แววมยุรา ตอนที่ 10
ที่หน้าบ้านเช่าของเพิ่งพงษ์ สยุมภูว์กำลังจ้องมองหน้าแววด้วยความสงสัย
“งานที่คุณทำ มันไม่จำเป็นต้องโกหกใครต่อใครนี่นา แล้วคุณจะกังวลในสิ่งที่คุณนิติธรบอกคุณทำไม” สยุมภูว์ถาม
แววนิ่งคิด “ก็ฉันกลัวว่าใครต่อใครจะรู้สิ่งที่ฉันคิดหมดน่ะสิ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ทันแล้วล่ะ”
แววตกใจ “นี่ แปลว่านายรู้ว่าฉันคิดอะไร ตลอดเวลาที่เราคุยกันงั้นเหรอ”
“ใครมันจะเก่งขนาดนั้นล่ะคุณ”
แววถอนหายใจ “โล่งอก !”
“ทำไมล่ะ...คุณมีอะไรปิดบังผมอยู่เหรอ”
แววนิ่งไปเหมือนอยากจะบอกสิ่งที่ตัวเองคิดอยู่
“แล้วถ้าฉันบอกนาย นายจะบอกสิ่งที่ฉันอยากจะรู้หรือเปล่า”
“คุณจะเชื่อสิ่งที่ผมบอกคุณงั้นเหรอ” สยุมภูว์ถามกลับ
“นายมีเรื่องอะไรที่ต้องปิดบังฉันล่ะ”
“ผมจะบอกคุณดีมั้ยนะ”
สยุมภูว์ทำเป็นอมพะนำเพราะเขารู้ว่าแววอยากจะรู้เรื่องอะไร
“ไม่บอกก็อย่าบอก...ยังไงพรุ่งนี้ฉันก็จะได้รู้ในสิ่งที่ฉันสงสัยมานานแล้ว”
“รู้ว่าเจ้านายคุณคือใครน่ะเหรอ”
แววมองหน้าสยุมภูว์ด้วยสีหน้าจริงจังเหมือนจะจับผิด
“ใช่...แล้วฉันก็หวังว่าอะไรต่ออะไรมันจะไม่เป็นอย่างที่ฉันคิดด้วย”
“งั้นก็อย่าลืมมาเล่าอะไรต่ออะไรที่คุณว่ามาให้ผมฟังด้วยล่ะ”
แววยิ่งสงสัยที่สยุมภูว์ทำเหมือนไม่รู้เรื่องอะไร สยุมภูว์ยิ้มให้อย่างไม่กลัวจะโดนจับผิด
เพิ่มพงษ์คุยกับสยุมภูว์อยู่ที่ห้องรับแขกในบ้าน
“กำลังทำใจอยู่เหรอครับ” เพิ่มพงษ์ถาม
สยุมภูว์แปลกใจ “ทำใจ...เรื่องอะไรครับคุณเพิ่มพงษ์”
“อ้าว..ก็พรุ่งนี้คุณสยุมภูว์ต้องเปิดตัวกับแววแล้วไงครับ...หรือว่าจะเปลี่ยนใจ?”
สยุมภูว์ส่ายหน้า “ผมไม่ได้กังวลเรื่องนั้น”
“คุณมั่นใจว่าแววจะทำใจได้ เมื่อรู้ความจริงว่าคุณเป็นใครใช่มั้ยครับ”
“จะทำใจได้หรือไม่ได้ยังไงผมก็ต้องยอมรับว่าผมเป็นคนสร้างเงื่อนไขขึ้นมาเอง กังวลไปก็เท่านั้น”
“แหม...ปลอบใจตัวเองล่วงหน้าเลยนะครับ คุณสยุมภูว์”
สยุมภูว์ส่งสายตาดุๆให้ “คุณเพิ่มพงษ์เตรียมของที่คุณเหลียงต้องการไว้เรียบร้อยแล้วนะ”
“เรียบร้อยตั้งแต่เมื่อวานแล้วครับ”
สยุมภูว์พยักหน้ารับอย่างพอใจก่อนจะหันไปมองทางบ้านแวว
“หวังว่าคืนนี้คงไม่ตื่นเต้นจนนอนไม่หลับนะ” สยุมภูว์พูด
พื้นกระเบื้องในห้องน้ำที่ร้านต้นไม้ถูกทำลายจากด้านล่างจนกลายเป็นรูขนาดใหญ่ แจ๊คโผล่หัวออกมาจากรู แล้วปีนขึ้นมายืนบนปากหลุม ก่อนจะชูมือไชโย
แจ๊คดีใจสุดๆ “ในที่สุด..แจ๊คก็พิชิตห้องลับได้สำเร็จ”
แจ๊คมองไปรอบๆห้อง เขาดูแผนที่ในมือแล้วยิ้มอย่างมั่นใจ
“อะพิโธ่ อะพิถัง โถ...โถ..โถ..” แจ๊คเห็นโถส้วม “โถส้วม...นั่นไง..ผิดเสียที่ไหน ทำเป็นปิดแจ๊คที่แท้แอบทำส้วมไว้แอบใช้กันสองคนน่ะเอง แหม..ยังงี้ต้องขอเจิมให้รู้กันไปว่าปิดแจ๊คไม่ได้หรอก”
แจ๊คถอดกางเกงออกแล้วกำลังจะนั่งลงบนโถส้วมแต่จู่ๆ มีกระเทยสวมกระโจมอกเดินเข้าห้องน้ำมาพอดี ต่างฝ่ายต่างก็ตกใจ
“ว๊าย..ผู้ชาย !” กระเทยร้องลั่น
“แกเป็นใครอ่ะ” แจ๊คถาม
“ตกใจไม่เคยเห็นคนสวยหรือไง”
แจ๊ครีบใส่กางเกง “เข้ามาในห้องลับได้ไง”
“ห้องลับอะไร..นี่มันห้องน้ำบ้านเจ๊ เจ๊จะเข้ามาอาบน้ำ..หรือว่าอยากจะอาบน้ำกับเจ๊” กระเทยส่งสายตายั่วยวน
แจ๊คก้มดูแผนที่อีกครั้ง “มาโผล่ที่นี่ได้ไงวะ”
“ผู้ชายปากแข็ง เจ๊รู้ทันหรอกน่า อยากจะอาบน้ำกับเจ๊ก็บอกมาเหอะ”
“เอาไงดีวะเนี่ย” แจ๊คเริ่มสับสน
แจ๊คมองไปที่ประตู กระเทยรู้ทันเลยลงกลอนล็อคห้องแล้วเดินเข้ามาหาแจ๊ค
“ไหนๆก็ไม่ทันแล้ว มามะเจ๊ถูหลังให้” กระเทยอาสา
“เว้ย..” แจ๊คมองซ้ายมองขวา “กลับทางเดิมก็ได้วะ”
แจ๊ครีบกระโดดลงหลุมผลุบหายไปทันที กระเทยยืนงงแล้วเดินไปดูที่ปากหลุม
กระเทยตกตะลึง “มันโผล่มาจากหลุม ไส้เดือนยักษ์แปลงร่างมาหรือเปล่าเนี่ย”
เช้าวันต่อมา ณ โรงแรมห้าดาว เหลียงกับเลขาที่ถือกระเป๋าใส่เอกสารเดินออกมาที่หน้าประตู รถคันหนึ่งเข้ามาจอดเทียบพอดี เลขาเปิดประตูรถให้ เหลียงก้าวขึ้นรถ เลขาตามไปนั่งที่ด้านหน้ากับคนขับ แล้วรถก็ขับออกไปจากหน้าโรงแรม รถอีกคันขับออกจากโรงแรมแล้วตามรถของเหลียงไปห่างๆ
นิติภูมิจิบกาแฟอย่างสบายใจอยู่ที่คฤหาสน์ทศพล โดยที่เขากำลังโทรศัพท์คุยกับศักดาที่นั่งจิบชาที่พนักงานของร้านแห่งหนึ่งยกมาเสิร์ฟ
“สายของผมเพิ่งรายงานเข้ามาว่าสองคนนั้นเพิ่งออกมาจากโรงแรม คงจะมาถึงที่นี่อีกสักครึ่ชั่วโมงครับ” ศักดารายงาน
“ดีมาก..อย่าให้คลาดสายตาล่ะ” นิติภูมิสั่ง
“ได้ตัวมันสองคนมาแล้ว ผมจะโทรหาคุณนิติภูมินะครับ”
“แล้วเรื่องที่จะป้ายความผิดทั้งหมดให้ไอ้สยุมภูว์ล่ะ” นิติภูมิถาม
“เรื่องนั้นเราค่อยคุยกันที่โกดังนะครับ หลังจากที่คนของผมจัดการปิดปากมันเรียบร้อยแล้ว”
“แกแน่ใจนะว่าตำรวจจะสาวมาถึงเราไม่ได้” นิติภูมิถาม
“แน่นอนครับคุณนิติภูมิ”
นิติภูมิพยักหน้ารับก่อนจะวางสาย แล้วจิบกาแฟต่ออย่างใจเย็น
นิติธร กับแววเดินตามพนักงานของภัตตาคารอาหารจีนเข้ามาในห้องจัดเลี้ยงส่วนตัว
นิติธรหันไปเห็นสีหน้าแวว “นี่..ตื่นเต้นที่จะได้เจอสยุมภูว์ใช่ไหม หนูแวว”
“เมื่อคืนแววเกือบนอนไม่หลับเลยนะคะคุณนิติธร คิดนั่นคิดนี่ว่าจะทำตัวยังไงตอนที่เจอคุณสยุมภูว์” แววบอก
“ก็ทำตัวปรกติอย่างที่หนูเป็นนั่นล่ะ”
“หวังว่าคุณสยุมภูว์คงไม่เตรียมใครมาหลอกแววเล่นอีกนะคะ”
“ตลอดเวลาที่ผ่านมาคุณสยุมภูว์คงทำให้หนูแววระแวง แต่คราวนี้คุณเหลียงคงไม่ยอมเจรจากับสยุมภูว์ตัวปลอมแน่ๆล่ะ เพราะที่คุณเหลียงแวะมาหาคุณสยุมภูว์คราวนี้ คุณเหลียงมีข้อมูลสำคัญที่จะส่งมอบให้คุณสยุมภูว์ด้วย” นิติธรอธิบาย
“อืมม์..อย่างนี้นี่เอง”
“สบายใจขึ้นแล้วสินะ”
แววยิ้มกว้างก่อนจะพยักหน้าให้นิติธร
ด้านหน้าห้องจัดเลี้ยงที่แววกับนิติธรเข้าไปนั่งรอเหลียง พนักงานเปิดประตูห้องที่อยู่ตรงข้ามแล้วเดินเข้าไป
พนักงานยกถาดชาเข้ามาเสิร์ฟแล้วออกไป สยุมภูว์ในชุดสูทเต็มยศกับเพิ่มพงษ์กำลังนั่งจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ติดตั้งอยู่ในกระเป๋าเดินทางของเขา
“โอเค..เรียบร้อย..พร้อมโอนรับข้อมูลทันทีที่คุณเหลียงมาถึง” เพิ่มพงษ์บอก
สยุมภูว์ดูนาฬิกา “น่าจะมาถึงได้แล้วนะ”
“ที่ใจร้อนนี่ อยากเจอคุณเหลียงหรือว่าอยากเจอคนอื่นครับ” เพิ่มพงษ์แซว
“ไม่ต้องรู้ทันไปซะทุกเรื่องก็ได้นะคุณเพิ่มพงษ์”
เพิ่มพงษ์แอบขำเมื่อเห็นท่าทางกระวนกระวายของสยุมภูว์
รถของเหลียงแล่นมาจอดติดไฟแดง แล้วรถตู้สองคันโผล่มาประกบสองด้าน เลขาฯ รู้สึกผิดปกติ จะหันไปบอกเหลียงที่นั่งอยู่ที่เบาะหลังแต่กลับได้ยินเสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัดก่อน ประตูรถตู้เปิดออก เลขาฯ รู้ว่าจะมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นเลยจะเปิดประตูลงไปช่วย แต่กลับต้องชะงักเมื่อเห็นว่าชายชุดดำสองคนกำลังเล็งปืนมาที่เขาและคนขับรถ ประตูรถตู้ถูกเลื่อนออก ชายชุดดำสองคนโผล่เข้ามาในรถของเหลียง
เหลียงตกใจ “เฮ้ย..อะไรวะเนี่ย”
ชายชุดดำไม่ตอบ เขาเอาผ้าคลุมหัวเหลียงแล้วลากออกมาจากรถตู้ เหลียงดิ้นรนไม่ยอมไป ชายชุดดำเอาปืนทุบที่ต้นคอจนเหลียงสลบไป เลขาฯ แอบมองสิ่งที่เกิดขึ้นหลังรถตู้
“คุณเหลียง!!” เลขาฯ หันไปบอกคนขับรถตู้ “ออกรถเลย !”
