ขุนศึก ตอนที่ ๕
เสมา สิน สมบุญ กับทหารไทยอีกจำนวนหนึ่ง กำลังสู้รบทหารพม่าอย่างดุเดือดเพื่อทำลายเสบียงอาหารของพม่า สินตะโกนลั่น
“เผาเสบียงมัน อย่าให้อ้ายข้าศึกเอาไปใช้ได้”
ทหารบางคนลอบเข้ามาที่เกวียนของพม่าแล้วจุดชุดไฟเผาเสบียงบนเกวียน เพียงไม่นานเปลวไฟก็ลุกท่วมเสบียงบนเกวียนทุกเล่มไปหมด เสมาควงดาบสองมือคู่ใจ บุกตะลุยทหารพม่า ๔-๕ คนพร้อมกันอย่างบ้าคลั่ง ระบายอารมณ์ที่ตนโดนแม่เรไรดูถูก จนพวกทหารพม่ากระเจิดกระเจิงไปหมด
สิน สมบุญ มองเสมาแล้วหันมามองหน้ากัน
“ข้าว่าอ้ายข้าศึกมันโชคร้ายนัก ที่มาปะพี่เสมาเพลานี้” สินว่า
“พี่เสมาคงเจ็บใจ ที่ถูกแม่นายลำภูหยามหมิ่นถึงเพียงนี้ แต่จะทำกระไรได้เล่า เมื่อท่านขุนกับแม่นาย เห็นศักดิ์ตระกูลแลความมั่งมีเหนือกว่าน้ำใจแลความมานะของพี่เสมาเสียแล้ว”
ทั้งคู่หันไปมองเสมาที่ฟาดฟันทหารพม่าจนหนีตายกันอย่างอลหม่าน
สมเด็จพระนเรศวรได้ทรงวางแผน แต่งทัพออกรบกวน ตีเสบียงกองทัพหงสาวดีอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้งทัพหงสาวดีได้ ในที่สุด กองทัพหงสาวดีก็ได้ยกเข้าล้อมกรุงศรีอยุธยา โดยตั้งค่ายใหญ่ ๓ ค่าย ที่บางปะหันบ้านกุ่มดอง และ ทุ่งสีกุก รวมทั้งค่ายเล็กๆอีกนับสิบค่าย เพื่อเข้าโจมตีกรุงศรีอยุธยาพร้อมกัน
สมเด็จพระนเรศวร กับ สมเด็จพระเอกาทศรถกำลังดูแผนที่บนโต๊ะ แล้ววางแผนรับมือด้วยสีหน้าเคร่งเครียดในเพลาเย็นในค่ายกระโจม
พระเอกาทศรถตรัสด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“พระเจ้านันทบุเรง ใช้กลยุทธเช่นเดียวกับพระเจ้าบุเรงนองซึ่งได้ชัยเหนืออโยธยาทั้งสองครา แต่ครานี้ เรามีเสบียงอาหารบริบูรณ์ ถึงตั้งรับในพระนครนานถึงขวบปี ก็หาเป็นกระไรไม่”
“ตั้งรับ หาใช่ยุทธวิธีที่ดีที่สุดไม่ พี่เห็นควรให้แต่งทัพออกปล้นค่ายที่รายล้อมพระนครอยู่ เมื่อใดที่ค่ายเล็กระส่ำระสาย เราก็ฉวยบุกตีค่ายใหญ่อย่าให้ทัพหงสาทำศึกโดยสะดวก” สมเด็จพระนเรศวรตรัส
“แต่ไพร่พลเราเรามีน้อยกว่าข้าศึกนัก จะใช้พลน้อยเข้าตีค่ายที่มีพลมากกว่า จักไม่ขัดกับหลักพิชัยสงครามหรือพระพุทธเจ้าข้า” สมเด็จพระเอกาทศรถตรัสถามขึ้น
“ไม่ดอก เพราะถึงพลน้อย แต่หากมีจิตใจฮึกเหิม คนหนึ่งอาจสู้ได้ถึงสิบ พี่จักนำทัพออกปล้นค่ายด้วยตัวพี่เอง หากไพร่พลเห็นเจ้าฟ้ามหากษัตริย์ออกรบตะลุมบอนด้วยข้าศึก ขวัญทหารย่อมเข้มแข็งเป็นแน่”
“มิได้พระพุทธเจ้าข้า การบุกตีค่ายยังอันตรายกว่าการรบกลางแปลงมากนัก สมเด็จพี่เป็นพระมหาอุปราชแห่งอโยธยาจักเสี่ยงภัยเช่นนี้ได้อย่างไรกัน”
“หากอโยธยาต้องสิ้น แม้ศีรษะบนบ่าก็ยังยากจะรักษาไว้ แล้วตำแหน่งพระมหาอุปราชจะมีความหมายกระไร เชื่อพี่เถิด แม้เสี่ยงภัยเพียงใดพี่ก็จักต้องทำ”
สายพระเนตรของสมเด็จพระนเรศวรเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น เอาจริง
สมเด็จพระนเรศวรทรงรบอย่างทระนงองอาจ ถึงขนาดทรงพระแสงดาบคาบค่าย ปีนเข้าตีค่ายหงสาวดีเหมือนทหารธรรมดาคนหนึ่ง เลือดนักรบของพระองค์สร้างความฮึกเหิมไม่กลัวตายให้กับทหารกรุงศรีอยุธยาจนสามารถตีค่ายของหงสาวดีแตกทั้งๆที่มีกำลังพลน้อยกว่า แถมยังไล่ตีไปจนถึงค่ายหลวงของพระเจ้านันทบุเรง ทำให้ข้าศึกครั่นคร้ามแก่พระบรมเดชานุภาพ นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
พระเจ้านันทบุเรงพิโรธหนัก โดยมีลักไวทำมู และขุนนาง นายทหารคนสำคัญร่วมประชุมกันพร้อมหน้า
“ทัพของเราเป็นทัพกษัตริย์ถึงสามทัพ แลมีทัพหัวเมืองประเทศราชอื่นอีก ไพร่พลรวมถึงห้าแสนแทบจะเหยียบแผ่นดินอโยธยาล่มแล้ว แต่ทัพขององค์พระนเรศมีเพียงหยิบมือ เรากลับพ่ายแพ้ถึงเสียค่ายเช่นนี้ได้กระไร”
ขุนนางผู้หนึ่งพนมมือแล้วกราบทูลว่า
“องค์พระนเรศทำศึกอาจหาญนักรบเยี่ยงทหารธรรมดาโดยไม่เกรงภัย ทำให้ไพร่พลมีขวัญเข้มแข็งแม้นมีทหารน้อยก็เหมือนดั่งมีมาก หากเราจับตัวองค์พระนเรศมิได้ ศึกนี้คงยากจะได้ชัยพระพุทธเจ้าข้า”
“ข้าพระพุทธเจ้าขออาสาจับกุมองค์พระนเรศพระพุทธเจ้าข้า” ลักไวทำมูพนมมือขึ้นกราบทูล
พระเจ้านันทบุเรงยิ้มพอใจ
“ลักไวทำมู เจ้าเป็นทหารเอกอันหาได้ยากในแผ่นดิน แต่เพลงทวนของเจ้าก็พิชิตไปทั่วลุ่มน้ำอิรวดีแล้วเมื่อเจ้าอาสาเองข้าก็สิ้นกังวล มีแผนการใดจงบอกมาเถิด”
“ข้าพระพุทธเจ้า ขอคัดทหารที่มีฝีมือเป็นเอกให้ได้หนึ่งหมื่น แลจะยกไปรักษาค่ายที่ลุมพลี หากองค์พระนเรศออกมาตีค่ายเมื่อใด ข้าพระพุทธเจ้าจะแกล้งแพ้ แล้วล่อให้ตามมาถึงที่ซุ่มทหารไว้ เพื่อล้อมจับมาถวายพระองค์ให้ได้ พระพุทธเจ้าข้า”
พระเจ้านันทบุเรงฟังแผนการ แล้วก็ตบตักฉาดหัวเราะด้วยความพอใจ มั่นใจว่าคราวนี้สมเด็จ
พระนเรศวรเสร็จแน่ๆ
พระยาศรีไสยณรงค์และพระยาสีหราชเดโช ได้ยกกองทัพห้าพันเข้าสู่เมืองนครนายก เพื่อรอรับทัพเมืองละแวก ซึ่งกำลังจะบุกเข้าตีนครนายก หลังจากที่ได้ตีเมืองปราจีนแตกไปก่อนหน้านี้แล้ว
ภายในค่ายทหารพระยาศรีไสยณรงค์ พุฒกำลังทะเลาะกับพันอิน โดยมีขันยืนอยู่ใกล้ๆ
“กระไรกันพันอินทราช พูดเช่นนี้คิดจะหาเรื่องกันรึ” พุฒว่า
“บ๋าแล้วหัวหมู่พุฒ ฉันพูดด้วยดีๆกลับหาว่าหาเรื่อง ก็กลิ่นเหล้ายังติดตัวหัวหมู่คลุ้งถึงเพียงนี้ ฉันก็เตือนว่ากินเหล้าระหว่างศึก มันผิดอาญาทัพ แล้วหัวหมู่มาพาลโกรธฉันได้กระไร”
“ฉันไม่ได้กินเหล้า พันอินทราชเอากระไรมาพูด คิดว่ามีบรรดาศักดิ์เหนือกว่าแล้วจักข่มเหงกันได้รึ”
ขันหน้าบึ้งตึงแล้วว่า
“ท่านลุงพันอินคงจะเคืองที่ฉันกับพ่อพุฒผิดใจกับอ้ายเสมาลูกบุญธรรมของท่านลุงกระมัง จึงใส่ไคล้ปรักปรำกันเช่นนี้”
“หมิ่นกันเกินไปแล้วพ่อขัน ฉันแก่จนปูนนี้ มีรึจักใส่ไคล้คนรุ่นลูกรุ่นหลานได้ พูดถึงเพียงนี้ก็อย่านับถือกันอีกต่อไปเลย”
ขุนรามเดชะได้ยินเสียงทะเลาะก็เดินเข้ามา
“ใจเย็นก่อนเถิดพี่พันอิน หัวหมู่ทั้งสองยังรุ่นหนุ่ม จึงมิรู้ที่ถูกที่ควร ขอพี่พันอินจงอภัยให้หลานชายเถิด”
ขุนรามเดชะหันไปสั่ง
“พ่อขัน พ่อพุฒกราบขอขมาพี่พันอินเสียเถิด”
“ท่านอาจะให้ข้าพระเจ้า...” ขันว่า
“วิวาทกับผู้มีบรรดาศักดิ์สูงกว่าในยามศึก แล้วยังขัดคำสั่งฉันอีกรึ” ขุนรามเดชะรีบตัดบท
ขัน และพุฒหน้าเสียรู้ดีว่าโทษหนักเลยขบกรามแน่นไหว้ขอโทษพันอินด้วยความจำใจ
ในเวลาต่อมา พุฒทุบต้นไม้ระบายอารมณ์ด้วยความโกรธ
“เหตุใดเราต้องยกมือไหว้อ้ายแก่พันอินด้วย ออกขุนกระทำเกินไปเสียแล้ว”
“ท่านอาถือสาเรื่องบรรดาศักดิ์นัก ไม่ชอบให้ผู้ด้อยกว่าล่วงเกินผู้ที่สูงกว่า คราอ้ายเสมายังบังคับให้มันไหว้ขมาฉันเลย” ขันว่า
“เช่นนั้นก็แย่แล้ว”
“กระไรรึ”
“หากเมื่อหน้า อ้ายเสมามียศสูงกว่านี้อีกเล่า ออกขุนรามจะไม่ยกแม่หญิงเรไรให้มันรึ”
“เป็นไปไม่ได้ดอก แม้อ้ายเสมาจะมียศเพียงใด ก็เป็นแค่ทหารอาสาไร้มูลนายสังกัด ไม่ได้กินศักดินา ท่านอาจะยกแม่หญิงเรไรให้กระไรได้”
“ที่ไม่มีศักดินาก็เพราะท่านขุนรามชังมันจึงแกล้งไม่ให้สังกัดมูลนายดอก แต่หากอ้ายเสมามันรุ่งเรืองขึ้นก็มิแน่ว่าท่านขุนรามจะเปลี่ยนใจส่งเสริมมันไม่ใช่รึ”
ขันอึกอักทันที
“พ่อขันจำไม่ได้เทียวหรือ วันที่พ่อพ้นคุก พ่อเคยกล่าวล่วงเกินขุนรามเดชะแล้วจักแน่ใจได้อย่างไร ว่าออกขุนจะไม่ถือสา”
ขันหน้าเสียเริ่มระแวงเพราะคำยุยงของพุฒ
“เช่นนั้นควรจะทำประการใดดีเล่าพ่อพุฒ”
พุฒคิดอยู่ครู่นึงแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาเพราะคิดแผนในใจเรียบร้อย
ยามสายวันเดียวกัน ฝ่ายเสมากับทหารจำนวนหนึ่งกำลังขี่คอช้างอาบน้ำอยู่ ช้างเอางวงพ่นน้ำอย่าง ผ่อนคลาย ฝ่ายสินกำลังเพลินใจ นั่งคิดแต่งกลอนไปอยู่ใต้ต้นไม้ด้วยสีหน้ายิ้มน้อย ยิ้มใหญ่
“หวานเอยหวานใดเท่าหวานเจ้าแตง...”
สมบุญย่องมาแอบฟังหลังต้นไม้ สินคิดๆแล้วแต่งต่อ
“หวานร้อนแรงสุมไฟในอกพี่...”
