที่จะขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ในอนาคต
โดยมีขึ้นครั้งแรกในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ สาเหตุที่เรียกว่าวังหน้า เพราะสมเด็จ
พระนเรศวร ครั้งยังเป็นพระมหาอุปราช ได้สร้างพระราชวังขึ้นที่หน้าวังหลวง ประชาชนจึง
เรียกติดปากว่า “วังหน้า” ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

๒๔. อาณาจักรอยุธยา มีราชวงศ์ทั้งหมด 5 ราชวงศ์คือ ราชวงศ์อู่ทอง ราชวงศ์สุพรรณภูมิ ราชวงศ์สุโขทัย ราชวงศ์ปราสาททอง และ ราชวงศ์บ้านพลูหลวง มีพระมหากษัตริย์ทั้งสิ้น 34 พระองค์




กำลังโหลดความคิดเห็น