แววมยุรา ตอนที่ 6
สยุมภูว์เดินเข้ามาสั่งงานเพิ่มพงษ์ที่อยู่ในบ้าน เพิ่มพงษ์กำลังกินแซนด์วิชอยู่ เขาเห็นท่าทางสยุมภูว์มีความสุขก็อดแซวไมได้
“ต่อไม่ได้เห็นหน้ากันทุกเช้าแบบนี้ คุณสยุมภูว์จะทำใจได้หรือครับเนี่ย”
“ก็ทำใจไม่ได้ไง..ถึงต้องไปด้วย” สยุมภูว์บอก
เพิ่มพงษ์ตกใจจนแซนด์วิชติดคอ เขารีบดื่มน้ำตามแทบไม่ทัน
“เอ้าๆๆ..เดี๋ยวก็สำลักน้ำหรอก” สยุมภูว์ว่า
“สงสัยเมื่อกี้ผมจะฟังผิด คณสยุมภูว์พูดซ้ำได้ไหมครับ”
สยุมภูว์ตะโกนข้างหู “ผมจะไปเชียงใหม่กับแวว”
“ชัดๆ เน้นๆ เต็มๆ” เพิ่มพงษ์ทำท่าจะห้าม แต่สยุมภูว์พูดดักออกมาก่อน
“อย่าห้ามให้เปลืองน้ำลายเลย”
“แต่...”
“น้าเพิ่ม..กินแวนด์วิชต่อเหอะ”
เพิ่มพงษ์กินแซนด์วิชต่อด้วยหน้าเซ็งสุดๆ แต่สยุมภูว์กลับยิ้มขำ
โรสเอาเสื้อผ้าที่เพิ่งซักเสร็จออกมาตากหน้าบ้าน ส่วนแววกำลังจะเดินเข้าบ้าน
“คุณแววขา คุณมาลตีบอกว่าคุณแววจะไปทำงานที่เชียงใหม่เหรอคะ” โรสถาม
“ใช่ มีอะไรหรือเปล่า”
“ไม่มีใครมาเป็นก้างขวางคออย่างนี้ คุณวัณมีหวัง...”
“อะไร..โรส..พึมพำอะไรคนเดียว” แววสงสัย
“เปล่าค่ะ”
“เปล่าอะไร ฉันเห็นกับตา เมื่อกี้เธอว่าอะไร”
“โรสจะพูดดีมั้ยคะเนี่ย” โรสลังเล
แววดุ “โรส..!!”
โรสยิ้มๆ แล้วทำท่าเตรียมเม้าท์เต็มที่
เวลาผ่านไป แววที่รู้เรื่องจากปากโรสแล้วเข้ามายืนทำหน้าดุเมื่อเห็นมาลตีทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาว
“แววบอกแม่แล้วไงว่าอย่าไปยุ่งกับอีตาคำรพ แล้วนี่ยังเอายัยวัณเข้าไปเกี่ยวอีก แม่คิดว่าแววจะทำงานได้ยังไง ถ้ายังห่วงหน้าพะวงหลังอย่างนี้”
“พี่แวว..วัณ โตแล้วนะ รู้ว่าอะไรดีไม่ดี” วัณณรีเอ่ย
“ที่ออกไปกับลั้นลากับนายคำรพทุกวันอย่างนี้ใช่ไหม ที่เรียกว่าดี” แววถามด้วยความโมโห
“ไม่ดียังไงก็ว่ามาสิ วัณกับแม่ไม่ต้องจ่ายสักบาทแถมไม่ต้องแบมือขอพี่แววด้วย”
“ยัยวัณมันพูดถูก ฉันสองคนไม่ได้กวนเงินแก แล้วจะมาเดือดร้อนอะไร” มาลตีบอก
“แม่ไม่รู้หรือไงว่าอีตาคำรพต้องการอะไรจากวัณ”
มาลตีตอบเรียบๆ “รู้สิ..ทำไมจะไม่รู้”
“แต่ก็ยังจะไปกับเขา”
“แกเคยเห็นฉันปล่อยให้ยัยวัณไปกับเขาคนเดียวเหรอ” มาลตีถาม
แววนิ่งไป มาลตีจึงมีท่าทีอ่อนลง
“แม่เป็นแม่นะ..ทำไมแม่จะไม่ห่วงลูก” มาลตีบอก
“แต่แววเป็นห่วง แววจะไม่ไปทำงานที่เชียงใหม่ก็ได้นะ” แววเสนอ
“แม่ไม่ใช่เด็กๆ ที่แกต้องมาจับตาดูตลอดเวลานะ”
“ใช่ วัณมีแม่คนเดียว พี่แววไม่ต้องมาเป็นแม่อีกคน” วัณณรีรีบพูด
แววดุ “วัณ !!!”
“พอแล้วทั้งพี่ทั้งน้อง” มาลตีหันไปพูดกับวัณณรี “วัณ แกขึ้นไปข้างบนก่อน เดี๋ยวแม่คุยกับพี่เขาเอง”
วัณณรีทำท่าฮึดฮัดคล้ายจะไม่ยอมขึ้นไป มาลตีส่งสายตาดุ วัณณรีจึงยอมขึ้นไป แล้วมาลตีก็หันมาพูดกับแววอย่างจริงจัง
“ถามจริงๆเถอะยัยแวว แกไม่ไว้ใจแม่หรือไงว่าแม่จะดูแลวัณได้”
“แววรู้ว่ายังไงแม่ก็ต้องปกป้องวัณอย่างดีที่สุด แววกลัวว่าแม่จะรับมือตาแก่นั่นไม่ได้ แววเคยทำงานกับเขาแล้วทำไมแววจะไม่ซึ้งว่าเขาเป็นพวกฉวยโอกาสกับผู้หญิงยังไง แววไม่อยากให้วัณเจออะไรแบบนี้เหมือนแวว”
มาลตีนิ่งไปสักพักเพราะเข้าใจความรู้สึกของแวว
“แกเตือนฉันอย่างนี้ก็ดี ฉันจะได้ระวังตัว”
“แม่...แววขอร้อง แม่อย่าเอาตัวเข้าไปเสี่ยงได้ไหม”
มาลตีพูดอย่างจริงจัง “แกไว้ใจแม่เถอะ แม่รู้ว่าเมื่อไรควรทำอะไร เมื่อไรที่แม่ไม่สนุกแล้ว แม่ก็ถอยออกมาเอง”
แววถอนใจ “แม่...แววเตือนแม่แล้ว”
มาลตีรีบตัดบท “ไปคราวนี้ก็อยู่นานๆล่ะ..เก็บเงินให้เป็นกอบเป็นกำแล้วค่อยกลับมา”
แววรู้สึกดีที่แม่เป็นห่วงเธอจึงโผเข้าไปกอดมาลตี มาลตีลูบหัวแวว
“ตั้งใจทำงานนะ แต่ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็กลับมา”
“แววไม่ยอมแพ้ง่ายๆหรอกแม่”
แววยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
ชลธิชากับเริงใจนั่งคุยกับแววที่ร้านกาแฟ ทั้งสองคนรู้ว่าแววจะไปทำงานในวันรุ่งขึ้น
“งั้นพรุ่งนี้ฉันกับยัยเริงจะปิดร้านแล้วไปส่งเธอที่สนามบินนะ” ชลธิชาบอก
“ตลกน่ายัยธิชา ฉันไม่ได้จะไปประกวดนางงามนะ ต้องมีพี่เลี้ยงไปรับไปส่ง” แววพูดขำๆ
“เธออยู่ทางโน้นไม่ต้องห่วงคุณเอกนะ ฉันสองคนจะดูแลให้เอง” เริงใจพูด
แววรีบเบรค “ถามเขาก่อนนะว่าอยากให้เธอดูแลหรือเปล่า”
ชลธิชากับเริงใจมองหน้ากันแล้วพูดใส่แวว
“แรงนะยะ !”
แววหัวเราะ “อยู่ที่โน่นฉันคงเหงาแย่เลย ไม่ได้เจอเธอสองคน”
“เอาน่า ฉันคงแอบหนีไปสูดอากาศแถวนั้นบ้างล่ะ” เริงใจบอก
“วางแผนหนีงานตลอดเลยนะ ยัยเริง” ชลธิชาแซว
“ฉันจะเจออะไรที่นั่นบ้างก็ไม่รู้ หวังว่าจะไม่เจออะไรแปลกๆอีกแล้วนะ”
แววพูดด้วยสีหน้าที่ไม่มั่นใจกับงานใหม่นัก
นิติภูมิคุยโทรศัพท์กับศักดาอยู่ที่คฤหาสน์ทศพล
“ฉันจะใช้แววพาเราไปหาสยุมภูว์อีกทางหนึ่ง” นิติภูมิบอกศักดา
“แวว..ใครหรือครับ” ศักดาถาม
“เลขาฯใหม่ของสยุมภูว์”
“แล้วไอ้เพิ่มพงษ์ล่ะครับ”
นิติภูมิพูดแทรกทันที “แกเคยตามมันได้หรือไง ฉันเห็นแกเหลวตลอด”
ศักดานิ่งไป “ผมจะพยายามให้มากกว่านี้ครับ”
“ยิ่งฉันทำให้แววเชื่อใจได้เร็วที่สุดเท่าไร ฉันก็จะยิ่งเข้าถึงตัวสยุมภูว์ได้เร็วที่สุดเท่านั้น”
นิติภูมิยิ้มให้กับแผนการของตัวเอง
มาลตีแต่งตัวสวยนั่งรออยู่ที่ห้องรับแขกของบ้าน
“แค่ออกไปกินข้าว จะแต่งตัวอะไรนักหนา” มาลตีบ่น
โรสที่ทำงานบ้านอยู่ ละสายตามามองที่มาลตี
“คุณมาลตีก็ไม่ได้น้อยเลยนะคะ”
มาลตีดุ “ใครให้ออกความเห็น..ฉันยังไม่ได้คิดบัญชีที่แกทำปากมากเรื่องคุณคำรพเลย”
“ก็มันเผลอหลุดปากนี่คะ...แต่พรุ่งนี้ก็คุณแววก็ไม่อยู่แล้วนี่” โรสบอก
ทันใดนั้นเสียงคำรพก็ดังขึ้น “หนูแววจะไปไหนหรือครับ”
คำรพปรากฏตัวด้วยเสื้อผ้าจัดเต็มเหมือนกัน เขาถือวิสาสะมานั่งโดยมาลตียังไม่ได้เชิญ มาลตีแอบทำหน้าดูหมิ่น
“หนูแววจะไปไหนครับ คุณมาลตี” คำรพถามย้ำ
“แววได้งานที่เชียงใหม่น่ะค่ะ” มาลตีตอบ
“โธ่..ใจคอจะไม่สั่งลากันเลยนะหนูแวว ไม่เห็นคำรพในสายตาเลยหรือไง”
ทันใดนั้นเสียงวัณณรีก็ดังขึ้น “คิดถึงก็บินไปหาสิคะ วัณไม่ได้หวงสักหน่อย”
วัณณรีปรากฏตัวขึ้นด้วยชุดสุดเซ็กซี่ คำรพมองตาค้าง
“แม่...เจ้า...โว้ย...!” คำรพอุทาน
วัณณรีเดินมานั่งที่โต๊ะรับแขก คำรพมองตาเยิ้ม
“ขอโทษนะคะที่ให้รอ วัณมัวแต่เลือกชุดอยู่น่ะค่ะ เดี๋ยวใส่...เดี๋ยวถอด...เดี๋ยวใส่”
คำรพพูดต่อเหมือนถูกสะกดจิต “เดี๋ยวถอด...ถอด...ถอด...!”
มาลตีชักสีหน้าไม่พอใจแล้วจึงรีบตัดบท “วันนี้คุณคำรพจะพาเราไปทานมื้อกลางวันที่ไหนคะ”
“วัณอยากไปที่ไหน คำรพก็พาไปที่นั่นล่ะจ้า” คำรพบอก
คำรพมองวัณณรีตาเยิ้ม มาลตีเห็นอย่างชัดเจนว่าคำรพหื่นออกหน้าออกตา
วัณณรีชวน “ไปกันหรือยังคะ”
คำรพจะลุกขึ้นไปรับวัณณรี แต่มาลตีลุกไปขวางแล้วถอดผ้าคลุมไหล่ของตัวเองให้วัณณรี
“คลุมไว้ก่อน ออกไปเจอแดดเดี๋ยวผิวจะเสีย”
คำรพยืนเก้อ เมื่อมาลตีดึงวัณณรีออกไปโดยไม่เปิดโอกาสให้คำรพได้แตะต้องเนื้อตัวของวัณณรี คำรพทำท่าเซ็งสุดๆ
ไลลากับแป้งร่ำยืนดูต้นไม้ในร้านต้นไม้พร้อมกับคุยกับสยุมภูว์ไปด้วย
“แป้งเห็นสวนริมระเบียงห้องไลลาน่ะค่ะ เห็นว่าสวยดีเลยอยากให้คุณจักรไปช่วยจัดบ้าง”
“ได้ครับ..วัดพื้นที่มาหรือเปล่าครับว่ากว้างยาวเท่าไร” สยุมภูว์ถาม
“คงต้องรบกวนคุณจักรไปดูที่ห้องแป้งเองมังคะ”
“ได้ครับ ไม่ทราบว่าวันนี้สะดวกหรือเปล่า”
แป้งร่ำกับไลลามองหน้ากัน แล้วแป้งร่ำก็ยื่นกุญแจห้องให้ไลลาตามแผนที่ทั้งสองคนตกลงกันไว้
“กุญแจห้อง..ฝากด้วยนะไลลา..วันนี้ฉันติดธุระพอดี” แป้งร่ำบอก
“ไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวฉันดูแลให้” ไลลาหันไปพูดกับสยุมภูว์ “ไลลาไปรอที่รถนะคะ”
สยุมภูว์เห็นอาการของทั้งคู่ก็รู้ว่าทั้งสองต้องการอะไร
ไลลากับแป้งร่ำกำลังจะเดินออกไปจากร้าน แต่สยุมภูว์เรียกไว้
“เดี๋ยวครับ…”
ทั้งสองคนหยุดเดินแล้วหันมามองสยุมภูว์
สยุมภูว์ตะโกนเรียก “ไอ้แจ๊ค..มาหน้าร้านหน่อย”
แจ๊ควิ่งมาหา “อะไรพี่..”
สยุมภูว์หยิบตลับเมตรออกจากกระเป๋ามาให้ “ไปวัดระเบียงจัดสวนห้องคุณแป้งร่ำหน่อย ดูแดดดูลมด้วยนะ”
“ครับพี่” แจ๊คหันไปพูดกับแป้งร่ำและไลลา “ไปเลยไหมครับ”
แป้งร่ำกับไลลา มองหน้าสยุมภูว์ แล้วหันไปมองหน้าแจ๊คแล้วก็แทบจะกรี้ดใส่
“ไม่ต้องห่วงนะครับ น้องผม..ไว้ใจได้” สยุมภูว์บอก
ไลลาเอากุญแจห้องคืนให้แป้งร่ำ
“เธอจัดการเองก็แล้วกัน”
พูดจบไลลาก็เดินออกไป แป้งร่ำขอโทษขอโพยสยุมภูว์ แล้วรีบเดินตามไลลาไป สยุมภูว์ยิ้มๆ แล้วหันไปมองแจ๊คที่ยืนทำหน้างงๆ
“ตกลงต้องไปไหมเนี่ย แจ๊คงง”
“ไม่ต้องแล้ว” สยุมภูว์บอก
แจ๊คเดินกลับไปหลังร้าน สยุมภูว์ก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ สักพักเขาก็รู้สึกเหมือนมีใครมายืนดูเขาอยู่ สยุมภูว์คิดว่าแป้งร่ำยังไม่เลิกตื๊อจึงพูดโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง “อ้าว..เปลี่ยนใจแล้วหรือครับคุณ”
สยุมภูว์เงยหน้าขึ้นมองพอเห็นว่าคนที่มายืนอยู่คือใครเขาก็ยิ้มออกมา
“แวว..!!”
