xs
xsm
sm
md
lg

แววมยุรา ตอนที่ 1

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


แววมยุรา ตอนที่ 1 

รถยนต์คันหรูวิ่งชะลอมาหยุดหน้ารั้วของคฤหาสน์อันใหญ่โต รปภ.ชะเง้อมองเลขทะเบียนของรถคันนั้นแล้วรีบทำความเคารพก่อนจะเปิดรั้วให้

สยุมภูว์ ทศพล นักธุรกิจหนุ่มในชุดสูทดำสวมแว่นตาดำและมีท่าทางเคร่งขรึมเปิดประตูด้านหลังแล้วก้าวลงจากรถ เขาใช้สายตามองสำรวจบรรยากาศบริเวณนั้น
“สิบห้าปีแล้วนะครับ” เสียงเพิ่มพงษ์ดังขึ้น
สยุมภูว์พยักหน้ารับอย่างเศร้าๆ เพิ่มพงษ์ก้าวลงจากประตูด้านคนขับแล้วเดินมายืนข้างๆ สยุมภูว์
“..ที่คุณสยุมภูว์ไม่เคยกลับเมืองไทยเลย” เพิ่มพงษ์มีท่าทางเศร้าลงไป “เสียดายที่ไม่ทันได้พบคุณท่านสีหราช”
จากที่ยิ้มบางๆ ใบหน้าสยุมภูว์เริ่มฉายแววเศร้า
“คุณพ่อทำงานหนักมาตลอดชีวิต” สยุมภูว์กล่าว “คงเป็นเวลาที่ท่านจะได้พักผ่อนแล้วหละ เหลือแต่เราสองคนนี่หละ ที่ต้องรับช่วงเหน็ดเหนื่อยต่อจากท่าน”
ทั้งสองพยักหน้าให้กันด้วยความเข้าใจว่ายังมีภาระที่ต้องรับผิดชอบต่อไป ห่างออกไปที่หน้าจอแอลซีดีหลังกล้องดิจิตอล SLR ศักดา มือปืนรับจ้างจอมโฉดที่ซุ่มอยู่ด้านหลังพุ่มไม้กำลังรัวชัตเตอร์และพยายามซูมหน้าของสยุมภูว์แต่ก็ถ่ายได้เพียงแค่ด้านหลัง พอสยุมภูว์หันมาเพิ่มพงษ์ก็ยืนบังไว้อีก ทั้งสองก้าวขึ้นรถไป ศักดาพยายามใช้กล้องซูมแล้วถ่ายทะเบียนรถไว้
ศักดาเก็บกล้องแล้วสวมหมวกกันน็อคก่อนจะรีบขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์แล้วสตาร์ทออกไป

เพิ่มพงษ์ขับรถกอล์ฟพาสยุมภูว์ชมบริเวณรอบๆ ตัวคฤหาสน์ที่กว้างขวางใหญ่โต
“ตามความประสงค์ของคุณท่านสีหราช ท่านอยากให้คุณทนายนิติธรและลูกชายพักอาศัยอยู่ที่บ้านนี้ต่อไป เหมือนเป็นเจ้าของบ้านคนนึง” เพิ่มพงษ์เล่า
“ก็ดีนะ ได้คุณนิติธรช่วยดูแล ทุกอย่างถึงยังเรียบร้อย ดูดีเหมือนกับตอนที่คุณพ่อท่านยังอยู่ที่นี่” สยุมภูว์บอก
“ผมว่าเรารีบเข้าบ้านดีกว่า คุณทนายคงรออ่านพินัยกรรมของคุณท่านอยู่น่ะครับ”
เพิ่มพงษ์เลี้ยวรถกอล์ฟตรงไปที่คฤหาสน์หลังงามและใหญ่โต

นิติธร ทนายความปรจำตระกูลทศพลนั่งตัวตรงอ่านพินัยกรรม โดยมีสยุมภูว์ตั้งใจฟัง ส่วนเพิ่มพงษ์ยืนสำรวมอยู่ไม่ห่าง
“...ทรัพย์สินทั้งหมดและกิจการกลุ่มบริษัทในเครือ ทศพลกรุ๊ปขอยกให้นายสยุมภูว์ ทศพล ผู้เป็นบุตรของข้าพเจ้า” นิติธรอ่าน
สยุมภูว์ฟังอย่างนิ่งสงบ
“อนึ่งถ้าผู้รับพินัยกรรมของข้าพเจ้าไม่สามารถรับมรดกได้ ข้าพเจ้าขอมอบให้นายนิติธร ศาสตร์บูรพา เป็นผู้รับมรดกแทน ลงชื่อนายสีหราช ทศพล”
เพิ่มพงษ์รู้สึกกังวล “เป็นพินัยกรรมที่แปลกมากเลยนะครับ”
“คุณเพิ่มพงษ์ว่าไงนะครับ” นิติธรถาม
เพิ่มพงษ์กังวลแต่ก็ยังรักษามารยาท “เปล่าครับ ไม่มีอะไร เอ่อ..แล้วนายนิติภูมิลูกชายคุณไม่อยู่เหรอครับวันนี้”
“เห็นว่าไปเที่ยวทะเลกับเพื่อน อีก 2 วันถึงจะกลับน่ะครับ”
“นายภูมิเค้าทำงานอะไรอยู่เหรอครับตอนนี้” สยุมภูว์ถาม
“ก็...ยังลอยไปลอยมาน่ะครับ เจ้าภูมิมันก็เป็นซะแบบนี้ วันๆ เอาแต่เที่ยวเล่น ถ้ารู้จักเอาการเอางานได้ซักหนึ่งในร้อยของคุณสยุมภูว์ก็คงจะดี” นิติธรบอก
“ผมก็ไม่ได้เก่งอะไรหรอกครับ โชคดีมากกว่าที่บริษัทในเครือทศพลกรุ๊ปในสิงคโปร์ที่ผมบริหารแทบไม่เจออุปสรรคอะไร ก็เลยเติบโตแบบก้าวกระโดดได้ แต่พอต้องบริหารกลุ่มบริษัททั้งหมดแบบนี้ ผมคงต้องรบกวนขอคำปรึกษาจากคุณนิติธรอีกเยอะ”
“ขอให้บอกเถอะครับ ผมยินดี และภูมิใจที่ได้รับใช้ตระกูลทศพลตลอดมา...และตลอดไปครับ”
สยุมภูว์ยิ้มรับด้วยความขอบคุณ

สยุมภูว์นั่งรับประทานอาหารอย่างสุภาพแต่ก็ออกอาการว่าเอร็ดอร่อยอย่างชัดเจน พอเหลือบไปเห็นเพิ่มพงษ์ที่กำลังตักอาหารใส่ปากด้วยแววมยุราตาดูเป็นกังวล สยุมภูว์ก็ทักขึ้น
“น้าเพิ่ม...น้าเพิ่ม” สยุมภูว์เสียงดังขึ้น “นายเพิ่มพงษ์”
เพิ่มพงษ์สะดุ้ง “อุ้ย! เรียกซะเต็มยศเลยนะคุณสยุมภูว์”
“เป็นอะไร อาหารไม่อร่อยเหรอ”
“อร่อยสิครับคุณ แต่ผมยังกังวลเรื่องพินัยกรรมน่ะครับ คุณท่านไว้ใจคุณนิติธรเกินไปหรือเปล่า ถึงได้ระบุให้รับมรดกแทนชัดเจนแบบนี้ ถ้าเค้าเกิดโลภ อยากฮุบสมบัติขึ้นมา คุณสยุมภูว์ก็เดือดร้อนสิครับ”
“น้าเพิ่มกลัวคุณนิติธรจะฆ่าผมเพื่อมรดกอย่างงั้นเหรอ”
“เอ้า! เรื่องมรดกมันไม่เข้าใครออกใครนะครับ ขนาดพี่น้องคลานตามกันมา ยังฆ่ากันมานักต่อนักแล้ว”
สยุมภูว์ยิ้มขำ “น้าเพิ่ม...ฟังนะ คุณนิติธรรับใช้คุณพ่ออย่างซื่อสัตย์มาตลอด และจะไม่มีวันทำร้ายผมแน่ๆ”
“แต่ว่า...” เพิ่มพงษ์ยังกังวล
สยุมภูว์รีบสวนขึ้น “คุณพ่อท่านมองคนไม่ผิดหรอกน่ะ เราหยุดพูดเรื่องนี้ได้แล้ว”
“ผมก็แค่เป็นห่วงคุณสยุมภูว์”
“เป็นห่วงก็ดี แต่ก็ไม่ใช่ไปพูดให้ร้ายคุณนิติธรแบบนี้” สยุมภูว์พูดด้วยน้ำเสียงดุ
เพิ่มพงษ์หลบตาเพราะรู้สึกว่าสยุมภูว์ไม่พอใจ เขาจึงก้มหน้ากินอาหารต่อ แต่แววมยุราตาก็ยังเป็นกังวลอยู่ไม่น้อย

