ขุนศึก ตอนที่ ๖
สามเดือนผ่านไป ที่ลานวัดพุทไธสวรรย์ เสมากำลังคุยกับสินและสมบุญพร้อมกับดูการฝึกทหารใหม่ไปด้วย ทหารใหม่ถูกฝึกให้ฟันดาบพร้อมกับส่งเสียงดังแสดงความเข้มแข็งไปด้วย
“เสียทีได้เป็นแม่กองทหารอาสา กลับต้องเอาลานวัดเป็นที่ฝึกปรือทหาร” สินพูดขึ้นอย่างเซ็งๆ
“ลานวัดแล้วกระไรวะ ข้าก็ฝึกที่ลานวัดพุทไธสวรรย์เช่นกัน ยังเป็นครูพวกเอ็งได้”
“แต่พี่เป็นออกขุนแล้วนา ฉันไม่เคยเห็นออกขุนผู้ใดในอโยธยา ไม่มีเรือนไว้รับทหารฝึกปรือเช่นพี่มาก่อนเลย”
“ข้าก็มีเรือนโว้ยอ้ายสิน แต่เรือนข้าเพิ่งปลูกใหม่แลคับแคบนัก จะให้รับคนเป็นร้อยกระไรได้วะ”
“ข้อนี้ฉันก็ประหลาดใจนัก ฝีมือพี่ก็ถือได้ว่าเป็นเอกในอโยธยา แล้วเหตุใดไม่มีพระคุณท่านใดรับพี่สังกัดมูลนายบ้าง ปล่อยให้พี่เป็นทหารอาสาอยู่เช่นนี้ได้” สมบุญพูดขึ้น
เสมาซึมไปทันที
“ ข้าคงไม่มีวาสนากระมัง ช่างเถิด ได้ออกรบฉลองคุณบ้านเมืองเช่นนี้ ข้าก็พอใจแล้ว”
ขณะนั้นเอง เอื้อยแตงก็รีบเดินหน้าตาตื่นเข้ามาหาเสมา
“พี่เสมาๆ”
สินรีบเข้าไปรับหน้าเอื้อยแตงทันที
“แม่เอื้อยแตง ฉันดีใจนักได้เจอแม่ ไม่พบกันนานวัน แม่เอื้อยแตงยังงามมิเปลี่ยน”
“พูดจาโง่เขลากระไรของเอ็งอ้ายสิน ไสหัวไป ข้ารำคาญ” เอื้อยแตงตวาดแว๊ดแล้วผลักอกสินออก แล้วเดินไปหาเสมาทันที สินจ๋อยไป
“พี่เสมา รีบกลับเรือนเถิด พี่ไม่อยู่เรือนเสียหลายวัน ฉันตามหาพี่เสียทั่ว”
“มีกระไรรึ”
“แม่พี่ไข้หนักนัก เพลานี้เพ้อไม่ได้สติแล้ว”
เสมาตกใจหน้าซีดเผือด ไม่คิดว่าแม่จะป่วยหนักขนาดนี้
ภายในบ้านหลังใหม่ของเสมาตอนหัวค่ำ บุญเรือนนอนเพ้อด้วยพิษไข้ โดยมีเสมา เอื้อยแตง และมั่น คอยดูแลด้วยความเป็นห่วง
“จำเรียง...จำเรียง” บุญเรือนเพ้อเรียก
“แม่เอ็งคงคิดถึงจำเรียงมาก แต่ได้ไข้ก็เพ้อเรียกแต่จำเรียงมันตลอดเพลา” มั่นบอก
“ไปตามจำเรียงมาเถิดพี่เสมา แม่ป้าไข้หนักเช่นนี้ จำเรียงควรได้มาดู” เอื้อยแตงบอก
“จำเรียงเป็นทาสเค้า นายทาสใดจะยอมปล่อยมา ยิ่งเป็นอ้ายขันแล้ว มันคงไม่ยอมดอก”
“แล้วพี่จักปล่อยให้แม่ป้าเพ้อเรียกจำเรียงเช่นนี้ต่อรึ พี่ไม่สงสารแม่พี่บ้างหรือกระไร”
เสมาสีหน้าเคร่งเครียด ลังเลว่าจะเอายังไงดี
วันรุ่งขึ้น ดวงแขกำลังคุยกับเสมา และเอื้อยแตงด้วยสีหน้าลำบากใจ
“ฉันไม่ใช่นายเงินของจำเรียง คงให้จำเรียงไปไม่ได้ดอก ออกขุนรอพี่ขันกลับมาก่อนเถิด”
“หมื่นชาญมีรึจะยอม ที่ข้าพระเจ้าบากหน้ามาขอร้อง ก็เพราะรู้ว่าหมื่นชาญไม่อยู่ที่เรือน จึงหวังว่าแม่หญิงดวงแขจะเมตตาข้าพระเจ้าบ้าง”
“ไม่ใช่ฉันไม่เมตตา แต่จำเรียงหาได้อยู่ในบังคับฉันไม่ ออกขุนเห็นใจฉันบ้างเถิด”
“เห็นใจบ้างรึ พูดจาน่าฟังนัก แม่ล้มป่วยได้ไข้หนัก ยังไม่ยอมให้ลูกไปดูไปแลแม่ มิเพียงแต่ไม่เมตตา ยังใจดำหนักหนา”
“ที่นี่เป็นเรือนขุนนาง หาใช่กลางตลาดย่านสัมพนีไม่ เก็บคำพูดเช่นนี้ของแม่เอื้อยแตง ไว้พูดจากับแม่ค้าด้วยกันเถิด”
เอื้อยแตงของขึ้น ตั้งท่าจะเอาเรื่อง แต่เสมารีบขวางไว้ก่อน
“แตงเจ้า พี่ขอเถิด”
เอื้อยแตงสะบัดหน้าไปทางอื่นพยายามระงับอารมณ์เต็มที่ เสมาหันกลับมาพูดกับดวงแข
“แม่หญิงดวงแขคงเกรงว่าจำเรียงจะหนีกระมัง เช่นนี้เถิด ฉันขอเป็นประกันแทนจำเรียงให้จำเรียงได้ไปดูแม่สักหน่อยเถิด ฉันจะทำงานแทนน้องเอง”
“จะได้เช่นไร ออกขุนเป็นถึงขุนศึกขุนพลขององค์เจ้าฟ้า จะเสียศักดิ์มาเป็นทาสได้กระไร”
“อย่าว่าแต่เป็นทาสเลย ต่อให้ตายเสมาก็ยอม ขอให้แม่ได้เห็นหน้าจำเรียงก็พอ เมตตาด้วยเถิดแม่หญิง ฉันกราบหละ” เสมาจะก้มลงกราบ
ดวงแขตกใจมากรีบจับตัวไว้ไม่ให้กราบ
“อย่าออกขุน อย่ากราบกรานให้ฉันอายุสั้นเลย”
“ถ้ากระนั้น แม่หญิงยอมให้จำเรียงไปแล้วใช่หรือไม่”
เสมามองดวงแขด้วยความหวังลุ้นๆ แต่ดวงแขหนักใจว่าจะเอาไงดี
เวลาต่อมา จำเรียงกำลังป้อนข้าวต้มให้แม่ บุญเรือนมีความสุขขึ้นมาทันทีที่ได้เห็นหน้าลูกรัก เสมา ดวงแข เอื้อยแตง และมั่น กำลังดูบุญเรือนที่ท่าทางดีขึ้นด้วยความดีใจ บุญเรือนหันไปพูดกับดวงแข
“ขอบน้ำใจแม่หญิงนัก หากแม่หญิงไม่เมตตา ฉันคงไม่ได้เห็นหน้าจำเรียงอีก”
“อย่าพูดเช่นนั้นเลยจ้ะแม่ป้า แม่ป้ารักษาตัวให้หายเถิด เอ่อ ฉันมาไม่ได้หยิบกระไรติดไม้ติดมือมาฝาก ขอขมาด้วยเถิดจ้ะ”
เอื้อยแตงเบะปากหมั่นไส้ดวงแขสุดๆ
“ไม่ต้องฝากดอกแม่หญิง แค่ฉันได้เห็นหน้าลูก ก็ดีใจนักแล้ว”
จำเรียงน้ำตาคลอเข้าไปกอดแม่ บุญเรือนก็กอดตอบด้วยความรักและคิดถึงมาก
“เช่นนี้ แม่เอ็งต้องหายไข้โดยเร็วเป็นแน่” มั่นบอก
เสมามองแม่ที่มีความสุขแล้วก็ยิ้มมีความสุขไปด้วยก่อนจะยิ้มเลยไปให้ดวงแข
ดวงแขก็อมยิ้มปลาบปลื้มอยู่ไปมา ทั้งหมดอยู่ในสายตาเอื้อยแตงที่ค้อนขวับตาเขียว
สักครู่หนึ่งต่อมา เสมากำลังใช้ไซจับปลาอยู่ริมคลอง กะเอาปลามาทำอาหารเลี้ยงดวงแข เอื้อยแตงเดินหน้าบึ้งเข้ามาหาเสมาด้วยความหงุดหงิดทั้งพูดจาแดกดัน
“จะจับกุ้งปลาไปทำกระไร กับข้าวชาวบ้านร้านตลาดแม่หญิงชาววังจะกินได้รึ”
“เอ็งยังเคืองแม่หญิงดวงแขอยู่อีกรึเอื้อยแตง อย่าถือโกรธกันเลย แม่หญิงถือศักดิ์ด้วยเป็นข้าหลวงในวังแลมีพ่อเป็นถึงออกหลวง แต่โดยน้ำใจแล้วดีนัก ไม่เช่นนั้นจักยอมให้จำเรียงกลับมารึ”
“เพียงนี้ก็ถือว่าดีแล้วรึ มิน่าเล่า ผู้คนถึงบอกว่าขุนศึกไชยชาญโง่งมนัก แม่หญิงดวงแขผู้นี้มิได้ซื่อนักดอก ยามยิ้มแย้มอาจจักถือมีดซ่อนไว้ด้านหลัง ผิดกับแม่หญิงเรไรของพี่นัก พี่คอยดูเถิดว่าจะสมกับคำที่ฉันพูดหรือไม่”
“เอ็งก็แกล้งว่าแม่หญิง ถามจริงเถิด...”
ทันใดนั้นเอง เสียงดวงแขหวีดร้องดังขึ้น ทั้งคู่ตกใจหยุดสนทนาทันที
“หยุดเถิดพี่ขัน พี่ขันอย่า...”
เสมา และเอื้อยแตงตกใจเมื่อรู้ว่าขันมาถึงเรือนแล้ว ทั้งคู่รีบวิ่งไปตามเสียงทันที
เวลาต่อมา ขันกำลังฉุดจำเรียงลงจากเรือน โดยมีดวงแขคอยห้ามปราม แต่ก็ไม่สำเร็จ ขันฉุดกระชากลากถูจำเรียงลงมาจากเรือน มั่นและบุญเรือนตามออกมาด้วยความเป็นห่วงจำเรียง มั่นสงสารลูกจับใจ
“เมตตาด้วยเถิดพระคุณ ไข้แม่บุญเรือนแกก็กำลังทรุดอยู่ ได้เมตตาเถิด”
“มึงอยากให้กูเมตตาก็ใช้หนี้กูมา หากมึงไม่ใช้ นังจำเรียงก็ยังเป็นทาสกู กูไม่ให้มันออกจากเรือนแม้แต่ก้าวเดียว หากมันกล้าขัดคำกู กูจักตีกรวนแล้วโบยเสียให้ยับ” ขันตะคอกสวนขึ้นทันที
“ถ้ากระนั้นพี่ก็โบยฉันเสียด้วยเลย ฉันเป็นคนให้จำเรียงมาเอง แม่ป้าเจ็บหนักอยู่จริง พี่ก็เห็นไม่ใช่รึ”
“แม่ดวงแขไม่ต้องมาออกรับแทนดอก พี่เป็นนายเงินของนังจำเรียง เมื่อพี่ให้มันกลับเรือนมันก็ต้องกลับ”
เสมา และเอื้อยแตงมาถึงพอดี เสมาโมโหของขึ้นทันที
“แต่ที่นี่เป็นเรือนกูขุนศึกไชยชาญ แลนี่ก็เป็นพ่อกู น้องกูมึงก็รู้แต่ยังแสร้งด่า เมื่อหยามกันเช่นนี้ ก็ออกดาบของมึงมาอ้ายขัน หากกูถอยแม้เพียงก้าว อย่านับถือว่าเป็นคนกันเลยวะ”
ขันเห็นเสมาก็หน้าเสีย ลูกน้องขันที่ตามมาชักดาบเตรียมพร้อม บุญเรือนรีบห้าม
“อย่าเสมา อย่าวิวาทกันด้วยแม่เป็นต้นเหตุเลย จำเรียงกลับไปกับหมื่นชาญเถิดลูก ไข้เพียงนี้ แม่ได้เห็นหน้าเจ้าก็คลายลงมากแล้ว”
จำเรียงร้องไห้ เสียใจที่ต้องถูกเอาตัวกลับจนไม่ได้ดูแลแม่
“แม่ของลูกเพราะลูกโง่เขลาโดยแท้ ยามแม่เจ็บไข้จึงไม่ได้ดูแลแม่”
บุญเรือนน้ำตาคลอเบ้า แต่ก็ต้องอดทนเพื่อไม่ให้เรื่องลุกลามมากไปกว่านี้ ขันตะคอกสวนอีก
“จะพิรี้พิไรกระไรอีกนังจำเรียง กลับไปประเดี๋ยวนี้”
ขันหันไปออกคำสั่งกับดวงแข
“ไปบ้านแม่ดวงแข”
ดวงแขจำใจเดินกลับไป ขันหันกลับมามองเย้ยเสมา ก่อนจะดึงมือจำเรียงเดินจากไป บุญเรือนเสียใจ ร้องไห้ทั้งๆที่ยังมีไข้ขึ้นจนมั่นต้องเข้าไปประคองไม่ให้บุญเรือนล้มลง ก่อนจะพาขึ้นเรือนไป เอื้อยแตงมองตามขันไปด้วยความเจ็บใจเป็นอย่างมาก
“เจ็บหัวใจนัก เรือนเราแท้ๆมันยังมาหยามฉุดคนถึงในเรือนได้”
เสมามองตามขันไปด้วยความแค้นใจสุดๆ ขบกรามแน่นจนขึ้นสัน
บ่ายต่อเนื่องมา ดวงแขกำลังทะเลาะกับขันอยู่ภายในเรือน โดยมีพุฒอยู่ใกล้ๆ ดวงแขไม่พอใจขัน
“คนได้ไข้จริงพี่ขันก็เห็นอยู่ ยังบังคับเอาตัวจำเรียงกลับมาอีก จักไม่ใจจืดใจดำไปหน่อยรึ”
ขันหงุดหงิดทันที
“พี่เอาตัวนังจำเรียงมาเป็นทาสเพื่อจักหยามอ้ายเสมามัน แม่ดวงแขก็แจ้งอยู่ แล้วแม่ดวงแขยังปล่อยนังจำเรียงกลับไป หากอ้ายเสมามันพาน้องมันหนีเล่าจะไม่เสียการที่พี่วางไว้รึ”
“ขุนศึกไชยชาญไม่ใช่คนเช่นนั้นดอก หากเป็นคนตระบัดสัตย์จริง มีรึ จะยอมให้น้องมาเป็นทาสแต่แรก”
“ว่าได้รึแม่หญิง อ้ายเสมามันอาจจะเจ็บแค้น แต่ยังไม่ได้ช่องลงมือเท่านั้นดอก อย่างไรเสียเรากันไว้ก่อนย่อมควรกว่า” พุฒยุสอดขึ้น
“หมื่นทรงพูดถูกแล้ว แม่ดวงแขเป็นหญิง อย่ายุ่งเรื่องนี้เลย แลต่อไปหากไม่มีคำสั่งพี่ ห้ามแม่ดวงแขปล่อยนังจำเรียงไปอีก ไม่เช่นนั้นพี่จะโบยตีนังจำเรียงให้ถึงพิกลพิการ จะได้ไม่ต้องออกไปที่ใดอีก”
พูดจบ ขันก็เดินเลี่ยงไป ดวงแขเห็นพี่ชายขู่ขนาดนี้ก็หน้าบึ้งตึงอย่างไม่พอใจเลยจะเดินไปอีกทาง พุฒรีบขวางหน้าไว้ พลางยิ้มกรุ้มกริ่ม
“จะรีบไปที่ใดเล่าแม่หญิง อยู่พูดคุยกันสักสองสามคำเถิด กว่าฉันจะได้ปะหน้าแม่หญิงแต่ละคราช่างยากเย็นนัก อยู่คุยกันให้หายคิดถึงเสียหน่อยเถอะ”
ดวงแขรำคาญแต่พยายามระงับอารมณ์เต็มที่
“หมื่นทรงคุยกับผู้อื่นเถิด ฉันออกจากวังมาเยี่ยมบ้านก็ด้วยมีงานรออยู่อีกมากนัก ไม่สะดวกจะคุยดอก”
ดวงแข จะเดินหนีไป พุฒรีบจับมือดวงแขไว้
“เหตุใดตัดรอนฉันเช่นนั้นเล่าแม่หญิง ฉันสู้อุตส่าห์คอยเพลาได้พบหน้าแม่มานานหนักหนาแล้ว ไม่เห็นหัวใจฉันบ้างรึ”
“ปล่อยมือฉันประเดี๋ยวนี้หมื่นทรงเดชะ ฉันไม่ใช่แม่บัวเผื่อนจักได้เพลินใจ หลงละเมอกับคำหวานของหัวหมื่น”
พุฒฉุนเริ่มไม่พอใจ
“แม่หญิงดวงแข”
ดวงแขมโหโหพูดสวนขึ้น
“หากไม่ปล่อย ฉันจะบอกแม่ท่าน แลร้องไปถึงสังกัดของหัวหมื่น แล้วมาดูกันว่าโทษของหัวหมื่นจะเป็นเช่นไร”
พุฒแต่เห็นดวงแขเอาจริงก็ไม่กล้าเลยยอมปล่อยมือแต่โดยดี ดวงแขจ้องหน้าพุฒเขม็ง ก่อนจะเดินเลี่ยงไป พุฒมองตามด้วยความเจ็บใจ
“ยโสนัก สักวันเถิด จะให้มาเป็นเมียคอยกราบเท้ากูก่อนนอนให้จงได้”
เวลาเย็น เสมากำลังจุดกองไฟเล็กๆแก้หนาวระหว่างคุยกับสินและสมบุญอยู่ที่หน้าบ้าน สินเจ็บใจแทนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“หยามกันเช่นนี้ ยอมได้กระไร ไปเถิดพี่เสมา ไปเอาเลือดอ้ายหมื่นชาญมาดับแค้นกัน”
“เอ็งมันก็เอาแต่ท้าตีท้าต่อย คิดบ้างเถิดวะอ้ายสิน นับแต่เกิดเรื่องแม่ศรีเมือง ผู้คนก็มองพี่เสมาเป็นคนพาลเนรคุณไปสิ้นแล้ว มีสักกี่คนที่รู้ความจริง แม้แต่แม่หญิงเรไรยังเคืองไปด้วย จนนานเดือนแล้วยังไม่ยอมพูดกับพี่เสมาสักคำ หากวิวาทกันอีกมีหรือเราจะพ้นผิดไปได้” สมบุญบอก
