xs
xsm
sm
md
lg

แววมยุรา ตอนที่ 3

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


แววมยุรา ตอนที่ 3 
สยุมภูว์สังเกตการประชุมผ่านหน้าจอ เขาจับตาไปที่นิติภูมิซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ นิติธร เขาเห็นว่านิติธรตอบรับจึงพูดออกมา “ขอบคุณมากครับคุณนิติธร ผมขอปิดการประชุมแค่นี้ครับ”
สยุมภูว์กดปุ่ม Disconnect ที่หน้าจอ แต่อีกหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่อยู่ติดกันเป็นจอจากกล้องวงจรปิดในห้องประชุมที่แสดงให้เห็นบรรยากาศหลังประชุมเสร็จ ทุกคนออกไปจากห้องแต่นิติภูมิยังนั่งอยู่ที่เดิมเพียงลำพังด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์
สยุมภูว์ทำหน้าสงสัย
“น้าเพิ่มครับ..ขอภาพจากอีกมุมหนึ่งได้ไหมครับ”
เพิ่มพงษ์กดปุ่ม ภาพเปลี่ยนเป็นอีกมุมแล้วก็ซูมกล้องให้ใกล้เข้าไป สยุมภูว์เห็นสีหน้านิติภูมิที่ดูไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
“ท่าทาง Moody น่าดูนะครับคนนี้” สยุมภูว์ทักขึ้น
“นั่นล่ะครับ..ลูกชายคุณนิติธร” เพิ่มพงษ์บอก
“คนที่จะส่งสร้อยเพชรไปประมูลน่ะเหรอ” สยุมภูว์ถาม
เพิ่มพงษ์หันมามองสยุมภูว์ด้วยสีหน้าตั้งคำถาม
“สร้อยเพชร.. มันเกี่ยวข้องอะไรกับเราหรือเปล่าครับ” เพิ่มพงษ์ถาม
สยุมภูว์กดหน้าเพจของบริษัทนุกูลจนเห็นรูปสร้อยเส้นนั้นใน Listการประมูล แล้วเขาก็ยื่นIpadให้เพิ่มดู
“ผมไม่คิดว่าจะเจอสร้อยเส้นนี้อีกเพราะรู้ว่าแม่ยกให้ภรรยาคุณนิติธรไปแล้วและคิดว่าเขาคงดูแลไว้อย่างดี”
เพิ่มพงษ์ดูรูปจนแน่ใจ “ใช่ครับ..ผมจำได้แล้ว สร้อยเส้นนี้แหละ”
“ตอนที่ผมได้รับเมล์จากบริษัทคุณนุกูล ผมก็ไม่แน่ใจจนต้องโทรศัพท์ไปถาม” สยุมภูว์นิ่งไป “แล้วมันก็เป็นอย่างที่ผมคิดจริงๆ”
“ในนี้บอกว่าจะเอาเงินประมูลทุกบาทไปทำการกุศลนะครับเนี่ย”
“จะด้วยเหตุผลอะไรก็ช่างเถอะ การที่เขาเอาสร้อยเส้นนี้ออกมาประมูล แปลว่าเขาไม่ต้องการจะเก็บมันไว้แล้ว” สยุมภูว์นิ่งไป “แต่ของของแม่มีความหมายกับผมทุกชิ้น”
“คุณอยากได้คืนใช่ไหมครับ” เพิ่มพงษ์ถาม
สยุมภูว์ยิ้มแทนคำตอบ

นิติภูมิเดินคุยโทรศัพท์กับศักดาด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ
“มันทำตัวลับๆล่อๆแบบนี้ แล้วเราจะแน่ใจได้ยังไงครับว่าจะไปปรากฏตัวในงาน” ศักดาถาม
“จะไปหรือไม่ไปแต่แกต้อง stand by ที่นั่น ฉันจะจัดการเรื่องบัตรผ่านเข้างานให้” นิติภูมิสั่ง
นิติภูมิเดินคุยมาเรื่อยๆ จนออกมาเจอกับนิติธร
“เดี๋ยวฉันจะติดต่อกลับไปใหม่ แค่นี้นะ” นิติภูมิรีบตัดสาย แล้วถามนิติธร “มีอะไรจะคุยกับผมหรือเปล่า”
“แกเอาสร้อยของแม่ออกประมูลเหรอ” นิติธรถาม
นิติภูมิตอบอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร “ครับ..”
“ฉันคิดว่าแกจะเก็บไว้เสียอีก”
“แต่ผมเห็นว่ามันน่าจะมีประโยชน์กว่าที่จะเก็บไว้เฉยๆ”
“แกน่าจะปรึกษาฉันก่อน”
“พ่ออยากได้คืนก็ไปประมูลกลับมาสิครับ” นิติภูมิรีบถามตัดบท “พ่ออยากคุยกับผมแค่นี้?”
นิติภูมิไม่ใส่ใจจะฟังคำตอบ เขาเดินออกไปทันที นิติธรมองตามด้วยความรู้สึกเจ็บปวดในใจลึกๆ

สยุมภูว์กำลังจัดสวนหน้าร้านกาแฟโดยมีแววยืนคุยอยู่ใกล้ๆ ส่วนแจ็คกำลังทำงานอย่างแข็งขันอยู่ด้านหลังห่างออกไป
“อ้าว...เหรอ ฉันนึกว่านายปากรรไกรพลาดซะอีก” แววถามด้วยความงง
“ไม่ได้พลาด ฉันตั้งใจแค่ปาเฉียดๆ ไล่มัน ไม่ได้คิดจะปามันให้ตาย งูมันก็มีชีวิตเหมือนเรานะ เราต่างหากที่รบกวนมัน ไปแย่งที่อยู่มัน” สยุมภูว์บอก
“แหม...ฟังดูเป็นคนมีเมตตาต่อสัตว์โลกจังเลยนะ...แต่ฉันว่านายปากรรไกรพลาดเองมากกว่า”
“เฮ้อ...เธอฟังฉันพูดบ้างมั้ยเนี่ย”
“ล้อเล่นน่ะ เอ้อ...” แววหยิบน้ำขวดพลาสติกบนโต๊ะใกล้ๆ ยื่นให้สยุมภูว์ “กินน้ำมั้ย”
สยุมภูว์มองอย่างอึ้งๆ “นี่แอบใส่ยาเบื่อให้ฉันกินรึเปล่า”
“พูดมากนักก็อย่าเอาเลย” แววชักมือกลับ
สยุมภูว์รีบคว้าขวดน้ำมา “ให้แล้วอย่าเปลี่ยนใจสิ” สยุมภูว์เปิดขวดดื่มอย่างชื่นใจ
ชลธิชากับเริงใจยืนมองอยู่ห่างๆ อย่างประหลาดใจ
“คู่นี้เค้าคุยกันดีๆ เป็นด้วยเหรอ” ชลธิชาถามเริงใจ
เริงใจยิ้มขำๆ “นั่นสิเธอ ที่เราเห็นนี่ไม่ใช่ภาพลวงตาใช่มั้ย”
ทันใดนั้นแจ็คก็โผล่มาทางด้านหลังตรงกลางระหว่างชลธิชากับเริงใจ
“นั่นสิครับ ผมเองก็ยังงงเลย วันนี้ดูเจ๊แกจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ” แจ๊คบอก
ชลธิชากับเริงใจเหล่มองแจ็คแล้วหันกลับเดินเข้าร้านไป ทิ้งให้แจ็คยืนเก้ออยู่คนเดียว

เวลาผ่านไป มุมสวนหย่อมบริเวณร้านกาแฟถูกจัดเสร็จเรียบร้อยและสวยงาม สยุมภูว์ แวว และแจ็คยิ้มอย่างชื่นชมผลงาน โดยเฉพาะแจ็คที่ยืนยืดอกด้วยความภูมิใจสุดๆ
“เห็นแล้วหายเหนื่อยเลย ไม่ได้ๆ ต้องถ่ายรูปไปอวดน้าเพิ่ม” แจ๊คว่า
แจ็คยกโทรศัพท์มือถือของตนขึ้นมาถ่าย แต่พอดูรูปในจอเขาก็นึกขึ้นได้
“เดี๋ยวน้าเพิ่มแกจะหาว่าไปถ่ายที่ไหนมามั่วๆ งั้นขอเชิญเข้ากล้องหน่อยเหอะ”
แววหันมาถาม “ฉันเหรอ?”
“คุณด้วย แล้วก็พี่จักรด้วย รบกวนนิด มาๆ ยืนคู่กันเลย” แจ๊คยกกล้องเล็งเตรียมถ่าย
สยุมภูว์กับแววมายืนคู่กันแต่ก็เว้นระยะห่างเป็นคืบ ด้านหลังเป็นสวนสวยที่จัดเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“อย่าบังวิวสวนข้างหลังซะหมดสิครับ ขยับเข้ามาใกล้ๆ กันหน่อย...ใกล้อีก” แจ๊คสั่ง
สยุมภูว์กับแววขยับมายืนเคียงข้างกันแล้วหันมายิ้มกับกล้อง
“อีกนิด...น่านแหละครับ หนึ่ง...สอง...สาม!!”
เสียงของเริงใจดังขึ้น “โอ๊ะๆๆ”
เริงใจกับชลธิชาเดินเข้ามา
“นั่นแน่ มีแอบถ่ายรูปคู่กันด้วยเหรอจ๊ะ” เริงใจแซว
แววรีบผละออกห่าง “จะบ้าเหรอ ฉันจะไปถ่ายรูปคู่กับนายคนจัดสวนนี่ทำไม”
“อ้าว...ไหงพูดงั้นล่ะ ไอ้คนจัดสวนคนนี้มันก็คนเดียวกับคนข้างบ้านเธอนะ” สยุมภูว์พูด
แววรีบบอก “ก็แค่คนข้างบ้านไง ไม่ได้นับเป็นเพื่อนบ้าน”
“เธอว่าไงนะ” สยุมภูว์ถามย้ำ
ชลธิชารีบเบรคศึก “นี่...พอก่อนเถอะจ้ะ”
เริงใจป้องปากกระซิบชลธิชา “ตกลงยังเป็นคู่กัดกันเหมือนเดิมสินะ”
ชลธิชากับเริงใจมาเดินดูมุมที่จัดสวนแล้วต่างก็ชอบอกชอบใจด้วยกันทั้งคู่
“ขอบคุณมากนะ” ชลธิชาบอก
“ไม่เป็นไร วันนี้ฉันว่างก็เลยมาคุมงานให้” แววตอบรับ
“แวว...ฉันขอบคุณนายจักรเค้าตะหาก” ชลธิชาบอก
“อ้าว!”
สยุมภูว์กับแจ็คหัวเราะเยาะแวว แววหันไปทำตาเขียวใส่ สยุมภูว์กับแจ็ครีบหุบยิ้มทันที
“นี่...แล้วร้านจัดสวนของนายน่ะ มีรับประกันหรือบริการหลังการขายอะไรบ้างมั้ย” แววถาม“นี่ร้านจัดสวนนะครับ ไม่ใช่ร้านขายเครื่องซักผ้า ไม่มีหรอกครับรับประกัน แต่ถ้ามีปัญหาอะไร ทางเราก็จะมาดูแลให้อยู่แล้ว” สยุมภูว์บอก
“แต่รดน้ำต้นไม้นี่คุณต้องรดเองนะครับ” แจ๊คเสริม
แววตวาดแจ็ค “อันนั้นฉันรู้ย่ะ”
แจ็คกับสยุมภูว์แปะมือกันอย่างถูกใจ แต่หันมาเจอแววตีหน้ายักษ์ ทั้งสองจึงรีบหุบยิ้มอีกครั้ง

ดึกสงัด แววกำลังจะไขกุญแจเข้าบ้าน เมื่อไขได้เธอกำลังจะผลักประตูเข้าไป แต่ก็ต้องชะงักเพราะได้ยินเสียงเรียก
“แวว!”
แววเหลือบมองไปทางรั้วบ้านของเพิ่มพงษ์

สยุมภูว์เกาะรั้วอยู่ แววเดินเข้ามาหา
“นายนี่รู้เวลาจริงนะ...ฉันจะเข้าบ้านทีไร ก็เจอนายมารอต้อนรับทุกที” แววประชด
“เอ่อ...โทษนะ ที่เธอว่าจะเข้าบ้านแล้วมารอต้อนรับทุกทีเนี่ย มันออกแนวสัตว์เลี้ยงประเภทหมาแมวมากกว่านะ” สยุมภูว์ว่า
“นายพูดเองนะ ฉันยังไม่ทันคิดเลย ว่าไง เรียกฉันทำไม”
“ก็...ที่บอกจะช่วยจัดสวนให้น่ะ พรุ่งนี้มั้ย..ว่างนะ”
“แต่ฉันไม่ว่าง” แววรีบบอก
“จริงสิ ต้องไปเดินแบบงานประมูลเพชรนี่เนอะ เฮ้อ..งานนี้มันจะไฮโซหรูหราแค่ไหนนะ คนอยู่กับดินกับทรายอย่างฉันนึกไม่ออกเลย”
“มันก็หรูแค่ในงานนั่นแหละ เสร็จงานฉันก็กลับมาเป็นยัยแววที่ต้องหาเงินผ่อนบ้านเหมือนเดิม”
สยุมภูว์รู้สึกประทับใจคำพูดของแวว
“แต่อย่างน้อยคุณก็มีเพื่อนบ้านที่แสนดีอย่างผมนะ” สยุมภูว์บอก
“แหวะ.. พูดเองเออเอง แต่ยังไงก็ขอบใจนะ ที่อุตส่าห์จะช่วยจัดสวนให้ วันอื่นแล้วกัน วันนี้ฉันต้องรีบเข้านอน พรุ่งนี้หน้าจะได้ไม่โทรม”
พูดจบแววก็เดินเลี่ยงจากไป สยุมภูว์เกาะรั้วอมยิ้มอยู่คนเดียว สักพักเพิ่มพงษ์ก็เดินมาข้างหลัง
สยุมภูว์อมยิ้มแล้วเปรยเบาๆ “โทรมยังไงก็ยังสวยน่า”
สยุมภูว์ผละจากรั้วแล้วหันกลับไปเจอเพิ่มพงษ์ยืนอยู่ก็ร้องด้วยความตกใจ
“เฮ้ย!” สยุมภูว์พูดเบาๆ “มาไม่ให้สุ้มให้เสียงเลยนะน้าเพิ่ม”
“เรื่องงานประมูลเรียบร้อยแล้วนะครับ” เพิ่มพงษ์รายงาน
“เราต้องไปถึงงานตอนกี่โมงน้าเพิ่ม”
เพิ่มพงษ์ยิ้มอย่างมีเลศนัยแล้วพูด
“แค่ประมูลสร้อย คงไม่จำเป็นถึงต้องไปปรากฏตัวเองหรอกครับ”
“แต่ว่า..”
“นอกจากว่าอยากจะไปเอาใจช่วยใครในงาน”
“ไม่รู้ทันสักเรื่องได้มั้ยเนี่ย” สยุมภูว์ประชดแล้วเปลี่ยนมาเป็นขอร้อง “...น่า..นะครับน้าเพิ่ม”
เพิ่มพงษ์นิ่งคิด “ก็ได้..เดี๋ยวจัดให้”
สยุมภูว์ยิ้มกว้างอย่างมีความหวัง

ที่คอนโดของเอกรินทร์ เอกรินทร์ผูกเน็คไท แต่งตัวหล่อเนี้ยบกว่าปกติ แล้วรีบคว้าสูทมาสวม เสียงโทรศัพท์มือถือของเขาดังขึ้น เอกรินทร์กดรับแล้วใช้ไหล่หนีบพูด แล้วใช้สองมือหยิบกระเป๋าที่ดูเท่ๆ มาสะพายเตรียมออกไปทำงาน
“ครับพี่ ผมกำลังจะออกไปเดี๋ยวนี้แล้ว...ครับ แล้วเจอกันครับ”

เอกรินทร์รีบร้อนออกมาจากห้อง เขาปิดล็อคประตูแล้วเดินมาเคาะประตูห้องข้างๆ แต่ไม่มีเสียงตอบรับ เอกรินทร์เคาะประตูถี่ๆ อีกหลายครั้ง ประตูค่อยๆ แง้มเปิด เอกรินทร์รีบพูดสวนเข้าไป
“จะออกไปพร้อมกันมั้ยยัยไล...ลา....” เอกรินทร์มองอย่างประหลาดใจเพราะคนที่เปิดประตูออกมาคือแป้งร่ำที่อยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้น แป้งร่ำเองก็เซอร์ไพรส์และดีใจที่เห็นเอกรินทร์
“คุณเอก จำแป้งได้ใช่มั้ยคะ”
“เอ่อ...จำได้สิครับ ที่เจอกันที่ร้านอาหารคืนนั้น แต่วันนี้ คุณแป้งดูแต่งตัวสบายๆ จังเลยนะครับ”“อ๋อ...เดี๋ยวแป้งค่อยไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่งานน่ะค่ะ”
ไลลาเดินตามออกมายืนหน้าประตู
“นี่ยัยแป้ง เพื่อนฉันเอง” ไลลาหันไปบอกแป้งร่ำ “แป้ง นายนี่เป็นลูกของน้าฉัน ชื่อเอก”
แป้งร่ำรีบบอก “เค้ารู้จักกันแล้ว”
“แหม..ไวไฟนะยะ ไปแอบรู้จักกันตอนไหนเนี่ย”
“นี่! ฉันต้องรีบไปแล้ว เธอจะไปพร้อมฉันมั้ย” เอกรินทร์ถาม
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันไปกับยัยแป้งดีกว่า นายซิ่งมอเตอร์ไซค์ของนายไปคนเดียวเหอะ” ไลลาตอบ
“งั้นฉันไปก่อนนะ” เอกรินทร์พูดกับแป้งร่ำ “ขอตัวนะครับ” แล้วเอกรินทร์ก็รีบเผ่นออกไป
แป้งร่ำส่งสายตาตามไป ไลลามองแล้วชักหมั่นไส้
“จะบอกให้นะ นายเนี่ยไม่ใช่สเป็คเธอหรอก ชอบทำตัวเป็นหนุ่มเรียบร้อย อบอุ่น ดูน่าเบื่อจะตาย ไม่มีความเร้าใจสไตล์แบ๊ดบอยเอาซะเลย”
“แล้วใครบอกเธอว่าฉันชอบผู้ชายแบบแบ๊ดบอยล่ะ” แป้งร่ำบอก
ไลลามองหน้าแป้งร่ำเพราะรู้สึกได้ทันทีว่าแป้งร่ำท่าทางจะชอบเอกรินทร์จริงๆ