สยุมภูว์เดินตรงไปยังลานจอดรถที่ทั้งเปลี่ยวและค่อนข้างมืด โดยมีเพิ่มพงษ์ใช้สายตาคอยสอดส่องระวังภัยเดินตามมา
สยุมภูว์รู้สึกอึดอัดกับเพิ่มพงษ์จนเริ่มจะขำ “น้าเพิ่ม พอเหอะครับ ทำท่ายังกะมีใครคอยตามฆ่าผมอย่างงั้นแหละ”
“เซฟตี้ เฟิร์สท์ เซฟตี้ อะเฮ๊ด ครับคุณสยุมภูว์ หลักการเดียวกับการบริหารความเสี่ยงทางธุรกิจที่ต้องเน้นความปลอดภัย ทั้งก่อนหน้า และล่วงหน้า”
พูดจบเพิ่มพงษ์ก็เดินไปสะดุดก้อนหินจนถลาแซงหน้าสยุมภูว์มานอนคว่ำพังพาบอยู่กับพื้น สยุมภูว์กลั้นหัวเราะแทบไม่อยู่ เพิ่มพงษ์หน้าเหยเกแต่พอเงยหน้าเขาก็ต้องเบิกตาโพลงเมื่อเห็นว่าใต้ขอบรถใกล้กับประตูเบาะหลังมีไฟสีแดงเป็นจุดเล็กๆ กะพริบอยู่ เมื่อตั้งใจมองก็เห็นว่าเป็นโทรศัพท์มือถือที่มีสายติดอยู่กับกล่องระเบิดขนาดเล็ก
เพิ่มพงษ์รีบลุกขึ้นแล้วพุ่งรวบตัวสยุมภูว์ลงมากองอยู่กับพื้น
“โอ๊ย!! ทำอะไรน่ะ” สยุมภูว์ตกใจร้องถามออกมา
แล้วรถทั้งคันก็ระเบิดตูม ไฟลุกท่วมทั้งคันรถ เพิ่มพงษ์กับสยุมภูว์เงยหน้ามองสภาพรถที่มีไฟลุกท่วม ทั้งสองอ้าปากค้าง ตายังเบิกโพลงด้วยความช็อค หายใจหอบตัวสั่นที่เพิ่งเฉียดตายมา

ศักดานั่งคร่อมอยู่บนมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่ที่มุมหนึ่งในลานจอดรถซึ่งห่างจากรถของสยุมภูว์ เขามองไปที่รถทั้งคันซึ่งถูกไฟลุกท่วม ในมือของเขายังถือโทรศัพท์มือถือที่ใช้จุดชนวนระเบิดเอาไว้ ศักดายิ้มอย่างพอใจ
“เรียบร้อย...”
ศักดาสวมหมวกกันน็อค ดึงที่ปิดหน้าของหมวกกันน็อคลงมา ไฟที่ลุกท่วมรถเป็นเงาสะท้อนอยู่บนที่ปิดหน้าหมวกกันน็อค แล้วศักดาก็บิดมอเตอร์ไซค์ออกไป

บนเวทีงานเปิดตัวรถสปอร์ตสุดหรู แวว มยุรา แต่งตัวสวย เซ็กซี่ กระโปรงยาวแต่ผ่าสูงขึ้นมา เธอยืนอยู่ข้างรถสปอร์ต ไมค์ head set ติดอยู่ข้างศีรษะของเธอ แววพูดพรีเซนต์รถอย่างฉาดฉานคล่องแคล่ว
“และนี่คือ Wiesmann MF5 Roadster ความแรงเร้าใจ ถูกออกแบบมาใน Concept Timeless Design รูปทรงที่ไร้การเวลาของสายพันธุ์สปอร์ตหรูจากยุโรป ด้วยขุมกำลัง 10 สูบ 5000 cc 507 แรงม้า และมีแรงบิด 500 นิวตันเมตร”
คำรพ หนุ่มเจ้าของบริษัทนำเข้ารถยืนถือแก้วเครื่องดื่มในสภาพหน้าแดงอย่างคนเริ่มเมา เขาเดินเบียดช่างภาพไปที่หน้าเวที เพื่อมองจ้องแวว มยุรา พอแววเปิดประตูรถขยับลงนั่ง คำรพก็เอียงคอพยายามเล็งใต้กระโปรงอย่างชัดเจน
แววเข้ามานั่งที่คนขับแล้วพูด “รถสปอร์ตที่มาพร้อมกับความสบาย ภายในตัวรถใช้หนังแท้คุณภาพสูง และระบบความปลอดภัยที่ได้มาตรฐานในการขับขี่ปลอดภัยสูงสุด”
แววลงจากรถแล้วปิดประตูพร้อมกับพูดต่อ โดยไม่รู้ว่าชายกระโปรงของตัวเองถูกประตูหนีบ เมื่อเธอเดินไปก็ทำให้กระโปรงยิ่งหลุดเผยให้เห็นกางเกงขาสั้นรัดรูปตัวจิ๋วที่ใส่ไว้ข้างใน
“...ด้วยจำนวนการผลิตจำกัดเพียงแค่ 300 คัน ตามคำสั่งของคุณ... “
แววชักเอะใจที่ช่างภาพแห่มาถ่ายรูปกันอย่างฮือฮา คำรพก็หน้าตาตื่นจ้องเธอตาถลน
“ซึ่งแต่ละคันคุณสามารถเลือกสี และลายของกระโปรงหน้าได้ตามใจคุณ” แวว มยุรา เดินไปที่กระโปรงหน้าของรถ “..ลองมาดูกระโปรงหน้ากันนะคะ”
พอได้ยินคำว่ากระโปรงหน้าทุกคนก็ยิ่งฮาแตก แววชักจะเริ่มรู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆ
“นี่ค่ะ กระโปรงหน้าที่โฉบเฉี่ยว เคลือบสีฝากระโปรง...” แววก้มดูกระโปรงตัวเอง “ว๊าย...กระโปรงฉัน!”
แววหน้าแหยรีบเอามือปิด เธออายสุดๆ และแทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนี

แวว มยุรา กลับเข้ามานั่งหน้าสลดในห้องแต่งตัวหญิง เธอเอาผ้าคลุมไหล่สีสดใสมานุ่งแทนกระโปรง แววบ่นกับช่างแต่งหน้าด้วยเสียงอ่อยๆ
“บอกตรงๆ นะพี่...โคตรอายเลย”
ทันใดนั้น ประตูก็เปิดเข้ามา คำรพในสภาพหน้าแดงก่ำเดินถือเครื่องดื่มตาเยิ้มอย่างคนเมาเข้ามา คำรพสะบัดหน้าไล่ช่างแต่งหน้า ช่างแต่งหน้าเห็นดังนั้นก็รีบขยับออกไปจากห้อง แววนั่งตัวตรงเพราะนึกว่าจะถูกตำหนิ แต่คำรพเอาแต่ยิ้มพร้อมทำสายตากะลิ้มกะเหลี่ย
“คุณคำรพ แววขอโทษนะคะ ที่ทำให้ขายหน้า”
“ขายหน้าอะไร ขายดีสิไม่ว่า ข้างนอกนั่นลูกค้าถามหาใบจองกันใหญ่” คำรพบอก
แววยิ้มออก “จริงเหรอคะ”
“จะโกหกทำไมล่ะคะ” คำรพเนียนมานั่งใกล้ๆ แล้วจับมือแวว “คุณไม่เคยทำให้ผมผิดหวังเลยนะ”
แววเริ่มอึดอัดและพยายามจะชักมือกลับ “เอ่อ..ค..ค่ะ”
แววชักมือกลับมาได้ คำรพก็ขยับมือเริ่มเลื้อยเข้ามาที่ผ้าคลุมซึ่งแววมยุรานุ่งแทนกระโปรง
“แล้วนี่หาอะไรมานุ่งไว้หรือยังคะ ไหนดูซิ ข้างในใส่อะไรแล้วรึยัง”
คำรพเริ่มใช้มือมุดใต้ผ้า แววเอามือตีมือคำรพไปสุดแรง
“โอ๊ย!” คำรพหดมือกลับออกมา
แววทำตาเขียวใส่ แต่คำรพยังยิ้มกรุ้มกริ่มใส่
“เอ่อ...ฟังนะแวว มยุรา ผมจ้างคุณเป็นพริตตี้ ให้เงินเดือนสูงๆ เนี่ย คุณก็ควรจะตอบแทนผมบ้างนะ”
“ได้ค่ะ แววจะตอบแทนด้วยการตั้งใจทำงานให้ดีที่สุด”
“แต่ผมอยากให้คุณตอบแทนผมแบบนี้มากกว่า”
คำรพจะล้วงมือลอดผ้าคลุมไปที่ขาอ่อน แววก้มมองมือของคำรพแล้วมองหน้าคำรพด้วยความฉุนขาดขึ้นมา คำรพยังคงยิ้มกรุ้มกริ่มปนหื่น แววกางกรงเล็บแล้วลากข่วนหน้าคำรพจากหน้าผากลงมาถึงคางทันที “อ๊ากกก...”