คนขับรถส่ายหน้าก่อนจะยิ้มให้แล้วหยิบปืนขึ้นมาเล็งที่เลขาฯ
“อยู่เฉยๆ “ คนขับรถพูดกับอีกสองคนที่อยู่หลังรถตู้ “เร็วหน่อยเว้ย..เดี๋ยวไฟเขียว เกรงใจรถข้างหลัง”
ชายชุดดำลากเหลียงลงจากรถตู้ไปได้ คนขับยิ้มให้เลขา แล้วโยนนามบัตรให้
“เดี๋ยวคุยกันนะ” คนขับรถบอก
คนขับลงรถไปขึ้นรถตู้อีกคัน แล้วรถตู้ทั้งสองคันที่ประกบอยู่ก็ขับออกไป เลขาฯ หยิบนามบัตรที่คนขับรถตู้ทิ้งไว้ขึ้นมาดู เขาเห็นว่าบนนามบัตรเขียนว่า “แก๊งค์แพนด้า บริการลักพาตัวทั่วราชอาณาสยุมภูว์” เลขาฯ มีสีหน้าเจ็บใจ
เริงใจยื่นแก้วเอสเปรสโซเสิร์ฟให้เอกรินทร์ที่นั่งอยู่ในร้านกาแฟ
“ได้แล้วค่ะเอสเปรสโซร้อนๆ ฝีมือเริง เข้มข้น จัดจ้าน จิบแล้วตื่นที้งวัน” เริงใจบอก
“แล้วคุณชลธิชาล่ะครับ” เอกรินทร์ถาม
“ยังไม่มาเลยค่ะ สงสัยจะแวะซื้อของทำขนม”
“เมื่อวานคุณสองคนคงเหนื่อยแย่เลยนะครับ ที่ต้องไปเสิร์ฟกาแฟที่กองผม”
“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกค่ะ เรื่องนั้นน่ะพวกเราสู้ตาย” เริงใจบอก
“ผมไม่รู้จะขอบคุณ คุณสองคนยังไงเลยนะครับ”
“คุณเอกรินทร์อย่าเบื่อพวกเราเสียก่อนนั่นล่ะค่ะ คือการขอบคุณที่ดีที่สุด”
เริงใจยิ้มกว้างกับคำตอบของตัวเอง
ชลธิชากำลังขนของลงจากท้ายรถที่จอดอยู่ที่หน้าร้านกาแฟของเธอ เธอทำถุงใส่ของตก ขณะจะก้มลงไปหยิบก็เห็นว่ามีมือยื่นเข้ามาช่วยหยิบเสียก่อน
“ขอบคุณค่ะ” ชลธิชาเงยหน้ามาจึงเพิ่งเห็นว่าเป็นแป้งร่ำ “คุณแป้งร่ำ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ข้าวของเยอะอย่างนี้ แป้งช่วยถือนะคะ”
ชลธิชายังงงๆ เพราะไม่รู้ว่าแป้งร่ำจะมาไม้ไหน
“แป้งไม่ได้จะมาหาเรื่องค่ะ” แป้งร่ำบอก
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ..ให้ลูกค้ามาช่วยยกของมันดูไม่ดี เชิญคุณแป้งในร้านดีกว่านะคะ”
“ไมเป็นไรค่ะ” แป้งร่ำกุลีกุจอเข้าไปช่วยยกของ ชลธิชาจึงไม่รู้จะห้ามอย่างไร
นิติธรดูนาฬิกาแล้วสีหน้าเป็นกังวลไม่ต่างจากแววที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่
“ไม่น่าจะเดินทางนานขนาดนี้นะ ทางโรงแรมก็บอกว่าออกมานานแล้วนี่นา” นิติธรเปรยออกมา
“นั่นสิคะ” แววรู้สึกเป็นกังวล
ทันใดนั้น เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น นิติธรกับแววมองหน้ากัน
“น่าจะมาแล้วนะคะ”
นิติธรกับแววลุกขึ้นเตรียมจะต้อนรับ พนักงานร้านเปิดประตูเข้ามา เลขาของเหลียงเดินตามเข้ามายืนรอให้พนักงานร้านเดินออกไป นิติธรกับแววมองหาเหลียง
“มิสเตอร์เหลียงล่ะคะ” แววถาม
เลขาฯ ส่ายหน้าแล้วมองนิติธรกับแววด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “คุณเหลียงโดนลักพาตัวไปครับ”
นิติธรตกใจ “อะไรนะครับ”
เลขาฯ ยื่นนามบัตรแก๊งค์แพนด้าให้นิติธรดู แล้วเสียงโทรศัพท์ของเลขาดังขึ้นทันที
“ต้องเป็นพวกมันแน่ๆ” เลขาฯ พูด
เลขากดรับสาย นิติธรกับแววยืนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น
นิติภูมิคุยโทรศัพท์กับศักดาอยู่ในห้องทำงานของเขา
นิติภูมิตกใจ “อะไรนะ!!!...แก๊งค์แพนด้า”
“ใช่ครับ มันเป็นแก๊งค์รับจ้างลักพาตัวเรียกค่าไถ่เฉพาะคนจีนครับ” ศักดาบอก
“แล้วใครจ้างมันมา” นิติภูมิถามต่อ
“น่าจะเป็นลูกค้าจากเมืองจีนครับ..เราจะเอายังไงต่อครับ”
“แกอย่าเพิ่งทำอะไร..ฉันจะรอดูพ่อฉันก่อน เพราะบางทีเราอาจไม่ต้องลงแรงทำอะไรให้เหนื่อยเลยก็ได้”
นิติภูมิวางสายไปแล้วยิ้มร้าย
“งานนี้ถ้ามิสเตอร์เหลียงเป็นอะไรไป แก๊งค์แพนด้ามันก็เป็นคนรับไปเต็มๆ แล้วถ้าทำให้คนเชื่อว่าไอ้สยุมภูว์เป็นคนบงการ” นิติภูมิยิ้มร้าย “แกก็มีแต่เจ๊งกับเจ๊ง...ไอ้สยุมภูว์”
เพิ่มพงษ์รอการตัดสินใจของสยุมภูว์ที่นั่งหน้าเครียดอยู่ใกล้ๆ
“มันต้องการค่าไถ่ตัวคุณเหลียงภายในเย็นวันนี้ครับ ไม่อย่างนั้นมันไม่รับรองความปลอดภัย” เพิ่มพงษ์บอก
“รีบตอบตกลงไป ผมจะรับผิดชอบเรื่องนี้เอง มิสเตอร์เหลียงจะเป็นอะไรเพราะผมไม่ได้” สยุมภูว์ยืนยัน
“ครับ คุณสยุมภูว์”
เพิ่มพงษ์ยกโทรศัพท์ขึ้นมาคุยต่อ
นิติธรคุยโทรศัพท์กับเพิ่มพงษ์ต่อ
“ได้ครับ คุณเพิ่มพงษ์ ผมจะแจ้งเลขามิสเตอร์เหลียงให้ครับ” นิติธรรับเรื่อง
นิติธรวางสาย แววรีบถามด้วยความอยากรู้
“คุณเพิ่มพงษ์ว่ายังไงบ้างคะ”
“คุณสยุมภูว์ยินดีจะรับผิดชอบเรื่องนี้เองครับคุณเลขา” นิติธรบอก
เลขาฯ พยักหน้ารับด้วยสีหน้าครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
“ถ้าอย่างนั้นผมขอพบคุณสยุมภูว์ได้มั้ยครับ” เลขาฯ ถาม
“ได้ครับ..เราจะได้ปรึกษากันว่าจะช่วยมิสเตอร์เหลียงยังไง”
เลขาฯ ส่ายหน้า “ช่วยเรียนคุณสยุมภูว์นะครับว่าผมจะพบคุณสยุมภูว์เพียงลำพัง”
นิติธรมองหน้าเลขาฯ อย่างต้องการคำตอบ เลขาฯ เพียงแต่ยิ้มให้ไม่อธิบายอะไรต่อ
เอกรินทร์กับเริงใจเห็นชลธิชาถือถุงข้าวของเดินเข้ามาในร้านกาแฟ เอกรินทร์จะเข้าไปช่วยก่อนจะเห็นว่าแป้งร่ำช่วยถือถุงตามเข้ามาด้วย เริงใจเห็นแป้งร่ำก็ชะงัก
เริงใจเรียกพนักงาน “เด็กๆ หายไปไหนหมด ให้ลูกค้ามาถือข้าวถือของได้ไง”
พนักงานในร้านเข้าไปช่วยแป้งร่ำกับชลธิขชาถือของ แป้งร่ำเห็นเอกรินทร์ก็เอ่ยขึ้น
“คิดแล้วเชียวว่าคุณเอกต้องอยู่ที่นี่”
เอกรินทร์ยิ้มให้แป้งร่ำ เริงใจเห็นดังนั้นก็ยิ่งประหลาดใจจึงเดินเลี่ยงไปคุยกับชลธิชา
“เธอเห็นเหมือนฉันมั้ย ธิชา..ฉันจำได้ว่าคุณเอกสาปส่งแม่คนนี้ไปแล้วไม่ใช่เหรอ หรือตอนนั้นฉันฝันไป”
“แล้วเธอคิดว่าฉันไม่งงหรือไง..งงตั้งแต่มาช่วยฉันหิ้วของเมื่อกี้แล้ว” ชลธิชาบอก
“อ๋อ..คิดจะทำดีเอาหน้าให้คุณเอกเห็น พอตายใจก็จะตะครุบล่ะสิ หืมม์..คิดว่าฉันตามไม่ทันมุกนี้สินะ”
“แต่เธอว่ามุกนี้มันก็คุ้นๆอยู่นะ เริง”
เริงใจนิ่งคิด “โธ่เอ๊ย..ทำไมจะไม่คุ้นล่ะ” เริงใจนึกออก “ตายแล้ว นี่กะจะก็อปปี้มุกฉันเหรอ ร้ายนะยะ..ธิชา เราจะใจเย็นไม่ได้นะ ต้องไปทำให้คุณเอกรู้ก่อนจะตกหลุมแม่นั่น”
“แต่ฉันต้องอบขนมส่งลูกค้านะ”
เริงใจฮึดฮัด “งั้นชั้นไปเป็นทัพหน้าก่อนแล้วกัน ต้องการทัพเสริมเมื่อไรจะมาบอก”
เริงใจผละไป ชลธิชามองตามพอเห็นเอกรินทร์กับแป้งร่ำคุยกันอย่างมีความสุขเธอก็ถอนใจยาว
มาลตีกำลังโทรศัพท์คุยกับคำรพอยู่ที่บ้านของเธอ
“ไม่เป็นไรนะคะคุณคำรพ เรื่องวันนั้นมันผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป”
“คุณแม่หนูวัณใจดีจังเลยครับ คำรพซาบซึ้งม้ากมาก”
“อู้ย..ยังไงคุณคำรพก็เป็นคนคุ้นเคย มาลตีโกรธไม่ลงหรอกค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้น คำรพก็ไปรับหนูวัณออกไปเที่ยวได้เหมือนเดิมแล้วใช่ไหม”
“ให้ยัยวัณรอนานๆ เดี๋ยวยัยวัณก็พาลโกรธจริงๆหรอกค่ะ” มาลตีบอก
“งั้นฝากบอกหนูวัณด้วยนะครับว่าพี่คำรพจะรีบไปหาให้เร็วที่ซู้ดดด”
“ค่ะ..คุณคำรพ...อย่าให้รอนานนะคะ”
มาลตีย้ำแล้วก็ตัดสายไป ก่อนจะหันไปยิ้มให้วัณณรีกับโรสที่นั่งฟังอยู่
“คุณคำรพนี่หื่นจนหน้ามืดตามัวเลยนะคะ ไม่รู้เสียแล้วว่าภัยจะมาถึงตัว” โรสว่า
“แกแน่ใจนะว่าจะทำให้ตานั่นมันเข็ดจนไม่มายุ่งกับเราอีก” มาลตีถามลูกสาว
“แน่ยิ่งกว่าแน่อีกแม่...ให้รีบมาเหอะ วัณจะได้เช็คบิลให้หายแค้นเลย”
วัณณรีสีแสดงสีหน้าแค้นจนเคี้ยวฟันตัวเอง
สยุมภูว์ เพิ่มพงษ์ และเลขาฯ ของเหลียง คุยกันหน้าตาเคร่งเครียดอยู่ในห้องส่วนตัวที่ภัตตาคารอาหารจีน
“ขอบคุณคุณสยุมภูว์และคุณเพิ่มพงษ์ด้วยนะครับที่ช่วยดูแลเรื่องนี้” เลขาฯ บอก
“ตอนนี้ท่านนายพลเพื่อนคุณสีหราชส่งลูกน้องมาตามเรื่องนี้แล้วครับ ผมขอให้ตำรวจดำเนินการในทางลับเพราะไม่ต้องการให้ทางนั้นไหวตัวก่อน” เพิ่มพงษ์บอก
เลขาฯ พูดขึ้น “ส่วนเรื่องเงินค่าไถ่..”
สยุมภูว์ส่ายหน้า “เรื่องนั้นให้เป็นหน้าที่ของผมเถอะครับ” สยุมภูว์เปลี่ยนเรื่องทันที “ผมไม่ทราบมาก่อนว่ามิสเตอร์เหลียงมีคนตามปองร้ายด้วย”
“แต่เราทำธุรกิจอย่างตรงไปตรงมาตลอด ไม่เคยคิดว่าจะไปขัดขาใครหรือไปทำให้ใครเกลียดขี้หน้าถึงกับต้องลักพาตัวเรียกค่าไถ่อย่างนี้ หกโมงเย็นวันนี้ ผมจะเป็นคนเอากระเป๋าเงินไปส่งมอบให้ตามที่มันต้องการเอง”
“อย่าไว้ใจคนพวกนี้เลยครับ มันตามมาจากเมืองจีนคงไม่ได้ต้องการแค่เงิน” เพิ่มพงษ์บอก
สยุมภูว์สงสัย “หมายความว่าไงครับ”
เพิ่มพงษ์พยักหน้า “คนบงการมันคงไม่ต้องการเงินก้อนนี้แน่ๆครับ เพราะสิ่งที่มีมูลค่าที่สุดสำหรับมันคือความตายของอาเหลียง”
สยุมภูว์กับเลขาฯ มองเพิ่มพงษ์ด้วยสีหน้าคิดหนัก
ตำรวจมานั่งคุยกับนิติธร แวว และนิติภูมิพร้อมรูปถ่ายรถตู้ที่ถูกจับได้ผ่านกล้องจรปิดบนถนน
“รถตู้ต้องสงสัยมุ่งหน้าไปยังท่าโกดังท่าเรือริมแม่น้ำแล้วครับ สายที่นั่น พร้อมรายงานเราทันทีที่มีความเคลื่อนไหวครับ”
“ขอบคุณมากครับ ผมจะรีบแจ้งเรื่องนี้ให้คุณสยุมภูว์ทราบครับ”
นิติธรพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ ส่วนแววมีสีหน้าเป็นห่วง ส่วนนิติภูมิยิ้มเมื่อได้ข้อมูลสำคัญจากตำรวจ
เพิ่มพงษ์เปิดสปีกเกอร์โฟนให้สยุมภูว์และเลขาฟัง
เสียงนิติธรดังมาจากโทรศัพท์ “ส่วนเรื่องเงินค่าไถ่ ผมเตรียมไว้เรียบร้อย คุณสยุมภูว์จะให้จัดการยังไงต่อครับ”
“เลขาของมิสเตอร์เหลียงจะเอากระเป๋าเงินไปให้มันตามเวลาที่นัดหมายไว้” สยุมภูว์บอก
“ครับ คุณสยุมภูว์” นิติธรรับคำ
“ทางตำรวจคืบหน้าอย่างไร โทรหาผมได้ตลอดเลยนะครับ” สยุมภูว์พูด
สยุมภูว์หน้าเครียดเพราะคาดเดาไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
นิติภูมิเดินคุยโทรศัพท์กับศักดาเข้ามาในห้องทำงานของเขา
“แกพาลูกน้องไปที่โกดังริมน้ำนั่นนะ ฉันจะให้แกชิงเงินค่าไถ่ ทำให้พวกนั้นมันเข้าใจผิดว่าไอ้สยุมภูว์มันเบี้ยวจะได้จัดการไอ้เหลียงซะ”
“เข้าใจแล้วครับคุณนิติภูมิ” ศักดารับคำสั่ง
“ระวังด้วยล่ะ พวกตำรวจส่งสายไปที่นั่นแล้ว”
“ครับ..ผมจะไปเดี๋ยวนี้”
นิติภูมิตัดสายไปแล้วยิ้มกริ่มกับแผนการของตัวเอง
ณ โกดังร้าง เหลียงถูกจับขึงอยู่บนเตียงในสภาพกางแขนกางขาที่ปลายเท้าของเขามีเลื่อยขนาดใหญ่ที่กำลังเดินเครื่องอยู่ตรงกลางหว่างขาของเขา เหลียงพยายามจะร้องตะโกนแต่ก็ร้องไม่ได้เพราะถูกจับมัดปากไว้ หนึ่งในแก๊งค์แพนด้าโบกมือสั่งลูกน้องอีกคน
“โอเค..ปิดสวิทช์”
เลื่อยหยุดทำงาน เหลียงโล่งอกแต่เหงื่อก็แตกพลั่ก
ชายชุดดำยิ้มให้เหลียง “ตรงนี้ กลางตัวพอดี...เป๊ะ”
เหลียงจะร้องไห้อีก แต่ชายชุดดำไม่สนใจ