แววงง “เปลี่ยนใจอะไร”
แววนั่งคุยกับสยุมภูว์ที่ท้ายรถกระบะที่จอดอยู่หน้าร้านต้นไม้
“เธอกลัวว่าคุณไลลาเขาจะพาเธอไปทำอะไรงั้นเหรอ” แววถาม
“อ้าว..ผมเป็นผู้ชายนะ จะออกไปกับผู้หญิงสองต่อสองได้ไง” สยุมภูว์บอก
“แล้วที่ฉันอยู่กับนายสองต่อสองล่ะ”
สยุมภูว์มองไปรอบๆ “ผมว่าคุณต้องกลัวผมมากกว่านะ”
สยุมภูว์แกล้งส่งสายตามีเลศนัยให้แววแล้วขยับเข้าไปหา แววเอามือยันหน้าสยุมภูว์ไว้
“เล่นเป็นเด็กๆไปได้..ทำตัวให้น่าเชื่อถือหน่อยได้มั้ย” แววว่า
“อ๋อ..ต้องให้น่าเชื่อถือเหมือนคุณนิติภูมิใช่มั้ย” สยุมภูว์ทำท่าสุขุมแบบตลกๆ “แบบนี้ภูมิฐานพอหรือเปล่า”
แววขำสยุมภูว์ที่ทำท่าทางและสีหน้าล้อเลียนนิติภูมิ
“ไม่ใช่คุณ ผมไม่ทำให้ดูนะเนี่ย ไม่งั้นเสียภาพพจน์หมด” สยุมภูว์บอก
“คุณนิติภูมิเขาไปทำอะไรให้นายเกลียดหรือ ฉันรู้นะว่านายเผาใบไม้ไล่เขา” แววถาม
“อยากมีคนเอาใจช่วยอย่างนี้บ้างจังเลย”
“พูดดีๆนะ..ฉันไม่ได้เอาใจช่วยเขาสักหน่อย” แววว่า
“ก็ได้..ผมจะเชื่อ”
“ฉันไม่ได้ขอให้นายเชื่อหรือไม่เชื่อสักหน่อย”
“ก็ใช่สิ..ผมไม่ได้สำคัญอะไรกับคุณนี่” สยุมภูว์ทำท่าน้อยใจ
แววหมั่นไส้ “น่าสงสารตายล่ะ”
“ไม่ใจอ่อนเลยเหรอ”
“พอได้แล้ว..นายว่างหรือเปล่า ฉันถามเรื่องการดูแลต้นไม้หน่อยได้มั้ย”
“ผมไม่ใช่อาจารย์นะ เดี๋ยวบอกคุณไปผิดๆถูกๆ เจ้านายใหม่คุณเขาจะหัวเราะเอา”
“ก็ยังดีกว่าไปคุยกับเขาแบบสมองว่างเปล่าล่ะน่า”
สยุมภูว์ทำหน้าเจ้าเล่ห์ “คุณไม่ได้วางแผนอยากจะมาใกล้ชิดผมเหมือนคุณไลลาใช่ไม้”
“ยี้..แหวะ...อย่างนายเนี่ยนะ”
แววหมั่นไส้จนต้องกระโดดลงจากกระบะท้ายรถแต่กลับพลาดเซจนหน้าจะคว่ำ สยุมภูว์รีบคว้าไว้ทำให้แววเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของสยุมภูว์ ทั้งสองประสานสายตากันครู่หนึ่ง
แววถามอย่างเกร็งๆ “ปล่อยได้ยัง”
สยุมภูว์รู้ตัวจึงรีบปล่อย แววไม่ทันได้ตั้งตัวจึงล้มก้นกระแทกพื้น
“โอ๊ย..!” แววร้องลั่น
สยุมภูว์เข้าไปดู “เฮ้ย..ผมขอโทษ ๆๆ”
แววพยายามลุกขึ้นปัดเศษดินเศษใบไม้แล้วไล่ตีสยุมภูว์ที่ทำให้เธอเจ็บตัว สยุมภูว์วิ่งหนีไปทั่วร้าน
แจ๊คเปิดสปริงเกิลรดน้ำต้นไม้จนน้ำกระจายไปทั่วสวน ทำให้แววกับสยุมภูว์วิ่งไล่กันในสภาพเปียกปอน
แจ๊คมองภาพตรงหน้า แล้วส่ายหน้าก่อนจะบ่นออกมา
“ทำยังกับพระเอกนางเอกเอ็มวีไปได้”
แววเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าอยู่ในห้องนอนของเธอ เธอจัดรูปถ่ายครอบครัวแม่และน้องใส่กระเป๋าไปด้วย แววตรวจเช็คว่าตัวเองแพ๊คของครบหรือเปล่า เธอเห็นพวงกุญแจคริสตัลรูปดาว ไอแพดและไอโฟนวางอยู่ใกล้ๆกัน แววเอื้อมมือมาหยิบของทั้งหมดใส่กระเป๋าไปด้วยแล้วจึงปิดกระเป๋า
เช้าวันใหม่ เครื่องบิน landing ลง runway ที่สนามบินเชียงใหม่ คนขับรถตู้ลากกระเป๋าแววออกมาจากสนามบิน แววเดินตามมาขึ้นรถตู้ที่จอดรออยู่ ก่อนที่รถตู้จะขับออกมาจากสนามบิน
ป้ายบอกระยะทางว่าถนนสายนี้กำลังมุ่งหน้าไปยังอำเภอแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ รถตู้คันที่แววนั่งมากำลังมุ่งหน้าไปยังไร่ทศพล สักพักแววก็เห็นป้ายชื่อ “ไร่ทศพล” ตั้งตระหง่าน รถตู้คันเดิมวิ่งเข้าไปในไร่ทันที
รถตู้เข้ามาจอดที่หน้าสำนักงาน แววเปิดประตูรถตู้แล้วก้าวลงมา
“เชิญด้านในเลยครับ ผู้จัดการรออยู่” คนขับรถบอก
“เอ่อ..คุณหมายถึง..” แววสงสัย
ชายคนหนึ่งเดินออกมาจากสำนักงาน คนขับรถตู้หันไปเห็นเข้า
“อ้าว..คุณสยุมภูว์ออกมาพอดี นั่นไงครับคนที่คุณต้องคุยด้วย” คนขับรถบอก
แววอึ้งและตกตะลึงเมื่อได้เห็นจึงรำพึงออกมา “สยุมภูว์ ทศพล”
ชายคนหนึ่งที่ไม่ใช่สยุมภูว์ออกมายืนต้อนรับ
“ครับ..ผม สยุมภูว์ ทศพล เราได้เจอกันซะทีนะแวว”
แววถึงกับทำอะไรไม่ถูก
ชายคนนั้นยืนยิ้มให้กับแวว พร้อมกับนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต
ที่แปลงดอกไม้เมืองหนาว คนงานกำลังดูแลแปลงไม้ดอกเมืองหนาวอยู่ในกระโจม ชายคนนั้นซึ่งชื่อนำพลเดินดูงานพร้อมกับคุยโทรศัพท์กับเพิ่มพงษ์ที่โทรมาจากกรุงเทพฯ ไปด้วย
นำพลรู้เรื่องจากเพิ่มพงษ์ก็ตีหน้าเหวอสุดๆ “อะไรนะ จะให้ผมสวมรอยเป็นคุณสยุมภูว์เนี่ยนะ”
“มันไม่ยากอย่างที่คิดหรอกกนะครับ ถ้าไม่ติดว่าคุณแววเธอรู้จักผม ผมลุยเองแล้ว” เพิ่มพงษ์บอก
“คุณแวว..คือพนักงานที่คุณสยุมภูว์จะให้ผมหลอกใช่ไหมครับ” นำพลถาม
“ไม่ใช่คุณคนเดียวนะครับที่หลอกคุณแวว แต่คนงานในไร่ทุกคนต้องก็ต้องหลอกคุณแววให้เชื่อสนิทว่าคุณคือสยุมภูว์”
“คุณอยากให้สยุมภูว์เป็นคนยังไงในสายตาแววครับ” นำพลถาม
“เป็นทุกอย่างที่ตรงข้ามกับคุณนำพลครับ”
“ตาย..ตาย...ตาย..!!! แล้วผมจะโดนไล่ออกไหมครับถ้าทำไม่สำเร็จ” นำพลกังวล
“ถ้าเมื่อไรแววจับได้ว่าคุณคือใคร ก็เตรียมเก็บกระเป๋าออกจากไร่ได้เลย” เพิ่มพงษ์บอก
“โอย..คุณเพิ่มพงษ์อย่าขู่สิครับ”
“ผมพูดจริงครับ ไม่รู้สึกหรือครับว่าผมซีเรียสมาก แต่ถ้างานสำเร็จทริปแช่น้ำร้อนออนเซ็นที่คุณรีเควสท์ไว้เมื่อปีที่แล้วรอคุณอยู่”
“แบบนี้ค่อยเร้าใจหน่อย แล้วจะให้คุณแววพักที่ไหนครับ” นำพลถาม
“บ้านพักของคุณสยุมภูว์ครับ ส่วนข้าวของในบ้านก็ย้ายไปเก็บในที่ลับที่สุดไม่ให้แววจับพิรุธได้ว่าเราโกหกเธออยู่”
“ครับ..คุณเพิ่มพงษ์” นำพลรับ
นำพลวางหูโทรศัพท์ด้วยสีหน้าหนักใจสุดๆ...
นำพลนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตแล้วก็ยังอดกังวลไม่ได้
แววนั่งตรงหน้าโต๊ะทำงานของสยุมภูว์ด้วยท่าทางที่ยังไม่หายงง แววจ้องหน้านำพลเหมือนจะจับผิด นำพลเริ่มรู้สึกประหม่าที่ถูกจ้องหน้าเช่นนี้
“มีอะไรเหรอเปล่า คุณแวว” นำพลถาม
“เปล่าค่ะ”
“ไม่จริงมั้ง..คุณสงสัยอะไร”
“คือ..คุณดูแปลกๆไปจากที่เห็นใน Facetime นะคะ” แววบอก
“ดูดีขึ้นเหรอ”
แววอ้ำอึ้ง “อืมม์..ค่ะ”
นำพลขำแล้วหัวเราะออกมาตามสไตล์ของตัวเขา
“แล้วก็ไม่นึกว่าคนจริงจังอย่างคุณจะเป็นคนอารมณ์ดีขนาดนี้” แววพูดต่อ
นำพลค่อยๆลดสปีดการหัวเราะลงจนกลายเป็นเงียบขรึม
“คุณอยากให้ผมเป็นแบบนี้เหรอ” นำพลถาม
“ขอโทษค่ะ”
“คุณจับผิดผมพอหรือยัง”
“เปล่านะคะ..แค่ผิดสังเกต”
“หน้าผมคงจะมีเอกลักษณ์มากนะ คุณเห็นสองครั้งก็จำมาจับผิดว่าผมคือตัวจริงหรือตัวปลอม”
“เปล่าค่ะ แววไม่ได้ติดใจเรื่องนั้นแล้ว”
“ผมว่าสิ่งที่ทำให้คุณลังเลตอนนี้คือคุณกลัวว่าผมจะทดสอบคุณแบบครั้งก่อน ซึ่งผมขอบอกว่าคุณจะไม่เจออะไรแบบนั้นอีกแล้วเพราะนี่คือการทำงานจริง..แต่ถ้าคุณเปลี่ยนใจ รถตู้ที่ยังคอยอยู่ข้างนอกจะพาคุณไปส่งที่สนามบินทันที” นำพลอธิบาย
“แววไม่มีสิทธิ์ขอเวลากลับไปตัดสินใจแบบครั้งก่อนใช่มั้ยคะ”
การสนทนาของทั้งสองถูกเครื่องรับสัญญาณซึ่งติดอยู่ที่กระดุมเสื้อเม็ดหนึ่งของนำพลจับไว้ทั้งหมด
แววจ้องกลับมาที่มอร์นิเตอร์ซึ่งอยู่ในห้องทำงานลับที่ร้านต้นไม้
“เสียใจครับ เราไม่มีเวลาจะให้คุณลังเล” เสียงนำพลดังขึ้น
“ค่ะ..แววพร้อมสำหรับงานนี้แล้ว” แววตอบรับ
แววยิ้มกว้าง สยุมภูว์เห็นภาพนั้นจากมอนิเตอร์ก็เผลอยิ้มออกมาด้วย
แววไหว้นำพลแล้วเดินออกไป ก่อนที่ประตูสำนักงานจะปิดลง
นำพลกดคีย์บอร์ดเครื่องคอมพิวเตอร์ตรงหน้าทำให้ปรากฏภาพสยุมภูว์ตัวจริงที่เห็นแค่คางลงมาอยู่บนหน้าจอ
“ผมไม่ได้พูดอะไรผิดใช่มั้ยครับคุณสยุมภูว์” นำพลถาม
“คุณทำดีมากคุณนำพล” สยุมภูว์บอก
“จริงหรือครับ” นำพลหัวเราะเสียงดังตามสไตล์ของเขา
“นอกจากเสียงหัวเราะแปลกๆเนี่ย” สยุมภูว์บอก
นำพลค่อยๆหยุดหัวเราะ “ขอโทษครับ..คุณแววทำให้ผมเกือบไม่รอดเหมือนกัน ฉลาดอย่างนี้ผมว่าเหนื่อยแน่ๆครับ”
“ถ้าคุณนำพลต้องการคำแนะนำล่ะก็ คำๆนั้นคือคำว่าห้ามพลาดครับ ไม่รู้ว่ามันช่วยให้คุณรู้สึกดีขึ้นบ้างหรือเปล่า”
นำพลจำยอมต้องตอบรับ “ครับคุณสยุมภูว์”
ภาพสยุมภูว์ที่หน้าจอของนำพลดับไป นำพลถอนใจออกมาด้วยความโล่งอก
แววเปิดประตูห้องพักเข้ามาแล้วมองไปรอบๆห้อง เธอเห็นขาหยั่งพร้อมเฟรมผ้าใบและสีโปสเตอร์ตั้งวางอยู่เหมือนถูกเตรียมไว้ให้ เแววมองด้วยความสงสัย
“ของใครนะ”
แววเดินตรงมาที่ขาหยั่ง เธอรูดม่านที่ปิดอยู่ออกทำให้เห็นวิวภูเขาสวยงามอยู่ตรงหน้า แววนิ่งคิด ก่อนที่เสียงโทรศัพท์ในห้องจะดังขึ้น แววเอื้อมมือไปรับสาย
“เป็นไง พออยู่บ้านนั้นได้ใช่ไหม” นำพลถามผ่านสายโทรศัพท์
“อยู่ได้ สบายมากค่ะ” แววบอก
“คุณชอบเพ้นท์ติ้งหรือเปล่า”
แววมองไปที่เฟรมผ้าใบก่อนตอบ “ค่ะ”
“ดีเลย..คุณเห็นเฟรมผ้าใบกับสีในห้องใช่ไหม..เต็มที่เลยนะ”
“แต่..แววไม่เคยบอกคุณนะคะว่า...”