แววหอบกระเป๋าถือและเสื้อผ้าข้าวของลนลานรีบหนีออกมาจากห้องแต่งตัว แต่เธอทำของหลุดมือตกพื้น แววก้มลงเก็บ คำรพโผล่ตามมาดึงแขนเธอไว้
“เดี๋ยว! แวว ฟังผมก่อน ผมไม่ได้คิดจะเอาเปรียบคุณเลยนะ”
“พอเถอะค่ะ ปล่อยแววนะคะ คุณคำรพเมาแล้ว” แววสะบัดแขนแล้วจะเดินหนี
คำรพรีบมาขวางไว้ “ผมไม่ได้เมา ผมมีสติครบถ้วน”
“คนมีสติครบถ้วน เค้าทำกันแบบนี้เนี่ยนะ”
“ใช่! ที่ผมทำไป ก็เพราะผมรักคุณ”
แววตกใจ “ห๊ะ?”
“ผมรักคุณ แล้วก็พร้อมจะทุ่มเททุกอย่างให้คุณ ว่ามาเลยถ้าต้องการอะไร อยากได้เงินเดือนเพิ่มอีกมั้ย หรืออยากได้รถ อยากได้คอนโด ผมให้คุณได้ทุกอย่างจริงๆ นะ”
“ถ้าให้แววได้ทุกอย่างจริงๆหละก็..งั้นช่วยให้ทางแววด้วยค่ะ ขอทางนะคะ”
แวว มยุรา ดันร่างของคำรพออกแล้วเดินผ่านไป คำรพตามไปฉุดแขนให้แววหันกลับมาประจัญหน้ากับเขา

“จะเล่นตัวไปถึงไหน ครอบครัวคุณเดือดร้อนเรื่องเงิน ทำไมผมจะไม่รู้ หรืออยากได้มากกว่านี้ งั้นคุณก็ลองเสนอมาสิ”
“หยุดดูถูกแววซะทีได้มั้ยคะ แววมาทำงาน ไม่ได้มาขายตัวค่ะ”
แววจะเดินหนี คำรพกอดรวบตัวเธอไว้ แววออกแรงดิ้น คำรพย่ามใจพยายามจะจูบที่ริมฝีปากของเธอ
“ปล่อยค่ะคุณคำรพ แววขอร้อง ปล่อยค่ะ” แววมยุราตวาด พร้อมเงื้อง่าฝ่ามือจะตบ “บอกให้ปล่อย”
คำรพผงะ “ทำไม คุณจะตบหน้าผมเหรอ”
คำรพบุกเข้าจะกอดจูบอีก แววดิ้นหนีแล้วตบหน้าคำรพฉาดใหญ่ คำรพผงะและเดือดจัด
“นี่กล้าตบหน้าผมเหรอ อยากโดนไล่ออกใช่มั้ย”
“ไม่ต้องไล่ค่ะ ฉันลาออกเอง” แววสะบัดหน้าเดินออกไป
“คอยดูเห๊อะ เดี๋ยวคุณก็ต้องซมซานกลับมา”
แววหยุดชะงัก แล้วหันมากลับมายืนประจัญหน้ากับคำรพ
คำรพยิ้มหื่นๆ “เปลี่ยนใจแล้วใช่มั้ย”
คำรพพูดจบ แววก็ตีเข่าใส่กล่องดวงใจของคำรพ จนคำรพตัวงอ แล้ว แวว มยุรา ก็เดินจากไป ทิ้งให้คำรพนั่งกุมเป้าด้วยหน้าเหยเก เขาร้องไม่ออกเพราะทั้งจุกทั้งเจ็บแบบสุดๆ

นิติภูมิ ลูกชายของนิติธรกดรับสายโทรศัพท์ ศักดาจอดมอเตอร์ไซค์พูดโทรศัพพท์กับเขาอยู่บริเวณริมถนนสายเปลี่ยว
นิติภูมิพูดลอยๆ “มันตายแล้วใช่มั้ย”
“ครับคุณนิติภูมิ ระเบิดไม่เหลือแม้แต่เศษซาก” ศักดาบอก
นิติภูมิแสยะยิ้มอย่างสะใจ
“ดีมาก..ศักดา ฉันเตรียมที่กบดานให้แกแล้ว รอให้ฉันฉลองงานศพไอ้สยมภูว์เสร็จเสียก่อนแล้วฉันจะโอนค่าจ้างส่วนที่เหลือไปให้”
“รับทราบครับคุณนิติภูมิ”
“งานนี้แกคงสบาย ไม่ต้องทำอะไรไปทั้งชาติสินะ ศักดา”
“ครับ คุณนิติภูมิ..แล้วเรื่องรูปถ่ายของมันล่ะครับ จะให้ส่งให้หรือเปล่า”
“ไม่จำเป็นแล้ว แกเผาทิ้งไปเลย”
“ครับ” ศักดารับคำ
นิติภูมิเห็นนิติธรเดินเข้ามาหา จึงรับพูดตัดบท
“แค่นี้ก่อนนะ” นิติภูมิรีบตัดสายแล้วทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“พรุ่งนี้แกไปพบคุณสยุมภูว์กับพ่อนะ พ่อจะได้ฝากฝังแกทำงาน จะได้เลิกร่อนไปร่อนมา ไร้สาระไปวันๆสักที” นิติธรบอกลูกชาย
นิติภูมิยิ้ม “เจ้านายใหม่ของพ่อเขาจะอยากเจอผมหรือครับ”
“คุณสยุมภูร์เขาไม่ได้เป็นคนถือตัวอย่างที่แกคิด ถ้าแกได้ทำงานกับเขา ฉันคงสบายใจขึ้นเยอะ จะได้เป็นผู้เป็นคนกับเขาเสียที”
“ถ้าคุณสยุมภูร์เขารู้ว่าพ่อเทิดทูนเขามากขนาดนี้ เขาคงจะดีใจมากเลยนะครับ แต่...เสียดาย”
นิติธรสงสัย “อะไรของแก...เสียดายอะไร”
นิติภูมิไม่ตอบได้แต่ยิ้มแล้วเดินออกไป ทิ้งให้นิติธรยืนงงอยู่คนเดียว
นิติภูมิหยิบล็อคเก็ตจากกระเป๋าออกมาดู เขาเปิดตลับล็อคเก็ตดูรูปขาว-ดำแม่ของเขา นิติภูมิจ้องมองรูปนั้นอย่างมีความหมาย
“ตระกูลทศพลมันได้ชดใช้สิ่งที่มันทำกับแม่แล้วครับ”
นิติภูมิจ้องมองภาพแม่ในล็อคเก็ตนั้น

แววเปิดประตูรถแล้วก้าวลงมาที่หน้าบ้านของเธอ เธอเห็นรถพยาบาลเปิดไซเรนจอดอยู่ และมีชาวบ้าน 4-5 ราย ซึ่งบางคนอยู่ในชุดนอนมาชะเง้อมุงดูบ้านของเธออย่างอยากรู้อยากเห็น แววหน้าตาตื่นและใจไม่ดี เธอรีบวิ่งฝ่าไทยมุงเข้ามาชนกับบุรุษพยาบาล
“โอ๊ย!” พอเห็นว่าเป็นบุรุษพยาบาลแววมยุราก็รีบถาม “เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ”
“มีคนโทรแจ้งว่าแน่นหน้าอก หายใจไม่ออก ข้างในกำลังปฐมพยาบาลอยู่ครับ”
แววได้ยินแค่ว่าหายใจไม่ออก เธอก็รีบวิ่งปราดเข้าไปในบ้านทันที

แวววิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในบ้าน
“แม่!!...” แววมองไปแล้วก็ชะงัก
มาลตี แม่ของแวว มยุรา กับพยาบาลหญิงกำลังนั่งหัวเราะร่วน โดยมีเปลพยาบาลตั้งวางอยู่ข้างๆ แววยิ่งงงหนัก เธอเดินเข้าไปใกล้ๆ มาลตีหันมาเห็นแววเดินเข้ามาก็หยุดหัวเราะ
“แม่เป็นไงบ้าง” แววถาม
“ก็...เอ่อ...” มาลตีอ้ำอึ้ง
พยาบาลตอบแทน “คุณแม่ของน้องไม่ได้เป็นอะไรหรอกจ้ะ”
“แล้ว...ใครเหรอคะ ที่บอกว่าแน่นหน้าอก หายใจไม่ออก” แววถามต่อ
“ก็แม่นี่แหละ แต่ว่า...แม่แค่กินขนมเยอะไป ก็เลยรู้สึกจุกๆ แน่นๆ น่ะ” มาลตีบอก
มาลตีกับนางพยาบาลหันไปมองหน้ากัน แล้วหัวเราะพรวดออกมา
“งั้นดิฉันขอตัวนะคะ” พยาบาลหันมาพูดกับแวว “ทีหลังก่อนจะโทรเรียกรถพยาบาล น้องควรดูอาการคุณแม่ให้ดีก่อนนะคะ”
แววมยุรารับคำ “ค่ะ”
“จะได้ไม่ต้องเปลืองตังค์อย่างครั้งนี้” พยาบาลยื่นบิลให้ “ค่ารถพยาบาลฉุกเฉินพร้อมเจ้าหน้าที่ค่ะ”
แววรับบิลมาดูแล้วแทบสำลัก
บุรุษพยาบาลหิ้วเปลสนามเข้ามาแล้วโพล่งเสียงดัง “ผู้ป่วยอยู่ที่ไหนครับ”
มาลตีกับนางพยาบาลเห็นแล้วก็หัวเราะกันต่อ แต่แววมยุราไม่ขำด้วย มาลตีเห็นหน้าแวว เคร่งเครียดก็รีบหยุดขำทันที