“ตอนนี้ก็รออย่างเดียว รอว่าลูกน้องแกจะรักแกมากแค่ไหน” ชายชุดดำพูด
ชายชุดดำแสยะยิ้มให้เหลียง แล้วเอาไปมือจับที่หน้าอกของเหลียงจนเหลียงสะดุ้ง
ชายชุดดำทำเป็นได้ยินเสียงหัวใจเต้น “เต้นเป็นเพลงร็อคเชียวนะ”
ลูกน้องร่วมแก๊งค์หัวเราะลั่นอย่างสะใจ เหลียงส่ายหน้าอย่างไม่ยอมรับชะตากรรมตัวเอง
อ่านต่อหน้าที่ 2
แววมยุรา ตอนที่ 10 (ต่อ)
ชลธิชายกถาดขนมออกมาจากในครัวของร้านกาแฟ เริงใจรีบเข้าไปหาชลธิชา
ชลธิชามองหาเอกรินทร์ “คุณเอกไปแล้วเหรอ”
“ก็หล่อนมัวแต่อบขนม ผู้ชายที่ไหนเขาจะรอล่ะ..เฮ้อ..คนที่อยากให้อยู่ดันกลับไป แต่คนที่อยากให้ไปกลับยังอยู่ ขวางหูขวางตาเชียว” เริงใจบ่น
“จะพูดให้งงทำไมล่ะเนี่ย ใครอยู่ใครไปอะไรกัน”
เริงใจพยักเพยิดไปที่แป้งร่ำ “ก็นั่นไงเล่า ถ้าไม่ติดว่าเป็นลูกค้านะจะไล่กลับไปแล้ว”
“คุณแป้งเขาอยากคุยกับเราหรือเปล่า” ชลธิชาถาม
“อยากเยาะเย้ยล่ะไม่ว่า” เริงใจบอก
ชลธิชาดุ “เริง..ไม่เอาน่า”
ชลธิชามองไปทางแป้งร่ำแล้วยืนตัดสินใจว่าจะเข้าไปคุยด้วยดีหรือไม่
โทรศัพท์ที่ตำรวจโทรเข้ามารายงานความคืบหน้าวางอยู่บนโต๊ะ สยุมภูว์ เพิ่มพงษ์ เลขาฯ ตั้งใจฟังอยู่ในห้องส่วนตัวที่ภัตตาคารอาหารจีน
“พวกมันอยู่กันที่โกดังอย่างที่เราคาดการณ์ไว้ครับ น่าจะมีลูกน้องประมาณสิบคนที่ดูแลอยู่รอบๆ ด้วย” ตำรวจบอก
“แล้วตำรวจจะเข้าไปในโกดังได้ยังไงครับ” สยุมภูว์ถาม
“โกดังนี้ไม่มีทางเข้าออกอื่นครับ เราจำเป็นต้องล่อคนเฝ้าประตูออกมา แล้วถึงจะให้คอมมานโดกระจายกันเข้าไปข้างใน” ตำรวจบอก
สยุมภูว์ถามต่อ “เป็นไปได้ไหมครับที่จะเข้าไปชิงตัวคุณเหลียงออกมาตอนนี้”
“ทางโน้นขอซุ่มดูสักพักให้แน่ใจเรื่องจำนวนคนร้ายก่อนครับ ถ้าบุ่มบ่ามเข้าไปตอนนี้กลัวว่าจะเป็นอันตรายทั้งฝ่ายเราเองและตัวประกัน”
“ถ้าอย่างนั้นผมจะให้เลขามิสเตอร์เหลียงไป Stand by ตรงจุดนัดพบกับแก๊งค์แพนด้าตามแผนนะครับ อย่างน้อยพวกมันจะได้เห็นว่าเราไม่เบี้ยวและไม่ทำอะไรมิสเตอร์เหลียงก่อนที่ทางตำรวจจะเข้าไปชิงตัวคุณเหลียงออกมา” สยุมภูว์อธิบาย
“ดีครับคุณสยุมภูว์ ผมจะแจ้งความคืบหน้าให้เร็วที่สุดครับ”
“ขอบคุณครับ”
สยุมภูว์วางสาย เขาคิดอะไรบางอย่างแล้วหันไปบอกเพิ่มพงษ์
“ผมจะไปกับคุณเลขาด้วย”
เพิ่มพงษ์ท้วง “อย่าเลยครับ”
“ผมไม่มีทางปล่อยให้มิสเตอร์เหลียงเป็นอะไรเพราะผม” สยุมภูว์ยืนยัน
เลขาฯ มองสยุมภูว์ด้วยสีหน้าพอใจ
รถของศักดาแล่นเข้ามาจอดที่มุมหนึ่งไม่ไกลจากโกดัง เขามองไปรอบๆ บริเวณก็เห็นผู้ชายท่าทางมีพิรุธหลายคนเดินบ้าง นั่งบ้างอยู่บริเวณนั้น
ศักดาคุยโทรศัพท์ผ่านสมอล์ทอร์คกับนิติภูมิ “ครับคุณนิติภูมิ”
“เลขามิสเตอร์เหลียงมันกำลังจะไปที่นั่น แกเตรียมตัวให้ดีนะ” นิติภูมิบอก
ศักดามองไปรอบๆ
“ทันทีที่แกเห็นมัน ให้ลูกน้องแกเข้าไปรับสวมรอยเป็นไอ้แก๊งค์นั่นทันที..ฉันอยากเห็นมิสเตอร์เหลียงถูกจัดการเร็วที่สุด”
ศักดารับคำ “ครับคุณนิติภูมิ”
ศักดาวางสายแล้วมองไปรอบๆ
ศักดาสั่งลูกน้อง “ไปแสตนด์บายได้เลย เลขาของไอ้เหลียงมาเมื่อไร ฉันจะโทรกลับไป”
ลูกน้องของศักดาจับสมอล์ทอร์คเหน็บซ่อนที่หูให้เข้าที่ แล้วจึงกระจายกันออกไปตามคำสั่ง
นิติธรนั่งหน้าเครียดดูนาฬิกา เขารอโทรศัพท์จากตำรวจที่จับตาอยู่ที่โกดัง สักพักเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ตำรวจที่อยู่กับนิติธรกดรับ
“ทางนั้นเป็นยังไงบ้างครับ” ตำรวจที่รับสายถาม
แวว กับนิติธรรอคำตอบจากตำรวจที่เพิ่งคุยโทรศัพท์เสร็จ
“ที่โกดังพร้อมแล้วครับ คุณสยุมภูว์ก็อยู่ที่นั่นด้วย” ตำรวจรายงาน
แววกับนิติธรตกใจเมื่อรู้เรื่อง
แววเป็นห่วง “คุณสยุมภูว์ !”
เลขาฯ ของเหลียงถือกระเป๋าเดินทางมาที่โกดังแล้วไปยืนรอตรงจุดนัดหมาย เพิ่มพงษ์จับตาดูคนที่เดินอยู่รอบๆเลขาฯ ลูกน้องของศักดาคนหนึ่งที่หลบอยู่ที่มุมหนึ่งของสถานีรถไฟรับโทรศัพท์จากศักดา
“ลงมือได้เลย..มันมาแล้ว” ศักดาสั่งผ่านโทรศัพท์
ลูกน้องของศักดาออกจากที่ซ่อนไปแสดงตัวกับเลขาฯ เหลียง เลขาฯ เหลียงมองหน้าลูกน้องของศักดาให้แน่ใจว่าเป็นคนของแก๊งแพนด้า
“ผมจะแน่ใจได้ยังไงว่าคุณเหลียงปลอดภัย” เลขาฯ ถาม
“ฉันไม่มีเวลามาเจรจากับแก ถ้าไม่อยากได้เจ้านายแกแบบยังมีลมหายใจกลับไปก็ตามใจ”
เลขาฯ เหลียงยังไม่แน่ใจจึงยังไม่ยื่นกระเป๋าใส่เงินให้
“งั้นก็รอรับศพเจ้านายแกกลับเมืองจีนไปเลยก็แล้วกัน” ลูกน้องของศักดาขู่
ลูกน้องของศักดาทำเป็นไม่สนใจแล้วทำท่าจะเดินกลับไป
“แล้วเจ้านายผมอยู่ที่ไหน” เลขาฯ ถาม
“แกทำฉันเสียเวลามากไปแล้ว”
ลูกน้องของศักดาไม่สนใจเลขาแล้วจะเดินหนีไปอีก แต่อยู่ๆ เขาก็ล้มฟุบลงไปกับพื้น เลขาฯ ของเหลียงตกใจเมื่อเห็นรอยกระสุนที่ท้ายทอยของลูกน้องศักดาคนนั้น
ศักดาที่แอบดูอยู่ก็งงว่าเกิดอะไรขึ้น
“อะไรของมันวะ”
“ไอ้แก๊งค์แพนด้ามันรู้ตัวแล้วแน่ๆเลยพี่ เราจะทำไงกันดีครับ” ลูกน้องอีกคนถาม
ศักดายิ้มร้าย “ก็รอดูรถมาเก็บศพไอ้เหลียงน่ะสิ”
เลขาฯ เหลียงมองไปรอบๆ อย่างระมัดระวังเพราะไม่รู้ว่ากระสุนมาจากไหน สักพักโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น เลขาฯ เหลียงรับโทรศัพท์
“เล่นอะไรของแก” แก๊งแพนด้าถาม
“ฉันต้องถามแกต่างหาก นี่มันฝีมือพวกแกหรือเปล่า แกยิงพวกเดียวกันเองทำไม” เลขาฯ เหลียงถามกลับ
Wไม่ต้องมาตบตาฉัน แกพาใครมาด้วย” แก๊งแพนด้าถามอีก
เลขาฯ เหลียงงง “ฉันไม่รู้เรื่อง แกพูดอะไร”
“งั้นฉันไม่ต้องการเงินของแกแล้ว” แก๊งแพนด้าตัดบท “เพราะตอนนี้ชีวิตไอ้เหลียงต่างหากที่มีค่ามากกว่า ลูกค้าฉันคงจ่ายเงินให้อย่างงามถ้ารู้ว่าไอ้เหลียงมันตายอย่างน่ารันทดแค่ไหน...แกอย่าคิดว่าจะได้เจอเจ้านายแกอีกเลย”
เสียงปืนลั่นโป้งป้างดังขึ้นทั่วบริเวณ เลขาฯ เหลียงหาที่หลบ สักพักเขาเห็นรถตู้คันหนึ่งขับพุ่งออกมาจากโกดัง ผ่านหน้าเขาไปพร้อมกับเสียงปืนที่เงียบลง
เลขาฯ เหลียงมองตามรถตู้ไป
“คุณเหลียง !”
ศักดามองตามรถตู้คันนั้นไป
“งานนี้แก๊งค์แพนด้ามันไม่ปล่อยอาเหลียงไว้แน่” ศักดาพูด
ศักดากดโทรศัพท์หานิติภูมิ
นิติภูมิรับโทรศัพท์ฟังรายงานจากศักดา
“พรุ่งนี้มันได้เป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลกแน่ๆ แล้วไอ้สยุมภูว์..ความน่าเชื่อถือของมันจะไม่มีเหลือ แล้วมันก็จะมีแต่เจ๊งกับเจ๊งเพราะคงไม่มีใครไว้ใจจะทำงานกับทศพลกรุ๊ปอีกแล้ว” นิติภูมิสะใจ
“ผมถอนตัวจากที่นี่เลยนะครับ” ศักดาบอก
“แกรีบออกไปตอนนี้ก็ดี ก่อนที่ตำรวจมันจะแห่มาตรวจที่เกิดเหตุ”
“ครับคุณนิติภูมิ”
นิติภูมิตัดสายไป
เหลียงถูกจับมัดนอนอยู่ที่เดิม เขามีท่าทางอ่อนระโหยโรยแรง แก๊งค์แพนด้าเดินตรงมาหาเหลียง
แก๊งค์แพนด้าพูดกับคนในโทรศัพท์ “ถ้าสับสวิทช์แล้ว ไม่เกินสิบนาทีไอ้นี่มันเหลือแต่ซากแน่ๆ เจ้านายจะให้ผมลงมือเลยมั้ยครับ...ได้ครับ..จัดการเรื่องทางนี้เรียบร้อยแล้วผมจะรีบออกไปทันที”
เหลียงได้ยินการสนทนาก็ทำหน้าตื่นเมื่อรู้ชะตากรรมของตัวเอง เขาพยายามดิ้นรนขอชีวิต
แก๊งค์แพนด้าพูดกับเหลียง “ช่วยไม่ได้ว่ะ ฉันขัดคำสั่งเจ้านายไม่ได้...แล้วอีกอย่าง พวกแกทำตุกติกกับพวกฉันก่อน..ฉันไปล่ะนะ..อยู่แถวนี้นานๆเดี๋ยวใจอ่อน”
สวิทช์เครื่องจักรถูกสับลง ใบเลื่อยยักษ์ทำงานอีกครั้ง เหลียงที่ถูกจับมัดมือมัดปากตะเกียกตะกายดิ้นหนีแต่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะหลุด แก๊งค์แพนด้าเดินออกไปอย่างไม่ใยดี
สยุมภูว์กับเพิ่มพงษ์เดินออกมาดูเลขาฯ เมื่อเห็นว่าแก๊งค์แพนด้าไปหมดแล้ว เพิ่มพงษ์ สยุมภูว์ดูศพลูกน้องศักดา
“นี่มันไม่ใช่แก๊งค์แพนด้าครับ..ผมว่านอกจากแก๊งค์แพนด้าแล้วมันต้องมีคนสวมรอยเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้แน่ๆ แต่มันทำพลาดก็เลยเป็นแบบนี้” เลขาฯ บอก
เพิ่มพงษ์พยักหน้า “งั้นเหรอครับ”
เพิ่มพงษ์มองหน้าสยุมภูว์ด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“แล้วคุณเหลียงล่ะครับ” เลขาฯ ถาม
“คุณเลขาไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ตำรวจตามสกัดมันทุกเส้นทางแล้ว” เพิ่มพงษ์บอก
“หวังว่าเราจะช่วยคุณเหลียงได้ทันนะครับ” เลขาฯ กังวลใจ
เพิ่มพงษ์พยุงเลขาฯ ออกไปพร้อมกับกระเป๋าเงินค่าไถ่ สยุมภูว์ยังยืนอยู่ที่เดิม เขามองไปรอบๆ ก่อนจะทำหน้าสงสัยอะไรบางอย่าง
สยุมภูว์เห็นว่าแก๊งค์แพนด้ารีบเดินออกมาจากโกดัง แก๊งแพนด้าเห็นว่าสยุมภูว์มองอยู่ แต่ก็ไม่ทำตัวให้มีพิรุธ สยุมภูว์เริ่มสงสัยหนักเลยเดินเข้าไปหา แก๊งค์แพนด้าเลยวิ่งหนี สยุมภูว์เห็นว่ามีพิรุธเลยวิ่งตามไปจนถึงโกดังแต่ก็ไม่มีใครอยู่ที่นั่นแล้ว สยุมภูว์มองไปรอบๆไม่เห็นใคร ก่อนจะมองเข้าไปในโกดังที่ถูกเปิดทิ้งไว้แล้วได้ยินเสียงใบเลื่อยดังออกมา
เลื่อยไฟฟ้ายังคงทำงาน เหลียงพยายามร้องขอชีวิตแต่ก็ไม่มีเสียงร้องเพราะถูกมัดปากไว้ เชือกรัดมือของเขาแน่นโดยที่ไม่มีทางที่เหลียงจะหลุดออกมาได้เอง
สยุมภูว์เดินตามเสียงเลื่อยไฟฟ้าเข้ามาในโกดัง โดยไม่เห็นว่าแก๊งค์แพนด้าแอบตามเข้ามาในโกดังเพื่อจัดการกับเขาด้วย เหลียงพยายามดิ้นรนสุดชีวิตเมื่อเลื่อยไฟฟ้าเคลื่อนเข้าใกล้เป้ากางเกงของเขาเรื่อยๆ โดยไม่สามารถจะหลบไปทางไหนได้
สยุมภูว์โผล่มาพอดีและเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น เขามองหาสวิทช์เพื่อปิดเครื่อง พอเจอแล้วเขาก็พุ่งตรงไปที่สวิทช์แต่ยังไม่ทันได้กดสวิช์ก็ต้องชะงักเมื่อแก๊งค์แพนด้าโผล่มาดักหน้าเขาไว้พร้อมปืน
“ปิดเครื่องก่อนได้มั้ย..แล้วค่อยว่ากัน” สยุมภูว์เจรจา
แก๊งค์แพนด้าเห็นว่าเลื่อยกำลังจะพุ่งเข้าหาเหลียงแล้วจึงยิ้มสะใจ
“แย่จัง..ไม่ทันแล้ว” แก๊งแพนด้าเปรยออกมา
สยุมภูว์หันไปมอง เหลียงหลับตาปี๋ เลื่อยกำลังจะพุ่งเข้ากลางตัวของเหลียง สยุมภูว์เตะกระสอบใส่ของที่อยู่ใกล้เท้าขึ้นไปขวางใบเลื่อยเอาไว้ ใบเลื่อยฟันของในกระสอบกระจายหมดแต่ยังทำงานต่อ
สยุมภูว์ยิ้มให้แก๊งค์แพนด้า “ไม่ได้ผล”
“นั่นดิ” แก๊งแพนด้าบอก
สยุมภูว์ฉวยโอกาสที่แก๊งค์แพนด้ามองเหลียงเข้าไปประชิดตัวแล้วหักมือจนแก๊งค์แพนด้าร้องลั่น ปากกระบอกปืนหันเข้าไปหาตัวแก๊งค์แพนด้า ทั้งสองยื้อยุดปืนกันไปมา
เลื่อยไฟฟ้าฟันข้าวของในกระสอบจนกระจุย ใบเลื่อยพุ่งเข้าหาเหลียงตัดเป้ากางเกงของเขาขาดกระจุย เหลียงพยายามกระถดตัวหนี แก๊งค์แพนด้ายื้อให้ปากกระบอกปืนหันไปทางสยุมภุว์ ขณะที่สยุมภูว์พยายามเล็งปากกระบอกปืนไปที่สวิทช์เมื่อได้ตำแหน่ง เขาจึงลั่นกระสุนออกไปแต่กระสุนกลับด้านทำให้ยิงไม่ออก