เอกรินทร์ในชุดสูท สะพายกระเป๋าเท่ขี่มอเตอร์ไซค์คันงามมาถึงบริเวณหน้าโรงแรม -ชลธิชาแต่งชุดสวยกำลังยืนอยู่บริเวณหน้าโรงแรมเหลียวมองเขาไม่วางตา
ชลธิชาร้องเรียก “คุณเอก...”
เอกรินทร์ได้ยินเสียงชลธิชาก็ขี่มอเตอร์ไซค์มาจอดใกล้ๆ บริเวณที่ชลธิชายืนอยู่ พร้อมกับถอดหมวกกันน็อกออก
“คุณเอกมาทำข่าวงานประมูลเพชรหรือเปล่าคะ” ชลธิชาถาม
“ใช่ครับผม ต้องรบกวนคุณธิชาด้วยนะครับ”
“ฉันต่างหากที่ต้องรบกวนคุณเอก ให้ทำข่าวโปรโมตงานประมูลของบริษัทคุณพ่อฉัน”
“ไม่หรอกครับ ผมต่างหาก รบกวนของจริงเลย คือต้องรบกวนสอบถามข้อมูล แล้วก็รบกวนสัมภาษณ์คุณธิชาในสกู๊ปข่าวด้วยน่ะครับ”
“แน่ใจเหรอคะ สัมภาษณ์ฉันน่ะ เดี๋ยวคนดูก็เปลี่ยนช่องหนีกันหมดพอดี คุณเอกเปลี่ยนใจตอนนี้ยังทันนะคะ”
“ไม่เปลี่ยนใจหละครับ ยังไงผมก็จะรบกวนคุณธิชาแน่ๆ งั้นเดี๋ยวผมขอตัวไปที่จอดรถก่อน พี่ตากล้องรออยู่น่ะครับ”
“ค่ะ แล้วเจอกัน”
เอกรินทร์ขี่มอเตอร์ไซค์ไปยังที่จอดรถด้านหลังโดยไม่ได้สวมหมวกกันน็อค ชลธิชามองตามแล้วอมยิ้มอย่างปลาบปลื้มเอกรินทร์

ที่ห้องแต่งตัว ช่างแต่งหน้ากำลังแต่งหน้าให้ไลลา ช่างทำผมกำลังเซ็ทผมให้แป้งร่ำ ไลลาถือกระดาษอ่านสคริปต์ แบ็คสเตจถือวิทยุสื่อสารและกระดานสคริปต์เดินผ่านหน้าไป
“อะไรกัน ให้เราสองคนออกไปพรีเซนต์พวกตุ้มหู พวกแหวน กำไล แต่พอถึงสร้อยเพชรที่เป็นไฮไลท์ของงาน กลับไม่ใช่พวกเราซะนี่” ไลลาไม่พอใจ
แป้งร่ำถามทันที “ไม่ใช่พวกเรา...แล้วเป็นใครเหรอ”
“ฉันก็อยากรู้อยู่เหมือนกัน ...หา?!” ไลลามองไปที่ประตูทางเข้า
ไลลาเห็นแววเดินสะพายกระเป๋าเข้ามาในห้อง
“อย่าบอกนะว่าเป็นยัยแวว” ไลลาเอ่ยออกมา
“คนนี้น่ะเหรอที่เธอพูดถึงบ่อยๆ ท่าทางแสบใช้ได้นี่” แป้งร่ำบอก
แววเดินมาใกล้ๆ พอเห็นไลลาเธอก็ตกใจ
“อ้าว! เธอมางานนี้ด้วยเหรอ”
“ย่ะ อาชีพฉันคือนางแบบ งานไหนที่ดูดี มีระดับ ฉันก็รับทั้งนั้น แต่ฉันรับงานหรูๆ มาเยอะ ก็ยังไม่เคยเจอเธอซักงานนะ” ไลลาบอก
แป้งร่ำเอียงหน้าพูดกับไลลา “หรือที่เราไม่ค่อยเจอ เพราะแม่คนนี้รับงานพวกพริตตี้น้ำมันเครื่อง”
“นี่...ฉันได้ยินนะยะ เธอเป็นใครน่ะ” แววถามเสียงเข้ม
“เพื่อนฉันเอง ชื่อแป้ง” ไลลาบอก “ทีนี้รู้แล้วใช่มั้ยว่าเรามากันสองคน มีสี่มือ สี่แรงตบ ถ้าอยากจะลองดีก็เชิญ”
แววผงะถอย ชลธิชาเดินเข้ามาในห้อง แบ็คสเตจหญิงเดินตามเข้ามา
“อีกชั่วโมงเดียวนะ เตรียมทุกอย่างให้พร้อมล่ะ” ชลธิชาบอกแล้วหันมาเจอแวว) อ้าว..แววยังไม่แต่งหน้าทำผมอีกเหรอ”
“ก็รอคิวอยู่น่ะ” แววกระซิบ “เธอทำไมไม่บอกฉันว่าเรียกยัยไลลามาด้วย แถมพาเพื่อนชื่อแป้งอะไรนี่มาอีก”
ชลธิชาพูดเบาๆ “คือคุณเอกเค้าแนะนำมา ฉันก็เลยไม่กล้าปฏิเสธ”
“ดีจังเลยนะ ห่วงผู้ชายมากว่าเพื่อน ไม่กลัวฉันโดนรุมตบรึไง” แววถาม
“ไม่หรอกน่า เธอก็อย่าไปหาเรื่องเค้าสิ” ชลธิชาบอก
“แน๊...โทษฉันซะงั้น ทำยังกะฉันเป็นตัวก่อปัญหาอย่างงั้นแหละ”
“เอาเหอะน่า คิดซะว่าเพื่องานของคุณพ่อฉันนะ เดี๋ยวฉันต้องรีบออกไปแล้ว คุณเอกเค้าจะสัมภาษณ์ฉันออกข่าวทีวีด้วยน่ะ”
“คำก็คุณเอก สองคำก็คุณเอก เป็นเอามากนะ...อ้าว”
แววหันมาไม่เจอเพื่อนแล้ว เพราะชลธิชาพูดเสร็จก็เดินออกไปทันที

ภายในห้องสำหรับประมูล มีเก้าอี้สำหรับคนประมาณ 20 คนวางเรียงราย แบ็คสเตจหญิง เดินเช็คไมโครโฟน แล้วพูดใส่วิทยุสื่อสารเช็คความพร้อมของงาน
ชลธิชาใช้มือจัดผมเผ้าและเสื้อผ้าด้วยท่าทางประหม่าเล็กน้อย เธอยืนเตรียมตัวจะให้สัมภาษณ์ออกทีวี เอกรินทร์ยืนถือไมโครโฟนอยู่ข้างๆ ชลธิชา ตากล้องถือกล้องทีวีเตรียมพร้อมอยู่
เอกรินทร์พูดกับตากล้อง “ผมพร้อมแล้วพี่ นับมาเลย”
“เดี๋ยวๆๆ ค่ะ” ชลธิชารีบบอก “เห็นใจมือใหม่หน่อยสิคะ เกิดมาก็เพิ่งเคยได้ออกทีวีนี่แหละ สั่นไปหมดแล้วค่ะ”
เอกรินทร์ปลอบ “คุณก็คิดซะว่ากำลังคุยกับผมสองคน ไม่ได้ออกทีวีสิ”
“จะคิดอย่างงั้นได้ไงล่ะคะ พี่ตากล้อง ถือกล้องอันเบ้อเริ่มรอถ่ายอยู่แบบนี้” ชลธิชาบอก
“งั้นก็...ลองสูดลมหายใจลึก ลองสิครับ ผมยังใช้วิธีนี้เลย เวลาที่ประหม่า หายใจเข้า...หายใจออก”
ชลธิชาสูดลมหายใจลึกๆ ตามคำแนะนำของเอกรินทร์อยู่ 2-3 เฮือก
“พอไหวมั้ย ไม่ต้องกลัว ถ้าผิดก็เทคใหม่ ผมคอยให้กำลังใจอยู่นี่ไง”
ชลธิชาได้ยินคำว่าให้กำลังใจก็ยิ้ม ยิ่งมองหน้าเอกรินทร์ใจก็ชื้นขึ้นมาเป็นกอง “ถ้ามีคุณเอกช่วยเชียร์แบบนี้ ได้เลยค่ะ มา! พร้อมแล้วหละค่ะ”
ตากล้องนับถอยหลัง “ห้า..สี่...สาม...สอง....”
เอกรินทร์และชลธิชายืนคู่กันเตรียมจะบันทึกเทป


สยุมภูว์ติดกระดุมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวจนถึงคอสุดเนี้ยบ เขาพร้อมที่จะออกไปที่งานประมูลเพชร สยุมภูว์เช็คความเรียบร้อยของตัวเองในกระจกอีกครั้ง สยุมภูว์คว้าสูทที่แขวนอยู่แล้วเดินออกจากห้องไป

ศักดาเปิดกล่องเหล็กใส่ปืนแล้วส่งให้ลูกน้องที่ยืนประกบซ้าย-ขวาอยู่ในห้องน้ำชายภายในงานคนละกระบอก ลูกน้องทั้งสองรับปืนไปซ่อนไว้ใต้เสื้อสูท ทั้งสามแต่งตัวกลมกลืนกับแขกที่มาร่วมงาน
“รอสัญญาณจากฉันเท่านั้น” ศักดาบอก
ลูกน้องทั้งสองรับปาก แล้วเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ศักดารับสาย
“ครับ คุณนิติภูมิ..ได้ครับ ผมจะออกไปเดี๋ยวนี้”
ศักดาวางสายแล้วออกจากห้องน้ำพร้อมกับลูกน้องทั้งสองคน

แขกผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาในงาน ท่ามกลางบรรยากาศที่เริ่มคึกคักขึ้นทุกขณะ เขามองไปรอบๆเหมือนตามหาใครบางคน แล้วเดินออกไป นิติภูมิและลูกน้องเดินเข้ามาแทนที่
นิติภูมิพูดกับศักดา “รู้ทางเข้า ทางออกโรงแรมนี้หมดแล้วใช่ไหม”
“ครับ..ถ้าสยุมภูว์เข้ามา มันไม่มีทางหนีพ้นแน่ๆ” ศักดาบอก
“จับตาดูการประมูลชุดสุดท้ายให้ดี แล้วคอยฟังสัญญาณจากฉัน พวกแกไปประจำตำแหน่งได้แล้ว” นิติภูมิสั่ง
ศักดาพยักหน้าให้ลูกน้อง แล้วทั้งสามก็กระจายตัวกันออกไป นิติภูมิมองไปรอบๆงานแล้วเขาก็หยิบล็อคเกตของแม่ขึ้นมาเปิดดู
“ทุกอย่างจะต้องจบในคืนนี้ครับแม่”
นิติภูมิยิ้มร้าย

นุกูลก้าวขึ้นไปยืนพูดอยู่บนโพเดี้ยมบนเวทีที่มีพิธีกรชายยืนอย่างนอบน้อมอยู่ข้างๆ
“ผมขอบพระคุณผู้มีเกียรติทุกท่านที่เข้าร่วมการประมูลเครื่องเพชรที่ผมจัดขึ้นในครั้งนี้ครับ หลายท่านก็คุ้นหน้าคุ้นตากันดี และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เรามาเริ่มการประมูลกันเลยดีกว่าครับ”
นุกูลเดินลงจากเวที พิธีกรขยับมาทำหน้าที่ต่อ

ภาพพิธีกรกำลังจะเริ่มดำเนินรายการประมูลปรากฏบนจอมอร์นิเตอร์ เมื่อกล้องถอยภาพออกมาจึงเห็นบรรยากาศของห้องประมูลที่คึกคัก สยุมภูว์มองผ่านหน้าจอไปรอบๆห้องสยุมภูว์พยักหน้าอย่างพึงพอใจ “อืม...แล้วผมจะประมูลได้ไง”
“อันนี้ง่ายมากครับ” เพิ่งพงษ์ยื่นไอแพดให้ “แค่ใช้ระบบเฟซไทม์ ติดต่อกับคนของเราที่เข้าร่วมงาน ก็เหมือนคุณสยุมภูว์ไปประมูลอยู่ที่นั่นด้วย แต่ผมขอเตือนเรื่องนึงครับ”
“เรื่องอะไร?” สยุมภูว์ถาม
“เพื่อความไม่ประมาท จะให้ใครเห็นหน้าคุณสยุมภูว์ไม่ได้ ดังนั้น ผมจะให้เขาเห็นแค่ปากและคางของคุณเท่านั้น”
“ต้องทำขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ครับ รีบสวมสูทให้เรียบร้อย” เพิ่มพงษ์ช่วยจับๆ กลัดกระดุมให้ “เตรียมตัวเข้าสู่การประมูลเครื่องเพชรกันดีกว่าครับ”
สยุมภูว์กลัดกระดุมจัดสูทของตัวเองให้เรียบร้อย
“แว่นตาด้วยครับ” เพิ่มพงษ์หยิบแว่นตาที่ดูเคร่งขรึมสวมให้สยุมภูว์
สยุมภูว์สวมแว่นตาแล้วนั่งหลังตรงอย่างภูมิฐาน เขาเห็นภาพจากหน้าจอมอร์นิเตอร์ว่าไลลาเดินออกมาโชว์เพชรที่เข้าร่วมประมูลรายการต่อไปแล้ว

ไลลายืนโพสต์ท่าอยู่บนเวที เธอยกมือขึ้นพรีเซนต์ต่างหู ก่อนจะเดินไปข้างของเวทีแล้วหยุดโพสต์ท่า ระหว่างที่พิธีกรพูดต่อไปเรื่อยๆ
“น้ำหนักเพชรข้างละ 1.03 กะรัต รวม 2.06 กะรัต เริ่มต้นราคาประมูลที่ 4 แสนบาท”
หญิงผู้เข้าร่วมการประมูลคนหนึ่งยกป้ายวงกลมที่เป็นหมายเลขที่นั่งของตนขึ้นมาประมูล ในขณะที่คนอื่นยังก้มดูเอกสารการประมูลที่ลงรายละเอียดรายการประมูลกันอย่างพิจารณา
“สี่แสนห้าหมื่น” หญิงคนนั้นพูด
“สี่แสนห้าหมื่นแล้วนะครับ มีท่านใดจะเสนอราคามากกว่านี้มั้ยครับ” พิธีกรถาม
ชายอีกคนยกป้ายบอกหมายเลขที่นั่งของตนขึ้น
“ห้าแสนครับ”
หญิงคนเดิมรีบชูป้ายแล้วสวนขึ้น “หกแสน”
เอกรินทร์และชลธิชาที่ยืนอยู่มุมห้องกับตากล้องถึงกับร้องโอ้โหแล้วหันมามองหน้ากัน
“หกแสนบาทอย่างรวดเร็ว” พิธีกรพูดต่อ “นางแบบของเราว่าสวยแล้ว แต่ต่างหูคู่นี้สะท้อนแสงวิบวับ สวยยิ่งกว่านางแบบอีกนะครับ”
ไลลาหันมาค้อนใส่พิธีกร
ชายอีกคนชูป้ายขึ้น “ผมให้เจ็ดแสน”
“เอาละสิครับ มีผู้ให้ราคาประมูลขึ้นมาอีกท่านแล้ว”
ลูกน้องของนิติภูมิจับตามองวงศกรที่นั่งปะปนอยู่กับผู้ร่วมประมูลคนอื่นๆ วงศกรไม่สนใจนางแบบบนเวทีเพราะกำลังพลิกดูรูปสร้อยของตระกูลทศพลที่เข้าร่วมประมูล ลูกน้องคนหนึ่งรีบบอกศักดาทันที
ศักดารับทราบก่อนจะเดินตรงมานั่งข้างๆวงศกร เขายิ้มให้วงศกรอย่างเป็นมิตร วงศกรยิ้มตอบแต่ไม่พูดอะไร สักพักวงศกรก็ลุกเดินออกไป ศักดามองตามด้วยความสงสัยก่อนจะกดบลูทูธบอกนิติภูมิ
“คุณนิติภูมิ ซ้ายมือของคุณครับ..”
นิติภูมิกำลังจะเดินเข้าไปหาวงศกรตามที่ศักดาบอก แต่นุกูลเดินเข้ามาแทรก
“สวัสดีครับคุณนิติภูมิ มานานหรือยังครับเนี่ย” นุกูลทัก
นิติภูมิยิ้มให้นุกูลแต่ก็แอบมองข้ามไหล่นุกูล แต่วงศกรก็คลาดสายตาไปอย่างรวดเร็วจนน่าสงสัย
“ไม่ทราบว่าคุณนิติภูมิได้พบคุณสยมภูว์หรือยังครับ” นุกูลถาม
“ผมก็ยังไม่เห็นเหมือนกัน” นิติภูมิตอบ
“หวังว่าคุณสยมภูว์คงจะมาทันร่วมประมูลสร้อยเพชรเส้นนั้นนะครับ” นุกูลว่า
“ครับ..ผมก็คิดอย่างนั้น”
พูดจบนิติภูมิก็ทำท่าขอตัวจะเดินออกมา แต่สักพักก็คิดออกจึงหันกลับมาคุยกับนุกูล
“แต่ถ้าคุณขยับคิวประมูลสร้อยเส้นนั้นให้เร็วขึ้น เราก็อาจจะได้พบคุณสยุมภูว์เร็วขึ้นนะครับ”
นุกูลทำท่าคล้ายจะเห็นด้วย