แวว มยุรา นั่งที่โต๊ะอาหารซึ่งมีจดหมายเรียกเก็บเงิน ทั้งค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าผ่อนบ้าน ค่าผ่อนรถ แววใช้โทรศัพท์มือถือกดเครื่องคิดเลขบวกรวมเงินทั้งหมดอยู่ สักพักมาลตีเดินเข้ามา
“แกควรจะดีใจมากกว่านะนังแวว ที่จริงๆ แล้วแม่ไม่ได้เป็นอะไรน่ะ” มาลตีบอก
“ค่ะแม่ ดีใจมากเลยค่ะ ที่แม่เรียกรถพยาบาลมาทั้งที่ไม่ได้เป็นอะไรเป็นครั้งที่สามแล้วในช่วงไม่กี่เดือนเนี้ย” แววตอบ
“ก็ใครจะไปรู้ล่ะ ฉันไม่ได้เรียนหมอ พอมีอาการอะไร ฉันก็เลยโทรเรียกไว้ก่อน”
“แม่ก็เลิกนอยด์ เลิกตีตนไปก่อนไข้ซะทีสิคะ ดูบิลที่ต้องจ่ายเดือนนี้ แววก็ลมแทบจับแล้ว แม่ยังหาเรื่องให้แววต้องจ่ายเพิ่มอีก”
“โอ๊ย! จ่ายแค่นี้จะทวงบุญคุณกันหรือไง แล้วที่ฉันเลี้ยงแกมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย ฉันต้องหมดเงินไปเท่าไหร่ ไหนจะค่านม ค่ากิน ค่าเล่าเรียน”
มาลตีพูดต่อโดยมีแววช่วยต่อให้ทำให้ทั้งสองพูดพร้อมกัน “...กว่าจะโตจนหมาเลียก้นไม่ถึงแบบนี้”
“แม่ก็พูดอย่างงี้ทู๊กที ไม่เห็นใจบ้างว่าแววรับภาระอยู่คนเดียว ไหนจะค่าโทรศัพท์ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าผ่อนรถผ่อนบ้าน” แววบอก
ทันใดนั้นทั้งสองก็ได้ยินเสียงวัณณรีใสแจ๋วมาจากประตูบ้าน “กลับมาแล้วค่า”
วัณณรี น้องสาวของ แวว มยุรา อยู่ในชุดนักศึกษารัดรูป สะพายกระเป๋าเบรนด์เนมราคาแพง เดินหน้าตาสดใสเข้ามาในบ้าน
“ยัยวัณ เพิ่งเริ่มเข้ามหาลัย ก็หัดกลับบ้านดึกแล้วนะ” แววเทศน์
“หวัดดีแม่ หวัดดีพี่แวว” วัณณรียื่นกระดาษในมือให้แวว
แววงง “อะไรน่ะ”
“ค่าลงทะเบียน แล้วก็ค่าหน่วยกิตค่ะ” วัณณรีตอบ
แววทำหน้าบอกบุญไม่รับ เธอรู้สึกหนักอึ้งกับภาระค่าใช้จ่ายเหล่านี้

แวว มยุรา ยืนท่าทางหมดอาลัยตายอยากอยู่หน้าตู้เย็น เธอเปิดตู้เย็นแล้วนั่งยองๆ มองในตู้เย็น ก่อนจะหยิบเหยือกน้ำที่แช่ตู้เย็น ทันทีที่ปิดบานตู้เย็น โรส สาวใช้คนใหม่ก็มายืนอยู่ใกล้ๆ แวว
แววตกใจ สะดุ้งสุดตัว “ว๊าย!”
แววตกใจจนทำเหยือกน้ำหลุดมือลงพื้นแตกกระจาย แววจ้องมองโรสที่ยืนตัวแข็งอยู่
“เธอเป็นใคร เข้ามาทำไม” แววถามเสียงตื่น
วัณณรีวิ่งหน้าตื่นเข้ามา
แววมยุราชี้ที่โรส “ใครอ่ะ ยัยวัณ”
“วัณไม่รู้”
มาลตีเดินตามมาหลังวัณนรีเข้ามา “เอ้อ...แม่กำลังจะบอกอยู่พอดี ว่าเพิ่งรับคนใช้เข้ามา”
“หา!! ทำไมเราต้องจ้างคนใช้ด้วยล่ะแม่” แววถาม
“แม่แก่แล้ว งานบ้านทำไม่ค่อยไหว” มาลตีหันไปบอกโรส “ยัยโรส ไหว้ซะ นี่วัณ นี่แวว”
โรสไหว้นอบน้อมกับวัณณรี “สวัสดีค่ะคุณวัณ” โรสหันไปหาแวว “สวัสดีค่ะคุณแวว อ้อ!ค่าจ้างเดือนแรก โรสขอเบิกล่วงหน้านะคะ”
แววยืนอึ้งแล้วได้แต่กัดฟันอดทนไว้ ทั้งที่อยากจะร้องกรี๊ดออกมา

ณ โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง พยาบาลรูดม่านออกหลังจากทำแผลเสร็จแล้วก็เดินออกไป สยุมภูว์นั่งอยู่ที่เตียงคนใข้ ที่แขนของเขามีผ้าก๊อซปิด เขามองไปที่เพิ่มพงษ์ที่นั่งอยู่ตรงกันข้าม
“มันอาจจะเป็นความเข้าใจผิด วางระเบิดผิดคันก็ได้นะ คุณเพิ่มพงษ์” สยุมภูว์บอก
เพิ่มพงษ์ประชด “เจ้านายผมนี่ช่างมองโลกในแง่ดีได้ซะทุกเรื่องเลยนะครับ..รถระเบิดยังชิลล์ขนาดนี้ ถ้าบอกว่าคุณสีหราชส่งไปอยู่อิรักตั้งแต่เด็ก ผมก็เชื่อนะเนี่ย”
“อ้าว..แล้วจะให้ผมอธิบายยังไงล่ะ ผมโตที่สิงคโปร์นะคุณเพิ่มพงษ์ แล้วจะมามีเรื่องกับใครที่นี่ถึงขั้นระเบิดรถได้ล่ะ”
“เออ..จริงสิ..” เพิ่มพงษ์นึก “แต่..มันก็มีคนที่น่าสงสัยอยู่นะครับ”
“ใคร ?” สยุมภูว์ถาม
เพิ่มพงษ์อึกอัก “เอ่อ...”
“ใคร..ก็ว่ามาสิ”
“คุณนิติธรไงครับ”
สยุมภูว์พูดด้วยเสียงจริงจัง “ผมบอกแล้วไงว่าอย่าพูดถึงคุณนิติธรอย่างนั้น”
“ครับ คุณสยุมภูว์” เพิ่มพงษ์รีบเปลี่ยนเรื่อง “ผมว่าเราควรจะไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัยกันก่อนดีมั้ยครับ”
“ที่บ้านผมไง..ไม่เห็นต้องหาเลย”
เพิ่มพงษ์ยกมือไหว้ “คุณสยุมภูว์ครับ ถือเสียว่าผมขอเถอะนะครับเพราะถ้าคุณเป็นอะไรไปล่ะก็ คุณสีหราชต้องลุกขึ้นจากหลุมมาเอาเรื่องผมแน่ๆ”

สยุมภูว์มองเพิ่มพงษ์ที่แสดงความเป็นห่วงออกมาได้อย่างชัดเจน

อ่านต่อหน้าที่ 2





แววมยุรา ตอนที่ 1 (ต่อ)
เริงใจแต่งตัวเปรี้ยวจี๊ดเดินดูแลทุกอย่างภายในร้านกาแฟให้เข้าที่ พนักงานชายเช็ดโต๊ะอยู่ พนักงานหญิงดูแลเช็ดถูหลังเคาน์เตอร์ชงกาแฟ เริงใจเดินหันหลังให้ประตูทางเข้า เธอยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู
“อีกสิบนาที ได้เวลาเปิดร้านแล้วนะจ๊ะ เดี๋ยวออกไปเช็ดโต๊ะตรงสวนข้างนอกด้วยนะ เช้านี้น้ำค้างลงซะชุ่มเลย” เริงใจบอกพนักงาน
ทันใดนั้นเสียงประตูร้านก็เปิดเข้ามา เริงใจทักไปโดยสัญชาตญาณ
“อีกสิบนาทีถึงจะเปิดบริการนะคะ อ้าว!”
ชลธิชา สาวสวยน่ารักสไตล์คุณหนูสวมเสื้อผ้าหวานหรูเดินเข้าประตูร้านมา
เริงใจหันไปสั่งพนักงานด้วยน้ำเสียงทีเล่น “ทุกคน...! เร่งมือหน่อยเร้ว เจ้าของร้านมาแล้ว”
ชลธิชายิ้มขำ “นี่! ยัยเริงใจ เลิกเรียกฉันว่าเจ้าของร้านได้แล้ว”
“ก็เธอเป็นเจ้าของร้านจริงๆ นี่” เริงใจบอก
“แต่เจ้าของร้านคนนี้ก็มีชื่อนะ”
“จ้า...ยัยธิชา”
“แล้วจะว่าไป เธอก็เป็นเจ้าของร้านด้วยเหมือนกัน” ชลธิชาบอก
“โอ๊ย..ฉันไม่กล้าเรียกตัวเองแบบนั้นหรอกจ้ะ ต้องขอบคุณที่เธออุตส่าห์มีน้ำใจให้ฉันเป็นหุ้นส่วน ไม่งั้นป่านนี้ฉันยังเดินเตะฝุ่นอยู่แถวไหนก็ไม่รู้”
“เลิกขอบคุณฉันซะทีเหอะเริงใจ ฉันเขินอ่ะ เราเป็นเพื่อนซี้กลุ่มเดียวกันมาแต่สมัยไหน จะขอบคุณอะไรนักหนา”
“จ้า...เอ้อ! พูดถึงเพื่อนซี้กลุ่มเดียวกัน เดี๋ยวยัยแววจะมาหาพวกเราที่นี่หละ” เริงใจบอก
ชลธิชาดีใจ “จริงเหรอ เอ่อ..เธอรู้เรื่องที่ยัยแววผ่าหมากใส่อีตาเจ้านายหัวงูแล้วใช่มั้ย”
“ช่าย...ก็นี่แหละ ยัยแววบอกว่าจะมาเม้าท์ให้ฟังแบบสามมิติ เห็นภาพชัดๆ ถึงที่นี่เลย” เริงใจพูดไม่ทันขาดคำก็อ้าปากค้างพร้อมกับมองออกไปหน้าร้าน
ชลธิชางง “ยัยแววมาแล้วเหรอ” ชลธิชาหันมองตาม
เริงใจมองด้วยสายตาจับจ้องตาไม่กะพริบ “ไม่ใช่อ่ะ แต่น่าสนใจกว่ายัยแววอีก”