สยุมภูว์กระแทกปืนให้ตกลงที่พื้นแล้วศอกใส่แก๊งค์แพนด้าจนหงายหลังไป ในเสี้ยววินาทีนั้นเขาคว้าปืนมาขึ้นไกแล้วยิงไปที่สวิทช์อีกครั้ง กระสุนพุ่งไปโดนสวิทช์เต็มๆ ทำให้ใบเลื่อยหยุดทำงานขณะที่เหลียงกระถดตัวไปจนสุดแต่เป้ากางเกงขาดเป็นทาง
สยุมภูว์หันกลับมาดูผลงานแล้วก็รู้สึกโล่งอก แก๊งค์แพนด้าที่โดนศอกกลับนอนสลบกองอยู่ที่พื้นเพิ่มพงษ์กับเลขาฯ ตามเข้ามาในโกดังพร้อมกับตำรวจ เลขาฯ เข้าไปช่วยแกะเชือกให้เหลียง เหลียงมองหน้าสยุมภูว์ด้วยความดีใจเหมือนพระเจ้ามาโปรด
ตำรวจคุมตัวแก๊งค์แพนด้าออกมาจากโกดัง แล้วให้ขึ้นรถผู้ต้องขังที่มาจอดรออยู่ เจ้าหน้าที่ลำเลียงศพลูกน้องศักดาขึ้นรถอีกคันไป สยุมภูว์ดูแลให้เหลียงขึ้นรถพยาบาลพร้อมกับเลขาฯ ก่อนจะเดินไปหาตำรวจ
“แล้วพวกที่หนีไปได้ล่ะครับ” สยุมภูว์ถาม-
“เราดักรถตู้มันได้ทันครับ ตอนนี้กำลังควบคุมตัวไปสอบสวน” ตำรวจบอก
“จับได้ยกแก๊งค์อย่างนี้ คงสาวไปถึงคนบงการได้ไม่ยากนะครับ” สยุมภูว์ถาม
“ครับ..เราจะประสานตำรวจทางจีนด้วย แก๊งค์นี้ตำรวจกำลังตามจับอยู่พอดี”
สยุมภูว์ยิ้มรับ “ขอบคุณมากนะครับที่ช่วยเป็นธุระเรื่องนี้”
“มันเป็นหน้าที่ของเราครับ..ส่วนเรื่องคดี ถ้าคืบหน้ายังไง ผมจะรีบแจ้งให้ทราบนะครับ ขอตัวก่อนนะครับ”
ตำรวจตะเบ๊ะสยุมภูว์แล้วขอตัวออกไป สยุมภูว์ถอนใจเฮือกใหญ่
สยุมภูว์พูดกับเพิ่มพงษ์ด้วยสีหน้าหวั่นวิตก “คุณเหลียงยังจะอยากคุยกับเราอีกมั้ยล่ะเนี่ย”
เลขาฯ ยืนดูอาการของเหลียงที่เตียงคนไข้ในโรงพยาบาลใหญ่ นิติธรกับแววเดินเข้ามาดูอาการของเหลียง
“คุณเหลียงเป็นยังไงบ้างครับ” นิติธรถาม
“ไม่น่าเป็นห่วงแล้วครับ มีแค่อาการเพลียเล็กน้อยเท่านั้น โชคดีนะครับที่คุณสยุมภูว์เข้าไปช่วยทัน ไม่อย่างนั้นคงจะแย่กว่านี้” เลขาฯ บอก
“ไม่นึกเลยนะคะว่าคุณสยุมภูว์จะบู๊อย่างนี้” แววพูด
“คุณคงรู้จักเจ้านายตัวเองน้อยไปนะครับคุณแวว” เลขาฯ เย้า
“ค่ะ..แววแทบไม่รู้จักเจ้านายแววเลยด้วยซ้ำ”
“ถ้าอย่างนั้นคุณควรจะรู้ด้วยว่า เจ้านายคุณเป็นคนดีคนหนึ่งเท่าที่ผมเคยพบมาเลย คุณเหลียงเล่าให้ผมฟังว่าคุณสยุมภูว์สู้กับแก๊งค์แพนด้าโดยไม่ได้ห่วงความปลอดภัยของตัวเองเลย “ เลขาฯ พูดกับนิติธร “คุณเหลียงฟื้นขึ้นมาเมื่อไร เราคงต้องนัดพบกันอีกครั้งนะครับคุณนิติธร”
“ครับ ผมจะรีบนัดคุณสยุมภูว์ให้ทันทีเลยครับ” นิติธรรับคำ
“แล้วพบกันนะคุณแวว”
“ค่ะ..คุณเลขา”
แววยิ้มให้ ขณะที่ในใจก็อดคิดถึงสิ่งที่เลขาฯ พูดถึงสยุมภูว์ไม่ได้
สยุมภูว์ร้องโอดโอยเมื่อเพิ่มพงษ์ประคบน้ำร้อนตรงรอยบอบช้ำให้เขา
“โอ๊ย..เบาๆหน่อยดิ ผมรอดจากพวกนั้นมาได้แต่จะมาเดี้ยงเพราะคุณนี่แหละ”
“ตอนจะเข้าไปช่วยเขาทำไมไม่คิดล่ะครับ” เพิ่มพงษ์ถาม
“มัวแต่คิด คุณเหลียงก็ไม่รอดสิครับ”
“แต่คุณไม่ใช่พวกหน่วยสวาทนะ ตะลุยเข้าไปอย่างนั้น ถ้ามันยิงสวนมาหน้าหงาย จะทำยังไงล่ะครับ”
“ที่พูดมาทั้งหมดนี่ ด่าหรือเป็นห่วงครับ”
“มันก็ห้าสิบห้าสิบน่ะนะ” เพิ่มพงษ์บอก
“แต่ผมรู้น่าว่าคุณเพิ่มพงษ์ด่าเพราะเป็นห่วง”
“อย่าทำอย่างนี้อีกนะครับคุณสยุมภูว์ ผมจะหัวใจวายตาย”
แจ๊คที่กำลังถือกะละมังใส่น้ำอุ่นเข้ามาหาแอบยืนฟังอยู่ที่มุมหนึ่งไม่ไกลกัน
“ไหนบอกว่าพี่จักรตกท่อมา มันชักจะยังไงแล้วสิเนี่ย”
เสียงเพิ่มพงษ์ดังขึ้น “ไอ้แจ๊ค...น้ำร้อนได้หรือยัง”
แจ๊คยังสงสัยไม่หายแต่ก็ขานรับ “มาแล้ว..น้าเพิ่ม”
แจ๊คเดินออกไปหาเพิ่มพงษ์ทันที
-รถของคำรพเลี้ยวผ่านหน้าป้ายโรงแรมม่านรูดแห่งหนึ่งเข้าไป คำรพยิ้มกริ่มมองหน้าวัณณรีที่นั่งข้างๆ
“อุ๊ย..เลี้ยวเข้ามาจอดตรงนี้ได้ไงเนี่ย สงสัยหัวใจมันจะพามา” คำรพบอก
“แล้วจะรออะไรอยู่ละคะ..วัณอยากรู้จะแย่แล้วเนี่ยว่าในห้องมีอะไร”
วัณณรียิ้มอย่างมีแผนโดยที่คำรพไม่รู้
เวลาผ่านไป คำรพในชุดผ้าขนหนูผืนเดียวเดินออกมาจากห้องน้ำเตรียมพร้อมเผด็จศึกวัณณรีเต็มที่
“มาแล้วจ้ะ..”
คำรพชะงักเมื่อไม่เห็นวัณณรีอยู่ในห้อง
คำรพยิ้ม “อยากเล่นซ่อนหาเหรอจ้ะ..ไหน..อยู่ตรงไหน”
คำรพย่องไปที่ตู้เส้อผ้าแล้วเคาะประตูตู้แต่ไม่มีเสียงของวัณณรีเล็ดลอดออกมา คำรพกระหยิ่มยิ้มย่องแล้วกระชากประตูตู้เสื้อผ้าออก
“จ๊ะเอ๋...!”
ไม่มีใครอยู่ในตู้เสื้อผ้าอย่างที่คำรพคิด คำรพทำหน้าสงสัยก่อนจะคิดออกว่าวัณณรีจะซ่อนอยู่ที่ไหน แล้วคำรพก็หันไปมองที่ใต้เตียง
“หรือว่าอยู่นั่น”
คำรพตรงไปที่เตียงแล้วก้มดูใต้เตียง
“นั่นแน่..!”
คำรพยังไม่เจอใครอีก แต่ระหว่างที่ก้มมองใต้เตียงเขากลับเห็นเท้าคนสี่คู่เดินเข้ามาในห้อง คำรพทำหน้าแปลกใจก่อนจะยิ้มออกมา
“อุ้ย..พาเพื่อนมาสนุกด้วย หนูวัณนี่ไม่ธรรมดาเลยนะเนี่ย”
คำรพลุกขึ้นแต่เมื่อเห็นคนที่ยืนอยู่รอบเตียงถึงกับตะลึง เพราะคนที่เข้ามาในห้องเป็นนักกล้ามสี่คน ซึ่งทุกคนมีแส้หนังเป็นอาวุธประจำตัว
“หนูวัณล่ะ” คำรพถาม
นักเพาะกายคนหนึ่งฟาดแส้แล้วถามกลับ “มีแต่วันลาโลกได้ไหม”
“อย่ามาเล่นลิ้น หนูวัณล่ะ” คำรพถามย้ำ
นักเพาะกายคนที่สองฟาดแส้ “ไม่ชอบเล่นลิ้น แต่ชอบเล่นแรงๆ”
นักเพาะกายอีกสองคนเข้าไปดักคำรพ คำรพเริ่มรู้สึกไม่ดี
“พวกแกจะทำอะไร”
นักเพาะกายทั้งสี่คนฟาดแส้พร้อมกัน ก่อนจะเดินเข้าหาคำรพ
นักเพาะกายอีกคนบอก “ชอบแบบซาดิสม์ เดี๋ยวจัดให้สมใจอยากเลย”
คำรพจะวิ่งหนีแต่โดนนักเพาะกายที้งสี่รุมไม่ให้หนีไปไหน คำรพตาเหลือกร้องโวยวาย
“หนูวัณ..หนูวัณ ช่วยพี่คำรพด้วย”
เสียงคำรพร้องครวญครางดังออกมาจากห้อง วัณณรีที่ยืนอยู่หน้าห้องหัวเราะอย่างสะใจ
นิติภูมิคุยโทรศัพท์กับศักดาที่คฤหาสน์ทศพล
“มิสเตอร์เหลียงมันยังพักรักษาตัวอยู่ที่นี่ แปลว่าเรายังมีโอกาส..รอให้มันหายดี มันคงนัดส่งข้อมูลสำคัญกันแน่ๆ ถึงวันนั้นเมื่อไรแล้วฉันจะเรียกใช้แก”
“ครับคุณนิติภูมิ”
นิติภูมิเห็นว่านิติธรกลับมาที่บ้านจึงรีบวางสายไป
“แขกคนสำคัญของพ่อเป็นยังไงบ้างครับ” นิติภูมิถาม
“มิสเตอร์เหลียงไม่ได้เป็นอะไรมาก อีกสองสามวันคงออกจากโรงพยาบาลได้” นิติธรบอก
“เจอเรื่องแบบนี้คงจะเข็ดไปอีกนานแน่ๆ”
“เข็ดไม่เข็ดฉันไม่รู้ แต่เหตุการณ์นี้มันก็ทำให้คุณเหลียงมั่นใจในตัวคุณสยุมภูว์มากขึ้นมาอีก”
นิติภูมิเจ็บใจแต่ก็เก็บความรู้สึก “งั้นเหรอครับ”
“แต่ดูแกจะไม่ยินดียินร้ายกับเรื่องนี้เท่าไรนะ เจ้าภูมิ”
“ทำไมพ่อต้องให้ผมคิดอะไรเหมือนพ่อด้วยล่ะ บริษัทนี้ไม่ใช่ครอบครัวของผม ใครจะเป็นจะตายผมคงไม่จำเป็นต้องรู้สึกอะไรด้วย”
นิติภูมิยิ้มให้นิติธรแล้วเดินเข้าบ้านไป ทิ้งให้นิติธรยืนอึ้งพูดไม่ออกอยู่ตรงนั้น
แววกลับมาบ้าน เธอเห็นว่าสยุมภูว์เกาะรั้วยืนรออยู่ สยุมภูว์เห็นแววเดินเข้าบ้านแบบเหนื่อยอ่อนก็สงสาร
“วันนี้คุณคงเหนื่อยมากสินะ” สยุมภูว์เอ่ยออกมา
แววได้ยินเสียงสยุมภูว์เลยหันมามอง
“นายรู้ได้ยังไง” แววถาม
“ก็คุณดูไม่สดชื่นเหมือนทุกวัน”
แววเดินเข้ามาใกล้
“แล้วนายล่ะ” แววเห็นรอยช้ำบนหน้าสยุมภูว์จึงถามออกมา “เจ็บหรือเปล่า”
สยุมภูว์นิ่งไปเพราะคิดว่าแววรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
สยุมภูว์อึกอัก “เจ็บ...คุณหมายถึง”
“ก็นายเอาหน้าไปถูอะไรมาล่ะ..ถึงเป็นรอยอย่างนั้น”
สยุมภูว์รู้ตัว “อ๋อ..ผมตกท่อน่ะ” แววทำหน้าประหลาดใจ “ก็ตกท่อสิ..ไม่เคยเห็นคนตกท่อหรือไง”
“สรุปว่าวันนี้ฉันได้เจอทั้งฮีโร่ที่ช่วยชีวิตคนอย่างเจ้านายฉัน แล้วก็ยังได้เจอคนเซ่อซ่าดูแลตัวเองไม่ได้อย่างนายด้วย” แววบอก
“โธ่เอ๊ย..นึกว่าจะเป็นห่วง...แถมยังยกเรื่องเจ้านายมาเปรียบเทียบซ้ำเติมกันอีก” สยุมภูว์บ่น
“คนที่ฉันควรจะห่วงน่ะคือคุณสยุมภูว์ต่างหากล่ะ” แววว่า
“เห็นคนรวยมันดีอย่างนี้ มีแต่คนเอาใจช่วย”
“มันไม่เกี่ยวกับเรื่องรวยไม่รวยสักหน่อย ฉันก็ปลื้มทุกคนที่ทำอะไรดีๆ นั่นแหละ”
“แล้วที่มาทะเลาะกับผมอยู่นี่ล่ะ”
“หลงตัวเอง..พูดเองเออเองว่าเป็นคนดีอย่างนี้แล้วจะให้ใครเขามาปลื้มยะ”
“ผมไม่มีอะไรดีในสายตาคุณจริงๆเหรอ” สยุมภูว์เปรย แววนิ่งไป สยุมภูว์เห็นก็พูดต่อ “นี่..คุณ ผมก็พูดไปเรื่อยนั่นแหละ อย่าคิดมากนะ”
แววถาม “รู้ได้ไงว่าฉันคิดมาก”
“แววตาอย่างคุณน่ะ โกหกใครเขาได้”
แววมองหน้าสยุมภูว์เหมือนจะพูดอะไรต่อแต่กลับตัดใจไม่พูดออกมา
“ฉันเข้าบ้านก่อนนะ วันนี้เหนื่อยมาทั้งวันเลย”
แววยิ้มให้สยุมภูว์ แล้วหันหลังเดินกลับเข้าบ้านไป ก่อนจะตัดสินใจหันกลับมาพูดกับสยุมภูว์ แต่สยุมภูว์ไม่ได้ยืนอยู่ที่รั้วข้างบ้านแล้ว
แววมองไปทางบ้านสยุมภูว์แล้วพูดออกมา “ถึงนายจะเซ่อซ่าอย่างนั้น แต่นายก็ทำให้ฉันรู้สึกดีๆ ได้เหมือนกันนั่นล่ะ”
สยุมภูว์ยังแอบดูแววอยู่ที่หลังพุ่มไม้ เขาจึงได้ยินสิ่งที่แววพูดแล้วถึงกับยิ้มกว้าง
“สยุมภูว์..นายจักร...ใครกันนะที่อยู่ในใจคุณ”
อ่านต่อหน้าที่ 3
แววมยุรา ตอนที่ 10 (ต่อ)
วัณณรีกำลังเล่าเรื่องคำรพให้มาลตีกับโรสฟังอยู่ที่บ้าน
“ป่านนี้ ตาแก่หัวงูนั่นโดนแส้จนหลังลายไปทั้วตัวแล้วแน่ๆเลย” โรสว่า
“สมควรจะโดนแล้ว คิดจะมอมยาเคลมฉัน ไม่โดนอย่างนี้ก็ไม่เข็ดหรอก” วัณณรีบอก
“ยัยวัณ แกไม่ทำแรงเกินไปเหรอ” มาลตีถาม
“นี่คุณมาลตีแอบเอาใจช่วยอีตาหัวงูหรือคะ” โรสถามกลับ
มาลตีทำหน้าสยอง “เปล่า...แค่สยองแทนน่ะ”
แววเดินเข้ามาพอดี เธอเห็นว่าทุกคนกำลังคุยกันอย่างสนุกสนาน
“คุยอะไรกัยอยู่ แม่ ยัยวัณ”
“ก็เรื่องอีตาคำรพสิคะ” วัณณรีบอก
“คุณคำรพ..ทำไมเหรอ เขาจะทำอะไรยัยวัณ” แววตกใจ
“คุณแววขา ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ตาหัวงูนั่นคงไม่กล้าโผล่มาที่นี่อีกนานเลยล่ะค่ะ คุณวัณน่ะเช็คบิลตาคำรพเรียบร้อยแล้ว” โรสเล่า
แววงง “ยัยวัณเนี่ยนะ”
“ทำไมล่ะพี่แวว..วัณน่ะไม่ได้มีดีแค่สวยนะคะ”
“ลูกแม่น่ะสวยซ่อนดุ จริงมั้ยจ้ะลูก” มาลตีบอก
“พี่ไม่เคยคิดเลยนะว่ายัยวัณจะบู๊เป็นกับเขาด้วย” แววพูด
“แหม..คนเรามันก็มีหลายด้านนะพี่ เพียงแต่ว่าเราอยากปิดเปิดด้านไหนให้ใครเห็น แต่วัณน่ะไม่ถึงขนาดแอบๆซ่อน ๆ ปิดซะทุกด้านหมือนเจ้านายพี่หรอกนะ”
“นั่นสินะ..พี่น่าจะเข้าใจเรื่องแบบนี้ยิ่งกว่าใครด้วยซ้ำ”
แววพูดยิ้มๆ ที่ตัวเองเพิ่งคิดได้
จอไอแพดที่อยู่ในห้องแววถูกเปิดทิ้งไว้ เพราะแววรอที่จะออนไลน์คุยกับสยุมภูว์แต่ไม่มีสัญญาณ
ระหว่างนั้น แววนึกถึงตอนที่คุยกับเลขาฯ ของเหลียง...