วงศกรเดินหลบออกมาเข้าห้องน้ำ ลูกน้องของศักดาเดินตามมาโดยรักษาระยะห่าง วงศกรเข้าห้องน้ำแล้วล็อคประตู ลูกน้องของศักดาตามมาไม่ทัน วงศกรเปิดเฟซไทม์ทำให้เห็นครึ่งหน้าของสยุมภูว์ ส่วนหน้าของวงศกรทั้งหน้าปรากฏอยู่บนจอไอแพดของสยุมภูว์
สยุมภูว์ถามวงศกรผ่านโปรแกรมเฟซไทม์ “มีอะไรว่ามา”
“ผมถูกสะกดรอยครับ” วงศกรบอก “จะให้ยกเลิกภารกิจหรือเปล่า”
สยุมภูว์นิ่งคิด “คุณแน่ใจนะ”
“ครับ”
สยุมภูว์นิ่งคิด “เอาอย่างนี้นะ เมื่อไรที่ถึงคิวประมูลสร้อยเส้นนั้น คุณสู้ราคาให้ได้ห้าสิบล้านแล้วรีบออกจากงานเลย ไม่ต้องอยู่รอประมูลต่อ”
“ครับ”
วงศกรรับคำแล้วตัดสายไป
เพิ่มพงษ์หันมามองหน้าสยุมภูว์ “คิดจะทำอะไรครับ คุณสยุมภูว์”
สยุมภูว์ยิ้มแต่ไม่ตอบอะไร

แววมยุรานั่งให้ช่างแต่งหน้าและช่างทำผมดูความเรียบร้อยเป็นครั้งสุดท้ายอยู่ในห้องแต่งตัว แววมยุราเหลือบไปเห็นไลลาเดินเข้ามาโดยมีแบ็คสเตจเดินประกบ
“เดี๋ยวถอดต่างหูเพชรคืนให้เจ้าหน้าที่ตรงนี้ด้วยนะคะคุณไลลา” แบ๊คสเตจบอก
“ได้จ้ะ” ไลลารับคำ
ชายร่างยักษ์ในชุดซาฟารีที่กำลังยืนจังก้าน่าเกรงขามยื่นตลับเพชรให้ไลลา ไลลาถอดต่างหูทั้งสองข้างออก แบ็คสเตจหยิบสร้อยเพชรจากตลับขนาดใหญ่มาส่งให้แววมยุรา
“สวมสร้อยเพชรเลยนะคะ พอดีคุณนุกูลสั่งเลื่อนคิวขึ้นมา เสร็จแล้วตามมารอ Stand By หลังเวทีนะคะ” แบ๊คสเตจบอก
แววมยุราสวมสร้อยเพชรตามคำสั่ง แล้วลุกเดินตามแบ็คสเตจไป ไลลาเหลือบมองแววมยุราที่ลุกเดินออกไปและทิ้งกระเป๋าสะพายวางไว้บริเวณนั้น
ไลลาเห็นกระเป๋าของแววมยุราก็ฉายแววเจ้าเล่ห์ออกมาทางดวงตา ไลลาวางต่างหูคืนใส่ตลับแล้วปิดแต่ยังแอบต่างหูอีกข้างไว้ในฝ่ามือ ชายร่างยักษ์รับตลับคืนแล้วพยักหน้าอย่างไม่สงสัยอะไร
ไลลาเดินมานั่งใกล้ๆ กับกระเป๋าสะพายของแววมยุราที่วางไว้ แล้วทำลอยหน้าลอยตาแต่มือข้างหนึ่งแอบหย่อนต่างหูเพชรลงไปในกระเป๋าของแววมยุรา
อ่านต่อหน้าที่ 2




แววมยุรา ตอนที่ 2 (ต่อ)

วงศกรเปิดประตูห้องน้ำออกมาแต่ไม่มีใครอยู่ที่หน้าห้องน้ำแล้ว เขาเดินออกไป สักพักลูกน้องคนหนึ่งของศักดาที่แอบอยู่ก็โผล่ออกมาจากที่ซ่อนแล้วเดินตามไปห่างๆ วงศกรรู้ตัวว่ามีคนเดินตามแต่ก็ไม่แสดงท่าทางอะไร

วงศกรกลับมานั่งประจำที่เดิมโดยไม่แสดงพิรุธอะไร ศักดาที่นั่งใกล้ๆแอบหันมามอง-วงศกร วงศกรหันไปยิ้มให้
พิธีกรชายยืนพูดที่โพเดี้ยมบนเวที โดยมีแป้งร่ำยืนพรีเซนต์แหวนเพชรอยู่ข้างๆ สักพักแป้งร่ำก็หันหลังเดินกลับเข้าไปด้านหลัง
“ลำดับต่อไป ถือเป็นไฮไลท์ของงานประมูลเครื่องเพชรครั้งนี้ นี่คือสร้อยคอเพชรสี่เหลี่ยม พริ้นเซส คัท ที่เป็นสมบัติส่วนตัวและตกทอดมายาวนานของตระกูลทศพลครับ”
แววมยุราเดินออกมาอย่างเฉิดฉาย เธอวางตำแหน่งมือในการพรีเซนต์สร้อยเพชรอย่างสวยงาม เรียกเสียงฮือฮาจากคนที่มาเข้าร่วมการประมูลเป็นอย่างมาก
นิติภูมิเห็นแววมยุราที่ยืนอยู่ท่ามกลางแสงไฟก็ถึงกับตะลึงในความสวยสง่าของเธอ
ชลธิชา เอกรินทร์ นุกูล และตากล้องยืนดูอยู่ด้วยกัน
ชลธิชาชี้ชวนคนอื่นให้ดูบนเวทีอย่างตื่นเต้น “นั่นไง แววออกมาแล้ว”
เอกรินทร์แสดงออกชัดเจนว่าชื่นชม “แววดูสวยจังเลยนะครับ”
ชลธิชาถึงกับสะอึก เธอมองเอกรินทร์ที่ส่งสายตามองแววมยุรา นุกูลที่ยืนข้างๆ ลอบมองสังเกตอาการของลูกสาวของตัวเองที่เศร้าไป
“เริ่มต้นราคาประมูลที่สี่สิบล้านบาทครับ” พิธีกรพูด
นิติภูมิยังคงยืนจับตาดูแววมยุราอย่างเพลิดเพลิน

แจ็คเดินตรงมาเคาะประตูห้องทำงานลับ สักพักเขาก็ทำหน้าสงสัยเมื่อไม่มีใครตอบรับ
“น้าเพิ่ม...พี่จักร...ไม่มีเสียงตอบรับจากสายที่ท่านเรียก”
แจ็คมีสีหน้าอยากรู้ยิ่งขึ้น เขากำลังจะผลักประตูเข้าไป แต่ประตูก็เปิดผลัวะออกมาก่อน
แจ็คตกใจจนร้องสุดเสียง “อร๊าย...”
เพิ่มพงษ์ถาม “ตกใจแล้วแต๋วแตกหรือแกเนี่ย”
“แหม..มันก็มีบ้างบางอารมณ์น่ะ น้าเพิ่ม..”
“มีอะไร..แล้วใครดูลูกค้าหน้าร้านน่ะ”
“จะใครล่ะ..ก็แจ็คนี่แหละ ทั้งน้าทั้งพี่จักรเล่นหายหัวกันแบบนี้..ลูกค้าจะต่อราคาต้นแก้วสามต้นร้อยได้มั้ย”
“แหม..ต่อไม่เกรงใจฟ้าดินเลยนะ..ไม่ได้เว้ย” เพิ่งพงษ์บอก
แจ็คเริ่มสงสัย “แล้วพี่จักรไปไหนล่ะ..ไม่อกไปช่วยแจ็คหน้าร้านเลย”
“ฉันใช้มันไปซื้อปุ๋ย.. เดี๋ยวก็มามั้ง” เพิ่มพงษ์บอก
แจ็คยังคงทำหน้าตาสงสัยต่อ
เพิ่มพงษ์รีบไล่ “ไม่ต้องสงสัยแล้ว..ลูกค้าเขารออยู่ ไปเลย”
แจ็คเดินออกไป เพิ่มพงษ์มองตามให้แน่ใจว่าแจ็คเดินพ้นไปแล้วจึงถอนใจออกมา “คุณสยุมภูว์นะ..คุณสยุมภูว์ ต้องให้เพิ่มเอาใจช่วยตลอดเลย”

แววมยุรายืนโพสต์ท่าพรีเซนต์สร้อยเพชรอยู่ข้างๆ พิธีกรบนเวที
“ราคาขึ้นไปถึง 50 ล้านบาทในเวลาอันรวดเร็วนะครับ” พิธีกรพูด
นิติภูมิจับตาดูแววมยุราจนลืมสนใจวงศกรไป ขณะเดียวกับที่นุกูลเข้ามาคุยกับนิติภูมิทำให้นิติภูมิหลุดจากภวังค์
“ออกตัวแรงขนาดนี้..ผมว่าห้าสิบล้านน่าจะน้อยไปนะครับ” นุกูลบอก
นิติภูมิพยายามเก็บความรู้สึก “ดีครับ..จะได้เงินทำบุญเต็มเม็ดเต็มหน่วย..คุณนุกูลไปหานางแบบมาจากที่ไหนครับเนี่ย”
“ต้องถามยัยธิชา ลูกสาวผมแล้วละครับ..อย่างนางแบบคนนี้ก็เพื่อนลูกสาวผมเอง หนูแวว”
นิติภูมิยิ้มอย่างถูกใจ “ชื่อ แวว เหรอครับ
“เอ๊ะ..ตกลงว่าคุณได้พบคุณสยุมภูว์หรือยังครับเนี่ย”
นิติภูมิส่ายหน้าอย่างหงุดหงิดแต่ก็พยายามเก็บอารมณ์ เขามองไปที่ที่วงศกรเคยนั่งอยู่จึงเห็นว่าตอนนี้วงศกรหายไปแล้ว นิติภูมิหน้าเสีย
“ผมขอตัวก่อนนะครับ”
นิติภูมิรีบชิ่งออกไป นุกูลมองอย่างงงๆ

นิติภูมิเดินออกมาที่หน้าห้อง ศักดารายงานทันที
“ไม่ต้องห่วงครับ ลูกน้องผมตามอยู่ อีกคนดักรอที่ลานจอดรถ”
“อย่าให้รอดไปได้นะ” นิติภูมิกำชับ
“มันไม่รอดแน่ครับ”
นิติภูมิ ยิ้มร้าย

วงศกรปรากฏตัวที่ลานจอดรถ ลูกน้องคนหนึ่งของศักดาสะกดรอยตามมา แต่วงศกรอาศัยจังหวะหลบหลังเสาโดยไม่ให้ลูกน้องศักดาตั้งตัว ลูกน้องศักดาส่งสัญญาณให้ลูกน้องอีกคนที่ดักรออยู่ ทั้งสองควักปืนออกมาแล้วให้สัญญาณจู่โจมไปที่หลังเสาพร้อมกัน แต่กลายเป็นว่าด้านหลังเสานั้นมีบันไดเล็กๆ สำหรับเดินขึ้นไปอีกชั้น
ลูกน้องคนหนึ่งสบถออกมา “เวร..!!”
ศักดาเดินตามมาสมทบ พอรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเขาจึงรีบขึ้นบันไดตามไปทันทีและพบว่าเขาขึ้นมาอยู่ใกล้ทางขึ้น-ลงของรถ
ลูกน้องคนหนึ่งถามขึ้น “เอายังไงดีพี่”
ศักดานิ่งคิดสักพัก ก่อนจะได้ยินเสียงแตรรถดังพร้อมกับรถที่พุ่งลงมาจากทางลงเหมือนจะพุ่งเข้าชน ทั้งสามกระโดดหลบรถเกือบไม่ทัน
ศักดามองตามรถคันนั้น จึงเห็นว่าเสื้อสูทลายสะดุดตาถูกโยนออกมานอกหน้าต่างรถ ศักดาหยิบเสื้อขึ้นมาพบว่าเป็นเสื้อตัวเดียวกับที่วงศกรใส่นั่นเอง ศักดาเจ็บใจสุดๆ

ป้ายหมายเลข 070 ถูกยกขึ้นมา ท่ามกลางคนเข้าร่วมประมูลมากมาย
เสียงสยุมภูว์ดังขึ้น “เจ็ดสิบล้าน”
“เจ็ดสิบล้านแล้วครับ มีใครจะสู้อีกไหมครับ” พิธีกรทิ้งระยะคล้ายรอให้คนสู้ราคา...แต่ก็ไม่มีใครสู้ “ถ้าอย่างนั้นผมขอนับนะครับ เจ็ดสิบล้าน...หนึ่ง”
นิติภูมิกำลังจะเปิดประตูเข้าไปในห้อง จังหวะเดียวกับที่สยุมภูว์เดินสวนออกมาทำให้ทั้งคู่เกือบชนกัน
“ขอโทษครับ” สยุมภูว์เอ่ย
สยุมภูว์รีบเดินออกไป นิติภูมิเดินเข้าโดยไม่ได้สนใจอะไร
นิติภูมิเดินเข้าไปในห้องทันได้ยินเสียงพิธีกรขานพอดี
“เจ็ดสิบล้าน..สาม..”
เสียงปรบมือของผู้เข้าร่วมประมูลดังขึ้น นิติภูมิยังงงๆ
“สร้อยของตระกูลทศพลเส้นนี้ปิดที่ราคาเจ็ดสิบล้านบาท ตกเป็นของท่านผู้เข้าร่วมประมูลหมายเลข 070” พิธีกรทิ้งระยะ พอเห็นชื่อในโพยแล้วพิธีกรก็ยิ้มออกมา “คุณสยุมภูว์ ทศพลครับ”
เสียงปรบมือดังกึกก้อง นิติภูมิถึงกับตะลึงเมื่อได้ยินพิธีกรประกาศชื่อสยุมภูว์ เขามองหาสยุมภูว์ทั่วห้องจนมาหยุดที่เก้าอี้ที่วงศกรเคยนั่ง เขาเห็นป้ายหมายเลข 070 ถูกวางทิ้งไว้ที่เก้าอี้ตัวนั้น นิติภูมิหยิบขึ้นมาดูด้วยความเจ็บใจ
นุกูลเดินเข้ามาหานิติภูมิ
“ไม่นึกเลยนะครับว่า คุณสยุมภูว์จะมาร่วมงานประมูลของเราด้วย น่าเสียดายนะครับที่ไม่ได้เจอกัน”
นิติภูมิเจ็บใจจนพูดอะไรไม่ออก “ครับ”
นิติภูมิเจ็บใจแต่ก็ต้องฝืนยิ้มตอบ

เมื่องานประมูลเสร็จสิ้นลง แขกเหรื่อทั้งชายหญิงก็ทยอยลุกและเดินออกไปจากห้อง ชลธิชา เอกรินทร์ นุกูลและตากล้องยืนคุยอยู่ด้วยกัน
“ต้องขอบคุณคุณเอกมากๆ เลยนะคะ ที่อุตส่าห์มาทำข่าวงานประมูล” ชลธิชาเอ่ย
“ไม่ต้องขอบคุณหรอกครับ ผมก็แค่ทำข่าวตามหน้าที่ของผม” เอกรินทร์บอก
“ไม่ได้หรอกค่ะ หรือว่า...ให้ฉันได้เลี้ยงข้าวตอบแทนคุณเอกซักมื้อดีกว่า”
“งั้น...ก็ได้ครับ เดี๋ยวผมคงต้องขอตัวก่อน ต้องไปตัดต่อข่าวให้เสร็จทันออกอากาศคืนนี้เลยน่ะครับ ไปก่อนนะครับ” เอกรินทร์ยกมือไหว้นุกูล “สวัสดีครับ”
เอกรินทร์เดินออกไปกับตากล้อง ชลธิชามองตามอย่างปลาบปลื้ม นุกูลจึงเดินเข้ามาทัก
“ลูกสาวพ่อ ร้ายจริงๆ”
“ขา? คุณพ่อว่าไงนะคะ”
“พ่อได้ยินนะ เดี๋ยวนี้รู้จักพาผู้ชายไปเลี้ยงข้าวซะด้วย”
ชลธิชาเขิน “คุณพ่อ! ลูกแค่อยากขอบคุณเค้าน่ะค่ะ พูดซะเสียเลย”
นุกูลหัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดี “ฮ่าๆๆ พ่อล้อเล่นน่ะ”
ทันใดนั้นแบ็คสเตจก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา
“คุณนุกูล คุณชลธิชา เกิดเรื่องใหญ่แล้วหละค่ะ”