สมบุญหัวเราะลั่น สินตกใจด้วยความอาย ลุกพรวดขึ้น
“อ้ายสมบุญ”
สมบุญถอยฉากหลบ
“เหวย อ้ายสิน นี่เอ็งแต่งกลอนไว้เกี้ยวแม่เอื้อยแตงรึ สำบัดสำนวนไม่ได้ความ ไปขอให้พี่เสมาแต่งให้เถอะ”
สินโมโหแล้วตบหน้าอกตัวเอง
“น้ำมะหน้าอย่างเอ็ง จะเข้าใจกระไรวะ ของเช่นนี้ต้องแต่งจากหัวใจโว๊ย ถึงจักมีค่า”
สมบุญหัวเราะ ขำกลอนเฉิ่มๆเชยๆของสิน หลังเสมาอาบน้ำให้ช้างเสร็จก็เดินเข้ามาหาสมบุญ
“อ้ายสมบุญ ท่านแม่ทัพมีคำสั่งประการใดบ้าง”
“ออกญาท่านสั่งมาว่า เสร็จจากป้องกันช้างม้ากินหญ้ากินน้ำเมื่อใดให้ทัพของเราไปคอยซุ่มที่ป่าด้านตะวันออก เพลาคืนนี้จะมีกองเสบียงข้าศึกผ่านมาให้เราปล้นตีชิงเสีย”
เสมาพยักหน้ารับ
“พี่เสมา ฉันเจอกับพวกกองตระเวนศึกละแวก ได้ยินว่าละแวกมีไพร่พลเรือนหมื่นเชียวนา แล้วพลเพียงห้าพันของออกญาศรีไสยณรงค์จักต้านไหวรึ”
“ต้านไม่ไหวก็ดี อ้ายขันอ้ายพุฒจะได้เป็นผีเฝ้าศึกละแวกไปเสีย” สินว่า
“ปากพล่อยแล้วอ้ายสิน เอ็งชังอ้ายขันอ้ายพุฒเพียงเท่านี้ จะแช่งให้ทหารอื่นไปตายด้วยรึ” เสมาว่า
สินฉุกคิดแล้วจ๋อยสนิท
“ออกญาศรีไสยณรงค์เป็นทหารเอกคู่พระบารมีสมเด็จเจ้าฟ้าท่าน แลมีพระคุณขุนรามเดชะไปด้วย แม้จักมีพลน้อยกว่าเท่าตัว ข้าก็เชื่อว่าต้องชำนะเว้นแต่จะมีเหตุใดเกินกว่าคาดหมายเท่านั้น”
ที่กลางป่ายามบ่าย ทัพของขุนรามเดชะกำลังต่อสู้กับละแวกอย่างดุเดือด แต่ด้วยกำลังพลน้อยกว่า ทัพขุนรามก็ใกล้จะแย่เต็มทน ขุนรามโดนทหารละแวกสามสี่คนรุมอย่างหนักจนย่ำแย่ล้มลุกคลุกคลาน แต่ได้ทหารไทยสองสามคนเข้ามาช่วยไว้
“เหลือกำลังแล้วพระคุณ เหตุใดทัพหนุนไม่มาเสียทีใกล้จักแย่แล้ว” ทหารคนหนึ่งพูดขึ้น
ขุนรามเดชะกัดฟันสู้
“ทานไว้ หากทัพเราแตกทัพหลวงต้องคับขันเป็นแน่ ต่อให้ตายก็ต้องต้านทานไว้”
ขาดคำ ทหารก็โดนธนูลอบยิง ปักเข้ากลางหลัง ขาดใจตายไปทันที ขุนรามเดชะสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจที่ทหารตายไปต่อหน้า ทันใดนั้น พวกทหารละแวกก็กรูกันเข้ามาไล่ฟันขุนรามเดชะต่อจนเสียท่าล้มลง ทหารละแวกเงื้อดาบจะฟัน แต่ทันใดนั้น ก็มีดาบเล่มหนึ่งเข้ามากันไว้ก่อน
ขุนรามเดชะมองตามปรากฏว่าขันนั่นเองที่เป็นคนใช้ดาบกันขุนรามเดชะไว้ไม่ให้ถูกฟัน ขันใช้ดาบสองมือ ไล่ฟันทหารละแวกแตกกระเจิง ในขณะที่พุฒคุมทหารอีกกลุ่มบุกเข้ามาช่วย เหล่าทหารส่งเสียงโห่ร้องดังลั่น พุฒตะโกนลั่นสั่ง
“บุกเข้าไป ฆ่าอ้ายข้าศึกให้หมดอย่าให้เหลือ”
ทหารไทยกรูเข้าใส่ทัพละแวกจนถอยร่นไม่เป็นขบวน ขันรีบเข้าไปประคองขุนรามเดชะ
“ปลอดภัยแล้วขอรับท่านอา ข้าพระเจ้ามาช่วยแล้ว”
หลังขันประคองขุนรามเดชะลุกขึ้นก็หันไปต่อสู้กับทหารละแวกเพื่อคุ้มครองขุนรามเดชะอย่างเต็มที่
เวลาเย็น ขัน พุฒ และขุนรามเดชะ เดินคุยกันมา
“ขอบน้ำใจพ่อขันกับพ่อพุฒนัก หากไม่ได้พ่อทั้งสองช่วยไว้ อาคงไม่รอดเป็นแน่”
ขันปั้นหน้าจ๋อยพลางยกไม้ไหว้แล้วว่า
“กระไรได้เล่าขอรับ เป็นเพราะข้าพระเจ้ามาช้าเป็นเหตุให้ต้องเสียไพร่พลแลท่านอาเกือบเป็นอันตรายข้าพระเจ้าขอขมาด้วยเถิดขอรับ”
“อย่ากล่าวโทษตัวเองเลยพ่อขัน พ่อขันมาช้าเพราะต้องช่วยทัพด้านอื่น ก็เป็นธรรมดาของการทำศึก อย่างไรเสีย อาก็ต้องขอบน้ำใจพ่อทั้งสองอยู่ดี”
ขันและพุฒชำเลืองมองกันแล้วยิ้มอย่างพอใจ
“พระคุณอ่อนล้ามาทั้งวันแล้ว เชิญกลับกระโจมพักผ่อนก่อนเถิดขอรับ ละแวกพ่ายกลับไปครานี้ ออกญาแม่ทัพทั้งสองคงต้องตามไปตีเมืองปราจีนคืนมาเป็นแน่ บางที พรึ่งนี้อาจจะต้องเดินทัพแต่เช้ามืดนะขอรับ”
ขุนรามเดชะพยักหน้ารับ
“เช่นนั้นอาไปก่อน พ่อทั้งสองก็ไปพักเถิด”
ขันและพุฒไหว้ลา ขุนรามเดชะรับไหว้แล้วเดินเลี่ยงไป สวนกับพันอินที่เดินผ่านมาพอดี ขันและพุฒสบตาแล้วยักคิ้วให้กัน พุฒยังหมั่นไส้พันอินจึงแกล้งพูดลอยๆ
“พ่อขัน กลับอโยธยาครานี้ หากได้ตำแหน่งหัวพันคืนมาคงดีนัก ภายหน้าจักได้ไม่โดนผู้อื่นอวดอ้างข่มเหงเอาอีก”
พันอินมองทั้งคู่ด้วยสีหน้าบึ้งตึงไม่พอใจ แต่ไม่อยากเถียงด้วยจึงจะเดินเลี่ยงไป
“เราสองยังหนุ่มฉกรรจ์ เพียงตำแหน่งหัวพันจะกระไรนัก มีแต่จะได้เป็นขุนเป็นหลวงเสียมากกว่า แต่หากมีวาสนาขึ้นแล้วพ่อพุฒต้องระวังไว้ข้อหนึ่งให้จงดี”
“ข้อใดรึ”
“ข้อรับลูกบุญธรรมซี ยิ่งเป็นหนึ่งหญิงหนึ่งชาย ยิ่งต้องระวังให้มากเพราะหากก่อเรื่องบัดสีขึ้นใต้ชายคาแล้วก็ไม่รู้จะมองหน้าผู้ใดได้ ไปที่ใดก็มีแต่จะโดนเยาะเอา”
พันอินโมโหทันที
“เฮ้ย ชายจริงก็พูดโดยตรง ไม่ต้องพูดกระทบกระเทียบดอกโว๊ย แม้ข้าจะแก่ก็หาเกรงไม่”
ขัน และพุฒยิ้มเยาะเย้ย ก่อนจะเดินเลี่ยงไปทางอื่นไม่ทะเลาะกับพันอินอีก ฝ่ายพันอินได้แต่มองตามด้วยความแค้นใจที่โดนเด็กเมื่อวานซืนสบประมาทเอา
ภายในกระโจมเวลากลางคืน ขันและพุฒกำลังหัวเราะชอบใจ พร้อมกับดื่มเหล้าไปด้วย
“สาแก่ใจนัก อ้ายเฒ่าพันอิน หากอ้ายเสมามันรู้ ว่าพ่อบุญธรรมมันโดนเราหยามเช่นนี้ คงแค้นจนแทบกระอักเลือด” พุฒว่า
“เรื่องอ้ายเสมายังเล็กนัก เทียบไม่ได้กับการซื้อใจท่านอาขุนรามดอก ปัญญาของพ่อพุฒ ช่างเลิศกว่าใครในอโยธยาจริงๆ”
“ยกยอฉันเกินไปแล้วพ่อขัน แค่แกล้งถ่วงให้ขุนรามเข้าที่คับขัน แล้วจึงเข้าช่วยเพื่อเอาบุญคุณเท่านั้น อุบายธรรมดานัก”
“แต่ก็เพราะอุบายของพ่อพุฒดอก ฉันจึงมีราคาค่างวดในสายตาท่านอาอีกครา แลยังได้ความชอบมาล้างความผิดอีก ศึกละแวกครานี้ มีแต่ได้กับได้โดยแท้”
ขัน และพุฒหัวเราะชอบใจแล้วรินเหล้าดื่มกันอย่างสนุกสนาน โดยไม่สนว่าแผนนั้นทำให้ทหารชั้นผู้น้อยรับเคราะห์กันอย่างมากมาย
เรไรเดินมาส่งดวงแขถึงชานเรือนตอนกลางคืน
“มืดค่ำป่านฉะนี้แล้ว ให้ค้างด้วยกันเสียที่นี่ก็ไม่ยอม แม่ดวงแขนี่ช่างดื้อดึงนัก”
“ยามศึกเช่นนี้ ฉันอดเป็นห่วงแม่ท่านไม่ได้ดอก อย่างไรก็ต้องไปอยู่เป็นเพื่อนท่าน”
ขณะนั้นเอง ก็มีทาสหญิงคนหนึ่งเดินมาคุกเข่าใกล้ๆ เรไรชำเลืองตามองทาสหญิงด้วยความรำคาญ ดวงแขสังเกตเห็นท่าทางเรไรก็รู้สึกแปลกใจจึงถามขึ้น
“มีกระไรรึแม่เรไร”
“แม่ท่านน่ะซี เกรงว่าหมื่นศึกอาสาจะลอบมาพบฉัน จึงให้บ่าวไพร่คอยตามฉันทุกฝีก้าว แลแม่ท่านไม่ไว้ใจพิณ หาว่าพิณเข้าข้างฉัน จึงไม่ให้พิณอยู่รับใช้ฉันตามลำพังอีก”
ดวงแขยิ้มบางสบโอกาสกล่อมเรไร
“ถึงขั้นนี้แล้ว แม่เรไรยังสมัครใจด้วยหมื่นศึกอีกรึ ฉันหาเข้าใจไม่ว่า หมื่นศึกผู้นี้มีกระไรดี แม่เรไรถึงไม่ยอมตัดใจเสียที ลองตรองดูเถิด ชายผู้นี้ไม่มีกระไรเทียมแม่ได้เลย แม้จักดื้อรั้นครองคู่ด้วยกันแล้วก็จะนำมาซึ่งทุกข์แก่แม่เรไร”
เรไรหน้าเศร้าลง
“ฉันรู้ว่าแม่ดวงแขหวังดีต่อฉัน แต่ความรักเป็นเรื่องประหลาดนัก ฉันเองก็ลำบากได้ยากเพราะเสมาไม่น้อยแต่มิเพียงตัดใจไม่ได้ ยังผูกพันแน่นแฟ้นมากขึ้นทุกที แม่ดวงแขไม่เคยมีความรัก คงยังไม่เข้าใจดอก” เรไรว่า
ดวงแขหน้าตาบึ้งตึงเคร่งเครียดขึ้นมาทันทีที่ได้ยินเรไรพูดแบบนี้
ในเวลาต่อมา ดวงแขยืนมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยสีหน้าเคร่งขรึม คำพูดของเรไรยังก้องอยู่ในหัวตลอดเวลา ภาพนั้นสลับกับภาพที่ดวงแขเจอกับเสมาครั้งแรก
….....................
เสมาเขย่าตัวดวงแขพลางเรียก
“แม่หญิงๆ”
ดวงแขสำลักน้ำก่อนจะค่อยๆลืมตาตื่นขึ้น เห็นเสมากำลังยิ้มให้
“แม่หญิง ฟื้นแล้ว”
ดวงแขตกใจกระเถิบหนีด้วยความเขินอายที่ฟื้นขึ้นมาท่ามกลางอ้อมอกของชายหนุ่ม เสมาถามขึ้นด้วยความแปลกใจ
“เป็นกระไรไปแม่หญิง”
ดวงแขเขินอาย อึกอักพูดอะไรไม่ออก
….......................
ดวงแขสีหน้าเคร่งขรึมเหยียดปากด้วยความหมั่นไส้เมื่อนึกถึงคำพูดของเรไร พลางพูดคนเดียวว่า
“ฉันรึ ไม่เคยมีความรัก บางที ฉันอาจมีก่อนแม่เรไรเสียด้วยซ้ำ”
ที่ชายป่า ทหารไทยคนหนึ่งซึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสเข้ามารายงานทุกอย่างให้เสมารู้ โดยมีสิน และสมบุญและทหารไทยคนอื่นๆรับฟังด้วยสีหน้าเคร่งเครียดด้วยความเป็นห่วงในสมเด็จพระนเรศวร
“สมเด็จเจ้าฟ้าวังหน้าต้องกล บัดนี้ถูกล้อมเอาไว้ด้วยทหารเรือนหมื่น มีเพียงกองม้าล้อมพระราชวังคอยอารักขาเท่านั้น แต่ก็ล้มตายลงมากแล้ว หมื่นศึกท่านจงเร่งไปช่วยเถิด”
“ทหารเราเพียงเรือนร้อย ยากที่จะหักทหารเรือนหมื่นเข้าไป พี่เสมาเร่งส่งคนไปทูลสมเด็จพระราชอนุชาให้ส่งทัพมาช่วยเถิด” สมบุญว่า
“กว่าทัพจะมาถึงก็ไม่ทันการแล้ว เสี่ยงตายหักเข้าไปเถิดพี่เสมา” สินว่า
เสมาตัดสินใจหันไปสั่งทหารคนหนึ่ง
“เอ็งจงเร่งไปทูลสมเด็จพระราชอนุชาท่านประเดี๋ยวนี้”
จากนั้นก็หันไปพูดเสียงดังกับทหารทุกคน
“ส่วนพี่น้องที่เหลือจงอย่าเสียดายแก่ชีวิตเลย ข้า อ้ายเสมาหมื่นศึกอาสา จะขอเป็นคนแรกที่ตีหักเข้าไป แม้ตายก็จักได้ชื่อว่าถวายภักดีแก่องค์สมเด็จพระนเรศ”
สิน สมบุญ และทหารไทยทุกคนโห่ร้องดังกึกก้อง เตรียมพร้อมที่จะสู้ตาย เพื่อช่วยสมเด็จพรนเรศวรให้ได้
สมเด็จพระนเรศวรถูกซุ่มโจมตีตามอุบายของลักไวทำมู และถูกล้อมอยู่ถึงชั่วโมงเศษ จนกระทั่งเหล่าทหารอาสาตีหักเข้าไป ทำให้กองทัพของลักไวทำมูระส่ำระสาย สมเด็จพระนเรศวรได้ต่อสู้กับลักไวทำมูและสังหารลักไวทำมู ทหารเอกหงสาวดีด้วยพระแสงทวน และตีหักออกมาจากวงล้อม ก่อนจะล่าถอยกลับเข้าพระนครอย่างปลอดภัย สร้างความครั่นคร้ามให้กับกองทัพหงสาวดีมากยิ่งขึ้นไปอีก
พระเจ้านันทบุเรงทรงพิโรธหนักปาจอกเหล้าลงบนพื้น ทำเอาขุนนางแต่ละคนหน้าเครียดกันไปหมด
“กระไรกัน นี่มันกระไรกัน ทหารเรือนหมื่นล้อมเป็นเพลานานยังจับตัวไม่ได้ หนำซ้ำยังปล่อยให้องค์พระนเรศตีหักออกมา แลสังหารลักไวทำมูทหารเอกของเราอีก กองทัพหงสาวดีที่ปราบไปทศทิศ หมดสิ้นฝีมือแล้วรึ”
ขุนนางสีหน้าสลดยกพนมมือขึ้น
“พระอาญาไม่พ้นเกล้า ขอพวกข้าพระพุทธเจ้ากระทำการแก้ตัวสักครั้งเถิด ครานี้ พวกข้าพระพุทธเจ้า จะไม่ทำให้เสื่อมเสียพระบรมเดชานุภาพของพระองค์เลยพระพุทธเจ้าข้า”
“ดี พวกเจ้าจงระดมไพร่พลทั้งหมดที่เรามีบุกเข้าตีอโยธยาทุกทิศทุกทาง อยากจะรู้นัก ว่าทหารเพียงหยิบมือขององค์พระนเรศ จะทนแสนยานุภาพของหงสาไปได้เพียงใด”
สีหน้าของพระเจ้านันทบุเรง เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นจะเอาชนะให้ได้
ที่หน้าประตูเมือง เสมา สิน สมบุญ และทหารไทยจำนวนหนึ่งกำลังต่อสู้กับทหารพม่า เพื่อคุ้มกันให้ประชาชนหนีเข้าเมืองไป ชาวบ้านหอบลูกจูงหลานหนีตายเข้าเมืองกันอลหม่าน เสียงปืนใหญ่ดังกึกก้องมาเป็นพักๆ เสมาตะโกนลั่น
“เร็วเข้า เร่งเข้าไปหลบในกำแพงเมืองเร็ว อ้ายข้าศึกมันบุกหนักแล้ว เร่งเข้าไปหลบเร็วๆ”
เอื้อยแตง แต้ม มั่น บุญเรือนและชาวบ้านกลุ่มหนึ่ง วิ่งหนีตายกันมา บุญเรือนสะดุดหกล้ม เอื้อยแตง แต้ม มั่น รีบเข้าไปช่วยพยุง
จังหวะนั้นเอง ทหารพม่าอีกกลุ่มก็กรูกันเข้ามาจะทำร้ายพวกมั่น เอื้อยแตงเอาห่อสัมภาระปาใส่ แล้วหยิบฉวยของใกล้มือเข้าทุบตี แต่ก็สู้ทหารไม่ได้ จังหวะที่กำลังจะโดนทหารพม่าฆ่า สินก็กระโดดถีบทหารพม่าคนนั้นกระเด็นไป แล้วเอาทวนแทงซ้ำจนตายคาที่
“คิดจะทำร้ายแม่เอื้อยแตงของข้ารึ อย่าอยู่เลยมึง” สินว่า
เอื้อยแตงอึ้งไปเล็กน้อย กับคำพูดและท่าทีขึงขังของสิน สินถอนทวนออกจากศพของทหารพม่า แล้วเอาทวนไล่ฟาดพวกพม่ากระเจิงไป เสมา และสมบุญขับไล่ทหารพม่าไปก็รีบเข้ามาหาพ่อแม่ทันที
“พ่อแม่รีบเข้าไปหลบในเขตกำแพงเถิด ฉันจักคอยคุ้มกันให้”
บุญเรือนห่วงจำเรียงสุดๆ
“ไม่ต้องห่วงข้า เอ็งรีบไปช่วยจำเรียงเถิด ข้าเห็นอ้ายพวกข้าศึกมันบุกไปทางวัดกลาง เกรงว่าจำเรียงจะมีภัยไปด้วย”
“ อ้ายสิน เอ็งจงเร่งคุ้มกันผู้คนเข้าไปในเขตกำแพงอ้าย สมบุญเอ็งมากับข้า”
เสมา และสมบุญรีบตามไปช่วยจำเรียงทันที
ที่บริเวณท่าน้ำ ดวงแข จำเรียง และอำพัน กำลังหนีมาลงเรือโยมีพวกทาสชายถือดาบคอยคุ้มกันอยู่ แต่ยังไม่ได้ทันลงเรือ ทหารพม่าก็บุกมาถึง พวกทาสชายเข้าสู้กับทหารพม่าเพื่อคุ้มกันทันทีท่ามกลางเสียงกรีดร้องของบรรดาผู้หญิง จำเรียงเป็นห่วงดวงแขกับอำพัน
“แม่หญิงกับแม่นายรีบลงเรือเถิดเจ้าค่ะ"
ดวงแขรีบพาแม่ลงเรือพร้อมด้วยบ่าวไพร่ แต่ตัวเองยังไม่ทันได้ขึ้นเรือ ทหารพม่าก็ฆ่าทาสชายคนหนึ่งตาย แล้วพุ่งเข้ามาจะทำร้ายดวงแข ดวงแขกรี๊ดลั่น แต่ทันใดนั้น เสมาก็เข้ามาช่วย ฟันทหารพม่าคนนั้นตายทันที พวกทาสกลัวสุดๆ เลยรีบพายเรือหนีไป โดยทิ้งดวงแขไว้
อำพันร้องขึ้นด้วยความห่วงดวงแข
“แม่ดวงแข...หยุดประเดี๋ยวนี้ กลับไปรับลูกข้าก่อน”
ดวงแขตะโกนสั่งกลับไป
“ไม่ต้อง รีบพาแม่นายหนีไป ไม่ต้องห่วงข้า ไปซี”
พวกทาสลังเลอยู่ครู่นึงก่อนรีบพายเรือพาพันหนีไป ทหารพม่าฆ่าทาสไปได้หลายคน เลยรุมเข้ามาหาเสมา และสมบุญ จำเรียงละล้าละลังกำลังจะถูกทหารพม่าทำร้าย สมบุญก็เข้ามาช่วยไว้ได้ทันแล้วคอยคุ้มกันจำเรียง สมบุญตะโกนบอกเสมา
“ข้าศึกมากนัก ต้องเร่งหนีแล้วพี่เสมา”
“แยกกันไป ข้าจะคอยระวังหลังให้”
ทหารพม่ากรูฟาดฟันเข้ามาทันที เสมารีบดึงดวงแขเข้ามาหลบด้านหลังตน แล้วเข้าสู้กับทหารพม่าอย่างกล้าหาญ
“แม่หญิงดวงแข รีบตามสมบุญไป”
ขณะที่สมบุญฟาดฟันกับทหารเพื่อคุ้มกันจำเรียงกับทาสที่เหลือ ดวงแขแทนที่จะตามสมบุญไปกลับวิ่งไปหาที่หลบกำบังอยู่ใกล้ๆ คอยมองเสมาด้วยความห่วงใย
อ่านต่อหน้า ๒
ความรู้เกี่ยวกับขุนศึก
๓๒. ศักดินา เป็นเครื่องกำหนดความสูงต่ำและรายได้ของข้าราชการในสมัยโบราณ โดยข้าราชการที่มีบรรดาศักดิ์เท่ากัน อาจจะมีศักดินาไม่เท่ากันก็ได้ ขึ้นอยู่กับความสำคัญของตำแหน่งหน้าที่การงานเป็นหลัก โดยข้าราชการ จะมีศักดินาได้สูงสุดคือ หนึ่งหมื่นไร่
๓๓. กำแพงเมืองกรุงศรีอยุธยา เดิมทำจากดิน แต่ได้มีการเปลี่ยนเป็นการก่อด้วยอิฐตามแบบชาวตะวันตก ในสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ และได้ปรับปรุงอีกครั้งในสมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชา โดยมีป้อมปืนบนกำแพงถึงสิบหกป้อม และมีประตูเข้าออกถึงเก้าสิบเก้าประตู
......................................................................................................