“หรือเอ็งจะยอมให้อ้ายขันหมิ่นเอาเช่นนี้ เสียเชิงชายยิ่งนัก”
เสมาถอนใจหน้าเครียดๆแล้วบอก
“ถึงอย่างไรก็ไม่ได้ดอกวะอ้ายสิน ข้ารับปากพ่อแม่ไว้แล้วว่าจะไม่เอาเรื่องอ้ายขันมัน ไม่เช่นนั้น ข้าคงออกดาบสู้กับมันเสียแต่เกิดเหตุแล้ว”
สินหงุดหงิดแล้วฉุกคิดขึ้น
“ถ้ากระนั้น เราก็ใช้ผ้าปิดหน้าไปดักตีมันซีพี่ พ่อแม่พี่ไม่รู้ดอก พรึ่งนี้เลย เรือนออกขุนรามมีงานบุญ อ้ายขันต้องไปเป็นแน่”
“ปัญญาเอ็งช่างลึกล้ำนักอ้ายสิน อ้ายขันอ้ายพุฒต้องโง่เขลาปานใดกัน ถึงจักไม่รู้ว่าเป็นฝีมือเรา”
“พรึ่งนี้ออกขุนมีงานบุญรึ งานกระไรกัน” เสมาถามขึ้นอย่างสนใจ
“ทำบุญบ้านจ้ะพี่ แต่ท่านขุนจัดเป็นงานใหญ่มีมหรสพฉลองเสียด้วย”
เสมายิ้มเจ้าเล่ห์ คิดแผนเอาคืนขันขึ้นมาได้
โขลนสองคนผลักศรีเมืองออก ไม่ให้ศรีเมืองผ่านไปทางประตูที่เฝ้าในตอนหัวค่ำ โขลนคนแรกทำเสียงดุใส่
“ทางนี้ผ่านได้แต่เพลากลางวัน ค่ำมืดแล้วห้ามผ่านไม่รู้รึ”
ศรีเมืองนึกกลัวพลางบอก
“ขอขมาเถิดจ้ะ ฉันเดินเล่นมาเรื่อย ไม่รู้จริงๆ”
โขลนคนที่สอง เสียงดุใส่ศรีเมืองอีก
“อยู่ในวังมานานเดือนแล้วไม่ใช่หรือแม่ศรีเมือง ทางใดไปได้หรือไปมิได้ ยังไม่รู้อีก”
ศรีเมืองเดินจ๋อยๆเลี่ยงมา เลยเจอเข้ากับเรไรที่กำลังยืนมองศรีเมืองอยู่ เรไรสีหน้าเย็นชาพลางว่า “โขลนดุว่าถูกแล้ว เข้าวังมาก็นานพอควร เหตุใดยังจำทางไม่ได้อีกเล่า”
ศรีเมืองจ๋อยไปทันที
“แม้จะเข้าวังมานานเดือน แต่ฉันอยู่แต่ในครัว มิค่อยได้ออกไปไหนดอกจ้ะ จึงจำทางในวังไม่ใคร่ได้”
“แล้วมืดค่ำป่านฉะนี้ เหตุใดยังไม่หลับไม่นอน”
“ฉันนอนไม่หลับจ้ะ คิดถึงบ้านกับพ่อท่านนัก”
เรไรยิ้มประชดเพราะหึงหวงในตัวเสมา
“เพียงแค่บ้านกับท่านลุงพันอินรึ แล้วขุนศึกไชยชาญเล่า”
“ฉันเองก็คิดถึงพี่เสมาเช่นกันจ้ะ”
เรไรแสร้งตกใจ
“ตายแล้วแม่ศรีเมือง เป็นหญิง พูดได้กระไรว่าคิดถึงชายหน้าไม่อาย”
ศรีเมืองทำสีหน้าแปลกใจ
“เหตุใดพูดไม่ได้เล่าแม่หญิงเรไร ในเมื่อฉันพูดตามจริงไม่ได้พูดปด แต่ถึงฉันจะคิดถึงเพียงใด พี่เสมาก็คงไม่คิดถึงฉันดอก เพราะใจพี่เสมามีแต่แม่หญิงเพียงคนเดียวเท่านั้น”
เรไรอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะเชิ่ดใส่
“ชายหลายใจเช่นนั้นน่ะรึ ก็มีหญิงอยู่ทั่ว ไม่จริงใจกับผู้ใดดอก”
“ไม่จริงดอกจ้ะ ฉันรู้ว่าพี่เสมาเป็นเช่นไร แม้แต่เรื่องฉัน ก็เป็นเพราะพ่อท่านเข้าใจผิดแลไม่ฟังคำพูดฉันกับพี่เสมาเลย แต่แท้จริงแล้ว พี่เสมาไม่ได้กระทำเรื่องบัดสีแม้แต่น้อย แม่หญิงเรไรลองตรองดูเถิดก็จักรู้ว่า
พี่เสมาเป็นคนเช่นไร”
เรไรหน้าเจื่อนสับสนไปหมดว่าเรื่องจริงเป็นยังไง เพราะในใจยังรักเสมาอยู่เสมอ
หมายเหตุ - “โขลน” หมายถึง ตำรวจวังหญิงจะเป็นผู้หญิงตัวใหญ่ นุ่งโจงกระเบน ห่มตะเบงมาน ถือดาบ ทำหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยและรักษาความปลอดภัยเจ้านายที่เป็นผู้หญิง
ยามเช้า...ภายในบ้านของขุนรามเดชะ พระภิกษุกำลังสวดมนต์ ผู้คนที่มาร่วมงานนั่งพับเพียบพนมมืออย่างสำรวม หลังจากที่พระภิกษุสวดมนต์เสร็จก็พรมน้ำมนต์ให้ทุกคนเพื่อความเป็นสิริมงคล ทุกคนต่างพนมมือรับด้วยสีหน้ามีความสุข
ขุนรามเดชะเดินลงบันไดเพื่อมาส่งแขกเหรื่อ โดยมีขัน พุฒ พันอินเดินตามมาส่งด้วย ขุนรามเดชะสีหน้ายิ้มแย้มพลางบอก
“ เพลาค่ำมีมหรสพ ฉันตั้งใจจัดให้เป็นที่เอิกเกริก ออกขุนต้องมาดูให้ได้เชียวนา”
แขกคนหนึ่งที่มาร่วมงานกล่าวขึ้น
“ฉันมาแน่ออกขุน จะพากันมาให้หมดเรือนเลยเชียว”
ทุกคนกำลังยิ้มแย้มแจ่มใส ขณะนั้นเอง ทหารเสมากลุ่มหนึ่งก็หามเสมาที่นั่งอยู่บนคานหาม โดยเสมาใส่ชุดขุนเต็มยศ ดูองอาจสง่างาม ในมือเสมาถือพานทองวางไว้ด้วยสาสน์ม้วนหนึ่ง เสมาสวมแหวนทองรูปพญานาค 2 ตัวเกี่ยวกัน หัวแหวนประดับด้วยเพชรน้ำงาม ส่วน สิน สมบุญในชุดยศพัน เดินนำขบวนมา และทหารที่เดินรั้งท้ายขบวนก็ถือของกำนัลหลายชิ้นที่พระยาเดโชฝากมาด้วย
พุฒเหลือบสายตาไปเห็นเสมาจึงพูดขึ้น
“นั่นอ้ายเสมานี่ขอรับ ไม่เพียงแต่กล้าขัดคำท่านขุนมาเหยียบเรือนอีก มันยังให้ทหารหามแห่มาด้วย เช่นนี้มันหมิ่นหยามกันเกินแล้วขอรับ”
ทุกคนต่างมองไปที่เสมา ด้วยสายตาโกรธเคืองกับสิ่งที่เสมาทำ ทหารหามคานของเสมามาจนถึงหน้าเรือน ขันเห็นแล้วก็บันดาลโทสะชี้หน้าเสมาทันที
“มึงประมาทหมิ่นกันเกินไปแล้วอ้ายเสมา ถึงขนาดให้คนหามมาหยามกันถึงหน้าเรือนเช่นนี้ มึงอย่าหมายได้กลับไปเลย”
“บังอาจ ขุนศึกไชยชาญเป็นตัวแทนท่านแม่ทัพพระยาเดโช อัญเชิญรับสั่งสมเด็จพระบัณฑูรของพระราชโอรสมา มันผู้ใดกล้าแตะต้องขุนศึกท่านแม้แต่ปลายเล็บถือเป็นกบฏตัดหัวเจ็ดชั่วโคตร” สินตวาดสวนขึ้น
พวกขุนรามเดชะแม้จะอึ้งไป แต่ยังไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ พันอินยืนอยู่ด้วยถึงกับหน้าเครียดขึ้นมาทันที
“จริงรึออกขุนศึก การเช่นนี้จะทำเป็นเล่นมิได้ โทษปลอมราชโองการถึงตัดหัวเชียวนา”
เสมายกพานทองขึ้นจบหัว
“หากพ่อท่านไม่เชื่อ ก็เชิญดูตราประทับที่ราชโองการเถิด”
เสมาส่งพานทองให้สมบุญ สมบุญรับพานทองมาแล้วจบหัว ก่อนจะถือพานทองมาให้พวกขุนรามเดชะดู ทุกคนดูตราประทับชัดๆก็ตกใจ รีบคุกเข่าลงกราบไหว้ทันที ขุนรามเดชะหน้าเสีย กลัวมีความผิดที่ก้าวร้าวกับผู้เชิญราชโองการ
“ข้าพระเจ้าผิดนักที่ล่วงเกินออกขุน มิรู้ว่าออกขุนจะอัญเชิญรับสั่งมา ขอเชิญออกขุนท่านบนเรือนเถิด”
พวกทหารวางคานลง เสมาลงจากคาน แล้วเดินขึ้นเรือนไปอย่างองอาจ
ขัน และพุฒได้แต่มองตามด้วยเจ็บแค้นที่ต้องคุกเข่ากราบไหว้เสมาไปด้วย แต่ก็ไม่กล้าทำอะไรนอกจากมองตามด้วยความแค้นใจ
บนเรือนขุนรามเดชะ เสมากำลังยืนอ่านสาสน์อยู่ โดยมีสิน สมบุญยืนอยู่ด้านหลัง ส่วนคนอื่นๆหมอบกราบอยู่กับพื้น
“ด้วยรับสั่งสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวแลพระบัณฑูรโอรสท่าน ข้าพระเจ้าขุนศึกไชยชาญจึงอัญเชิญราชโองการพระราชทานพระพรแลราชรางวัลแด่ขุนรามเดชะ ณ บัดนี้ ขอขุนรามเดชะจงถวายบังคมรับพระพรแลราชบำเหน็จในขณะนี้เถิด”
ขุนรามเดชะและคนอื่นๆต่างหันหน้าไปทางพระราชวังจันทร์เกษม แล้วก้มลงกราบถวายบังคม สมบุญถือพานทอง บนพานมีถุงเล็กๆสีทองวางอยู่ สมบุญถือพานจบหัวแล้วเอาพานมาให้เสมา เสมาวางสาสน์ลงบนพาน แล้วหยิบถุงทองขึ้นมา
“บำเหน็จอันเป็นมงคลนี้คือแหวนนพเก้า ขอพระคุณจงจำเริญด้วยอายุแลศักดิ์แก่การมงคลนี้เถิด”
ลำภูรีบถือพานทองอีกอันคลานเข่ามาให้ขุนรามเดชะรับไป ขุนรามทูนพานไว้เหนือหัว ก่อนที่เสมาจะวางถุงทองใส่แหวนนพเก้าลงบนพาน ขุนรามเดชะยกพานจบหัวอีกที ก่อนจะส่งพานทองให้ลำภูรับไปด้วยความปลาบปลื้มสุดๆ
“ฝากออกขุนศึกท่านแจ้งแก่ออกญาเดโชด้วย ว่าขุนรามเดชะนี้รำลึกในพระคุณยิ่งแล้ว จงนำความกราบบังคมทูลที่ประทานบำเหน็จมาเป็นเกียรติยศ จึงขอถวายชีพไว้แทบเบื้องพระบาทสุดแต่จะใช้”
“ข้าพระเจ้าจะแจ้งท่านออกญาเอง แลของอื่นที่ข้าพระเจ้านำมา เป็นบำเหน็จที่ท่านออกญาประทานแก่พระคุณ แต่มีอีกบำเหน็จหนึ่งให้แก่แม่หญิงเพื่อเป็นมงคล ข้าพระเจ้าใคร่จักยื่นให้”
ขุนรามเดชะกำลังดีใจจึงลืมคิดเรื่องอื่นๆ
“เชิญเถิดออกขุน”
เสมาเดินเข้าไปหาเรไร ทั้งคู่สบตากันนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง
เสมาถอดแหวนรูปพญานาคที่สวมนิ้วอยู่ออก แล้วจับมือเรไรขึ้นมาพร้อมกับสวมแหวนให้ พลางเหล่ไปทางขันและพุฒ
“แหวนนี้เป็นมงคลเอกของแม่หญิงแล้ว ขอจำเริญทั้งหลายจงคุ้มแม่ ศัตรูมันจงพินาศเสมือนนึก”
ขัน และพุฒรู้ว่าเสมาแช่งตนจึงได้แต่มองด้วยสายตาเกลียดชังแต่ไม่กล้าทำอะไร ดวงแขเห็นเสมาใส่แหวนให้เรไรก็เกิดความริษยาขึ้น ดวงแขกำผ้านุ่งของตัวเองไว้แน่นด้วยความเจ็บใจ
เรไรพูดเบาๆแต่ปั้นหน้าดุ
“ผู้คนออกมากยังกล้าปดอีกรึ ฉันรู้แต่อยู่ในวังว่าแหวนนี้สมเด็จเจ้าฟ้าวังหน้าท่านพระราชทานเป็นบำเหน็จศึกให้ออกขุนใหม่ทั้งแปดดอก”
เสมายิ้มกรุ้มกริ่ม พูดเบาๆ
“ปัญญาแม่หญิงเลิศนัก ที่ข้าพระเจ้าทำดังนี้ เหตุเพราะพระคุณท่านบอกว่าแม่หญิงหมั้นแล้ว แต่เสมายังไม่เคยเห็นของหมั้นจึงถือเอาแหวนนี้แทนของหมั้นระหว่างเสมากับแม่หญิงเสีย”
ทุกคนหันไปมองเสมาเป็นตาเดียว ยิ่งเห็นเสมาพูดจากระซิบกระซาบกับเรไรก็เริ่มระแวง พันอินแกล้งกระแอมขึ้น
“ ขุนศึกไชยชาญ ให้พรพอแล้วกระมัง”
เสมาเดินเลี่ยงออกมาจากเรไร ทำไม่รู้ไม่ชี้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ในเวลาต่อมา เรไรเปิดประตูห้องเข้ามาแล้วปิดประตูลงเบาๆพลางมองแหวนบนนิ้วที่เสมาเพิ่งให้มา ด้วยความเขินจนอดอมยิ้มไม่ได้
“คนบ้า”
เรไรลูบคลำแหวนในมืออย่างมีความสุข
พวกทหารหามคานหามของเสมาเดินมาตามทาง โดยมีสิน สมบุญเดินนำมา เสมามองไปรอบๆจนแน่ใจว่าพ้นเขตบ้านขุนรามเดชะแล้วก็บอก
“หยุด วางข้าลง”
พวกทหารวางคานหามลงเพื่อให้เสมาลงจากคาน
“พวกเจ้ากลับไปเถิด ประเดี๋ยวข้าจะไปวัดพุทไธสวรรย์ต่อ” เสมาบอก
“ขอรับออกขุน”
พวกทหารช่วยกันหามคานหามจากไป พอพวกทหารจากไป เสมา สิน และสมบุญก็ค่อยๆหัวเราะ เสียงดังลั่น
“ เห็นตอนอ้ายขัน อ้ายพุฒมันคุกเข่าไหว้พวกเราหรือไม่ สาแก่ใจข้านัก” สินถาม
“แต่พี่เสมารู้ได้อย่างไร ว่าออกญาเดโชจักต้องอัญเชิญรับสั่งแลราชบำเหน็จมาให้ท่านขุนราม” สมบุญถาม
เสมายิ้มแย้มแล้วบอก
“ออกญาเดโชบอกข้าเองว่า สมเด็จเจ้าฟ้าวังหน้าท่านประทานแหวนนพเก้าให้เป็นบำเหน็จศึกละแวก พอข้ารู้จากเอ็งว่าบ้านท่านขุนจะมีงานบุญ ข้าก็ได้คิด ว่าออกญาท่านคงถือฤกษ์งานบุญอัญเชิญรับสั่งเป็นแน่ ข้าจึงอาสามาแทน”
“จึงได้หักหน้าอ้ายขัน อ้ายพุฒ สมน้ำมะหน้ามันนัก”
“แต่เสียดายแหวนที่พี่ให้แม่หญิงเรไรนัก ดูท่าจะมีค่าไม่น้อย หากขายคงพอไถ่แม่จำเรียงเป็นแน่”
“ขายได้อย่างไร สมเด็จเจ้าฟ้าท่านพระราชทานมา วันที่ข้าได้เป็นขุนศึกไชยชาญ ขืนเอาไปขายคงต้องโทษเป็นแน่ แลข้าตั้งใจไว้ มิว่าศักดิ์หรือสมบัติใด ข้าจะให้แก่แม่หญิงทั้งสิ้น แหวนวงนี้ก็ควรแล้วที่จะเป็นของแม่หญิงเรไร ผู้เป็นมงคลแห่งข้า” เสมายิ้มปลาบปลื้มชื่นใจ
อ่านต่อ หน้า ๒
เกร็ดความรู้เกี่ยวกับขุนศึก
๓๘. โขลน คือตำรวจวังหญิง ซึ่งมีหน้าที่ตรวจตรารักษาถนนหนทาง ดูแลเรื่องความสะอาด
ตลอดจนรักษาความสงบเรียบร้อยไม่ให้มีการทะเลาะวิวาทกัน ในเขตพระราชฐานชั้นใน
..................................................................................................