“คุณคงรู้จักเจ้านายตัวเองน้อยไปนะครับคุณแวว” เลขาฯ บอก
“ค่ะ..แววยอมรับว่าแทบไม่รู้จักเขาเลย”
“ถ้าอย่างนั้นคุณควรจะรู้ด้วยว่า เจ้านายคุณเป็นคนดีคนหนึ่งเท่าที่ผมเคยพบมาเลย คุณเหลียงเล่าให้ผมฟังว่าคุณสยุมภูว์สู้กับแก๊งค์แพนด้าโดยไม่ได้ห่วงความปลอดภัยของตัวเองเลย” เลขาฯ พูดกับนิติธร “คุณเหลียงฟื้นขึ้นมาเมื่อไร เราคงต้องนัดพบกันอีกครั้งนะครับคุณนิติธร”...
แววมีสีหน้าเป็นห่วง เธอมองที่จอไอแพด
“หวังว่าคุณจะไม่เป็นอะไรมากนะคะ คุณสยุมภูว์”
แววไม่เห็นสัญญาณว่าสยุมภูว์จะออนไลน์ เธอจึงปิดไอแพด
ชลธิชานิ่งคิดย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน...
แป้งร่ำเดินเข้ามานั่งตรงข้ามกับชลธิชาและเริงใจที่นั่งรออยู่ในร้าน
“ฉันว่าเธอกลับไปดีกว่า ไหนๆคุณเอกเขาก็ไม่อยู่ให้เธอออดอ้อนแล้ว” เริงใจบอก
ชลธิชาห้ามเริงใจ เริงใจทำท่าฮึดฮัด แป้งร่ำไม่ตอบโต้อะไรแต่กลับพูดขึ้น
“คุณธิชา คุณเริง ที่แป้งมาที่ร้านคุณก็เพราะแป้งมีเรื่องจะคุยกับคุณค่ะ”
“ถ้าจะมาบอกให้ฉันเลิกตอแยคุณเอกเพราะหล่อนมาแสดงความเป็นเจ้าของคุณเอกให้เราเห็นถึงที่นี่ ก็อย่าหวังว่าเราสองคนจะยอม” เริงใจแทรกขึ้น
“อย่าเข้าใจผิดนะคะ ฟังแป้งก่อนเถอะค่ะ”
ชลธิชาพูดกับเริงใจ “ให้คุณแป้งเขาพูดบ้างเถอะ ว่ามาเถอะค่ะคุณแป้ง”
“แป้งจะมาขอเป็นเพื่อนกับคุณสองคนค่ะ”
ชลธิชากับเริงใจมองหน้ากันด้วยความรู้สึกประหลาดใจกับสิ่งที่ได้ยิน
“เธอมีแผนอะไรก็พูดมาตรงๆดีกว่า” เริงใจเอ่ย
“แป้งหมายความอย่างที่พูดจริงๆ แป้งเข้าใจว่าที่ผ่านมา แป้งทำให้คุณสองคนเข้าใจว่าแป้งต้องการเอาชนะ แต่หลังจากที่เกิดเรื่อง มันก็ทำให้แป้งกลับมาคิดได้ว่าแป้งทำตัวไร้สาระเหลือเกิน”
“อ้าว..นี่จะหลอกด่าฉันเหรอ การจะเอาชนะใจผู้ชายสักคนมันไร้สาระตรงไหน” เริงใจฉุน
“แป้งก็สั่งสอนใครไม่เป็นนะคะ แต่สำหรับแป้งมันเหมือนการหลอกตัวเองไปวันๆ รู้ทั้งรู้ว่าเขาไม่มีทางหันมามอง แต่เราก็ยังไม่เลิกพยายาม โดยที่ไม่รู้ว่ามันจะสร้างความอึดอัดใจให้อีกฝ่ายยังไง”
ชลธิชากับเริงใจนิ่งไปเพราะแป้งร่ำพูดกระทบใจ แป้งร่ำพูดต่อ
“คุณเอกให้แป้งได้แค่ความเป็นเพื่อน แป้งก็ต้องยอมรับในเรื่องนั้น คุณสองคนอย่าเข้าใจผิดเป็นอย่างอื่นเลยนะคะ”
“ไม่ใช่แค่คุณแป้งหรอกค่ะ..เราสองคนก็เป็นได้แค่นั้นเหมือนกัน” ชลธิชาบอก
“งั้นเราก็เป็นเพื่อนคุณเอกเหมือนกันใช่ไหมคะ” แป้งร่ำถาม
ชลธิชาพูดอย่างฝืนใจ “ก็คงอย่างนั้นค่ะ”
“เพื่อนคุณเอกน่ะใช่..แต่สำหรับเธอ เธอไม่ใช่เพื่อนฉัน” เริงใจย้ำ
ชลธิชาแทรกขึ้น “แต่ธิชายอมรับนะคะ”
เริงใจหันไปดุ “ยัยธิชา”
“อ้าว..ฉันก็อยากมีเพื่อนใหม่บ้างสิ นี่..อย่าลีลาเลยน่า” ชลธิชาว่าเริงใจ
“งั้นแป้งจะมาขอคำตอบคุณเริงอีกครั้งนะคะ”
“ไม่ต้องมาหรอกย่ะ..ฉันไม่ใจอ่อน”
แป้งร่ำมองหน้าชลธิชาเป็นเชิงปรึกษา ชลธิชาชูนิ้วแสดงสัญญาณว่าโอเค แป้งร่ำยิ้มให้ชลธิชาอย่างเป็นมิตร...
ชลธิชานึกถึงเหตุการณ์เมื่อวานก็ค่อยๆยิ้มอย่างมีความสุข
“ขอให้เป็นเพื่อนกันไปตลอดรอดฝั่งก็แล้วกัน”
ที่ร้านต้นไม้ เพิ่มพงษ์เดินเข้ามาบอกสยุมภูว์เรื่องเหลียง
“คุณสยุมภูว์ยังจำเรื่องที่คุณเลขาบอกได้ใช่มั้ยครับ”
“เรื่องอะไรหรือครับคุณเพิ่มพงษ์” สยุมภูว์ถาม
“เรื่องคนที่มาสวมรอยแก็งค์แพนด้าเมื่อวานนี้ไงครับ”
“คุณเพิ่มพงษ์คิดว่าเป็นใครล่ะครับ”
“ลูกน้องของคุณนิติภูมิครับ” เพิ่มพงษ์บอก
“มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญใช่มั้ยครับ”
“ออกจะบังเอิญเกินไปน่ะครับ...ผมไม่รู้ว่าคุณนิติภูมิส่งลูกน้องไปที่นั่นทำไม เพราะแก๊งค์แพนด้าทำงานได้ดีกว่า ผมว่าเขามีแผนอะไรบางอย่างแน่ๆ แต่มันอาจจะผิดแผนเสียก่อนเลยไม่ได้ลงมือ”
“คุณเพิ่มพงษ์คิดว่าเรายังวางใจคุณนิติภูมิไม่ได้”
เพิ่มพงษ์ตอบรับ “ใช่ครับ”
สยุมภูว์พยักหน้ารับ แล้วเสียงโทรศัพท์เพิ่มพงษ์ก็ดังขึ้น
เพิ่มพงษ์กดโทรศัพท์ “ครับ..คุณนิติธร”
สยุมภูว์ได้ยินชื่อนิติธร เขาจึงรอว่าเพิ่มพงษ์จะพูดอะไรต่อ
ประตูห้องพักของเหลียงในโณงแรมห้าดาวถูกเปิดออก เพิ่มพงษ์เดินนำสยุมภูว์เข้ามาในห้อง โดยคนที่เปิดประตูห้องให้ก็คือเหลียง สยุมภูว์กับเพิ่มพงษ์เห็นอย่างนั้นก็มองหน้ากันอย่างงงๆ
สยุมภูว์ทักตามมารยาท “สวัสดีครับคุณเหลียง”
เหลียงยิ้มให้แต่ไม่ตอบอะไร
เสียงเลขาฯ เอ่ยทักออกมา “สวัสดีครับคุณสยุมภูว์”
สยุมภูว์กับเพิ่มพงษ์หันไปมองตามเสียงก็เห็นว่าเลขาๆ ยืนอยู่
“ขอโทษนะครับที่นัดคุณออกมาแต่เช้าอย่างนี้”
สยุมภูว์กับเพิ่มพงษ์เพิ่งเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
สยุมภูว์พูดกับเลขาฯ “ครับ...คุณเหลียง”
“ผมไม่ได้ทำให้คุณสับสนใช่ไหม” เหลียงตัวจริงถาม
“ไม่หรอกครับ..แต่สรุปว่าเราสองคนโดนต้มจนเปื่อยเลยใช่มั้ยครับเนี่ย” สยุมภูว์ถาม
“ขอโทษด้วยนะครับที่ทำให้รู้สึกอย่างนั้น...แต่ผมจำเป็นต้องทำเพื่อความปลอดภัย” เหลียงตอบ
“แต่คุณเหลียงไม่จำเป็นต้องเปิดเผยตัวเองก็ได้นี่ครับ” สยุมภูว์บอก
“เพราะคุณทำให้ผมไว้ใจไงครับ ผมถึงต้องเปิดเผยตัวเองกับคุณ” เหลียงตอบ
“แล้วเรื่องมันเป็นไงมาไงหรือครับ คุณเหลียงถึงต้องปลอมตัวมาเป็นเลขา แล้วให้เลขา..”
เลขาฯ ที่เคยเป็นเหลียงเข็นรถมาเสิร์ฟเครื่องดื่มให้สยุมภูว์
“ผมคิดว่าคุณน่าจะเข้าใจเรื่องนี้ดีนะ” เหลียงบอก
เหลียงยิ้มให้แล้วชวนให้สยุมภูว์ยกแก้วชาขึ้นจิบ สยุมภูว์ยกชาขึ้นจิบตามคำเชิญ
แววเข้ามาหานิติธรในห้องทำงาน
“มีอะไรหรือหนูแวว” นิติธรถาม
“เราต้องไปเยี่ยมคุณเหลียงไม่ใช่หรือคะ แววเห็นว่าใกล้เวลาแล้วเลยมาเตือนน่ะค่ะ”
“โทษทีนะ..ผมลืมบอกว่าคุณเหลียงออกจากโรงพยาบาลแล้ว ตอนนี้คงกำลังคุยกับคุณสยุมภูว์อยู่”
“คุณสยุมภูว์นัดคุยกับคุณเหลียงเหรอคะ” แววถาม
“ใช่...คงจะคุยเรื่องสำคัญกันน่ะ เลยไม่อยากให้ใครอยู่ด้วย”
“งั้นก็แปลว่าคุณสยุมภูว์ไม่ได้เป็นอะไรมากใช่ไหมคะ”
“เห็นคุณเพิ่มพงษ์บอกว่ามีแค่รอยฟกช้ำนิดหน่อยน่ะ”
แววคิดตาม “รอยฟกช้ำ”
นิติธรมองหน้าแววแล้วยิ้ม “หนูแววเป็นห่วงคุณสยุมภูว์เหรอ”
แววอึกอัก “อ๋อ..ค่ะ..ก็เจ้านายแววนี่คะ”
“แววตาหนูน่ะโกหกใครไม่ได้นะ”
แววเขินที่ถูกจับผิด “แววก็ไม่ได้โกหกนี่คะ”
“ผมก็ไม่ได้บอกว่าหนูแววโกหกนี่นา..เอ๊ะ..หรือว่าหนูแววโกหกผม”
แววรีบตัดบท “แววขอตัวไปทำงานก่อนนะคะ”
แววเดินออกไปจากห้อง นิติธรมองตามแล้วเปรยออกมา
“ลูกน้องห่วงเจ้านาย หรืออะไรกันแน่นะ”
แววออกมายืนถอนหายใจยาวอย่างโล่งอกที่เกือบถูกนิติธรจับผิดอยู่ที่หน้าห้อง
เหลียงกับสยุมภูว์ยังนั่งคุยกันอยู่ในห้องพักของเหลียง
“ผมก็ไม่ได้อยากจะเล่นละครตบตาคุณหรอกนะ แต่ที่ทำไปมันก็ทำให้ผมรู้ว่าทำไมพ่อถึงเลือกทำงานใหญ่กับทศพลกรุ๊ปมาตั้งแต่แรก..ผมตัดสินใจแล้วว่าผมจะร่วมลงทุนทำโปรเจ็คท์ใหม่กับบริษัทของคุณ” เหลียงบอก
“ขอบคุณนะครับที่ไว้ใจทศพลกรุ๊ป”
เหลียงหันไปหาเลขาฯ แล้วพยักหน้าให้สัญญาณ เลขาฯ หยิบกระเป๋าเดินทางใบหนึ่งมาวางไว้ตรงหน้าสยุมภูว์
“ส่วนนี่เป็นของที่พ่อผมทิ้งไว้ให้ก่อนจะจากไป” เหลียงอธิบาย “ท่านขอให้ผมนำมันมาให้คุณเพราะคิดว่าของข้างในมีความหมายกับคุณมาก”
เพิ่มพงษ์หยิบกระเป๋าออกไป
“คุณทำให้ผมเข้าใจความรู้สึกของคนคนหนึ่งมากเลยครับ” สยุมภูว์บอก
เหลียงเอ่ยออกมา “คุณหมายถึง...”