ชลธิชาและนุกูลเข้ามาในห้องแต่งตัว หลังจากทราบเรื่องทั้งหมดทั้งสองก็ตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“ต่างหูเพชรหายไปข้างนึงเนี่ยนะ” ชลธิชาถามย้ำ
นุกูลหันไปพูดกับแบ็คสเตจ “เป็นไปได้ไง ลองตรวจดูอีกทีรึยัง”
แววมยุรา ไลลา แป้งร่ำนั่งอยู่ใกล้ๆ กัน ส่วนชายร่างยักษ์ในชุดซาฟารียืนฟังหน้าเครียดอยู่ใกล้ๆ ไลลาพยักหน้าให้แป้งร่ำเริ่มแผน
“ฉันว่านะ คนที่ขโมยไปก็น่าจะเป็นคนที่อยู่ในห้องนี้นี่แหละ” แป้งร่ำเอ่ยขึ้น
“ใช่...ทำไมเราไม่ลองค้นตัว แล้วก็ค้นกระเป๋าของทุกคนดูล่ะ” ไลลาเสริม
“คงต้องเป็นอย่างนั้นล่ะค่ะ เพราะยังไงก็เอาเพชรออกไปไม่ได้หรอก เครื่องตรวจจับก็มีทั่วงาน รบกวนทุกคนด้วยนะคะ” ชลธิชาบอก
“ไม่มีปัญหา..เธอล่ะ..แวว..” ไลลาหันไปถาม
“ยังไงก็ได้ ฉันไม่มีปัญหาอยู่แล้ว” แววมยุราตอบ
ไลลาพูดกับแบ็คสเตจ “งั้นก็ลงมือค้นกระเป๋าของทุกคนได้เลย”
ไลลากับแป้งร่ำเดินไปหยิบกระเป๋าสะพายของตนมาเปิดกางออกให้ดู แบ็คสเตจและชายร่างยักษ์มาช่วยตรวจคนละกระเป๋า สักครู่แบ็คสเตจก็ผละมาที่แววมยุรา
“ขออนุญาตนะคะคุณแวว” แบ๊คสเตจบอก
แววมยุราตอบรับ “ตามสบายจ้ะ”
แบ็คสเตจค้นกระเป๋าของแววมยุรา ไลลาแอบสะกิดแป้งร่ำให้หันไปมองที่แบ็คสเตจซึ่งกำลังค้นกระเป๋าของแววมยุราอยู่ แววมยุราเงยหน้ามองทั้งสอง ไลลากับแป้งร่ำรีบหลบตา
แบ็คสเตจพูดเสียงดัง “เจอแล้ว!!”
แววมยุราสะดุ้งโหยง “ห๊ะ?!!”
ชายร่างยักษ์รีบผละมายืนจังก้าใกล้ๆ แววมยุราเพื่อคุมเชิง แบ็คสเตจชูต่างหูเพชรขึ้นมาให้ทุกคนดู
“นี่มันอะไรกัน ฉันไม่รู้เรื่องนะ” แววมยุราปฏิเสธ
“ไม่รู้เรื่องได้ไง ทุกคนก็เห็นว่ามันอยู่ในกระเป๋าเธอ” ไลลาบอก
ชลธิชากับนุกูลเดินเข้ามาใกล้ๆ
“แต่ฉันไม่เชื่อว่าแววมยุราจะทำอย่างนั้น” ชลธิชาบอก
“ถ้าอย่างนั้น ไอ้ต่างหูนี่มันคงมีขา อยากเดินลงกระเป๋าก็ได้มังคะ” ไลลาประชด
“คุณนุกูลต้องจัดการนะคะ แป้งไม่อยากถูกเหมารวมว่าเป็นแก๊งค์นางแบบจอมฉก รู้ถึงไหนอายถึงนั่น”
“เรียกตำรวจมาจัดการเลยค่ะ หลักฐานคามืออย่างนี้..ไลลาจะได้กลับบ้านเสียที”
“ใช่ค่ะ..แป้งมีงานต่อด้วย เสียเวลาจริงๆ”
“ตอนนี้ชัดเจนว่าแววเป็นแค่ผู้ต้องสงสัย..ความจริงจะเป็นยังไง คงไม่มีใครยืนยันได้เท่ากับกล้องวงจรปิดหรอก” นุกูลบอก
ไลลากับแป้งร่ำมองหน้ากันอย่างงงๆ
แป้งร่ำมองไปรอบห้องแล้วถามขึ้น “กล้องวงจรปิดอะไรกันคะ ไม่เห็นมีสักตัว”
“มีไม่มีเดี๋ยวก็รู้..ว่าแต่ว่าเราอยากดูหรือเปล่าล่ะ” นุกูลถาม
แป้งร่ำกับไลลามองหน้ากันเพราะกลัวถูกจับได้
“ฉันว่า..มาคิดดูอีกที มันอาจเป็นอุบัติเหตุก็ได้นะ ตุ้มหูมันหล่นหายง่ายจะตาย บางทีเราก็ไม่รู้ตัวหรอกเนอะ เธอว่าไหม” แป้งร่ำรีบเฉไฉ
ไลลารีบพยักหน้ารับ “จริงของเธอ..ฉันกำลังจะบอกพอดีเลย..แหม..เนี่ย โชคดีจังเลยนะคะคุณนุกูล..สรุปว่าไม่มีอะไรหาย ไม่มีอะไรติดใจแล้วนะคะไลลาเหนื้อยเหนื่อย อยากกลับบ้านแล้วน่ะค่ะ”
“แป้งก็ต้องไปต่ออีกงานด้วยนะคะ” แป้งร่ำทำเป็นยกโทรศัพท์ขึ้นมารับ “ดูสิ..พี่ตือโทรมาตามแล้ว”
“อ้าว..แล้วเมื่อกี้อะไรล่ะ..ประณามฉันฉอดๆๆๆ ฉันไม่ยอมให้ถูกด่าฟรีหรอกนะ” แววมยุราโวย
ชลธิชาปราม “แวว..พอเถอะ” ชลธิชาหันไปถามนุกูลด้วยสายตา
นุกูลเอ่ยขึ้น “งั้นก็กลับกันได้แล้ว”
แป้งร่ำกับไลลารู้สึกโล่งอกจึงรีบเดินออกจากห้องไป แววมยุราหันไปขอบคุณนุกูล
“ขอบคุณคุณอานะคะที่เชื่อใจแวว..แต่แววสงสัยน่ะค่ะ..ว่ากล้องวงจรปิดมันอยู่ที่ไหน”
“ถ้าต้องใช้กล้องวงจรปิดแล้วอาจะจ้างบอร์ดี้การ์ดมาเยอะแยะทำไมล่ะจ้ะ” นุกูลถามกลับ
“มุกตื้นๆของยัยสองคนนั้น ทำไมพ่อฉันจะไม่รู้ว่าเธอน่ะโดนแกล้ง” ชลธิชาบอก
“ขอบคุณมากนะคะ” แววมยุรากล่าวแล้วหันไปหาชลธิชา “ไม่ได้เธอฉันแย่แน่ๆ เลย”
ชลธิชายิ้มให้กำลังใจแววมยุรา

แววมยุราเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดลำลองแล้ว เธอสะพายกระเป๋าเดินออกจากประตูห้องประชุมพร้อมกับบ่นอย่างเซ็งๆ
“เฮ่อ...เกือบซวยแล้วมั้ยล่ะ พ้นเคราะห์ พ้นทุกข์กันไปซะที...เหย?!”
แววมยุราผงะเพราะเห็นคำรพยืนแอ็คท่ารออยู่ คำรพยิ้มให้เธออย่างกรุ้มกริ่ม
“อะไรกันอีกล่ะเนี่ย” แววมยุราเร่งฝีเท้าเดินหนี
คำรพเร่งฝีเท้าตาม “เดี๋ยวสิแวว” คำรพคว้าแขนไว้ “คุณลองกลับไปคิดรึยัง”
“คิดอะไรเหรอคะ”
“ก็...ที่ผมเสนอจะดูแลส่งเสียคุณ แล้วก็ครอบครัวของคุณไง”
แววมยุราถอนใจอย่างเบื่อหน่าย “เฮ่อ...นึกว่าอะไร”
แววมยุราเดินหนี คำรพจะคว้าแขน แววมยุราสะบัดแล้วเดินหนี
คำรพตามมาฉุดแขนไว้ “เดี๋ยวสิแวว ผมขอคุยแป๊บเดียว มาคุยกับผมทางนี้นะ”
คำรพไม่รอให้แววมยุราตอบ เขาดึงแขนแววมยุราให้เดินตามไปทันที

คำรพจับแขนแววมยุราแน่น ดึงมาที่รถของเขาที่จอดอยู่ที่ลานจอดรถ แล้วกดรีโมทกุญแจรถ
“ปล่อยนะคุณคำรพ นี่คุณจะพาฉันไปไหน”
“ก็แค่ขึ้นรถผมแล้วไปหาที่คุยกัน” คำรพบอก
แววมยุราสะบัด “ไม่”
คำรพยิ่งจับแขนแน่นขึ้น “อย่าบังคับให้ผมต้องใช้กำลังกับคุณได้มั้ย คุณอยากได้อะไรก็บอกผมมา ผมตามใจทุกอย่าง อย่าขัดผมอีกเลยนะแวว”
คำรพเปิดประตูรถแล้วพยายามดันแววมยุราให้ขึ้นรถ
“ปล่อยฉันนะ คุณคำรพ คุณจะบ้าเหรอ” แววมยุราขัดขืน
“ใช่! แต่ก็เพราะคุณนั่นแหละที่ทำให้ผมต้องเป็นบ้าแบบนี้”
“ปล่อยฉัน”
ทันใดนั้น สยุมภูว์ก็ตรงเข้ามากระชากคอเสื้อคำรพ คำรพหันหน้ามา
สยุมภูว์พูดเสียงเข้ม “ปล่อยแววมยุราเดี๋ยวนี้”
“แกเป็นใครเนี่ย อยากเจ็บตัวรึไง” คำรพฉุน
สยุมภูว์วางมาดยียวน “ขอโทษ ใครกันแน่ครับ ที่จะเจ็บตัว โอ๊ย!”
พูดไม่ทันขาดคำสยุมภูว์ก็โดนหมัดของคำรพเข้าที่เบ้าตาเต็มๆ
สยุมภูว์ใช้มือหนึ่งกุมเบ้าตา “อูย...เจ็บนะโว้ย”
“ก็เออสิ!”
คำรพสาวหมัดอีก แต่คราวนี้สยุมภูว์หลบได้ทัน แล้วสวนหมัดเข้าไปที่หน้าคำรพบ้าง
คำรพยิ้มใส่และไม่แสดงอาการอะไร “แกมีแรงแค่นี้เหรอ”
คำรพต่อยสยุมภูว์อีกหมัดจนสยุมภูว์เซไป คำรพสืบเท้าตามไป สยุมภูว์ต่อยคืน แต่คำรพก็ยังไม่สะดุ้งสะเทือน คำรพต่อยสวนเข้าหน้าสยุมภูว์อีก
สยุมภูว์บ่น “โอ๊ย! ทำไมหมัดมันหนักนักวะ”
คำรพตามไปเงื้อง่าจะต่อยสยุมภูว์ แต่ก็ได้ยินเสียงไลลาดังมาแต่ไกล
“หยุดนะ”
ไลลากับแป้งร่ำที่เปลี่ยนชุดแล้วเดินตรงเข้ามา
“ถ้าไม่หยุด ฉันเรียกรปภ.จริงๆ นะ” ไลลาขู่
คำรพเห็นท่าไม่ดีก็ชี้หน้าขู่สยุมภูว์ที่กำลังยืนปกป้องแววมยุราที่ยืนอยู่ข้างหลัง
“ทีหน้าทีหลังอย่ายุ่งเรื่องชาวบ้านอีก” คำรพพูดกับแววมยุรา “แวว แล้วผมจะติดต่อคุณไปอีกนะ”
คำรพเดินไปขึ้นรถ ไลลากับแป้งร่ำเดินมาถาม
“นายจักร...เป็นอะไรรึเปล่า มาทำอะไรแถวนี้เนี่ย”
แป้งร่ำถามเพื่อน “ใครอ่ะ ไลลา”
“เดี๋ยวฉันค่อยเล่าให้ฟัง..คุณจักรให้ไลลาพาส่งโรงพยาบาลนะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ เอ่อ...ผมต้องขอตัวก่อนนะครับ สวัสดีครับ”
พูดจบสยุมภูว์ก็ยิ้มให้ทั้งสองแล้วเดินจากไป แววมยุราเดินตาม พอเดินผ่านไลลา ทั้งสองก็มองเขม่นกันเล็กน้อย
ไลลามองตามสยุมภูว์ไปด้วยท่าทางเคลิ้มฝัน แป้งร่ำจึงต้องสะกิดให้รู้ตัว
“อีตานั่น เขาเป็นใครน่ะ” แป้งร่ำถาม
“เขาเป็นเจ้าของร้านต้นไม้” ไลลาตอบ
“คนขายต้นไม้เนี่ยนะ เดี๋ยวนี้สเป็คเธอเป็นแบบนี้เหรอไลลา”
“ทำไม เค้าก็หล่อดีออก แถมยังแมนสุดๆ เป็นฮีโร่สุดๆ ผู้ชายแบบเนี้ยแหละย่ะที่จะปกป้องดูแลฉันได้”
ไลลายิ้มตาเชื่อม แป้งร่ำเหล่มองหน้าเพื่อนอย่างเพลียๆ


นิติภูมิดูเสื้อที่วงศกรทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า สักพักเขาก็โมโหจนเขวี้ยงมันลงพื้นลานจอดรถ
“ไอ้สยุมภูว์ แกทำฉันแสบมากนะ”
“แต่อย่างน้อยเราก็ได้เห็นหน้ามันนะครับ” ศักดาบอก
นิติภูมิพูดกับศักดา “เห็นหน้ามันเหรอ..ไอ้คนที่พวกแกไล่ตามมันน่ะ ไม่ใช่สยุมภูว์โว้ย..นี่ แกต้องให้ฉันอธิบายทุกเรื่องเลยหรือไง”
ศักดาก้มหน้ารับผิด
“พวกแกไปให้พ้นๆหน้าฉันก่อน เห็นหน้าพวกแกแล้วฉันคิดอะไรไม่ออก” นิติภูมิไล่
ศักดาและลูกน้องถอยออกไป นิติภูมิเปิดประตูรถเข้าไปนั่งสักพักเขาก็ตบพวงมาลัยรถด้วยความโมโหที่ทำอะไรสยุมภูว์ไม่ได้

สยุมภูว์เดินนำแววมยุรามาที่รถกระบะของเขาที่จอดอยู่ที่ลานจอดรถ
“ขึ้นรถสิแวว เดี๋ยวฉันไปส่ง” สยุมภูว์บอก
“ไม่เป็นไร ฉันกลับเองได้ เดี๋ยวเดินไปเรียกแท็กซี่ข้างหน้า” แววมยุราปฏิเสธ
“แน่ใจนะ ดูนั่นสิ”
สยุมภูว์พยักเพยิดให้แววมยุราหันไปมอง แววมยุราหันไปเห็นคำรพจอดรถดักเปิดกระจก จ้องมองแววมยุราอยู่
“เอ่อ..งั้น...ฉันติดรถนายกลับบ้านด้วยคนนะ” แววมยุราเปลี่ยนใจ
สยุมภูว์ยิ้มแล้วเปิดประตูให้แววมยุราขึ้นรถ แล้วเขาก็อ้อมมาขึ้นรถด้านคนขับ ก่อนจะสตาร์ทรถออกไป

รถของสยุมภูว์กับรถของนิติภูมิวิ่งสวนกันตรงมุมหนึ่งของลานจอดรถ นิติภูมิเห็นแววมยุรานั่งอยู่ในรถก็รีบกลับรถแล้วขับตามไปทันทีแล้วเขาก็กดโทรศัพท์หาใครบางคน

ชลธิชากำลังจะเดินออกจากโรงแรมแต่มีโทรศัพท์เข้ามา เธอจึงเดินไปคุยไป
“ธิชาว่าให้แววเขาตั้งตัวก่อนดีมั้ยถ้าจู่โจมเลยตอนนี้ เดี๋ยวแววเขาตกใจ”
“ถ้าอย่างนั้น คุณธิชามีคำแนะนำอะไรหรือเปล่าล่ะครับ” นิติภูมิถามผ่านโทรศัพท์
“คุณนิติภูมิจะให้ธิชาเป็นแม่สื่อให้หรือคะเนี่ย”
“รังเกียจหรือเปล่าละครับ”
“แหม..ใครจะพูดออย่างนั้นกับลูกค้าคนสำคัญของบริษัทล่ะคะ ถ้าคุณนิติภูมิอยากพบแวว ธิชาว่าเราสามคนนัดทานข้าวกันสักมื้อก็ได้ แววมีเพื่อนไปด้วยจะได้ไม่เขิน”
“อย่างนั้นก็ดีครับ ผมรบกวนคุณธิชาโทรนัดคุณแววให้หน่อยนะครับ”
ชลธิชาตอบรับ “ยินดีค่ะ..”
ชลธิชาวางสายแล้วตัดสินใจสักพักก่อนจะพูดกับตัวเอง “เพื่อชีวิตที่ดีขึ้นของเพื่อน ลองดูก็แล้วกัน”
ชลธิชาโทรศัพท์หาแววมยุราทันที
อ่านต่อหน้าที่ 3