ขุนศึก ตอนที่ ๕ (ต่อ)
บ้านรามเดชะกลายเป็นศูนย์อพยพย่อยๆไป ยามกลางคืนมีชาวบ้านมาหลบภัยมากมาย บางคนบาดเจ็บก็ช่วยกันทายา บางคนหิวข้าวก็ทานอาหารที่พวกทาสบ้านเรไรคอยหาให้ โดยมีพิณคอยช่วยดูแลทุกคนอีกที พิณตะโกนสั่ง
“ข้าวปลา หยูกยา ขนมาอีกซิโว้ย ไม่เห็นรึว่าคนออกโข”
เอื้อยแตงกำลังทำแผลให้สินที่ถูกฟันมาแต่ไม่ลึกนัก โดยมีแต้ม มั่น และบุญเรือนอยู่ใกล้ๆ เอื้อยแตงทำแผลมือหนัก สินจึงร้องลั่นด้วยความเจ็บ
“โอ๊ย เบาๆมือหน่อยเถิดแม่เอื้อยแตงจ๋า ฉันโดนอ้ายข้าศึกมันฟัน ยังไม่เจ็บเท่าแม่ทำแผลให้ฉันเลย”
“ถ้ากระนั้นก็ไปให้มันฟันซ้ำซี มาให้ฉันทำแผลหากระไรเล่า” เอื้อยแตงตวาดแว๊ดขึ้น
เอื้อยแตงทุบแผลสินซ้ำ จนสินร้องลั่นบ้าน
“อ้ายนี่ ร้องดังกว่าควายถูกเชือดเสียอีก เป็นทหารได้กระไรวะ” แต้มพูดขึ้นด้วยความรำคาญก่อนจะหันไปพูดกับมั่น และบุญเรือน
“ฉันจะไปเอาข้าวเอาแกงมากินเสียหน่อย พี่มั่นกับแม่บุญเรือน จะเอากระไรบ้างล่ะ”
“ไม่เอาดอกพ่อแต้ม ฉันห่วงจำเรียงมัน กินกระไรไม่ลงดอก”
ขณะนั้นเอง สมบุญก็พาจำเรียงเข้ามาหา
“พ่อ แม่” จำเรียงรีบเข้าไปไหว้พ่อแม่ แล้วกอดแม่ทันที บุญเรือนกอดจำเรียงแน่น
“ลูกเอ๋ย บุญรักษาแล้ว ลูกแม่”
“แล้วอ้ายเสมาเล่าสมบุญ ไม่ได้มาด้วยกันรึ”
“นี่พี่เสมายังไม่มาอีกรึ ...เราแยกกันหนีจ้ะพ่อลุง ฉันนึกว่าพี่เสมาจะเข้ากำแพงมาก่อนฉันเสียอีก เพราะฉันมัวแต่อ้อมอยู่เสียนาน กว่าจะหลบอ้ายข้าศึกเข้ามาได้ เหตุใดพี่เสมายังไม่มา หรือจะไปพักที่เรือนอื่น”
เอื้อยแตงได้ยินดังนั้นก็มีท่าทางห่วงใยเสมาขึ้นมาทันที สินสังเกตสีหน้าเอื้อยแตงแล้วแอบหึง
“หน้าถอดสีเชียวรึ เป็นห่วงพี่เสมามากสิท่า”
เอื้อยแตงรำคาญ เงื้อมือจะทุบสินอีก สินผงะหนี กลัวเอื้อยแตงยิ่งกว่าหนูกลัวแมวซะอีก
บนเรือนเรไรและลำภู กำลังช่วยกันประคองอำพันที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นมานั่งพัก
“ป่านฉะนี้ ไม่รู้แม่ดวงแขจะเป็นกระไรบ้าง คนอื่นหนีเข้ามาหมดแล้ว เหตุใดแม่ดวงแขยังไม่มา”
“อย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้เลย แม่ดวงแขอาจจะไปพักที่เรือนอื่นก็เป็นได้ เพลานี้ ในพระนครก็เต็มไปด้วยคนที่หนีเข้ามาทั้งสิ้นไม่ได้มีเรือนฉันเพียงเรือนเดียวดอกพี่อำพัน” ลำภูปลอบใจ
“แต่ตอนที่พลัดหลงกัน มีเพียงหมื่นศึกอาสาแต่ผู้เดียว ที่คอยคุ้มกันแม่ดวงแข แล้วจะต้านทหารพม่ารามัญที่มีออกโขได้รึ”
“นี่หมื่นศึกอาสาเป็นคนช่วยดวงแขไว้หรือจ๊ะแม่ป้า”
ลำภูเหล่มองเรไรและพูดดักคอขึ้น
“ได้ยินเช่นนี้เลยเป็นห่วงขึ้นมารึแม่เรไร ห่วงแม่ดวงแขหรือห่วงหมื่นศึกกันเล่า”
พอนึกถึงเสมา เรไรก็หน้าเครียดขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง
คืนนั้น เสมาจูงมือดวงแขมานั่งพักที่ใต้ต้นไม้ ดวงแขมีท่าทางเหนื่อยอ่อน หลังจากหนีมาหลายชั่วโมง
“แม่หญิงไม่ควรลำบากกับข้าพระเจ้าเลย หากหนีไปพร้อมจำเรียง ป่านฉะนี้ก็ได้เข้าไปอยู่ในพระนครแล้ว”
“ก็ฉันเป็นห่วง...”
ดวงแขพูดอย่างลืมตัว แต่เมื่อนึกขึ้นได้ จึงรีบเปลี่ยนคำพูดทันที
“ เอ่อ ฉันกลัวจนหนีไม่ทันน่ะซี แล้วนี่เหตุใดเราไม่กลับเข้าไปในกำแพงเมืองกันเล่า”
“หงสาเข้าตีหนักนัก แต่ไม่อาจตีกำแพงอโยธยาแตกได้ ดึกนี้จึงน่าจะเข้าตีอีก คงต้องรอรุ่งสางก่อน เราถึงจะกลับเข้าไปได้ขอรับ”
ดวงแขขยับจะพูดอีก แต่ทันใดนั้นเสมากลับดึงตัวดวงแขเข้ามากอดแล้วหมอบราบอยู่กับพื้นทันที ดวงแขตกใจสุดๆแถมโดนเสมาปิดปากให้เงียบอีกตะหาก
เสมาหมอบราบ สายตาคอยจ้องเขม็งไปที่ทหารพม่ากลุ่มหนึ่งที่ลาดตระเวนผ่านมา เสมาอาศัยต้นไม้กับความมืดพรางตัว ค่อยๆรอให้ทหารพม่ากลุ่มนี้ผ่านไป ดวงแขแนบอกเสมาอยู่ รับรู้ถึงความอบอุ่น ปลอดภัยอย่างประหลาด จนเผลอแนบหน้ากับแผ่นอกเสมาแล้วหลับตาพริ้มอย่างมีความสุข
พวกทหารพม่า ค่อยๆตรวจมาทางต้นไม้ที่เสมาซ่อนอยู่ เสมากระชับดาบแน่น เตรียมสู้ตาย แต่ทันใดนั้น พวกทหารพม่าเกิดเปลี่ยนใจ เดินเลี่ยงไปทางอื่นแทน เสมามองตามจนกว่าจะแน่ใจว่าปลอดภัยจริงๆ
ดวงแขยังคงแนบหน้ากับแผ่นอกเสมาฉวยโอกาสสถานการณ์พาไปกอดเสมาเอาไว้ไม่ยอมปล่อย ด้วยสีหน้าปลาบปลื้มมีความสุข
กลางดึกคืนเดียวกัน เอื้อยแตงห่วงเสมาจนนอนไม่หลับ เลยออกมาเดินเล่นจนถึงหน้าบ้านเพื่อรอเสมาด้วยความเป็นห่วง ทันใดนั้น เอื้อยแตงก็เห็นเรไรยืนรออยู่ก่อนแล้ว เอื้อยแตงอดหมั่นไส้ไม่ได้จึงแขวะเรไรทันที
“รอผู้ใดอยู่รึ แม่หญิงเรไร”
เรไรสะดุ้งตกใจเล็กน้อยก่อนจะหันไปพูดกับเอื้อยแตง
“ไม่ได้รอผู้ใดดอก ฉันแจ้งมาว่าพวกพม่ารามัญ บุกเข้าตีประตูเมืองอีก จึงออกมาดูเพราะเป็นห่วงนัก”
“สมเด็จพระราชโอรสทั้งสองพระองค์ ทรงบัญชาการรบด้วยพระองค์เอง ถึงอย่างไร พวกข้าศึกก็เข้ามาไม่ได้ดอก”
เอื้อยแตงแกล้งยั่วโมโหเรไรอีก
“ห่วงก็แต่พี่เสมา จนป่านฉะนี้ยังไม่ได้ปะหน้าไม่รู้จะเป็นตายร้ายดีเช่นไรเป็นห่วงแสนห่วง จนข่มตานอนไม่หลับ”
เรไรหน้าบึ้งแอบหึงแต่แสร้งปั้นยิ้มแล้วว่า
“แม่เอื้อยแตง โตมากับหมื่นศึกเสมือนเป็นน้องสาวอีกคนหนึ่ง ควรแล้วที่จะต้องห่วงใยเช่นนี้”
เอื้อยแตงและเรไรเหล่มองหน้ากันด้วยสีหน้านิ่ง ต่างฝ่ายต่างดูเชิงกันไม่หึงออกนอกหน้า
“แม่หญิงพูดถูกแล้ว ฉันโตมากับพี่เสมา ไม่มีผู้ใดจักรู้จักพี่เสมาดีเท่าฉันอีก ดึกมากแล้ว ฉันคงต้องไปนอนก่อน เชิญแม่หญิงห่วงใยบ้านเมืองต่อเถิด”
เอื้อยแตงแอบทิ้งค้อนแล้วเดินเลี่ยงกลับเข้าข้างในไป เรไรมองตามด้วยความไม่พอใจ
“หญิงกระไรกัน ปากคอช่างเลาะร้ายนัก”
เช้าวันรุ่งขึ้น ดวงแขก้มลงกราบแทบตักอำพัน ท่ามกลางความดีอกดีใจของอำพัน ลำภู จำเรียง และพิณ ที่เห็นดวงแขปลอดภัย อำพันลูบหัวดวงแข
“คุณพระคุณเจ้าคุ้มครองแท้ แม่ดวงแขของแม่ แม่ดีใจเหลือเกินที่ลูกปลอดภัย”
“ลูกก็ดีใจที่ได้กลับมาหาท่านแม่เจ้าค่ะ”
“แล้วเหตุใดแม่หญิงไม่กลับมาเสียแต่เมื่อคืนเล่าเจ้าคะ บ่าวเป็นห่วงแม่หญิงนักเกรงว่าจะมีภัย” จำเรียงว่า
“ข้าศึกบุกตีทั้งคืน ฉันจึงต้องซ่อนตัวอยู่แถวชายป่า รอจนข้าศึกล่าถอยเมื่อรุ่งสาง จึงกลับเข้าพระนครได้”
“ตายจริง นี่แม่ดวงแขอยู่ในป่าทั้งคืนเลยรึ ช่างน่าหวาดกลัวนัก” ลำภูร้องขึ้นด้วยความตกใจ
“ไม่ดอกเจ้าค่ะท่านอาหญิง หมื่นศึกอาสาคุ้มครองหลานอยู่ ไม่มีอันตรายดอกเจ้าค่ะ”
ลำภูได้ยินก็ผงะไปเล็กน้อย
“อ้าว นี่หมื่นศึกมาส่งแม่หญิงหรือเจ้าคะ แล้วเหตุใดไม่เข้ามาเยี่ยมเยียนพ่อแม่กับแม่จำเรียงบ้างเล่าเจ้าคะ” พิณถามขึ้น
ดวงแขเหล่ๆลำภูที่หน้าจ๋อยๆอยู่
“ได้ยินหมื่นศึกว่า ท่านอาขุนรามเดชะห้ามเป็นคำขาดไม่ให้หมื่นศึกเหยียบเข้าแม้เขตบ้านอีก จึงไม่ได้เข้ามาจ้ะ”
ทุกคนหันไปมองลำภูเป็นตาเดียว ลำภูกระอักกระอ่วนแต่ก็ทำเฉยๆไม่พูดอะไร
เมื่อเสมามาส่งดวงแข ก็ได้แต่ยืนอยู่ที่หน้าบ้านขุนรามเดชะ เสมามองอยู่ครู่หนึ่งแล้วทอดถอนใจแล้วเดินหันหลังกลับไป แต่ทันใดนั้น เสียงเรไรก็เรียกขึ้น
“เหยียบเข้าบ้านไม่ได้ ก็เลยจะกลับแล้วรึ หมื่นศึกอาสา”
เสมาหันกลับมาเห็นเรไรยืนอยู่
“แม่หญิงเรไร”
เรไร และเสมาเดินเข้ามาหากัน ต่างฝ่ายต่างมองกันด้วยความรัก ความห่วงใย ซึ่งมีให้กันและกันเต็มเปี่ยม ดวงแขยืนแอบมองอยู่จากบนเรือนด้วยสายตาแอบริษยา
เสมาพายเรือให้เรไรนั่งคุยกันมาเรื่อยๆ ท่ามกลางบรรยากาศริมแม่น้ำ สวยงาม สงบร่มเย็น เสมาออดอ้อนทันที
“เมื่อคืนนี้หนักหนานัก คิดว่าจะไม่ได้กลับมาเห็นหน้าแม่หญิงแล้ว ดีแต่ว่าแหวนปากโมกน้อยที่แม่หญิงประทานให้คุ้มครองข้าพระเจ้าอยู่ เสมาจึงได้กลับมาหาแม่หญิง”
เรไรมองค้อนแล้วว่า
“ฉันมิใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ แลแหวนนี้ก็ไม่ใช่เครื่องรางของขลังจะคุ้มครองได้อย่างไร หมื่นศึกอย่ากล่าวให้เกินจริงนักเลย”
“กินจริงที่ใด แม่หญิงเป็นมงคลของเสมาเสมอเพียงแต่นึกถึงหน้าแม่หญิง เสมาก็มีกำลังใจต่อสู้กับข้าศึกมิพรั่นพรึงแล้ว”
“ฉันคงต้องกลับแล้วล่ะ หมื่นศึกไปราชการต่อเถิด”
“อยู่อีกสักครู่ไม่ได้หรือแม่หญิง อย่าเพิ่งกลับเลย หัวใจเสมานี้รอนๆจะขาด เพราะคิดถึงแม่หญิงนักแล้ว”
“พ่อแม่ฉันไม่ยินดีให้เราพบปะกัน เสมาก็รู้ เผอิญว่าศึกประชิดกรุง ฉันจึงพอปลีกมาปะหน้าได้บ้าง แต่หากหายมานาน แม่ท่านคงสงสัยฉันก็คงไม่พ้นผิดอีก”
“เสมานำเดือดร้อนมาสู่แม่หญิงโดยแท้ เสมาจะขอก้มหน้ามานะทำราชการต่อไป ให้สมกับที่แม่หญิงอุปการะหัวใจเสมาอยู่”
“ที่ฉันต้องทนทุกข์ลำบาก แม้ได้อาย ก็เพราะปรารถนาจักอุปการะน้ำใจพ่อนี้”
เสมายิ้มปลาบปลื้ม เรไรเอียงอาย หยิบดอกจำปีออกมาจากชายพกแล้วยื่นให้เสมา
“ถือเป็นค่าเรือ รีบพาฉันกลับเข้าฟังแต่โดยเร็วเถิด”
เสมารับดอกจำปีพร้อมจับมือเรไรพร้อมดอกไม้ไว้ไม่ยอมปล่อย บรรจงก้มลงหอมดอกไม้เลยไปยังมือของเรไรพร้อมช้อนสายตามองด้วยสายตากรุ้มกริ่ม เรไรยิ้มเอียงอายไปมาๆ ใจหวามหวั่นอย่างบอกไม่ถูก
ศรีเมืองเดินลงจากเรือนเพื่อรับเอื้อยแตง มั่น บุญเรือน และแต้ม
“ฉันไหว้จ้ะ พ่อลุง แม่ป้า”
แต้ม มั่น และบุญเรือน รับไหว้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
“จำเริญสุขเถิดหลาน พวกลุงมารบกวนหลานโดยแท้ มีเรือนก็อยู่ไม่ได้ ต้องเร่ร่อนหนีภัยจากข้าศึกมัน” มั่นบอกแล้วพลางถอนใจ
“เพลานี้ยังรอดอยู่ก็ถือว่าบุญหนักหนาแล้ว ยังจะห่วงเรือนกระไรอีกเล่าพี่มั่น” แต้มบอก
“ฉันจัดสำรับคาวหวานไว้บนเรือนพร้อมแล้ว หิวกันหรือยังจ๊ะ” ศรีเมืองเอ่ยขึ้น
“หิวซีถามได้” แต้มว่า
“งั้นเชิญบนเรือนเลยจ้ะพ่อลุง”
แต้มรีบเดินขึ้นเรือนนำไปทันทีจนเอื้อยแตงอายแทน
“พ่อหนอพ่อ ทำกระไรไม่คิดถึงหน้าลูกบ้างเลย”
ศรีเมืองยิ้มขำหันไปเห็นบุญเรือนหน้าเศร้าๆ ผิดปกติ
“แม่ป้าเป็นกระไรไปหรือจ๊ะ สีหน้าไม่สู้ดีเลย เจ็บป่วยได้ไข้หรือไม่”
“เปล่าดอกหลาน ป้าคิดถึงจำเรียง ยามศึกเช่นนี้กลับไม่ได้อยู่ด้วยกัน มันน่าอนาถใจนัก”
“จำเรียงมันเป็นทาสต้องคอยรับใช้นาย จะมากับเราได้อย่างไร แลจำเรียงมันก็อยู่ที่เรือนขุนรามเดชะท่าน สุขสบายกว่าเราเสียอีก แม่บุญเรือนอย่าห่วงเลย” มั่นพูดปลอบใจ
บุญเรือนพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินขึ้นเรือนไปโดยมีมั่นตามขึ้นไปอีกคน
ศรีเมืองไม่เห็นเสมา เอื้อยแตงเห็นท่าทางของศรีเมืองจึงพูดดักคอขึ้นทันที
“พี่เสมาต้องออกรับศึก แม่ศรีเมืองไม่ต้องมองหาดอก”
ศรีเมืองเขินอายเล็กน้อยพลางบอก
“แล้วใครว่าฉันมองหาพี่เสมาเล่า แม่เอื้อยแตงก็พูดไปได้”
เอื้อยแตงทิ้งค้อนด้วยความหมั่นไส้
ทันใดนั้นเอง เสียงปืนใหญ่ดังกึกก้อง ก่อนจะมีเสียงปืนใหญ่และปืนยาวดังแว่วมาเต็มไปหมด ศรีเมือง และเอื้อยแตงตกใจที่พวกข้าศึกบุกอีกแล้ว
“ข้าศึกบุกอีกแล้วรึ เพิ่งถอยกลับไปเมื่อรุ่งสางแท้ๆ” ศรีเมืองพูดขึ้น
“มิรู้จะมีคนตาย แลบ้านเรือนถูกเผาทำลายอีกเท่าใดกัน” เอื้อยแตงถอนใจแล้วพูดด้วยสีหน้าเครียด
ทั้งศรีเมืองและเอื้อยแตงไม่รู้ศึกครั้งนี้จะจบลงเมื่อไหร่
ขณะที่ชาวบ้านหนีตายกันอลหม่าน ฝ่ายทหารไทยเข้าต่อสู้กับทหารพม่าอย่างหนัก ทหารพม่าจุดไฟเผาบ้านเรือน ทำลายตลาดจนข้าวของร้านรวงต่างๆพังยับเยิน การสู้รบลามมาจนถึงบริเวณบ้านของเสมา ทหารพม่าคนหนึ่งจุดไฟเผาเรือนของเสมา เปลวไฟเริ่มลุกไหม้อย่างหนัก ร้านตีเหล็กมั่นถูกไฟเผาจนเสียหาย
เวลาบ่ายที่ค่าย พระเจ้านันทบุเรงทรงเป็นคนตบพนักเก้าอี้ด้วยความกริ้ว
“ไม่ใช่แต่หงสา แต่สิ้นคนดีทั้งพุกามแล้วหรือกระไร บุกเข้าตีอโยธยาหลายครา เหตุใดทำลายได้แต่บ้านเรือนนอกกำแพง ไม่อาจบุกเข้าไปในพระนครได้เสียที”
“ขอเดชะ พระอาญาไม่พ้นเกล้า กำแพงเมืองอโยธยาก่อด้วยอิฐตามแบบพวกตะวันตก แลพระมหาธรรมราชาทรงสร้างป้อมปืนใหญ่ขึ้นอีกถึงสิบหกป้อม นับได้ว่าแข็งแกร่งมั่นคงยิ่งนัก หากจะตีให้แตกจำต้องใช้กลอุบายดังเช่นสมัยพระราชบิดาของพระองค์ พระพุทธเจ้าข้า” ขุนนางผู้หนึ่งพนมมือบังคมทูลรายงาน
“เจ้าจะให้ส่งไส้ศึกเข้าไปอีกรึ แผนการเช่นนี้หลอกได้ครั้งเดียว ไหนเลยอโยธยาจะหลงกลซ้ำสอง อีกทั้งเราไม่มีคนเช่นพระยาจักรีด้วย แล้วจะส่งใครเข้าไปเล่า”
“ไม่ต้องใช้คนอย่างพระยาจักรีดอกพระพุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าได้คัดทหารจำนวนหนึ่ง ให้ฝึกพูด อ่าน เขียนภาษาไทยมานานปี แล้วให้ปะปนกับพวกชาวบ้านหนีเข้าไปในพระนครแล้วพระพุทธเจ้าข้า รอแต่พวกมันจะก่อการขึ้นในพระนคร ทัพของเราก็จักฉวยโอกาสบุกตีเข้าไปพระพุทธเจ้าข้า”
พระเจ้านันทบุเรงยิ้มอย่างพอพระทัย มั่นใจในแผนการคราวนี้มาก
เอื้อยแตงกำลังสอยมะม่วง ขณะที่ศรีเมืองกำลังช่วยเอามะม่วงมาใส่กระจาด
“พอเถิดแม่เอื้อยแตง เพียงเท่านี้ก็กินไม่หมดแล้ว”
“กินไม่หมดก็ดองไว้ซี เพลานี้เป็นยามศึก กระไรกินได้นานวันก็ทำไว้เถิด”
เอื้อยแตงสอยเก็บมะม่วงมาใส่กระจาดเพิ่มอีก แต่พอเงยหน้าขึ้นมา ก็เห็นผู้ชายเกือบสิบคนแต่งตัวเหมือนชาวบ้านยืนล้อมอยู่ ผู้ชายกลุ่มนี้เป็นทหารพม่าปลอมตัวมาปะปนกับคนไทย
ศรีเมือง และเอื้อยแตง เห็นรูปร่างหน้าตาของแต่ละคนดูน่ากลัวก็ชักหวาดๆ เอื้อยแตงรีบบังศรีเมืองเอาไว้
“ไม่ต้องกลัวดอกแม่น้องสาว พวกฉันเพียงแต่อยากจะขอซื้อหมากผลพวกนี้บ้าง แต่หนีข้าศึกเข้ามา พวกฉันยังไม่ได้กินอะไรเลย”
ศรีเมืองถอนใจโล่งอกพลางบอก
“พิโธ่พิถัง นึกว่ากระไร ไม่ต้องซื้อดอก พี่ชายอยากได้เท่าใดก็เอาไปเถิด ยามศึกเช่นนี้ย่อมต้องช่วยเหลือกัน”
“ขอบน้ำใจมากแม่น้อง”
พวกทหารพม่าเข้าไปเอามะม่วงในกระจาดไปคนละผลสองผล จนหายไปกว่าครึ่ง เอื้อยแตงยังระแวงอยู่ พอพวกพม่าเอามะม่วงไปจนเสร็จก็รีบหอบกระจาดเอามะม่วงส่วนที่เหลือ แล้วรีบพาศรีเมืองเดินหนีไปทันที
“หญิงอโยธยาช่างงามนัก หากไม่ติดว่าต้องทำศึก คงจะดีไม่ใช่น้อย” คนหนึ่งพูดขึ้น
“แต่นี่เป็นเพลาศึก อย่าคิดกระไรที่จะทำให้เสียการ มิเช่นนั้นคอเอ็งจะหลุดจากบ่า”
แต่ทหารพม่าที่ปลอมเป็นคนไยก็ยังอดที่จะมองตามเอื้อยแตง และศรีเมืองไปไม่ได้อยู่ดี
เมื่อยามหัวค่ำ ดวงแขเดินขึ้นเรือนขุนรามเดชะเห็นว่า เรไรกำลังยืนมองต้นจำปีอยู่บนเรือนด้วยความคิดถึงเสมา
“มืดค่ำแล้ว ยังไม่นอนอีกรึแม่เรไร”
“ฉันเพิ่งเสร็จงานในครัวจ้ะเลยยืนรับลมก่อน ประเดี๋ยวค่อยเข้านอน”
“เพราะพวกฉันมารบกวนแม่เรไรโดยแท้ แม่เรไรจึงต้องเหนื่อยเพิ่ม”
“อย่าพูดเช่นนั้นเลย เราเป็นเพื่อนกันมาแต่เล็กแต่น้อย อีกทั้งเป็นยามศึก แม้นไม่รู้จักกันมาก่อนก็ต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน”
“ฉันอยากสิ้นศึกเร็วๆเหลือเกิน จะได้กลับเรือนไปอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา แต่แม่เรไร คงไม่อยากให้สิ้นศึกเร็วนักกระมัง พี่ชายฉันจะได้ไม่มากวนแม่เรไรอีกพักใหญ่” ดวงแขพูดหยั่งเชิง
“เรื่องพี่ขัน ฉันหาทางออกไว้แล้วจ้ะ”
“จริงรึ วิธีใดกัน”
“แม่ดวงแขรู้แล้วอย่าบอกผู้ใดเชียวนะ ฉันตกลงกับหมื่นศึกไว้แล้ว ให้หมื่นศึกตั้งใจทำราชการให้ดี หากมีความชอบมากก็จะได้ขอพระราชทานตัวฉัน ถ้ามีพระบรมาชโองการลงมา แม้พ่อท่านก็ขัดไม่ได้ดอก”
ดวงแขชะงักหน้าเสียไปก่อนจะปั้นยิ้ม
“เช่นนี้เอง มิน่าเล่า หมื่นศึกถึงได้รบพุ่งโดยไม่กลัวแก่ความตาย เอ่อ แล้วแม่เรไร จะไม่ให้ของใดเป็นขวัญแก่หมื่นศึกบ้างรึ หมื่นศึกจักได้มีกำลังใจสู้เพื่อแม่เรไรสืบต่อไป”
เรไรขวยเขินก่อนตอบ
“ฉันเคยให้แหวนแก่หมื่นศึกแล้ว”
ดวงแขชะงักไปเล็กน้อย อดรู้สึกหมั่นไส้ปนอิจฉาไม่ได้
“แลเพลานี้พ่อแม่ท่านชังหมื่นศึกนัก ยากเหลือที่จะได้ปะหน้ากันสักครา” เรไรพูดแล้วก็ซึมไป
“ก็ฝากฉันไปให้ซี ฉันจะกำชับบ่าวไพร่ไม่ให้แพร่งพราย ยามชายไปรบ จะมีกระไรสำคัญกว่ากำลังใจจากหญิงที่ตนรักอีกเล่า แม้นไม่มีของให้ดูต่างหน้า เพียงข้อความไม่กี่คำ ก็มีค่านัก”
เรไรมีสีหน้าครุ่นคิด ใจนึงก็อยากทำตามที่ดวงแขบอก แต่อีกใจก็กลัวว่าพ่อแม่จะรู้เรื่อง ดวงแขแอบเหลือบตามองเรไร แม้จะดูนิ่งๆ แต่เห็นแววริษยาในดวงตา
ดวงแขกำลังใช้พู่กัน เขียนจดหมายเลียนแบบลายมือของเรไรอยู่ โดยกางจดหมายเรไรวางเทียบอยู่ข้างๆ พอเขียนเสร็จก็เอาจดหมายของเรไรกับของตนมาเทียบกันใกล้ๆอีกที ดวงแขยิ้มพอใจที่สามารถเลียนแบบลายมือเรไรได้เหมือนเปี๊ยบ สร้างความเข้าใจผิดให้เสมา และเรไรได้แน่นอน
เสมากำลังอ่านจดหมายของเรไรอยู่ริมถนนด้วยสีหน้ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างมีความสุข สินและสมบุญ เดินเข้ามาหาเสมาแล้วยิ้มแซว
“อ่านเสียจนกระดาษจะทะลุแล้ว ยังไม่เบื่ออีกรึพี่เสมา” สมบุญถาม
“ท่าจะมีกระไรดี ถึงได้อ่านไม่ยอมเลิก ให้ฉันอ่านบ้างได้หรือไม่ล่ะพี่” สินถาม
เสมารีบพับจดหมายเก็บทันที
“ทะลึ่งแล้วอ้ายสิน สาสน์นี้แม่หญิงเรไรส่งถึงข้า เรื่องกระไรข้าต้องให้เอ็งอ่านด้วย”
“ไม่อ่านก็ได้ เพียงแค่นัดเจอกันริมกำแพงเมืองคืนนี้เท่านั้น ฉันไม่เห็นอยากรู้เลย” สินว่า
“อ้ายสิน นี่เอ็งแอบอ่านไปแล้วรึ”
“ไปโว้ยอ้ายสมบุญ”
สินและสมบุญรีบวิ่งหนีทันที เสมาจะไล่เตะก็ไม่ทัน ได้ยินแต่เสียงหัวเราะเยาะเย้ยของทั้งคู่ดังลอยกลับมา เสมามองตามแล้วก็ขำๆกับความทะเล้นทะลึ่งของทั้งคู่
เรไรกำลังคุยกับดวงแขอยู่ในศาลาท่าน้ำ เรไรลังเลและลำบากใจ
“หมื่นศึกนัดฉันไปพบคืนนี้ มีกระไรรึ”
“ฉันไม่รู้ดอก หมื่นศึกเพียงแต่ฝากบ่าวมาบอก แต่ไม่ได้แจ้งว่ามีกระไร แต่คงสำคัญกระมัง มิฉะนั้น คงไม่นัดไปพบค่ำๆมืดๆดอก”
“แต่หญิงลอบไปพบชายนอกชายคาเรือนเพลามืดค่ำ มีแต่จะโดนครหา เหตุใดหมื่นศึกจึงนัดเช่นนี้”
“หากแม่เรไรเห็นว่าไม่ควร ฉันจะให้บ่าวไปแจ้งแก่หมื่นศึกเอง แต่หากเป็นข้อสำคัญ คงน่าเสียดายนัก”
เรไรลังเลและหนักใจ ดวงแขแอบเหล่มองด้วยสีหน้าลุ้นให้แผนการสำเร็จ
ลำภูโกรธจัดที่ได้ข่าวการนัดหมายของเสมา โดยมีดวงแขและอำพันนั่งอยู่อยู่ใกล้ๆ
“นี่ถึงขั้นนัดพบกันนอกเรือนเลยรึ คงเห็นฉันตายแล้วกระมัง ถึงได้กล้าทำเหิมเกริมกันถึงเช่นนี้”
ดวงแขปั้นหน้าเศร้าเล่าความเท็จ
“ท่านอาอย่าโกรธแม่เรไรเลยนะเจ้าคะ ผู้ที่นัดคือหมื่นศึกหาใช่แม่เรไรไม่”
“แต่หากแม่เรไรไว้ตัวเสียบ้าง มีรึที่อ้ายไพร่ต่ำสกุลจะกล้าถึงเพียงนี้ หมื่นศึกอาสาชาตินี้อย่าเดินร่วมดินเดียวกันอีกเลย”
“ใจเย็นก่อนเถิดแม่ลำภู เรื่องนี้มิใช่เรื่องเล็กน้อย แลหากความรู้ถึงหูออกขุนรามเดชะ แม่เรไรคงไม่แคล้วต้องกรวนอีกเป็นแน่ เราค่อยคิดหาทางผ่อนปรนจักเหมาะควรกว่า” อำพันว่า
“จริงเจ้าค่ะ แม่เรไรเป็นคนรั้น ยิ่งต้องโทษก็จักยิ่งมุมานะ เอ่อ หลานพอมีอยู่ทางหนึ่ง แต่ท่านอาอย่าบอกแม่เรไรนะเจ้าคะว่ามาจากปัญญาหลาน”
“แม่ดวงแขวางใจเถิด อาหัวสองสีแล้ว ไม่พูดกระไรให้แม่ดวงแขต้องเดือดร้อนดอก”
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ อุบายของหลานคือให้แม่เรไรไปพบกับหมื่นศึกตามนัดเจ้าค่ะ”
“อ้าว เหตุใดเป็นเช่นนั้นเล่า” อำพันแปลกใจ
“เพื่อที่เราจะได้จับให้ได้คาหนังคาเขาไงเล่าเจ้าคะ แม่เรไรเป็นคนรักศักดิ์ หากถูกผู้อื่นจับได้ย่อมต้องอับอาย ภายหน้าก็จะไม่กล้าพบปะหมื่นศึกเพียงลำพังอีก ส่วนทางหมื่นศึกเราก็แจ้งโทษเสีย โทษเช่นนี้ไม่หนักกระไร แต่พอที่จะลบความดีความชอบในการศึกเสียได้ หมื่นศึกก็คงไม่กล้าขอพระราชทานแม่เรไรอีกเจ้าค่ะ”
ลำภูและอำพันหันไปมองหน้ากัน แล้วพยักหน้าเห็นด้วยกับแผนการ ดวงแขอมยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผน
เสมาค่อยๆย่องลงจากเรือนของพันอินอย่างเงียบๆเมื่อยามฟ้ามืด มองซ้าย มองขวาจนแน่ใจว่า ไม่มีใครเห็นก็รีบเดินหนีลงจากเรือนเพื่อจะไปพบเรไรตามนัด เอื้อยแตงและศรีเมืองแอบดูอยู่
“เป็นตามคำที่อ้ายสินแลอ้ายสมบุญบอกโดยแท้ มืดค่ำป่านนี้ทั้งยังติดศึกสงคราม ยังมีแก่ใจไปลอบพบกันอีก” เอื้อยแตงพูดขึ้นด้วยความหึงหวง
“แต่ถึงอย่างไรก็หาใช่กงการกระไรของเราไม่ แม่เอื้อยแตงอย่าไปยุ่งเกี่ยวด้วยเลย”
“ไม่ยุ่งเกี่ยวได้เยี่ยงไร หากไม่ใช่เพราะแม่หญิงเรไรคนนี้ พี่เสมาจะต้องโทษแลเพาะศัตรูถึงเพียงนี้รึ หญิงที่นัดพบชายยามมืดค่ำ ถึงจะเกิดในตระกูลสูงแต่ก็ต่ำด้วยกิริยา แล้วจะให้พี่เสมาหลงงมงายอยู่ได้กระไร”
“แต่...”