แววกำลังคิดอะไรเพลินๆอยู่ที่โต๊ะทำงานของเธอ
“ไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่รอยฟกช้ำ”
แววนึกถึงใบหน้าของนายจักรที่เธอเห็น
ทันใดนั้นเสียงนิติภูมิก็ดังขึ้น “แวว..คุณแวว”
แววคิดอะไรเพลินๆอยู่แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อเห็นนิติภูมิ
“คะ..คุณนิติภูมิ”
“คิดอะไรอยู่หรือครับ” นิติภูมิถาม
“ก็..คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยน่ะค่ะ” แววตอบ
“วันนี้คุณว่างไปทานข้าวกลางวันกับผมไหมครับ”
แววนิ่งคิดสักพัก “ค่ะ..คุณนิติภูมิ”
แววยิ้มเปิดเผยทั้งที่ยังมีเรื่องสยุมภูว์คาใจอยู่
นิติธรรับโทรศัพท์จากเพิ่มพงษ์
“คุณสยุมภูว์จะจัดงานเลี้ยงขอบคุณคุณเหลียงหรือครับ” นิติธรถาม
“ใช่ครับ..แต่คุณสยุมภูว์ต้องการให้งานนี้เป็นงานเลี้ยงหน้ากากเพื่อความเป็นส่วนตัวของทั้งคุณเหลียงและคุณสยุมภูว์นะครับ” เพิ่มพงษ์อธิบาย
“นี่ต้องเป็นข่าวใหญ่แน่ๆครับ” นิติธรบอก
“ก็คงอย่างนั้นล่ะครับ คุณนิติธรเหนื่อยหน่อยนะครับงานนี้”
“เพื่อทศพลกรุ๊ป เหนื่อยกว่านี้ก็ยังได้ครับคุณเพิ่มพงษ์”
นิติธรดีใจกับข่าวดี
เพิ่มพงษ์ที่นั่งอยู่ในรถวางสายแล้วหันไปมองสยุมภูว์ที่นั่งอยู่ที่เบาะหลัง
เพิ่มพงษ์เปรยขึ้น “ถ้าคุณแววรู้...”
ณ ร้านอาหารแห่งหนึ่ง แววนั่งอยู่ที่โต๊ะกับนิติภูมิ สักพักแววก็รับโทรศัพท์จากนิติธร
แววฟังแล้วก็ทำหน้าประหลาดใจ “จริงหรือคะ คุณนิติธร...ทานข้าวเสร็จแล้วแววจะรีบเข้าออฟฟิศทันทีเลยค่ะ”
แวววางสายแล้วยังตื่นเต้นไม่หาย นิติภูมิเห็นก็ทำหน้าสงสัย
“มีอะไรหรือครับคุณแวว”
“คุณสยุมภูว์จะจัดงานเลี้ยงขอบคุณมิสเตอร์เหลียงค่ะ” แววบอก
“ดูคุณแววจะตื่นเต้นมากเลยนะครับ”
“ค่ะ..ถ้าคุณสยุมภูว์จะจัดงาน ก็แปลว่าคุณสยุมภูว์พร้อมจะเปิดตัวแล้ว..แววว่าเรารีบทานให้เสร็จดีมั้ยคะ คุณนิติธรอยากให้แววไปคุยเรื่องหาคนจัดงานให้เพราะเรามีเวลาเตรียมงานไม่กี่วันเอง”
นิติภูมิผิดหวังแต่ก็พยายามข่มอารมณ์ “ครับ..คุณแวว”
นิติภูมิเจ็บใจที่แววสนใจเรื่องของสยุมภูว์มากกว่าเรื่องของเขา
สยุมภูว์นั่งอยู่ในรถ เขามีสีหน้าครุ่นคิดถึงการสนทนากับเหลียงก่อนหน้านี้...
“มันไม่มีประโยชน์ที่คุณจะปิดบังใครต่อใครแล้วล่ะครับ ถ้าคุณเจอคนที่คุณไว้ใจที่สุดแล้ว” เหลียงบอก
“คนที่เราไว้ใจที่สุด” สยุมภูว์งง
เหลียงพูดต่อ “คนที่คุณจะพร้อมยอมเสี่ยงได้ทุกอย่างเพื่อคนๆนั้นน่ะครับ”....
สยุมภูว์นิ่งคิดอะไรต่อในรถ เพิ่มพงษ์แอบมองสยุมภูว์ แต่ก็ไม่รู้ว่าเจ้านายคิดอะไรอยู่
เอกรินทร์พาแป้งร่ำมาที่ร้านกาแฟ ทั้งคู่มีท่าทางสนิทสนมกัน ชลธิชากับเริงใจแอบมอง
“ชั้นว่าอาการอย่างนี้มันเกินเพื่อนหรือเปล่าน่ะ ธิชา” เริงใจถาม
“ยุไม่ขึ้นหรอกนะ ยัยเริง คุณแป้งเขาอุตส่าห์มาอธิบายกับเรายืดยาว คงไม่กล้าทำอะไรผิดคำพูดตัวเองหรอก” ชลธิชาบอก
เริงใจทำหน้าหมั่นไส้เพื่อน เอกรินทร์กับแป้งร่ำเดินมาหาชลธิชาที่เคาน์เตอร์
“สวัสดีค่ะคุณเริง” แป้งร่ำทัก
เริงใจทำเป็นไม่สนใจ แป้งร่ำหน้าเจื่อน ชลธิชารีบแก้สถานการณ์
“อย่าถือสานะคะ..ผู้หญิงวัยทองอย่างยัยเริงก็อารมณ์ขึ้นลงอย่างนี้ล่ะค่ะ”
“ใช่...สงสัยว่าอาการวัยทองของฉันมันจะมาเร็วกว่าปกติ อยู่ๆนึกอยากจะเหวี่ยงใคร ก็อย่าถือสาแล้วกัน” เริงใจบอก
“ถ้าอย่างนั้นก็เหมาะเลยครับ ผมว่าจะมาชวนคุณสองคนไปชิมอาหารอร่อยๆพอดี ไปด้วยกันนะครับ จะได้อารมณ์ดีขึ้น” เอกรินทร์ชวน
“ถ้าคุณเอกชวน ใครจะไม่ไปล่ะคะ” เริงใจบอก
“เย็นนี้เราไปเจอกันที่โรงแรมเลยนะครับ...แล้วถ้าชวนแววได้ด้วยล่ะก็”
“จะดีหรือคะ..” เริงใจถาม
“ในฐานะเพื่อนครับ..เราสี่คนไม่ได้กินข้าวด้วยกันนานแล้ว จริงมั้ยครับ”
“ถ้าอย่างนั้นธิชาจะลองชวนให้นะคะ”
“ขอบคุณมากครับคุณธิชา เย็นนี้เจอกันนะครับ ผมขอตัวกลับออฟฟิศก่อน”
เอกรินทร์เดินออกไปจากร้าน ชลธิชา เริงใจ และแป้งร่ำมองตาม
เริงใจเปรยขึ้น “ฉันว่าคุณเอกยังหวังในตัวแววแน่ๆ”
“ไม่รู้ว่าจะรอไปถึงไหนนะ คุณเอก” ชลธิชาบ่นออกมา
ชลธิชาแสดงสีหน้าเอาใจช่วยเอกรินทร์
นิติธรนั่งคุยเรื่องงานเลี้ยงขอบคุณเหลียงกับแววในห้องทำงาน
“งานกระชั้นขนาดนี้ ผมว่าเราคงต้องจ้างบริษัทจัดเลี้ยงมาดูแลนะหนูแวว”
“ค่ะ คุณนิติธร...แววพอจะมีเพื่อนที่รู้จักกันอยู่บ้าง น่าจะขอให้มาช่วยดูแลได้ แต่สิ่งที่เราต้องการตอนนี้น่าจะเป็นจำนวนแขกที่จะมาร่วมงานนะคะ”
“เดี๋ยวผมจะให้เลขาลิสต์รายชื่อทั้งหมดมาให้ จะได้รีบเอาไปคุยกับคนจัดงาน”
“คุณสยุมภูว์อยากให้จัดงานรูปแบบไหนคะ” แววถาม
“เห็นว่าอยากให้เป็นปาร์ตี้หน้ากากนะหนูแวว” นิติธรบอก
“ปาร์ตี้หน้ากากหรือคะ”
แววมีสีหน้าตื่นเต้น
เพิ่มพงษ์มองซ้ายมองขวาหน้าห้องทำงานลับให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้นก่อนจะพูดรหัสเพื่อเปิดประตู พอประตูเปิดออก เพิ่มพงษ์ก็เข้าห้องลับไปแล้วประตูก็ปิดลง แจ๊คโผล่ออกมาจากที่ซ่อนแล้วเดินตรงไปที่ประตู
“บอกให้มันเปิด มันก็เปิดอย่างง่ายๆอย่างเนี้ยนะ” แจ๊คลองพูด “ก็อก ก็อก...”
ไม่มีอะไรเกิดขึ้นที่ประตู
“ไม่ใช่..” แจ๊คลองพูดใหม่ “กระจกวิเศษ บอกข้าเถิด ใครงามเลิศในปฐพี”
ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก
“ไม่ใช่อีก...หรือว่า...เพิ่มสุดหล่อ”
ประตูยังปิดสนิท แจ๊คเริ่มหงุดหงิด
“ต้องพูดว่าอะไรมันถึงจะโดนล่ะเนี่ย” แจ๊คตะโกนใส่ประตู “เบื่อแล้วโว้ย”
ประตูยังปิดสนิท แจ๊คยอมแพ้
แจ๊คบ่นด้วยความหงุดหงิด “ไม่เปิดก็ไม่เข้า...ก็ได้วะ”
แจ๊คเดินกลับออกไป เขาได้ยินเสียงล็อคประตูลั่นดังกริ๊ก แจ๊คจึงชะงักรีบหันกลับไปดู ประตูแง้มออก แจ๊คหน้าบานดีใจสุดๆ กับความสำเร็จแบบฟลุ๊คๆของตัวเองแล้วเขาจึงย่องเข้าไปในห้องลับ
แจ๊คเดินเข้ามาในห้องทำงานลับ เขาเห็นอุปกรณ์อีเล็คทรอนิคส์ต่างๆ แล้วก็ถึงกับตาโตด้วยความตื่นตาตื่นใจ
“มิน่าล่ะ..ถึงไม่ยอมให้แจ๊คเข้ามา” แจ๊คตะโกนเรียก “น้าเพิ่ม พี่จักร อยู่นี่ป่าวอ่ะ”
ไม่มีเสียงตอบรับจากคนทั้งสอง แจ๊คเลยลองเล่นอุปกรณ์ต่างๆในห้อง
แจ๊คกดไปที่ปุ่มๆหนึ่ง “เอาไว้ทำอะไรนะ”
แจ๊ครอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น
หน้าจอไอแพดของแววมีหน้าแจ๊คปรากฏขึ้นเต็มจอ ไอแพดเครื่องนั้นวางอยู่ที่โต๊ะทำงานของแวว แต่แววไม่ได้อยู่ที่โต๊ะ สักพักแววก็กำลังเดินกลับมาที่โต๊ะ
ภาพแจ๊คที่หน้าจอไอแพดหายแว้บไปจังหวะเดียวกับที่แววกลับมานั่งประจำที่พอดี แววเห็นแค่หางตาว่ามีภาพปรากฏบนจอ เธอคิดว่าเป็นสยุมภุว์ แต่เมื่อหยิบไอแพดมาดูก็เห็นแต่จอที่ว่างเปล่า
“คุณสยุมภูว์หรือเปล่านะ” แววรำพึง
แจ๊คกำลังจะกดปุ่มอื่นต่ออีก
ทันใดนั้นเสียงเพิ่มพงษ์ก็ดังลั่น “ไอ้แจ๊ค”
แจ๊คชะงักหันไปมองที่มาของเสียง เขาเห็นเพิ่มพงษ์ยืนกอดอกดูเขาอยู่
“น้าเพิ่ม” แจ๊คพูดด้วยน้ำเสียงภูมิใจ “เป็นไงล่ะ..ในที่สุดแจ๊คก็หาทางเข้ามาได้”
เพิ่มพงษ์ทำเป็นชม “เออ..เอ็งเก่ง...”
“น้าเพิ่มมาทำอะไรในห้องนี้กันแน่...ทำอย่างกับห้องสายลับแน่ะ” แจ๊คนิ่งคิด “หรือว่าน้าเพิ่ม”
เพิ่มพงษ์ยิ้มอย่างมีเลศนัย “ถูกต้อง”
“น้าเพิ่มเป็นสายลับเหรอเนี่ย”
แจ๊คตะลึงพรึงเพริด เพิ่มพงษ์ยิ้มกริ่ม
กระเป๋าเดินทางที่เหลียงมอบให้วางอยู่ในห้องนอนของสยุมภูว์ สยุมภูว์ปลดล็อคที่กระเป๋าแล้วเปิดออกดู เขาเห็นกล่องเหล็กวางอยู่ในกระเป๋าเดินทาง เขาจึงหยิบกล่องเหล็กนั้นมาเปิดดู ภายในเป็นม้วนฟิล์มเก่าขนาด 8 มม. หนึ่งม้วน
“ฟิล์มม้วนนี้เนี่ยนะ..ของสำคัญ...”