เอกรินทร์สวมหมวกกันน็อคแต่งชุดเท่ทะมัดทะแมงจอดมอเตอร์ไซค์คันหรูที่หน้าร้าน เขา ดับเครื่องแล้วถอดหมวกกันน็อคออก ทำให้เห็นหน้าตาหล่อเหลาคมคายของเขา เริงใจและชลธิชามองเอกรินทร์แบบถูกใจสุดๆ เอกรินทร์เดินตรงมาที่ประตูร้านกาแฟ

ชลธิชามองเอกรินทร์ที่กำลังเดินตรงมาแล้วเปรยขึ้น
“ดูดีจังเลยนะผู้ชายคนนี้” ชลธิชามองไปข้างๆ ก็เห็นว่าเริงใจหายไป “อ้าว..”
ชลธิชาเหลียวหลังไปมองเห็นเริงใจยืนยิ้มร่าอยู่หลังเคาน์เตอร์เตรียมพร้อมต้อนรับเต็มที่ ชลธิชาหันกลับมา เอกรินท์เดินผ่านเธอไปช้าๆ สายตาเอกรินทร์มองสบตาชลธิชาอย่างสุภาพ
ชลธิชาก็สบตาเอกรินทร์เพราะรู้สึกปิ๊งแต่ก็เขินจนต้องหลบสายตา เอกรินทร์ตรงไปที่เคาน์เตอร์ เริงใจยิ้มกว้างพร้อมบริการเต็มที่ พนักงานหญิงในเคาน์เตอร์ซึ่งยืนข้างๆ เริงใจพูดขึ้น
“ต้องอีกซักครู่ ร้านถึงจะเปิดนะคะ..อุ๊บ”
เริงใจเอามือยันไหล่พนักงานจนถอยออกไป แล้วยิ้มกว้างส่งสายตาต้อนรับเอกรินทร์สุดๆ
“Coffee and Friends ยินดีต้อนรับค่ะ”
เอกรินทร์ยิ้มพร้อมกับพยักหน้าตอบ “ครับ” เอกรินทร์หันไปมองสำรวจ เหมือนมองหาคนรู้จัก
“นัดใครไว้หรือเปล่าคะ” เริงใจถาม
“อ้อ! ครับ ผมคงมาเร็วเกินไป” เอกรินทร์ตอบ
“ร้านเพิ่งเปิดน่ะค่ะ รับเครื่องดื่มอะไรก่อนมั้ยคะ เช้าๆ อย่างนี้ แนะนำเป็นฮ็อต คาปูชิโน่มั้ยคะ”
“ดีครับ ขอที่นึงครับ”
“รอรับเครื่องดื่มตรงเคาน์เตอร์ทางนี้ ..อุ๊บ” พนักงานหญิงพูดแต่ก็โดนเริงใจเอามือยันจนเซไปอีก
“เดี๋ยวไปส่งให้ที่โต๊ะนะคะ” เริงใจบอก
“ครับ...ขอบคุณครับ” เอกรินทร์เดินไปหาที่นั่ง
เริงใจมองตามแล้วยิ้มค้าง จนชลธิชาเดินมาสะกิด
“นี่...ไม่ค่อยออกนอกหน้าเลยนะ”
“แหม..ก็สูงสมาร์ท มาดเท่มาซะขนาดนี้ ต้องขอแทะเล็มลูกค้าบ้างสิคะ”เริงใจบอก
ชลธิชาส่ายหน้าด้วยความเอือมระอาแต่ก็หันไปมองเอกรินทร์แล้วเปรยขึ้น
“แต่ก็ดูดีมากๆ จริงๆ อ่ะนะ”
จากที่ยิ้มค้างอยู่ เริงใจหันขวับมาเหล่ชลธิชาที่กำลังมองเอกรินทร์ทำให้ได้รู้ว่าเพื่อนรักก็เป็นไปด้วย

รายงานข่าวจากโทรทัศน์เป็นภาพข่าวรถคันหรูถูกไฟลุกท่วม นิติธรนั่งดูข่าวนี้อยู่ที่บ้าน เขารีบกดเร่งเสียงโทรทัศน์
“ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเจ้าของรถคือนายสยุมภูว์ ทศพล ทายาทคนเดียวของ นายสีหราช ทศพล เจ้าของธุรกิจทศพลกรุ๊ปที่เพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อเดือนก่อน แนวทางการสอบสวนมุ่งไปในเรื่องปมขัดแย้งทางธุรกิจเป็นหลัก”
นิติธรพยายามนิ่งเก็บอาการแต่ก็สั่นระริกด้วยความช็อค
“คุณสยุมภูว์...”
นิติธรกดโทรศัพท์มือถือ แต่ได้ยินเสียง “เลขหมายที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้” เขาจึงกดวางหูด้วยมือไม้ที่สั่น
“คุณเพิ่มพงษ์ล่ะ...” นิติธรรีบหาเบอร์เพิ่มพงษ์ในมือถือ แล้วกดโทรออกทันที
นิติธรได้ยินเสียงคอมพิวเตอร์ “เลขหมายที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้” เช่นเดียวกัน
นิติธรเริ่มกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว เขาค่อยๆ สะอื้นไห้จนตัวโยนด้วยความเสียใจ แล้วสาวใช้ประจำบ้านก็เดินเข้ามาหา
“มีตำรวจมาขอพบคุณนิติธรค่ะ”
นิติธรพยายามข่มอารมณ์ “เชิญไปที่ห้องรับแขกเลย เดี๋ยวฉันตามไป”
สาวใช้เดินออกไป นิติธรพยายามควบคุมสติ เขามองไปยังภาพซากรถแหลกละเอียดที่ยังอยู่บนจอโทรทัศน์

นิติธรนั่งคุยกับตำรวจแล้วเขาก็มีสีหน้าประหลาดใจ
“อะไรนะ !!!...ไม่พบศพคุณสยุมภูว์ในรถหรือครับ”
“ครับ..เราเช็คจากทุกโรงพยาบาลในบริเวณใกล้เคียง ในช่วงเวลาเกิดเหตุก็ไม่พบศพที่ระบุได้ว่าเป็นคุณสยุมภูว์เลย” ตำรวจบอก
“ผมก็ควรจะเบาใจได้ว่าคุณสยุมภูว์ไม่เป็นอะไร อย่างนั้นหรือครับ”
“ขอให้ทางเราได้ทำงานอีกหน่อยเถอะครับ..คุณนิติธร ได้เรื่องยังไง ผมจะรีบแจ้งให้ทราบทันที...เจ้านายผมท่านไม่ปล่อยให้ลูกชายเพื่อนสนิทของท่านหายไปอย่างไร้ร่องรอยแน่”
“งั้นผมฝากท่านด้วยนะครับ”
นิติภูมิแอบฟังการสนทนาอยู่ด้วยสีหน้าเคียดแค้น ก่อนที่เขาจะเดินไป

เอกรินทร์ยกถ้วยกาแฟร้อนขึ้นจิบ พอวางแก้วลงเริงใจก็ยกแก้วน้ำเย็นเข้ามาสองแก้ว แล้วก็ถือวิสาสะนั่งลงด้วย
“ขออนุญาตนะคะ”
เอกรินทร์พยักหน้าแล้วยิ้มรับตามมารยาท
“เห็นว่ามารอเพื่อน ไม่ทราบนัดใครไว้เหรอคะ เอ่อ..แฟนรึเปล่าเอ่ย?” เริงใจถาม
“ไม่ใช่แฟนครับ” เอกรินทร์ตอบ
เริงใจยิ่งยิ้มกว้าง
“เป็นเพื่อนเก่าตั้งแต่สมัย ม.ต้นน่ะครับ บังเอิญเจอกันทางเฟซบุ๊ค ก็เลยนัดเจอกันไว้ที่นี่ คุณเป็นเจ้าของร้านเหรอครับ”
“เรียกว่าเป็นหุ้นส่วนดีกว่า โน่นค่ะ เจ้าของตัวจริง” เริงใจกวักมือเรียก แล้วหันมาพูดกับเอกรินทร์ “เดี๋ยวจะแนะนำให้รู้จักนะคะคุณ...คุณชื่ออะไรนะคะ”
“เอกรินทร์ครับ เรียกผมว่าเอกก็ได้”
“ฉันชื่อเริงใจค่ะ”
ชลธิชาเดินมาพอดี “เรียกฉันทำไม”
เริงใจฉุดชลธิชาให้ลงนั่ง “นี่ชลธิชา” เริงใจหันไปบอกชลธิชา “ธิชา นี่คุณเอก”
ชลธิชาทักทาย “สวัสดีค่ะคุณเอก”
“สวัสดีครับ ร้านคุณสวยมากเลยนะครับ สวนข้างนอกก็น่านั่ง” เอกรินทร์ชม
“ขอบคุณค่ะ”
เริงใจรีบแทรกขึ้น “งั้นก็แวะมาเป็นลูกค้าประจำร้านเราซะเลยสิคะ”
ทันใดนั้นเสียงแววก็ดังขึ้น “ฉันมาแล้ว”
ทุกคนชะงักหันมองไปที่แววซึ่งเดินมาด้านหลังของเอกรินทร์
เอกรินทร์เหลียวหลังไปจึงเห็น “อ้าว! แวว”
แววงงที่เห็นเอกรินทร์มานั่งร่วมโต๊ะกับเพื่อนๆ ของตน “เอก”
เริงใจกับชลธิชาหันมองหน้ากันอย่างงงๆ
แวว เริงใจและชลธิชาต่างก็ชี้นิ้วถามอีกฝ่าย “นี่เธอรู้จักกันด้วยเหรอ?”
แววชี้นิ้วที่เริงใจกับชลธิชา ชลธิชากับเริงใจก็ชี้ที่แววค้างอยู่อย่างงั้น เอกรินทร์มองผู้หญิงทั้งสามอย่างงงๆ