“หากแม่ศรีเมืองไม่ไป ฉันก็จักไปคนเดียว”
ขาดคำ เอื้อยแตงก็เดินฉับๆสะกดรอยตามเสมาไปทันที ศรีเมืองตกใจเลยรีบตามเอื้อยแตงไปทันที
สมาเดินลิ่วๆ ไปตามนัดโดยไม่ได้ระแวงว่ามีเอื้อยแตงและศรีเมืองเดินตามหลังมา ทั้งคู่เดินตามเสมามาด้วยความลำบากยากเย็น เพราะเสมาเดินเร็วแถมมืดค่ำเดินลำบากครั้นจะจุดไฟก็ไม่ได้เพราะเสมาจะรู้ตัว
“ไต้ก็ไม่จุด มืดก็มืด เหตุใดยังเดินเร็วปานนี้” เอื้อยแตงพูดอย่างเหนื่อยหอบ
“พี่เสมาชำนาญทาง แลรบในป่ามาก็มาก เราคงยากจะตามทันแล้วแม่เอื้อย”
เอื้อยแตงยืนพิงต้นไม้ข้างทางหอบอยู่ ทันใดนั้นเอง ก็เหลือบไปเห็นเงาดำๆตะคุ่มๆ เคลื่อนไหวอยู่ในดงไม้
“ใครกันรึ...”
พูดไม่ทันจบ ทหารพม่าก็กรูกันออกมาจับตัวเอื้อยแตง และศรีเมืองไว้ แล้วปิดปากไม่ให้ส่งเสียง ครั้นเห็นอาวุธในมือของทหารพม่าแล้วก็ยิ่งกลัวหนักขึ้นไปอีก
เสมาเดินมาถึงริมกำแพงเมืองที่นัดไว้ พอมาถึงก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนหันหลังให้ในเงามืด
“แม่หญิง มานานแล้วรึ” เสมาพูดขึ้น พร้อมกับกอดเรไรไว้ทางด้านหลัง
ทันใดนั้นเอง บรรดาทาสของลำภูพร้อมด้วยอาวุธครบมือก็กรูกันออกมาล้อมเสมาไว้ ลำภูเดินฉับๆตามออกมาทันที ลำภูตวาดแว๊ดเสียงดัง
“งามหน้าแล้วแม่เรไร นัดพบชายมืดค่ำเช่นนี้ ยังเห็นว่าแม่เป็นแม่อยู่หรือไม่”
เสมาตกใจสุดๆที่เห็นลำภู ทรุดลงคุกเข่าพนมมือ
“เมตตาด้วยเถิดขอรับพระคุณ หากจะลงโทษก็ลงโทษข้าพระเจ้าแต่ผู้เดียวเถิด”
“หยุดปากเสียหมื่นศึก เจ้าเองต้องรับโทษเป็นแน่ แต่ฉันจะพูดจากับลูกฉันเสียก่อน” ลำภูหันไปพูดกับเรไร
“ว่ากระไรเล่าแม่เรไร ถึงเพียงนี้แล้ว ไม่ออกมาให้แม่ดูหน้าหน่อยรึ”
ผู้หญิงที่เดินออกจากเงามือกลับเป็นจำเรียง พอทุกคนเห็นว่าเป็นจำเรียงก็ตกใจไม่คิดว่าจะผิดตัวแบบนี้ จำเรียงนั่งพับเพียบยกมือไหว้
“บ่าวเองเจ้าค่ะแม่นาย หาใช่แม่หญิงเรไรไม่”
เสมาก็แปลกใจ ลำภูตกใจนึกไม่ถึง
“จำเรียง เหตุใดเจ้ามาอยู่ที่นี่”
จำเรียงปั้นหน้าเศร้า
“บ่าวนัดพี่เสมาออกมา เพื่อไต่ถามสารทุกข์สุกดิบเจ้าค่ะ บ่าวห่วงพ่อแม่นัก ด้วยที่ต้องรับใช้แม่นายอำพันจึงไม่ได้ไปอยู่กับพ่อแม่ แลพี่เสมาก็ถูกห้ามไปเหยียบเรือนท่านขุนรามเดชะ บ่าวจึงต้องนัดเจอเช่นนี้เจ้าค่ะ”
“แล้วเหตุใดไม่นัดเพลากลางวันเล่า”
“กลางวันบ่าวต้องรับใช้แม่นายกับแม่หญิงดวงแขนี่เจ้าค่ะ”
ลำภูอึกอักไม่รู้จะพูดอะไรดีเลยสะบัดหน้าเดินกลับไป พวกทาสเห็นลำภูเดินกลับไปก็ไม่กล้าอยู่ต่อ รีบตามลำภูกลับไปทันทีเช่นกัน เสมาถอนใจโล่งอก ก่อนหันไปพูดกับจำเรียง
“เหตุใดจึงเป็นเอ็งได้จำเรียงแล้วแม่หญิงเรไรเล่า”
“แม่หญิงเห็นว่าไม่งามที่จะรับนัดพี่ยามค่ำคืน จึงให้ฉันมาแทนเผื่อพี่จะมีเหตุสำคัญจ้ะ”
“ข้าน่ะรึนัดแม่หญิง แม่หญิงเรไรต่างหากที่เขียนสาสน์ไปนัดข้า ข้ายังคิดว่ามีเหตุสำคัญเป็นแน่ จึงรีบมา”
เสมาและจำเรียงมองหน้ากันด้วยความแปลกใจ ต่างคนต่างไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
อ่านต่อหน้า ๓
ความรู้เกี่ยวกับขุนศึก
๓๔. พุกาม เป็นชื่ออาณาจักรโบราณของพม่า โดยรวมเมืองตลอดจนดินแดนของพม่าและ
มอญเอาไว้ด้วยกัน ตั้งขึ้นในพุทธศักราช 1587 โดยพระเจ้าอโนรธามังช่อ และล่มสลายใน
ปีพุทธศักราช 1830
ขุนศึก ตอนที่ ๕ (ต่อ)
เอื้อยแตงและศรีเมืองมีท่าทีหวาดกลัวเมื่อถูกกลุ่มทหารพม่าคุมตัวเข้ามาในสวน โดยเฉพาะศรีเมืองกลัวจนร้องไห้ พม่ามองไปรอบๆแล้วคนหนึ่งก็กล่าวว่า
“ไม่มีผู้ใดแล้ว จัดการเสียที่นี่เถิด”
ทั้งเอื้อยแตงและศรีเมืองรีบโผเข้ากอดกันทันทีด้วยความกลัวที่จะถูกฆ่า แต่เอื้อยแตงยังใจดีสู้เสืออยู่ “เพลานี้เป็นยามศึก การปล้นมีโทษร้ายแรงถึงบั่นคอ พี่ชายทั้งหลายกลับใจเสียเถิดแลเราเป็นคนอโยธยาเช่นกันจะเข่นฆ่ากันไปไย”
พม่าอีกคนหัวเราะชอบใจ
“พวกข้าไม่ได้เป็นคนอโยธยา แต่เป็นคนหงสาแลไม่ได้คิดปล้น หากแต่คิดจะตีอโยธยาต่างหาก”
เอื้อยแตงและศรีเมืองยิ่งตกใจหนักขึ้นเพราะไม่คาดคิดมาก่อน
“ปากพล่อยนักเรื่องเช่นนี้เป็นความลับ เอามาพูดเล่นได้รึ” ทหารพม่าคนหนึ่งเตือนเพื่อน
“จะเป็นกระไรไปเล่า อีกไม่อึดใจพวกนางก็หาชีวิตไม่แล้ว”
พม่าคนหนึ่งถอนใจส่ายหน้าเงยหน้ามองท้องฟ้า
“จวนได้เพลาแล้ว รีบไปลงมือเถิด... เอ็งฆ่านางสองคนนี้เสีย แล้วรีบตามไปสมทบโดยเร็ว”
พม่าคนหนึ่งรีบพาพวกที่เหลือจากไปทันที เหลือเพียงพม่าอีกคนกับเอื้อยแตงและศรีเมืองที่ยังอยู่
“อย่าฆ่าแกงพวกเราเลยจ้ะ เมตตาพวกเราด้วยเถิด” ศรีเมืองร้องไห้ปล่อยโฮ
เอื้อยแตงจ้องทหารพม่าเขม็งด้วยความ เกลียดชัง
“จะให้เมตตารึ แล้วเอ็งทั้งสองมีสิ่งใดมาแลกเปลี่ยนเล่า หากสมน้ำสมเนื้อ ข้าจักลองคิดดู”
เอื้อยแตงสีหน้าเจ้าเล่ห์แสร้งคุกเข่ากอดขาพม่าทันที
“สิ่งใดก็ได้จ้ะ ฉันยอมสิ้นแล้ว ขอแต่ไว้ชีวิตพวกฉันเถิด”
พม่าหัวเราะชอบใจด้วยความหลงลำพองสุดๆ เอื้อยแตงแอบเอื้อมมือไปหยิบก้อนหินบนพื้นขึ้นมาไว้ที่มือ เมื่อพม่าผู้นั้นเชยคางเอื้อยแตงแล้วก้มลงมามองใบหน้าชัดๆก่อนที่จะพูดว่า
“ถ้าเช่นนั้น ข้าก็ขอดูของแลกเปลี่ยนของเอ็งก่อนเถิด”
ขาดคำ...เอื้อยแตงใช้ก้อนหินทุบเข้าเต็มหน้าพม่าคนนั้นทันที พม่าร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะทรุดลงกับพื้น
“หนีเร็วแม่ศรีเมือง ไปคนละทางอย่าให้มันจับได้”
ศรีเมืองตั้งสติได้รีบวิ่งหนีทันที เอื้อยแตงวิ่งหนีไปอีกทาง พม่ากุมใบหน้าที่อาบด้วยเลือดแล้วหยิบดาบลุกขึ้นไล่ตามเอื้อยแตงไป ศรีเมืองวิ่งหนีกระเซอะกระเซิงหนีมาด้วยความหวาดกลัวจนไปชนเข้ากับคนๆหนึ่งอย่างจัง ศรีเมืองผงะออกมาด้วยความตกใจ
เอื้อยแตงวิ่งหนีพม่าที่ตามไล่ฆ่าอยู่จนสะดุดหกล้ม พม่าเงื้อดาบมาฟัน แต่เอื้อยแตงหลบได้หวุดหวิด พร้อมกับหยิบเศษดินขึ้นมากำหนึ่ง พม่าจะเข้าไปซ้ำ เอื้อยแตงขว้างดินใส่หน้าของพม่าจนเคืองตาเลยซ้ำไม่ได้ เอื้อยแตงรีบลุกขึ้นจะวิ่งหนี แต่ทันใดนั้น พม่าก็ฟันไปที่แผ่นหลังของเอื้อยแตงจนสะดุ้งเฮือกด้วยความเจ็บปวดก่อนจะทรุดลงไป หลังพม่าปัดเศษดินที่หน้าตาออกจนหมดแล้วก็หมายจะเข้าฟันเอื้อยแตงซ้ำ
แต่ทันใดนั้น ก็มีมือข้างหนึ่งมาจับมือพม่าไว้แล้วบิดข้อมือจนร้องลั่น พม่าสะบัดหลุดมือนั้นจนหลุด
เสมา...เข้ามาช่วยเอื้อยแตงไว้ ขณะที่ศรีเมืองยืนอยู่ห่างออกไปจากจุดปะทะด้วยความหวาดกลัว
พม่าเข้าไปฟันเสมา แต่เสมาฉากหลบแล้วเตะสวนไปที่ข้อมือของพม่าจนดาบหลุด เสมาพลิกตัวรับดาบเอาไว้ แล้วฟันใส่พม่าจนตายคาที่
ศรีเมืองรีบเข้าไปหาเอื้อยแตงทันที
“แม่เอื้อย”
มือที่ศรีเมืองสัมผัสกับแผ่นหลังของเอื้อยแตงรู้สึกลื่นๆ เมื่อยกมือขึ้นดูปรากฏว่าเลือดเต็มมือ ศรีเมืองตกใจสุดขีดพลางร้องเรียก
“พี่เสมา ช่วยแม่เอื้อยด้วย”
เสมารีบเข้ามาประคองและร้องเรียก “เอื้อยแตง”
เอื้อยแตงมองหน้าเสมาก่อนจะคอพับหมดสติไปเพราะเสียเลือดมาก ศรีเมืองตกใจร้องเรียก “แม่เอื้อย” อย่างสุดเสียง
ทหารพม่ากลุ่มเดิมซึ่งปลอมปะปนเข้ามาในเมืองพร้อมอาวุธและคบไฟครบมือออกมากันพร้อมหน้าเตรียมตัวจะก่อความวุ่นวาย พม่าคนหนึ่งบอกว่า
“เผาบ้านเรือนละแวกนี้เสีย เกิดความวุ่นวายเมื่อใด จงรีบฉวยโอกาสเปิดประตูเมืองรับทัพของพวกเราเข้ามา”
พวกพม่าที่เหลือแยกย้ายกันไปทำตามคำสั่งทันที
ขณะที่พม่าคนหนึ่งกำลังจ่อคบไฟเตรียมจะเผา แต่ทันใดนั้นก็มีดาบเล่มหนึ่งเข้ามาจ่อคอพม่าคนนั้นไว้ พม่าตกใจเมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็ปรากฏว่าสมบุญที่เอาดาบจ่อคอ
สินคุมทหารไทยจำนวนหนึ่งออกเล่นงานพวกพม่าที่ปลอมตัวเข้ามา สู้กันได้ไม่เท่าไหร่ ก็จัดการได้หมดสิ้น
วันรุ่งขึ้น เอื้อยแตงนอนคว่ำอยู่บนเตียงภายในบ้านพันอิน เอื้อยแตงค่อยๆลืมตาฟื้นขึ้นมาเห็นแต้มนั่งเฝ้าอยู่ พอเอื้อยแตงฟื้นแต้มก็ดีใจยกใหญ่
“นังเอื้อยแตงฟื้นแล้ว”
ศรีเมือง มั่น และบุญเรือนได้ยินเสียงเลยรีบเข้ามาในห้อง
“แม่เอื้อย แม่เอื้อยเป็นกระไรบ้าง” ศรีเมืองถามขึ้น
พอเอื้อยแตงขยับตัวก็เจ็บแผลที่หลังขึ้นมาจนต้องโอดโอย
“ช้าๆซีวะ นังม้าดีดกะโหลกนี่ เอ็งเพิ่งโดนดาบฟันหลังมา บุญรักษาเท่าใดแล้วที่ไม่ตาย”
“แหมพ่อ พอฉันฟื้นมาก็ด่าขรมเชียว”
เอื้อยแตงนึกขึ้นได้รีบถามขึ้น
“แล้วอ้ายข้าศึกเล่า มันก่อการสำเร็จหรือไม่แม่ศรีเมือง”
“ไม่ดอก พี่เสมาพาพวกไปจับมันไว้ได้ เอ้อ คนที่ช่วยแม่เอื้อยแตงไว้ ก็คือพี่เสมา ไม่รู้ว่าแม่เอื้อยแตงได้ทันเห็นก่อนเป็นลมล้มพับไปหรือไม่”
เอื้อยแตงที่คิดจะจับผิดเสมา แต่เสมากลับช่วยชีวิตไว้
“แล้วพี่เสมาเล่าอยู่ที่ใดกัน ฉันจักขอบพระคุณสักหน่อย”
“เสมาออกไปแต่เช้ามืดแล้ว คงไปพบแม่หญิงเรไรอีกห้ามเท่าใดก็ไม่ฟังจริงๆ”
“อ้ายเสมาบอกว่าสิ้นศึกครานี้ จะขอพระราชทานแม่หญิง ดูท่ามันคงรักมั่นแม่หญิงเรไรแน่แท้” มั่นพูดขึ้นพลางส่ายหน้าช้าๆ
เอื้อยแตงมีสีหน้าซึมจ๋อยลงทันทีที่ไม่สามารถเปลี่ยนใจเสมาได้ เช่นเดียวกับศรีเมืองที่ตกอยู่ในหัวอกเดียวกันแบบไม่ตั้งใจ
ยามเช้า เสมานั่งอยู่บนเรือ โดยกำลังคุยกับเรไรที่เตรียมตักบาตรอยู่ที่ศาลาท่าน้ำ
“แผลของเอื้อยแตงไม่ลึกเท่าใดดอกแม่หญิง แต่คงตกใจจนสลบไปเสียมากกว่า พักไม่กี่เพลาก็คงจะหาย”
เรไรรู้สึกโล่งอก
“เช่นนี้ฉันก็เบาใจแม่เอื้อยแตงไม่เป็นกระไรก็ดีแล้ว พระเสื้อเมือง พระทรงเมืองคุ้มครองโดยแท้ หากไม่เกิดเหตุกับแม่เอื้อยแตง ป่านฉะนี้ อโยธยาอาจจะแตกอีกคราก็เป็นได้”
“แต่ข้าพระเจ้ายังสงสัยเรื่องของเราอยู่ ในเมื่อแม่หญิงไม่ได้นัดข้าพระเจ้า ข้าพระเจ้าก็ไม่ได้นัดแม่หญิง แล้วเป็นฝีมือของผู้ใดกัน”
“ฉันถามแม่ดวงแขแล้ว แม่ดวงแขก็ตกใจไม่น้อย คาดว่าบ่าวมันคงรู้เห็นเป็นใจด้วยแม่ท่านเป็นแน่”
เสมาสงสัยรู้สึกว่า เรื่องนี้มีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ แต่ยังคิดไม่ออก
ขณะนั้นเอง พระภิกษุก็พายเรือบิณฑบาตผ่านมา
“พระท่านมาแล้ว เสมารีบไปเถิด”
เสมามองเรไรตาละห้อย
“เมื่อใดอ้ายเสมาจะได้มีวาสนาได้ใส่บาตรพร้อมกับแม่หญิงบ้างหนอ”
“ยังจะพิรี้พิไรอยู่อีก ประเดี๋ยวแม่ท่านก็มาเห็นเข้าอีก ครานี้จะหาคำใดมาแก้ ก็คงไม่รอดดอก” เรไรทำเสียงดุใส่
เสมายิ้มแย้ม ก่อนจะพายเรือจากไป เรไรมองตามแล้วอมยิ้ม ก่อนจะหันไปนิมนต์พระรับบาตร ดวงแขยืนแอบดูภาพบาดตาบาดใจอยู่ด้วยความริษยาที่เพิ่มพูนมากขึ้นทุกที
ดวงแขมาทำบุญกับลำภูและอำพัน ต่างเดินคุยกันมาโดยมีพวกทาสถืออาหารและของที่ใช้ทำบุญตามหลังมา ลำภูพูดขึ้นด้วยความเจ็บใจ
“อาก็เสียดายนักที่จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน ไม่เช่นนั้นอ้ายหมื่นศึกคงโดนดีเป็นแน่ แต่ก็ยังมีข้อโล่งใจอยู่บ้าง ที่แม่เรไรไม่ได้หลงเพลินจนเสียศักดิ์ ยอมไปพบกับชายยามมืดค่ำ”
“แต่หากเป็นเช่นนี้หมื่นศึกคงทำความชอบขอพระราชทานแม่เรไรได้สักวัน ท่านอาจะยอมได้รึเจ้าคะ” ดวงแขแสร้งยุแยงอยู่ในที
ลำภูแสดงท่ารังเกียจเสมาจนออกนอกหน้า
“ให้ดินกลบหน้าอาก่อนเถิด ที่จะยอมมีเขยเป็นอ้ายช่างตีเหล็กต่ำสกุลเช่นนั้น”
ลำภูหันไปพูดกับอำพัน
“เห็นทีพ่อขันกลับจากศึกละแวกเมื่อใด เราคงต้องจัดงานแต่งกันเสียแล้วพี่อำพัน”
อำพันถอนหายใจแล้วว่า
“ข้อนั้นฉันไม่ขัดดอก เพราะฉันก็รักแม่เรไรเสมอลูกอยู่แล้ว แต่หากแม่เรไรไม่ยอมเล่าฉันก็จนปัญญา”
“แม้ไม่ยอมก็ต้องบังคับ ไว้รอพี่ขุนรามกลับมาก่อนเถิด แล้วจะได้เห็นกัน” ลำภูทำเสียงขึงขังขึ้นมา
ดวงแขแอบยิ้มพอใจ