แววมยุรา ตอนที่ 3 (ต่อ)
รถกระบะเก่าๆของสยุมภูว์วิ่งไปบนถนน สักพักเสียงโทรศัพท์มือถือของแววมยุราก็ดังขึ้น แววมยุราหันกลับไปหยิบกระเป๋าที่โยนไว้ด้านหลังเบาะรถ แต่ทำกระเป๋าตกไปที่พื้น เธอปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วหันกลับไปพยายามจะหยิบกระเป๋าให้ได้ แต่เสียงโทรศัพท์เงียบไป แววมยุราเห็นสูทที่สยุมภูว์ใส่ประมูลซุกอยู่ใต้เบาะจึงหยิบออกมาดู
“อุ้ย..” แววมยุราดูยี่ห้อ “ตัวละหลายหมื่นเลยนะเนี่ยยี่ห้อนี้ ของนายเหรอ”
สยุมภูว์พยายามแก้ตัว “สูท..ของผมที่ไหนล่ะ”
“ก็มันอยู่ในรถนาย..แล้วจะของใคร”
“ของผมก็ได้” สยุมภูว์พยายามแก้ตัว “แต่สูทมือสองอย่างนี้ตัวไม่ถึงพันหรอก”
แววมยุรามองสยุมภูว์ด้วยความสงสัย “ฉันตะหงิดๆตั้งแต่เจอนายที่โรงแรมแล้วว่านายไปทำอะไรที่นั่น”
“ผมก็ไปซื้อปุ๋ยนะสิ” สยุมภูว์ตอบ
“อย่าบอกนะว่าต้องใส่สูทมาซื้อด้วย”
สยุมภูว์แถต่อ “ทำไมล่ะ...มันแปลกตรงไหน”
“แล้วไหนล่ะปุ๋ย..ไม่เห็นมีสักกระสอบ”
“ก็ไม่มีไง..ตอนแรกคิดว่าที่โรงแรมเขาขายปุ๋ยด้วย ก็เลยจะไปซื้อที่โรงแรม แต่พอไปถึงโรงแรมแล้วเพิ่งรู้ว่าเขาไม่ได้ขายปุ๋ย เข้าใจยัง”
“สีข้างถลอกหมดแล้วล่ะ” แววมยุราประชด
สยุมภูว์ไม่รู้จะแก้ตัวอะไรต่อ “เธอรู้แล้วสินะ”
“ถึงขั้นนี้แล้ว สารภาพมาเหอะ..ยังไม่สาย”
สยุมภูว์อ้ำๆอึ้งๆ “คือ...”
แววมยุราจ้องหน้ารอคำตอบจนทนไม่ได้ “ฉันเข้าใจ”
“ขอบใจนะ” สยุมภูว์พูด
“บางทีคนเราก็อยากไปเห็นในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าไม่มีวันจะได้เห็นหรอก คงเหมือนที่เราอยากรู้ว่าสวรรค์มันเป็นไง สวยงามแค่ไหนนั่นล่ะ”
สยุมภูว์งงแต่ก็เออออตามน้ำไป “ก็งั้นล่ะ”
“ความจริงเมื่อคืนนี้ถ้านายบอกฉันตรงๆว่าอยากเข้าไปในงานประมูลเพชร ฉันอาจจะขออนุญาตชลธิชาเขาก็ได้..จะได้ไม่ต้องเตรียมสูทมาเก้อ”
“เอ่อ..” สยุมภูว์รับมุก “แล้วงานเป็นไงบ้าง”
“นายรู้ไหมว่าสร้อยที่ฉันใส่ราคาตั้งเจ็ดสิบล้านน่ะ”
สยุมภูว์ทำเป็นตกใจ “หา..อะไรนะ”
“ไม่ต้องตกใจหรอก ฉันว่าสร้อยเส้นนั้นต้องมีความหมายกับคุณสยุมภูว์มากแหละ..แต่ฉันก็ไม่เข้าใจกับการใช้เงินแบบแปลกๆของพวกคนรวยหรอกนะ แต่ก็นั่นแหละ..เราอยู่คนละโลกกับเขาคงไม่มีทางเข้าใจหรอก นายว่ามั้ย”
สยุมภูว์พยัหน้าเออออตามแล้วก็แอบยิ้มกับคำตอบของแววมยุรา

เพิ่มพงษ์กับแจ็คนั่งเล่นอยู่หน้าบ้านเช่า ทั้งสองเห็นรถของสยุมภูว์กลับมาก็ขยับลุกขึ้น
“พี่จักรกลับมาแล้วน้าเพิ่ม” แจ๊คบอก
แจ็คกับเพิ่มพงษ์เดินไปยืนหน้ารั้วบ้านแล้วยิ้มแย้มต้อนรับ แต่ก็ต้องยิ้มค้างเพราะเห็นรถของสยุมภูว์วิ่งเลยไปจอดเทียบหน้ารั้วบ้านของแววมยุรา ทั้งสองเหลือบมองตามไปเห็นสยุมภูว์จอดรถแล้วเดินลงมา ส่วนแววมยุราเปิดประตูรถลงมาเอง ทั้งสองยืนคุยกันอยู่หน้าบ้านของแววมยุรา แจ็คกับเพิ่มพงษ์สะกิดกันแล้วหลบไปชะเง้อคอแอบมอง
“ขอบใจมากนะ” แววมยุราบอก
“ไม่ต้องขอบใจก็ได้ ยังไงฉันก็ต้องขับรถกลับบ้านอยู่แล้ว” สยุมภูว์ชี้ที่บ้านเพิ่งพงษ์
“ฉันขอบใจที่นายช่วยฉันจากอีตาคำรพต่างหาก” แววมยุราเพ่งมองที่หางคิ้วของสยุมภูว์ “เจ็บมากมั้ยเนี่ย”
“ไม่เป็นไร”
“ไม่เป็นไรได้ไง มีเลือดซิบๆ อยู่เนี่ย มา..ตามมา” แววมยุราพูดแล้วก็เดินนำเข้าบ้านของเธอ
สยุมภูว์ยืนนิ่งทำหน้าตางงๆ “หา?!”
“เข้ามาสิ เดี๋ยวฉันทำแผลให้ ถือซะว่าเป็นการขอบคุณแล้วกัน”
สยุมภูว์รู้สึกประหลาดใจแต่ก็ยิ้มแล้วเดินเข้าไปแต่โดยดี

แววมยุราใช้สำลีชุบน้ำยาล้างแผลแล้วค่อยๆ บรรจงเช็ดแผลที่หางคิ้วให้สยุมภูว์ ทันทีที่โดนแผลสยุมภูว์ก็ร้องเสียงหลง
“โอ๊ย!”
“เป็นอะไร?” แววมยุราถาม
“ก็แสบแผลน่ะสิ”
“อย่าใจเสาะหน่อยเลยน่ะ น้ำยาล้างแผลนี่ ไม่ใช่น้ำเปล่า”
แววมยุราเอาสำลีกดย้ำที่แผลอีกที
“โอ๊ย! เบามือหน่อยสิ นี่จะปฐมพยาบาล หรือจะฆ่ากันเนี่ย แตะๆ เบาๆ ก็ได้ ไม่ต้องกดซะขนาดนี้”
“เป็นผู้ชายซะเปล่า แค่นี้ทำโอดโอย ถ้าไม่กดให้น้ำยาโดนแผล แล้วมันจะเรียกว่าล้างแผลมั้ย”
แววมยุราหยิบสำลีชิ้นใหม่มาชุบน้ำยาล้างแผลแล้วกดที่แผลอีก
“โอ๊ย!”
สยุมภูว์เจ็บแผลเลยคว้ามือของแววมยุราตามสัญชาตญาณ ทั้งสองต่างชะงักมองตากัน ด้วยความรู้สึกหวั่นไหวเล็กๆ สยุมภูว์ยังไม่ยอมปล่อยมือของแววมยุรา ทั้งสองยังคงจ้องตากัน
ทันใดนั้นเสียงของวัณณรีก็ดังขึ้น “ทำอะไรกันน่ะ”
สยุมภูว์กับแววมยุราหันไปทางวัณณรีแล้วตกใจรีบผละออกจากกัน วัณณรียืนมองพอเห็นว่าเป็นสยุมภูว์ก็ยิ้มทักทาย
“อ้าว! พี่ข้างบ้านนี่ มาทำอะไรในบ้านนี้เนี่ย”

แจ็คนั่งคุยกับเพิ่มพงษ์อยู่ในบ้านของพวกเขา
“สวดยอดอ่ะลูกพี่ผม” แจ๊คเอ่ยชม
“สวดยอดอะไรของแกวะ” เพิ่มพงษ์ถาม
“ก็พี่จักรอ่ะดิน้า เพิ่งย้ายมาไม่กี่วัน สาวข้างบ้านก็ชวนเข้าห้องซะแล้ว โอ๊ย!”
เพิ่มพงษ์ตบหัวแจ็ค “ไอ้นี่ พูดจาไม่รู้จักให้เกียรติผู้หญิง แล้วเค้าเป็นเพื่อนบ้านเรา แกไปพูดแบบนี้ เกิดเค้าได้ยินเข้ามันจะเสียมั้ย หา”
“โธ่...น้าเพิ่มไม่รู้อะไร ยัยเจ๊ข้างบ้านคนเนี้ย ทั้งร้ายทั้งแสบสุดๆ แต่ลงท้ายก็โดนพี่จักรเขมือบซะราบคาบอยู่ดี”
“ไอ้แจ็คเอ๊ย...คนชุ่ยๆ อย่างแกมันก็คิดได้แค่นี้ จะบอกให้นะ คนอย่างไอ้จักรน่ะ ถ้ามันจะรู้สึกดีๆ กับผู้หญิงซักคน มันก็รู้สึกด้วยใจ ไม่ได้รู้สึกด้วยความหื่นแบบแก”
“โอ๊ย...น้าเพิ่มรู้ได้ไง บางทีตอนนี้ พี่จักรแกอาจจะกำลังกุ๊กกิ๊กกับสาวบ้านข้างๆ อยู่ก็ได้”
สยุมภูว์รีบระล่ำระลักปฏิเสธ
“เปล่านะ ไม่ได้ทำอะไรซะหน่อย”
“แล้วพี่จักรเข้ามาในบ้านนี้ทำไม” วัณณรีถาม
“ก็...” สยุมภูว์ชี้ไปที่แววมยุรา “พี่สาวเธอชวนฉันเข้าบ้าน”
“เฮ้ย! พูดดีๆ นะ ฉันเสียนะอย่างงี้” แววมยุราพูดกับวัณณรี “นี่! ยัยวัณ ดู! มีทั้งยาล้างแผล มีทั้งยาแดงใส่แผล มีทั้งสำลี เธอว่าเรากำลังทำอะไรกันอยู่ล่ะจ๊ะ”
“เอ้า...ไปโดนอะไรมาล่ะพี่” วัณณรีหันไปมองแววมยุราอย่างระแวง “พี่แววไปทำอะไรพี่จักรเค้า”
“ฉันไม่ได้ทำ โอ๊ย! แม้แต่น้องสาวฉันเองก็ยังมองฉันเป็นนางร้ายใช่มั้ยเนี่ย” แววมยุราเซ็ง
“ก็น่าจะพิจารณาตัวเองมั่งนะ โอ๊ย!”
แววมยุรากดสำลีย้ำที่แผลสยุมภูว์ วัณณรีเดินเข้ามา
“มา...พี่จักร ให้วัณทำให้ดีกว่า”
วัณณรีแทรกเข้ามามองขวดยาแดง และยาล้างแผลอย่างงงๆ แล้วหันมาถามแววมยุรา
“ทำไงต่ออ่ะ?”
“ฉันล้างแผลให้แล้ว เธอแค่ใส่ยาแดง เสร็จแล้วก็รีบๆ ไล่นายนี่กลับบ้านไปซะ” แววมยุราบอก
“ไม่ต้องไล่ ฉันกลับเองเป็น” สยุมภูว์บอก
“อยู่นิ่งๆ สิพี่ วัณทายาแดงให้”
วัณณรีใช้สำลีชุบยาแดงกดที่แผลให้อย่างเบามือ
วัณณรีเอ่ยถาม “เจ็บรึเปล่า”
สยุมภูว์พูดกับแววมยุรา “นี่ไง หัดดูอย่างน้องสาวเธอมั่ง เค้ารู้จักทำเบาๆ แล้วก็ยังรู้จักเป็นห่วงว่าเจ็บรึเปล่า”
แววมยุราถอนหายใจแล้วค้อนใส่สยุมภูว์
วัณณรีใส่ยาแดงให้ แล้วหยุดมองหน้าสยุมภูว์ “พี่จักรนี่ก็หน้าตาหล่อดีนะ”
แววมยุราสะดุ้งโหยงแล้วรีบปราดมาขวาง เพื่อแยกวัณณรีกับสยุมภูว์ให้ห่างจากกัน
“นายจักร รีบกลับบ้านไปเลยไป” แววมยุราหันไปบอกวัณณรี “ยัยวัณ อย่าแก่แดดให้มากนัก” แล้วเธอก็หันมาหาสยุมภูว์ “นี่...บอกให้กลับบ้านไปไง”
“โอเคๆ ไล่จริงนะ แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะมาช่วยจัดสวนให้ตามสัญญานะ” สยุมภูว์บอก
วัณณรีดีใจจนออกนอกหน้า “พรุ่งนี้พี่จักรมาอีกเหรอ”
“ยัยวัณ เยอะไปแล้วนะ” แววมยุราพูดกับสยุมภูว์ “กลับบ้านไปนายน่ะ”
“รู้แล้ว..รู้แล้ว” สยุมภูว์เดินออกไป
แววมยุราถอนใจด้วยความโล่งอก วัณณรียิ้มปลื้มแล้วมองตามไป
“จะมาจัดสวนให้ด้วย คนอะไร ทั้งหล่อ ทั้งมีน้ำใจ” วัณณรีพูด
แววมยุราดุ “ยัยวัณ เราน่ะเป็นผู้หญิงนะ แถมยังเรียนหนังสืออยู่ จะพูดอะไรกับผู้ชายก็ให้ระวังปากระวังคำบ้าง”
“พี่แววมยุราด่าวัณ ก็เพราะหวงพี่จักรล่ะสิ รู้ทันหรอกน่า” วัณณรีเดินเข้าบ้านไป
“เฮ้ย..ไม่ใช่อย่างงั้น อ้าว! พอจะแก้ตัวก็ไม่รอฟังซะอีก เฮ่อ... “ แววมยุราเซ็ง
แววมยุราส่ายหน้าอย่างหนักใจในตัวน้องสาวของเธอ

นิติธรนั่งดูข่าวอยู่ในห้องรับแขก เขาเห็นว่าเอกรินทร์กำลังรายงานข่าวเรื่องงานประมูลเพชรอยู่
“และสำหรับสร้อยเพชรของตระกูลทศพลที่เป็นไฮไลท์ของงานประมูลครั้งนี้” เอกรินทร์พูด ได้ถูกประมูลไปในราคาสูงถึงแปดล้านบาท แต่เจ้าของใหม่ของสร้อยเส้นนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนครับ เพราะเขาคือ คุณสยุมภูว์ ทศพล”
นิติธรยิ้มออกมาเมื่อรู้ข่าว นิติภูมิเดินเข้าบ้านมาพอดีพอเห็นข่าวนั้นเขาก็เอารีโมทมากดปิดทันที
“ฉันคิดอยู่แล้วว่าคุณสยุมภูว์จะต้องได้สร้อยเส้นนั้นไป” นิติธรบอก
“ผมก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน” นิติภูมิยอมรับ
“แล้วทำไมแกไม่บอกคุณสยุมภูว์ตั้งแต่แรกว่าอยากคืนสร้อยเส้นนั้นให้เขา”
“ผมคงไม่จำเป็นต้องบอกพ่อทุกเรื่องนะ”
นิติธรนิ่งไปคล้ายพยายามสงบอารมณ์
“วันนี้พ่อฝากคุณเพิ่มพงษ์ไปบอกคุณสยุมภูว์แล้วจะให้แกเข้ามาทำงานแบบเต็มตัวกับทศพลกรุ๊ปเสียที”
“แล้วเขาว่าไงครับ” นิติภูมิถามทันที
“คุณเพิ่มพงษ์บอกว่าจะรีบบอกเรื่องนี้กับคุณสยุมภูว์ให้ แต่พ่อว่าไม่น่าจะมีปัญหา”
นิติภูมินิ่งคิด “ครับพ่อ”
“แกตั้งใจทำงานด้วยล่ะ คุณสยุมภูว์เขากรุณาแกขนาดนั้นแล้ว มีคนอีกตั้งมากที่อยากทำงานกับทศพลกรุ๊ปแต่ไม่มีโอกาสดีๆเหมือนแก”
“ไม่ต้องเป็นห่วงครับ ผมไม่ทำให้เสียชื่อพ่อแน่”
“ดีแล้ว..”
“แต่ไอ้ความกรุณาครั้งนี้ของเขา มันไม่ได้ทำให้ผมลืมเรื่องที่คนตระกูลนี้เอาเวลาของพ่อไปหมด จนไม่มีเวลามาดูแลแม่แม้กระทั่งตอนที่แม่ป่วยหนักหรอกนะ” นิติภูมิพูดอย่างเคียดแค้น
“แกเลิกพูดเรื่องนี้สักทีได้มั้ย”
นิติภูมิยังพูดไม่หยุด “พ่อไม่เคยมีเวลามาเยี่ยม มาดูแลแม่ แม้กระทั่งวันที่แม่จากไป พ่อยังเอาเวลาไปรับใช้พวกมันแทนที่จะได้อยู่ดูใจแม่เป็นครั้งสุดท้าย”
“ฉันบอกให้แกหยุด” นิติธรตวาด
นิติภูมิเลิกต่อปากต่อคำ เขาจ้องหน้านิติธร นิติธรเห็นสายตาเจ็บปวดของนิติภูมิ สักพักนิติภูมิก็เดินหนีเข้าบ้านไป
นิติธร ยืนนิ่ง ทั้งเสียใจทั้งรู้สึกผิดเพราะรู้แก่ใจดีว่าที่ผ่านมาตัวเองไม่ได้ให้เวลาดูแลครอบครัวจริงๆ