นิติภูมิโทรศัพท์หาศักดาอยู่ที่มุมหนึ่งในบ้านของเขา
“แหลกละเอียดไม่มีชิ้นดีอะไรของแก ศักดา” นิติภูมิโวย
“เจ้านาย..ผมขอโทษครับ” ศักดาบอก
“ขอโทษแล้วไอ้สยุมภูว์มันจะเดินมาหาแก..ให้แกระเบิดมันซ้ำอีกทีเหรอ”
“ผมจะตามหามันให้เร็วที่สุด ก่อนที่ตำรวจจะเจอครับ”
“แกพลาดอีก..ฉันไม่เอาแกไว้แน่..ศักดา”
นิติภูมิตัดสายด้วยสายตาเคียดแค้น
“สยุมภูว์..ไม่ว่าแกจะไปมุดหัวอยู่ที่ไหน แกไม่มีทางรอดมือฉันหรอก”

แท็กซี่แล่นมาจอดที่หน้าหน้าร้านต้นไม้และจัดสวนที่มีป้ายชื่อร้าน Secret garden โดดเด่น บรรทัดล่างเขียนว่า ขายต้นไม้และรับจัดสวน เพิ่มพงษ์ขนกระเป๋าลงจากท้ายรถ คนขับแท็กซี่ปิดกระโปรงท้ายแล้วขึ้นรถขับออกไป เพิ่มพงษ์ลากกระเป๋าอย่างพะรุงพะรัง สยุมภูว์ช่วยแบ่งมาถือให้
“ร้านขายต้นไม้และรับจัดสวนเนี่ยนะ” สยุมภูว์ถาม
“ที่นี่แหละครับ เซฟเฮาส์ของเรา” เพิ่มพงษ์บอก
“ไม่ได้พูดเล่นใช่มั้ย” สยุมภูว์ถามย้ำ
“พูดจริงครับคุณสยุมภูว์ นี่เป็นร้านของญาติห่างๆ ผมที่เค้าประกาศขายพอดี ผมก็เลยซื้อไว้ เราจะใช้ที่นี่เป็นเซฟเฮาส์ และเป็นออฟฟิศลับๆ ด้วย”
“แล้วเราก็ต้องพรางตัวเป็นคนขายต้นไม้ กับจัดสวนด้วยเนี่ยนะ”
“ไม่ดีเหรอครับ คุณสยุมภูว์เป็นคนรักต้นไม้อยู่แล้ว อยู่ที่นี่ซะก็น่าจะแฮปปี้”
“แล้วจะให้ผมนอนตรงไหนเนี่ย” สยุมภูว์ถาม
“เนี่ยครับ ผมกำลังจะบอกเลย ผมติดต่อเช่าบ้านไว้อีกที่เรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวเราทิ้งของไว้ที่นี่ส่วนนึง แล้วหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าไปที่บ้านเช่ากัน”
“ทำไมจะต้องอยู่หลายที่ให้ยุ่งยาก”
“คุณสยุมภูว์ทำงานกับผมมา เคยเห็นผมชุ่ย ผมไม่รอบคอบหรือเปล่าล่ะครับ สถานการณ์ตอนนี้อันตรายมาก ถ้าเกิดเหตุฉุกเฉิน ผมก็จะมูฟคุณสยุมภูว์ย้ายไปยังที่ที่ปลอดภัยได้ทันทียังไงล่ะครับ”
“อืม...รอบคอบจริงๆ” สยุมภูว์ยอมรับ
“ไม่งั้นไม่ไต่มาถึงระดับผู้ช่วยซีอีโอหรอกครับ” เพิ่มพงษ์คุย
เพิ่มพงษ์วางมาดเท่แต่พอหันไปหัวก็ชนเอากระถางกล้วยไม้ที่ห้อยอยู่เต็มๆ สยุมภูว์หน้าแหย เพราะรู้สึกเจ็บแทน

ขณะเดียวกัน แววก็กำลังยืนเล่าเรื่องของตนอย่างออกท่าออกทางอยู่ในร้านกาแฟ โดยมีเอกรินทร์ ชลธิชา และเริงใจนั่งฟัง
“ฉันก็แบบไม่ไหวแล้วอ่ะ พออีตาคำรพบอกว่า คอยดูเห๊อะ เดี๋ยวคุณก็ต้องซมซานกลับมาหาผม ฉันก็เลยหันกลับไปหาเค้าจริงๆ แล้วก็...” แววออกท่าเว่อร์อย่างกับมวยไทย “ตีเข่าเข้ากลางเป้าไปเต็มๆ”
เอกรินทร์ถึงกับคอย่น แล้วทุกคนก็หัวเราะกันอย่างออกรส
“เธอก็แรงนะแวว เป็นฉันคงได้แต่เดินออกมา ไม่กล้าทำแบบนั้น” ชลธิชาบอก
“แรงไม่แรง ก็ดูคุณเอกสิ ถึงกะอึ้งไปเลย” เริงใจแซว
“ไม่หรอกครับ แววเค้าเป็นขาลุยมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว บอกตรงๆ ตอนนั้นผมคิดว่าเค้าเป็นทอมด้วยซ้ำ” เอกรินทร์สารภาพ
แววถามกลับ “แล้วตอนนี้ล่ะ ยังคิดอยู่หรือเปล่า”
“ไม่คิดแล้วครับ แล้วก็ไม่คิดด้วยว่าแววโตขึ้นมาแล้วจะดูดีขนาดนี้”
ชลธิชากับเริงใจถึงกับอึ้งที่เอกรินทร์ชื่นชมแววอย่างออกนอกหน้าเช่นนั้น
“นี่ พูดงี้หมายความว่าแต่ก่อนฉันดูอุบาทว์มากใช่มั้ย” แววสวน
“เปล่าครับ ผมไม่ได้คิดแบบนั้น เอ่อ..แต่ว่าคุณลาออกแบบนี้แล้วคิดจะทำงานอะไรต่อเหรอครับ”
แววรู้สึกหนักใจ “นั่นสิ จะทำอะไรกินล่ะนี่ เงินทองก็ใช่ว่าจะมีเหลือเก็บนะ”
“โอ๊ย...รายนี้ไม่ต้องห่วงเค้าหรอกค่ะ” เริงใจหันไปหาแวว “พวกงานพีอาร์ งานพริตตี้ ที่ไหนก็อยากจะรับเธอ”
“แต่ฉันก็อยากทำงานที่ใช้ความสามารถบ้างอะไรบ้าง ไม่ใช่ต้องใช้ความสวยเสี่ยงกับพวกหัวงู หัวตะเข้แบบนั้น” แววบอก
“แววเป็นคนเก่ง ต้องหางานดีๆ ได้อยู่แล้ว” ชลธิชาพูดแล้วหันไปหาเอกรินทร์ “เอ้อ..แล้วคุณเอกทำงานอะไรอยู่เหรอคะ ถามได้มั้ยเนี่ย”
“คุณก็ถามมาแล้วนี่ครับ ผมเพิ่งกลับมาจากเมืองนอก ก็เลยเพิ่งจะเริ่มต้น คอยติดตามดูงานผมทางทีวีด้วยนะครับ” เอกรินทร์บอก
“อุ๊ยตาย! ออกทีวีด้วยเหรอคะ อย่าบอกนะว่าเป็นดารา” เริงใจแซว
“ผมเป็นคนรายงานข่าวน่ะครับ แล้วก็ต้องทำสกู๊ปข่าวด้วย” เอกรินทร์บอก
“ว้าว..เท่จังเลย” เริงใจชม “แล้วจะเริ่มเมื่อไหร่คะ เอ้อ! หรือเอางี้มั้ย คุณเอกเอาเบอร์โทรฉันไป แล้วพอคุณออกทีวีเมื่อไหร่ ก็โทรมาบอก ฉันจะได้ตามดูไง”
เริงใจพูดพลางเขียนเบอร์โทรยัดใส่มือเอกรินทร์ เอกรินทร์รับไว้ตามมารยาทแต่ไม่ได้ยินดีอะไร แววยิ้มอย่างรู้ทันเพื่อนจึงเอียงไปกระซิบกับชลธิชา
“เนียนตลอดอ่ะยัยเริงใจ”