ขุนศึก ตอนที่ ๖ (ต่อ)
ที่ศาลาท่าน้ำภายในบ้าน ดวงแขกำลังยืนบีบราวลูกกรงไม้ของศาลาท่าน้ำด้วยสีหน้าแววตาซึ่งเต็มไปด้วยความเกลียดชังริษยาอย่างเต็มที่ พุฒเดินกวนๆเข้ามาหาดวงแข พุฒยิ้มเยาะขึ้นทันที
“ บาดตาบาดใจนักรึ แม่หญิงดวงแข”
ดวงแขหันมาจ้องพุฒเขม็ง
“บาดตากระไร หมื่นทรงจะหาเรื่องฉันรึ”
“หาเรื่องหรือแทงใจดำกันแน่แม่เอ๋ย อย่าคิดว่าฉันโง่จนดูไม่ออกเลยว่าแม่หญิงคิดกับเสมาเช่นไร”
“ฉันจักคิดเช่นไรแล้วมีกระไรรึหมื่นทรง”
“นี่แม่หญิงยังรักศักดิ์ของตนบ้างหรือไม่ อ้ายเสมามันเป็นไพร่ต่ำสกุล ไปมีใจให้แก่มันได้อย่างไร ผู้อื่นรู้เข้าก็จักพาลดูถูกมาถึงศักดิ์ตระกูลของแม่หญิง”
“ไพร่ต่ำสกุลแต่ก็เป็นถึงออกขุนศึกไชยชาญ หากไม่ใช่ทหารอาสา คงมีศักดินานับร้อยไร่มากกว่าผู้มีสกุลสูงอย่างหมื่นทรงเสียอีก”
“นี่แม่หญิงกำลังดูถูก เอาฉันไปเปรียบกับมันเชียวรึ”
“เปรียบรึ หมื่นทรงท่านมีกระไรไปเปรียบกับเสมา ไม่ว่าจะฝีมือหรือน้ำใจ ฉันยังไม่เห็นมีสักข้อที่จะเปรียบกันได้”
พุฒโมโหมากเข้ากระชากแขนดวงแข
“มากเกินไปแล้วแม่หญิง ถ้าเช่นนั้น ฉันจะให้แม่หญิงดูว่าเปรียบกันได้หรือไม่”
ขาดคำพุฒดึงดวงแขเข้ามาปล้ำกอดจูบ ดวงแขกรีดร้องพยายามดิ้นสุดฤทธิ์แต่สู้แรงพุฒไม่ได้ ขณะนั้นเอง เสียงจำเรียงก็ดังขึ้นขัดจังหวะ
“ แม่หญิงดวงแขเจ้าคะ”
พุฒตกใจ พอหันไปมองก็เห็นจำเรียงนั่งคุกเข่า ก้มหน้าอยู่
“แม่นายเรียกแม่หญิงไปพบเจ้าค่ะ”
ดวงแขได้ทีเลยผลักพุฒออกแล้วรีบเดินเลี่ยงไปทันที พุฒจะตามแต่จำเรียงรีบลุกขึ้นขวางทางพุฒไว้
“มึงกล้าขวางกูรึ ไสหัวไป”
จำเรียงหน้านิ่งมองพุฒอย่างไม่กลัว
“แน่ใจหรือเจ้าคะ ถ้ากระนั้น บ่าวจะไสหัวไปบอกแม่นาย ว่าหมื่นทรงเดชะทำบัดสีกับ...”
หุบปากประเดี๋ยวนี้ หากมึงปากบอน กูไม่ปล่อยมึงไว้แน่อีจำเรียง” พุฒชี้หน้าจำเรียงแล้วตะคอกสวน
จำเรียงยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะเดินเลี่ยงไป พุฒมองตามจำเรียงไปด้วยสายตาอาฆาต เกลียดชัง
ขันกำลังคุยกับพุฒด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอยู่บนเรือนเมื่อตอนหัวค่ำ
“จะดีรึหมื่นทรง แม่ดวงแขปกป้องนังจำเรียงนัก หากฉันทำกระไรลงไป แม่ดวงแขคงไม่ยอมเป็นแน่”
“แล้วหมื่นชาญจะยอมให้ถูกเย้ยว่านังจำเรียงมันมาอยู่ถึงปากแล้ว แต่ไม่กล้าทำกระไร ใครรู้เข้า จะเอาหน้าไปไว้ที่ใด”
ขันหนักใจและยิ่งลังเลหนักขึ้น
“ลืมเรื่องเมื่อกลางวันแล้วรึ อ้ายเสมามันอัญเชิญราชโองการมาเพื่อจงใจหยามเรา แหวนที่มันสวมให้แม่หญิงเรไรก็หาใช่แหวนของออกญาเดโชไม่ เราหลงกลมัน หมื่นชาญท่านรู้หรือไม่” พุฒยุยงซ้ำ
ขันตกใจเพราะนึกไม่ถึง
“จริงรึ”
“ฉันจะปดหมื่นชาญไปเพื่อกระไร เสียดายแต่ฉันรู้ช้าไป ไม่เช่นนั้นคงเห็นดีกันแต่เมื่อกลางวัน ถึงขั้นนี้แล้ว หมื่นชาญจะละนังจำเรียงไว้อีกทำไม”
ขันมีสีหน้าเหี้ยมเกรียมขึ้นมาทันที ตัดสินใจแล้วว่า ยังไงก็ต้องเอาจำเรียงมาทำเมียเพื่อหักหน้าเสมาให้ได้ พุฒยิ้มเจ้าเล่ห์ แค่นี้ก็เล่นงานจำเรียงที่บังอาจมาขัดขวางได้แล้ว
เอื้อยแตงกำลังขายมีดให้บรรดาทาสชาย-หญิงของบ้านขัน โดยมีจำเรียงยืนอยู่ใกล้ๆ
“เลือกเลยจ้ะ เลือกเลย มีดคม เหล็กดี แต่งสวย ใช้ทน ใช้จนตายก็ยังไม่บิ่นไม่หักเลยจ้ะ” เอื้อยแตงร้องบอกสรรพคุณของมีดให้แก่ผู้ซื้อ พวกทาสต่างเข้าไปเลือกซื้อมีดทั้งอันเล็กอันใหญ่ รูปแบบต่างๆกันอย่างคึกคักเอื้อยแตงเห็นกำลังขายดี เลยเข้าไปหาจำเรียง
“ ขายดีนัก หากแม่จำเรียงหาที่ให้ฉันขายได้เช่นนี้อีก ฉันจะแบ่งเงินให้ ไม่กี่ปีดอก ได้ไถ่แม่เป็นไทแน่”
“เก็บเงินไว้เถิดแม่เอื้อยแตง ฉันเป็นบ่าวบ้านนี้เท่านั้นจะพาแม่ไปขายบ้านอื่นได้กระไร หรือจะให้ฉันเร่เป็นบ่าวไปเสียทุกบ้าน”
ขณะนั้นเอง ขันและพุฒพร้อมด้วยทาสชายจำนวนหนึ่งก็เดินเข้ามา ขันสั่งเสียงดัง
“เฮ้ย จับตัวนังจำเรียงไว้”
พวกทาสที่มากับขัน รีบกรูกันเข้าจับตัวจำเรียงทันที ท่ามกลางความตกใจของทุกคน
“กระไรกันท่านหมื่น ฉันทำผิดกระไรถึงให้คนมาจับตัวฉันเช่นนี้”
ขันตวาดใส่แล้วหันไปสั่งพวกทาส
“ เอ็งมันสันหลังยาว งานการไม่ยอมทำ ข้าจึงจะลงโทษเอ็งให้หลาบจำ เอามันไปตีกรวนแล้วขังไว้ประเดี๋ยวนี้”
พวกทาสรีบพาจำเรียงไปทันที จำเรียงกลัวมากร้องเรียก
“แม่เอื้อยๆ”
เอื้อยแตงจะเข้าไปช่วยแต่ถูกผลักออกมา พวกทาสพาจำเรียงไป โดยมีขันเดินตามไปติดๆ
“พวกแกมันใจโหดแท้ รังแกกระทั่งผู้หญิงไม่มีทางสู้”
พุฒผลักเอื้อยแตงที่เกะกะขวางทางแล้วเดินยิ้มอย่างสะใจสมน้ำหน้าจำเรียง เอื้อยแตงหงุดหงิดเตะส่งพุฒไปเล็กน้อย ก่อนจะมีสีหน้าเป็นห่วงจำเรียงมาก
ภายในเรือนกักขัง เวลาต่อมา ทาสชายใส่ตรวนที่เท้า จำเรียงถูกตีตรวนโดยมีขัน พุฒ ยืนอยู่ใกล้ๆ พอตีตรวนเสร็จ ทาสชายก็เดินออกจากเรือนไป ขันนั่งยองๆลงคุยกับจำเรียงพลางเชยคางขึ้น
“ผิวดีๆ ไม่น่าต้องกรวนให้หมองเลย นี่ถ้าหากแม่จำเรียงไม่ดื้อดึง ก็คงไม่ต้องเป็นเช่นนี้ดอก”
จำเรียงเบือนหน้าหนีแล้วจ้องหน้าขันด้วยความโกรธแค้น
“ฉันรู้เล่ห์ ท่านหมื่นแล้ว คิดจะให้ฉันเป็นเมียทาสจึงใส่ความแลตีกรวนขังฉันไว้”
ขันยิ้มกรุ้มกริ่มแล้วว่า
“ เมื่อแม่จำเรียงรู้เช่นนี้ แล้วจะดื้อดึงอีกไปไย อันที่จริง ฉันก็ยังรักแม่จำเรียงอยู่ แต่ติดที่อ้ายเสมามันตั้งตัวเป็นอริต่อฉัน แต่หากแม่จำเรียงยอมเป็นเมียฉันแล้วฉันก็จะเลี้ยงดูแม่ให้สุขสบายมิน้อยหน้าผู้อื่นเลย”
“สุขสบายเช่นเมียทาสน่ะรึ ท่านหมื่นเก็บคำของท่านไว้หลอกเด็กเถิด ชีวิตฉันมีผิดเพียงเรื่องเดียว คือมีใจให้ชายอสัตย์น้ำใจชั่วเยี่ยงท่านหมื่น ฉันจึงต้องได้ทุกข์เช่นทุกวันนี้”
“ปากดีนักนะอีจำเรียง ไม่ผิดพี่มึงแม้แต่น้อย แล้วกูจักคอยดูว่ามึงจะยอมเป็นเมียกู หรือจะยอมโดนล่ามไปจนตาย”
ขันเดินหงุดหงิดออกจากเรือนไป พุฒมองจำเรียงอย่างยิ้มเยาะ
“สุขสบายดีหรือไม่เล่านังจำเรียง นี่หละคือค่าที่เอ็งเหิมเกริมกล้าขัดข้า อยากให้อ้ายเสมามันได้มาเห็นน้องมันเทียวนัก”
พุฒหัวเราะเยาะก่อนจะเดินออกจากเรือนไป จำเรียงได้แต่มองตามทั้งขันและพุฒด้วยความเจ็บใจ
พอพุฒออกมาถึงบริเวณหน้าเรือนก็เห็นดวงแขกับเอื้อยแตงกำลังเดินตรงมาด้วยความร้อนใจ
“พี่หมื่นชาญ...”
“หากแม่ดวงแขจะมาพูดขอให้นังจำเรียงก็หยุดพูดเสียเถิด พี่ไม่มีวันปล่อยมันออกมาดอก” ขันรีบตัดบท
“จักรังแกกันมากเกินไปแล้ว คนไม่มีผิดก็มาตีกรวนจับขัง เช่นนี้ยังเป็นคนอยู่อีกหรือไม่” เอื้อยแตงพูดด้วยความโมโห
“แล้วมันธุระกงการกระไรของเอ็ง ที่นี่เป็นเรือนหมื่นชาญ หาใช่เรือนแม่ค้าเร่ขายมีดไม่ แลนังจำเรียงก็เป็นทาส เสมือนหนึ่งว่าเป็นของในเรือนจะกระทำกระไรก็ได้ทั้งสิ้น” พุฒตะคอกใส่
“ถ้ากระนั้นฉันจะฟ้องร้อง ดูทีรึ ว่าบ้านเมืองนี้จะยังมีขื่อมีแปอยู่หรือไม่”
“ฟ้องร้อง แม่เอื้อยแตงเป็นผู้ใดหรือจ๊ะ ถึงจะฟ้องร้อง เป็นพี่เป็นน้องกับนังจำเรียงก็มิใช่ แล้วใครเค้าจักฟัง” พุฒพูดพลางหัวเราะเยาะ
เอื้อยแตงแค้นจนตัวสั่นแต่ก็ไม่รู้จะหาทางสู้ยังไงเหมือนกัน ดวงแขเอาน้ำเย็นเข้าลูบ
“พี่หมื่นชาญ น้องขอสักคราเถิด แม่จำเรียงก็เคยเป็นข้าหลวงตำหนักเดียวกับน้องมาก่อน อย่าให้ถึงตีกรวนล่ามโซ่ให้เป็นเสนียดเลย”
“ถ้าเช่นนั้น แม่ดวงแขก็บอกให้นังจำเรียงมันยอมเป็นเมียพี่ซี หากมันเป็นเมียพี่แล้ว พี่ถึงจะยอมปล่อย”
ขันเดินเลี่ยงไปโดยมีพุฒมองเย้ยดวงแขและเอื้อยแตงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่พุฒจะเดินตามขันไป ดวงแขสีหน้าเครียด คิดหนักว่าจะเอาไงดี เอื้อยแตงร้อนใจสุดๆ หันมาวีนใส่ดวงแข
“ยังไม่รีบตามพี่ชายตัวเองไปอีกรึ ฉันไม่ได้ไปตามแม่หญิงมาเพื่อพูดจาไม่กี่คำดอกนะ”
ดวงแขโมโหหงุดหงิด
“หยุดวุ่นวายเสียทีเถิดแม่เอื้อยแตง ฉันรู้น้ำใจพี่ชายฉันดี ว่าควรจักต้องทำเช่นไร ฉันชักคล้อยตามหมื่นทรงเสียแล้ว เรือนนี้ก็ไม่ใช่เรือนของแม่เอื้อย จำเรียงก็ไม่ใช่ญาติแม่ แล้วเหตุใดแม่เอื้อยแตงจึงวุ่นวายไม่เลิกราเช่นนี้”
ดวงแขสะบัดหน้าเดินฉับๆจากไป เอื้อยแตงมองด้วยความเจ็บใจ ไม่ชอบหน้าดวงแขอยู่แล้วก็ยิ่งระแวงหนัก
เอื้อยแตงเดินทางไปที่วัดพุทไธสวรรย์ เสมาสีหน้าเคร่งเครียดเมื่อได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดจากเอื้อยแตง โดยมีสิน และสมบุญอยู่ใกล้ๆ
“แม่หญิงดวงแขพูดเช่นนั้นเชียวรึ”
“ฉันจะปดพี่หากระไรเล่า ฉันเคยบอกพี่แล้ว ว่าแม่หญิงผู้นี้ไม่ใช่คนดีนัก...แล้วที่ห้ามพี่ชายตนก็ห้ามพอเป็นพิธีเท่านั้นดอก จำเรียงเห็นทีจะไม่พ้นมืออ้ายหมื่นชาญเป็นแน่แท้”
“ถ้ากระนั้น เราบุกไปช่วยแม่จำเรียงกันเถิดพี่เสมา ไปประเดี๋ยวนี้เลย” สมบุญบอก
“อ้าว อ้ายสมบุญ ทุกคราเห็นด่าว่าข้าใจร้อน แล้วนี่กลางวันแสกๆ เอ็งจะบุกไปให้มันไล่ตีเอารึ” สินงงกับท่าทีของสมบุญ
สมบุญหน้าเจื่อนไป ไม่เข้าใจตนเองเหมือนกันว่า ทำไมร้อนใจเรื่องจำเรียงขนาดนี้
“จะทำกระไรก็รีบทำเถิด อ้ายหมื่นชาญมันคงไม่ปล่อยจะเรียงไว้นานดอก”
เสมากำลังใช้ความคิดว่า จะช่วยจำเรียงอย่างไรดี
เสมากำลังคุยกับพันอินอยู่ โดยมีเอื้อยแตงอยู่ใกล้ๆ
“ฉันจะไปทำกระไรได้ จำเรียงมันเป็นทาสเค้าย่อมอยู่ในอำนาจหมื่นชาญ สุดที่ผู้อื่นจักก้าวก่ายได้”
เสมาพนมมือไหว้
“พ่อท่านเมตตาสักคราเถิด ข้าพระเจ้าไม่อยากวิวาทให้เป็นโทษอีก แต่ครั้นจะยอมให้น้องเป็นเมียทาสเค้า ก็ทนไม่ได้จริงๆ”
“ทนไม่ได้แล้วจะให้ทำกระไร เหตุทุกประการมันเกิดขึ้นเพราะออกขุนก่อเรื่องผูกเวรกับหมื่นชาญมาแต่เก่าก่อน ถึงขั้นนี้แล้วก็ต้องยอมก้มหน้ารับไปตามกรรมเถิด”
“ จะให้ก้มหน้ารับ แล้วหากเป็นแม่ศรีเมืองบ้าง ท่านลุงพันอินก็จักให้ก้มหน้ารับกระนั้นรึ” เอื้อยแตงว่า
พันอินจ้องหน้าเอื้อยแตงด้วยความโกรธที่กล่าวย้อน ก่อนจะเดินเข้าข้างในไปโดยไม่ยอมคุยด้วยอีก
“พ่อพันอินท่านคงยังเคืองเรื่องแม่ศรีเมืองอยู่ พูดกระไรไป ก็ไม่เป็นผลดอก” เสมาบอก
“แล้วพี่จักยอมเช่นนี้รึ”
เสมาแววตาถมึงทึงพลางว่า
ใครว่า แม้ต้องตายดับลงไปประเดี๋ยวนี้ ข้าก็หายอมให้น้องสาวข้าเป็นเมียทาสอ้ายขันไม่”
เวลากลางคืน เสมา สิน สมบุญยืนพร้อมอาวุธครบมือมองบ้านขันอยู่ เตรียมพร้อมช่วยจำเรียงออกมา
“แม่เอื้อยแตงบอกว่าอ้ายขันมันใส่กรวนขังแม่จำเรียงไว้ที่เรือนขังทาสท้ายบ้าน ป่านฉะนี้ พวกมันคงจัดเวรยามเฝ้าอย่างดีแล้ว คิดจักช่วยแม่จำเรียงออกมา คงไม่ง่ายแล้วพี่เสมา”
“จะกลัวกระไรวะอ้ายสมบุญ ทัพเรือนพันเรือนหมื่นเราก็บุกมาแล้ว พวกอ้ายขันจะมีสักเท่าใดกันเชียว” สินว่าพลางควงทวน กระหยิ่มยิ้มย่อง
“จำนวนเท่าใดไม่สำคัญดอก แต่การบุกเรือนผู้อื่นแล้วปล้นทาสออกมามันผิดอาญาบ้านเมือง หากไม่อยากโดนจำคุกก็ต้องช่วยแม่จำเรียงโดยมิให้ถูกจับได้” สมบุญว่า
เสมาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วบอก
“ข้ามีแผนแล้ว ว่าจะต้องทำเช่นใด”
สิน และสมบุญหันไปมองเสมาด้วยความสงสัยว่าเสมามีแผนอะไร
บริเวณหน้าเรือนกักขัง ขัน และพุฒกำลังกินเหล้าพร้อมกับแกล้มเฮฮากันอยู่ พุฒเมามายแล้วยิ้มแย้ม “หมื่นชาญเพื่อนฉัน ฉันดีใจด้วย ที่พ้นคืนนี้เพื่อนก็จะได้นังจำเรียงคนงาม มาเป็นเมียบำเรอแล้ว”
“เป็นเพียงผลพลอยได้ดอก ที่สาแก่ใจคืออ้ายเสมา มิว่าภายหน้ามันจะเป็นขุนเป็นหลวงกระไร แต่ก็จะได้ชื่อ ว่ามีน้องเป็นเมียทาสฉัน ติดตัวไปตลอด”
ขัน และพุฒ หัวเราะสะใจท่ามกลางความเมามาย
“แต่คนอย่างอ้ายเสมา มันคงไม่ยอมง่ายๆเป็นแน่ ฉันเชื่อ ว่ามันต้องหาทางบุกมาช่วยนังจำเรียงออกไป” ขันว่า
“ขอให้มันมาเถิด ฉันมีอุบายที่จะ...”