สยุมภูว์มีสีหน้าแปลกใจ
อ่านต่อหน้าที่ 4
แววมยุรา ตอนที่ 10 (ต่อ)
พนักงานเอาน้ำส้มมาเสิร์ฟให้แววที่นั่งอยู่ในร้านกาแฟของชลธิชา แววกำลังนั่งคุยกับชลธิชาและเริงใจ เพื่อนทั้งสองของแววรู้แล้วว่าจะมีงานเลี้ยงที่บ้านสยุมภูว์
“คุณสยุมภูว์เขาคงรู้ล่ะมั้งว่าเธออยากเจอเขา ก็คลาดแคล้วกันมาหลายครั้งแล้วนี่” เริงใจบอก
“ฉันไม่ได้สำคัญกับคุณสยุมภูว์ขนาดนั้นหรอก” แววพูด
“ต่อให้คุณสยุมภูว์อ้างเรื่องงานเลี้ยงของบริษัท แต่ฉันว่าลึกๆแล้วก็คงมีเหตุผลอื่นแอบแฝงอยู่แน่ๆล่ะ” ชลธิชามั่นใจ
จริงของยัยธิชานะแวว...อุตส่าห์ทำตัวลึกลับมาตั้งนาน อยู่ๆจะมาเปิดตัวอย่างนี้ มันต้องมีแรงจูงใจสำคัญ..นอกจากเรื่องงาน”
“คุณสยุมภูว์เคยบอกว่าที่ต้องหลบๆซ่อนๆ เป็นเพราะห่วงเรื่องความปลอดภัย กลัวว่าใครที่อยู่ใกล้จะพลอยโดนลูกหลงไปด้วย” แววนิ่งคิด “มันก็น่าจะเป็นเพราะว่าเขาแน่ใจว่าจะไม่มีเรื่องร้ายๆเกิดขึ้นอีกแล้วมากกว่า”
“ก็เป็นไปได้อีกล่ะ” เริงใจล้อ “นี่..เธอไม่เคยแอบเข้าข้างตัวเองบ้างเหรอว่าคุณสยุมภูว์เขาอาจจะยอมเปิดตัวเพราะเธอน่ะ”
แววสวนทันที “บ้าเหรอ”
เริงใจยิ่งจับผิด “อย่าบอกนะว่าไม่เคยคิด”
แววรีบทำท่าปฏิเสธ เริงใจส่ายหน้าแล้วพูดต่อ
“ไม่เห็นจะน่าอายเลย เราเป็นผู้หญิงเหมือนกันนะ ยังไงก็ต้องฝันถึงผู้ชายจิตใจดี เป็นฮีโร่ที่สามารถดูแลเราได้ ยิ่งชาติตระกูลดีแถมยังรวยด้วยอย่างเจ้านายเธอนะยิ่งสเป็ค..น่าเสียดายที่ไม่เคยเห็นหน้า จะได้รู้ว่าครบสูตร เก่ง หล่อ รวยหรือเปล่า”
เริงใจทำหน้าเคลิ้มฝัน แววมองเริงใจยิ้มๆ แต่ไม่กล้าบอกเพื่อนว่าเธอก็รู้สึกดีกับสยุมภูว์เหมือนกัน
นิติภูมิคุยโทรศัพท์กับศักดาอยู่ในห้องทำงาน
“มิสเตอร์เหลียงใจแข็งไม่ใช่เล่นนะครับ...เกือบจะเอาชีวิตไม่รอดแต่ยังมีอารมณ์จะเลี้ยงฉลองอีก” ศักดาพูดขึ้น
“นั่นมันไม่น่าสนใจเท่าเรื่องที่ไอ้สยุมภูว์มันจะจัดงานเลี้ยงฉลองการร่วมทุนครั้งสำคัญของทศพลกรุ๊ปหรอกนะ” นิติภูมิบอก
“ถ้าอย่างนั้น...นั่นก็เป็นโอกาสที่ดีที่สุดของเราสิครับ”
“แกก็อย่าทำให้มันเป็นโอกาสสุดท้ายของเราก็แล้วกัน”
“คุณนิติภูมิจะให้ผมทำอะไรกับมันครับ” ศักดาถาม
นิติภูมิมีสีหน้าครุ่นคิดถึงแผนร้ายของตัวเอง
สยุมภูว์นั่งคุยกับเพิ่มพงษ์อยู่ที่บ้าน แล้วก็เพิ่งรู้ว่าแจ๊คเข้าไปในห้องได้แล้ว
สยุมภูว์ประหลาดใจ “แจ๊คเข้าไปในห้องลับของเราได้แล้วหรือครับ”
เพิ่มพงษ์มองซ้ายมองขวา เขาเห็นแจ๊คกำลังรดน้ำทำสวนอยู่ใกล้ๆ เลยดึงสยุมภูว์ออกไปคุยกันห่างๆ
“ใช่ครับ...ผมก็ไม่รู้ว่ามันรู้รหัสลับได้ไง...ทั้งที่มันยากกว่าถูกหวยรางวัลที่หนึ่งอีก”
“งั้น แจ๊คก็รู้แล้วว่าผมคือ...”
สยุมภูว์ยังไม่ทันพูดจบ แจ๊คก็แอบโผล่มาขัดจังหวะ ทั้งสองตกใจจนวงแตก
“จ้ะเอ๋...แอบซุบซิบอะไรกันจ้ะ มีอะไรปิดบังแจ๊คอีก”
“ปิดบังอะไร..เอ็งดูหน้าข้าสิ” เพิ่มพงษ์บอก
แจ๊คมองหน้าเพิ่มพงษ์ เพิ่มพงษ์ตีหน้าตาย แจ๊คมองสยุมภูว์ สยุมภูว์ก็ทำหน้าตายเหมือนกัน
“เป็นไง..เห็นอะไรมั้ย” เพิ่มพงษ์ถามกลับ
แจ๊คส่ายหน้า เพิ่มพงศ์ยิ้มกริ่มเมื่อปิดบังแจ๊คได้สำเร็จ แต่แจ๊คยังไม่ยอมแพ้
“สยุมภูว์คือใคร” แจ๊คถามขึ้น
เพิ่มพงษ์กับสยุมภูว์ถึงกับตกตะลึง แจ๊คเห็นปฏิกิริยาของทั้งสองคนเป็นเช่นนั้นก็ยิ่งสงสัย
“นั่นไง..เป๊ะเลย..น้าเพิ่ม พี่จักร บอกมาเลยว่าสยุมภูว์คือใคร”
“แกรู้จักคุณสยุมภูว์ได้ไง” เพิ่มพงษ์ถาม
“ตอบคำถามแจ๊คก่อน แต่อย่าบอกนะว่าเป็นลูกค้า แจ๊คไม่เชื่อแล้ว!”
เพิ่มพงษ์มองหน้าสยุมภูว์เหมือนจำยอมต้องสารภาพ
เพิ่มพงษ์เอ่ยปาก “คุณสยุมภูว์คือ...”
แจ๊คลุ้นให้คำตอบหลุดมาจากปากของเพิ่มพงษ์
“ไหนๆ..ก็ไหนๆ แล้วฉันคงต้องบอกแกว่า คุณสยุมภูว์คือหัวหน้าโปรเจ็คท์ลับนี้” เพิ่มพงษ์บอก
แจ๊คตื่นเต้น “แล้วเมื่อไรแจ๊คจะได้เจอเขาล่ะ”
“ให้เจอง่ายๆ แล้วจะเป็นโปรเจ็คท์ลับได้ไงเล่า”
แจ๊คทำหน้าเหมือนจะเชื่อ “เออ...ก็ได้”
แจ๊คมองเพิ่มพงษ์แต่ยังไม่เลิกจับผิดเพราะคิดว่ายังโดนเพิ่มพงษ์หลอกอยู่ สยุมภูว์สังเกตอาการของแจ๊คออกก็เหมือนจะคิดอะไรบางอย่าง
สยุมภูว์เดินออกมาที่ริมรั้ว สีหน้าของเขาเหมือนคิดอะไรบางอย่างมาตลอดก่อนที่เขาจะพูดกับตัวเอง..
“คนที่โดนหลอกบ่อยๆ คงไม่ยอมเชื่อใครง่ายๆอย่างนี้นี่เอง”
เสียงแววดังขึ้น “นายพูดถึงใคร”
แววโผล่หน้าพ้นรั้วขึ้นมา ในมือของเธอมีอุปกรณ์ทำสวน มีเศษใบไม้ติดอยู่ที่ผม เศษดินเปื้อนหน้าเล็กน้อย สยุมภูว์เห็นสภาพของแววแล้วก็ยิ้มๆ
“แอบฟังผมเหรอ”
แววรีบแก้ตัว “นายต่างหากที่มากวนฉัน ไม่เห็นหรือไงว่าฉันทำสวนอยู่...ตกลงเมื่อกี้นายพูดถึงใคร”
“พูดลอยๆไม่ได้เหรอ”
“ฉันไม่เชื่อ !!!...นายพูดถึงใคร” แววถามย้ำ
สยุมภูว์มองหน้าแวว “คุณไง..”
แววชะงักมองหน้าสยุมภูว์ด้วยสีหน้าสงสัย
“คุณเพิ่งบอกผมอยู่นี่ไง ว่าไม่เชื่อในสิ่งที่ผมพูด” สยุมภูว์นึก “ผมว่า.....ผมไม่เคยหลอกคุณมาก่อนนะ”
แววหลุดปากออกมา “ทำไมจะไม่เคย”
สยุมภูว์แกล้งทำเป็นแปลกใจ “ผมหลอกอะไรคุณ”
“ก็คุณ” แววยังลังเล “คุณหลอกฉันว่า...”
สยุมภูว์สวนขึ้นมาก่อน “ผมไม่ใช่สยุมภูว์เจ้านายคุณนะ”
แววได้ยินก็ยิ่งคาดคั้น “คุณรู้ได้ไงว่าฉันสงสัยเรื่องนี้”
“ก็คุณเล่าวีรกรรมของเจ้านายคุณให้ผมฟังออกบ่อยว่าเขาชอบทำอะไรลับๆล่อๆ ชอบให้คนอื่นมาสวมบทเป็นตัวเองทำให้คุณเข้าใจผิด แล้วจะให้ผมสงสัยใคร”
“ที่คุณรู้ไม่ใช่เพราะว่าคุณคือ...”
สยุมภูว์ทำสายตาตั้งคำถาม “คุณสงสัยว่าผมคือสยุมภูว์เหรอ”
แววพยักหน้ารับแล้วรอคำตอบจากสยุมภูว์ สยุมภูว์ทำหน้าเครียดเหมือนโดนจับได้
“อุตส่าห์ปิดมาตั้งนาน โดนจับได้ซะแล้ว”
“นี่แปลว่าคุณ”
สยุมภูว์รับมุก “อย่าไปบอกใครนะ”
“คุณสยุมภูว์กลัวว่าจะไม่ปลอดภัยหรือเปล่าคะ” แววถามทันที
สยุมภูว์รับมุกต่อ “ใช่..”
“แล้วใครที่คิดจะทำร้ายคุณคะ”
สยุมภูว์พูดด้วยเสียงจริงจัง “องค์กรลับจากดาวนาแม็ก”
แววรู้ว่าโดนสยุมภูว์หลอก
แววโกรธ “นายคิดว่ามันตลกมากหรือไง”
“อ้าว..ตกลงจะให้ผมเป็นอะไรเนี่ย คุณอยากให้ผมเป็นสยุมภูว์ผมก็เป็นแล้วไง เอาใจไม่ถูกแล้วนะ”
“ฉันไม่คุยกับคุณแล้ว”
แววจะเดินหนีไป แต่สยุมภูว์กระโดดข้ามรั้วไปดึงแขนแววไว้
“ผมไม่ได้ตั้งใจทำให้คุณโกรธนะ แค่ล้อเล่นนิดเดียวเอง” สยุมภูว์บอก
“แต่ฉันไม่สนุก..ปล่อยได้แล้ว”
“ผมขอโทษนะ..ที่เอาความรู้สึกคุณมาล้อเล่น” สยุมภูว์พูดจริงจัง “ผมอยากรู้ว่าถ้าเป็นเจ้านายคุณ คุณต้องการคำๆนี้จากเขาหรือเปล่า”
“นายจะอยากรู้ไปทำไม...นายไม่ใช่เจ้านายฉัน”
“ใช่สิ...เจ้านายคุณคงไม่ต้องสำนึกผิดนี่..ถ้าจ่ายเงินเดือนคุณแล้วยังต้องมาสำนึกผิดอีก มันก็คงแปลกๆ ผมไม่น่าถามเลย”
“ฉันอาจจะไม่ได้ต้องการคำขอโทษจากเขา แต่มันก็ไม่ได้แปลว่าฉันไม่เสียความรู้สึก พอใจหรือยัง”
พูดจบแววก็ดึงมือสยุมภูว์ออกแล้วจะเดินออกไป
สยุมภูว์ทักไว้ “เดี๋ยวสิ...”
แววเริ่มรำคาญ “อะไรอีกล่ะ”
สยุมภูว์เอื้อมมือไปดึงเศษใบไม้ที่ติดอยู่ที่ผมแววออก แววรู้สึกแปลกๆ แต่เธอก็ทำเป็นไม่สนใจรีบเดินเข้าบ้านไป สยุมภูว์มองตามแล้วยิ้ม
แววเดินขึ้นมาที่ชั้นสองของบ้าน เธอเดินสวนกับวัณณรีที่เพิ่งเดินลงไป
“พี่แววไปทำอะไรมาล่ะเนี่ย” วัณณรีถาม
“ก็ทำสวนน่ะสิ..เลอะเทอะไปหมดเลย” แววตอบ
“ทำสวนตอนเย็นแล้วหน้าแดงเนี่ยนะ..ไม่ใช่ใครทำให้เขินมาเหรอ”
“บ้าน่า..เขินอะไร ยัยวัณ” แววรีบเปลี่ยนเรื่อง “แล้วเรื่องงานการแกไปถึงไหนแล้ว”
“ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่อง” วัณณรีแกล้งคาดคั้น “ใคร ?”
“ไม่คุยด้วยแล้ว”
แววเดินหนีเข้าไปในห้องนอน วัณณรีพยายามคิดว่าใครที่ทำให้พี่สาวของเธอเขิน
แววเดินเข้ามาในห้องนอนแล้วพูดกับตัวเอง
“บ้าน่า แค่นี้ไม่ได้ทำให้ฉันหวั่นไหวง่ายๆหรอก”
แววแอบรูดม่านหน้าต่าง เธอเห็นสยุมภูว์ยืนโบกมือให้ แววรีบรูดม่านปิด
แววแอบยิ้ม “ตาบ้า..โรคจิตป่าวเนี่ย ยังไม่ไปไหนอีก”
ตกกลางคิน เริงใจกับชลธิชาในชุดสวยเดินเข้ามาในงานปาร์ตี้
“นานๆจะได้ออกมาปาร์ตี้อย่างนี้ ขอฉันสุดเหวี่ยงหน่อยนะ” เริงใจบอก
“ตามสบายเถอะย่ะ..ฉันจะหิ้วเธอกลับบ้านเอง” ชลธิชาแซว
เสียงแป้งร่ำดังขึ้น “คุณธิชา คุณเริง”
แป้งร่ำเดินเข้ามาหาเริงใจกับชลธิชา
“โอ๊ย..ตายแล้ว โลกกลมนะเธอ” เริงใจบ่น “ปาร์ตี้ร้อยแปดพันเก้าอีกตั้งเยอะแยะ ดันมาเจอกันที่นี่ สงสัยฉันจะก้าวขาผิดก่อนออกจากบ้านนะวันนี้”
“ยัยเริง...เรามาสนุกกันนะ” ชลธิชาปรามเพื่อน
“สงสัยจะฝืดตั้งแต่ตอนนี้แล้วล่ะ” เริงใจบอก
ชลธิชาหันไปส่งสายตาเอาใจช่วยแป้งร่ำ ขณะเดียวกับที่เอกรินทร์เดินเข้ามา
“คุณแป้ง” เอกรินทร์เห็นชลธิชากับเริงใจ “อ้าว..คุณเริง คุณธิชา”
เริงใจมองเอกรินทร์และแป้งร่ำสลับไปมาให้แน่ใจ
เริงใจถามทันที “อย่าบอกนะคะว่ามาด้วยกัน”
“ใช่ครับ..พอดีคุณแป้งรับงานที่นี่ แล้วผมก็ต้องมาทำงานด้วย เราก็เลยมาด้วยกัน”
ชลธิชามีสีหน้าหม่นลง เอกรินทร์เห็นแต่ไม่พูดอะไร
“เริงจะพยายามเชื่อว่ามาทำงาน...ทั้งคู่ แต่คงไม่บังเอิญกลับพร้อมกันด้วยนะคะ”
“คุณเริงจะกลับพร้อมกับผมหรือเปล่าล่ะครับ” เอกรินทร์ถาม
“เริงก็ต้องกลับกับเพื่อนเริงสิคะ จะได้ช่วยกันปลอบใจกันเอง” เริงใจตอบ
“คุณเริงคะ..มันไม่ใช่อย่างที่คุณเริงคิดเลยนะคะ” แป้งร่ำอธิบาย
“เริงไม่ได้ต้องการให้ใครมายืนยันนะคะ แค่เปรยๆ...” เริงใจพูดกับชลธิชา “ฉันว่าเราไป แด๊นซ์กันดีกว่า ให้สองคนนี้เขาทำงานกันไปเถอะ”
เริงใจดึงชลธิชาออกไป ชลธิชารั้งไว้ เริงใจหันมาดุ
“จะอยู่ทำไมล่ะธิชา..เขาจะทำงานกัน”
เริงใจดึงชลธิชาให้เดินออกไป แป้งร่ำกับเอกรินทร์มองหน้ากัน
“คงจะต้องใช้เวลาเจรจาสงบศึกอีกนานนะคะ กว่าคุณเริงจะเปิดใจรับแป้ง”
“ผมจะเอาใจช่วยครับ”
แป้งร่ำยิ้มให้เอกรินทร์แทนคำขอบคุณ
นิติภูมิยืนจิบเครื่องดื่มอยู่ที่มุมหนึ่งที่บาร์เหล้า สักพักไลลาก็เดินเข้ามาหา
“สาวๆแถวนี้ตาไม่ถึงเลยนะคะ ถึงปล่อยให้คุณนิติภูมิยืนเหงาอยู่คนเดียว” ไลลาพูด
“คุณไลลา...ไม่เจอกันเสียนานเลยนะครับ”
“นั่นสิคะ นี่ถ้าไม่มีใครจัดปาร์ตี้นี่ เราคงไม่ได้เจอกัน” ไลลามองหา “แล้ว...คุณเลขา ขวัญใจคุณไม่มาด้วยหรือคะ”
“แววคงจะยุ่งเรื่องงานเลี้ยงอยู่น่ะครับ” นิติภูมิบอก
ไลลาสงสัย “งานเลี้ยง...”