“ผมก็ชอบเพ้นท์ติ้งเหมือนกัน...อ้อ..ผมลืมบอกไปว่าบ้านนั้นเคยเป็นบ้านผม แต่ตอนนี้ผมย้ายออกมาอยู่อีกหลังหนึ่งแล้ว”
แววมีสีหน้าที่ยังไม่หายสงสัย “ค่ะ”
“อีกสักสิบนาที ผมจะให้คนงานไปรับนะ เราจะได้ออกไปทัวร์ไร่ด้วยกัน”
นำพลวางสาย แววมองไปที่ขาหยั่งด้วยสีหน้าที่ยังสงสัยไม่หาย
คนขับรถพาแววกับนำพลนั่งรถไปดูส่วนต่างๆ ภายในไร่ เช่น ไร่ผลไม้ สวนดอกไม้ที่ปลูกในกระโจม โรงผลิตปุ๋ย อ่างเก็บน้ำ ห้องLabที่ดูทันสมัย ฯลฯ
นำพลคุยกับแวว
“คงสงสัยแล้วสินะว่า ผมจะให้คุณทำอะไร”
“ค่ะ..แต่ในฐานะเลขาของคุณ แววก็พร้อมจะทำทุกหน้าที่อยู่แล้ว”
นำพลยิ้มๆ แล้วคนขับรถก็หันมาบอก
“ถึงแล้วครับคุณสยุมภุว์”
แววมองไปตรงหน้าเธอ เธอเห็นต้นบ๊วยต้นใหญ่อายุหลายสิบปีตั้งตระหง่าน แววทำหน้าสงสัย นำพลเดินนำแววไปที่ต้นไม้ต้นนั้น
“ต้นนี้ล่ะครับที่คุณต้องมาดูแล รดน้ำ ใส่ปุ๋ย”
“อะไรนะคะ? ไหนคุณบอกว่าจะไม่มีการทดสอบอะไรอย่างนั้นแล้วไงคะ” แววสงสัย
“คุณยังไม่เลิกคิดเรื่องนั้นอีกนะ”
“แล้วนี่มันอะไรล่ะคะ”
“นี่เป็นต้นบ๊วยต้นแรกที่พ่อผมนำมาปลูกที่นี่ ต้นบ๊วยในไร่นี้มาจากการเพาะเนื้อเยื่อจากต้นแม่ต้นนี้” นำพลอธิบาย
คนขับรถหยิบอัลบั้มรูปถ่ายเก่าๆ อัลบั้มหนึ่งส่งให้แววดู ภาพในอัลบั้มเป็นภาพสีหราชยืนคู่กับต้นไม้ต้นนั้นขณะกำลังโตในระยะต่างๆ แววมองต้นไม้ข้างหน้าเธอ
“คุณเห็นว่ามันยังยืนต้นอยู่ได้ แต่ต้นไม้ต้นนี้ออกดอกออกผลให้เราไม่ได้แล้ว” นำพลบอก
“อย่าบอกนะคะว่าจะจ้างมารดน้ำใส่ปุ๋ยให้มันออกลูกอีกครั้ง” แววถาม
“ผมไม่ได้หวังว่าคุณจะสร้างปาฏิหาริย์หรอก”
“ขอบคุณที่เข้าใจค่ะ” แววบอก
“ผมรู้ว่ามันจะต้องล้มลงมาในวันหนึ่ง แต่ทุกคนที่นี่ก็ไม่อยากให้วันนั้นมาถึงเร็วเกินไป ผมเลยต้องจ้างคุณมาดูแลต้นไม้ต้นนี้ให้อยู่กับเรานานที่สุด”
“แววว่าคนงานในไร่คุณน่ะรู้เรื่องต้นไม้มากกว่าแววอีก ทำไมไม่ให้เขามาดูแลล่ะ” แววแปลกใจ
“คุณคิดว่าเราไม่เคยลองสินะ” นำพลถามกลับ
“อ้าว..แล้วเกิดอะไรขึ้นคะ
“ไม่ต้องรอให้เกิดอะไรขึ้น ผมก็รู้แล้วว่ามันไม่เวิร์ค..มันทำให้ผมรู้ว่คนงานที่ดูแลต้นไม้ต่างจากคนรักต้นไม้นะครับ” นำพลพูด แววนิ่งคิดตาม นำพลพูดต่อ “ต้นไม้ต้นนี้ต้องการคนที่รักมัน ไม่ใช่แค่รดน้ำ ใส่ปุ๋ย เราจะไม่คุยกันเรื่องรายละเอียดของงานนะครับ เพราะคุณต้องเป็นคนกำหนดมันขึ้นมาเอง เสร็จเมื่อไรค่อยรายงานให้ผมทราบ ตกลงตามนี้นะครับ”
แววมองต้นไม้ต้นนั้นด้วยสีหน้าหนักใจเพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นจัดการกับต้นไม้ต้นนี้อย่างไร
อ่านต่อหน้าที่ 2
แววมยุรา ตอนที่ 6 (ต่อ)
เอกรินทร์กำลังเดินตรงมาที่ประตูหน้าร้านกาแฟ ชลธิชากับเริงใจมองหน้ากันแล้วต่างคนต่างประดิษฐ์ตัวเองให้สวยเตรียมต้อนรับเต็มที่
ชลธิชากับเริงใจพูดพร้อมกัน “สวัสดีค่ะคุณเอก”
“เจ้านายผมโอเคแล้วนะครับที่จะใช้ร้านคุณถ่ายสัมภาษณ์ดาราน่ะ” เอกรินทร์บอก
“ขอบคุณนะคะ คุณเอก จะมาเมื่อไรบอกได้เลยนะคะ จะได้เตรียมที่ให้”
“อาทิตย์หน้าดีมั้ยครับ ผมขอเช็คคิวพิธีกรกับแขกรับเชิญก่อน ทราบแล้วจะรีบบอกคุณธิชาเลย” เอกรินทร์มองหาแวว “วันนี้แววไม่มาเหรอครับ”
“อ้าว..แววยังไม่ได้โทรบอกคุณเหรอคะว่าจะไปทำงานที่เชียงใหม่” เริงใจถาม
“ผมเพิ่งรู้จากคุณเริงนี่ล่ะครับ” เอกรินทร์มีสีหน้าสลดลง
ชลธิชาสังเกตเห็นจึงพูดปลอบใจ “มันฉุกละหุกน่ะค่ะคุณเอก แววเพิ่งรู้ว่าต้องไปเชียงใหม่เมื่อวานนี้ ธิชากับเริงก็เซอร์ไพร้ซ์เหมือนกัน”
“เดี๋ยวจัดการเรื่องงานลงตัวแล้ว แววคงโทรหาคุณเอกหรอกค่ะ คุณเอกคงได้ฟังแววสารภาพผิดยาวเลยล่ะ” เริงใจเสริม
เอกรินทร์พยายามยิ้มให้ทั้งสองคน แต่ชลธิชาและเริงใจรู้ว่าเอกรินทร์ยากที่จะทำใจได้
ในห้องทำงานของนิติธร นิติภูมิเพิ่งรู้เรื่องแววจากนิติธร
“แววขึ้นไปทำงานที่ไร่ทศพลหรือครับ !” นิติภูมิตกใจ
“ก็ใช่น่ะสิ..ป่านนี้คงถึงแล้วมั้ง คุณสยุมภูว์เขาสั่งให้รีบไปนี่” นิติธรบอก
นิติภูมิมีสีหน้าเจ็บใจสยุมภูว์
“มันจงใจแกล้งกันชัดๆ”
นิติธรสงสัย “บ่นอะไรของแก”
นิติภูมิพูดน้ำเสียงจริงจัง “ไม่มีอะไรครับพ่อ”
แล้วนิติภูมิก็ผละออกมากดโทรศัพท์หาแวว แต่ก็ไม่มีสัญญาณ
“อยู่ในป่าในเขาที่ไหนวะ” นิติภูมิกลับมาพูดกับนิติธร “ถ้าที่นี่ไม่มีงานเร่งอะไร ผมขอลาสัก 4-5 วันได้ไหมครับ”
“แกคงไม่ได้หมายถึงเร็วๆนี้นะ เพราะคุณสยุมภูว์เขาจะให้แกไปประชุมผู้บริหารที่หาดใหญ่วันสองวันนี้แล้ว” นิติธรบอก
นิติภูมิโกรธจัด “ไอ้..สยุมภูว์...!!”
นิติธรเห็นหน้าสีหน้าโกรธจัดของลูกชายจึงถามขึ้น
“แกเป็นอะไรไอ้ภูมิ..แกควรจะดีใจนะที่คุณสยุมภูว์เขาไว้ใจแก”
“มันจงใจแกล้งผมต่างหาก”
“คุณสยุมภูว์เขาจะแกล้งแกทำไม”
นิติภูมิไม่ต่อปากต่อคำต่อ เขาพยายามกดโทรศัพท์หาแววอีกครั้ง นิติธรมองลูกชายอย่างเหนื่อยหน่าย
โทรศัพท์ของชลธิชาที่วางอยู่ที่โต๊ะในร้านกาแฟขึ้นชื่อแวว ชลธิชาเห็นเข้าก็รีบเรียกเริงใจมาคุยโทรศัพท์กับแววด้วย
“ยัยแวว..ที่ทำงานเป็นไงมั่ง” ชลธิชาถามอย่างตื่นเต้น
“ก็ดี..เธอสองคนไม่ต้องเป็นห่วงนะ แถวนี้มันอยู่ไกลน่ะ เลยไม่ค่อยมีสัญญาณ” แววบอก
“ฉันไม่เป็นห่วงหล่อนหรอกย่ะ แต่เป็นห่วงคุณเอกรินทร์ต่างหาก..ใจคอหล่อนจะไม่บอกเขาเลยหรือไงว่าไปทำอะไรที่ไหนน่ะ” เริงใจถาม
แววเพิ่งนึกออก “ตายจริง ฉันลืมบอกเอกจริงๆด้วยน่ะ..เขาคงโกรธแย่เลยสิ”
“โกรธน่ะไม่โกรธหรอก แต่น้อยใจนี่สิ” ชลธิชาว่า
“ทำไงให้เขาหายน้อยใจดีล่ะ เธอสองคนช่วยฉันคิดหน่อยสิ” แววถาม
ชลธิชากับเริงใจมองหน้ากันพร้อมกับช่วยกันคิด
ที่สวนหน้าบ้านแวว โรสกำลังฉีดน้ำหอมให้แจ๊คที่หลังหู แจ๊คถึงกับสะดุ้ง
“ทำไมต้องฉีดที่หลังหูด้วยอ่ะ..อูย..ขนลุกเลยเนี่ย” แจ๊คถาม
“ไม่รู้ดิ ก็คุณวัณสอนมาอย่างนี้น่ะ” โรสบอก
“แจ๊ครู้”
“ทำไมล่ะ” โรสถาม
“ฉีดตรงหลังหู เอาไว้ให้แฟนจุ๊บ”
พูดจบแจ๊คก็เบียดเข้าไปใกล้โรสเหมือนจะให้โรสดมหลังหู แล้วเขาก็ฉวยโอกาสจะจูบหลังหูโรส โรสหลบแล้วเอาเท้ายันจนแจ๊คหงายหลัง
“หืมม์ ว่าแล้วเชียว..ฉวยโอกาสตลอด”
แจ๊คลุกขึ้นมานั่ง “โห..เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าเป็นมวย”
“ก็เพิ่งเป็นเมื่อกี้นี้ล่ะ..หนอยแน่ เผลอไม่ได้”
“งั้นก็อย่าเผลออีกก็แล้วกัน...ไม่ให้แจ๊คดม..แจ๊คไปให้พี่จักรดมดีกว่าจะได้รู้ว่าหอมไม่หอม”
แจ๊คเดินงอนๆออกไป
โรสมองตาม “ทำเป็นงอน หืมม์..น่ารักตายล่ะ” โรสฉีดน้ำหอมไปทั่วตัวเหมือนคนบ้าเห่อ “ฉีดเอง ดมเองก็ได้ ไม่ต้องให้ใครมาดมหรอก” โรสดมแขนตัวเอง “ห๊อม...หอม..”
แจ็คพยายามจะให้สยุมภูว์ดมกลิ่นน้ำหอมที่ซอกหูของเขา แต่สยุมภูว์บ่ายเบี่ยง
“ไอ้แจ๊ค..เดี๋ยวใครมาเห็นเขาก็นึกว่าฉันพิศวาสแกหรอก”
“ใครจะมาเห็นนอกจากน้าเพิ่มล่ะ..ดมสิ..หอมมั้ย..เร้ว..”
“ไม่ต้องไซ้ซอกหูแกฉันก็ได้กลิ่นแล้ว..โพรงจมูกแกมีปัญหาเหรอถึงไม่ได้กลิ่น” สยุมภูว์ว่า
เพิ่มพงษ์เดินเข้ามาเห็นพอดี
“สองคนนี้เล่นอะไรวาบหวิวๆ กันเนี่ย” เพิ่มพงษ์ทำจมูกฟุดฟิด “กลิ่นอะไรวะ”
เพิ่มพงษ์ตามกลิ่นไปจนถึงติ่งหูแจ๊ค แจ๊คทำท่าทางเคลิบเคลิ้ม สยุมภูว์เห็นก็ทนไม่ได้
“น้าเพิ่ม..!”
เพิ่มพงษ์สะดุ้ง “อุ้ย..!! อะไรไอ้จักร..กำลังได้ที่เลยเนี่ย”
“นั่นดิ ขัดจังหวะจริงเชียว มาต่อเร็ว” แจ๊คชวน
“เล่นกันเป็นเด็กๆไปได้” สยุมภูว์ว่า
“อะไร..เด็กๆอะไร ไอ้จักร น้ากำลังฝึกแยกแยะกลิ่นTop Note Base Note อยู่ต่างหาก” เพิ่มพงษ์แอบกระซิบกับสยุมภูว์ “เผื่อมียาพิษน่ะครับ”
สยุมภูว์ส่ายหน้าด้วยความระอาใจ แล้วหันไปพูดกับแจ๊ค “แล้วแกไปเอาน้ำหอมที่ไหนมาฉีด”
“น้ำหอมของน้องโรสน่ะสิพี่จักร เขาบอกว่าแฟนคุณวัณซื้อแจกทุกคนในบ้าน”
สยุมภูว์สงสัย “แฟนเหรอ..ใครกันน่ะ”
“ก็ไอ้คนที่เคยจะจีบพี่แววไง” แจ๊คเล่าต่อ
สยุมภูว์ตกใจ “คำรพ!”
สยุมภูว์มีสีหน้าเป็นห่วง “มันคิดจะซื้อทุกคนในบ้านเลยใช่มั้ย”
ชลธิชากับเริงใจช่วยกันร้องเพลงประสานเสียงสั้นๆ จนจบด้วยท่าทางเอาจริงเอาจังกันอยู่ในร้าน“มันจะได้ผลมั้ยแก คุณเอกเขาจะเคลิ้มไปกับเรามั้ยล่ะ” ชลธิชาหันไปถามเพื่อน
“เราไม่เน้นคุณภาพเสียงนะ เราเน้นฮา” เริงใจบอก
“นั่นแหละที่ฉันกังวล..ฉันกลัวเสียภาพลักษณ์เหมือนกันนะเนี่ย”
“นี่แปลว่ายังหวังอยู่ล่ะสิ..แอบเนียนนะยะ” เริงใจแขวะ
“หรือเธอไม่หวังล่ะ..ไม่รู้ล่ะ..ต้นทุนเราเท่ากัน”
“ตรงที่คุณเอกเขาไม่สนใจเราทั้งคู่ เขาสนยัยแวว…ใช่มั้ย”
“โอ๊ย..เจ็บ !!!...แต่ต้องกลั้นใจ”
“ยอมไปเป็นตัวตลกให้ผู้ชายหายเศร้า..เอาวะ”
ชลธิชากับเริงใจมองหน้ากันอย่างให้กำลังใจกันเอง
ชลธิชากับเริงใจมายืนเตรียมพร้อมที่หน้าห้องเอกรินทร์ ทั้งสองเตรียมเทียบคีย์เสียงอย่างเบาๆ พอพร้อมแล้วทั้งสองก็พยักหน้าให้กัน ชลธิชาเคาะประตู
ทันทีที่ประตูเปิดออก ชลธิชากับเริงใจก็เริ่มร้องเพลง แต่ร้องไปได้แค่สองประโยค คนที่อยู่หลังประตูก็โผล่หน้าออกมาดู ทั้งสองถึงกับหยุดร้องแทบไม่ทัน
ชลธิชากับเริงใจตกใจ “แป้งร่ำ”
แป้งร่ำอยู่ในชุดเสื้อคลุมอาบน้ำยืนมองทั้งสองแบบงงๆ
“มายืนร้องเพลงอะไรเนี่ย..คุณเอกเขาจ้างพวกเธอมาเซอร์ไพร้ซ์ฉันเหรอ” แป้งร่ำถาม
“ฉันต้องถามเธอมากกว่าว่ามาทำอะไรในห้องคุณเอก” เริงใจดูชุดแป้งร่ำ “ในชุดนี้..อย่าบอกนะว่าทำซอสหก”
“อ๋อ..คราวก่อนเธอคงใช้มุกตื้นๆนั่นน่ะสินะ..กล้าเนอะ” แป้งร่ำแขวะ
“ฉันกล้าได้มากกว่านี้อีก” เริงใจบอก
“หมายถึงกล้ามายืนร้องเพลงหน้าห้องผู้ชายใช่มะ..เรื่องนี้ฉันเชื่อ”
เริงใจส่ายหน้า “กล้าตบเธอนี่ไง”
พูดจบเริงใจก็จะผลักประตูเข้าไป แป้งร่ำยันประตูไว้ไม่ให้เข้า
“ว๊าย...อย่านะ..สองรุมหนึ่ง ไม่ยุติธรรมหนิ แน่จริงตัวต่อตัวสิ”
ชลธิชารีบบอก “ก็จริงของเขานะเริง เธอลุยไปเลยแล้วกัน”
“ได้..คราวก่อนยัยนี่ทำฉันแสบ ฉันขอเอาคืนหน่อยเหอะ”
แป้งร่ำเอาตัวยันประตูไว้ได้สักพักแล้วก็ต้านไม่ไหว เริงใจผลักประตูเข้ามาได้ แป้งร่ำถอยกรูดไปแล้วคว้าหมอนปาใส่เริงใจ ทั้งสองวิ่งไล่กัน ชลธิชาวิ่งมาดักไว้ทางหนึ่ง แป้งร่ำจึงไปไหนไม่รอด เริงใจฉวยโอกาสพุ่งเข้ารวบแป้งร่ำจนล้มลง เริงใจขึ้นคร่อมแป้งร่ำทันที
“วาระสุดท้ายของหล่อนมาถึงแล้ว”
เริงใจเงื้อมือจะตบ แป้งร่ำหลับตาปี๋ แต่ยังไม่ทันได้ลงฝ่ามือก็มีคนมาดึงมือเริงใจไว้
“อย่าห้ามฉันธิชา...ปล่อย..”