ทันใดนั้น ก็ได้ยินเสียงคนโวยวายโกลาหลดังขึ้น
“ไฟไหม้ ช่วยกันดับเร้ว ไฟไหม้”
ขันตกใจหายเมาเป็นปลิดทิ้งหันไปสั่งลูกน้อง
“เร็วซีวะ ช่วยไปดับไฟเร็ว”
พวกลูกน้องตื่นตกใจจะไปดับเพลิง พุฒรีบห้ามไว้
“ช้าก่อน หมื่นชาญท่านจำไม่ได้รึว่า อ้ายเสมาเคยใช้อุบายวางเพลิงนี้ ล้มพิธีของท่านกับแม่หญิงเรไรมาแล้วคราหนึ่ง ครานี้ มันก็เพียงแต่ใช้อุบายเดิมเท่านั้น ท่านอย่าได้หลงกลไป”
ขันคิดตามแล้วบอก
“จริงแท้ อ้ายเสมาเป็นแน่”
“ไม่ต้องกังวลไปดอก ฉันย้ายนังจำเรียงขึ้นเรือนใหญ่ไปแล้ว เพราะเมื่อเพลากลางวัน ฉันจงใจให้นังเอื้อยแตงเห็นว่าเราขังนังจำเรียงไว้ที่นี่ ก็เพื่อหลอกอ้ายเสมา หากมันมาช่วยน้องมันที่นี่ต่อให้มีปีกบินเฉกนก มันก็ยากจะรอดกลับไปเป็นแน่”
ขันยิ้มร้ายๆ หันไปสั่งลูกน้อง
“พวกเอ็งรีบเก็บกวาด อย่าให้เป็นพิรุธแล้วซุ่มกำลังไว้ หากอ้ายเสมามาเมื่อใด จงรีบรุมล้อมจัดการมันเสีย”
พวกลูกน้องรีบจัดการตามที่ขันสั่งทันที ขันและพุฒหันไปยิ้มร้ายๆให้กัน
เสมา และสมบุญรีบเดินขึ้นเรือนใหญ่ทันที สมบุญสงสัยสุดๆ
“ประเดี๋ยวเถิดพี่เสมา ฉันแคลงใจนัก ในเมื่ออ้ายสินวางเพลิงล่อพวกมันไปแล้ว เหตุใดพี่ไม่ไปช่วยแม่จำเรียงที่เรือนขังทาสเล่า”
“อุบายนี้ข้าเคยใช้แล้ว มีรึ ที่อ้ายขันอ้ายพุฒจะหลงกลซ้ำสอง พวกมันต้องกะเกณฑ์คนซุ่มทำร้ายเราที่เรือนขังทาสเป็นแน่ มิเช่นนั้น เรือนใหญ่จะไม่มีบ่าวไพร่อยู่เช่นนี้รึ”
สมบุญมองไปรอบๆ เห็นจริงตามที่เสมาพูด
“แล้วแม่จำเรียงเล่า พี่แน่ใจได้กระไรว่าแม่จำเรียงอยู่ที่เรือนใหญ่”
“หากข้าจักซ่อนของย่อมต้องซ่อนในที่ที่ผู้อื่นคิดไม่ถึง แลปลอดภัยจากศัตรู แล้วจะมีที่ใดดีกว่าบนเรือนใหญ่อีกเล่า”
“ศัตรูย่อมคิดไม่ถึง แลไม่กล้าบุกขึ้นเรือนใหญ่เป็นแน่ ใช่หรือไม่พี่เสมา”
“ถูกแล้ว เอ็งจงช่วยข้าหาจำเรียงเถิด อ้ายขันมันคิดชั่วกับน้องข้า ย่อมไม่ลงกลอนไว้แน่ เพื่อจะได้เข้าหาจำเรียงโดยสะดวกห้องใดไม่ลงกลอน แสดงว่าไม่มีคนหรือไม่ก็เป็นห้องที่ขังจำเรียงไว้”
“ได้จ้ะพี่” สมบุญพยักหน้ารับ
ทั้งคู่รีบค้นหาจำเรียงทันที บางห้องลงกลอนไว้เปิดไม่ได้ ก็ไม่กล้าส่งเสียงดัง รีบไปค้นห้องอื่นต่อ บางห้องไม่ลงกลอน พอเปิดออกก็เป็นห้องพระ ห้องทำงาน ฯลฯ ซึ่งไม่มีคนอยู่
เสมาค้นมาถึงห้องๆหนึ่ง พอลองผลักประตูดู ปรากฏว่าเปิดออกง่ายไม่ได้ลงกลอนไว้ เสมารีบเข้าไปแล้วปิดประตู ในห้องค่อนข้างมืด แต่พอมองออกว่ามีคนนอนอยู่ในมุ้ง เสมาค่อยๆตลบมุ้งขึ้น ไม่ให้เสียงดัง เลยเห็นว่าคนที่นอนอยู่เป็นผู้หญิง เสมาดีใจนึกว่าเป็นจำเรียงจึงรีบเข้าไปปลุกทันที
“ จำเรียง”
ดวงแขตกใจตื่นขึ้น พอหันกลับมามองเห็นผู้ชายอยู่ในห้องตนจึงรีบกระเถิบตัวหนีทันที ฝ่ายเสมาก็ตกใจไม่คิดว่าจะเป็นดวงแข
“ แม่หญิงดวงแข”
“ขุนศึกไชยชาญ”
ทั้งคู่อึกอักกระอักกระอ่วน ดวงแขอายที่ผู้ชายบุกมาถึงในห้องนอน ส่วนเสมาเครียดที่นอกจากจะไม่ใช่จำเรียงแล้ว ยังเป็นดวงแขน้องสาวขันไปซะอีก
จำเรียงกำลังนั่งร้องไห้ด้วยความเจ็บใจในความโง่เขลาของตนเอง ภายในห้องนอนของขันจุดตะเกียงไว้ ขณะนั้นเองก็มีเสียงเหมือนคนจะเปิดประตูเข้ามา จำเรียงตกใจ คิดว่าขันจะมาข่มเหงตนแน่ๆ เลยรีบหยิบหินสวยทับกระดาษบนโต๊ะขึ้นมาซ่อนไว้ กะว่าจะใช้หินเป็นอาวุธ แม้จะเป็นหินก้อนเล็กๆก็สู้แค่ตาย
แต่พอประตูเปิดออก จำเรียงเห็นว่าเป็นสมบุญ
“แม่จำเรียง”
จำเรียงนึกไม่ถึง
“สมบุญมาอยู่ที่นี่ได้กระไร”
“ก็ตามพี่เสมามาช่วยแม่จำเรียงซี รีบไปเถิด เกิดอ้ายขันย้อนกลับมาจักลำบาก”
“ฉันถูกใส่กรวนอยู่ ถอดออกก่อนเถิด”
สมบุญหันไปมองที่ขาของจำเรียง เห็นใส่ตรวนล่ามไว้จริงๆ สมบุญรีบหยิบผ้าห่มมาพันรอบขาของจำเรียง เพื่อไม่ให้โซ่ตรวนบาดขาเวลาง้างตรวนออก สมบุญออกแรงง้างตรวนเต็มที่
“ใช้ดาบฟันไม่ได้รึ”
“ไม่ได้ดอก เสียงดัง ประเดี๋ยวคนในเรือนตื่น”
สมบุญง้างจนหมดแรงเล่นเอาหอบ
“กำลังข้อฉันผิดจากพี่เสมานัก เห็นทีจะง้างด้วยมือเปล่าไม่ได้เสียแล้ว”
จำเรียงฉุกคิดขึ้นแล้วหยิบหินทับกระดาษที่ตนซ่อนไว้ออกมา
“ใช้หินทุบกรวนแล้วค่อยง้างออกดีหรือไม่ หากทุบหินลงบนผ้าเสียงคงไม่ดังนักดอก”
สมบุญรีบรับหินมาแล้วเอาผ้ารองโซ่ตรวนก่อนจะทุบกระหน่ำเต็มที่ ทุบไม่กี่ที ตรวนก็เริ่มง้างออกมาพอสมบุญเห็นตรวนเริ่มง้างออกมาจึงใช้มือดึงตรวนอย่างเต็มที่อีกที สมบุญออกแรงง้างสุดแรงเกิด จำเรียงก็ก้มมองลุ้นเอาใจช่วยเต็มที่ สมบุญง้างตรวนออกมาได้ แต่จังหวะที่ตรวนหลุดออก ตัวเองก็เสียหลัก ถลาไปทางจำเรียงเสียจังหวะ ทำให้แก้มแนบแก้มกัน
“ว๊าย”
ทั้งคู่รีบผละออกจากกันด้วยความเขินอาย จำเรียงอายจนต้องรีบหลบตาแล้วบอก
“กรวนหลุดแล้ว รีบไปเถิด”
จำเรียงจะลุกขึ้น สมบุญเสียดายเลยทำฟอร์มดึงจำเรียงมากอดเอาไว้
“ทำกระไรสมบุญ”
สมบุญวางหน้าเครียดแล้วว่า
“ เงียบก่อนแม่จำเรียง ไม่ได้ยินเสียงคนเดินรึ อาจจะเป็นคนในเรือนตื่นก็เป็นได้ รอสักครู่ก่อนเถิด”
จำเรียงกลัวแต่ก็ขยับออกจากอ้อมกอดสมบุญเล็กน้อย แต่ยังยอมให้สมบุญเกาะกุมมือเอาไว้ สมบุญแอบอมยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างมีความสุข
ภายในห้องนอนของดวงแข เสมากับดวงแขมองหน้ากันอย่างกระอักกระอ่วน
“ขุนศึกท่านมาหาจำเรียงรึ จำเรียงอยู่ที่เรือนขังทาส มิได้อยู่ที่เรือนใหญ่ดอก”
“เรือนขังทาส เช่นนี้แล้วยังคิดจะลวงข้าพระเจ้าไปให้พี่ชายของแม่หญิงฆ่าอีกรึ เห็นทีที่เอื้อยแตงกล่าวว่าแม่หญิงรู้เห็นด้วยอ้ายขัน คงไม่ผิดกระมังเสียแรงที่ฉันไว้ใจ”
“ออกขุนท่านเชื่อคำนังแม่ค้าขายเหล็กก็ตามแต่ใจเถิด แต่รีบลงไปให้พ้นเรือนฉันเสีย ฉันไม่ต้องการสนทนาด้วยออกขุนอีก”
“ไล่ให้พ้นเรือน เพื่อให้ฉันไปตายด้วยน้ำมือพี่ชายแม่หญิงกระนั้นรึ”
เสมาจับมือดวงแขไว้พลางว่า
“คนอย่างอ้ายเสมา ไม่ยอมให้ถูกรังแกฝ่ายเดียวดอก หากฉันต้องเสียน้องสาว อ้ายขันก็ต้องเสียน้องสาวด้วยเช่นกัน”
ดวงแขเห็นเสมาจับมือตนอย่างหยาบหื่นก็โมโห
“พาลหนักแล้วออกขุน ปล่อยมือฉันประเดี๋ยวนี้”
เสมาจ้องหน้าดวงแขเขม็งไม่ยอมปล่อย ดวงแขโกรธแล้วทุบตีเสมา
“ปล่อย ฉันบอกให้ปล่อย ปล่อยประเดี๋ยวนี้ ...ช่วย...”