เพิ่มพงษ์เดินนำสยุมภูว์มาที่ห้องห้องหนึ่งที่ดูสภาพข้างนอกก็คือเรือนเก่าโทรมๆ ที่เข้ากับบรรยากาศร้านขายต้นไม้ทั่วไป
“ห้องนี้แหละครับคุณสยุมภูว์ ที่ผมเตรียมไว้ให้คุณสยุมภูว์ใช้เป็นห้องทำงานลับ สำหรับบริหารงานของทศพลกรุ๊ป ลองเข้ามาดูข้างในสิครับ”
เพิ่มพงษ์เปิดประตูเดินนำเข้าไป สยุมภูว์เดินตาม

สยุมภูว์เดินเข้ามาในห้องแล้วถึงกับตะลึง เพราะเขาเห็นว่าภายในห้องเล็กๆ ห้องนี้ มีอุปกรณ์สำนักงานทันสมัยมากมาย ทั้งคอมพิวเตอร์ทั้งเดสค์ท็อปจอใหญ่โต และโน้ตบุ้ค รวมถึงโทรศัพท์ แฟกซ์ พริ้นเตอร์ โมเด็มฯลฯ
“ไงล่ะคุณสยุมภูว์ อึ้งสิครับ ผมให้คนทำระบบเน็ตเวิร์คคอมพิวเตอร์ไว้แล้ว แถมยังติดตั้งระบบไวไฟ ทรีจี ออนไลน์ได้เร็วปรื๊ด เรียกว่าใช้ที่นี่เป็นศูนย์บัญชาการได้เลยครับ” เพิ่มพงษ์บอก
“สุดยอดจริงๆ นี่น้าเพิ่มเอาเวลาที่ไหนมาตระเตรียมให้ผมได้ขนาดนี้เนี่ย” สยุมภูว์ถาม
“จะยากอะไรล่ะครับ ผมมีลูกน้องอยู่หลายวงการ แล้วข้าวของพวกเนี้ย ผมก็ใช้บัตรเครดิตของคุณสยุมภูว์สั่งซื้อเอา เงินคุณทั้งนั้นแหละครับ”
สยุมภูว์ถึงกับสะอึก
“เราเหนื่อยกันมาเยอะแล้ว ผมว่าเรากลับไปพักผ่อนที่บ้านเช่ากันดีกว่าครับ” เพิ่มพงษ์ชวน

ชลธิชาช่วยพนักงานชายเก็บแก้วบนโต๊ะแล้วเธอก็เหลือบไปเห็นโทรศัพท์มือถือวางเสียบอยู่ตรงเบาะพิงในจุดที่เอกรินทร์นั่งอยู่ก่อนหน้านี้
“ใช่ของคุณเอกรึเปล่า”
ชลธิชาเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา จังหวะเดียวกับที่เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นพอดี ชลธิชาสะดุ้งทำหลุดมือจนโทรศัพท์ตกลงไปที่เบาะหลัง เธอเลยต้องหยิบขึ้นมาอีกครั้ง
ชลธิชากดรับสาย “ฮัลโหล...สวัสดีค่ะ นั่นใครพูดเหรอคะ”

ไลลาอยู่ในชุดสบายๆ แต่เซ็กซี่กำลังนั่งคุยโทรศัพท์อยู่ที่บ้านของเอกรินทร์
“ฉันต่างหากต้องถามว่าเธอเป็นใคร แล้วมารับโทรศัพท์ของนายเอกได้ยังไง”
ชลธิชาพูดโทรศัพท์กลับไป
“ตกลงนี่โทรศัพท์ของคุณเอกใช่มั้ยคะ”
ไลลาโวยใส่ “ก็ใช่น่ะสิยะ เธอเพี้ยนรึเปล่าเนี่ย ตัวเองหยิบโทรศัพท์นายเอกมาใช้ แล้วยังมีหน้ามาย้อนถามฉัน”

ชลธิชาสูดลมหายใจลึกเพื่อข่มอารมณ์ แล้วพยายามตอบกลับไปอย่างสุภาพ
“คุณใจเย็นๆ ก่อนสิคะ คือว่าคุณเอกเค้าลืมโทรศัพท์ไว้น่ะค่ะ ยังไงฝากบอกเค้าว่าฉันจะฝากเพื่อนชื่อแววไปคืนให้แล้วกันนะคะ” ชลธิชากดปุ่มวางหูอย่างเซ็งๆ “แค่นี้ก็ต้องโวยใส่กันด้วย”
เริงใจเดินเข้ามาหาชลธิชา
“มีอะไรเหรอธิชา”
ชลธิชาชูโทรศัพท์ให้ดู “คุณเอกลืมโทรศัพท์ไว้ แล้วมีผู้หญิงโทรเข้ามา โวยวายใส่ฉันใหญ่เลย”
“ลองอีหรอบนี้ คงจะเป็นเมียเค้าโทรมาจิกละมั้ง โถๆๆ หมดกัน พี่มอไซค์สุดเท่ของฉัน” เริงใจเสียดาย
ชลธิชาเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน

ไลลากดวางสายโทรศัพท์อย่างหงุดหงิดแล้วหันไปเจอเอกรินทร์เดินเข้ามาพอดี
“ไปลืมโทรศัพท์ทิ้งไว้ที่ไหนล่ะ” ไลลาถาม
เอกรินทร์จับกระเป๋าตัวเองเพื่อสำรวจ “เฮ้ย! จริงด้วย เธอรู้ได้ไงเนี่ยไลลา”
“ก็ฉันโทรเข้าเครื่องนาย แล้วมีผู้หญิงรับน่ะสิ เค้าบอกจะฝากไว้กับคนชื่อแววน่ะ คนอะไร ชื่อเชยเป็นบ้า”
“ถึงชื่อจะเชย แต่แววเค้าน่ารักมากๆ เลยนะ” เอกรินทร์ชมเปาะ
“เรื่องของเธอ ฉันไม่สน”
“ช่วงนี้ต้องทำงานข่าว ยิ่งจำเป็นจะต้องใช้โทรศัพท์ซะด้วยสิ”
“งั้นก็รีบไปเอาคืนสิยะ ที่ยัยแววอะไรน่ะ แล้วอย่าบอกเค้าล่ะว่านายเป็นพี่ชายฉัน ฉันอายเค้า ยังหนุ่มยังแน่น แต่หลงๆ ลืมๆ เหมือนคนแก่”
“แต่ถ้าเธอยังบ่นไม่หยุดแบบนี้ ฉันว่าเธอนั่นแหละที่เหมือนคนแก่”
“คนแก่ที่ไหนจะสวยเริ่ดแบบฉันยะ” ไลลากวักมือไล่ “รีบไปเลยปะ รำคาญ แล้วก็กินปลาบ้างนะ สมองจะได้ไม่หลงๆ ลืมๆ”
เอกรินทร์ส่ายหน้าเซ็งๆ กับน้องสาวของตัวเองที่เป็นคู่กัดประจำบ้านไปแล้ว

รถแท็กซี่แล่นมาจอดหน้าบ้านเช่าแห่งหนึ่ง สยุมภูว์กับเพิ่มพงษ์เดินลงมาจากรถ เพิ่มพงษ์เดินไปหยิบกระเป๋าที่ท้ายรถ ส่วนสยุมภูว์มองไปที่ตัวบ้าน
“บ้านน่าอยู่ดีนะ” สยุมภูว์เอ่ยขึ้น
เพิ่มพงษ์ง่วนกับการมุดท้ายรถเพื่อขนกระเป๋าแต่ก็พูดออกมา “เห็นมั้ยล่ะครับ ผมว่าแล้ว คุณสยุมภูว์ต้องชอบ เพราะถ้าไม่ชอบ ผมเจอด่าตายแน่ๆ เพราะผมเอาเงินคุณสยุมภูว์วางมัดจำเค้าไปแล้วตั้งสามเดือน” เพิ่มพงษ์เงยหน้ามาแตไม่เห็นเจ้านายตัวเองแล้ว “อ้าว...หายไปไหนแล้วล่ะ”
เพิ่มพงษ์มองไปไม่เจอใคร เขาพยักหน้าให้คนขับแท็กซี่ขึ้นรถขับออกไป แล้วเขาก็หิ้วกระเป๋าใบโตสองใบเดินแบกตรงเข้ารั้วบ้านไปอย่างทุลักทุเล

สยุมภูว์เดินเข้ามามองสำรวจบ้านของแววที่อยู่ติดกับบ้านเช่าของเพิ่มพงษ์ด้วยความเข้าใจผิดคิดว่าเป็นบ้านของเพิ่มพงษ์ เขาเดินมาถึงบันไดแล้วเงยหน้ามองขึ้นไป
“ขอล้างหน้าล้างตาก่อนหละ”
สยุมภูว์เดินขึ้นบันไดบ้านไป