ชลธิชาห้าม “พอเหอะ เริง..”
เริงใจหันไปมองแต่กลับเห็นว่าเป็นเอกรินทร์ “คุณเอก”
เริงใจลุกขึ้น แป้งร่ำเห็นเอกรินทร์ก็รีบเข้าไปออเซาะ
“แป้งโดนรังแกค่ะ..คุณเอก สองคนนี้บุกรุกเข้ามาในห้องคุณเอกแล้วก็มาตบ...ตบ..ตบ แป้ง..คุณเอกต้องจัดการนะคะ”
“สองคนนี้บุกรุกแล้วคุณล่ะครับ” เอกรินทร์ถามกลับ
“แป้งก็ไขกุญแจเข้าห้องคุณมาสิคะ บุกรุกตรงไหน” แป้งร่ำตอบหน้าตาย
“ตรงที่ผมไม่อนุญาตไงครับ” เอกรินทร์บอก
“คุณเอก..แต่เราเป็นเพื่อนบ้านกันนะคะ”
“ขอกุญแจ คืนด้วยครับ”
แป้งร่ำตะลึงมองเอกรินทร์ เอกรินทร์มองด้วยสายตาเอาจริงก่อนจะเดินสะบัดออกไปจากห้อง เอกรินทร์หันกลับมามองทั้งสอง เริงใจกับชลธิชาก็จ๋อยไปเหมือนกัน
“ไม่ต้องเชิญหรอกค่ะ เราไปแน่” เริงใจบอก
“เชิญข้างในครับคุณธิชา คุณเริง” เอกรินทร์พูด
เริงใจกับชลธิชามองหน้ากันแล้วยิ้มๆ
เริงใจกับชลธิชานั่งคุยกับเอกรินทร์อยู่ในห้องรับแขกที่คอนโดของเอกรินทร์
“ขอโทษนะคะ คุณเอก” ชลธิชาเอ่ย
“อุตส่าห์จะมาร้องเพลงปลอบใจให้ เกือบได้ร้องเพลงเศร้าแล้วมั้ยล่ะ” เริงใจบอก
เอกรินทร์งง “ร้องเพลงปลอบใจอะไรกันครับ”
“แววเขารู้สึกผิดน่ะค่ะ ทีไม่ได้บอกคุณว่าจะไปทำงานที่เชียงใหม่ เลยให้เราสองคนช่วยหาวิธีขอโทษคุณน่ะค่ะ” ชลธิชาอธิบาย
“ไม่ใช่ “เรา” จ้ะ เรื่องนี้ไอเดียหล่อน” เริงใจรีบบอก
เอกรินทร์พูดกับชลธิชา “รู้แค่นี้ก็หายโกรธแล้วครับ”
ชลธิชารู้สึกวูบวาบกับสายตาของเอกรินทร์
“อ้าว..อุตส่าห์ซ้อมร้องมาเป็นอาทิตย์ รู้งี้เดินมาบอกก็ได้” เริงใจเซ็ง
“แต่ผมยังอยากเห็นคุณสองคนร้องเพลงนะครับ” เอกรินทร์บอก
“แหม...มันก็ไม่ได้ดีเลิศอะไรนักหรอกค่ะ” ชลธิชาออกตัว
เอกรินทร์ร้องขอ “นะครับ..”
“คนดูเขาเรียกร้องแล้วน่า” เริงใจดึงชลธิชามายืนคู่กัน “มาเหอะ”
“เล่นตัวบ้างก็ได้ยัยเริง” ชลธิชาบ่น
เอกรินทร์มองเริงใจกับชลธิชาต่อปากต่อคำกันจนเพลิน
แววยืนคุยโทรศัพท์กับสยุมภูว์(ที่เธอรู้จักในนามของจักร)อยู่ที่ระเบียง
“ทนคิดถึงผมไม่ไหวล่ะสิ..กลับมาพรุ่งนี้ยังทันนะ” สยุมภูว์แซว
“พูดอยู่ได้..ใครคิดถึงนาย”
“ก็เผื่อว่าคุณจะเผลอพูดออกมาว่าคิดถึงผมบ้าง แค่นี้ก็ฝันดีแล้ว”
แววทำปากแหวะ แต่ไม่ออกเสียง
สยุมภูว์รีบพูดดัก “ไม่ต้องแหวะหรอกนะ”
แววเหวอไป
“รู้ได้ไงเนี่ย” แววรีบเปลี่ยนเรื่อง “นายช่วยอะไรฉันหน่อยสิ”
“ผมเป็นได้แค่นี้จริงๆเหรอ”
แววนิ่งไป สยุมภูว์รอฟัง แววพูดออกมา “ก็ทำนองนั้น”
“โธ่...นึกว่าจะได้ยินอะไรที่ทำให้มีความหวังบ้าง”
“แต่นายก็เป็นคนที่ฉันหวังได้นะ”
สยุมภูว์ยิ้มกว้าง
“ฉันฝากจับตาดูแม่กับยัยวัณด้วยได้มั้ย โดยเฉพาะอีตาคำรพ ฉันว่าเขาไม่เลิกตามจับยัยวัณแน่ๆ”
สยุมภูว์เห็นว่ารถของคำรพแล่นมาจอดที่หน้าบ้านแววพอดี สยุมภูว์แอบมองทันที
วัณณรีก้าวลงมาจากรถ คำรพเปิดประตูถือถุงช็อปปิ้งเดินตามวัณณรีลงมา วัณณรีเดินเข้าบ้าน คำรพจะเดินตามเข้าไปด้วย
“เดี๋ยวผมตามไปส่งถึงห้องนอนเลยนะครับ” คำรพบอก
มาลตีรีบเข้าไปแทรกกลางทันที
“วันนี้เราสองแม่ลูกรบกวนคุณมาทั้งวันแล้ว เกรงใจจังเลย...เดี๋ยวให้นังโรสมันมาช่วยถือดีกว่านะคะ”
มาลตีจะรับถุงช็อปปิ้งมาแต่คำรพทำตามีเลศนัยแล้วไม่ยอมให้
มาลตีรีบเรียกโรสทันที “นังโรส หายหัวไปไหน...มาถือของหน่อย”
โรสไม่ออกมา คำรพยิ้มให้มาลตีแล้วจะเดินตามวัณณรีเข้าไป
“ขอเข้าไปดูนิดเดียวนะครับ” คำรพตื้อ
“แต่ยัยวัณคงเหนื่อยแล้วล่ะค่ะ จริงมั้ยยัยวัณ”
มาลตีถามแล้วหันมาส่งสายตาบังคับ วัณณรีแก้รำคาญด้วยการหยิบถุงช็อปปิ้งจากมือคำรพ คำรพแอบจับมือวัณณรี มาลตีห้ามไม่ทันจึงได้แต่ทำตาเขียวใส่
“วัณขอตัวก่อนนะคะ คุณคำรพ...พรุ่งนี้เราค่อยเจอกัน”
วัณณรีส่งตาหวานให้คำรพ มาลตีเห็นเข้าก็รีบดึงลูกสาวเข้าบ้าน คำรพได้แต่ยืนเคลิ้ม
สยุมภูว์มองมาลตีกับวัณณรีที่เดินเข้าบ้านไป
“นั่นเสียงแม่ฉันหรือเปล่า” แววถาม
“ใช่สิ..ออกมาทะเลาะกับใครก็ไม่รู้ เข้าบ้านไปแล้ว” สยุมภูว์บอก
“นายอย่าลืมเรื่องอีตาคำรพนะฉันเป็นห่วงแม่ฉันกับยัยวัณ” แววย้ำ
“ไม่ลืมหรอกน่า..แต่ผมว่าคุณไม่ต้องห่วงแม่คุณมากนักหรอกนะ ผมว่าคุณมาลตีเขาเอาตัวรอดได้สบายๆอยู่แล้วล่ะ”
วัณณรีจะขึ้นไปพักบนห้อง แต่มาลตีเรียกเธอเอาไว้
“ยัยวัณ...แม่ว่าแกอย่าปล่อยเนื้อปล่อยตัวให้อีตานั่นมากนักก็ได้นะ”
“แม่กลัวพี่แววจะรู้เหรอไง ถ้าไม่มีใครโทรไปรายงานก็ไม่มีใครรู้หรอกน่า” วัณณรีบอก
“ยัยแววไม่เห็นแต่แม่เห็น อย่าลืมนะว่าเราแค่จะเล่นสนุกกับกับตาคำรพ แกไม่ต้องถึงเนื้อถึงตัวขนาดนั้นก็ได้”
“วัณก็ไม่ได้ทำอะไรนี่นา”
“แล้วที่แกยอมให้เขาถือแขนเมื่อกี้ล่ะ”
“แหม..วัณก็ให้ความหวังเขาเล็กๆน้อยๆเป็นรางวัล ถ้าไม่ให้อะไรเขาเลยแล้วเขาจะมาเล่นกับเราอีกมั้ยล่ะแม่”
“แค่นั้นก็ไม่ได้” มาลตียืนกราน
“แค่จับมือ แม่ทำอย่างกับวัณพาเขาขึ้นห้องนอน...วัณไม่เถียงกับแม่ล่ะ วัณไปนอนก่อนนะ”
วัณณรีเดินขึ้นไป มาลตีมองตามด้วยสายตาเป็นห่วง
“ฉันก็ไม่ยอมหรอกนะ” มาลตีมีสีหน้าเป็นกังวล “จริงอย่างที่ยัยแววว่าไว้ไม่ผิด”
มาลตีถอนใจเฮือกใหญ่แล้วมองถุงช็อปปิ้งที่กองอยู่
“มันจะคุ้มกันมั้ยเนี่ย”
พระอาทิตย์ยามเช้าโผล่พ้นทิวไม้ในไร่ทศพล แววป้ายสีลงบนเฟรมผ้าใบด้วยสีหน้าตั้งใจที่จะเก็บภาพทิวทัศน์จากริมระเบียงลงบนผ้าใบ แววมีความสุขกับงานเพ้นท์ติ้งที่กำลังทำเป็นอย่างยิ่ง
แววเดินมาที่ต้นไม้ใหญ่ต้นนั้น แล้วเธอก็ยืนงง
“ฉันจะเริ่มยังไงดีเนี่ย รดน้ำ ใส่ปุ๋ย..”
แววได้ยินเสียงผิวปากดังลอยมาจากหลังต้นไม้ใหญ่ต้นนั้น เธอทำหน้าสงสัยก่อนจะค่อยๆย่องเข้าไปดู แววโผล่หน้ามาดูแล้วก็ต้องรีบปิดตา
“อุ้ย..!!! มาใส่ปุ๋ยต้นไม้เหรอ”
เด็กชายวัยแปดขวบยืนปัสสาวะอยู่ตกใจเสียงแววก็รีบใส่กางเกง แววยิ้มให้ แต่เด็กชายไม่พูดอะไร
“อายล่ะสิ..ชื่ออะไรน่ะเรา” แววถาม
เด็กชายตอบ “ตงตง”
“บ้านอยู่ไหนครับ ตงตง” แววถามต่อ
ตงตงชี้ไปอีกทาง
“ทีหลังอย่ามาฉี่ตรงนี้นะ เดี๋ยวต้นไม้ตาย”
“ก็มาฉี่ที่ต้นนี่ทุกวันแหละ ไม่เห็นตายเลย” ตงตงตอบ
“รู้มั้ยว่าคนในไร่เขาช่วยกันดูแลต้นไม้ต้นนี้อยู่”
“แม่ไม่เห็นบอกเลย”
“อ๋อ..แม่เราทำงานที่นี่เหรอ”
ตงตงพยักหน้าแล้วโหนกิ่งไม้เล่น แววทำหน้าตกใจ
แววดุ “ทำไรน่ะ..อย่าโหนสิเดี๋ยวกิ่งมันหัก”
ตงตงหยุดโหน
“ดีมาก ว่าง่ายๆอย่างนี้ เป็นเด็กดีนะ” แววชม
ตงตงเดินไปอีกด้านหนึ่งของต้นไม้ แววไม่รู้ว่าตงตงจะทำอะไรจึงเดินตามไปดูแล้วเห็นว่าตงตงปีนขึ้นไปนั่งบนต้นไม้แล้วยิ้มให้แบบกวนๆ แววโมโห
“ลงมา..เดี๋ยวนี้ เดี๋ยวต้นไม้ตาย”
“ไม่ลง..ตงตงปีนทุกวันไม่เห้นต้นไม้จะตายเลย”
“วันอื่นก็วันอื่นสิ แต่ถ้าวันนี้มันตายพี่แววจะซวยเข้าใจมั้ย ลงมา..ลงมา”
ตงตงขึ้นไปยืนบนกิ่งไม้แล้วเอามือเกาะลำต้นก่อนจะโยกกิ่งนั้นเหมือนจะยั่วโมโห
ตงตงร้องตะโกน “ไม่ลง..ไม่ลง...ไม่ลง”
แววไม่รู้จะทำยังไงให้ตงตงลงมา แล้วเธอก็คิดออก แววทำชี้ไม้ชี้มือไปที่กิ่งไม้เหนือหัวของตงตง
แววตะโกนเสียงดัง” งู!!!”
ตงตงมองหางูเลิ่กลั่ก แววเลยยิ่งบิ้วท์
“นั่น..ตรงนั้น..ระวังนะ..ตงตง”
ตงตงกลัวจนต้องกระโดดลงมาจากต้นไม้ แววตกใจร้องกรี้ดเมื่อตงตงพุ่งลงมาหาเธอ
อ่านต่อหน้าที่ 3
แววมยุรา ตอนที่ 6 (ต่อ)
แววนั่งอยู่ที่โซฟาในห้องรับแขกที่บ้านพักของเธอ นำพลและหมอดูอาการแวว แววจับไหล่ข้างหนึ่งด้วยสีหน้าเจ็บปวดเมื่อหมอจับแขนของเธอยกขึ้น
“ทนหน่อยนะครับคุณแวว” หมอบอก
แววเจ็บ “ก็มัน..”
หมอไม่รอให้แววพูดจบรีบจัดการดึงไหล่ให้กลับเข้าไปอยู่ที่เดิม
แววร้องสุดเสียง “โอ๊ย..”
เสียงแววร้องโหยหวนออกมานอกบ้าน หลิน แม่ของตงตงมองหน้าลูกชายที่ยืนอยู่ข้างๆแบบดุๆ ตงตงทำหน้าเหมือนจะร้องไห้
หน้าจอคอมพิวเตอร์บนโต๊ะทำงานของนำพลปราฏภาพของสยุมภูว์ที่เห็นตั้งแต่คอลงมา
“คุณแววเธอออกไปดูแลต้นบ๊วยน่ะครับ” นำพลรายงาน
“แล้วไปทำยังไงถึงไหล่หลุด” สยุมภูว์ถาม
“เท่าที่ฟัง..เห็นบอกว่าไปทะเลาะกับเด็ก ลูกคนงานในไร่น่ะครับ”
สยุมภูว์ทวนคำ “ทะเลาะกับเด็ก !!!”