เสมาโมโหที่ดวงแขจะตะโกน เลยดึงดวงแขเข้ามากอดจูบทันที ดวงแขตกใจ ไม่คิดว่าเสมาจะปล้ำ กอดจูบตนเช่นนี้ เสมาปล้ำกอดจูบดวงแข แต่ซักพักก็สัมผัสได้กับหยดน้ำตาที่อาบแก้มดวงแข เสมาได้สติ ค่อยๆดึงตัวออกมา ดวงแขมองเสมาด้วยความผิดหวังเสียใจสุดๆ
“ออกขุนมิได้รักฉัน แล้วเหตุใดจึงทำกันเช่นนี้ นับแต่เกิดมา มิเคยเลยที่จักมีผู้ใดข่มเหงใจฉันถึงเพียงนี้” เสมารู้สึกผิดสุดๆ เพราะความโกรธชั่วขณะ กลับทำให้ดวงแขต้องด่างพร้อย อย่างไม่น่าให้อภัยเลย
ในเวลาเดียวกัน ขันและพุฒพาบรรดาลูกน้องซุ่มอยู่ในพุ่มไม้ใกล้ๆเรือนกักขัง เพื่อรอทำร้ายเสมา แต่ไม่มีวี่แววว่าเสมาจะบุกมา ขันรอจนหงุดหงิดจนต้องหันไปถามพุฒ
“นานไม่ใช่น้อยแล้ว เหตุใดอ้ายเสมายังไม่มาเสียที หรือจักเป็นเพลิงไหม้จริง ไม่ใช่อ้ายเสมามันลอบเผาเรือน”
พุฒคิดหนักแล้วหันไปสั่งลูกน้อง
“พวกเอ็งซุ่มรออยู่ที่นี่ ข้ากับท่านหมื่นชาญจะกลับไปที่เรือนใหญ่ก่อน หากอ้ายเสมาบุกมา พวกเอ็งจงเร่งส่งคนไปตามพวกข้า กลับกันเถิดหมื่นชาญป่านฉะนี้ นังจำเรียงคงรอท่านไปเชยชมอยู่นานแล้ว”
ขันยิ้มกรุ้มกริ่มแล้วเดินตามไป ทั้งคู่สีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส สินแอบซุ่มดูอยู่ด้วยสีหน้าเครียด
เสมาคุยกับดวงแขด้วยความรู้สึกผิด ในขณะที่ดวงแขยังน้ำตาคลอเบ้าด้วยความเสียใจ
“ข้าพระเจ้านี้ชั่วชายนักแล้วแม่หญิงเอ๋ย ที่ทำให้แม่หญิงได้ทุกข์ เพียงเพราะจักแก้แค้นพี่ชายแม่หญิง ขอแม่หญิงจงรับปากให้อภัยข้าพระเจ้าเถิด สืบต่อไปหากข้าพระเจ้าเพียงแต่คิดชั่วกับแม่หญิงเช่นนี้อีก ก็ขอให้มีอันเป็นไป”
ดวงแขน้ำตาคลอเบือนหน้าไปทางอื่นไม่ยอมพูดด้วย เสมายิ่งรู้สึกผิดเลยตัดใจคุกเข่าลงขอโทษ
“ท่านจะทำกระไรออกขุน”
“ข้าพระเจ้าจะกราบขอขมาแก่แม่หญิงด้วยใจกำเริบมิยั้งคิดทำให้แม่หญิงมัวหมอง หากแม่หญิงไม่ให้อภัยแล้ว ข้าพระเจ้าก็จะขอตายเสีย”
ดวงแขอึกๆอักๆ แม้จะเสียใจ แต่ไม่ได้โกรธจนอยากให้เสมาไปตาย
ขณะนั้นเอง เสมาก็ได้ยินเสียงสินที่ทำเสียงไก่ขันดังขึ้น เสมาหน้าเครียดทันที เพราะรู้ว่าขันใกล้มาแล้ว ดวงแขรู้ทันที
“คนของออกขุนส่งสัญญาณกระมัง รีบไปเถิด”
“หากแม่หญิงไม่เอ่ยปากให้อภัย ข้าพระเจ้าจะไม่ไปที่ใดทั้งสิ้น”
“ยังจะพูดเช่นนี้อีกรึ หากพี่ขันกลับมาคงไม่แคล้วต้องต่อสู้กันอีกแน่ แลออกขุนมีผิดด้วยบุกถึงเรือน แม้เอาตัวรอดจากพี่ขันไปได้ก็ไม่พ้นอาญาบ้านเมืองดอก”
“เสมาไม่คิดจะหลบไปที่ใดแล้ว ด้วยผิดที่ล่วงเกินแม่หญิงนั้นหนักกว่าอาญาบ้านเมืองนัก ไม่ว่าจะไปที่ใด ใจข้าพระเจ้าก็ย่อมเป็นทุกข์เพราะไม่ได้รับคำอภัยจากแม่หญิงอยู่ดี”
“เหตุใดจึงดื้อรั้นเพียงนี้ อภัยหรือไม่ ค่อยว่ากันวันหลังเถิด ไปได้แล้ว”
เสมานิ่งไม่ยอมขยับไปไหน
“ขุนศึกไชยชาญ” ดวงแขเรีบยกขึ้น
เสมายังคงนิ่งอย่างเดียว ดวงแขไม่มีทางเลือก
“ฉันให้อภัยแล้ว รีบไปเสียทีเถิด”
เสมาดีใจมากพลางกล่าว
“ขอบน้ำใจแม่หญิงนัก ข้าพระเจ้าขอให้คำมั่นว่าจะไม่กระทำเช่นนี้อีก หากผิดคำ ขอให้ตายกลางศึกสงครามเถิด”
เสมารีบปีนหนีหน้าต่างแล้วกระโดดหนีไปทันที ดวงแขมองตามเกิดความรู้สึกทั้งรักทั้งแค้นเสมาอย่างบอกไม่ถูก
ในเวลาเดียวกัน สมบุญยิ้มกริ่มที่ได้สวมรอยจับมือจำเรียงไว้ไม่ยอมปล่อย จนจำเรียงทักขึ้น
“เงียบเสียงไปแล้วกระมัง ฉันไม่เห็นได้ยิน”
ขณะนั้นเอง สมบุญก็ได้ยินเสียงสินทำเสียงไก่ขันดังขึ้น
“แปลกนัก ไก่กระไรกันมาขันเอามืดค่ำปานนี้” จำเรียงว่า
“ไม่ใช่ไก่ดอก อ้ายสินมันส่งสัญญาณ ว่าอ้ายขันมันกลับถึงเรือนแล้ว”
สมบุญฉุกคิดขึ้นแล้วร้อง “เฮ้ย” ด้วยความตกใจ
สมบุญ และจำเรียงตาลีตาเหลือกลุกขึ้น จะหนี แต่พอสมบุญเปิดประตูแง้มออก ก็ต้องรีบปิดทันที เพราะเห็นขันกำลังเดินมาทางนี้
“ตาเถรยายชี อ้ายขันมาแล้ว”
“ จะทำเช่นใดดี เราจะหนีกันได้อย่างไร” จำเรียงว่า
สมบุญกำลังร้อนใจ มองไปที่หน้าต่างห้อง สมบุญเลยรีบไปเปิดหน้าต่างห้องทันที พอเปิดออกก็เห็นสินยืนโบกมืออยู่ที่ด้านล่างให้รีบกระโดดหนี
“เร็วเข้าแม่จำเรียง รีบกระโดดหน้าต่างหนีเร็ว”
“บ้าแล้วสมบุญ หน้าต่างสูงปานนี้ ขืนกระโดดลงไปก็แข้งขาหักกันพอดี”
“ไม่หักดอก อ้ายสินมันรอรับอยู่ข้างล่าง แม่จำเรียงรีบกระโดดเถิด”
จำเรียงมองลงไปที่พื้นเบื้องล่างด้วยความกลัว
“ไม่ ฉันกลัว”
“ถ้ากระนั้นแม่จำเรียงหลับตา ฉันมีอีกแผน”
จำเรียงรีบหลับตาทันที สมบุญอุ้มจำเรียงโยนออกนอกหน้าต่างไปทันที สินซึ่งรออยู่ข้างล่างรีบเข้าไปรับจำเรียง แต่จำเรียงก็ล้มทับสินไปด้วยจนสินจุกลุกไม่ขึ้น สมบุญปีนหน้าต่างจะกระโดดลงไปบ้าง เป็นจังหวะเดียวกับขันเปิดห้องเข้ามาเห็นสมบุญกำลังจะโดดหนี ขันตกใจสุดๆรีบตามไปที่หน้าต่าง เห็นสมบุญ สินช่วยกันประคองจำเรียงวิ่งหนีไป
“เฮ้ย ใครอยู่บ้างโว้ย อีจำเรียงหนีไปแล้ว รีบตามไปเร็วเข้า”
ขันรีบออกจากห้องไปด้วยความโกรธจัดทันที
เช้าวันรุ่งขึ้น มั่นกำลังประคองบุญเรือนที่เพิ่งฟื้นไข้ลงจากเรือน เพื่อมารับลมรับแดดยามเช้า ทันใดนั้น มั่นและบุญเรือนก็ตกใจเป็นอันมาก ตำรวจหลายคนพร้อมอาวุธครบมือ กระจายกันล้อมเรือนเสมาไว้ ฝ่ายขัน และพุฒเดินถืออาวุธเข้ามาด้วยหน้าตาถมึงทึง
“กระไรกันหมื่นชาญ เหตุใดนำตำรวจมาล้อมเรือนเช่นนี้เล่า” มั่นถามขึ้น
ขันตะคอกใส่พลางชี้หน้ามั่น
“เมื่อคืนมีโจรชั่วช่วยนังจำเรียงหนีไป ข้าสงสัยว่ามันจะซ่อนตัวอยู่ในเรือนนี้ รีบยอมรับมาเสีย หาไม่แล้วเอ็งต้องโทษหนักแน่ตาเฒ่า”
“จำเรียงไม่ได้อยู่ที่นี่ดอกจ้ะหมื่นชาญ ฉันไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าจำเรียงมันหนีไป อย่าทำกระไรฉันเลยจ้ะ”
“เอ็งไม่ต้องมาปด ลูกชายเอ็งเป็นคนพาลูกสาวเอ็งหนี มีรึ ที่เอ็งจักยอมรับ … รีบค้นเรือนเถิด ฉันมั่นใจ ว่าต้องอยู่บนเรือนเป็นแน่” พุฒตะคอกก่อนจะบอกตำรวจให้ค้นเรือนของเสมา
ทันใดนั้น เสมาก็เดินถือดาบคู่มือออกมาจากในบ้านด้วยสีหน้าดุดันเอาจริง
“ที่นี่เป็นเรือนของข้า ขุนศึกไชยชาญ มันผู้ใดจะค้นเรือน ก็ถามดาบแสนศึกพ่ายในมือข้าดูก่อนเถิด”
พวกตำรวจพากันหน้าเสีย เพราะชื่อเสียงเสมาก็ไม่ใช่ย่อย แถมยังเป็นถึงขุนเลยไม่มีใครกล้า
“ อย่าว่าแต่ขุนเลยโว้ย ต่อให้เป็นพระยานาหมื่น หากทำผิดอาญาบ้านเมือง ก็ต้องโทษด้วยกันทั้งสิ้น หรือมึงคิดจะขัดขืนก็ว่ามาอ้ายเสมา” ขันพูดพลางชักดาบออกมา
“ผิดอาญาที่ใด มีคนเห็นรึว่าจำเรียงอยู่ที่นี่ เอ็งปรักปรำข้าให้ได้โทษหรือวะอ้ายขัน”
ตำรวจเห็นท่าไม่ดีจึงรีบไกล่เกลี่ย
“ฟังฉันก่อนเถิดท่านขุน ฉันหาได้คิดล่วงเกินท่านขุนไม่ แต่ด้วยหน้าที่จึงจำต้องทำ ขอท่านขุนเมตตาฉันด้วยเถิด”
เสมาพยักหน้ารับ
“หัวหมู่ท่านพูดน่าฟังนัก ด้วยหน้าที่ ใครเล่าจักขัดได้ เชิญหัวหมู่ค้นเรือนฉันเถิด”
พวกตำรวจเริ่มทยอยค้นไปทั่วบ้าน ทั้งบนเรือน ตามห้องต่างๆ ขันและพุฒตั้งท่าจะขยับ เสมาใช้ดาบชี้ที่หน้าขัน และพุฒ
“เอ็งสองคน ห้ามเหยียบเรือนฉันเป็นอันขาด”
“พวกกูก็ไม่อยากเหยียบเรือนมึงให้เป็นเสนียดดอกโว้ย” พุฒว่า
เสมายืนจังก้าขวางทางขึ้นเรือน จ้องหน้าขันและพุฒเขม็ง หลังตรวจค้นแล้ว นายตำรวจเดินออกจากเรือนเข้าไปหาขันเพื่อรายงานทันที
“ค้นจนทั่วแล้ว ไม่เจอเลยขอรับหัวหมื่น”
ขัน และพุฒหน้าแตก ผิดเป้าอีกแล้ว
“ได้ยินหรือไม่วะอ้ายขัน เอ็งจงเร่งกลับเรือนไปเตรียมพิธีขอขมาข้าเถิด แล้วข้าจะไม่เอาความ”
“รอกูตายก่อนเถิดวะอ้ายเสมา กูถึงจะขอขมาเอ็ง” ขันพูดขึ้นแล้วเดินหงุดหงิดกลับไป
พุฒชี้หน้าเสมาแล้วบอก
“ มึงไม่รอดไปได้ทุกคราดอก สักวัน กูจะตามจับนังจำเรียงน้องมึงมาให้จงได้”
พุฒเดินหงุดหงิดตามขันกลับไป
“พวกฉันลาก่อนท่านขุน” ตำรวจบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อมเกรงใจเสมา
ตำรวจยกขบวนกลับไป เสมารีบเดินไปหาพ่อกับแม่ที่ยืนจับมือกันสีหน้าหวาดกลัว
“ไม่มีกระไรแล้วจ้ะ กลับขึ้นเรือนกันดีกว่า”
มั่น และบุญเรือนประคองกันกลับขึ้นบ้านไป สีหน้ายังตื่นตระหนกไม่หาย ฝ่ายเสมามีสีหน้าครุ่นคิด หนักใจเพราะรู้ว่าขันและพุฒ ไม่ปล่อยจำเรียงแน่ๆ
หมายเหตุ ตำรวจมีตั้งแต่สมัยโบราณ โดยเป็นกรมๆหนึ่งคอยดูแลความเรียบร้อยเฉพาะในเมือง แต่แต่งกายแบบไหนไม่ปรากฏ
อ่านต่อตอน หน้า ๓ พรุ่งนี้ เวลา o๙.๓o น.
เกร็ดความรู้เกี่ยวกับขุนศึก
๓๙. การฟ้องร้อง คดีสมัยอยุธยาในสมัยนี้ จะมีหน่วยงานที่เรียกว่า “กรมรับฟ้อง” มีหน้าที่
รับคำฟ้องจากผู้เดือดร้อน แล้วส่งไปยังลูกขุน เมื่อลูกขุนพิจารณาแล้ว กรมรับฟ้องจะส่งไป
ยังศาลที่มีอำนาจพิจารณาคดีความนั้นต่อไป
.....................................................................................................
ขุนศึก ตอนที่ ๖ (ต่อ)
จำเรียงกำลังปัดกวาดเช็ดถูเรือนให้เอื้อยแตง ขณะที่เอื้อยแตงกำลังคุยกับสินและสมบุญอยู่
“กลางวันก็อยู่แต่ในเรือนจะออกไปที่ใดก็คลุมหน้าเสีย แลปล่อยข่าวว่าจำเรียงหนีไปหัวเมืองแล้ว พวกหมื่นชาญคงคิดไม่ถึงดอกว่าจำเรียงจักหลบอยู่กับฉัน”
สินพูดประจบประแจงขึ้นทันที
“ปัญญาแม่เอื้อยแตงเป็นเลิศนัก จะหาหญิงใดในอโยธยา มีปัญญาเสมอด้วยแม่เป็นไม่มี”
เอื้อยแตงทำท่าโก่งคออ้วก
“ผะอืดผะอมคำป้อยอนักคิดเหมือนฉันหรือไม่ออสมบุญ”
สินหน้าจ๋อยไป ในขณะที่สมบุญยิ้มขำๆ จำเรียงเดินเข้ามาหาเอื้อยแตง
“แม่เอื้อย ไหสุราที่อยู่ท้ายเรือนจะให้ขนไปไว้ที่ใด”
“ไหสุราหนักนัก แม่จำเรียงไม่ต้องขนดอก ออสินวานขนหน่อยเถิด” เอื้อยแตงบอก
“ได้ซีแม่เอื้อยแตง”
สินยิ้มแย้มขึ้นทันทีพลางกุลีกุจอเดินตามเอื้อยแตงลงจากเรือนไป
สมบุญ และจำเรียงหันมาสบตากัน ต่างฝ่ายต่างเขินเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืน
“แม่จำเรียง / พ่อสมบุญ”
ทั้งสมบุญและจำเรียงพูดขึ้นพร้อมกัน ทั้งคู่ชะงักไปไม่คิดว่าจะพูดตรงกัน
“พ่อสมบุญมีกระไรรึ”
“ฉันแค่จักถามว่าแม่จำเรียงเป็นกระไรบ้าง เมื่อคืนกว่าจะหนีมาได้ลำบากนัก ฉันเป็นห่วง”
จำเรียงนึกเหตุการณ์เมื่อคืน หน้าก็บึ้งตึงขึ้นทันที
“ตอนพ่อสมบุญโยนฉันลงจากหน้าต่าง ก็ลำบากอยู่ดอก”
สมบุญหน้าจ๋อยไป ก่อนที่จำเรียงยิ้มบางๆแล้วพูดต่อว่า
“ แต่พอได้เป็นไท ฉันก็ดีใจนัก ลืมความลำบากไปสิ้นแล้ว ขอบน้ำใจพ่อมากนักที่ไปช่วยฉัน หาไม่แล้ว ฉันคงต้องถูกจองจำหรือฆ่าตัวตายหนีมลทินไปแต่เมื่อคืนแล้ว”
สมบุญมองจำเรียงด้วยสายตากรุ้มกริ่ม
“ใครจะไม่ไปช่วยแม่ได้เล่า แม่จำเรียงเป็นน้องพี่เสมา ก็เหมือนหนึ่ง...เป็นคนกันเองกับฉัน อย่าว่าแต่เท่านี้เลย ต่อให้แม่อยู่กลางทัพข้าศึก ฉันก็จะบุกไปช่วย”
จำเรียงเห็นสายตาสมบุญที่มองมาก็เขินอายรีบหลบสายตาไปทางอื่น
ทันใดนั้น ทั้งคู่ก็ได้ยินเสียงด่าของเอื้อยแตงดังขึ้น
“อ้ายสิน เอ็งขโมยกินสุราข้ารึ”
สมบุญ และจำเรียงตกใจหันไปมองตามเสียง แล้วเห็นเอื้อยแตงถือไม้ไล่ตีสินที่วิ่งหนีมาอยู่ที่ข้างล่างบริเวณหน้าเรือน
“ฉันเพียงแค่ชิมดูเท่านั้นดอก แม่เอื้อยแตงอย่าโกรธเลย”
“ชิมดูทีครึ่งค่อนไห จะไม่ให้โกรธได้รึ ข้าหมักสุราไว้ เผื่อบ้านใดมีงานจะได้ขนไปช่วย มิต้องเสียอัฐซื้อ แต่เผลอครู่เดียว เอ็งกลับขโมยกินเสียได้อ้ายสิน”
สินกลัวสุดๆ หลบซ้ายหลบขวา แล้ววิ่งหนีไป เอื้อยแตงตามไล่ตีไม่ยอมเลิก สมบุญและจำเรียงมองทั้งคู่แล้วก็ยิ้มขำๆ
อำพันกำลังคุยกับขันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ในขณะที่ดวงแขซึ่งอยู่ใกล้ๆกำลังมีสีหน้าเหม่อลอย
“พ่อขันยังจะให้แม่ตากหน้าไปสู่ขอแม่เรไรอีกรึ สองครั้งสองคราแล้วที่ต้องมีเหตุให้แคล้วคลาดกันไป แม่ว่าคงไม่ใช่เนื้อคู่กันเสียกระมัง”
“ที่เกิดเหตุเพราะอุบายของอ้ายเสมามัน แม่ท่านจะถือว่าไม่ใช่เนื้อคู่ได้กระไรเล่าขอรับ นี่มันก็ชิงตัวน้องมันกลับไปแล้ว หากมันยังได้แม่หญิงเรไรอีก ลูกคงคับแค้นใจจนยากจะข่มตาหลับได้ ขอแม่ท่านเมตตาลูกด้วยเถิดขอรับ”
อำพันถอนใจด้วยอ่อนใจกับความดื้อของขันแล้วหันไปพูดกับดวงแข
“แม่ดวงแขเห็นว่ากระไร”
ดวงแข เอาแต่คิดถึงเรื่องที่เกิดเมื่อคืนตลอดเวลา...
เสมาจ้องหน้าดวงแขเขม็งไม่ยอมปล่อย
“ปล่อย ฉันบอกให้ปล่อย ปล่อยประเดี๋ยวนี้ ...ช่วย...”
เสมาโมโหดึงดวงแขเข้ามากอดจูบทันที ดวงแขตกใจ ไม่คิดว่าเสมาจะปล้ำ กอดจูบเช่นนี้...