บ่ายวันเดียวกัน เอื้อยแตงยังนอนคว่ำอยู่บนฟูกที่ชานบ้านเพราะเจ็บแผลที่หลัง เสมาเดินขึ้นเรือนมา พอเห็นเอื้อยแตงนอนคว่ำก็หัวเราะชอบใจจนเอื้อยแตงเกิดอาการงอน
“ขำกระไร ไม่เคยเห็นคนนอนคว่ำรึ”
“ปากเอ็งนี่มันคมกว่าดาบหงสาเสียอีก ถึงขนาดฟันเข้ากลางหลังยังหยุดให้เอ็งด่ามิได้” เสมาพูดปนหัวเราะ
เอื้อยแตงหงุดหงิดพยายามยันตัวลุกขึ้นนั่งเลยเจ็บแผลอีก
“โอ๊ย”
เสมาเป็นห่วงรีบเข้าไปประคอง
“เจ็บแผลรึแล้วจะลุกขึ้นมาทำกระไร ทำไมไม่นอนเสีย”
เอื้อยแตงยังงอนอยู่จึงปัดมือเสมาออกแล้วทิ้งค้อนตามประสาหญิง
“สนใจด้วยรึ นึกว่าสนใจแต่แม่หญิงเรไรคนงามเสียอีก ออกไปหาแต่รุ่งสางกลับเอาบ่ายคล้อย คงมีเรื่องพูดคุยกันมากสิท่า”
“เอ็งอย่าพูดเช่นนี้ไป ใครได้ยินเข้าแม่หญิงเรไรจะมัวหมอง ข้าได้ปะหน้าแม่หญิงเพียงชั่วครู่ คุยกันไม่กี่คำเท่านั้นดอก จากนั้นข้าก็ไปหาออกญาเดโช เพื่อเล่าแจ้งเรื่องเมื่อคืนแก่ท่าน จึงเพิ่งกลับมา”
ศรีเมืองเดินถือชามใส่ยาออกมาจากข้างใน
“แม่เอื้อยแตง ถึงเพลาพอกยาแล้วจ้ะ”
“มา ข้าช่วย”
เสมาทำท่าจะถอดเสื้อเอื้อยแตงที่ตกใจจนต้องรีบถอยหนีด้วยความตกใจและอาย
“จะทำกระไร”
เสมาไม่ได้คิดอะไร ได้แต่ถามกลับด้วยความงงๆ
“ก็จะพอกยาที่หลังให้เอ็งซิ ไม่ถอดเสื้อแล้วจะพอกได้อย่างไร”
“ฉันถอดเองเป็นดอก พี่ไม่ต้องวุ่นวาย โน่น ลงเรือนไปได้แล้ว” เอื้อยแตงตวาดแว๊ดทันที
“แล้วเหตุใดข้าต้องลงจากเรือนด้วย หรือว่าเอ็งอายข้า เอ็งอายข้ารึเอื้อยแตงจะอายกระไร ข้าเห็นเอ็งแก้ผ้ามาแต่เล็กแต่น้อย ข้าเห็นเสียจนนับไม่ถ้วน ไฝแดงไฝดำมีตรงไหนบ้าง ข้าจำได้หมด” หลังเสมาฉุกคิดขึ้นได้แล้วก็หัวเราะลั่น จนเอื้อยแตงหน้าแดงด้วยความอาย
“อ้ายเสมา”
เอื้อยแตงหยิบของใกล้มือขว้างใส่เสมา ศรีเมืองได้แต่ขำขันไปมา เสมาเอามือปัดของพัลวัน
“เฮ้ย”
ครั้นเอื้อยแตงจะหยิบอะไรกว้างปาอีกก็มีอาการเจ็บแผลขึ้นมาจนร้อง “โอ๊ย”
ขณะนั้นเอง สินวิ่งหน้าตาตื่นขึ้นมาบนเรือนด้วยความเป็นห่วง
“แม่เอื้อยแตง เป็นกระไรบ้าง เจ็บที่ใดบอกฉันเถิด พิโธ่เอ๋ย ฉันเพิ่งรู้เรื่องจึงมาช้าไป แต่ฉันห่วงแม่
เอื้อยแตงเสียแทบขาดใจ แม่เอื้อย”
เอื้อยแตงกรี๊ดลั่นใส่หน้า จนสินสะดุ้งตกใจ ผงะถอยออกไปทันที
“ฉันพูดกระไรผิดรึ” สินหันไปมองเสมาเป็นเชิงถาม
ศรีเมืองถอนใจแล้วว่า
“หัวหมู่สิน ยาของแม่เอื้อยจวนหมดแล้ว วานไปตำยาเพิ่มสักหน่อยเถิด ตัวยาอยู่ด้านใน หัวหมู่เข้าไปก็เห็นเอง”
“ได้ซีแม่ศรีเมือง”
สินรีบเข้าไปข้างในทันที
“พอกยาเถิดแม่เอื้อยแตง” ศรีเมืองบอก
เอื้อยแตงมองเหล่ๆมาที่เสมา เสมายิ้มกวนๆแต่ก็เบือนหน้าไปทางอื่น
เสียงครกดังสนั่นออกมาจากด้านใน สินบ้าพลังตำยาแบบไม่ยั้งด้วยความเป็นห่วง เอื้อยแตงหงุดหงิดหัวใจอยู่เลยพาลตะโกนใส่
“เบาหน่อยเถิดอ้ายสิน หูข้าจะแตก”
ศรีเมืองเข้ามาช่วยปลดผ้าทายาที่หลังให้เอื้อยแตง เสมาก็แกล้งทำเป็นเหล่ๆ มอง เอื้อยแตงจับเสื้อกันโป๊ตลอดเวลา สายตาคอยชำเลืองมองเสมา ทั้งอายทั้งเขินสุดๆ
ผ่านเวลาไป เจ็ดแปดวัน ที่ค่ายพระยาศรีไสยณรงค์ ขันและพุฒกำลังเลี้ยงเหล้า เลี้ยงอาหารทหารกลุ่มหนึ่งอย่างสนุกสนาน ฉลองกันเต็มที่
“กินเลย กินให้พอ ไม่พอก็ขนมาอีก พวกละแวกมันแตกพ่ายไปสิ้น ไม่กล้ามาเหิมเกริมกับอโยธยาอีกแล้ว เราจึงต้องฉลองกันให้สาสมใจ” พุฒพูดพลางหัวเราะร่วน
ทหารคนหนึ่งเมามายเสียงอ้อแอ้หัวเราะตามแล้วบอก
“ขอบน้ำใจพี่พุฒพี่ขันนัก ออกศึกมานานเดือนเพิ่งจักได้กินดีก็วันนี้เอง”
“อุบ๋า เอ็งพูดกระไรวะ พวกข้าทำความดีความชอบได้เป็นหมื่นชาญณรงค์กับหมื่นทรงเดชะแล้ว เอ็งยังกล้าเรียกชื่อข้าอีกรึ” ขันเมาโมโหพูดขึ้น
“ขอขมาเถิดจ้ะพี่หัวหมื่นทั้งสอง ฉันผิดไปแล้วอภัยให้ฉันเถิด”
ขัน พุฒ และพวกทหารคนอื่นๆก็กินเหล้าฉลองกันต่อ เฮฮาเสียงดังลั่น
พันอินเดินผ่านมา เหล่มองขันและพุฒด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม พลางส่ายหน้าอย่างระอา
“พอสิ้นศึกก็ตั้งวงสุรา”
พันอินจะเดินไปอีกทาง แต่ขันเหลือบเห็นเข้าเลยรีบเข้าไปหา
“ท่านลุงพันอิน จะไปที่ใดกันเล่า สิ้นศึกแล้ว เรามากินสุราให้สำราญใจกันเถิด”
ขันดึงแขนพันอินจะลากมา พันอินดึงมือขันออกอย่างไม่พอใจ
“เชิญหมื่นชาญณรงค์เถิดฉันไม่สันทัดเรื่องเครื่องดองของเมา เสร็จศึก ขอพักให้สบายแก่ตัวก็พอแล้ว”
พันอินจะเดินเลี่ยงไป ขันไม่พอใจถึงกับด่าตามหลัง
“หักหน้ากันเช่นนี้ เพราะถือว่ามีลูกบุญธรรมเป็นหมื่นศึกอาสาใช่หรือไม่ อ้ายเสมาเป็นหัวหมื่น ฉันก็หัวหมื่นเสมอกัน หากลัวมันดอก”
พุฒเดินเมาแอ๋เข้ามาสมทบกับขัน
“ลูกบุญธรรมเช่นอ้ายเสมาจะมีคุณวิเศษกระไรกัน รอมันสนองคุณด้วยแม่ศรีเมืองก่อนเถิด ข้าจะหัวเราะสมน้ำมะหน้าให้”
“อีกแล้วรึ พูดเช่นนี้อีกแล้วรึ วิสัยชายชาติทหารมีกระไรก็พูดกันโดยตรง ใส่ไคล้หมื่นศึกลับหลังเช่นนี้หาสมเป็นทหารไม่”
“พวกฉันไม่ได้ใส่ไคล้ อ้ายเสมามันเป็นคนเนรคุณ กินบนเรือนขี้รดบนหลังคา หากไม่เชื่อ พันอินก็ไปถามท่านอาดูเถิด ที่อ้ายเสมาเป็นหัวหมื่นแล้วยังยากจนหาศักดินาได้ไม่ก็เพราะความเนรคุณของมันเอง”
พันอินชะงักติดใจกับคำพูดประโยคหลังของขันขึ้นมาทันที
ขุนรามเดชะกำลังคุยกับพันอินด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ฉันยอมรับว่าไม่ได้ใส่ชื่ออ้ายเสมาเข้าสังกัดมูลนาย มันจึงเป็นได้แต่ทหารอาสา ไร้ซึ่งศักดินา”
“เหตุใดออกขุนท่านทำเช่นนี้เสียแรงที่ฉันฝากฝังลูกไว้กับออกขุน แต่กลับรังแกเด็กมันถึงเพียงนี้”
ขุนรามเดชะถอนใจหนักๆ
“ฟังฉันก่อนเถิดพี่พันอิน คราแรกฉันตั้งใจจะเกื้อหนุนมัน แต่มันกลับลบหลู่ฉัน คิดเหิมเกริมหมายปองแม่เรไร แล้วจักให้ฉันเลี้ยงมันไว้อีกรึ”
“ฉันรู้ว่า ออกขุนถือยศศักดิ์ แต่เรื่องรักใคร่ใช่จะห้ามกันได้ แลเสมาก็มีความชอบในราชการเป็นหัวหมื่นแล้วสักวันต้องได้เป็นขุนศึกขุนพลเป็นแน่ แล้วออกขุนจะรังเกียจเดียดฉันท์ไปทำไมกัน”
“หากมันประพฤติตามธรรมเนียม แลรอวาสนาตัวจนได้เป็นขุนพลแล้ว ฉันก็คงไม่รังเกียจดอก แต่มันกลับลักลอบพบปะแม่เรไรเป็นหลายครา พูดไปก็อับอายนัก เอาเป็นว่าหากอ้ายเสมามันกระทำบัดสีกับแม่ศรีเมืองถึงบนเรือนของพี่พันอินบ้าง พี่พันอินยังจะเลี้ยงมันไว้อีกหรือไม่เล่า”
พันอินชะงักไปทันทีชักโน้มเอียง เพราะโดนทักเรื่องนี้บ่อยเข้าก็เลยไม่กล้าเข้าข้างเสมาอีก
ห้าเดือนต่อมา สมเด็จพระนเรศวรบุกตีค่ายพระมหาอุปราชาด้วยกำลังทหารไทยซึ่งน้อยกว่าฝ่ายพม่า รบพุ่งเก่งกว่า ทหารพม่าเริ่มแตกพ่ายไปเรื่อย
เสมาบุกทะลวงจนทหารพม่า 5-6 คนแตกกระเจิงจนไปถึงธงของทัพหงสาวดี เสมาร้องลั่น ก่อนจะฟันเสาธงของทัพหงสาเต็มแรงเกิด จนเสาธงหักสะบั้นลง
กองทัพหงสาวดีได้ล้อมกรุงศรีอยุธยานานถึง 5 เดือนเศษ ก็ยังไม่สามารถเอาชนะได้ แถมยังถูกปล้นทัพ รื้อค่ายบ่อยครั้งจนได้รับความลำบากอย่างยิ่ง แม้กระทั่งค่ายของพระมหาอุปราชาก็ยังต้องแตก ถอยร่นจากขนอนบางตะนาวไปอยู่ที่บางกระดาน ทำให้พระเจ้านันทบุเรงทรงท้อพระทัย ยกทัพกลับไปในที่สุด
บรรยากาศยามเช้าในค่ายของพระเจ้านันทบุเรง บรรดาทหารต่างเก็บของ อาวุธ เสบียง ฯลฯ เพื่อถอยทัพกลับหงสาวดี บนพลับพลา พระเจ้านันทบุเรงทรงประทับอยู่ผู้เดียวด้วยสีพระพักตร์เต็มไปด้วยความท้อแท้สิ้นหวัง ขุนนางคนหนึ่งเดินเข้าไปในพลับพลา แล้วคุกเข่าลงพนมมือถวายบังคมพระเจ้านันทบุเรง
“ขอเดชะ พระอาญาไม่พ้นเกล้า จวนได้เพลาฤกษ์แล้ว ขอเชิญพระองค์เสด็จเถิดพระพุทธเจ้าข้า”
“ข้าไม่เข้าใจ ยกทัพมาครานี้ เป็นทัพกษัตริย์ถึงสามทัพ แลยังมีรี้พลจากหัวเมืองประเทศราชอื่นอีก ยิ่งใหญ่ไม่แพ้คราวสมเด็จพระราชบิดา แต่ข้างอโยธยานั้น ไพร่พลน้อยกว่าครั้งพระมหินทราธิราชมากนัก แล้วเหตุใดข้าจึงไม่อาจเอาชำนะได้”
“พระองค์อย่าทรงวิตกเลยพระพุทธเจ้าข้า อย่างไรเสียอโยธยาก็มีรี้พลน้อยกว่าเรานัก รบขับเคี่ยวกันไปหลายคราย่อมหมดกำลังไปเอง ชัยชำนะย่อมตกเป็นของพระองค์เป็นแน่ พระพุทธเจ้าข้า”
“ขับเคี่ยวหลายครารึ เจ้าจักบอกว่า ทหารหงสาสู้ทหารไทยไม่ได้ ต้องใช้กำลังมากกว่าเข้ารบ จนข้าศึกสิ้นแรงไปเองกระนั้นรึ”
“มิใช่ทหารหงสาสู้ไม่ได้ดอกพระพุทธเจ้าข้า แต่องค์พระนเรศทรงกล้าหาญในการศึกแลบังคับบัญชาทหารเด็ดขาดนัก เหล่าทหารกลัวสมเด็จพระนเรศยิ่งกว่ากลัวความตาย จึงสู้รบถวายชีวิตทุกครา แม้รี้พลน้อยก็เหมือนมีมากพระพุทธเจ้าข้า”
พระเจ้านันทบุเรงคิดตามแล้วก็ถอนใจหนักๆ ยอมรับว่า ขุนนางพูดไม่ผิดจริงๆ
ภายในบ้านของขัน อำพันกำลังสั่งงานบรรดาทาสหญิงจนพวกทาสวิ่งวุ่นกันยกใหญ่ เพื่อรับใช้ขันที่เพิ่งกลับมาจากศึกละแวก
“เร็วๆเข้า มีน้ำท่า ของคาวหวานใด ยกมาให้พ่อหมื่นลูกข้าประเดี๋ยวนี้”
อำพันสั่งงานเสร็จก็เดินเข้าไปหาขันซึ่งสวมชุดเครื่องแบบอยู่ ดวงแขนั่งคุยอยู่ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
“พ่อขันรอสักครู่เถิด หนีภัยศึกไปอยู่เรือนออกขุนรามเสียห้าเดือน เพิ่งกลับมาได้ไม่กี่วัน กระไรก็ยังไม่เข้าที่เข้าทางนัก”
“ไม่เป็นกระไรดอกจ้ะแม่ เพียงแค่เรือนเรายังดีอยู่ ไม่วายวอดเหมือนเรือนอื่น ก็ถือว่าบุญหนักหนาแล้ว”
“เทวดาท่านปกปักรักษาพวกเรานัก ไม่เพียงแต่บ้านเรือนยังอยู่ดี พี่ขันไปศึกละแวกกลับมานอกจากจะพ้นโทษเก่าแล้วยังได้ความชอบเป็นถึงหมื่นชาญณรงค์อีก” ดวงแขว่า
“ ศึกละแวกครานี้ไม่หนักเท่าใด สบายกว่ารับศึกหงสามากนัก ได้ยินว่าศึกหงสาครานี้บาดเจ็บล้มตายกันมากไม่ใช่รึ”
“จ้ะ พวกพม่ารามัญล้อมอโยธยาเสียห้าเดือนเศษ ไม่เพียงอาณาประชาราษฎร์จักเดือดร้อน ทหารบาดเจ็บล้มตายเท่านั้น แม้แต่สมเด็จเจ้าฟ้าวังหน้าท่านยังต้องอาวุธข้าศึกเสียหลายครา”
“เสียดายนัก”
“เสียดายกระไรรึ”
“เสียดายที่อ้ายเสมาไม่ตายน่ะซี หากมันตาย ต้องถือว่าพี่กลับจากศึกละแวกครานี้ มีแต่ข่าวดีทั้งสิ้น แต่มันยังอยู่ก็มีข้อดีเช่นกัน มันจะได้เห็นวาสนาของพี่ เพลานี้พี่เป็นหัวหมื่นเสมอมันแล้ว ไม่นานนักพี่ต้องอยู่เหนือมันให้จงได้”
สีหน้าแววตาของขันเต็มไปด้วยเหิมเกริม กร่างเต็มที่ ในขณะที่ดวงแขไม่สบายใจเพราะแค่เรื่องเรไรก็หนักพอแล้วที่ดวงแขหมายจะช่วงชิงเสมามาครอบครองไว้ นี่ยังมีเรื่องบาดหมางระหว่างขันกับเสมาซ้อนเข้ามาอีกเรื่อง
สมเด็จพระนเรศวรประทับอยู่บนบัลลังก์ แทนพระมหาธรรมราชาซึ่งทรงทรงประชวรหนัก ส่วนสมเด็จพระเอกาทศรถทรงประทับบนตั่งลดระดับลงมา ทั้งสองพระองค์ทรงแวดล้อมด้วย ขุนนาง อำมาตย์มากมาย ขุนนางคนหนึ่งเข้าถวายบังคมทูลรายงาน
“ขอเดชะ พระอาญาไม่พ้นเกล้า บัดนี้ ผู้ที่ได้รับการเลื่อนศักดิ์เป็นขุนทั้งแปด ได้มารอเข้าเฝ้าแล้ว พระพุทธเจ้าข้า”
“ให้เข้ามาได้”
ขุนนางหันไปตะโกนสั่ง
“ขุนศึกทั้งแปด เข้าเฝ้า”
สักครู่หนึ่งก็มีชายวัยสี่สิบกว่าๆเดินเรียงกันเข้ามาถึง7 คน จนถึงคนสุดท้ายคือเป็นเสมาซึ่งมีลำดับอายุน้อยสุด ขุนศึกใหม่ทั้งแปด นั่งคุกเข่าลง แล้วถวายบังคมต่อสมเด็จพระนเรศวร ทรงมีรอยยิ้มชื่นชมต่อทหารกล้ามีฝีมือทั้งแปดคน ฝ่ายเสมาปลาบปลื้มภาคภูมิใจที่สุดของชีวิต
ภายในตำหนัก บัวเผื่อนกำลังคุยกับเรไรด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ในขณะที่เรไรคุยไปร้อยมาลัยไปด้วย
บัวเผื่อนยิ้มแย้มอวยเต็มที่
“มิเสียแรงที่แม่เรไรเฝ้าสมัคร ผู้อื่นกว่าจักได้เป็นขุนก็เกินสี่สิบแล้ว แม้แต่สามสิบต้นยังหายาก แต่ขุนศึกไชยชาญของแม่เรไรยังไม่ทันจะเบญจเพสเลย”
“ดูพูดเข้าแม่บัวเผื่อนของฉันกระไรกัน ใครได้ยินเข้า ฉันจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด”