“ครับ..แต่ตอนนี้ดีขึ้นแล้วนะครับ มีแต่อาการระบมนิดหน่อย ผมให้พักสองสามวัน แล้วค่อยให้ทำงานต่อ...คุณสยุมภูว์ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ”
“ผมฝากด้วยนะคุณนำพล”
หน้าจอคอมพิวเตอร์ดับวูบไป
สยุมภูว์มีสีหน้าเป็นห่วง เขาจะหยิบโทรศัพท์มากดหาแวว แต่เพิ่มพงษ์ที่อยู่ใกล้ๆรีบห้าม
“ผมรู้นะครับว่าคุณเป็นห่วงคุณแวว แต่อย่าเพิ่งโทรหาตอนนี้เลยครับ เดี๋ยวคุณแววจะสงสัย แล้วเราต้องหาข้อแก้ตัวกันใหญ่ ดีไม่ดีคุณแววเขาจะจับพิรุธได้นะครับ”
สยุมภูว์วางโทรศัพท์ แต่สีหน้ายังคงเป็นห่วงแวว
“แล้วถ้าเราจะขึ้นไปหาแววกันเลยล่ะครับ” สยุมภูว์เสนอ
“โอย..อกอีแป้นจะแตก นี่แค่ไหล่หลุดนะเนี่ย จะห่วงอะไรกันนักกันหนา”
“ไม่มีใครตามไปฆ่าผมถึงที่ไร่หรอกน่า”
“พูดไปก็เท่านั้น..ยังไงผมก็ต้องจัดให้ใช่มั้ยเนี่ย”
สยุมภูว์ยิ้มกว้างยืนยันแทนคำตอบ
หลินพาตงตงเดินเข้ามาหาแววที่นั่งอยู่ที่โซฟา
“ขอโทษคุณแววเขาสิ..เห็นไหมว่าตงตงทำคุณแววเจ็บ”
ตงตงยกมือไหว้แววทั้งที่หน้ายังบึ้ง
“พูดด้วยว่าขอโทษ” หลินสั่ง
ตงตงไม่พูด หลินทำหน้าหนักใจ
“หลินต้องขอโทษแทนลูกด้วยนะคะ พรุ่งนี้หลินจะให้เขาอยู่บ้านไม่ปล่อยให้ออกมาเกะกะแล้ว เดี๋ยวไปทำใครเขาเจ็บตัวอีก”
“ความจริงแววก็ผิดด้วยล่ะค่ะ โทษตงตงคนเดียวคงไม่ถูก โชคดีที่ตกลงมาจากต้นไม้แล้วไม่เป็นไร ไม่อย่างนั้นแววคงรู้สึกแย่กว่านี้”
“ถ้าอย่างนั้น วันนี้หลินให้ตงตงอยู่ที่นี่นะคะ”
แววเหวอ “อะไรนะคะ”
หลินเห็นอาการของแววแล้วก็ขำ “หลินอยากให้ตงตงอยู่ช่วยคุณแววน่ะค่ะ..คุณคงหยิบจับอะไรไม่สะดวก คุณอยากใช้อะไรตงตงก็เรียกใช้ได้เลยนะคะ ถือเสียว่าเป็นการทำโทษ”
“จะดีเหรอคะ”
“หลินอยากฝึกให้เขารู้ว่าคนทำผิดต้องถูกลงโทษน่ะค่ะ รบกวนด้วยนะคะ”
แววยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ”
แววมองตงตงอย่างเอ็นดู ตงตงมองแววอย่างหวั่นๆ เพราะไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง
เวลาผ่านไป แววออกมาจากห้องน้ำด้วยสีหน้าหวาดกลัวสุดๆ ตงตงวิ่งจู้ดเข้าไปในห้องน้ำพร้อมไม้ที่มีห่วงคล้อง สักพักตงตงก็ออกมาพร้อมตุ๊กแกที่ถูกคล้องคอจนห้อยต่องแต่ง แววชี้ให้ตงตงเอาไปทิ้งข้างนอก
ตงตงยิ้มมีเลศนัยแล้วแกล้งเอาไม้คล้องตุ๊กแกมาแกว่งไปแกว่งมาตรงหน้าแวว แวววิ่งหนีไปทั่วบ้าน แววทำหน้าแค้นๆเหมือนจะเอาคืน
-ตงตงนอนหลับ แววเลยเอาสีมาวาดหน้าตงตงเป็นรูปหมีแพนด้าแล้วถ่ายรูปเก็บไว้ แล้วแววก็แอบขำคนเดียว ตงตงตื่นขึ้นมาเห็นหน้าตัวเองเป็นหมีแพนด้าก็มองแววอย่างโกรธๆเหมือนอยากเอาคืน แววส่งสายตาท้าทายให้ตงตง
แววกับตงตงกินข้าวด้วยกัน ตงตงใช้ช้อนตัดแบ่งไข่พะโล้ แต่ไข่กระเด้งจากจานไปตกในถ้วยแกงจืดตรงหน้าแววทำให้น้ำแกงจืดกระเด็นใส่หน้าแววเต็มๆ
หลินมาพาตงตงกลับบ้าน ตงตงเดินกลับบ้านกับแม่ แต่พอคล้อยหลังไปได้ไม่นาน ตงตงก็หันมาแลบลิ้นและทำหน้าตลกใส่แวว แววตอบโต้ด้วยการทำหน้าตลกกว่า ตงตงเหวอไป แววยิ้มอย่างมีความสุขที่ได้แกล้งเด็ก
วันรุ่งขึ้น แววหยิบกระดาษวาดเขียนและดินสอสีให้ตงตง ส่วนตัวเองนั่งประจำที่หน้าขาหยั่ง
“ใช้ดินสอสีไปก่อนนะ เก่งขึ้นเมื่อไรพี่จะสอนให้วาดสีน้ำมัน” แววบอก
“ทำไมต้องรอให้เก่งขึ้นด้วย ใช้เลยไม่ได้หรือไง” ตงตงถามซื่อๆ
“สีน้ำมันมันแพงนะ ไม่ใช่ของเล่นของเด็ก”
“พี่แววไม่ได้ซื้อเองสักหน่อย คุณสยุมภูว์เขาให้พี่ใช้ฟรีๆไม่ใช่เหรอ”
“นั่นแหละ..แต่เราไม่ควรใช้ของทิ้งๆขว้างๆ นะ”
“สีก็ให้ใช้ฟรี บ้านก็ให้อยู่ฟรี..พี่เป็นแฟนคุณสยุมภูว์เหรอ”
“บ้า..แก่แดดเกินไปแล้วนะ แฟนอะไรกัน เขาเป็นเจ้านายพี่ เจ้านายแม่เราด้วย”
“แล้วทำไมเขาไม่ให้พี่ไปอยู่บ้านพนักงานกับแม่ตงตงล่ะ ให้มาอยู่บ้านเขาทำไม”
แววนิ่งไป ตงตงระบายสีเพลินแต่ปากก็พูดไปเรื่อย โดยไม่ได้สนใจแวว
“หรือว่ากลัวจะเป็นบ้านร้าง..” ตงตงพูด
แววเริ่มสนใจ “บ้านร้างอะไร..คุณสยุมภูว์เขาอยู่ที่นี่ไม่ใช่เหรอ”
“ปลูกไว้ตั้งนานแล้วก็ไม่เห็นจะเคยมาอยู่เล้ย” ตงตงบอก
“คุณสยุมภูว์เขาก็อยู่ที่ไร่นี่ตลอดไม่ใช่เหรอ” แววงง
ตงตงรู้ตัวว่าพูดอะไรออกไปเลยหยุดพูด ก่อนจะหันมามองหน้าแววแล้วยิ้มเจื่อนๆ แววมองหน้าตงตงแล้วตั้งท่าจะถามต่อ แต่ตงตงเอามือปิดปากตัวเองเหมือนพยายามซ่อนความลับไว้
นิติธรเดินเข้ามาหานิติภูมิที่ห้องทำงาน
“ทางหาดใหญ่ เขาเตรียมการต้อนรับแกเรียบร้อยแล้ว ลูกค้าทางนั้นเขาอยากเจอแกมาก” นิติธรบอก
“แค่คุยกันธรรมดา เราวีดีโอคอนเฟอเรนซ์ไป เขาก็ตื่นเต้นแล้วมั้งครับ” นิติภูมิท้วง
“เงินร้อย สองร้อยล้าน มันไม่ได้จบง่ายๆที่วีดีโอคอนเฟอร์เรนซ์หรอก...ไม่อย่างนั้นคุณสยุมภูว์เขาจะให้แกลงไปทำไม”
นิติภูมิชักสีหน้าเมื่อได้ยินชื่อสยุมภูว์
“คุยเสร็จแล้วก็รีบขึ้นมาสะสางงานทางนี้ บอร์ดเขาจะได้ไว้ใจแก” นิติธรสั่งต่อ
“ผมรู้ว่าต้องทำอะไร พ่อไม่ต้องสั่งเหมือนผมเป็นเด็กหรอก”
“รู้ก็ดี คุณสยุมภูว์จะได้ไม่เสียหน้าที่เลือกแกเข้ามา”
“ทำไมต้องเอาเจ้านายพ่อเข้ามาเกี่ยวด้วย”
“เจ้านายพ่อ มันก็คนเดียวกับที่จ่ายเงินเดือนแก” นิติธรบอก
“ผมรู้แล้ว”
“ฉันนึกว่าแกลืมน่ะสิ ถึงต้องเตือนความจำ”
นิติธรมองนิติภูมิยิ้มๆ แล้วไม่พูดอะไรต่อก่อนจะเดินออกไป นิติภูมิมองตามด้วยความเจ็บใจ
แววเอาขนมมาล่อตงตงที่แอบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่
“ไม่สนใจเหรอ...ชิ้นสุดท้ายแล้วนะ”
แววแกะห่อช็อคโกแล็ตแล้วทำท่าจะเอาเข้าปาก
“ดูสิ..น่าอร่อยที่สุดเลย...พี่แววกินดีกว่า”
ตงตงแอบโผล่หน้ามาดู แววยิ้มกริ่มเมื่อเห็นว่าตงตงเริ่มใจอ่อน แววจะหย่อนช็อคโกแลตใส่ปาก ตงตงทำหน้าลุ้นไปกลืนน้ำลายไป
“ตงตงบอกแล้วไงว่าคุณสยุมภูว์ก็อยู่บ้านพี่แววนั่นล่ะ” ตงตงพูด
“เป็นเด็กไม่ควรโกหกผู้ใหญ่นะ..พี่แววเปลี่ยนใจแล้ว ไม่อยากรู้ก็ได้”
“ไม่ได้โกหก” ตงตงบอก
แววทำท่าจะกินช็อคโกแล็ต ตงตงร้องห้ามออกมา
“อย่านะ..”
“ก็บอกมาสิว่า ถ้าคุณสยุมภูว์ไม่เคยอยู่ที่บ้านนั้น แล้วเขาไปอยู่ที่ไหนมา”
ตงตงอ้ำอึ้ง “ที่...ที่...”
แววทำท่าจะกินช็อคโกแล็ต ตงตงเห็นก็ทำใจไม่ได้
“ที่...” ตงตงกำลังจะหลุดปากออกมา แต่นำพลโผล่มาจับไหล่ตงตงจนตงตงสะดุ้งเฮือกเมื่อหันไปเห็นนำพล ตงตงหน้าเสีย
นำพลพูดกับแวว “เล่นอะไรกันอยู่หรือครับ”
“ไม่มีอะไรค่ะ” แววตอบ
“พี่แววสงสัยว่าคุณสยุมภูว์อยู่ที่ไหนครับ” ตงตงบอก
แววทำตาดุใส่ “ตงตง !!! เงียบไปเลย”
“ผมก็อยู่ที่ไร่นี่ตลอดล่ะครับ...ตงตงเขาพูดอะไรให้คุณแววสงสัยหรือเปล่า”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ สงสัยว่าจะโดนเด็กหลอก”
แววหยิบช็อคโกแลตใส่ปากแล้วเคี้ยวกินอย่างเอร็ดอร่อยยั่วตงตง ตงตงมองอย่างฝันสลาย แววแอบมองสยุมภูว์พร้อมทั้งเก็บความสงสัยไว้ในใจ
ตงตงยืนหงอยอยู่ข้างๆหลิน นำพลคุยกับหลินที่เพิ่งวางมือจากการดูแลแปลงดอกไม้
“ถ้าไปไม่ทันนี่มีหวังความลับแตกแน่ๆ” นำพลบอก
หลินยกมือไหว้ “หลินขอโทษด้วยนะคะ” หลินหันไปพูดกับตงตง “ต่อไปนี้ไม่ต้องตามแม่มาที่ไร่แล้ว”
“เขาก็พูดไปตามประสาเด็กน่ะ อย่าไปดุเขาเลย...เตี๊ยมกันให้ดีกว่านี้หน่อยแล้วกัน” นำพลบอก
“หลินถึงอยากให้เขาอยู่บ้านไงคะ พามาด้วยใครจะคอยดูได้ตลอดเวลา เดี๋ยวไปหลุดปากบอกใครว่าคุณไม่ใช่คุณสยุมภูว์แล้วจะวุ่นทั้งไร่”
“ไหนแม่บอกว่าโกหกไม่ดีไง แล้วทำไมถึงให้ตงตงโกหกพี่แววว่าน้าเป็นคุณสยุมภูว์” ตงตงถาม
“ถามซะน้าไปไม่เป็นเลยนะ..ความจริงน้าก็ไม่อยากโกหกหรอก แต่กรณีนี้น่ะมันจำเป็น มันเป็นภารกิจเพื่อเจ้านาย เข้าใจไหม” นำพลตอบ
ตงตงคิด “จำเป็นยังไง ตงตงไม่เห็นเข้าใจเลย แปลว่าผู้ใหญ่โกหกได้ เด็กโกหกไม่ได้?”
“ก็...” นำพลพยายามหาคำตอบ “เดี๋ยวโตไปก็เข้าใจเองล่ะ..ถ้าตงตงไม่อยากโกหก ทีหลังก็ไม่ต้องพูดอะไรทั้งสิ้นเกี่ยวกับคุณสยุมภูว์ก็แล้วกัน ตกลงมั้ย”
ตงตงยังสงสัยไม่หาย นำพลลูบหัวตงตงอย่างเอ็นดูแล้วเดินออกไป
“ต่อไปนี้..ห้ามพูดมาก”
หลินสั่งพร้อมส่งสายตาตอกย้ำ
รถของแป้งร่ำแล่นมาจอดหน้าร้านต้นไม้ แป้งร่ำเปิดประตูลงมาจากรถ ไลลาเดินตามลงมา
“ครั้งที่แล้วเอาฉันมาอ้างแล้วก็ฟาล์ว ไม่กลัวหรือไงว่าประวัติศาสตร์มันจะซ้ำรอย” แป้งร่ำถาม
“ผู้ชายดื้อๆอย่างนี้ล่ะท้าทายดี” ไลลาบอก
“ย่ะ..แม่เสือสาวนักล่าเหยื่อ พร้อมหรือยังล่ะ”
“พร้อมมาตั้งแต่อยู่บ้านแล้วย่ะ”
แจ๊คโผล่ออกมาต้อนรับสองสาว ไลลามองข้ามแจ๊คเพื่อหาสยุมภูว์ แจ๊ครู้ว่าไลลาต้องการอะไรแต่ก็แกล้งทำเป็นถาม
“เจ้าของร้านอยู่นี่ครับ จะมาหาใครไม่ทราบครับคุณผู้หญิง”
“ไปเรียกคุณจักรให้หน่อยสิ บอกว่าคุณไลลาอยากเจอ” แป้งร่ำสั่ง
“เสียใจด้วยครับ บังเอิ๊ญ..บังเอิญว่าพี่จักรไม่อยู่”
“ไม่เป็นไร..งั้นฉันจะรอ” ไลลาบอก
“งั้นก็คงต้องรอแบบไม่มีกำหนดล่ะครับ” แจ๊คพูด
ไลลาร้อนใจ “อะไรกัน..คุณจักรเป็นอะไรหรือเปล่า”
แจ๊คส่ายหน้าแทนคำตอบ
“แล้วทำไมไม่มีกำหนดกลับ คุณจักรไปไหน” ไลลาถามต่อ
“เป็นความลับครับ พี่จักรสั่งห้ามบอกใคร”
“งั้นเหรอ..”
ไลลาหยิบแบ้งค์พันออกมาโชว์ต่อหน้าแจ๊ค แจ๊คทำเป็นไม่สนใจ ไลลาหยิบมาโชว์อีกสองใบ
“แล้วเท่านี้ล่ะ” ไลลาถามนิ่งๆ
แจ๊คเริ่มลังเล “ไม่..”