“แม่ดวงแข” เสียงอำพันดังขึ้นจนดวงแข ตกใจหลุดจากภวังค์ในทันที
“เจ้าคะ”
“ไม่ได้ฟังที่แม่พูดรึ แม่ถามแม่ดวงแขว่าเห็นควรจะให้แม่ไปสู่ขอแม่เรไรให้พี่ชายเจ้าอีกหรือไม่”
ดวงแขคิดอยู่ครู่นึงแล้วว่า
“ควรเจ้าค่ะ อย่างไรเสีย ท่านอาขุนรามก็คงไม่ยกแม่เรไรให้ขุนศึกไชยชาญเป็นแน่เจ้าค่ะ”
ขันดีใจที่ดวงแขเห็นด้วย
“ถูกของแม่ดวงแขแล้วขอรับ ท่านอาชังน้ำมะหน้ามันนัก หากเราไม่สู่ขอก็อาจจะมีผู้อื่นชิงตัดหน้าก็เป็นได้นะขอรับ”
“แม่เชื่อปัญญาแม่ดวงแข เมื่อแม่ดวงแขเห็นเช่นนั้น แม่ก็จะตากหน้าไปอีก แต่ครานี้ต้องดูฤกษ์ยามให้ถี่ถ้วนก่อน จะได้ไม่มีเหตุวุ่นวายเหมือนที่ผ่านมา”
“ขอบคุณขอรับ” ขันยิ้มปลาบปลื้มดีใจมาก
ดวงแขแอบยิ้มเจ้าเล่ห์เพราะแผนนี้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของตัวเองแท้ๆ
ขุนรามเดชะกำลังคุยกับอำพันด้วยสีหน้าเคร่งเครียดโดยมีเรไร ลำภูนั่งพับเพียบอยู่ใกล้ๆ
“สองปีกว่าเชียวรึ กว่าจะมีฤกษ์แต่งของพ่อขันกับแม่เรไร”
“จ้ะ ท่านพระครูวัดพนัญเชิงท่านดูฤกษ์ให้เช่นนี้ ครั้นจะขัดฤกษ์ ฉันก็เกรงจะมีเหตุเช่นที่ผ่านมาอีก”
เรไรอมยิ้มดีใจ เพราะคิดว่าไม่ต้องวุ่นวายกับเรื่องขันไปสองปีกว่า
“กว่าสองปีก็หาเป็นกระไรไม่ แค่พี่อำพันเมตตาลูกสาวฉัน ก็เป็นพระคุณนักแล้ว แต่...” อำพันว่าอย่างกระอักกระอ่วน พลางชำเลืองมองขุนรามเดชะเป็นนัย
“แม่เรไร แหวนที่นิ้วเจ้า เป็นของผู้ใดกันแน่” ขุนรามเดชะถามขึ้น
เรไรตกใจถึงกับหน้าเสียไม่กล้าสู้สายตา
“ออกญาเดโชท่านประทานมา พ่อท่านก็ทราบอยู่”
“ออกญาเดโชประทานรึ วันนี้พอกลับจากเข้าเฝ้า พ่อได้ไปขอบพระคุณออกญาท่าน จึงได้รู้ว่าอ้ายเสมามันสวมรอยให้แหวนแก่เจ้า หากมิใช่แหวนนี้อ้ายเสมามันได้พระราชทานเป็นบำเหน็จศึกพ่อคงทำลายทิ้งเสียแล้ว”
เรไรหน้าซีดเผือดไม่คิดว่าขุนรามเดชะจะรู้เรื่องแล้ว
“เช่นนี้หล่ะพี่อำพัน ลูกฉันมันไม่รักศักดิ์รักตระกูล มีใจด้วยอ้ายเสมาคนต่ำสกุล ฉันเกรงว่าจะนำความมัวหมองมาสู่พี่อำพันนัก” ลำภูว่า
“ข้อนั้นฉันไม่ถือดอก เรื่องของใจ ใครจักห้ามได้ สำคัญที่อยู่ในศีลในธรรม ไม่ผิดธรรมเนียมก็พอแล้ว”
เรไรไหว้ที่อำพันช่วยแก้ต่างให้
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะแม่ป้า”
“แต่คนเรา มิได้มีแต่ใจเท่านั้นดอกนะแม่เรไร ศักดิ์ฐานะเสมอกันก็จำเป็นมิใช่น้อย กว่าจะถึงฤกษ์แต่งก็กว่าสองปี แม่เรไรจงตรองคำป้าให้ดีเถิด”
เรไร นิ่งคิดตามคำพูดของอำพัน แม้จะรักเสมามากแต่ที่อำพันพูดก็มีเหตุผล
หกเดือนต่อมา ในท้องพระโรงเมืองหงสาวดี พระมหาอุปราชาสวมชุดเกราะเต็มยศ เสด็จเข้ามาในท้องพระโรงนั่งคุกเข่าถวายบังคมท่ามกลางเหล่าขุนนาง พระเจ้านันทบุเรงทรงประทับอยู่บนบัลลังก์ ทอดพระเนตรพระมหาอุปราชาด้วยความชื่นชม
หลังจากที่กองทัพหงสาวดี พ่ายแพ้ต่อกรุงศรีอยุธยา ทั้งๆที่มีกำลังพลมากกว่าหลายเท่า ทำให้อำนาจของกรุงหงสาวดีสั่นคลอน บรรดาเมืองขึ้นต่างๆเริ่มมีความคิดที่จะตั้งตนเป็นอิสระ โดยเมืองคัง เป็นเมืองแรกที่กล้าแข็งเมืองตั้งตนเป็นเอกราช ทำให้กรุงหงสาวดีต้องยกทัพไปปราบปราม เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่เมืองอื่นต่อไป
พระมหาอุปราชาคุกเข่าลง ไหว้ถวายบังคมพระเจ้านันทบุเรง
“ลุกขึ้นเถิดมังกะยอชวา”
พระเจ้านันทบุเรงลุกขึ้นจากบัลลังก์เสด็จไปหาพระมหาอุปราชาที่กำลังลุกขึ้นยืน ทรงแสดงความชื่นชม ด้วยการตบบ่าพระมหาอุปราชา
“พ่อดีใจนัก ที่เจ้าชำนะศึกเมืองคังได้โดยง่าย ต่อไปภายหน้า จักได้ไม่มีเมืองอื่นกล้ากำแหงกับหงสาวดีอีก”
“ศึกเมืองคังยังเล็กนักพระพุทธเจ้าข้า สำคัญที่อโยธยา หากอโยธยายังเป็นไทอยู่เช่นนี้ เมืองอื่นย่อมต้องคิดแข็งเมืองเช่นเดียวกับอโยธยาอีกเป็นแน่ ฉะนั้นเราต้องปราบอโยธยาลงให้จงได้ เมืองอื่นจึงจักอยู่ใต้พระบารมีต่อไป”
“เจ้ากล่าวถูกแล้ว เช่นนี้พ่อจะจัดพลให้เจ้าสักสามแสนยกไปตีอโยธยา ล้างอายคราก่อนให้จงได้”
“มิได้พระพุทธเจ้าข้า เราเพิ่งพ่ายศึกอโยธยามาไม่นาน ซ้ำยังต้องยกพลไปกำราบเมืองคังอีก ไพร่พลอ่อนล้านักจำต้องบำรุงไพร่พลสักสองถึงสามปีพระพุทธเจ้าข้า”
พระเจ้านันทบุเรงหงุดหงิด ไม่พอใจ
“เหตุใดต้องนานปานนั้นใจพ่ออยากจะเหยียบอโยธยาวันนี้พรึ่งนี้เสียด้วยซ้ำ”
“ทรงรออีกสักหน่อยเถิด ลูกสัญญาว่าจะตีอโยธยามาถวายสมเด็จพ่อให้จงได้”
“เอาเถิด ถ้าลูกเห็นควรว่าต้องรอก็รอ... ไม่แน่นักว่าอโยธยาอาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงใด อันเป็นผลดีแก่เราก็เป็นได้”
พระเจ้านันทบุเรงพยายามคิดหาแผนการเอาชนะกรุงศรีอยุธยาให้ได้
สินในชุดใหม่เอี่ยม สีสันฉูดฉาด เดินยิ้มกรุ้มกริ่มเข้ามาหาเอื้อยแตงที่กำลังดำนาอยู่ สินยิ้มกรุ้มกริ่มแล้วเรียก
“แม่เอื้อยแตงจ๋า ฉันมาแล้วจ้ะ”
“ ใส่ชุดกระไรของเอ็งวะออสิน นุ่งผ้าผ่อนเช่นนี้มาดำนา ประเดี๋ยวควายก็ขวิดเอาดอก”
“ถ้าโดนควายขวิดเพราะช่วยแม่เอื้อยแตง ฉันก็เต็มใจจ้ะ”
เอื้อยแตงส่ายหน้า เอือมระอา
“อ้ายบ้า เอ้า ไปเอากล้ามาดำซี”
สินเดินยิ้มกริ่มไปหยิบต้นกล้าข้าวเพื่อจะไปปักดำ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเจอกับสมบุญที่มาเอาต้นกล้าเช่นกัน
“อ้ายสมบุญ เหตุใดเอ็งมาอยู่ที่นี่”
สมบุญหน้าเสียแล้วเฉไฉบอกว่า
“ข้าก็มาช่วยแม่เอื้อยแตงดำนาน่ะซี”
ขณะนั้นเอง จำเรียงที่ใช้ผ้าคลุมหน้าตาก็เดินถือข้าวห่อใบตองกับกระบอกน้ำมาให้สมบุญ
“ฉันเอาข้าวเอาน้ำมาส่งแล้วจ้ะ เหนื่อยเมื่อใด ก็พักทานกันก่อนนะจ๊ะ”
สมบุญมองจำเรียงด้วยสายตากรุ้มกริ่ม รักใคร่ สินเห็นสายตาสมบุญก็รีบหันไปมองตามเห็นจำเรียงกำลังคุยอยู่กับเอื้อยแตง สินเข้าใจผิดว่าสมบุญชอบเอื้อยแตง จึงโมโหหึงขึ้นทันที
“อ้ายสมบุญ เอ็งมองแม่เอื้อยแตงของข้าเช่นนี้หมายความว่ากระไร”
“ข้ามองแม่เอื้อยแตงตั้งแต่เมื่อใด จะบ้ารึอ้ายสิน”
“เอ็งไม่ต้องมาปด ไหนเอ็งเคยบอกข้าว่ามิได้มีใจให้แม่เอื้อยแตง แล้วเอ็งลอบมาหาแม่เอื้อยเช่นนี้ จะให้ข้าคิดว่ากระไร อ้ายเพื่อนทุรยศ มาให้ข้าเอาเลือดมาล้างตีนเสียดีๆ”
สินไล่เตะสมบุญ สมบุญตกใจรีบวิ่งหนีลงไปในนาข้าว สินวิ่งตามลงไป สมบุญเอาโคลนในนาปาใส่สกัดสินไว้ ไม่ให้เข้ามาเตะ สินเห็นเสื้อใหม่ถูกโคลนปาใส่เลอะเทอะก็ยิ่งโมโห เลยหยิบโคลนปาใส่สมบุญบ้าง จนเละเทะกันเข้าไปใหญ่
เอื้อยแตงตวาดแว๊ดขึ้น
“หยุดโว้ย ข้าให้มาช่วยดำนา ไม่ใช่ให้มาพังนาข้าวข้า หยุดประเดี๋ยวนี้”
ขาดคำ สินปาโคลนใส่สมบุญ สมบุญหลบ เลยพลาดไปโดนหน้าเอื้อยแตงเต็มๆ ทั้งคู่ต่างตกใจ ไม่คิดว่าเอื้อยแตงจะโดนโคลนไปด้วย เอื้อยแตงค่อยๆปาดโคลนออกจากหน้า แล้วเดินไปหยิบเคียวเกี่ยวข้าวขึ้นมา
“พวกเอ็ง อย่าอยู่เป็นผู้เป็นคนเลย”
“อย่า แม่เอื้อย อย่า” จำเรียงร้องขึ้น
เอื้อยแตงวิ่งเอาเคียวไล่ฟันสินและสมบุญ ทั้งคู่ตกใจ โวยวาย วิ่งหนีตายกันจ้าล่ะหวั่น
ขุนรามเดชะ และพันอินกำลังคุยกับพระยาเดโชอยู่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดโดยมีศรีเมือง และลำภู
นั่งอยู่ด้วยใกล้ๆ
“ฉันเห็นว่าฝีมือของขุนศึกไชยชาญกล้าแข็ง หาผู้เสมอเหมือนได้ยากนัก ตั้งใจจักชุบเลี้ยงแต่เมื่อได้ยินออกขุนกับหัวพันว่าเช่นนี้ ฉันก็คงไม่กล้า”
“ท่านเจ้าคุณคิดถูกแล้วขอรับ ข้าพระเจ้าก็เคยชื่นชมในฝีมือของอ้ายเสมา แต่กลับถูกมันสนองคุณเสียเจ็บปวดนัก พลอยให้ต้องส่งแม่เรไรเข้าไปอยู่ในวังเพื่อหลบหน้ามัน จนไม่ได้เห็นหน้าลูกมากว่ากึ่งปีแล้ว” ขุนรามเดชะว่า
“ข้าพระเจ้าก็ต้องทำเช่นเดียวกัน จักรับลูกออกจากวังแต่ละคราก็วุ่นวายนัก ไม่คิดเลย ว่าคนที่เคยรักใคร่เสมือนหนึ่งลูก จะอกตัญญูได้ ถึงเพียงนี้” พันอินพูดขึ้น
ศรีเมืองรู้ว่าเสมาไม่ใช่คนแบบนั้นจึงพยายามทักท้วงขึ้น
“พ่อท่าน ไม่ใช่เช่นนั้น...”
พันอินหันไปทำตาดุใส่ศรีเมือง ศรีเมืองกลัวพ่อเลยต้องหยุดพูด
“ท่านเจ้าคุณเจ้าคะ เรื่องเช่นนี้เป็นเรื่องเสื่อมเสีย หากท่านเจ้าคุณไม่ถามไถ่ พวกเราก็ไม่กล้าเล่าให้ผู้ใดฟังดอกเจ้าค่ะ ท่านเจ้าคุณจะใช้สอยขุนศึกไชยชาญเช่นไร ก็ขอให้ตรองดูให้ดีเถิดเจ้าค่ะ” ลำภูว่า
พระยาเดโชหน้าเครียดทันที
“คนกินบนเรือนขี้รดบนหลังคาเช่นนั้น ถ้าไม่ติดข้อราชการ แม้แต่เรือนฉันยังไม่อยากให้เหยียบเลยเทียว”
ขุนรามเดชะ และลำภู หันไปมองหน้ากันแล้วยิ้มพอใจที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผน ศรีเมืองรู้สึกไม่สบายใจที่เสมาต้องมาลำบากเพราะถูกแทงข้างหลังแบบนี้
ศรีเมืองกำลังคุยกับพันอินอยู่ภายในบ้านด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ลูกเพียรจะพูดหลายคราแล้ว เหตุใดพ่อท่านไม่เชื่อลูกบ้างว่า ลูกกับพี่เสมาหาได้ประพฤติชั่วไม่”
“เจ้ายังเด็ก ไม่ทันเล่ห์กะเท่ของเสมามันดอก หากมันไม่คิดชั่ว ดึกดื่นค่อนคืนจะมาหาเจ้าทำกระไร ใช่ว่าพ่อจักใจดำกับเสมาดอกนะ หากเสมารักชอบกับเจ้าพ่อก็ยินดี แต่นี่มันหมายปองแม่เรไรอยู่ แล้วยังคิดเจ้าชู้กับเจ้าอีก เช่นนี้จะเลี้ยงได้อย่างไรกัน”
“แต่ถึงอย่างไร พี่เสมาก็เหนื่อยยากออกศึก จึงควรมีศักดินาลาภยศไว้เก็บกิน มิใช่ยากจนข้นแค้นอยู่เช่นนี้”
“เจ้าตำหนิพ่อกับขุนรามเดชะที่กันไม่ให้เจ้าเสมามีมูลนายสังกัด จนยากจนอยู่เช่นนี้รึ พ่อรู้ว่าทำไม่ถูก แต่เห็นใจพ่อกับขุนรามบ้างเถิด ขนาดเสมามันยากจนยังเหิมเกริมเนรคุณถึงเพียงนี้ หากมันมีศักดินาร่ำรวยขึ้นมา คงมองไม่เห็นหัวพ่อเป็นแน่”
“พี่เสมามิใช่...”