“ไม่ต้องอายดอกแม่เรไร ฉันก็ดีใจพลอยด้วย ดูเถิด ใครอื่นสิ หยามเค้าบัดนี้เรไรแม่สมควรจักเอ่ยได้แล้วว่าขุนพลทหารเจ้าฟ้าท่านนี้ คือเสมาช่างตีเหล็กทาสรักแม่หญิง”
“พิลึกแล้วแม่บัวเผื่อน ไฉนจักให้ฉันไปเที่ยวพูดโพนทะนาด้วยเล่า เราเป็นหญิง พูดไปจะควรรึ อนึ่งพ่อแม่ท่านก็ชังเสมานัก”
“ใครหนอจักชังขุนศึกทหารสมเด็จองค์เจ้าฟ้านเรศได้ แม้จักมีถือชัง ก็ต้องยอมลงด้วยพระบรมราชโองการเป็นแน่ จริงหรือไม่เล่าแม่เรไร”
บัวเผื่อนทำพูดดีประจบไป แต่คล้อยหลังก็แอบเหยียดปากหมั่นไส้ปนอิจฉาอยู่ในที
เสมายืนกระวนกระวายอยู่หน้าวัง รอลุ้นว่า จะได้พระราชทานเรไรหรือเปล่า ขณะนั้นเอง ขันกับพุฒก็เดินคุยกันด้วยสีหน้ายิ้มแย้มผ่านมา พอเห็นเสมา ทั้งคู่ก็เข้าไปกร่างใส่ทันที
“เหยียบเรือนมิได้ก็มาเฝ้ารอหน้าวังเชียวรึหมื่นศึกอาสา ช่างน่าเวทนานัก” ขันว่า
เสมาไม่อยากต่อล้อต่อเถียงด้วยจึงนิ่งเสีย พุฒยิ้มเยาะเสมา
“รอไปก็หาเป็นประโยชน์อันใดไม่ หัวหมื่นยากจนมีน้องสาวเป็นทาสต้องเร่ตีดาบขาย ไหนเลยจะมาสู้หมื่นชาญณรงค์ผู้มั่งมีได้เล่า”
“หมื่นทรงเดชะพูดตรงนัก เสียดายที่ยังมีคนไม่เจียมกะลาหัวคิดเผยอจะแข่งวาสนากับฉันอีก”
ทั้งคู่หัวเราะชอบใจ ขณะนั้นเอง บัวเผื่อนพร้อมด้วยนางข้าหลวงสองสามคนก็เดินออกมาจากในวังมาพอดี บัวเผื่อนแกล้งทักพุฒทันที
“อ้าว ท่านขุนศึกไชยชาญ มาทำกระไรตรงนี้รึ”
“ใครกันแม่บัวเผื่อน ขุนศึกไชยชาญ ทักผิดคนแล้วกระมัง” พุฒพูดอย่างแปลกใจ
บัวเผื่อนยิ้มหยันพลางมองไปทางเสมา
“ ไม่ผิดดอก ขุนศึกไชยชาญก็ยืนอยู่ที่นี่ยังไงเล่า เพิ่งจักได้พระราชทานยศขุนวันนี้เอง ฉันขอดีใจด้วย”
ขันและพุฒตกใจหน้าเสียทันทีที่รู้ว่าเสมาได้รับพระราชทานตำแหน่งขุนก่อนพุฒและขัน
“ขอบน้ำใจแม่หญิงบัวเผื่อนนัก ในเมื่อแม่หญิงร่วมดีใจกับฉันแล้ว ก็ขอแม่หญิงเอาใจช่วยฉันอีกเรื่องเถิด ฉันเพิ่งขอพระราชทานแม่หญิงเรไรจากสมเด็จเจ้าฟ้าวังหน้าท่าน ป่านฉะนี้แล้ว ยังไม่รู้เป็นประการใดเลย”
บัวเผื่อนได้ทียิ้มแย้ม ย้ำเยาะขันกับพุฒทันที
“ขอพระราชทานแม่เรไรแล้วรึ ควรแล้ว ศึกหงสาครานี้ท่านขุนมีความชอบนัก เพียงแค่ขอพระราชทานแม่เรไร พระองค์ต้องทรงโปรดเป็นแน่”
ขันขบกรามแน่นแค้นแทบกระอักเลือด จ้องหน้าเสมาเขม็งก่อนเดินฉับๆ ไปอย่างหัวเสีย
พุฒถึงขนาดหน้าถอดสี เพราะถ้าเรไรไม่ได้แต่งกับขัน ก็เป็นอันว่า พุฒอาจจะหมดหวังเรื่องดวงแขไปด้วย จึงเดินอย่างหงุดหงิดตามขันไปอีกคน บัวเผื่อนเหยียดปากตามใส่อย่างสะใจ เสมายิ้มปลื้มใจมีความหวังเต็มเปี่ยม
อ่านต่อ หน้า ๔
ความรู้เกี่ยวกับขุนศึก
๓๕. พระเสื้อเมือง คือเทวดาที่มีหน้าที่คุ้มครองเมืองทั้งทางบกและทางน้ำ คุมกำลังไพร่พล และรักษาบ้านเมืองให้ร่มเย็นเป็นสุขปราศจากศัตรูมารุกราน พระทรงเมือง คือเทวดาที่มีหน้าที่รักษาการปกครอง และ กระทรวง ทบวง กรมต่างๆ ทั้งดูแลทุกข์สุขของประชาชนให้ร่มเย็นเป็นสุข
......................................................................................................
ขุนศึก ตอนที่ ๕ (ต่อ)
เวลาเย็น ภายในพระบรมมหาราชวัง ขุนรามเดชะกำลังหมอบกราบอยู่กับพื้นเพื่อทูลให้สมเด็จพระนเรศวรกับสมเด็จพระเอกาทศรถทรงทราบ
“ข้าพระพุทธเจ้า ได้รับปากหมั้นหมายลูกกับหมื่นชาญณรงค์แล้วพระพุทธเจ้าข้า”
“หมั้นหมายแล้วรึ แต่ที่เราได้ยินมา บุตรสาวเจ้ายังไม่ได้ผูกข้อไม้ข้อมือ เพราะเหตุที่มีผู้ลอบเผาเรือนจนวุ่นวายก่อนไม่ใช่รึ”
ขุนรามเดชะจำเป็นต้องพูดปด แม้จะกลัวอาญาอยู่เหมือนกัน
“ถูกแล้วพระพุทธเจ้าข้า แต่ในศึกละแวกครานี้ หมื่นชาญณรงค์ได้ขอหมั้นหมายแม่เรไร อีกข้าพระพุทธเจ้าตกปากรับคำ แลรับของหมั้นหมายมาแล้วพระพุทธเจ้าข้า”
“แต่หากเป็นพระราชประสงค์ หม่อมฉันก็พร้อมคืนของหมั้นให้แก่หมื่นชาญณรงค์เพคะ” ลำภูว่า
“ไม่ต้องดอก ทำเช่นนั้นก็เหมือนดั่งเราทำให้พวกเจ้าเสียสัตย์ แล้วเราจะตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรมได้อย่างไร”
พระเอกาทศรถทรงตรัสว่า
“เมื่อไม่อาจพระราชทานนางข้าหลวงเรไรได้ สมเด็จพี่ก็พระราชทานของอื่น ให้แก่ขุนศึกไชยชาญแทนเถิด พระพุทธเจ้าข้า”
“คงต้องเป็นเช่นนั้น”
ขุนรามเดชะและลำภูกราบบังคมทูลด้วยสีหน้าซีดเผือด หวาดกลัวสุดๆ เพราะไม่อยากได้เสมาเป็นเขย
ในเวลาต่อมา ขุนรามเดชะ กำลังเดินคุยกับลำภูมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ครานี้ฉันกลัวเจียนตาย หากองค์สมเด็จเจ้าฟ้าท่านทรงทราบว่าเราโป้ปด คงไม่แคล้วโดนตัดคอเป็นแน่” ลำภูว่า
“เราไม่ได้ปดเรื่องใหญ่โตกระไร เพียงแต่ทูลท่านว่าแม่เรไรหมั้นหมายกับพ่อขันแล้วเท่านั้น ใช่ว่าฉันอยากจะทำ แต่แม่ลำภูทนได้รึที่จะมีลูกเขยเป็นอ้ายช่างตีเหล็กต่ำสกุลเช่นนั้น”
“ยังจะพูดอีกรึท่านขุน ถ้าฉันทนได้จะเสี่ยงโดนตัดคอหากระไรเล่า” ลำภูทิ้งค้อนใส่ขุนรามเดชะ
“ต้องขอบน้ำใจแม่ดวงแขโดยแท้ หากแม่ดวงแขไม่แจ้งแก่เราก่อนว่า อ้ายเสมาจะมาไม้นี้ เราคงแก้ไขไม่ทันเป็นแน่ อ้ายเสมา น้ำมะหน้าอย่างมึง คิดจะมาร่วมวงศ์กับกู รอกูตายเสียก่อนเถิด”
เสมาเดินถือตะเกียงคุยกันมากับจำเรียงยามค่ำ เสมาสีหน้าผิดหวังมาก
“สมเด็จเจ้าฟ้าวังหน้าท่านทรงทศพิธราชธรรม หามีพระประสงค์ให้ออกขุนรามเดชะต้องเสียสัตย์ไม่ พี่จึงไม่ได้รับพระราชทานแม่หญิงเรไรหากแต่ได้เครื่องประดับยศแลเงินทองมาแทน”
“อย่าเสียน้ำใจเลยพี่เสมา หากพี่กับแม่หญิงเรไรเป็นคู่กันแล้ว ก็คงไม่หนีกันไปได้ดอก”
“พี่ก็คิดเช่นนั้น เอ้อ แต่ได้พระราชทานเงินทองมาครานี้ พี่จะเอาไปไถ่ตัวเอ็ง เอ็งจะได้เป็นไทไม่ต้องเป็นทาสอีกแล้วจำเรียง”
จำเรียงหน้าเสียลงทันที
ขณะนั้นเอง มั่น และบุญเรือนก็หอบห่อผ้าเดินถือตะเกียงผ่านมา เสมาส่องตะเกียงดูชัดๆ ก็แปลกใจ “อ้าว พ่อกับแม่จะไปที่ใดเล่า มืดค่ำแล้ว เหตุใดจึงไม่อยู่ที่เรือนเล่าจ๊ะ”
บุญเรือนน้ำตาคลอขึ้นมาทันที
“นี่เอ็งยังไม่แจ้งอีกรึเสมา”
“แจ้งกระไร เกิดเหตุใดขึ้นหรือแม่”
บุญเรือนร้องไห้สะอึกสะอื้น
“พอสิ้นศึก ข้ากับพ่อเอ็งก็กลับมาที่เรือน แต่ข้าศึกมันเผาบ้านเรือนละแวกนี้วอดวายสิ้น มิหนำซ้ำโรงเหล็กพ่อเอ็งก็พังพินาศอีก เราสิ้นเนื้อประดาตัวแล้วเสมาเอ๋ย”
เสมาตกใจแทบช็อก คิดไม่ถึงว่าจะหมดตัวในพริบตา จนอยู่แล้วยังจนหนักไปอีก
“ข้ากับแม่เอ็ง จะไปพึ่งใบบุญขรัวตาวัดพนัญเชิง รุ่งสางขรัวตาท่านจะแจกไม้เป็นทานข้าจะได้เอามาสร้างเพิงอยู่ซุกหัวนอนไปก่อน พ่อไปก่อนเสมา ผู้คนไม่มีบ้านเรือนอยู่มีมากนัก หากช้าจะไม่มีไม้เหลือให้เรา”
มั่นและบุญเรือนเดินเลี่ยงไป เสมาซึมลงไปทันที จำเรียงน้ำตาคลอและร้องไห้ออกมา
“เงินทองที่พี่ได้พระราชทานมา อย่าเพิ่งนำมาไถ่ตัวฉันเลย เก็บไว้ปลูกเรือนกับโรงเหล็กให้พ่อแม่ใหม่เถิด ฉันสงสารพ่อกับแม่เหลือเกินแล้ว”
เสมาขบกรามแน่น นึกน้อยใจในโชคชะตาจนพูดไม่ออกดึงน้องสาวเข้ามากอดเอาไว้
“เอ็งกตัญญูดีนักจำเรียง ข้าจักต้องไถ่เอ็งเป็นไทให้ได้ในเร็ววัน”
จำเรียงได้แต่ร้องไห้กอดพี่ชายเอาไว้ เสมามีสีหน้ามุ่งมั่นต้องช่วยจำเรียงให้ได้
ย่ำดึกใกล้เช้ารุ่ง ทาสหญิงเดินถือตะเกียงนำศรีเมืองลงจากเรือน พอลงมาก็เห็นเงาตะคุ่มๆของคนนอนอยู่ที่แคร่หน้าบ้าน
“ประเดี๋ยวเจ้าค่ะแม่หญิง ผู้ใดมานอนก็หารู้ไม่ ระวังเจ้าค่ะ” ทาสพูดขึ้นอย่างตกใจพลางหันซ้ายหันขวา เห็นท่อนไม้ก็หยิบขึ้นมาเตรียมพร้อม
ศรีเมืองรับตะเกียงจากทาสมาแล้วค่อยๆย่องไปส่องดู เลยเห็นว่าเป็นเสมานั่นเองที่มานอนขดตัวด้วยความหนาวอยู่บนแคร่ เสมาโดนแสงตะเกียงส่องหน้าเลยตื่นขึ้นมา ศรีเมือง ถามขึ้นด้วยความแปลกใจ
“พี่เสมา เหตุใดมานอนตรงนี้ ไม่ขึ้นไปนอนเสียบนเรือนเล่าจ๊ะ”
“พี่มาถึงเรือนก็ดึกแล้ว จะปลุกก็เกรงใจนัก จึงนอนบนแคร่ไปก่อนกะว่ารุ่งสางเมื่อใดก็จะไป”
“แล้วเหตุใดพี่เสมาไม่กลับไปที่เรือนของพี่เล่าจ๊ะ สิ้นศึกแล้วมิใช่รึ”
เสมาหน้าเศร้าลงไปอย่างเห็นได้ชัด ศรีเมืองมีสีหน้าสงสัยอยากรู้
ศรีเมืองเดินถือเสื้อของพันอินออกมาจากข้างใน เพื่อเอามาให้เสมาที่นั่งรออยู่
“นี่หากฉันไม่ตื่นขึ้นมาหุงหาข้าวปลาแล้ว พี่คงนอนตากน้ำค้างถึงรุ่งสางเป็นแน่”
“ เพลานี้อย่าว่าแต่ตากน้ำค้างเลย แค่มีที่ซุกหัวนอนก็บุญหนักหนาแล้ว แม้แต่เรือนยังไม่มีอยู่ คงไม่มีท่านขุนผู้ใดในอโยธยาเป็นเยี่ยงข้าอีกแล้ว”
“อย่าเสียน้ำใจไปเลยพี่เสมา กระไรเสียพี่ก็ยังมีเบี้ยมีอัฐปลูกเรือนแลโรงเหล็กใหม่ได้ ไม่ถือว่าร้ายไปเสียทั้งหมดดอก...ฉันเอาเสื้อของพ่อมาให้พี่ผลัดจ้ะ พี่จะได้สบายตัวขึ้น นอนหมกเหงื่ออยู่ได้ทั้งคืน”
“ขอบน้ำใจนักแม่ศรีเมือง”
เสมาถอดเสื้อออก ศรีเมืองหยิบเสื้อที่เสมาเพิ่งถอดเพื่อจะเอาไปซัก เสมาดึงเสื้อไว้อย่างเกรงใจ
“แม่ศรีเมืองจะซักเสื้อให้พี่รึ”
“จ้ะ เสื้อพี่เปรอะนัก ประเดี๋ยวฉันซักให้” ศรีเมืองจะดึงเสื้อไป
เสมารีบดึงไว้แล้วบอก
“ไม่ต้องดอก แค่พี่มารบกวนก็เกรงใจมากโขแล้วเสื้อตัวเดียวพี่ซักได้”
“จะเกรงใจกระไร ให้ฉันซักเถิด”
ศรีเมืองจะดึงเสื้อไปอีก เสมาดึงเสื้อคืนกลับมา
“ไม่เป็นไรดอก”
เสมาออกแรงมากไปหน่อย ศรีเมืองเลยเสียหลักโผเข้าหาเสมา เสมาเลยรีบกอดศรีเมืองไว้ตามสัญชาติญาณ เพื่อกันไม่ให้ศรีเมืองล้ม ใบหน้าศรีเมืองแนบกับอกเปลือยเปล่าของเสมา ศรีเมืองถึงกับใบหน้าร้อนผ่าว ใจเต้นแรงอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน
ขณะนั้นเอง พันอินก็เดินขึ้นเรือนมา พันอินเห็นภาพศรีเมืองกอดกับเสมาเข้าเต็มๆตา เสียงของขุนรามเดชะก็ดังก้องขึ้นมาในหัวทันที
“พูดไปก็อับอายนัก เอาเป็นว่าหากอ้ายเสมามันกระทำบัดสีกับแม่ศรีเมืองถึงบนเรือนของพี่พันอินบ้าง พี่พันอินยังจะเลี้ยงมันไว้อีกหรือไม่เล่า”
ยิ่งเห็นคาตาแบบนี้ พันอินยิ่งโกรธสุดๆ
“อ้ายเสมา”
เสมา และศรีเมืองตกใจ รีบผละออกจากกันทันที พันอินมองเสมาด้วยสายตาโกรธจัด ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อเดินหัวเสียกลับไปทางห้องนอน เสมาและศรีเมืองหันมามองหน้ากันด้วยสีหน้าไม่สบายใจมาก
พันอินกำลังโกรธจัดนั่งอยู่ที่เตียง โดยมีเสมา และศรีเมืองนั่งพับเพียบอยู่ต่อหน้าด้วยความกลัวเกรง
“เสียแรงที่พ่อรักเจ้า เจ้ากลับทำได้...ศรีเมืองก็ประหนึ่งลูกเราแท้ๆ แลเจ้านี้ก็ชอบรักอยู่กับแม่เรไรมิใช่รึ เหตุใดจึงทำเช่นนี้”
“มิใช่เช่นนั้นเลยพ่อท่าน ลูกได้กราบเรียนไปสิ้นแล้ว” ศรีเมืองว่า
“พอเถิด เจ้าคิดว่าพ่อจะโง่งมจนหลงเชื่อคำแก้ตัวของเจ้ารึศรีเมือง ไป ออกไปจากห้องได้แล้ว พ่อต้องการคุยกับขุนศึกไชยชาญเพียงลำพัง”
ศรีเมืองจนปัญญา เสียใจที่เกิดเรื่องนี้ขึ้นแต่ก็ไม่กล้าขัดคำสั่งพ่อ ได้แต่เหลียวมองเสมาอีกครั้ง ก่อนจะเดินออกจากห้องนอนของพันอินไป
“ใช่จักพูดลำเลิก แต่หากเจ้ายังเห็นว่าพ่อมีบุญคุณแก่เจ้าบ้างจักรับคำเพื่อแทนคุณพ่อสักครั้งได้หรือไม่”
เสมาพนมมือ
“แม้จักตัวตายก็ขอรับคำ สุดแต่พ่อท่านจักเมตตาใช้เถิด”
“ขอบน้ำใจเจ้า ที่พ่อจะขอก็ไม่ใช่กระไรดอก เพียงแต่ขอให้ออกขุนไปพ้นเรือนเราเสียแต่ประเดี๋ยวนี้ เพราะขืนอยู่สืบไป พันอินก็จะไม่พ้นขายหน้า”
เสมาอึ้งไปครู่หนึ่ง รู้ว่าพูดอะไรไปก็ไม่มีผลแล้ว
“แม้ไม่มีประการอื่นจักสนองได้แล้ว ข้าพระเจ้าก็ขอรับคำพ่อท่าน”
เสมาก้มลงกราบ พันอินเบือนหน้าไปทางอื่น เจ็บปวดใจที่สุด
เวลาผ่านไปเล็กน้อย เสมากำลังจะเดินลงจากเรือน ศรีเมืองเดินเข้ามาหาเสมาด้วยน้ำตานองหน้า
“พี่เสมา...”