เพิ่มพงษ์เดินเข้ามาในห้องทำงานลับที่สยุมภูว์นั่งอยู่
“เรื่องที่โรงแรมวันนี้ ทำให้คุณสยุมภูว์แน่ใจแล้วใช่ไหมครับ ว่ามีคนไม่หวังดีกับคุณจริงๆ”
“เรายังไม่รู้ใช่ไหมครับว่าคนพวกนั้นเป็นใคร” สยุมภูว์ถาม
“ขอเวลาผมอีกหน่อยเถอะครับ เมื่อไรที่ทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง คุณจะได้เปิดตัวเองในฐานะสยุมภว์ ทศพลทันที”
“แต่การเป็นนายจักร กังวาลไกร มันอาจจะทำให้ผมเห็นตัวจริงของใครบางคนดียิ่งกว่าตอนที่ผมเป็นสยุมภูว์ ทศพลเสียอีก..ผมชักเริ่มสนุกกับการเป็นนายจักรเสียแล้วสิ”
“อย่าให้ผมเดาเลยนะครับว่าใครบางคนของคุณสยุมภูว์น่ะหมายถึงคุณแวว”
สยุมภูว์ยิ้มเขินๆ แทนคำตอบ
ชลธิชาโทรศัพท์เข้ามาหาแววมยุรา แววมยุราที่อยู่ในชุดนอนและอยู่ในห้องนอนของตัวเองกดรับสาย
“โทษทีนะ ธิชา ฉันเห็นมิสคอลล์แล้วแต่ลืมโทรกลับน่ะ มีอะไรหรือเปล่า”
“ไม่มีอะไรหรอกแวว ฉันจะโทรชวนเธอไปทานข้าว” ชลธิชาบอก
“ได้สิ..ให้ฉันนัดเริงใจด้วยไหม”
“คงไม่จำเป็นมั้ง”
“อ้าว..” แววมยุราสงสัย “เธอกับเริงใจ มีปัญหาอะไรกันหรือเปล่า”
ชลธิชาพยายามพูดกลบเกลื่อน “เปล๊า...”
“แน่ใจนะว่าไม่ใช่เรื่องคุณเอก”
ชลธิชานิ่งไปครู่หนึ่ง”เรื่องนั้นเก็บไว้ก่อนเถอะ ตกลงว่าเธอจะไปกินข้าวกับฉันนะ”
“ไปสิ นัดมาก็แล้วกัน”
ชลธิชายิ้มออก แววมยุราไม่คิดสงสัยแม้แต่น้อยว่าชลธิชากำลังจะทำอะไร

แจ็คและเพิ่มพงษ์ช่วยกันเก็บกวาดใบไม้ในสวนที่ยังดูรกๆ และยังไม่ได้รับการจัดของแววมยุรา
“นี่...แล้วร้านต้นไม้ของน้าเพิ่มไม่รวยแย่เหรอ เค้าไม่ได้บอกว่าจะจ้าง ก็มาทำให้เค้าฟรีๆ อย่างงี้” แจ๊คประชด
“ก็เอาเหอะวะไอ้แจ็ค คิดซะว่ามีน้ำใจให้กับเพื่อนบ้าน แกเองก็เล็งคนใช้บ้านเค้าอยู่เหมือนกันไม่ใช่เหรอ” เพิ่มพงษ์ถาม
“อย่าเรียกโรสว่าคนใช้สิน้าเพิ่ม เค้าต้องเรียกว่าเมด (maid)” แจ๊คบอก
สยุมภูว์เข็นรถเข็นใส่กระถางต้นแววมยุรามาเต็มคันรถ
สยุมภูว์บอกกับทั้งสองคน “มาแล้ว...”
เพิ่มพงษ์มองอย่างเสียดาย “เฮ่อ..ต้นไม้ร้านฉันทั้งนั้น”
“เดี๋ยวที่เหลือนี่ผมจัดการเอง น้าเพิ่มกะแจ็คไปดูแลที่ร้านต้นไม้เถอะ” สยุมภูว์บอก
แจ็คโยนเสียมทิ้งทันที “รอคำนี้มานานแล้ว งั้นผมชิ่งก่อนหละนะ”
เพิ่มพงษ์เสียงดุ “ไอ้แจ็ค!”
“ก็พี่จักรบอกให้ไปได้ น้าเพิ่มจะเรียกผมทำไม”
“ไม่ได้ว่าอะไร แค่เรียกให้รอด้วย ร้อนตับจะแล่บ” เพิ่มพงษ์พูดกับสยุมภูว์ “งั้นฉันไปร้านต้นไม้ก่อนหละนะ”
สยุมภูว์ยิ้มและพยักหน้าตอบ แจ็คกับเพิ่มพงษ์เดินออกไป สยุมภูว์หยิบกระถางของต้นแววมยุราขึ้นมาตระเตรียมเอาออกจากกระถางเพื่อลงดิน
วัณณรีออกจากบ้านมาทักเขา
“อ้าว..คนอื่นไปไหนหมดน่ะ ทิ้งให้พี่จักรอยู่คนเดียวเหรอ”
“ไม่เป็นไร งานจัดสวนเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้ พี่ทำเองได้” สยุมภูว์บอก
“เก่งนะพี่เนี่ย เอ้อ..หิวน้ำมั้ย วัณไปเอาน้ำมาให้”
“ไม่ต้องหรอก บ้านก็รั้วติดกันแค่เนี้ย ถ้าหิวน้ำพี่เดินกลับไปกินเองง่ายกว่า เอ้อ...แล้วแววล่ะ”
“พี่แววไปสัมภาษณ์งานค่ะ เห็นบอกว่า ถ้ายังไม่ได้งานในเดือนนี้ เดือนหน้าจะไม่มีตังค์แล้ว”
สยุมภูว์ถอนใจด้วยความรู้สึกเห็นใจแววมยุรา
“ถ้าวัณพอช่วยอะไรพี่แววได้ ก็ช่วยเค้าบ้างแล้วกัน” สยุมภูว์บอก
“โอ๊ย...ไม่เป็นไรหรอกพี่ พี่แววเค้าก็ชอบพูดแบบนี้ แต่ถึงเวลาสิ้นเดือนทีไร ก็เห็นเค้าหาเงินมาจ่ายโน่นจ่ายนี่ได้ทันทุกที”
สยุมภูว์ฟังแล้วก็ยิ่งนึกเห็นใจแววมยุรามากขึ้น


เวลาผ่านไป สวนบริเวณบ้านแววมยุราถูกจัดจนเสร็จเรียบร้อย ทำให้สวนดูโล่งและเป็นระเบียบมากขึ้น ด้านหนึ่งเป็นแนวของต้นแววมยุรามยุราที่มีดอกสีชมพูอ่อนและม่วงอ่อนเรียงเป็นระเบียบอย่างสวยงาม สยุมภูว์นั่งยองๆ ก้มเกลี่ยดินเพื่อเก็บงานอยู่
แววมยุราร้องด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นยินดีดังขึ้น “โอ้โห...”
สยุมภูว์หันไปเห็นแววมยุราสะพายกระเป๋าถือเดินเข้ามาในรั้วบ้าน
“สวยจังเลย ไม่เคยคิดมาก่อนเลยนะว่าสวนบ้านฉันจะสวยได้ขนาดนี้” แววมยุราเอ่ยชม
“ถ้ามีตรงไหนไม่ถูกใจก็บอกได้นะ หรือไม่ชอบต้นไม้ต้นไหนก็เปลี่ยนได้” สยุมภูว์บอก
“ไม่เปลี่ยนแล้ว ฉันชอบทุกต้นเลย” แววมยุราเดินมาดูที่ต้นแววมยุรา “ดอกสวยจัง นี่ต้นอะไรเหรอ”
“นี่เธอถามจริงๆ หรือแกล้งถามเนี่ย”
แววมยุรางง “ถามจริงๆ สิ นี่ต้นอะไร”
“คนอะไร...ไม่รู้จักกระทั่งตัวเอง”
แววมยุรายิ่งงงหนัก “ไม่รู้จักตัวเองอะไร” แววมยุราชี้ที่แนวต้นไม้ “ฉันถามชื่อต้นนี้”
“แววมยุรา”
“นายเมาแดดหรือเปล่าเนี่ย ฉันถามชื่อต้นไม้”
“ก็เนี่ยแหละ ต้นแววมยุรา” สยุมภูว์บอก
“ห๊ะ? แววมยุรา” แววมยุราชื่นชมที่ดอกไม้ แล้วหันมายิ้มให้สยุมภูว์ “ชื่อเหมือนฉันเลย”
“ทั้งชื่อทั้งนามสกุลเลยหละ”
“นั่นสิ บังเอิญจังเลยนะ”
“บังเอิญอะไร ฉันตั้งใจจัดให้เธอโดยเฉพาะต่างหาก เฮ่อ..แต่เธอดันไม่รู้จักซะนี่”
“ก็รู้จักแล้วนี่ไง” แววมยุรายกมือทักทายต้นไม้ “หวัดดี แววมยุรา ฉันชื่อแววมยุราจ้ะ” แววมยุราหันมาหัวเราะกับสยุมภูว์ “นี่ไง ทำความรู้จักกันแล้ว”
แววมยุรากับสยุมภูว์หัวเราะสดใส และยิ้มให้กันอย่างยอมรับกันมากขึ้น

สยุมภูว์นั่งที่เก้าอี้รับแขก เขาเทน้ำจากเหยือกใส่แก้วแล้วยกขึ้นดื่มอั้กๆ จนหมดแก้ว ก่อนจะวางแก้วลง
“เฮ่อ...สดชื่น”
สยุมภูว์สะดุดเพราะเหลือบเห็นแววมยุรายื่นซองจดหมายให้เขา
สยุมภูว์งง “อะไรเหรอ”
“ค่าจ้างทำสวนของนาย” แววมยุราบอก
สยุมภูว์เอามือดันซองออกเบาๆ “ฉันไม่เอา”
“ไม่ได้ ฉันไม่ชอบใช้แรงงานใครฟรีๆ แล้วก็ไม่ชอบเป็นหนี้บุญคุณใครด้วย”
“โอ๊ย...คิดมากไปเปล่า จะบอกให้ว่าต้นไม้ที่ฉันเอามาลงให้นี่มีแต่ต้นที่ราคาถูกๆ ทั้งนั้น”
“แล้วอย่างต้นแววมยุราล่ะ”
“อันนั้นยิ่งถูกเลย” สยุมภูว์พูดใส่หน้าแววมยุรา โดยเน้นคำว่า แววมยุราอย่างตั้งใจหยอก “แววมยุราเนี่ย...ต้นนึงแค่สิบกว่าบาท หรือถ้าซื้อเมล็ดมาเพาะเอง แววมยุรานี่ซองละแค่สิบบาท แต่ปลูกได้เป็นแนวสุดลูกหูลูกตา จะบอกให้นะ แววมยุราเนี่ย บางทีฉันแถมฟรีๆ ให้ลูกค้าด้วยซ้ำ”
“พอๆๆๆ ฉันรู้แล้ว...ถ้าลองว่าชื่อแววมยุรานี่ก็คงเป็นอะไรที่หรูๆ แพงๆ กับเค้าไม่ได้หรอกใช่มั้ย” แววมยุราถามกลับ
“แหม...แค่ล้อเล่นน่ะ ฉันก็คงมีปัญญาจัดสวนให้เธอได้แค่นี้แหละ คนมันจน ทำไงได้”
“ทำไมนายถึงชอบบ่นว่าตัวเองจนนักนะ คำก็จน สองคำก็จน เหมือนพวกมีปมด้อย เกิดมาเป็นลูกผู้ชาย ถ้ากลัวความจน นายก็ต้องขยันสิ ไม่ใช่มาบ่นกระปอดกระแปดเป็นเด็กๆ แบบนี้”
“จ้า...แหม...ใส่เป็นชุดเลยนะ” สยุมภูว์ขยับจะลุกขึ้นเดินกลับแต่แล้วก็นึกขึ้นได้ “เอ้อ! เห็นน้องเธอบอกว่าเธอไปสมัครงานมานี่ เป็นไง มีข่าวดีมั้ย”
แววมยุราหน้าหมองลงไปทันที “อย่าพูดถึงเลย ไม่มีวี่แววจะได้ซักงาน”
สยุมภูว์มองแววมยุราอย่างเห็นอกเห็นใจ

นิติธรเลื่อนกล่องสร้อยที่สยุมภูว์ประมูลมาได้ให้เพิ่มพงษ์ที่นั่งอยู่ด้วยกันที่ห้องรับแขกในคฤหาสน์ของตระกูลทศพล เพิ่มพงษ์เปิดดูเห็นสร้อยแล้วจึงยิ้มออกมา
“คุณสยุมภูว์คงดีใจมากนะครับที่ได้เห็นสร้อยเส้นนี้อีก” นิติธรบอก
“แน่นนอนครับ..แต่คงไม่คิดว่าต้องทุ่มเงินขนาดนี้” เพิ่งพงษ์ว่า
นิติธรหน้าเจื่อนไป เพิ่มพงษ์เห็นสีหน้าของนิติธรก็รีบพูดกลบเกลื่อน
“แต่ก็ดีนะครับเพราะนานๆทีคุณสยุมภูว์จะได้ทำบุญทำกุศลเสียที ถือเสียว่าทำบุญใหญ่”
นิติธรตอบรับด้วยท่าทางหงอยๆ “ครับ ..”
“ส่วนเรื่องนิติภูมิ คุณสยุมภูว์ก็ให้เขาเข้ามาเป็นผู้ช่วยคุณนิติธร ได้ตั้งแต่วันนี้เลย” เพิ่มพงษ์บอก
“ผมฝากขอบคุณคุณสยุมภูว์ด้วยนะครับที่ไว้ใจในตัวลูกของผม”
ทันใดนั้น นิติภูมิก็โผล่เข้ามาเห็นเพิ่มพงษ์ นิติภูมิผงะเล็กน้อยเพราะไม่คิดว่าเพิ่มพงษ์จะมาหาถึงที่
“มาทันได้ยินข่าวดีเลยสินะ” เพิ่มพงษ์บอก
“ครับ..แต่ผมดีใจมากกว่าที่ได้เจอคุณเพิ่มพงษ์” นิติภูมิพูด
เพิ่มพงษ์พูดล้อเล่น “จริงหรือเปล่า..เพิ่งรู้นะเนี่ยว่ามีคนคิดถึงเราด้วย”
นิติภูมิหมั่นไส้แต่ก็ยังเก็บความรู้สึก “ผมฝากขอบคุณคุณสยุมภูว์ด้วยนะครับ..ความจริงผมอยากจะขอบคุณคุณสยุมภูว์ด้วยตัวผมเองเสียด้วยซ้ำ”
“จะต้องขอบคุณอะไรกัน ต่อไปถ้าเราเจอกันบ่อยกว่านี้นะ ก็อย่าเบื่อกันเสียก่อนล่ะ”
นิติภูมิยิ้มซ่อนความรู้สึกของตัวเอง “ผมขอตัวก่อนนะครับ”
นิติภูมิเดินออกไป เพิ่มพงษ์มองตามโดยจ้องจับสิ่งผิดปกติ

นิติภูมิหลบออกมาโทรศัพท์หาศักดา
“แกอยู่ที่ไหน..ศักดา” นิติภูมิหยุดฟัง “ดีมาก...ฉันมีอะไรสนุกๆให้แกทำ”
นิติภูมิยิ้มออกมาแล้วก็ทำท่าจะสั่งงานต่อ

อ่านต่อหน้าที่ 4




แววมยุรา ตอนที่ 3 (ต่อ)

สยุมภูว์กับแววมยุราเดินออกมาจากตัวบ้านของแววมยุรา ทั้งสองเดินคุยกันมายังบริเวณสวนที่เพิ่งจัดเสร็จ
“แล้วเธอจะทำยังไงต่อล่ะ ถ้ายังหางานทำไม่ได้อย่างงี้” สยุมภูว์ถาม
“จะทำไงได้ล่ะ ก็คงต้องหากู้หนี้ยืมสินเอามาใช้ให้พ้นช่วงนี้ไปก่อนหละมั้ง” แววมยุราตอบ “ไม่ยืมเพื่อนล่ะ เพื่อนๆ เธอก็รวยๆ กันทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ อย่างคนที่เป็นเจ้าของร้านกาแฟน่ะ”
“นี่...สำหรับฉัน เพื่อนไม่ได้มีไว้ยืมตังค์นะ”
“อ้าว...แล้วไหนบอกว่าเป็นเพื่อนสนิท รักกันอย่างกะจะตายแทนกันได้”
“ก็ยิ่งเป็นเพื่อนสนิทนี่แหละ ฉันก็ยิ่งไม่กล้าไปรบกวน เราเดือดร้อนของเราคนเดียวก็พอแล้ว อย่าไปดึงให้เพื่อนรักต้องมาเดือดร้อนกับเราด้วย”
แววมยุราหน้าเศร้าลง เธอเหม่อมองที่แนวต้นแววมยุรา สยุมภูว์มองแววมยุราจากทางด้านหลังด้วยความชื่นชมในสิ่งที่แววมยุราคิดและเปิดใจออกมา
สยุมภูว์เปรยเบาๆ อย่างยอมรับ “หัวใจนี่เธอนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ”
“นายว่าไงนะ” แววมยุราถาม
“เปล่า..ไม่มีอะไร”
“เลิกคุยเรื่องกลุ้มๆ นี่ทีเถอะ ขอให้ฉันได้ชมสวนให้อารมณ์ดีๆ ขึ้นมาบ้าง”
แววมยุราเดินทอดน่องชื่นชมแนวของต้นแววมยุรา แล้วจู่ๆ เธอก็หยุดกึกหันมาที่สยุมภูว์
“ขอถามอะไรอย่างนึงได้มั้ย”
สยุมภูว์พยักหน้าหงึกๆ “ได้สิ มีอะไรเหรอ”
“ที่นายมาจัดสวนให้ฉันฟรีๆ เนี่ย นายมีจุดประสงค์อะไรกันแน่”
“เอ๊า...ก็สวนเธอมันรก ขนาดมีงูแวะมาทักทาย ฉันก็เลยช่วยจัดให้ไง เธอข้องใจอะไรเหรอ”
“ฉันสงสัยว่านายมาทำดีให้ฉันทำไม ในเมื่อฉันเองก็ด่านายอยู่ประจำน่ะ”
สยุมภูว์เงียบ แววมยุราหันมาจ้องหน้าแล้วถามเสียงเครียด
“หรือว่า...นายคิดอะไรกับฉัน”
สยุมภูว์สะอึกนิดหนึ่ง แล้วจึงรีบโวยกลบเกลื่อน “โอ๊ย...ฉันจะไปคิดอะไรกับเธ๊อ...หลงตัวเองอีกแล้วเนี่ย”
“งั้นก็ดีแล้ว อย่าได้มาคิดทะลึ่งเกินเลยกับฉันเชียวนะ ไม่งั้นหละเจอดีแน่” แววมยุราขู่
สยุมภูว์ผงะเพราะรู้อยู่แก่ใจลึกๆ ว่าตัวของเขาเองก็คิดอยู่