พันอินพูดสวนขึ้นทันที
“เจ้ารู้จักมันมานานสักเท่าใดกัน อย่าเพิ่งออกรับแทนเสมามันเลย”
ศรีเมืองหน้าจ๋อยลง เถียงพ่อไม่ออกเหมือนกัน
เสมากำลังตีตกแต่งดาบให้ทหารกลุ่มหนึ่ง 3-4 คนอยู่อยู่ที่ร้านนายมั่น พอตีตกแต่งดาบเสร็จ ก็ยื่นให้ทหารที่มารอรับไป ทหารคนหนึ่งรับดาบเล่มนั้นมาดูก็พอใจมาก
“ทั้งคมกริบ ทั้งสวยเหมาะมือนัก ในอโยธยาจะหาร้านใดตีดาบได้ดีเหมือนร้านเอ็งเป็นไม่มี” ว่าแล้วทหารผู้นั้นก็หยิบถุงใส่เงินยื่นให้เสมา
“ขอบน้ำใจมากจ้ะ”
ทหารอีกคนหนึ่งมองสำรวจเสมาตั้งแต่หัวจรดเท้า
“เอ็งก็ยังหนุ่มแน่นล่ำสันแข็งแรง เหตุใดมาตีดาบขาย ไม่ไปเป็นทหารฉลองคุณบ้านเมืองเล่า”
“ฉันเป็นคนขี้ขลาดจ้ะ ไม่กล้าไปรบทัพจับศึกกับใครเค้าดอก”
“เป็นชายพูดเช่นนี้ได้กระไรวะ ถ้าเอ็งไม่มีฝีมือสู้รบก็บอกข้าข้าจักช่วยสอนให้”
เสมายกมือไหว้
“ขอบน้ำใจมากจ้ะ แต่ฉันชำนาญแต่ตีดาบ ใช้ดาบไม่เป็นดอก แลหลวงท่านคงไม่รับคนเช่นฉันเข้าเป็นทหารด้วย”
ทหารคนแรกกล่าวต่อ
“เหตุใดจักไม่รับ ดูเช่นขุนศึกไชยชาญแม่ทัพทหารอาสาเมืองวิเศษซี เค้าว่าเป็นช่างตีเหล็กมาก่อนเช่นกัน”
เสมายิ้มขำๆ ชักสนุกมากขึ้นที่พวกทหารไม่รู้จักตน
“ริงรึ ฉันไม่เคยรู้เลย”
“เออซีวะ แต่เอ็งอย่าทำตัวเนรคุณเหมือนขุนศึกไชยชาญก็แล้วกัน” ทหารคนที่สามพูดขึ้น
“เนรคุณเช่นไรกัน” เสมาหน้าเสียแต่ถามด้วยความอยากรู้
“ก็กินบนเรือนขี้รดบนหลังคา คิดหมายปองลูกสาวท่านน่ะซี ขุนรามเดชะเลยดัดหลังไม่ส่งชื่อสังกัดมูลนาย ได้ยินว่า จนป่านฉะนี้ยังยากจนข้นแค้นอยู่เลย”
พวกทหารหัวเราะกันลั่น นินทากันมันปาก เสมาทั้งหน้าเสียและตกใจด้วยคิดคิดไม่ถึง เสียใจที่โดนแทงข้างหลังแบบนี้
“ฉันรู้ดีพี่เสมา” เสียงสินโวยวายดังนำออกมาก่อน
ภายในกระท่อม...เสมา สินและสมบุญ ล้อมวงคุยกันอยู่ สินจับไหเหล้าไม่ปล่อยเพราะกำลังเมาได้ที่ เสียงอ้อแอ้อย่างคนเมา
“การถูกคนไว้ใจทุรยศ มันมีรสชาติเช่นไร”
สินหันไปมองหน้าหาเรื่องสมบุญ สมบุญรำคาญสุดๆไม่อยากต่อล้อต่อเถียงด้วย เสมาหน้าจ๋อยไป
“จะเรียกว่าทุรยศก็คงไม่ได้ดอก เพราะพระคุณขุนรามท่านมีบุญคุณกับข้า แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้ารับราชการต่อไปก็คงไม่ก้าวหน้า เรื่องแม่หญิงเรไรก็คงสิ้นหวังแล้วเช่นกัน”
“แล้วพี่จักทำเช่นไร จะลาออกจากราชการรึ” สมบุญถาม
เสมาส่ายหน้า
“ไม่ดอก ข้าอยากเป็นทหารเพื่อรับใช้คุณแผ่นดินหากแผ่นดินไม่สงบ ข้าจะเลิกรบได้อย่างไร เพียงแต่น้อยใจในวาสนาตัวเองนัก”
“แต่กระนั้น พี่ก็ได้เป็นออกขุนแล้ว ภายหน้าอาจจะได้เป็นถึงหลวงถึงพระก็ได้ แม้ไม่มีศักดินา แต่ก็ยังได้ชื่อว่าทหารกล้านา พี่เสมา”
“กล้าแต่โง่ รบเท่าใดก็ไม่มีเงินมีอัฐเสียที ตั้งหลายปีก็ยังไม่เฉลียวใจจนคนเค้าหัวร่อเยาะเอาน่ะรึ”
“ใช่ โง่ โง่นักที่ไว้ใจอ้ายเพื่อนทุรยศ จนมันดอดตีท้ายครัวให้เจ็บหัวใจเอาเช่นนี้” สินพูดพลางทุบอกตัวเอง
สมบุญรำคาญจนสุดทน
“เลิกบ้าเสียทีเถิดอ้ายสิน ข้าบอกแล้วว่าไม่ได้ปักใจรักด้วยแม่เอื้อยแตง เมื่อใดเอ็งจักเชื่อข้าเสียทีวะ”
“ ไม่มีใจแล้วเอ็งเสนอหน้าไปหาแม่เอื้อยแตงทำกระไรวะ แล้วยังสายตาที่เอ็งมองแม่เอื้อยแตงอีกเล่า”
“ข้าไม่ได้มองแม่เอื้อยแตง ข้ามองแม่จำเรียงต่างหาก”
สมบุญหน้าเจื่อนที่พลั้งปากออกไป ในขณะที่เสมา และ สิน หันมองสมบุญเป็นตาเดียว ไม่คิดว่าสมบุญจะแอบชอบจำเรียง สมบุญรีบไหว้เสมา
“ฉันขอขมาจ้ะพี่เสมา ฉันรู้ว่าไม่งามที่คิดกับแม่จำเรียงเช่นนี้ แต่ฉันหักห้ามใจไม่ได้จริงๆ”
เสมายิ้มบางๆแล้วบอก
“ ข้าจะถือโทษเอ็งได้กระไร เอ็งก็หัวอกเดียวกับข้า แต่เอ็งยังดีกว่าข้ามากนัก อยากเห็นหน้าจำเรียงเมื่อใด เอ็งก็ได้เห็น แต่ข้า กว่าหกเจ็ดเดือนแล้ว แม้แต่ชายสไบแม่หญิงเรไรยังไม่ได้เห็นเลย”
“พี่อยากปะหน้าแม่หญิงรึ ฉันมีคนที่จะช่วยพี่ได้นา พี่เสมา” สมบุญพูดขึ้น
เสมาและสินมองสมบุญด้วยความสงสัยว่าใครกันที่จะช่วยเสมาได้
บรรยากาศตลาดยามเช้า มีผู้คนคึกคักมากมาย เสมากำลังยืนคุยกับบัวเผื่อนอยู่
“ฉันไม่เห็นใครอีกแล้วนอกจากแม่หญิงบัวเผื่อน ที่จะช่วยให้ฉันพ้นทุกข์ครานี้ไปได้ ขอแม่หญิงบัวเผื่อนจงเมตตาฉันสักคราเถิด”
บัวเผื่อนกระหยิ่มยิ้มย่อง
“ออกขุนขอร้องฉันถึงเพียงนี้ มีรึ ที่ฉันจะไม่ช่วย”
“ขอบน้ำใจแม่หญิงนัก แต่ข้าพระเจ้าเกรงว่าแม่หญิงจะเดือดร้อน ต้องผิดใจกับหมื่นชาญณรงค์แลหมื่นทรงเดชะ หากเป็นเช่นนั้น ข้าพระเจ้าคงมิอาจสบายใจได้เลย”
บัวเผื่อนทิ้งค้อนเพราะยังแค้นพุฒอยู่
“ผิดใจก็ผิดใจซี สองหมื่นนั่นจักมีปัญญาทำกระไรฉัน ออกขุนไม่ต้องห่วงดอก เพียงแค่อยากปะหน้าแม่เรไรเท่านั้น มิใช่เรื่องลำบากยากเย็นกระไรดอก”
เสมาแอบยิ้มพอใจที่แผนดึงบัวเผื่อนเป็นมิตร สำเร็จอย่างงดงาม
ภายในตำนัก เรไร ศรีเมือง และนางข้าหลวงกลุ่มหนึ่งกำลังจับกลุ่มร้อยมาลัยอยู่ ศรีเมืองร้อยมาลัยเสร็จก็ยื่นให้เรไรดู
“แม่หญิงเรไรเจ้าคะ ใช้ได้หรือไม่เจ้าคะ”
เรไรรับมาลัยมาตรวจดูความเรียบร้อยแล้วยิ้มพอใจ
“งามไม่น้อย ฝีมือของแม่ศรีเมืองดีกว่าตอนเข้าวังมามากนัก”
“ขอบน้ำใจเจ้าค่ะ”
บัวเผื่อนถือพานใส่ดอกมะลิเข้ามาให้กลุ่มนางข้าหลวงพอดี บัวเผื่อนเหล่มองเรไร แล้วแกล้งทำทีปวดท้องร้อง
“ โอ๊ยๆๆ”
ทุกคนหันไปมองบัวเผื่อนด้วยความตกใจ
“เป็นกระไรรึแม่บัวเผื่อน” เรไรถามขึ้น
บัวเผื่อนเอามือกุมท้อง
“ฉันปวดท้องนักมิรู้ว่าเป็นกระไร แม่เรไรช่วยฉันด้วยเถิด”
ศรีเมืองเป็นห่วงจะเข้าไปช่วย
“ประเดี๋ยวศรีเมืองพาแม่หญิงไปหาหมอหลวงเองจ้ะ แม่หญิงบัวเผื่อนแข็งใจหน่อยนะจ๊ะ”
บัวเผื่อนหน้าเสียรีบปัดมือศรีเมืองออก
“ไม่ต้อง ยาหมอหลวงไม่ถูกโรคกับฉันดอก ฉันอยากไปหาขุนรักษาสรรพโรค แม่เรไรช่วยพาฉันไปที”
“ก็แม่บัวเผื่อนยังมิรู้ว่าตนเป็นโรคกระไร แล้วเหตุใดจึงรู้ว่ายาท่านหมอหลวงไม่ถูกโรค ต้องไปรักษากับขุนรักษาสรรพโรคเล่า”
บัวเผื่อนหน้าเสีย รีบร้องโอดโอยเสียงดังกลบเกลื่อน
“โอ๊ยๆ ปวดนัก ปวดเหลือเกินแล้ว แม่เรไรช่วยฉันด้วย โอ๊ย”
“ มาๆ ขุนรักษาใช่หรือไม่ ฉันพาไปเอง”
เรไรรีบเข้าไปช่วยประคองบัวเผื่อนเดินเลี่ยงไป
เรไรประคองบัวเผื่อนที่ร้องโอดโอย มาจนถึงท่าน้ำท้ายวัง ซึ่งมีคนแจวเรือโพกผ้าคลุมหน้าจอดเรือรออยู่
“แข็งใจหน่อยแม่บัวเผื่อน เรือนขุนรักษาต้องลงเรือข้ามฟากไป อีกสักครู่ก็ถึงแล้ว”
เรไรหันไปพูดกับคนแจวเรือ
“มีคนเจ็บจ้ะ ช่วยประคองลงเรือหน่อยเถิด”
“แม่หญิงลงเรือก่อนเถิดจะได้ประคองคนเจ็บเอง ฉันเป็นชายไม่ใคร่เหมาะนักที่จักแตะเนื้อต้องตัวแม่หญิงฝ่ายใน”
เรไรเห็นด้วย เลยค่อยๆลงเรือไป เพื่อรอรับบัวเผื่อน
“แม่บัวเผื่อน มาเถิด”
ทันทีที่เรไรลงเรือ บัวเผื่อนก็หายจากอาการปวดท้องเป็นปลิดทิ้งแถม ยิ้มเจ้าเล่ห์อีกต่างหาก
“ฉันหายแล้ว เชิญแม่เรไรล่องเรือให้สำราญเถิด”
เรไรอึ้งปนงง ทันใดนั้น เสมาผลักเรือออกจากฝั่งทันที
“นี่กระไรกัน หยุดประเดี๋ยวนี้นะ”
ชายแจวเรือปลดผ้าคลุมหน้าออก ...เสมายิ้มให้ เรไรอึ้งไปครู่หนึ่ง ไม่คิดว่าเสมาจะร่วมมือกับบัวเผื่อนแบบนี้
“เจ้าเล่ห์แสนกลนัก”
เรไรทิ้งค้อนใส่เสมาแต่แอบอมยิ้ม เสมามองเรไรไม่วางตา ยิ้มปลาบปลื้มชื่นใจที่ได้เจอ
อ่านต่อตอน หน้า ๔
ขุนศึก ตอนที่ ๖ (ต่อ)
บรรยากาศริมน้ำตกที่แสนจะสวยงาม เสมาและเรไรนั่งคุยกันอยู่ริมโขดหิน เรไรหน้าตาบึ้งตึงงอนที่ถูกเสมาหลอก เสมายิ้มขำแล้วว่า
“ยังไม่หายเคืองข้าพระเจ้าอีกรึแม่หญิง จักให้ข้าพระเจ้าขอขมาก็ได้ ขอแม่หญิงจงอภัยให้เสมาเถิด”
“แล้วนี่ไปดีกับแม่บัวเผื่อนตั้งแต่เมื่อใด จึงได้ร่วมกันหลอกฉันเช่นนี้”
“อย่าเรียกว่าหลอกเลย แต่ด้วยสุดคิดถึงแม่นักเรไรเอ๋ย กว่ากึ่งปีแล้วมิได้เห็นหน้า ใจเสมาจะขาดรอนแล้ว จะมีผู้ใดในอโยธยา ที่ได้ยากลำบากเพราะรักเช่นเสมานี้บ้าง”
“แล้วฉันไม่ได้ยากเพราะรักหรือ เจ็บทั้งตัว ได้ทั้งอาย มีแต่ผู้คนสมน้ำมะหน้า จะหาผู้ใดเห็นใจแม้สักน้อยยังไม่มี”
เสมามองเรไรด้วยความสงสารจับใจ แล้วดึงเรไรเข้ามากอด เรไรตกใจ แต่ซักพักก็สัมผัสได้ถึงความรักความอบอุ่นที่เสมามีให้ โดยปราศจากอารมณ์ชู้สาวแม้แต่น้อย เรไรกอดเสมาตอบด้วยความรักเช่นเดียวกัน
“แม่หญิงสุดรักของเสมา เพราะข้าพระเจ้าไม่เจียมด้วยศักดิ์ตัว จึงดึงแม่หญิงมาทุกข์ด้วยโดยแท้ บัดนี้แม้มีศักดิ์เป็นถึงขุน แต่ก็ยากจนนักแลไร้ซึ่งผู้อุปการะสุดปัญญาแล้วที่จะมั่งมีได้หากแม่หญิงจะเปลี่ยนใจ เสมาก็หาตำหนิไม่”
เรไรนิ่งคิด ย้อนไปถึงคำพูดของอำพันที่ดังก้องในหัวของเรไรอีกครั้ง
“แต่คนเรา มิได้มีแต่ใจเท่านั้นดอกนะแม่เรไร ศักดิ์ฐานะเสมอกันก็จำเป็นมิใช่น้อย กว่าจะถึงฤกษ์แต่งก็กว่าสองปี แม่เรไรจงตรองคำป้าให้ดีเถิด”
เรไร นิ่งคิดในคำพูดของอำพัน แม้จะรักเสมามากแต่ที่อำพันพูดก็มีเหตุผลไม่น้อย
“พ่อแม่ท่านตำหนิว่าฉันไม่รักศักดิ์รักตระกูล หากเสมาไม่อาจเทียมหน้า เทียมตาฉันได้จริง แล้วฉันจะกล้าดื้อดึง ให้พ่อแม่ท่านเสียใจมากกว่านี้ได้อย่างไร”
เสมาหน้าสลดลงไปเพราะคิดว่าเรไรคงเลิกแน่
“แต่ฉันก็ถือหัวใจสำคัญไม่แพ้ศักดิ์ตระกูล แม้มิได้คู่กับเสมา ฉันก็ไม่ขอเป็นหญิงชั่วสองใจเป็นอันขาด”
เสมาดีใจสุดๆ สวมกอดเรไรไว้แน่นกระชับยิ่งขึ้นราวกับจะไม่ยอมให้จากไปไหนอีกเลย เรไรน้ำตาคลอตาด้วยความอัดอั้นตันใจ คู่กอดกันอยู่ริมน้ำตกด้วยความรักเต็มเปี่ยมที่มีให้แก่กัน
ภายในบ้านของเสมา จำเรียงกำลังป้อนข้าวให้บุญเรือนที่ล้มป่วยกระเสาะกระแสะ บุญเรือนทานข้าวด้วยสีหน้าแช่มชื่นมีความสุขที่มีจำเรียงคอยดูแล มั่นเดินเอายาหม้อมาเทใส่ชาม เพื่อเตรียมให้บุญเรือนทาน
“แม่เอ็งป่วยกระเสาะกระแสะมานานนัก ดีที่ได้เอ็งดูแล พักหลังจึงมีแรงขึ้นมาก”
“หากฉันไม่ต้องคอยหลบๆซ่อนๆก็คงดูแลแม่ได้มากกว่านี้จ้ะพ่อ”
“เพียงเท่านี้ก็พอแล้ว แม่ไม่ได้เป็นกระไรมากดอกสำคัญที่เอ็งต้องรักษาตัวให้ดี อย่าให้ถูกจับไปอีก”
“แม่ไม่ต้องห่วงดอก กว่ากึ่งปีแล้วไม่มีกระไรพวกหมื่นชาญคงเลิกหาฉันแล้ว”
ขณะนั้นเอง เอื้อยแตงก็เดินขึ้นเรือนมาแล้วว่า
“อย่าเพิ่งย่ามใจไปแม่จำเรียง หมื่นชาญณรงค์เป็นดั่งงูพิษ แม้จักเลื้อยช้าเพียงใดแต่ก็มีพิษอยู่ทั่วตัวประมาทไม่ได้ดอก”
เอื้อยแตงหันไปยกมือไหว้มั่นและบุญเรือน
“ฉันไหว้จ้ะ พ่อลุงแม่ป้า”
มั่น และบุญเรือนรับไหว้
“เอื้อยแตงพูดถูกแล้ว เอ็งกลับไปเถิดจำเรียง หากมีผู้ใดมาเห็นเข้าแล้ว เอาไปบอกหมื่นชาญ เอ็งจะเดือดร้อน” บุญเรือนเห็นด้วยกับเอื้อยแตง
“จะมีผู้ใดเล่าจ๊ะแม่ ที่นี่มันเรือนของเรานะจ๊ะ”
“ถึงกระนั้นก็หาควรประมาทไม่ เอ็งรีบกลับไปเถิด” มั่นบอก
“จ้ะ”
จำเรียง และเอื้อยแตงไหว้ลามั่นกับบุญเรือนก่อนที่จะลงจากเรือนไป เอื้อยแตงเห็นจำเรียงไม่ยอมปิดบังใบหน้าเลยปราม
“แม่จำเรียง คลุมหน้าคลุมตาอำพรางเสียซิ”
จำเรียงยิ้มขำในความระแวงของเพื่อน ก่อนจะเอาผ้าคลุมไหล่คลุมหน้าคลุมตาไม่ให้คนเห็น แล้วเดินลงจากเรือนไปพร้อมเอื้อยแตง
ลูกน้องของขันคนหนึ่งคอยซุ่มแอบดูอยู่ พอเห็นทั้งคู่ลงจากเรือนไปก็มองตามอย่างจับตา
เย็นวันนั้น ขันสะใจมากที่ได้ข่าวจากลูกน้องว่าเจอตัวจำเรียงแล้ว
“มิเสียแรงที่ให้คนซุ่มดูอยู่นาน ในที่สุดก็เจอตัวนังจำเรียงจนได้”
“ฉันบอกหมื่นชาญแล้วว่า ที่นังจำเรียงหนีไปหัวเมืองเป็นเพียงแต่อุบายลวง แต่เสียดายที่น่าจักเฉลียวใจก่อนหน้านี้ ว่าอ้ายเสมารู้จักมักคุ้นกับนังเอื้อยแตงบ้านสัมพนี มิเช่นนั้น คงได้ตัวมาเสียนานแล้ว” พุฒว่า
“ถึงตอนนี้ก็ไม่ช้าเกินไปดอก ไม่เกินคืนพรึ่งนี้ ฉันจะฉุดนังจำเรียงกลับมาให้จงได้”
“ฉุดรึ แล้วถ้าฉันจะขอฉุดนังเอื้อยแตงเป็นของติดไม้ติดมืออีกคนเล่า หมื่นชาญเห็นเป็นเช่นใด”
ขัน และพุฒ มองหน้ากันก่อนจะหัวเราะอย่างสะใจที่คิดแผนชั่วเอาไว้เสร็จสรรพ
เย็นวันเดียวกัน แต้มไล่ตะเพิดสินออกจากเรือน สินวิ่งหนีบไหเหล้า ตาลีตาเหลือกลงจากเรือนไป แต้มหันซ้ายหันขวา เจอท่อนฟืนวางอยู่เลยหยิบขึ้นมาจะเขวี้ยงใส่
“ไป ไปให้พ้นหน้าข้า หนอย อ้ายขี้กลาก พอข้าให้เข้านอกออกในเข้าหน่อย คิดจักเกี้ยวลูกสาวข้าเชียวรึ เช่นนี้มันต้องเอาเลือดหัวออก”
สินกลัวแต้มจนร้องเสียงหลง
“อย่าจ้ะพ่อแต้ม ถึงฉันคิดจักเกี้ยวแม่เอื้อยแตง แต่ฉันหาได้ทำเสื่อมเสียไม่นะจ๊ะ แล้วฉันยังนับถือพ่อแต้มนัก นี่ก็ตั้งใจจะมาไหว้โดยแท้”
“เอ็งไม่ต้องมาเล่นลิ้น ข้าหาดีใจที่คนอย่างเอ็ง...”