“พี่ลาก่อนแล้วศรีเมืองเอ๋ย พูดกระไรไปพ่อท่านก็หาเชื่อถือไม่ หากบุญยังมี พี่คงได้กลับมาแทนคุณพ่อท่านอีก”
ศรีเมืองร้องไห้เสียใจกำลังจะพูดต่อ แต่พันอินตามออกมาก่อน
“แม่ศรีเมือง จะต้องหุงหาข้าวปลาไม่ใช่รึ รีบไปทำเถิด”
ศรีเมืองขัดพ่อไม่ได้เลยเดินร้องไห้เลี่ยงไป เสมาก็ไม่รู้จะทำยังไงจึงเดินลงจากเรือนไปด้วยท่าทางเศร้าๆ เสมาหันกับมามองทางพันอินอีกครั้ง พันอินเลี่ยงที่จะเบือนหน้าไปทางอื่นแทน เสมาเดินคอตกจากไป
พันอินมองตามเสมาไปด้วยความเจ็บใจพลางพึมพำว่า
“กลับจากศึกครานี้ ตั้งใจจักมาเตือนแลหามูลนายให้สังกัดโดยแท้ จะได้สุขสบายเสียที แต่เมื่อเนรคุณเช่นนี้ก็ลำบากยากจนต่อไปเถิด”
พันอินเดินกลับเข้าเรือนไปด้วยความรู้สึกผิดหวังปนหัวเสีย
ขุนรามเดชะตบมือลงบนตักขณะคุยอยู่กับพันอิน โดยมีศรีเมือง เรไรนั่งพับเพียบอยู่ใกล้ๆ
“เป็นกระไรเล่า ฉันกะแล้วว่าสักวันอ้ายเสมา มันต้องเนรคุณเป็นแน่ ครานี้พี่พันอินคงเชื่อฉันแล้วกระมัง”
“หากมิใช่ฉันต้องตรวจตราอาวุธแลเสบียงเพื่อทำบัญชีส่งแล้ว ฉันก็คงไม่ได้กลับเรือนตอนใกล้รุ่งดอก เดชะบุญแท้ เทวดาท่านคงอยากให้ฉันเห็นหน้าอ้ายคนกินบนเรือนขี้รดบนหลังคา ว่าหน้าตาเป็นเช่นไร”
“อ้ายเสมามันเจ้าชู้ไม่เลือก เพราะถือดีในฝีมือว่ากล้าแข็ง แต่คนเนรคุณ มันไม่จำเริญดอก”
“ฉันเห็นจริงตามที่ออกขุนว่าทุกประการแต่ก็ให้ห่วงศรีเมืองนัก เกรงว่าอ้ายเสมาจะย้อนมาอีก จึงอยากจะขอฝากแม่ศรีเมืองกับแม่เรไร ให้แม่ศรีเมืองได้เข้าไปอยู่ในรั้วในวัง จะได้พ้นจากอ้ายเสมา”
“ได้ซีพี่พันอิน เรื่องเพียงเท่านี้หาได้ยากเย็นกระไรไม่ จริงหรือไม่แม่เรไร”
เรไรโกรธเสมามาก แต่พยายามระงับอารมณ์เต็มที่
“เจ้าค่ะ”
“ถ้ากระนั้นก็ขอบน้ำใจออกขุนนัก ไหว้พี่เรไรเค้าเสียซี แม่ศรีเมือง” พันอินหันไปพูดกับศรีเมือง
“ฉันไหว้จ้ะ แม่หญิงเรไร”
เรไรรับไหว้ แต่ก็แอบมีสีหน้าตาปั้นปึ่ง มองสำรวจศรีเมืองหัวจรดเท้าด้วยความหึงหวง
ภายในตำหนัก เวลาบ่าย ศรีเมืองกำลังหัดร้อยมาลัยอยู่กับข้าหลวงกลุ่มหนึ่ง บัวเผื่อนกำลังคุยอยู่กับเรไรและ ดวงแข บัวเผื่อนยิ้มขำ
“บุตรีพันอินทราชงามเช่นนี้นี่เอง ขุนศึกไชยชาญถึงอดใจไว้ไม่ไหว”
ดวงแขแกล้งปรามพลางเหล่ไปทางเรไร
“พูดกระไรเช่นนี้แม่บัวเผื่อน คิดถึงใจแม่เรไรบ้างเถิด”
เรไรหน้าตาบึ้งตึงยังโกรธเสมาอยู่
“ไม่เป็นกระไรดอก แม่บัวเผื่อนพูดถูกแล้ว ชายหลายใจเช่นนี้ เจอหญิงใดก็คงไม่แคล้วทำเจ้าชู้ใส่ทุกรายไป”
“วิสัยชายก็เป็นเช่นนี้แทบทุกคน จะหาผู้ใดรักเดียวใจเดียวเช่นท่านอาขุนรามนั้นยากนัก สำคัญที่เค้ายกเราไว้เป็นหนึ่งก็เพียงพอแล้ว” ดวงแขบอก
“หญิงอื่นคงเพียงพอ แต่หาใช่ฉันไม่ เพราะฉันเกลียดชายหลายใจไร้สัตย์เช่นนี้เป็นที่สุด”
เรไรสะบัดหน้าเดินหนีไปทางอื่นด้วยความโมโหหึง บัวเผื่อนมองตามเรไรแล้วว่า
“อ้าว เคืองจนหนีไปเสียแล้ว เช่นนี้ผู้ใดจะอยู่สอนงานแม่ศรีเมืองเล่า ฉันก็มีงานเสียด้วย”
ดวงแขหันไปมองศรีเมืองด้วยสายตาชิงชังพลางบอก
“ไม่ต้องวิตกไปดอก ฉันพอว่างอยู่ จะสอนงานแม่ศรีเมืองให้เอง”
ผ่านเวลาไปสักพัก … วันหนึ่ง ดวงแขยกหม้อแกงดินเผาไปเททิ้งออกนอกหน้าต่างจนหมด ท่ามกลางความตกใจของศรีเมืองและข้าหลวงคนอื่นๆ
“ฝีมือครัวฉันใช้ไม่ได้ถึงเพียงนี้เลยหรือจ๊ะแม่หญิงดวงแข แม่หญิงถึงต้องเททิ้งจนสิ้น”
ดวงแขสีหน้าเย็นชา พูดหน้านิ่ง
“หากเป็นชาวบ้านร้านถิ่น ก็ไม่เลวนักดอก แต่ไม่ใช่ที่ชาววังจะกินกัน”
“แล้วชาววังกินรสใดเล่าจ๊ะ ฉันจะได้ทำให้ถูกปาก”
“แม่ศรีเมืองทำไม่ได้ดอก คงต้องสอนกันอีกมาก ไม่เพียงแต่กับข้าวกับปลา งานฝีมืออื่นก็ยังหยาบนัก หากผู้อื่นรู้ว่าเป็นคนตำหนักนี้ คงขายหน้าไปทั่ว”
ศรีเมืองหน้าเสียสุดๆ ไม่คิดว่าจะถูกตำหนิขนาดนี้ เล่นเอาแทบหมดกำลังใจ ดวงแขแอบยิ้มเยาะอยู่ในที ขณะนั้นเอง บัวเผื่อนก็เดินหน้าตาตื่นเข้ามา
“แม่ดวงแข เร็วเถิด รีบขึ้นไปตำหนักประเดี๋ยวนี้”
“มีกระไรรึแม่บัวเผื่อน เหตุใดทำสีหน้าเช่นนั้น”
“พ่ออยู่หัวทรงพระประชวรหนักนัก คืนนี้ เห็นทีต้องผลัดเวรกันเข้าเฝ้าแล้ว”
ดวงแขหน้าเครียดทันที เมื่อรู้ว่าพระมหาธรรมราชาทรงประชวรหนักขึ้น รีบตามบัวเผื่อนไป ศรีเมืองมองตามไปด้วยสีหน้าตกใจกับข่าวทรงประชวรที่เพิ่งได้ยินอย่างมาก
ยามบ่ายในห้องพระบรรทม สมเด็จพระนเรศวรกำลังประคองพระมหาธรรมราชาลุกขึ้นนั่ง โดยมีสมเด็จพระเอกาทศรถอยู่ใกล้ๆ พระมหาธรรมราชาทรงพระกรรสะ (ไอ) อยู่ตลอดเวลา
“ ได้ไข้ครานี้ พ่อทรุดลงเร็วนัก คงจักชรามากแล้วจริงๆ”
สมเด็จพระเอกาทศรถตรัสว่า
“สมเด็จพ่อทรงอย่าตรัสเช่นนี้เลย ยังแข็งแรงอยู่มากนักจะชราได้อย่างไร”
“พ่อเจ็ดสิบกว่าแล้ว ยังไม่ชราอีกรึ มีลูกเช่นเจ้าทั้งสอง ภายหน้าก็ไม่มีสิ่งใดต้องห่วงแล้ว”
สมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรถชำเลืองพระพักตร์กันเล็กน้อย
“หงสาทำศึกไม่หยุดหย่อน อาณาประชาราษฎร์เดือดร้อนนัก ชำนะได้ด้วยกำลัง แต่ไม่อาจชำนะใจผู้คนได้ นานไปย่อมต้องพ่ายแพ้”
“ลูกก็คิดเช่นเดียวกับสมเด็จพ่อ แต่อโยธยายังไม่เข้มแข็งเหมือนครั้งแผ่นดินสมเด็จตา แม้จะชำนะศึกหลายครา แต่ก็เสียหายไม่น้อย”
“เจ้าอย่าวิตกเลย เมื่อเราชำนะศึกหงสาได้ บารมีก็จะมากขึ้น จนกลับมาเข้มแข็งดังก่อนได้แน่ แต่สิ่ง
สำคัญคือสามัคคี ที่อโยธยาต้องเสียแก่หงสา ก็เพราะขาดซึ่งสามัคคีระแวงแก่กันเองจนพ่ายต่อศัตรู เจ้าทั้งสองจงระวัง อย่าให้เกิดเหตุเช่นนี้ขึ้นอีก”
ทั้งสองพระองค์พระพักตร์ขรึมลงคิดตามที่พระมหาธรรมราชาตรัส หลังออกจากห้องพระบรรทม ระหว่างทางซึ่งสองพระองค์เสด็จนั้น พระเอกาทศรถ ตรัสว่า
“สมเด็จพ่อทรงย้ำหนักหนา คงเกรงว่าบ้านเมืองจะแตกเป็นสองเหมือนครั้งสมเด็จพ่อกับสมเด็จพระมหินทราธิราชจนต้องเสียกรุงกระมัง”
“มิใช่แต่ครั้งนั้นดอก แต่ถึงคราผลัดแผ่นดินเมื่อใด อโยธยาก็วุ่นวายแทบทุกครา จนเกิดคนเช่นท้าวศรีสุดาจันทร์แลขุนวรวงศาขึ้นมาได้” สมเด็จพระนเรศวรตรัสขึ้น
“แต่บัดนี้ ขุนนางแลแม่ทัพนายกองต่างยำเกรงสมเด็จพี่นัก ย่อมไม่เกิดเหตุวุ่นวายเป็นแน่”
“แล้วหากพี่เป็นกระไรไปเล่า”
“เหตุใดทรงตรัสเช่นนั้น”
“พี่ไม่ได้แช่งตนเอง แต่คนเราไม่ควรตั้งอยู่ในความประมาทดังคำพระท่านว่า พี่จึงเห็นควรที่จักกันไว้ก่อน หากพี่เป็นกระไรไป เจ้าจงขึ้นแทนที่พี่เสีย”
“แล้วหากสมเด็จพี่มีโอรสเล่าพระพุทธเจ้าข้า”
“ถึงพี่มีโอรส เจ้าก็ต้องขึ้นผ่านแผ่นดิน อย่าให้อโยธยาต้องแตกแยกดังเช่นที่ผ่านมาอีก รับปากพี่”
“ข้าจะทำตามรับสั่งพระพุทธเจ้าข้า”
จบตอนที่ ๕
อ่านต่อตอน ที่ ๖ วันพรุ่งนี้
เกร็ดความรู้เกี่ยวกับขุนศึก
๓๖.วัดพนัญเชิง เป็นวัดที่มีประวัติอันยาวนาน ก่อสร้างก่อนการสถาปนากรุงศรีอยุธยา และไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าใครเป็นผู้สร้าง แต่ตามหนังสือพงศาวดารเหนือกล่าวว่า “พระเจ้าสายน้ำผึ้ง” เป็นผู้สร้าง และพระราชทานนามว่า “วัดเจ้าพระนางเชิง”
๓๗. ในสมัยอยุธยา ไทยติดต่อกับต่างชาติมากขึ้น ทำให้อาหารไทยมีพัฒนาการ จากเดิมจะกินข้าวและแกงเป็นหลัก แต่สมัยนี้เริ่มมีการใช้น้ำมันมะพร้าวในการทอด และมีการถนอมอาหารด้วยการตากแห้ง แต่คนไทยยังนิยมกินสัตว์น้ำมากกว่าสัตว์บก โดยเฉพาะสัตว์ใหญ่จะไม่นิยมนำมาทำเป็นอาหาร
.....................................................................................................