บนนถนนของกรุงเทพฯ ที่เต็มไปด้วยรถขวักไขว่ เพิ่มพงษ์นั่งหลังตรงอยู่ที่เบาะหลังของรถแท็กซี่ บนตักของเขามีแฟ้มเอกสารที่ได้รับมาจากนิติธร เพิ่มพงษ์เหลือบมองกระจกมองข้างแล้วก็ตกใจ เขาหันไปมองกระจกมองหลังแล้วยืดคอหามุมเพื่อมองให้เห็นรถที่ขับตามหลังมา
“มีอะไรเหรอครับคุณ” คนขับแท็กซี่ถาม
“รถคันหลังนี่ตามเรามานานแค่ไหนแล้ว” เพิ่มพงษ์ถาม
เพิ่งพงษืเห็นรถคันหนึ่งซึ่งขับตามหลังรถแท็กซี่คันที่เพิ่มพงษ์นั่งมาตลอดทาง ศักดาสวมแว่นตาดำเป็นผู้ขับรถคันดังกล่าว
“ก็เห็นตั้งแต่คุณขึ้นมาแหละครับ” คนขับรถแท็กซี่บอก
รถแท็กซี่เลี้ยวจากถนนใหญ่เข้าซอยที่รถไม่พลุกพล่านทันที


รถแท็กซี่เลี้ยวเข้ามาในซอย รถที่ศักดาขับตามมาไม่ห่างแล้วเลี้ยวตามเข้ามาในซอยเช่นกัน เพิ่มพงษ์ขยับหันหลังไปมอง
“ชัดเลย...ตามเรามาจริงๆ ด้วย” เพิ่มพงษ์บอก
“จะให้ผมหนีมั้ยคุณ” คนขับแท็กซี่ถาม “เดี๋ยวผมหักยูเทิร์นข้างหน้า แล้ววกออกไปอีกทาง รับรอง ตามเราไม่ทันแน่ๆ”
“เอาเลย! จัดมา!” เพิ่มพงษ์ขยับกางแขนเตรียมพร้อมอย่างกลัวๆ
รถแท็กซี่วิ่งไปอย่างเร็วแล้วดริฟท์หักหันหัวรถกลับทันที
เพิ่มพงษ์กางสองแขนยึดเบาะ ทำให้แฟ้มหล่นจากตัก หน้าตาของเพิ่งพงษ์เกร็งและหวาดเสียวสุดๆ “เหวอ!!....”
รถแท็กซี่พุ่งออกจากซอยไป ศักดาขับรถตามมาแล้วรีบเหยียบเบรกเพื่อจะหักยูเทิร์น แต่กว่าจะยูเทิร์นรถแล้วขับออกมาจากซอยได้ ศักดาก็มองไม่เห็นหลังรถแท็กซี่แล้ว ศักดาถอดแว่นตาดำออกอย่างฉุนๆ
“ฉันสนุกกับแกพอแล้วไอ้เพิ่มพงษ์”
ศักดากดโทรศัพท์หานิติภูมิทันที


นิติภูมิเห็นว่าศักดาโทรศัพท์มาหาจึงกดรับสาย
“เป็นไงล่ะ...แกคงสนุกกับเกมแมววิ่งไล่หนูใช่ไหม” นิติภูมิถาม
“ผมไล่จนมันหนีไปแล้วครับคุณนิติภูมิ” ศักดาบอก
นิติภูมิยิ้มอย่างสะใจ “ป่านนี้เพิ่มพงษ์มันคงจะหัวใจวายตายไปแล้ว”
“ทำไมไม่ให้ผมตามมันไปหาไอ้สยุมภูว์เลยล่ะครับ”
“ฉันแค่อยากหาอะไรเล่นสนุกๆ ...แมวมันไม่ได้ไล่จับหนูเพราะอยากจะกินหรอกนะ มันจับมาตบเล่นแล้วก็ปล่อยไอ้หนูเคราะห์ร้ายไป”
“เมื่อไรที่คุณนิติภูมิพร้อม ก็บอกผมได้เลยนะครับ”
“ฉันไม่ลืมแกหรอกน่า..ไอ้สยุมภูว์ยังไม่ตายภารกิจแกก็ไม่จบง่ายๆหรอก”
นิติภูมิยิ้มอย่างสะใจ

แท็กซี่ปราดเข้ามาจอดหน้าบ้านเช่าของเพิ่งพงษ์แล้วเบรกเอี๊ยด ประตูเบาะหลังเปิดออก เพิ่มพงษ์ก้าวขนที่สั่นงันงกออกมาแตะพื้น เพิ่มพงษ์ถือแฟ้มเอกสารเดินขาสั่นพั่บๆๆ ในขณะที่แท็กซี่ขับปราดออกไป
เพิ่มพงษ์บ่นเบาๆ “เล่นดริฟท์ซะฉี่แทบราด”
เพิ่มพงษ์เดินเข้ารั้วบ้านในสภาพขาสั่นระริกเพราะยังกลัวกับการดริฟท์ของคนขับแท็กซี่


แววมยุรากำลังรื้อข้าวของอยู่ในห้องเก็บของ ในขณะที่กำลังมุดศีรษะหาของ วัณณรีซึ่งอยู่ในชุดนอนเดินมาเห็นเข้าก็ทักขึ้น
“พี่แวว!!” วัณณรีเรียกเสียงดัง
แววมยุราสะดุ้งตกใจจนหัวไปโขกกับชั้นที่อยู่ด้านบน “ว๊าย!..โอ๊ย!”
“โทษที ขวัญอ่อนจริงนะพี่แวว แล้วนี่หาอะไรอยู่เหรอ” วัณณรีถาม
“ก็หาพวกสี พวกพู่กัน แล้วก็เฟรมผ้าใบที่เคยเก็บเอาไว้น่ะสิ”
“โห...สมบัติสมัยดึกดำบรรพ์ วัณไม่เคยเห็นพี่แวววาดรูปมานาน....มาก...นึกไงถึงอยากวาดรูปขึ้นมาอีกล่ะเนี่ย”
“เจอแล้ว!” แววมยุราหยิบซองผ้าใส่พู่กันขนาดต่างๆ ขึ้นมา แล้วหันมายิ้มให้วัณณรี “ก็เห็นสวนบ้านเราสวยดี เลยคันไม้คันมือ กะว่าพรุ่งนี้เช้าจะเพ้นท์รูปดอกแววมยุราซะหน่อยน่ะ”
“แหม...ไม่ค่อยเห่อเลยนะ”
แววมยุราหยิบพู่กันเก่าเก็บมาสำรวจดูสภาพ “แล้วเธอล่ะยัยวัณ ที่ว่าจะฝึกงานกับคุณเอกเค้าน่ะ ไปถึงไหนแล้ว”
“ก็เนี่ย วัณจะมาบอกพี่ว่าพรุ่งนี้วัณต้องไปออฟฟิศพี่เอกเค้าแต่เช้า พี่แววปลุกวัณด้วยนะ” วัณณรีพูดจบก็ผละออกไป
“นี่!โตจนป่านนี้แล้ว แค่จะตื่นนอน ยังรับผิดชอบตัวเองไม่ได้เลยเหรอ...อ้าว...” แววมยุราหันไปแต่ก็ไม่เจอวัณณรีแล้ว “เวลาจะพูดอะไรเป็นสาระหละไม่เคยอยู่ฟังเล๊ย...”
แววมยุราถอนใจด้วยความระอากับน้องสาวคนนี้


สยุมภูว์นั่งอยู่ที่โต๊ะใกล้ๆ กับเตียงของเขาในห้อง บนโต๊ะตัวนั้นมีโน้ตบุ้คคอมพิวเตอร์ที่เปิดหน้า excel เป็นตารางตัวเลขทางบัญชี สยุมภูว์นั่งเปิดแฟ้มตรวจเอกสาร โดยที่เพิ่มพงษ์นั่งคุยอยู่ใกล้ๆ
“แล้วน้าเพิ่มไม่เห็นเหรอ ว่าคนที่ตามมาเป็นใคร” สยุมภูว์ถาม
“ไม่แน่ใจเลยครับคุณสยุมภูว์ มองผ่านกระจกรถเห็นแว๊บๆ ว่าใส่แว่นดำ แล้วผมเองก็มัวแต่ตกใจ เลยไม่ได้จดเลขทะเบียนไว้” เพิ่มพงษ์เล่า
“เค้าอาจจะขับมาทางเดียวกันอยู่แล้วมั้ง ไม่งั้นจะขับตามน้าเพิ่มมาเพื่ออะไร”
“ก็เพื่อแกะรอยผมมาทำร้ายคุณสยุมภูว์น่ะสิครับ”
สยุมภูว์ชะงักละสายตาจากงานแล้วหันมาพูดกับเพิ่มพงษ์ “น้าเพิ่ม น้าเพิ่มจะระแวงมากเกินไปมั้ย อาการแบบเนี้ย เค้าเรียกพารานอยด์”
“คุณสยุมภูว์ฟังผมก่อนสิครับ ผมไปติดต่องานกับคุณนิติธร พอเสร็จธุระออกมา ผมก็ถูกคนขับรถตาม อย่างงี้ยังจะคิดว่าผมระแวงไปเองอีกมั้ยครับ”
“ก็ระแวงไปเองน่ะสิ ผมบอกแล้วไง คุณนิติธรไม่มีวันทำร้ายคนของตระกูลทศพลอย่างเด็ดขาด”
“แต่ผมสงสัยคุณนิติ...”
เพิ่มพงษ์ยังพูดไม่จบสยุมภูว์ก็ตวาดสวนขึ้นมา “หยุดพูดเดี๋ยวนี้ แล้วก็หยุดสงสัยคุณนิติธรได้แล้ว”
“ผมกำลังจะบอกว่าผมสงสัยคุณนิติภูมิต่างหากล่ะครับ”
“นิติภูมิ...นายภูมิลูกชายของคุณนิติธรน่ะเหรอ” สยุมภูว์ถาม
“ใช่ครับ”
สยุมภูว์ถอนใจแล้วส่ายหน้าอย่างขัดใจ
“น้าเพิ่มเอาอะไรมาพูดเนี่ย”
“ลองคิดดูสิครับ มูลเหตุและแรงจูงใจที่คุณนิติภูมิอยากกำจัดคุณสยุมภูว์ ก็คือ ถ้าคุณเป็นอะไรไป คุณนิติภูมิคนนี้แหละ ที่จะมีส่วนได้ทั้งเงิน ทั้งกิจการของทศพลกรุ๊ป”
“แต่ผมก็ยังเชื่อว่าคนอย่างคุณนิติธร ไม่มีวันจะเลี้ยงลูกให้มาทำร้ายตระกูลทศพล เราเลิกพูดเรื่องนี้กันเหอะ” สยุมภูว์ตัดบท
“ครับ คุณสยุมภูว์จะด่าว่าผมระแวงไปเองยังไงก็ได้ แต่ผมแค่อยากขอร้องว่า อย่าประมาทสองพ่อลูกนี่เป็นอันขาด” เพิ่มพงษ์เตือน
สยุมภูว์ตวาดอย่างอารมณ์เสีย “มากไปแล้ว ผมบอกให้หยุดพูดเดี๋ยวนี้” สยุมภูว์ลุกขึ้นยืนพูดเสียงดัง “นี่น้าเพิ่มอยากมีปัญหากับผมใช่มั้ย”
เพิ่มพงษ์จ๋อย เขาก้มหน้าจนคางแทบชิดอก
ทันใดนั้น ประตูห้องก็เปิดเข้ามา แล้วแจ็คก็ยื่นหน้าเข้ามาถาม
“เสียงดังอะไรกันเหรอครับ”
สยุมภูว์กับเพิ่มพงษ์หันไปมองแจ็คแล้วรีบเปลี่ยนท่าที จากที่สยุมภูว์ดุเพิ่มพงษ์จ๋อย กลายเป็นเพิ่มพงษ์ดุคืนทันที
เพิ่มพงษ์ทำเสียงเข้มใส่แจ็ค “มีอะไร เข้ามานี่คิดจะเคาะประตูก่อนบ้างมั้ย”
“ผมได้ยินเสียงดัง ก็นึกว่ามีเรื่องกัน เลยรีบเข้ามา” แจ๊คบอก
“ที่เสียงดังนั่น ฉันแค่ด่าไอ้จักรมัน” เพิ่มพงษ์ทำเป็นด่าใส่สยุมภูว์ “ใช้ให้ช่วยทำงานนิดๆ หน่อยๆ ก็ไม่เอาไหน” เพิ่มพงษ์โวยใส่หน้าสยุมภูว์ “ไม่ได้เรื่อง!”
สยุมภูว์รีบรับมุกโดยการทำตัวหงอๆ “ขอโทษครับน้าเพิ่ม เดี๋ยวผมจะพยายามทำให้ดีกว่านี้นะครับ”
“เออ! ให้มันได้อย่างงี้สิวะ พรุ่งนี้เช้านะ ถ้าทำงานให้ฉันไม่เสร็จ ก็ไม่ต้องนอน” เพิ่มพงษ์เดินออกมากอดคอแจ็คแล้วพาแจ๊คเดินออกจากประตูไป
ทันทีที่ประตูปิดลง สยุมภูว์ก็ถอนใจด้วยความโล่งอก เขาหันมามองงานตรงหน้าก่อนจะขยับไปเปิดแฟ้มเอกสาร แล้วเซ็นเอกสารต่อ


เอกรินทร์ขี่มอเตอร์ไซค์คันเท่พร้อมสะพายกระเป๋ามาจอดที่หน้าตึกออฟฟิศของสถานีโทรทัศน์เคเบิ้ลทีวีที่เขาทำงานอยู่ แล้วเขาก็ถอดหมวกกันน็อค ก่อนจะเดินถือหมวกกันน็อคเข้าอาคารไป
วัณณรีอยู่ในชุดนักศึกษาที่มีป้ายติดที่หน้าอกว่า TRAINEE นักศึกษาฝึกงาน เธอกำลังนั่งมองจอคอมพิวเตอร์ โดยสวมหูฟังแล้วหัวเราะคิกคักชอบใจ ยุทธ บก. ข่าวเดินผ่านมาก็สะดุดสายตา เขาหันไปมองเพ่งไปที่วัณณรีด้วยความสนใจ
ยุทธเดินอ้อมมายืนมองที่ด้านหลัง ทำให้เห็นว่าวัณณรีกำลังเปิดหน้าเฟซบุ๊คของตัวเองอยู่
“น้อง...” ยุทธเรียก แต่วัณณรีไม่มีปฏิกริยาตอบรับใดๆ ยุทธจึงพูดเสียงดังขึ้น “น้อง...” ยุทธดึงหูฟังออก “น้อง!”
วัณณรีสะดุ้ง “ขา...อ้าวพี่ ดึงหูฟังทำไมล่ะคะ บอกกันดีๆ ก็ได้”
“หึ..บอกกันดีๆ ก็ได้เนี่ยนะ ฉันยืนเรียกเธออยู่ปาวๆ เธอยังไม่ได้ยิน” ยุทธวางสคริปต์บนโต๊ะตรงหน้าแรงๆ “เอาไปถ่ายเอกสารให้ฉันชุดนึงซิ”
“ไม่ว่างค่ะ พี่ไปถ่ายเอกสารเองแล้วกันนะคะ” วัณณรียื่นคืนให้
ยุทธโกรธ “นี่มาฝึกงานวันแรกก็กล้าย้อนฉันแบบนี้แล้วเหรอ ไม่ว่างอะไรฉันเห็นเธอเอาเวลางานมานั่งเล่นเฟซบุ๊ค แถมใช้แค่นี้ยังไม่ยอมทำ นี่ใครเป็นคนรับเธอเข้ามาฝึกงานเนี่ย”
เสียงเอกรินทร์ดังขึ้น “ผมเองครับพี่ยุทธ”
เอกรินทร์เดินเอาหมวกกันน็อคมาวางไว้ที่โต๊ะของเขา แล้วยกมือไหว้ยุทธ
“สวัสดีครับพี่ นี่ไงครับ น้องฝึกงานที่ผมบอกพี่ ชื่อวัณณรีน่ะครับ” เอกรินทร์พูดกับวัณณรี “วัณ สวัสดีพี่ยุทธรึยัง พี่ยุทธเป็นบก.ข่าว เป็นหัวหน้างานของพี่”
วัณณรีสะอึกแล้วค่อยๆ ยกมือไหว้ “เอ่อ..ส..สวัสดีค่ะ”
เอกรินทร์เห็นวัณณรีหลบตาอย่างคนที่เพิ่งทำความผิด พอเหลือบมองยุทธก็เห็นว่ายุทธกำลังยืนจ้องวัณณรีด้วยหน้าตาถมึงทึง เอกรินทร์ก็เริ่มงง
“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับพี่ยุทธ”


เอกรินทร์พาวัณณรีมายืนคุยที่มุมกาแฟซึ่งค่อนข้างเป็นส่วนตัว
“ที่พี่ยุทธพูดทั้งหมดเป็นเรื่องจริงเหรอ” เอกรินทร์ถาม
วัณณรีพยักหน้าด้วยท่าทางดื้อดึง
เอกรินทร์ถามต่อ “แล้วทำไมถึงทำแบบนั้นล่ะ”
“วัณมาฝึกงานช่องข่าวเคเบิ้ลทีวี ไม่ได้มาฝึกเป็นพนักงานถ่ายเอกสาร” วัณณรีตอบ
“วัณยังเป็นแค่เด็กฝึกงานนะ มาวันแรกๆ ใครใช้ให้ทำอะไร เราก็ทำไปเถอะ ถ้าไม่ทำตัวให้พี่ๆ เค้าเอ็นดู ต่อไปใครเค้าจะสอนงานให้เราล่ะ”
“ไม่สอนก็อย่าสอนสิ พี่ยุทธอะไรนั่นน่ะ แค่เห็นหน้า วัณก็ไม่ชอบแล้ว”
“แต่พี่ยุทธเป็นหัวหน้ากองบก.ข่าวนะ เป็นเจ้านายพี่ แล้วก็เป็นเจ้านายของทุกคนที่ทำงานในฝ่ายข่าวด้วย”
“จะเป็นใครวัณก็ไม่สนทั้งนั้น”
“ไม่ได้นะ วัณต้องใจเย็นๆ แล้วปรับทัศนคติซะใหม่ การฝึกงานก็เหมือนการจำลองโลกของการทำงานจริงๆ ถ้าเราไม่อดทน แถมยังมีปัญหากับหัวหน้างาน แล้วอนาคตเราจะเป็นยังไง”
“ไม่รู้ ไม่สน งั้นถ้าวันนี้ยังไม่มีงานอะไรน่าสนใจให้ทำ วัณขอตัวไปหาเพื่อนๆ ก่อนนะคะ”
พูดจบวัณณรีก็เดินออกไป เอกรินทร์ถอนใจด้วยความหนักใจ