“งั้น..เราไปกันเถอะแป้งร่ำ อีกอาทิตย์สองอาทิตย์เราค่อยกลับมาใหม่ รอได้” ไลลาบอก
ไลลาเก็บเงินใส่กระเป๋า แจ๊คเริ่มเสียดาย สองสาวทำท่าจะเดินออกไป
แจ๊คเอ่ยถามออกมา “อีกสองได้มั้ย”
ไลลากับแป้งร่ำทำเป็นไม่สนใจ
“เดี๊ยวววววววว...เอาก็เอาวะ” แจ๊คตัดสินใจ
ไลลายิ้มกริ่มแล้วหันไปมองแจ๊คแล้วหยิบเงินขึ้นมาอีกครั้ง
“ว่ามา...” ไลลาบอก
นำพละกำลังง่วนอยู่กับงานที่โต๊ะทำงานของเขา สักพักเขาได้ยินเสียงเคาะประตูห้อง
นำพลพูดโดยไม่เงยหน้า “เข้ามาสิ”
คนที่เคาะประตูเดินเข้ามานั่งที่เก้าอี้
เสียงเพิ่มพงษ์ดังขึ้น “ยุ่งอยู่สินะ คุณนำพล”
นำพลเงยหน้าขึ้นมาเห็นว่าเป็นเพิ่มพงษ์
“คุณเพิ่มพงษ์…!”
แววรดน้ำต้นไม้ต้นใหญ่ แต่จู่ๆน้ำก็หยุดไหล
แววส่งเสียง “ตงตง..อย่าแกล้งพี่ได้มั้ย”
ไม่มีเสียงตอบใดใด
สักพักเสียงสยุมภูว์ก็ดังขึ้น “เจ้านายคุณเขาจ้างคุณมาเป็นเลขาฯหรือคนสวนกันแน่เนี่ย”
แววได้ยินเสียงที่คุ้นหู แล้วเธอก็เห็นสยุมภูว์โผล่หน้าออกมา
“นายจักร !”
“แวว !” สยุมภูว์ทำเป็นตกใจ
“นายจะตกใจอะไรนักหนา” แววถาม
“อ้าว..แล้วคุณล่ะ ตกใจอะไรนักหนาที่เห็นผม”
“ก็..อยู่ดีๆนายก็โผล่มาที่นี่...แม่กับยัยวัณเป็นอะไรหรือเปล่า”
“แม่กับน้องคุณน่ะไม่เป็นไรหรอก ห่วงตัวเองเหอะ”
แววสงสัย “ห่วงตัวเอง..เรื่องอะไร”
“ก็...ไหล่..” สยุมภูว์เกือบจะหลุดปากว่าไหล่หลุดแต่ก็รีบเปลี่ยนเรื่อง “ทำงานกลางแดดอย่างนี้..เดี๋ยวก็ดำหรอก ตกลงว่าเจ้านายคุณเขาจ้างมาเป็นคนสวนเหรอ”
“ฉันเป็นเลขาฯ เจ้านายให้ฉันทำอะไร ฉันก็ต้องทำ...ว่าแต่นายเหอะมาโผล่แถวนี้ได้ไง” แววถาม
“น้าเพิ่มเขาทำยอดขายปุ๋ยทะลุเป้าน่ะ ทางนี้เขาก็เลยให้ตั๋วเครื่องบินมาดูงานที่ไร่ ผมก็เลยขอมาแจมด้วย”
“ไม่ใช่หนีใครมาจากกรุงเทพฯเหรอ” แววแขวะ
“โอ้โฮ..รู้ใจกันอย่างนี้..มันเกินเพื่อนแล้วนะ”
“บ้า !”
แววหมั่นไส้สาดสายยางที่ถืออยู่ใส่สยุมภูว์ สยุมภูว์หลบเป็นพัลวันจนน้ำสาดไปโดนตงตงที่เพิ่งเดินเข้ามาเต็มๆ
“ตงตง..!!! พี่ขอโทษ” แววรู้สึกผิด
ตงตงยิ้มให้แววก่อนจะมองไปที่สยุมภูว์แล้วก็ตะลึงไป แววเห็นท่าทางของตงตงก็สงสัยแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ตงตงยืนตัวเปียกอยู่ในบ้านพักของแววขณะที่แววเข้าไปเอาผ้าขนหนู ตงตงจ้องหน้าสยุมภูว์เขม็ง แล้วทำท่าเหมือนนึกออก
“จำได้แล้ว...ตงตง จำคุณได้..คุณ...”
แววถือผ้าขนหนูเข้ามาพอดี สยุมภูว์รีบทำท่าจุ๊ปากไม่ให้ตงตงพูด
“ตงตงรู้จักเพื่อนพี่แววด้วยเหรอ” แววถาม
“รู้จักสิ ทำไมจะไม่รู้จัก” ตงตงตอบ
สยุมภูว์รีบคว้าผ้าขนหนูจากแววมาเช็ดผมให้ตงตงทันที
“ตัวเปียกอย่างนี้ หนาวแย่เลย...มาพี่เช็ดตัวให้”
สยุมภูว์ขยี้หัวตงตงแรงๆ จนแววจะแย่งผ้าเช็ดตัวมาเช็ดให้แทน
“นี่...เช็ดตัวให้เด็กนะ ไม่ใช่ถูพื้น ขยี้จนหัวจะหลุดแล้ว” แววว่า
“เช็ดแรงๆจะได้แห้งเร็วๆ” สยุมภูว์แก้ตัว
สยุมภูว์พาตงตงเดินออกไป
“นายจะไปไหนน่ะ” แววถาม
“ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำไง จะให้แก้ผ้าตรงนี้ เด็กเขาก็อายเป็นนะ” สยุมภูว์บอก
สยุมภูว์รีบพาตงตงออกไป แววมองตามแล้วพูดกับตัวเอง
“รู้ได้ไงว่าห้องน้ำไปทางนั้น..ทำอย่างกับเป็นบ้านตัวเอง”
แววทำหน้าสงสัยแล้วเดินตามไปทำให้ไม่ทันได้ยินเสียงโทรศัพท์ที่เพิ่งดังขึ้น
เอกรินทร์รอให้แววรับสายแต่ก็ไม่มีใครรับ เขาจึงวางมือถือไว้บนโต๊ะในร้านกาแฟ ก่อนจะยกกาแฟขึ้นมาจิบแล้วนั่งอ่านสคริปท์ด้วยสีหน้าเซ็งๆ สักพักชลธิชาเดินเข้ามาหา
“เป็นอะไรหรือเปล่าคะคุณเอก” ชลธิชาถาม
“ไม่มีอะไรครับ” เอกรินทร์รีบแก้ตัว “พอดีผมโทรตามแขกรับเชิญอยู่ แต่ไม่มีใครรับสาย”
“ธิชาก็จะมาตามพอดีเลยค่ะ พอดีมีคนมาถามถึงคุณเอก สงสัยว่าจะเป็นแขกรับเชิญที่คุณเอกรออยู่” ชลธิชาบอก
“อ้าว..เหรอครับ ขอบคุณมากครับคุณธิชา งั้น...ผมขอตัวก่อนนะครับ”
พูดจบเอกรินทร์ก็รีบออกไปหาแขกรับเชิญทำให้ลืมมือถือไว้ที่โต๊ะ ชลธิชาเห็นเข้าจึงหยิบมันขึ้นมาแล้วเดินตามเอกรินทร์ออกไป
สยุมภูว์เช็ดตัวให้ตงตง ขณะที่ตงตงยืนเอามือกุมเป้าตัวเองอยู่
“พี่ว่าเราไม่เคยเจอกันมาก่อนนะ” สยุมภูว์พูด
“ทำไมจะไม่เคยเจอ” ตงตงบอก
สยุมภูว์นึก “เฮ้ย...เป็นไปไม่ได้ พี่ไม่เคยเจอเราแน่ๆ พี่เคยเจอแต่แม่เรา”
“แม่ตงตงเคยเจอพี่ด้วยเหรอ แม่แอบตงตงไปหาพี่ตั้งแต่เมื่อไร” ตงตงถาม
“ก็ตั้งแต่แม่ตงตงยังเด็กน่ะสิ”
“พี่เจอแม่ตั้งแต่เด็กๆ แล้วตอนนี้พี่อายุเท่าไรล่ะเนี่ย...เป็นพระเอกขี้อำหรือไง”
สยุมภูว์งง “พระเอก...?”
ตงตงเห็นหน้าสยุมภูว์เหวอๆ เลยคิดว่าสยุมภูว์เล่นละครตบตาเขาอยู่
“เล่นเก่งทุกบทเลยนะพี่ อย่างนี้แม่ถึงได้ชอบ แต่แม่เขาชอบพี่เล่นตบจูบนะ” ตงตงบอก
สยุมภูว์พูดกับตัวเองเบาๆ “ตบจูบด้วย...หน้าเหมือนใครวะเนี่ย”
“หน้าเหมือนใครอะไรล่ะ..พี่บอย!” ตงตงบอก
“บอยเหรอ..พี่ว่าพี่หล่อกว่า” สยุมภูว์พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ตงตงอย่าไปบอกใครนะว่าพี่เป็นดารา”
“ไม่เห็นต้องอายเลย เป็นดาราเท่ออก”
“พี่จักรก็อยากเป็นดารานะตงตง แต่มันเป็นได้แค่คนสวนน่ะสิ”
“พี่ไม่ใช่ดาราจริงๆอ่ะ” ตงตงถามย้ำ
“จริงดิ พี่จะหลอกตงตงทำไม”
สยุมภูว์เอาผ้าขนหนูห่อตัวตงตงไว้แล้วเปิดประตูออกไป จึงเห็นว่าแววยืนอยู่ที่หน้าประตู สยุมภูว์ชะงัก
“มาแอบฟังหนุ่มๆคุยกันหรือไง นิสัยไม่ดีนะคุณเนี่ย” สยุมภูว์ว่า
แววสงสัย “คุยอะไรกันอยู่ตั้งนาน”
“ก็ปรับความเข้าใจกันนิดหน่อย” สยุมภูว์พูดอวด “ตงตงเขาคิดว่าได้เจอพระเอกซุปตาร์น่ะ”
แววมองหน้าตงตงคล้ายจะถามว่าจริงเหรอ ตงตงพยักหน้า
“พี่แววว่าไม่เหมือนเหรอ” ตงตงถาม
แววงง “อีตานี่เนี่ยนะ”
แววเซ็งสุดๆ เธอส่ายหน้าอย่างเหลือเชื่อแล้วเดินออกไป
สยุมภูว์ตะโกนตาม “อ้าว...เด็กเขาไม่โกหกหรอกนะคู้ณ…เนอะ ตงตงเนอะ”
สยุมภูว์พยักเหยิดกับตงตงคล้ายแสดงว่าเป็นพวกเดียวกัน
นำพลที่นั่งคุยอยู่กับเพิ่มพงษ์มีสีหน้าหนักใจ
“อ้าว..คุณสยุมภูว์ตัวจริงขึ้นมาถึงไร่แล้ว ทำไมผมยังต้องสวมรอยเป็นคุณสยุมภูว์อยู่ล่ะครับคุณเพิ่มพงษ์”
“ผมยังไม่อยากให้คุณสยุมภูว์เปิดเผยตัวน่ะครับ” เพิ่มพงษ์บอก
“มันรู้สึกแปลกๆนะครับที่ต้องเป็นคุณสยุมภูว์ ทั้งที่เจ้าตัวก็อยู่ที่นี่” นำพลสารภาพ
“คุณสยุมภูว์เขาไม่มาตามจับผิดคุณหรอกน่า”
“ผมนึกว่าคุณสยุมภูว์จะขึ้นมาดูว่าผมปลอมตัวได้เนียนแค่ไหนเสียอีก”
“เรื่องนั้นเขาไม่เป็นห่วงหรอก”
“ไม่ห่วงเรื่องงาน” นำพลนึก “แล้วเป็นห่วงอะไรล่ะครับ”
เพิ่มพงษ์ได้แต่อมยิ้มไม่ตอบอะไร
แววถือเสื้อผ้าของตงตงจะมาตากที่หน้าบ้านด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่ายังสงสัยไม่หาย
“ทำไมนายจักรถึงดูคุ้นเคยกับที่นี่เหลือเกินนะ”
โทรศัพท์มือถือของแววดังขึ้น แววจึงหยิบขึ้นมาดู
“คุณนิติภูมิ”
แววรับโทรศัพท์
“สวัสดีค่ะ คุณนิติภูมิ”
“ว่าไงแวว..ใจคอจะไม่บอกผมสักหน่อยหรือไงว่ามาทำงานที่เชียงใหม่น่ะ”
“มันฉุกละหุกน่ะค่ะ แววยังเกือบจะเตรียมตัวไม่ทันเหมือนกัน”
“เจ้านายเรานี่นิสัยแปลกๆนะครับ..ชอบสั่งให้เราทำนั่นทำนี่โดยไม่ให้เราตั้งตัวเลย”
“แต่ตัวจริงคุณสยุมภูว์ไม่มีอะไรที่แปลกไปจากพวกเราหรอกนะคะ ดูสุขุมด้วยซ้ำ” แววบอก
นิติภูมิรีบสวนขึ้นมา “อะไรนะครับ..สยุมภูว์อยู่ที่ไร่หรือครับ”
แววแปลกใจ “ค่ะ คุณนิติภูมิ แปลกใจอะไรหรือคะ”
“ไม่มีอะไครับ..คุณแววโชคดีจังนะครับที่ได้เจอคุณสยุมภูว์เพราะมีอีกหลายคนที่อยากเจอ แต่ไม่มีโอกาสได้เจอ”
นิติภูมิพูดพร้อมกับยิ้มร้าย
อ่านต่อหน้าที่ 4
แววมยุรา ตอนที่ 6 (ต่อ)
ชลธิชาถือโทรศัพท์เข้ามาในร้านที่เอกรินทร์กำลังอัดรายการอยู่ที่มุมหนึ่ง เสียงโทรศัพท์ของเอกรินทร์ดังขึ้น ชลธิชาเห็นว่าเป็นชื่อแววก็ลังเลว่าจะกดรับให้ดีหรือไม่ แล้วเธอก็ตัดสินใจกดรับสาย
“ว่าไงล่ะเอก..มีเรื่องอะไรจะคุยกับฉันหรือเปล่า” แววถาม
“นี่ฉันเอง...ยัยแวว” ชลธิชาบอก
“อุ้ย..ธิชา” แววนิ่งคิดสักพักแล้วทำเสียงประหลาดใจ “ตกลงว่านายเอกกับเธอ”
“พอเลย..อย่าคิดอะไรต่อนะ” ชลธิชาปรามเพื่อน
แววล้อ “ก็รับสายแทนกันอย่างนี้จะให้คิดอะไรได้..ตกลงกับยัยเริงแล้วเหรอ”
“มันไม่ใช่อย่างที่เธอคิดนะ วันนี้คุณเอกเขามาอัดรายการที่ร้านฉันย่ะ เธอมีอะไรจะคุยกับคุณเอกหรือเปล่า เดี๋ยวฉันบอกให้ ตอนนี้เขาอัดรายการอยู่”
“ฉันเห็นมิสคอลล์ของเขาน่ะ ก็เลยโทรมาถามว่ามีอะไร”
ชลธิชาพูดเสียงเศร้า “เหรอ..ถ้าอย่างนั้นเขาคงอยากคุยกับเธอเองล่ะมั้ง”
“ไม่เอาน่า อย่าทำเสียงเศร้าๆสิ”
“ใครเศร้า” ชลธิชารีบเปลี่ยนเรื่อง “เดี๋ยวคุณเอกอัดรายการเสร็จแล้วฉันจะบอกให้เขาโทรหาเธอนะ”
ชลธิชาวางสาย เธอมองไปที่เอกรินทร์ที่กำลังถ่ายรายการอยู่แล้วก็ถอนใจออกมา
ไลลายื่นกุญแจบ้านให้แป้งร่ำ แป้งร่ำยิ้มกริ่มแล้วรับกุญแจมา
“ฝากให้ดูแลบ้านนะจ้ะ ไม่ใช่ให้ดูแลเจ้าของบ้าน” ไลลาแซว
“ฉันก็ดูแลให้ทั่วถึงนั่นล่ะ ทั้งคนทั้งบ้าน..ว่าแต่เธอเถอะ เธอจริงจังกับนายคนสวนนั่นเกินไปหรือเปล่า เอาอะไรมาแน่ใจในตัวเขาเนี่ย” แป้งร่ำถาม
“จะมาถามฉันทำไมล่ะ..ถามตัวเองสิว่าทำไมถึงแน่ใจกับพี่ฉัน”
“ไม่เหมือนกันสักหน่อย นายคนสวนกับพี่เธอน่ะคนละชั้นกันนะ”
“ใครแคร์ แค่เห็นหน้าเขาแล้วฉันมีความสุข เรื่องอื่นมันก็กลายเป็นเรื่องเล็กน้อย” ไลลาบอก
“งั้นก็ขอให้ตามเจอก็แล้วกันนะยะ..อย่าให้เสียเที่ยวล่ะ”
ไลลายิ้มแล้วฝันหวานถึงสยุมภูว์
แววพาสยุมภูว์มาดูงานของเธอ สยุมภูว์ยืนมองต้นไม้ที่แววต้องดูแลด้วยความชื่นชม
“มีใครบอกนายหรือยังว่าต้นไม้ต้นนี้สำคัญกับทศพลกรุ๊ปยังไง” แววถาม
สยุมภูว์แกล้งทำเป็นไม่รู้ “ต้องรู้ด้วยเหรอ ผมไม่ได้ทำงานที่นี่นะ ผมอยู่ที่นี่ไม่กี่วันเดี๋ยวก็ไปแล้ว”
“ลืมไปว่านายมาเที่ยว ไม่ได้มาทำงาน” แววแขวะ
“ตกลงว่าเจ้านายคุณให้คุณมาดูแลต้นไม้จริงๆเหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิ” แววตอบ
“คนรวยเขาทำอะไรแปลกๆเนอะ อุตส่าห์จ้างคนแพงๆแต่ให้มาดูแลต้นไม้ต้นเดียว”
“มันไม่ใช่แค่ต้นไม้อย่างที่นายคิดนะ ต้นไม้ต้นนี้มันคือจุดเริ่มต้นของทศพลกรุ๊ป”
“ยิ่งฟังยิ่งแปลก..คุณว่าทำไมเขาไม่ไปจ้างคนที่รู้เรื่องต้นไม้มาดูแล แต่กลับมาจ้างคนที่ไม่รู้เรื่องต้นไม้อย่างคุณที่อาจจะทำให้มันตายได้ตลอดเวลา”
“หืมม์..ดูถูกกันเห็นๆ ฉันไม่มีทางปล่อยให้ต้นไม้ต้นนี้ตายหรอกย่ะ คุณสยุมภูว์เขาไว้ใจฉัน ฉันก็ต้องทำให้เต็มที่ ถึงไม่รู้ฉันก็ต้องหาทางเรียนรู้ที่จะดูแลมันให้ตลอดรอดฝั่ง”
“แล้วถ้าเกิดพรุ่งนี้คุณตื่นมาแล้วเห็นมันเหลือแต่ตอจะทำยังไง” สยุมภูว์ถาม
“ฉันก็จะสงสัยนายเป็นคนแรกน่ะสิ.. คนแถวนี้เขาไม่ใจร้ายอย่างที่นายคิดหรอกนะ ทุกคนรู้ว่าต้นไม้ต้นนี้สำคัญสำหรับคุณสยุมภูว์แค่ไหน...ถ้าเขาไม่รักพ่อเขาเขาคงไม่ดูแลต้นไม้ต้นนี้อย่างดีมาถึงวันนี้หรอก..ถึงมันจะออกดอกออกลูกไม่ได้แล้วก็เถอะ”
สยุมภูว์นิ่งฟังแล้วแอบยิ้มตาม
หลินพาตงตงมาหาแวว
“คุณแววคะ หลินพาลูกกลับบ้านแล้วนะคะ”
“ค่ะ” แววมองไปทางสยุมภูว์แล้วแนะนำ “นี่ไง หลิน..แม่ตงตง”
สยุมภูว์หันมาเจอหน้าหลิน หลินเห็นหน้าสยุมภูว์แล้วก็อึ้งไป
“คุณ...”