สินเปิดไหเหล้าออก กลิ่นหอมของเหล้ากระจายออกจนแต้มอึ้ง พูดไม่ออก สินเอามือพัดกลิ่นให้ยิ่ง
กระจายออก แต้มทำจมูกฟุตฟิตสูดกลิ่น แล้วกลืนน้ำลายอึกใหญ่ กลิ่นหอมเกินห้ามใจจริงๆ
“สุราชั้นดีไหนี้ ฉันตั้งใจเอามากำนัลแก่พ่อแต้ม ... หอมเสียนี่กระไร น่าเสียดายนัก ที่ฉันจะต้องกินคนเดียว”
เวลากลางคืน สมบุญเดินหงุดหงิดอยู่ที่หน้ากระท่อมของตน คอยชะเง้อรอสินกลับ แต่สินก็ไม่กลับซะที กระท่องเล็กๆหลังนี้ สมบุญเอาเงินที่ได้จากการไปศึก มาซื้อที่ปลูกกระท่อมเล็กๆอยู่ หลังจากที่ไม่ได้เป็นทาสแล้ว
เสมาเดินถือคบไฟกลับเข้ามาหาสมบุญ
“อ้าว ยังไม่นอนอีกรึ”
“ก็รออ้ายสินมันน่ะซีพี่เสมา ไม่รู้มันไปเมาอยู่ที่ใด คิดผิดนักที่ให้มันอยู่ด้วย เวรกรรมแท้”
“อ้ายสินมันได้สุราดีมาก็เลยเอาไปกำนัลอาแต้ม หวังจะเข้าทางผู้ใหญ่”
“แล้วเหตุใดมันไม่บอกฉัน ฉันจะได้ถือโอกาสไปหาแม่จำเรียงด้วย”
เสมายิ้มขำๆ เปิดโอกาสให้สมบุญ
“เอ็งก็ไปตามมันซี พรึ่งนี้มีฝึกทหารแต่เช้า หากไปสายโทษหนักเชียวนา”
“จ้ะๆ ฉันจะไปตามมันประเดี๋ยวนี้หล่ะจ้ะ”
สมบุญหันไปหยิบคบไฟ แล้วรีบไปด้วยความดีใจ เสมามองตามแล้วก็อมยิ้ม
สินและแต้ม เมาเละอยู่ที่แคร่หน้าเรือน โดยมีเอื้อยแตงและจำเรียงยืนมองอยู่ด้วยสีหน้าเซ็งๆ
“อ้ายบ้าสิน ดันเอาสุรามาให้พ่อข้า เมามายเช่นนี้ก็ลำบากข้าอีก”
“ช่างเถิดแม่เอื้อยแตง อาแต้มอยากสุรามานานวันแล้ว ให้กินเสียบ้างไม่เป็นกระไรดอก”
เอื้อยแตงหงุดหงิด แล้วทั้งคนก็ช่วยกันหิ้วปีกแต้มที่เมาเละขึ้นเรือน
“พาพ่อฉันขึ้นเรือนคนเดียวก็พอ ทิ้งอ้ายสินไว้ที่นี่เถิด”
“อ้าว แล้วยุงจะไม่กัดแย่รึ”
“กัดสิดี ต่อไปจะได้เข็ดหลาบ ไม่มาชวนพ่อฉันเช่นนี้อีก”
เอื้อยแตงและจำเรียงหิ้วปีกแต้มจะพาขึ้นเรือน ทิ้งให้สินนอนเมาอยู่ที่แคร่คนเดียว
สินเมา พลิกตัวไปกอดไหเหล้าแล้วยิ้มกรุ้มกริ่มจูบไหเหล้าจุ๊บๆอย่างมีความสุข
“แม่เอื้อย แม่เอื้อยแตงจ๋า”
เอื้อยแตงและจำเรียงหันกลับไปมอง จำเรียงอดขำไม่ได้ เอื้อยแตงปั้นหน้าไม่ถูก รีบประคองแต้มขึ้นบ้านด้วยความกระดากอาย
“ลามกจกเปรต” เอื้อยแตงพึมพำ
สมบุญเดินหงุดหงิดถือคบไฟมาตามทาง
“อ้ายสินนะอ้ายสิน หาแต่เรื่องเดือดร้อนมาให้ข้า ถ้าไม่ติดว่าจะได้ปะหน้าแม่จำเรียง จะปล่อยให้โดนโทษเสียให้หนัก”
ทันใดนั้นเอง สมบุญก็เหลือบเห็นคนกลุ่มหนึ่งถืออาวุธครบมือ ใช้ผ้าปกปิดหน้าตา เดินลัดไปตามป่าข้างทาง สินรีบดับคบไฟของตนแล้วซ่อนตัวหลังต้นไม้ทันที สมบุญชะโงกหน้าไปมองตาม ดึกดื่นป่านนี้คนกลุ่มนี้ต้องเป็นโจรไปปล้นที่ไหนซักแห่งแน่
สินยังคงเมาไม่ได้สติอยู่ที่แคร่หน้าบ้าน ก่อนจะพลิกตัวตกแคร่ลงมานอนที่พื้นก็ยังไม่รู้สึกตัว ขณะนั้นเอง ขัน พุฒ และบรรดาลูกน้องที่มีผ้าปิดหน้าปิดตาต่างกรูกันขึ้นไปบนเรือน ด้วยความมืดเลยไม่มีใครมองเห็นว่าสินนอนอยู่บนพื้น
พอพวกขัน และพุฒขึ้นไปบนเรือนก็บุกเข้าห้องต่างๆทันที แล้วลากเอาเอื้อยแตง จำเรียง และแต้มออกมาจากห้อง
เอื้อยแตง จำเรียง และแต้มส่งเสียงร้องโวยวาย แต่ร้องได้ไม่เท่าไหร่ พอเจอดาบขู่ก็ตกใจหน้าซีดไม่กล้าร้องโวยวายอีก
แต้มยกมือไหว้ด้วยความกลัวพลางกล่าวว่า
“อย่าทำกระไรฉันเลยพ่อคุณ อยากได้กระไรก็เอาไปเถิด”
“คนเช่นพวกเอ็งจะมีกระไรให้ข้าได้วะ”
เอื้อยแตงได้ยินก็เอะใจ
“รู้ว่าพวกเรายากจน แล้วยังจะมาปล้นอีกรึ พวกเอ็งต้องการกระไรกันแน่”
ขัน และพุฒอึ้งไป ไม่คิดว่าจะโดนเอื้อยแตงจำผิดง่ายๆแบบนี้
“ชักช้าอยู่อีก พานังสองคนนี่ไปเถิด” พุฒตัดบท
“อย่าทำลูกข้าเลย”
แต้มจะเข้าไปขวาง แต่กลับโดนขันต่อยเข้าเต็มหน้าจนสลบเหมือด
“พ่อ” เอื้อยแตงร้องขึ้น
เอื้อยแตงพยายามดิ้นสู้ แต่โดนพุฒชกท้องเข้าเต็มๆจนจุก ดิ้นไม่ออก พวกลูกน้องลากจำเรียง และเอื้อยแตงไปโดยทิ้งให้แต้มนอนสลบอยู่ที่พื้น พวกลูกน้องขันจะลากจำเรียง และเอื้อยแตงลงจากเรือน แต่ทันใดนั้นก็มีไม้ท่อนหนึ่งหวดเข้าใส่ลูกน้องขันจนจุก แล้วหวดใส่หน้าจนสลบกลิ้งตกบันไดลงมา ขัน และพุฒตกใจ หันไปมองตามปรากฏว่าคนที่ลอบทำร้ายพวกตนคือสมบุญนั่นเอง สมบุญถือไม้สองท่อนแทนดาบสองมือ ยืนจังก้าอยู่ที่ตีนบันได
“ปล่อยแม่เอื้อยแตงกับแม่จำเรียงประเดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนั้นกูจะฆ่าทิ้งเสียให้หมด” สมบุญตะคอก
“สมบุญ ช่วยฉันด้วย”
ขันรีบฉุดมือจำเรียงไว้ไม่ให้หพลางนีตะโกนสั่ง
“เข้าไปสิวะ ไม้แค่สองท่อนพวกมึงกลัวรึ”
พวกลูกน้องขันกรูกันลงจากเรือน แต่สมบุญยึดชัยภูมิได้เปรียบ เพราะอยู่ที่ตีนบันไดฝ่ายตรงข้ามลงบันไดมาได้ทีละคน เลยโดนสมบุญใช้ไม้หวดกระเจิงไปทุกคน
“พวกเอ็งถอยไป ข้าเอง”
ขันชักดาบสองมืออกมาแล้วตะลุยลงไปสู้กับสมบุญ สมบุญสู้กับขันตัวต่อตัว สมบุญมีแค่ไม้ไหนเลยจะสู้ดาบและฝีมือของขันที่เหนือกว่าได้ แค่ไม้ปะดาบกันได้ไม่กี่ครั้ง สมบุญก็ถูกรุกไล่ เปิดทางให้พวกที่เหลือลงจากเรือนได้จนหมด สมบุญเหลือบไปเห็นสินนอนอยู่บนพื้น
“อ้ายบ้าสินจะถูกฆ่าอยู่แล้ว เอ็งยังมีกะใจจะนอนอีกรึ” สมบุญสู้ไปพูดไป
สมบุญหลบดาบขันได้ เลยฉวยโอกาสเข้าไปเตะสินที่นอนไม่รู้เรื่องซักหนึ่งทีให้หายแค้น สินถูกเตะจนสะดุ้งตื่น
“โอ๊ย ใครวะ”
สินลืมตาขึ้นมา เห็นลูกน้องขันคนหนึ่งกำลังเงื้อดาบจะฟันพอดี สินรีบพลิกตัวหลบไปได้ชนิดเส้นยาแดงผ่าแปด ก่อนจะลนลานไปหยิบไม้ไผ่ที่ใช้ตากผ้า ขึ้นมาใช้แทนทวน สินหายเมาเป็นปลิดทิ้ง เข้าไปช่วยสมบุญสู้ ทั้งสองคนมีฝีมือเก่งกาจขึ้นมาก แม้จะมีแค่สองคน แต่พวกลูกน้องขันก็โดนเล่นงานกระเจิดกระเจิงสู้ไม่ได้ พุฒเห็นท่าไม่ดี หันไปพูดกับขัน
“พานังสองคนนี่หนีก่อนเถิด”
“เช่นนั้นก็แยกย้ายกัน แล้วค่อยไปพบกันที่เรือน” ขันว่า
ขันดึงมือจำเรียงลากไป ในขณะที่พุฒก็ลากเอื้อยแตงไปอีกทาง สิน และสมบุญตกใจ แต่โดนพวกลูกน้องขันพัวพัน เลยตามไปไม่ได้ ทั้งคู่ช่วยกันต่อสู้ จนเล่นงานลูกน้องขันล้มคว่ำไปหมดก่อนจะรีบแยกย้ายกันตามไป
ขันดึงแขนพาจำเรียงหนีมาที่ป่าข้างทาง จำเรียงพยายามดิ้นสู้
“ฉันไม่ไป ปล่อยฉัน”
“หุบปาก หากไม่ตามข้ามาดีๆ จะเชือดคอทิ้งเสียประเดี๋ยวนี้เลย” ขันตะคอกใส่ จำเรียงกลัวเลยต้องจำใจให้ขันพาตัวไป
แต่ทันใดนั้น สมบุญก็ตามมาทันแล้วตวาดลั่น
“ปล่อยแม่จำเรียงประเดี๋ยวนี้”
ขันหันกลับไปมองสมบุญด้วยสายตาโหดเหี้ยม ก่อนจะผลักจำเรียงออกไป จำเรียงรีบหนีไปหลบ แต่สายตาก็คอยมองเอาใจช่วยสมบุญอยู่ตลอดเวลา
“ฝีมือดาบเอ็งสูงนัก มิใช่โจรทั่วไปเป็นแน่ เอ็งเป็นผู้ใดกัน”
“รอเอ็งตายเมื่อใดก็จะรู้เอง” ขันว่า
ขันบุกเข้าใส่สมบุญ สมบุญก็ใช้ไม้ต่างดาบสองมือเข้าสู้อย่างดุเดือด ทั้งคู่ผลัดกันรุกผลัดกันรับอย่างคู่คี่สูสี
ข้างฝ่ายสิน กำลังใช้ไม้พลองต่อสู้กับพุฒที่ใช้ดาบมือเดียวอย่างดุเดือดเช่นกัน โดยมีเอื้อยแตงคอยหลบอยู่ใกล้ๆ สินหลบดาบของพุฒ แล้วใช้ไม้หวดกลับ จนพุฒต้องถอยฉากหลบอย่างหวุดหวิด
“เอ็งจับดาบพิกลนัก มิใช่อาวุธถนัดของเอ็งเป็นแน่ แล้วเช่นนี้จะสู้ข้าได้รึ”
“ฝีมืออ้ายไพร่ต่ำสกุลอย่างเอ็ง จะสักเท่าใดกันเชียว”
พุฒบุกเข้าสู้ต่อ แต่สินก็ควงไม้พลองเข้าสู้ ฝีมือของทั้งคู่สูสีกัน ผลัดกันรุกรับอย่างดุเดือด เอื้อยแตงเห็นทั้งคู่สู้กันสูสี ก็ชักห่วงว่าสินจะแพ้ มองซ้ายมองขวาหาตัวช่วย เลยหยิบดินที่พื้นขึ้นมากำหนึ่ง พอได้จังหวะที่พุฒ และสินกำลังต่อสู้กัน เอื้อยแตงก็เอาดินในมือปาเข้าใส่หน้าจนพุฒเคืองตา
“โอ๊ย”
สินได้จังหวะเลยหวดไม้เข้าเต็มท้องพุฒ แล้วถีบซ้ำ จนพุฒล้มคว่ำลงกับพื้น เมื่อพุฒบาดเจ็บก็ชักกลัว เลยรีบลนลานหนีไปทันที
ข้างฝ่ายสมบุญต่อสู้กับขันอย่างสูสี ขันเห็นท่าไม่ดีจะรีบเผด็จศึก เลยงัดไม้ตายจากสำนักอาจารย์บ่ายออกมา สมบุญเจอไม้ตายติดๆกันหลายเพลง ไม้ที่ใช้เป็นอาวุธก็ถูกขันฟันขาดสะบั้น แล้วถูกขันพลิกตัวเตะจระเข้ฟาดหาง จนสมบุญล้มคว่ำลงกับพื้นเลือดกบปาก สมบุญเจ็บจนลุกไม่ขึ้น แต่ฉุกคิดขึ้นมาได้
“เพลงดาบสำนักบ้านเผาข้าว ...อ้ายขัน”
ขันตกใจ ไม่คิดว่าสมบุญจะรู้
“มึงรู้เช่นนี้แล้วก็อย่าอยู่เลย”
ขัน เงื้อดาบจะฟันสมบุญ กะเอาให้ตาย
“อย่า” สมบุญร้องขึ้น
ขาดคำ เสมาก็โผล่พรวดเข้ามากระโจนเข่าลอยเข้ามากระแทกขันจนล้มคว่ำลง เสมาตั้งท่ามวยไทยเตรียมสู้เต็มที่ ขันตกใจที่เจอเสมา พอสมบุญตั้งหลักลุกขึ้นมาอีกคน ขันก็หน้าเสีย ขันเห็นท่าไม่ดี เลยรีบหนีไปทันที จำเรียงรีบเข้าไปหาสมบุญด้วยความเป็นห่วง
“สมบุญ เป็นเช่นไรบ้าง”
สมบุญบาดเจ็บไม่น้อยแต่ก็ดีใจที่รู้ว่าจำเรียงเป็นห่วง ในขณะที่เสมามองตามขันไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
จบตอนที่ ๖
อ่านต่อตอน ตอนที่ ๗ พรุ่งนี้