“พอดีที่บริษัทเรากำลังจะมีงานเลี้ยงใหญ่น่ะครับ”
“ตายแล้ว..น่าสนใจจังเลย”
นิติภูมิเอ่ยชวน “งั้นผมขอเชิญคุณไลลาเป็นแขกของผมเลยก็แล้วกันนะครับ”
“ยินดีมากค่ะ ขอบคุณที่เชิญนะคะคุณนิติภูมิ”
พูดจบไลลาก็ขอชนแก้วกับนิติภูมิ เอกรินทร์เดินผ่านมาเห็นว่าทั้งสองยืนคุยกันอยู่เขาก็ทำสีหน้าสงสัย
เหลียงยกถ้วยชาขึ้นจิบด้วยสีหน้าพอใจ สยุมภูว์และเพิ่มพงษ์ก็นั่งอยู่ในห้องพักของเหลียงด้วย
“ขอโทษด้วยนะครับที่ต้องให้คุณเหลียงย้ายมาอยู่ที่โรงแรมนี้” สยุมภูว์เอ่ย
“เพื่อความปลอดภัยน่ะครับคุณเหลียง…คุณเลขา” เพิ่มพงษ์บอก
“เราเข้าใจดีครับคุณเพิ่มพงษ์ ไม่อย่างนั้นคงไม่ต้องสลับตัวกันแบบนี้” เหลียงยอมรับ
“ส่วนเรื่องคดี ตำรวจกำลังรวบรวมหลักฐานจากแก๊งค์แพนด้าอยู่ อีกไม่นานเราคงได้รู้ว่าใครเป็นคนจ้างวานมันมา” เพิ่มพงษ์เล่าต่อ
“ความจริงผมก็พอจะรู้ตัวนะครับ แต่ไม่มีหลักฐานแน่นหนาพอที่จะมัดตัวมัน” เลขาฯ กล่าว
“สถานการณ์ไม่ต่างจากเจ้านายของผมเลยครับคุณเลขา” เพิ่มพงษ์บอก
เหลียงพูดกับสยุมภูว์ “นอกจากจะจัดงานเลี้ยงฉลองแล้ว ผมว่าคุณน่าจะถือโอกาสเปิดตัวเสียเลยนะครับ”
เพิ่มพงษ์พูดลอยๆ “คงมีคนๆเดียวมั้งครับที่เจ้านายผมอยากจะเปิดตัวด้วย”
“ใครหรือครับ..ผู้หญิงที่โชคดีคนนั้น” เหลียงถาม
เหลียงมองไปทางสยุมภูว์ สยุมภูว์ยิ้มเก้อๆ แต่ยังไม่ตอบอะไร
แววนั่งกินข้าวต้มที่มาลตีทำให้อยู่บนโต๊ะอาหารที่บ้านของเธอ
“เป็นไง..ฝีมือแม่..พอจะทำขายได้มั้ย” มาลตีถาม
แววทำสีหน้ายากจะอธิบาย “แววว่า..” แววหยุด มาลตีลุ้นคำตอบ “สงสารลูกค้าแม่จัง”
มาลตีผิดหวัง “จริงเหรอ...แล้วจะให้แม่ทำอะไรล่ะ”
“จริงด้วยค่ะคุณแวว” โรสพูดขึ้น “ตั้งแต่อีตาคำรพหัวงูนั่นหายหน้าไป คุณมาลตีของโรสก็นั่งเฉาเหงาเหมือนไก่เป็นโรค เดี๋ยวคุณวัณออกไปทำงานอีกคน คุณมาลตีก็คงจะแห้งเหี่ยวเป็นไส้กรอกทอดค้างคืนแน่ๆ”
มาลตีดุ “ตรงไหนที่หล่อนเห็นว่าเหี่ยวบอกมานังโรส”
โรสสำรวจหัวจรดเท้า “ก็..ทุกตรงล่ะค่ะ อย่างคุณมาลตีคงต้องโบท็อกซ์ทั้งตัวแล้วล่ะ”
มาลตีคว้าทัพพีมาทำท่าจะหวดใส่โรส โรสชิ่งหลบทัน วัณณรีเดินเข้ามาที่โต๊ะอาหารในชุดทำงานพอดี
“อะไรกันคะแม่..ทัพพีบินแต่เช้า” วัณณรีแซว
มาลตีเห็นวัณณรีในชุดทำงานก็รู้สึกปลาบปลื้ม
“ยัยวัณ ลูกสาวแม่...ในที่สุดก็ถึงวันที่แกดูแลตัวเองได้สักทีนะ เฮ้อ..ฉันก็หมดภาระไปอีกคน”
“ทีนี้ล่ะ จะได้รู้สักทีว่ากว่าจะได้เงิน มันหายากแค่ไหน” แววบอก
“โอ๊ย..ขู่กันเข้าไปพี่แวว ฝ่อหมดแล้วเนี่ย”
“อย่าไปสนใจพี่แววของแกเลยยัยวัณ” มาลตีบอก
“เฮ้อ..น่าน้อยใจจริงจริ๊ง ตอนเราทำงานวันแรกไม่เห็นมีใครเอาใจช่วยอย่างนี้เลย” แววทำเป็นงอน
“ตอนนั้นฉันพูดอะไรได้ล่ะ คุยกันได้คำสองคำแกก็ชวนทะเลาะ สะบัดหน้าเดินหนี” มาลตีบอก
“แม่ พี่แวว..วันนี้วัณจะไปทำงานวันแรกนะ อย่าทะเลาะกันได้มั้ย”
แววกับมาลตีมองหน้ากันแวตกลงสงบศึกกันชั่วคราว
นิติภูมิเพิ่งเข้ามาในห้องทำงาน ในมือหนึ่งของเขาถือโทรศัพท์คุยกับศักดามาด้วย
“แกว่าไงนะ..มิสเตอร์เหลียงเช็คเอ้าท์ออกไปแล้ว” นิติภูมิตกใจ
“ผมเพิ่งเช็คกับรีเซฟชั่นเมื่อกี้นี้ครับคุณนิติภูมิ” ศักดาบอก
“แก๊งค์แพนด้ามันก็ถูกรวบไปหมดแล้ว มันจะกลัวอะไร...หรือว่ามันรู้แผนของเรา”
“แล้วจะให้ผมทำไงต่อครับ”
“รอให้ถึงงานเลี้ยงก่อน..เราจะลงมือกันวันนั้น” นิติภูมิบอก
“จะให้ผมจัดการกับมิสเตอร์เหลียงยังไงครับ”
นิติภูมิยังไม่ตอบ ในหัวของเขาปั่นป่วนไปด้วยแผนร้าย
ไลลารินกาแฟเสิร์ฟให้เอกรินทร์ที่เข้ามานั่งที่โต๊ะอาหาร
“คุณนิติภูมิก็แค่เพื่อนฉัน...ยังไงฉันก็ไม่เปลี่ยนใจจากนายจักรง่ายๆหรอก..ส่วนคุณนิติภูมิก็ไม่มีทางปล่อยยัยแวว...ยิ่งทำงานใกล้กัน โอกาสจะสปาร์คกันมันก็มากขึ้นไปด้วย..งานหนักหน่อยนะตาเอก”
“ผมจะคิดว่านี่เป็นการให้กำลังใจนะ” เอกรินทร์บอก
“แล้วแกเอาแป้งร่ำเพื่อนฉันไปไว้ที่ไหน” ไลลาถาม
“เธอยังคิดว่าแป้งเป็นเพื่อนเธอเหรอ”
“ทำไมแกพูดอย่างนั้น”
“นี่แปลว่าเธอยังไม่รู้เลยว่า คุณแป้งเสียใจที่อยู่ๆ เธอก็ตีตัวออกห่าง” เอกรินทร์บอก
“ทำไมฉันต้องสนใจด้วยล่ะ...เพื่อนอย่างยัยแป้งฉันหาเมื่อไรก็ได้” ไลลาไม่แคร์
“งั้นแป้งก็โชคดีแล้ว ที่ไม่มีเพื่อนอย่างเธอ”
“ฉันเป็นญาติแกนะ..แทนที่แกจะเข้าข้างฉัน”
“แต่ผมเห็นใจแป้งมากกว่าที่เสียเวลาคบคนอย่างเธอมาตั้งนาน”
“งั้นก็เชิญแกไปปลอบใจกันเองเถอะ”
ไลลาเดินเชิดออกไป เอกรินทร์มองตามไปอย่างหน่ายๆ
เริงใจกำลังนั่งทำงานอยู่ในร้าน แป้งร่ำเดินเข้ามาหาแต่เริงใจเมินหน้าหนีเพราะไม่อยากคุยด้วย
“นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นลูกค้านะ...ฉันไล่ออกจากร้านไปแล้ว” เริงใจบอก
“จะให้แป้งทำยังไงคุณเริงถึงจะเข้าใจแป้งคะเนี่ย” แป้งร่ำถาม
“ไม่ต้องพยายามหรอกค่ะ...เหนื่อยเปล่า ความจริงแล้วเราไม่จำเป็นต้องเข้าใจกันก็ได้ ต่างคนต่างอยู่ มีความสุขกันทั้งสองฝ่าย”
“แต่แป้งอยากให้คุณเข้าใจว่าแป้งกับคุณเอกไม่มีอะไรเกินกว่าความเป็นเพื่อน ยังไงคุณเอกก็ยังตัดใจจากคุณแววไม่ได้หรอกค่ะ”
เริงใจพูดอย่างขอไปที “ค่ะ..เข้าใจก็เข้าใจ โอเคมั้ยคะ”
เริงใจทำงานต่อโดยไม่สนใจแป้งร่ำ แป้งร่ำจะเดินออกจากร้านแล้วจู่ๆ ก็เป็นลมล้มลง พนักงานร้านเข้ามาช่วยดู เริงใจเห็นก็รีบเข้ามาดูทันที
“อะไรกัน..เป็นลมแต่เช้าเลยเหรอยะ” เริงใจถามพนักงาน “มียาดมหรือเปล่า”
พนักงานรีบผละออกไป เริงใจช่วยปฐมพยาบาลแป้งร่ำทันที
แววเปิดประตูรถขึ้นมานั่งในรถของชลธิชา แล้วชลธิชาก็ออกรถไป
“เธอวางใจฝ่ายจัดเลี้ยงของโรงแรมนี้ได้เลยนะ พ่อฉันใช้บริการที่นี่บ่อยๆ จนสนิทกันแล้วล่ะ” ชลธิชาบอก
“ขอบใจนะธิชาที่ช่วยเป็นธุระเรื่องนี้ให้” แววตอบกลับ
“ไม่เป็นไรหรอก...งานเร่งอย่างนี้ ทำคนเดียวไม่เสร็จแน่ๆ คุณสยุมภูว์เจ้านายเธอก็เอาเรื่องไม่เบานะ ไม่รู้หรือไงว่างานใหญ่อย่างนี้เขาเตรียมงานกันเป็นเดือน”
“แต่ฉันอยากให้วันนั้นมาถึงเร็วๆนะธิชา” แววยอมรับ
“อ้าว..ทำไมล่ะ”
“ฉันก็จะได้รู้สักทีไงว่าคุณสยุมภูว์เป็นใครกันแน่” แววพูดแล้วรีบเปลี่ยนเรื่อง “เธอยังเจอเอกบ่อยๆใช่มั้ย”
“ใช่..เมื่อคืนก็เพิ่งเจอกัน...มีอะไรหรือเปล่า” ชลธิชาถาม
“เขาไม่ได้พูดถึงฉันแล้วใช่มั้ย”
“ฉันว่าเขาคงเห็นเธอกับคุณนิติภูมิ..” ชลธิชาละไว้
“งั้นก็ดีแล้ว...”
“แต่เขาคงไม่เลิกล้มความตั้งใจง่ายๆหรอก” ชลธิชาบอก
“แปลว่าแผนของฉันไม่ได้ผลเหรอเนี่ย” แววบ่นออกมา
“แผน..? เธอหมายความว่าเธอกับคุณนิติภูมิไม่ได้...”
แววพยักหน้า “ฉันไม่อยากให้เอกรอฉันน่ะ ธิชา ก็เลยต้องทำให้เอกเห็นว่าฉันมีคนอื่น”
“แล้วคุณนิติภูมิรู้หรือเปล่าว่าเธอคบกับเขาแค่..ตบตา” ชลธิชาถาม
“ฉันคงต้องหาจังหวะดีๆบอกเขาสักวัน”
“แล้วถ้าเขาคิดว่าเธอหลอกเขาล่ะ” ชลธิชาถามต่อ
แววมีสีหน้าเป็นกังวล ชลธิชามองแววด้วยสายตาเป็นห่วง
แป้งร่ำค่อยๆลืมตาขึ้น เธอเห็นว่าเริงใจคอยดูแลเธออยู่ มีพนักงานเอาชาร้อนมาเสิร์ฟให้
“ขอโทษนะคะที่ทำให้คุณเริงวุ่นวายอย่างนี้” แป้งร่ำเอ่ย
“แล้วคุณเป็นอะไรของคุณเนี่ย เดินๆอยู่แล้วก็เป็นลม” เริงใจถาม
“ไม่รู้สิคะ ช่วงนี้แป้งเบื่ออาหารแล้วก็เพลียๆ นิดหน่อย ขอบคุณนะคะที่เป็นห่วง”
“ไม่ได้เป็นห่วง แต่ไม่อยากเห็นใครมาเป็นอะไรในร้าน”
แป้งร่ำยิ้มขอบคุณแล้วทำท่าจะลุกออกไป แต่พอลุกขึ้นเธอก็เซ
“คุณนั่งพักให้อาการดีขึ้นก่อนก็ได้ ฉันไม่ได้ใจร้ายขนาดนี้” เริงใจบอก
เริงใจเดินออกไปดูแลร้านต่อ แป้งร่ำมองตามแล้วยิ้มที่แผนการของเธอสำเร็จ
จบตอนที่ 10
ติดตามอ่านแววมยุราตอนต่อไป พรุ่งนี้