ตงตงรีบตอบแทน “พี่จักรครับแม่..ตะลึงไปเลยล่ะสิ หน้าเหมือนพระเอกละครใช่มั้ยล่ะ”
หลินยังไม่แน่ใจ “ค่ะ..คุณจักร”
“ไปเหอะแม่ ตงตงหิวข้าวแล้ว”
ตงตงลากหลินออกไป โดยที่หลินยังไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง แววมองตามด้วยความสงสัย
“อาการเดียวกันทั้งแม่ทั้งลูกเลย” แววเปรยออกมา
“อาการอะไรคุณ” สยุมภูว์ถาม
“ก็แม่ลูกคู่นี้สิ เห็นคุณแล้วทำหน้าเหมือนเห็นผี”
“เขานึกว่าได้เจอดาราต่างหาก ดีนะที่ไม่กรี้ดไม่งั้นผมคงเขินแย่เลย” สยุมภูว์ทำท่าเขิน
“แหวะ.. ผีนี่ล่ะเหมาะกับนายที่สุดแล้ว”
สยุมภูว์หัวเราะขำก่อนจะเงียบไปแล้วแอบมองแวว แววเห็นสยุมภูว์เงียบไปเลยหันมามองสยุมภูว์ ทั้งสองประสานสายตากันโดยไม่ได้ตั้งใจ
แววถามแก้เก้อ “มองหน้าฉันทำไม” เธอเอามือลูบหน้า “อะไรติดหน้าฉันเหรอเปล่า”
“เปล่า..ไม่มีอะไร” สยุมภูว์พูดทั้งที่ยังก้มหน้าเพราะเขิน “ไปกินข้าวกับผมมั้ย”
แววได้ยินไม่ชัด “อะไรนะ”
สยุมภูว์มองหน้าแววแล้วพูดช้าๆ “ไปกินข้าวด้วยกันมั้ย”
แววทำท่าลังเลและยังไม่ให้คำตอบสยุมภูว์
ที้ร้านอาหารตามสั่ง เด็กเสิร์ฟเอากบทอดกระเทียมพริกไทยมาเสิร์ฟที่โต๊ะของสยุมภูว์ แววหยิบกบขึ้นมาแทะกินส่วนสยุมภูว์ได้แต่มอง
“อ้าว..กินสิหรือว่าต้องให้เชิญ” แววถาม
“เห็นหน้าตาอย่างนี้..ไม่นึกว่าคุณจะชอบกินของแปลกนะ” สยุมภูว์ว่า
แววหยิบกบที่กำลังจะเอาใส่ปากอกมาพลิกดูต่อหน้าสยุมภูว์
“กบทอดเนี่ยนะแปลก” แววมองหน้าสยุมภูว์ “ทำเป็นไม่เคยกินไปได้”
สยุมภูว์ยิ้มแหยๆ เด็กเสิร์ฟเอาอาหารที่มีควันฉุยท่าทางน่ากินมาเสิร์ฟอีกชาม
“แต่ไอ้นี่ท่าทางน่ากินนะ” สยุมภูว์บอก
สยุมภูว์รีบตักมาชิม เขาเคี้ยวกรุบๆ
“ต้มยำไก่ เนื้อมันเด้งดึ๋งดีนะ สงสัยจะไก่บ้าน” สยุมภูว์เคี้ยวตุ้ย
“ไก่อะไร...!!! ฉันสั่งปลาไหลต้มเปรต” แววบอก
สยุมภูว์ชะงัก “ปลาไหล!”
“ก็ปลาไหลน่ะสิ หากินยากนะเนี่ย” แววบอก
สยุมภูว์ปลอบใจตัวเอง “ปลาไหล...ญี่ปุ่น...สินะ”
“เออ..ฉันก็ไม่ได้ถามมันก่อนด้วยสิว่ามันมาจากญี่ปุ่นหรือเปล่า”
แววใช้ตะเกียบคีบหัวปลาไหลขึ้นมา สยุมภูว์เห็นหัวปลาแล้วก็ถึงกับหยุดเคี้ยว
“หน้าตาแบบนี้นายว่าไทยหรือญี่ปุ่นล่ะ” แววถาม
สยุมภูว์พยายามกลืนสิ่งที่เคี้ยวลงคออย่างยากลำบาก เขาวางช้อนแล้วยิ้มแหยๆให้แวว
“ผมว่าเราสั่งไข่เจียวอีกสักจานดีมั้ย”
“ก็ดีนะ..ลองไข่ตะกวดมั้ยอ่ะ เขาว่ากันว่าอร่อยนะ ฉันอยากลอง” แววบอก
สยุมภูว์ตกใจ “ไข่ตะกวด !”
สยุมภูว์อยากจะร้องไห้ แววยิ้มกว้างอย่างมีความสุขที่ได้กินอาหารแปลกๆ
สยุมภูว์พูดกับตัวเองเบาๆ “โดนเอาคืนหรือเปล่าวะเนี่ย ไม่น่าสั่งให้หาไอติมหูฉลามเล้ย”
แววหยอดเหรียญลงในตู้เพลงในร้านคาราโอเกะ แล้วจึงคว้าไมโครโฟนมาร้องเพลงเต็มอารมณ์ สยุมภูว์นั่งดูแววร้องเพลงอย่างเพลิดเพลิน จังหวะหนึ่งแววหันมาเห็นสยุมภูว์มองตัวเองอยู่เธอก็เงียบไปสักพัก แล้วหันไปร้องเพลงใส่อารมณ์ต่อ
แววยื่นไมโครโฟนให้สยุมภูว์ สยุมภูว์ทำหน้างงๆ แล้วเพลงใหม่ก็ขึ้นอินโทรมา สยุมภูว์พยายามร้องตามแต่ก็ผิดคีย์ตลอดจนคนในร้านโห่ แววเลยต้องรีบพาสยุมภูว์หนีออกมา
แววกับสยุมภูว์เดินเล่นด้วยกันอยู่ที่ริมน้ำ
“คุณคงมีความสุขมากนะที่ได้มาทำงานที่นี่” สยุมภูว์ถาม
“อาจจะเป็นเพราะงานล่ะมั้ง ที่ทำให้ฉันได้มีโอกาสอยู่กับตัวเองมากขึ้น งานที่ไม่ต้องแต่งหน้า แต่งตัวอย่างที่เคยทำ” แววบอก
“แปลว่าคุณไม่อยากกลับไปกรุงเทพแล้วสิ”
“ฉันยังมีแม่มีน้องที่ต้องดูแลนะ”
“คุณน่าจะไว้ใจแม่ของคุณบ้างนะ”
“ฉันรู้ว่าแม่ไม่ปล่อยให้วัณเตลิดไปแน่ๆ แต่ลำพังแม่คนเดียวฉันกลัวว่าจะเอายัยวัณไม่อยู่...เฮ้อ..นี่ถ้าพ่อยังอยู่ฉันคงไม่ต้องกังวลอย่างนี้”
“คิดถึงพ่อเหรอ” สยุมภูว์ถาม
“ใช่...ฉันภูมิใจในตัวพ่อมาก พ่อเป็นตำรวจที่ใครๆก็นับถือ พ่อดูแลแม่อย่างดีเป็นคุณนายนายตำรวจ ดีเสียจนเวลาที่พ่อไม่อยู่แม่ก็เกือบจะทำอะไรไม่เป็น”
“แต่คุณก็เก่งนี่ที่ดูแลทุกคนมาได้จนถึงวันนี้” สยุมภูว์ชม
“มันเป็นความจำเป็นต่างหาก” แววเริ่มรู้ตัว “หลอกให้ฉันนินทาแม่ตัวเองเหรอ”
“ก็เห็นคุณเล่าซะเพลิน เลยไม่อยากขัด”
“ฉันว่าเรากลับกันเถอะ พรุ่งนี้ฉันต้องตื่นแต่เช้า”
สยุมภูว์พยักหน้า ทั้งสองเดินคุยกันไปถึงรถมอร์เตอร์ไซค์ที่จอดอยู่ สยุมภูว์เป็นคนขี่แล้วแววก็ขึ้นซ้อนไป
แววนั่งสัปหงกซ้อนมอร์เตอร์ไซค์ที่สยุมภูว์ขี่ เธอคอพับลงมาซบที่ไหล่ของสยุมภูว์ สยุมภูว์ยิ้มอย่างมีความสุข
ณ คอนโดหรูแห่งหนึ่งใน จ.เชียงใหม่ พนักงานเข็นรถใส่อาหารมาเคาะประตูหน้าห้องพักห้องหนึ่ง
“อาหารเช้าที่สั่งได้แล้วค่ะ คุณสยุมภูว์”
เพิ่มพงษ์เปิดประตูให้ พนักงานเข็นรถอาหารเข้ามาในห้อง
เพิ่มพงษ์บอก “เอาไว้นี่ล่ะ..เดี๋ยวพี่จัดการเอง”
เพิ่มพงษ์มองตามจนพนักงานออกไป เขาใช้ช้อนทองเหลืองที่ติดมาเป็นพิเศษตักอาหารในชามเพื่อดูว่าปฏิกิริยาอะไรหรือไม่ เมื่อเห็นว่าปลอดภัยจึงจะยกถ้วยอาหารเข้าไปเสิร์ฟแต่สยุมภูว์เปิดประตูห้องนอนออกมาพอดี
“เตรียมมาจากกรุงเทพแบบนี้ เหมือนรู้งานเลยนะคุณสยุมภูว์” เพิ่มพงษ์ทักเมื่อเห็นชุดนอนที่สยุมภูว์สวม
“อ้าว..ก็นี่มันเครื่องงแบบของผมนี่ ต้องมีติดกระเป๋าไว้ เลิกเป็นนายจักรเมื่อไร ผมอาจจะติดใส่ชุดนี้เข้าไปทำงานที่บริษัทด้วยก็ได้”
“ติดใจการเป็นคนสวนแล้วล่ะสิ”
“มันก็คงง่ายกว่าการเป็นสยุมภูว์แน่ๆ อย่างน้อยก็ไม่ต้องระแวงใคร จริงมั้ยล่ะ”
“ไม่ใช่ว่าคุณแววเขาอาจจะมีใจให้นายจักรมากกว่านายสยุมภูว์เหรอครับ”
“ผมก็ไม่รู้หรอกนะว่าถ้าแววได้พบนายสยุมภูว์ตัวจริง คนที่พร้อมจะให้ได้ทุกอย่างที่ต้องการ คนสวนจนๆอย่างนายจักรมันจะกลายเป็นแค่เพื่อนหรือเปล่า”
“อย่าเพิ่งเครียดครับ..อย่าเพิ่งเครียด ทานอาหารเช้าเสียก่อน” เพิ่มพงษ์ชวน
“ตามสบายเลยครับคุณเพิ่มพงษ์ ผมจะรีบไปที่ไร่”
“หัวใจมันเรียกร้องจนรอไม่ได้เลยนะครับ รอผมด้วยสิ ยังไม่ได้แปลงร่างเลย”
“ไม่ต้องตามผมไปทุกที่หรอกน่า วันนี้เชิญคุณเพิ่มพงษ์พักผ่อนตามสบายเลยนะ จะไปนวด ไปสปา ไปนั่งช้างเที่ยวป่า ก็ตามใจ ผมจะอยู่ที่ไร่ทั้งวัน”
เพิ่มพงษ์ลำบากใจ “แต่ว่า...”