สยุมภูว์เห็นกล่องเหล็กสำหรับใส่เครื่องประดับวางอยู่บนโต๊ะที่บ้านเช่าของเพิ่มพงษ์ เขาเปิดกล่องออกดูเห็นว่ามีกล่องสร้อยเพชรที่เพิ่งประมูลมาวางอยู่ ในกล่องเหล็กนั้นมีกล่องเล็กกล่องน้อยอีกหลายกล่องอยู่ข้างใน เขาหยิบกล่องสร้อยเพชรมาเปิดดู สร้อยเพชรเปล่งแสงระยับเป็นประกาย เขายิ้มอย่างภาคภูมิใจ
สยุมภูว์นึกถึงงานเดินแบบสร้อยเพชรที่เพิ่งผ่านไป เขานึกถึงภาพแววมยุราเดินออกมาจากหลังเวทีอย่างสง่างาม
สยุมภูว์เหม่อลอยและยิ้มหวานกับภาพนั้น
“คุณสยุมภูว์ครับ..คุณสยุมภูว์” เพิ่มพงษ์เรียก
สยุมภูว์รู้สึกตัวจึงหันไป “น้าเพิ่ม เมื่อวานผมเสียงดังไปหน่อย ขอโทษด้วยนะครับ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมต่างหากที่ไม่น่าพูดเรื่องคุณนิติธรกับลูกขึ้นมาอีก” เพิ่มพงษ์เหลือบเห็นสร้อย “คุณสยุมภูว์จะให้ผมเอาไปเก็บในเซฟธนาคารมั้ยครับ”
“ผมขอชื่นชมอีกสักพักนะ”
“นึกว่าเก็บไว้คิดถึงใครเสียอีก” เพิ่มพงษ์แซว สยุมภูว์ชะงักไป เพิ่มพงษ์สังเกตเห็นจึงแซวต่อ “นั่นแน่..ออกอาการอย่างนี้ แปลว่ามีแนวโน้ม 99.99% คนสวมเขาจะรู้ไหมครับเนี่ยว่าทำให้เจ้าของเพ้อได้”
สยุมภูว์รีบเปลี่ยนเรื่อง “น้าเพิ่มช่วยติดต่อคุณนิติธรให้หน่อยได้ไหมครับ”
“ครับคุณสยุมภูว์ ธุระเรื่องอะไรหรือครับ”
สยุมภูว์ยิ้มๆ แต่ยังไม่ตอบอะไร

นิติธรกำลังพูดโทรศัพท์มือถืออยู่ในห้องรับแขก ขณะที่นิติภูมิกำลังนั่งอ่านหนังสือประเภทแมกกาซีนรถยนต์ แต่สายตาเหลือบมองนิติธรและคอยเงี่ยหูฟังอยู่ตลอด
“ครับ...ผมเข้าใจแล้วครับคุณเพิ่มพงษ์ ผมเตรียมพร้อมที่จะรับใช้คุณสยุมภูว์เสมอ” นิติธรพูดโทรศัพท์
นิติภูมิได้ยินชื่อสยุมภูว์ก็ลดหนังสือลงแล้วหันมาเงี่ยหูฟัง
“ว่าแต่...ผู้หญิงที่ชื่อแววมยุรานี่เป็นใคร มีความสำคัญยังไงเหรอครับ คุณสยุมภูว์ถึงกำชับให้ผมเตรียมตัวให้ความช่วยเหลืออย่างงี้” นิติธรถามเพิ่มพงษ์
นิติภูมิได้ยินชื่อแววมยุราก็ยิ่งขมวดคิ้วด้วยความเคร่งเครียด


ขณะเดียวกัน เพิ่มพงษ์กำลังยืนซุ่มคุยโทรศัพท์มือถืออยู่ที่มุมหนึ่งในร้านต้นไม้
“อย่าถามเลยครับคุณนิติธร ผมเองก็ยังงงอยู่เหมือนกัน แต่ขอให้มั่นใจในตัวของเจ้านายเราเถอะครับ ระดับคุณสยุมภูว์จะทำอะไร ต้องมีเหตุผลที่สมควรแน่ๆ แล้วยังไงคุณสยุมภูว์จะติดต่อผ่านผมไปอีกที ว่าจะให้ช่วยอะไรแม่แววมยุรานะครับ ครับผม สวัสดี”
เพิ่มพงษ์กดปุ่มวางหูแล้วบ่นอย่างเป็นกังวล
“เฮ่อ...หวังว่าคุณสยุมภูว์จะไม่เห็นแม่แววอะไรนี่สำคัญกว่าการบริหารกิจการของทศพลกรุ๊ปนี่หรอกนะ”

นิติธรวางหูโทรศัพท์ นิติภูมิอยากรู้ว่านิติธรคุยอะไรกับเพิ่มพงษ์
“คุณเพิ่มพงษ์ต้องการอะไรหรือครับ” นิติภูมิถาม
“ไม่มีอะไรหรอก” นิติธรบอกปัด
“หรือว่าเป็นเรื่องที่ผมไม่ควรรู้”
“คุณสยุมภูว์อยากให้พ่อช่วยผู้หญิงคนหนึ่งที่ชื่อแววมยุรา”
นิติภูมิสงสัย “ช่วยเหรอ..”
นิติภูมิคิดสงสัยว่าสยุมภูว์ต้องการอะไรจากแววมยุรา

แววมยุรากำลังนั่งเพ้นท์รูปดอกแววมยุราอยู่ที่สวนหน้าบ้านของเธอ งานของแววมยุราเป็นงานที่มีฝีแปรงจัดจ้าน เส้นสายสีสันสดใสแบบอิมเพรสชั่นนิสม์ ใบหน้าของแววมยุราบ่งบอกว่าเธอกำลังมีความสุขที่ได้ทำงานที่ตนเองรัก โดยที่สยุมภูว์กำลังเกาะรั้วบ้านตัวเองชะเง้อมองอยู่
“ทำอะไรอยู่น่ะ” สยุมภูว์ถาม
“กำลังโบกปูนหละมั้ง” แววมยุราตอบกวนๆ
“นี่! ฉันทักเธอดีๆ นะ ไม่ยักรู้ว่าคนอย่างเธอก็วาดรูปเป็นกับเค้าด้วย”
“นี่เรียกว่าทักดีๆ แล้วเหรอ”
“ขอฉันเข้าไปดูหน่อยนะ”
พูดจบสยุมภูว์เดินอ้อมรั้วบ้านเข้าบ้านแววมยุราโดยไม่รอให้แววมยุราตอบรับ แววมยุราพักดื่มน้ำโดยใช้หลอดดูดจากแก้วที่เก็บความเย็นได้ แล้วจรดพู่กันวาดรูปต่อ สยุมภูว์โผล่มายืนดูรูปข้างหลัง
“ใช้ได้นี่ แล้วนี่เธอจะวาดไปทำไมเหรอ” สยุมภูว์ถาม
“ไม่ได้คิดว่าจะวาดไปทำอะไรหรอก ก็แค่เห็นดอกแววมยุราสวยดี ก็เลยอยากนึกอยากวาดขึ้นมาเฉยๆ น่ะ” แววมยุราตอบ
“ทำไมเธอไม่ลองเอาไปฝากขายตามแกลเลอรี่ หรือตามแหล่งที่มีฝรั่งนักท่องเที่ยวดูล่ะ ไม่แน่อาจจะมีคนสนใจซื้อก็ได้นะ”
“นายคิดอย่างงั้นจริงๆ เหรอ”
“จริงสิ ฉันเองเห็นแล้วยังอยากซื้อเลย”
“จริงอ่ะ”
“ก็บอกแล้วไงว่าจริง แต่ในกระเป๋ามีแค่ไม่ถึงร้อยนะ เธอจะขายมั้ยล่ะ”
แววมยุราหันมามองหน้าอย่างหมั่นไส้ “ไอ้บ้า” แววมยุราเอาพู่กันแต้มที่แก้มสยุมภูว์
“อ๋อ..จะเล่นอย่างงี้ใช่มั้ย”
“อย่านะ ไม่เล่นนะ”
สยุมภูว์หยิบพู่กันอีกอันมาป้ายที่แก้มของแววมยุราคืน “นี่แน่...”
“ว๊าย..อีตาบ้า” แววมยุราร้องลั่น
แววมยุราใช้พู่กันแต้มคืนอีกที สยุมภูว์ก็เอาคืนทันควันเช่นกัน ทั้งสองทั้งหัวเราะทั้งกระเซ้าเย้าแหย่กัน
“ไม่เอาแล้ว ไม่เล่นแล้ว ฮ่าๆๆ” แววมยุราหัวเราะร่วน
ทันใดนั้น มาลตีก็ตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “ทำอะไรกันอยู่น่ะ”
มาลตีเดินออกจากตัวบ้านมายืนจ้องอย่างจับผิดที่ทั้งสองคน
แววมยุรากับสยุมภูว์ชะงักแล้วขยับห่างออกจากกัน
มาลตีพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “เข้ามาในบ้านกับแม่ซิแววมยุรา”
แววมยุราพยักหน้ารับอย่างจ๋อยๆ “ค่ะแม่”

แววมยุรายืนจ๋อยอยู่ในบ้าน มาลตีตำหนิลูกสาวอย่างไม่พอใจ
“แกทำอะไรของแกน่ะ ไปเล่นหัวกับไอ้คนสวนข้างบ้านแบบนั้น ไม่ห่วงหน้าตัวเอง ก็ควรจะรักษาหน้าฉันบ้าง”
“แม่...แววก็แค่คุยกับนายจักรเค้าเฉยๆ กลางวันแสกๆ นอกบ้านยังแดดเปรี้ยงซะขนาดนั้น แววไม่เห็นว่ามันจะเสียหายตรงไหน”
“แกก็เถียงฉันทุกคำ เดี๋ยวนี้พอเป็นคนหาเงินเลี้ยงครอบครัวเข้าหน่อย ก็ทำไม่เห็นหัวฉัน”
“แม่...แววไม่เคยคิดอะไรแบบนั้นเลยนะ”
“นี่ไง แกเถียงฉันอีกแล้ว”
“แม่...ไม่ใช่แบบนั้น”
“แล้วเวลาฉันขอเงินแกใช้ ก็ชอบจะบ่น ลำเลิกบุญคุณ ขอทีไรก็บอกไม่มีเงิน ไม่มีงานทำ ก็เนี่ย...แกเอาเวลามาวาดรูปไร้สาระแบบนี้ แล้วมันจะมีงานทำขึ้นมามั้ย...หา”
แววมยุรายืนนิ่งแล้วกัดฟัน ถึงจะเสียใจแต่ก็ต้องเก็บกดอารมณ์ไว้


สยุมภูว์นั่งที่เก้าอี้เตี้ยๆ ที่แววมยุราใช้นั่งเพ้นท์สีน้ำมันซึ่งวางอยู่ที่สวนหน้าบ้าน โดยที่สยุมภูว์ชะเง้อรอแววมยุราอยู่
“เข้าบ้านก่อนดีกว่า” สยุมภูว์บ่นกับตัวเอง
สยุมภูว์ขยับจะลุกขึ้นแต่แล้วก็ชะงักเพราะเห็นชลธิชากับเริงใจเดินเข้ามาในบ้าน
“อ้าว..สวัสดีครับคุณธิชากับคุณ...”
“เริงใจไง ลืมชื่อฉันแล้วเหรอนายต้นไม้” เริงใจถาม
“ผมชื่อจักรครับ”
“รู้...ฉันล้อเล่น อุ๊ย...นี่เหรอผลงานของนาย สวยดีนี่” เริงใจชม
“ครับผม” สยุมภูว์ตอบรับ
เริงใจชมต่อ “วาดรูปเก่งนะ”
“ไม่ใช่แล้วครับ ผลงานผมคือจัดสวน แต่รูปนี่ฝีมือแววเค้าครับ”
“ยัยเริงใจ เธอลืมไปแล้วเหรอไงว่ายัยแววนี่วาดรูปเก่งขนาดไหน” ชลธิชาบอก
“ไม่ลืมหรอกจ้ะ ก็ตอนเรียนวิชาศิลปะ ฉันก็แอบให้ยัยแววช่วยวาดให้ประจำ”
“อืม...สวยจังเลยนะ” ชลธิชาชม
“ใช่ครับ สวยมากๆ ผมยังยุให้แววเค้าลองเอารูปไปขายเลย” สยุมภูว์บอก
“ฉันหมายถึงสวนที่นายจัดให้ยัยแววต่างหาก” ชลธิชาบอก
“อ้าว! นึกว่าคุณพูดถึงรูปนี้” สยุมภูว์งง
แววมยุราเดินหน้าบึ้งตึงออกมาจากบ้าน เริงใจกับชลธิชาหันไปเห็น เริงใจจึงทักขึ้น
“ยัยแวว นึกไงวันนี้วาดรูปเนี่ย สงสัยจะอารมณ์ดีฎ เริงใจเห็นแววมยุราเดินหน้ามุ่ยมา “อุ้ย!”
“มาวาดต่อให้เสร็จสิแวว แล้วเอาไว้รวบรวมได้เยอะๆ จะได้จัดแสดงภาพให้เป็นเรื่องเป็นราวไปเลย” สยุมภูว์เชียร์
“เอามั้ยล่ะ เดี๋ยวฉันบอกคุณพ่อให้ช่วยติดต่อสถานที่ให้” ชลธิชาเสริม
แววมยุราเดินมาแล้วระเบิดอารมณ์ด้วยการผลักขาตั้งเฟรมจนเฟรมผ้าใบและขาตั้งล้ม กระจายอยู่กับพื้น
ทุกคนตกใจ “แวว”
แววมยุราพูดด้วยอารมณ์ไม่พอใจ “ฉันไม่อยากวาดอะไรอีกแล้วทั้งนั้น”
แววมยุราเอามือปัดสีและพู่กันจนหล่นกระจาย สยุมภูว์รีบปรามไว้ แววมยุราสะอื้นไห้ออกมา
“แวว...ใจเย็นๆ” สยุมภูว์ปลอบ
“เธอเป็นอะไรของเธอน่ะแวว” เริงใจถาม
“ฉันไม่เป็นไร” แววมยุราเริ่มสะอื้นไห้ขึ้นมาอีก “ฉันไม่เป็นไรจริงๆ “
“ฉันว่าเธอคงเครียดเกินไปแล้วหละ ร้องออกมานะเพื่อน ร้องไห้ออกมาให้สบายใจ” ชลธิชาบอก
แววมยุราร้องไห้โฮ เริงใจ ชลธิชา กอดปลอบเพื่อน โดยมีสยุมภูว์ยืนดูอยู่วงนอกด้วยความเป็นห่วง ก่อนที่เขาจะเดินออกไป


สยุมภูว์เดินกลับมาที่ห้องนอนด้วยสีหน้าที่ไม่สบายใจนัก
“ฉันจะทำให้เธอสบายใจขึ้นได้ยังไงนะ” สยุมภูว์รำพึงกับตัวเอง
แล้วสยุมภูว์ก็คิดอะไรบางอย่างออก เขารีบยกกล่องเหล็กใส่เครื่องประดับออกมา สยุมภูว์ทำท่าเหมือนจะหยิบกล่องเครื่องเพชรนั้นออกมา แต่แล้วเขาเพียงแค่หยิบกล่องเครื่องประดับเล็กๆ ที่อยู่ข้างๆ
สยุมภูว์หยิบพวงกุญแจคริสตัลรูปดาวออกมาจากกล่อง
“หวังว่ามันจะช่วยเธอได้บ้างนะ” สยุมภูว์พูดกับตัวเอง


ชลธิชาหลบออกมาคุยโทรศัพท์กับนิติภูมินอกร้านกาแฟ
“ธิชาเพิ่งกลับมาจากบ้านแววเองค่ะ ตั้งใจว่าจะชวนแววออกมาวันนี้เลย แต่แววเขาอารมณ์ไม่ค่อยดีน่ะค่ะ”
“พอจะรู้ไหมครับว่าอารมณ์ไม่ดีเรื่องอะไร” นิติภูมิถาม
“มีปากเสียงกับแม่น่ะค่ะ แม่แววคิดว่าแววเอาเวลาไปวาดรูปเล่นแทนที่จะไปทำงาน”
“แววชอบวาดรูปเหรอครับ” นิติภูมิถาม
“ค่ะ..ฝีมือดีด้วยนะคะ ธิชาเคยคิดจะรวบรวมงานผลงานของแววไปแสดงในแกลเลอรี่ด้วยซ้ำ..เรื่องที่เราจะนัดเจอกัน คุณนิติภูมิรอหน่อยนะคะ” ชลธิชาบอก
“ไม่เป็นไรครับ คุณธิชา ขอบคุณมากนะครับ”
นิติภูมิวางสายเหมือนคิดอะไรบางอย่างออก

จบตอนที่ 3
ติดตามอ่านแววมยุรา ตอนต่อไป เวลา 17.00 น. 



กำลังโหลดความคิดเห็น