“ถ้าที่นั่นยังไม่ปลอดภัย ผมก็ไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหนแล้วล่ะนะ” สยุมภูว์บอก
สยุมภูว์เดินออกไปทันที เพิ่มพงษ์มองตามแล้วพูดเบาๆ
“หวังว่าจะเป็นอย่างนั้นนะคุณสยุมภูว์”
ไลลานั่งอยู่ในรถแล้วพลิกดูแผนที่มองหาจุดหมายก่อนจะออกรถ
ไลลาใช้นิ้วไล่ดูในแผนที่ “ไร่ทศพล..อ๋อ..อยู่ตรงนี้เอง ไม่ไกลจากที่นี่เท่าไรนี่นา”
ไลลาออกรถไป สยุมภูว์เดินมาที่รถมอร์เตอร์ไซค์ที่จอดอยู่ข้างๆ ที่จอดรถของไลลา เขาสวมหมวกกันน็อคแล้วขี่มอร์เตอร์ไซค์ออกไป
รถของไลลามุ่งหน้ามาทางถนนเส้นหนึ่งแล้วมาติดที่สี่แยกไฟแดง เธอหยิบแผนที่มาเช็คดูอีกครั้งก่อนจะทำหน้างงๆ เพราะไม่แน่ใจว่ามาถูกทางหรือเปล่า สักพักมอร์เตอร์ไซค์ของสยุมภูว์ก็แล่นมาจอดเทียบด้านข้าง ไลลากดกระจกรถลงมา
“โทษนะคะคุณ..” ไลลาทัก
สยุมภูว์หันมาเห็นว่าเป็นไลลา แต่ไลลาจำสยุมภูว์ที่สวมหมวกกันน็อคอยู่ไม่ได้
“นี่ใช่ทางไปไร่ทศพลหรือเปล่าคะ” ไลลาถาม
สยุมภูว์ส่ายหน้าแล้วชี้ไปอีกทาง ไลลาดูจากแผนที่แล้วก็เริ่มงง
ไลลาบ่นเบาๆกับตัวเอง “อะไรยะ..รู้จักจริงหรือเปล่าเนี่ย”
ไลลาดูแผนที่อีกครั้งแล้วเงยหน้าจะถาม แต่สยุมภูว์ออกรถไปแล้ว รถคันหลังบีบแตรไล่เพราะไฟเขียวแล้ว
“เอาวะ..ทางนั้นก็ทางนั้น”
ไลลาตัดสินใจขับไปตามทางที่สยุมภูว์บอก
สยุมภูว์จอดรถที่ข้างทาง เขาถอดหมวกกันน็อคมองตามรถไลลาไป
“รู้ได้ไง...ว่าเรามาที่ไร่” สยุมภูว์พยายามนึก “ไอ้แจ๊ค!”
สยุมภูว์ส่ายหน้าอย่างเบื่อหน่าย
แจ๊คทำหน้าแหยเกพร้อมถือโทรศัพท์ให้ห่างจากหูมากที่สุดแต่เขาก็ยังได้ยินเสียงเพิ่มพงษ์โวยวายผ่านโทรศัพท์มา
“กลับกรุงเทพเมื่อไร ฉันจะไปเช็คบิลแกเป็นคนแรก ไอ้แจ๊ค” เพิ่มพงษ์โวย
แจ๊คขยับโทรศัพท์เข้ามาคุย “ก็น้าเพิ่มอยากทิ้งแจ๊คไว้ที่นี่ทำไมล่ะ ให้ไปด้วยตั้งแต่แรกก็จบแล้ว”
“แกมาด้วยแล้วใครจะเฝ้าร้าน ไม่ต้องทำมาหากินกันหรือไง”
“แจ๊คก็บอกคุณไลลาคนเดียวล่ะน่า ใครมาถามอีกก็ไม่บอกแล้ว”
“ไม่เชื่อโว้ย”
“งั้นถ้าใครมาถามอีกแจ๊คจะบอกทุกคนเลยนะว่าพี่จักรกับน้าเพิ่มอยู่ที่ไร่”
เพิ่มพงษ์เสียงดุ “ไอ้แจ๊ค !”
แจ๊คดึงโทรศัพท์ออกห่าง แล้วเอาไปวางไว้ข้างรูปปั้นประดับสวน
“ด่าให้หนำใจเลยนะน้าเพิ่ม”
แจ๊คเดินขำๆออกไป เสียงเพิ่มพงษ์ด่าแจ๊คไม่หยุดดังเล็ดลอดออกมาจากหูโทรศัพท์
ถ้วยข้าวต้มร้อนๆ ถูกนำมาเสิร์ฟที่โต๊ะอาหารในบ้านเอกรินทร์ จังหวะเดียวกับที่เอกรินทร์โผล่เข้ามาในห้องครัวพอดี
“แป้งร่ำ!” เอกรินทร์ตกใจ
“คุณเอก ลงมาพอดีเลยนะคะ แป้งร่ำทำข้าวต้มเสร็จพอดี”
แป้งร่ำยกถ้วยข้าวต้มมาวางอีกถ้วยแล้วนั่งประจำที่
“ข้าวต้มพร้อม...คนก็พร้อม ทานข้าวต้มด้วยกันนะคะ มามะ”
“คุณเข้ามาในบ้านผมได้ไงเนี่ย”
“ทำไมล่ะคะ จะเรียกตำรวจจับเหรอ ใจร้ายจัง” แป้งร่ำตัดพ้อ
เอกรินทร์ทำสีหน้าเหนื่อยใจ
“มาทานข้าวเช้ากันนะคะ..เอ๊ะ..ไม่ชอบข้าวต้ม..งั้นพรุ่งนี้เป็นอเมริกันเบรคฟาสท์ดีมั้ยคะ” แป้งร่ำถาม
“พรุ่งนี้คุณจะมาอีก”
แป้งร่ำลุกไปเกาะแขนเอกรินทร์
“โถ..ไม่ต้องกลัวแป้งจะเหนื่อยนะคะ ยังไงแป้งก็อยู่ที่บ้านคุณเอกอยู่แล้ว”
เอกรินทร์แกะมือแป้งร่ำออก “อะไรนะ !!! คุณจะมาอยู่ที่นี่”
“ก็ไลลาเขาฝากให้แป้งดูแลคุณเอกนี่คะ จะให้แป้งปฏิเสธเพื่อนก็ยังไงอยู่”
เอกรินทร์มองหน้าแป้งร่ำอย่างไม่รู้จะปฏิเสธยังไง
นำพลยื่นเอกสารปึกหนึ่งให้แวว แววรับมาเปิดดู
“นี่เป็นสถิติปริมาณน้ำฝน อุณหภูมิสูงสุดต่ำสุดในแต่ละเดือนย้อนไปสามปี ข้อมูลเรื่องความสูงต่ำของพื้นที่ แล้วก็โรคแมลงต่างๆ คุณลองเอาไปศึกษาดู ข้อมูลพวกนี้น่าจะมีประโยชน์สำหรับงานของคุณ” นำพลอธิบาย
“ค่ะ คุณสยุมภูว์”
“นอกจากเรื่องที่ตงตงชอบไปฉี่รดต้นไม้แล้ว มีอะไรน่าหนักใจสำหรับคุณอีกไหม”
“ไม่มีค่ะ..แววมีความสุขมากที่ได้อยู่ที่นี่”
นำพลพูดลอยๆ “คงมีคนดีใจมากนะถ้าได้ยินคุณพูดอย่างนี้”
“คุณสยุมภูว์หมายถึงใครหรือคะ” แววสงสัย
“ก็..” นำพลนึกหาคำแก้ตัว “ตงตง ไง เขาจะได้มีเพื่อนเป็นคนกรุงเทพฯบ้าง” นำพลยิ้มโล่งอกที่เอาตัวรอดไปได้
“คุณสยุมภูว์คะ แววคิดว่านอกจากงานดูแลต้นไม้แล้ว ถ้ามีเวลาเหลือแววอาจจะไปขอเรียนรู้งานอื่นในไร่ด้วยได้ไหมคะ”
“แค่คุณเป็นเลขาผม แล้วก็ยังมีงานดูแลต้นบ๊วยอีก จะให้คุณทำงานอย่างอื่นอีกเดี๋ยวจะหาว่าผมใช้งานเกินเงินเดือน”
“แววคิดว่าเงินเดือนที่คุณตั้งให้แวว มันอาจะเยอะเกินหน้าที่ของแววไปมาก แววเลยอยากทำงานให้คุ้มเงินเดือนหน่อยค่ะ”
“ก็ได้..งั้นคุณเริ่มงานกับหลินเลยแล้วกัน หลินเขาดูแลเรื่องไม้ตัดดอก ได้คุณไปช่วยอีกแรงก็คงพอจะทุ่นแรงงานไปได้”
“ขอบคุณค่ะคุณสยุมภูว์ แววจะรับผิดชอบหน้าที่ของแววให้เต็มที่ทุกงานเลยค่ะ”
สยุมภูว์ปีนบันไดขึ้นไปตัดแต่งกิ่งไม้ของต้นบ๊วย แววหอบเอกสารเดินเข้ามาเห็นเข้าก็ตกใจ
“นายทำอะไรน่ะ”
“ต้นไม้ใหญ่อย่างนี้มันต้องตัดแต่งกิ่งบ้างนะคุณ โดนลมแรงๆมันจะล้มลงมาทั้งต้น”
“ฉันนึกว่านายจะตัดให้เหลือแต่ตอเหมือนที่พูดไว้เมื่อวานเสียอีก”
“ผมไม่ใจร้ายขนาดนั้นหรอกน่า”
“นายแน่ใจนะว่ามันจะงอกขึ้นมาใหม่”
สยุมภูว์ทำท่าเหมือนเพิ่งนึกออก “เออ..ผมลืมไปนี่มันต้นไม้เมืองหนาวนี่เนอะ ไม่ใช่ต้นมะม่วง ไม่รู้ว่ามันจะงอกใหม่ได้ไหม”
“เฮ้ย..!!!” แววรีบไปเขย่าบันได “นายลงมาเลย...ลงมาเดี๋ยวนี้...ไม่ต้องตัดแล้ว”
สยุมภูว์พยายามทรงตัวบนบันไดที่ถูกเขย่า
“อย่าเขย่าสิ..เดี๋ยวก็ตกลงไปทับคุณไหล่หลุดหรอก”
“ห๊า..” แววหยุดเขย่า “นายรู้ได้ไงว่าฉันไหล่หลุด”
สยุมภูว์อึ้งไปสักพัก “ตงตงบอก”
“บอกตอนไหน”
“ก็ตอนไหนสักตอนล่ะ..ใครจะไปจำได้”
แววพยักหน้าช้าๆ เพราะไม่สงสัย สยุมภูว์ทำหน้าโล่งอก
“งั้น นายก็ลงมาได้แล้ว..เอาบันไดไปพาดอย่างนี้ เดี๋ยวต้นไม้ฉันตายหมด”
สยุมภูว์ค่อยๆ ก้าวลงมา “โธ่เอ๊ย..อุตส่าห์หวังดี”
“รู้แล้วน่าว่าอยากช่วย”
สยุมภูว์ยิ้ม “ได้ยินอย่างนี้ค่อยมีความสุขหน่อย”
สักพัก ทั้งสองก็ได้ยินเสียงเหมือนน้ำไหลดังขึ้นมา
“คุณได้ยินมั้ย !!! เสียงอะไรน่ะ” สยุมภูว์ถาม
“ว๊าย...” แววตกใจรีบวิ่งไปดูหลังต้นไม้ สยุมภูว์เดินตามไป ทั้งคู่เห็นว่าตงตงเพิ่งฉี่เสร็จและกำลังใส่กางเกง
แววเสียงดัง “ตงตง !”
ตงตงยิ้มกว้างเมื่อทำภารกิจสำเร็จ
ไลลาขับรถไปบนถนนลูกรังเล็กๆ เธอมองหาป้ายชื่อไร่จนมาถึงทางอีกแยกหนึ่ง
ไลลาเริ่มหงุดหงิด “โอ๊ย..แล้วฉันจะไปทางไหนล่ะเนี่ย สงสัยจะโดนเด็กแว๊นซ์นั่นหลอกแน่ๆ...ไม่ปงไม่ไปมันแล้ว”
ไลลายูเทิร์นรถกลับไปทางเดิม ป้ายเล็กๆบอกทางไปไร่ทศพลตั้งอยู่ไม่ห่างจากสี่แยกนั้น แต่ไลลามองไม่เห็น
เอกรินทร์จอดมอร์เตอร์ไซค์บริเวณที่จอดมอเตอร์ไซต์หน้าออฟฟิศของเขา เขาถอดหมวกกันน็อค สักพักรถหรูของคำรพก็แล่นมาจอดที่หน้าอาคาร วัณณรีเดินลงมาจากรถแล้วโบกมือบ๊ายบายให้คำรพที่นั่งอยู่ในรถ วัณณรีเดินขึ้นตึกไป เอกรินทร์มองตามแล้วส่ายหน้าก่อนจะเดินขึ้นออฟฟิศไป
วัณณรีเดินเข้ามานั่งที่โต๊ะทำงาน เอกรินทร์เดินเข้ามาหา
“วัณยังไม่เลิกคบกับคุณคำรพอีกเหรอ” เอกรินทร์เอ่ยถาม
“ทำไมจะคบไม่ได้ล่ะพี่เอก เขาก็เป็นคนดีนี่นา” วัณณรีตอบ
“แต่วัณก็รู้ว่าเขาต้องการอะไรจากวัณ”
“วัณว่าพี่เอกเลิกห่วงคนอื่น แล้วกลับไปห่วงตัวเองเหอะ พี่เอกทำตัวน่ารำคาญอย่างนี้ไง พี่แววเขาถึงหนีไปทำงานที่เชียงใหม่”
เอกรินทร์พยายามข่มอารมณ์ “พี่เตือนเพราะเห็นว่าวัณเป็นน้องคนหนึ่งนะ”
“วัณต้องขอบคุณพี่เอกมั้ยคะเนี่ย”
“วัณ...นี่วัณกำลังหาเรื่องพี่หรือเปล่า”
“วัณไม่กล้าหรอกค่า...วัณรู้ว่าที่ได้มาฝึกงานที่นี่ก็เพราะพี่เอก”
“งั้น พี่ถือว่าพี่เตือนแล้วนะ”
เอกรินทร์เดินออกไป วัณณรีมองตามแล้วยิ้มเยาะ
ตงตงยืนจ๋อยต่อหน้าแววกับสยุมภูว์
“ตงตง...พี่แววไม่รู้จะห้ามหนูยังไงแล้วนะ” แววว่า
“ก็มันปวดฉี่นี่นา..ใครจะอั้นไหวล่ะ” ตงตงแก้ตัว
สยุมภูว์เห็นด้วย “เออ..ก็ถูกของตงตงนี่คุณ ปวดฉี่ก็ต้องฉี่ จะอั้นทำไม”
“เห็นมั้ยพี่จักรยังรู้เลย” ตงตงพูด
“เออ..เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ชอบฉี่ไม่เป็นที่เป็นทางเหมือนกันล่ะสิ มันน่าจะแช่งให้ด้วนให้หมด”
“ไม่สงสารผมก็สงสารเด็กหน่อยเหอะ” สยุมภูว์บอก
“เอาล่ะ..พี่ห้ามตงตงไม่ได้ นี่เป็นวิธีสุดท้ายที่พี่จะทำแล้ว ถือเสียว่า” แววยกมือท่วมหัว “พี่ขอ...ตงตงอย่ามาฉี่ที่นี่อีกเลยนะ”
สยุมภูว์แอบขำที่เห็นแววยกมือไหว้ตงตง
สยุมภูว์ทำหน้าจริงจังใส่ตงตง “เห็นใจเขาพี่เถอะ”
ตงตงแอบกลัวสยุมภูว์ “ก็ได้”
แววยิ้มออกแต่เมื่อได้ยินตงตงพูดต่อเธอก็ต้องหุบยิ้ม
“เห็นแก่พี่จักร” ตงตงพูด
แววเหวอ “เฮ้ย...อะไรล่ะ...ตกลงว่าที่พี่ยกมือไหว้นี่ไม่มีความหมายเลยสิ”
“ตงตงไม่ได้ขอให้คุณไหว้เขาสักหน่อย” สยุมภูว์บอก
“จะย้ำให้เจ็บใจทำไมเนี่ย” แววพูดกับตงตง “แสบมากนะเรา”
แววเดินออกไปแบบงอนๆ สยุมภูว์มองตามแล้วจึงหันไปยิ้มให้ตงตง
“สัญญากับพี่แล้วนะ” สยุมภูว์บอก
สยุมภูว์ชูนิ้วก้อยขึ้นมา ตงตงเอานิ้วก้อยมาเกี่ยวนิ้วก้อยสยุมภูว์ สยุมภูว์มองตามแววที่เพิ่งเดินออกไป
“เราควรจะตามไปง้อเขาดีมั้ย ตงตง”
“ตงตงว่าพี่แววเขาไม่ได้งอนเราขนาดนั้นหรอก”
“อืมม์..เย็นนี้ค่อยไปง้อก็ยังทันเนอะ ถ้างั้น..เราช่วยกันกวาดใบไม้ ใส่ปุ๋ยดีมั้ย กว่าจะเสร็จก็น่าจะเย็นพอดี”
ตงตงพยักหน้าเห็นด้วย แล้วทั้งสองก็ช่วยกันทำงานกันอย่างแข็งขัน
จบตอนที่ 6
ติดตามอ่านแววมยุรา ตอนต่อไป เวลา 17.00 น.