สยุมภูว์เดินมาเห็นประตูที่เขาแน่ใจว่าเป็นประตูห้องน้ำ เขาก็จัดแจงถอดแว่นตาแล้วพับเหน็บใส่กระเป๋าเสื้อไว้ สยุมภูว์เดินมาที่ประตูห้องน้ำแล้วเอื้อมมือจะเปิดประตู แต่ก็ต้องแปลกใจที่พบว่าประตูล็อก
“อ้าว...ล็อคห้องน้ำไว้เหรอ” สยุมภูว์หันไปเรียกเสียงดัง “น้าเพิ่ม เอากุญแจห้องน้ำให้ผมหน่อย” สยุมภูว์หันกลับมาแล้วก็ต้องตกใจ
สยุมภูว์เห็นแววที่นุ่งผ้าเช็ดตัวกระโจมอกเปิดประตูห้องน้ำออกมา ทั้งสองยืนประจัญหน้ากัน ต่างคนต่างตะลึงงันและนิ่งกันอยู่อึดใจ แล้วแววจึงกรีดร้องขึ้น
“กรี๊ดด!!!”
“เฮ้ย...คุณเป็นใครน่ะ” สยุมภูว์ถาม
แววรีบหลบเข้าห้องน้ำแล้วปิดประตูเสียงดังโครมทันที

แววใช้สองมือดึงประตูไว้แน่นด้วยความกลัว
“ออกไปเดี๋ยวนี้นะไอ้โรคจิต”
สยุมภูว์ยืนงงๆ อยู่ที่หน้าประตูห้องน้ำ
“อะไรเนี่ย หรือว่าน้าเพิ่มแอบพาผู้หญิงเข้าบ้าน”
แววที่อยู่ในห้องน้ำหันไปมองที่อุปกรณ์ต่างๆ ในห้องน้ำ ทั้งขวดแชมพู ขวดครีมนวด ขวดน้ำยาบ้วนปาก ขวดโลชั่น ไม้ดูดส้วม ไม้ขัดส้วม ฯลฯ
แววมีสีหน้าพร้อมรบและมีท่าทางเอาเรื่อง

สยุมภูว์ยังคงยืนงง เก้ๆ กังๆ อยู่หน้าประตูห้องน้ำ สักพักเขาก็หันไปตะโกนเรียกหาน้าเพิ่ม
“น้าเพิ่ม...มาช่วยเคลียร์ทางนี้หน่อยซิ”
พอสยุมภูว์หันกลับมา เขาก็เจอทั้งขวดแชมพู ขวดครีมนวด ขวดน้ำยาบ้วนปาก ขวดโลชั่น ไม้ดูดส้วม ไม้ขัดส้วม ปลิวมาใส่จนต้องเอามือปัดป้องเป็นพัลวัน
“ไอ้บ้า ไอ้จิตทราม ออกไปเดี๋ยวนี้...ออกไป” แววด่าเป็นชุด
“โอ๊ย...เฮ้ย...หยุดก่อน โอ๊ย!”

เพิ่มพงษ์ที่อยู่หน้าบ้านเช่าของเขาพยายามเงี่ยหูฟัง เพราะได้ยินเสียงร้องเอะอะลอยแว่วมา
“เสียงอะไรแว่วๆ จากข้างบ้านวะ”
อ่านต่อหน้าที่ 3




แวว ตอนทีั่ 1 (ต่อ)

สยุมภูว์เจอขวดแชมพูปาใส่หน้า แววยังจะใช้ไม้ดูดส้วมปักเข้าหน้าสยุมภูว์ จนเขาต้องปัดป้องเป็นพัลวัน
“ออกไปจากบ้านฉันนะ ไอ้โรคจิต”
“โอ๊ย! คุณ! อย่า! ฟังผมก่อน ผมไม่ใช่..โอ๊ย!” สยุมภูว์พยายามปัดป้อง
“คิดจะข่มเหงฉันเหรอ ไอ้บ้ากาม แกเล่นผิดคนแล้วงานนี้”
พูดจบแววก็เอาไม้ดูดส้วมพุ่งครอบไปที่เป้ากางเกงของสยุมภูว์เต็มๆ สยุมภูว์ถึงกับตัวงอในสภาพที่มีไม้ดูดส้วมติดอยู่ตรงเป้า
“เฮ้ย!!”
สยุมภูว์กลั้นใจใช้สองมือกำไม้ดูดส้วมดึงออกจากเป้ากางเกงจนได้ยินเสียงดัง“ป๊อบ!!” เหมือนเปิดฝาจุก
“อ๊าก!” สยุมภูว์ร้องลั่น

สยุมภูว์วิ่งตะลีตะเหลือกหนีกระโดดลงบันไดบ้านแบบไม่คิดชีวิต
“ไม่คิดจะฟังกันบ้างเล๊ย...”

ประตูบ้านแววถูกเปิดผัวะออกโดยสยุมภูว์ที่พรวดพราดวิ่งหนีออกมา
“แล้วน้าเพิ่มหายไปไหน” สยุมภูว์ร้องเรียก
สยุมภูว์วิ่งลนลานมาเปิดรั้ว แต่เขามัวแต่ก้มมองรั้ว พอวิ่งออกไปก็ชนเข้ากับเอกรินทร์อย่างจัง
“โอ๊ย!” สยุมภูว์กุมใบหน้า
“ขอโทษครับ เป็นอะไรรึเปล่าคุณ แต่จริงๆ แล้วคุณก็วิ่งมาชนผมเอง” เอกรินทร์บอก
แววในชุดกระโจมอกมีผ้าคลุมปิดไหล่ไว้ยืนเกาะขอบประตูแล้วตะโกนออกมา
“จับมันไว้ ไอ้โรคจิตหื่นกาม”
“หา!” เอกรินทร์หันขวับมาจ้องหน้าสยุมภูว์อย่างเอาเรื่อง
สยุมภูว์เอามือที่กุมใบหน้าตัวเองออก พอเห็นเอกรินทร์จ้องอย่างเอาเรื่องเขาก็ตกใจ “เฮ้ย! ผมไม่ใช่...”
พูดยังไม่ทันขาดคำเอกรินทร์ก็เงื้อหมัดสวนเข้าไปเต็มๆ หน้า สยุมภูว์โดนหมัดไปเต็มหน้า เขาเจ็บจนต้องเอามือกุมหน้าแล้วร้องออกมา
“โอ๊ย...นี่จะถามกันก่อนได้มั้ย ผมบอกว่าผมไม่ใช่”
เอกรินทร์หน้าแหยเพราะชักไม่แน่ใจ
เสียงแววดังแว่วมา “แก...”
“แล้วนั่นอะไรอีกล่ะ” สยุมภูว์รำพึง พอหันไปเห็นเขาถึงกับร้องเสียงหลง “เฮ้ย...”
สยมภูว์เห็นแววถือไม้กวาดวิ่งตรงมาทางเขา
“ตาย....” แววร้องเสียงดัง
สยุมภูว์ร้องออกมา “อ๊าก!!...”
แววเงื้อไม้กวาดวิ่งเข้ามาจะหวดสยุมภูว์แต่ก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงเพิ่มพงษ์
“หยู๊ด!!”
เพิ่มพงษ์กำลังเกาะรั้วบ้านที่อยู่ติดกันโผล่หน้าออกมาพูด
“พวกคุณจะทำอะไรหลานผมน่ะ”
แววกับเอกรินทร์ชะงัก
สยุมภูว์ดีใจ “น้าเพิ่ม...อ้าว! แล้วน้าเพิ่มไปอยู่บ้านโน้นได้ยังไง”
“แกต่างหาก ไปอยู่บ้านโน้นได้ยังไง นี่! บ้านเราอยู่หลังนี้”
“เฮ้ย!” สยุมภูว์หันไปมองแววกับเอกรินทร์อย่างเอาเรื่อง
แววกับเอกรินทร์ได้แต่ยิ้มแห้งๆ

เพิ่มพงษ์ยืนหน้าเครียดอยู่ที่หน้ารั้วบ้านระหว่างบ้านของเขากับบ้านแวว ส่วนเอกรินทร์กับแววก็มีสีหน้าเจื่อนลงไป
“เราเพิ่งย้ายเข้ามาวันแรก หลานผมก็เลยเซ่อซ่าเดินเข้าบ้านผิดไป” เพิ่มพงษ์บอก
สยุมภูว์หันมาค้อนเพิ่มพงษ์ เพิ่มพงษ์เห็นเข้าก็สะดุ้งแต่ก็พูดต่อ
“ยังไงผมก็ขอโทษด้วยนะครับ แต่จะว่าไป” เพิ่มพงษ์หันไปมองสยุมภูว์ที่ยังยืนกุมหน้าอยู่ “ไม่ต้องขอโทษก็ได้มั้ง...เล่นซะยับเลย”
เอกรินทร์พูดกับสยุมภูว์ “ผมต้องขอโทษจริงๆ ผมผิดเองที่คิดว่าคุณเป็นพวกโรคจิต ก็เลยชกออกไปตามสัญชาตญาณ”
“สัญชาตญาณคุณนี่หนักเอาเรื่องเลยนะ” สยุมภูว์กุมใบหน้า
“อย่าโกรธผมเลยนะครับ ผมขอโทษจริงๆ คุณ...คุณชื่ออะไรเหรอครับ” เอกรินทร์ถาม
สยุมภูว์ตอบออกมาด้วยความเคยชิน “ผมชื่อสยุม..”
เพิ่มพงษ์รีบแทรกขึ้น “คือหลานผมคนเนี้ย มันชื่อว่า....” เพิ่มพงษ์พยายามนึก เขาเหลือบมองไปที่จักรยานคันหนึ่งจอดพิงบ้านของแววอยู่
“ชื่อจักร”
สยุมภูว์หันขวับมามองหน้าเพิ่มพงษ์ “ห๊ะ??!”
“นายจักร กังวาลไกร เป็นหลานของผม..เพิ่มพงษ์ กังวาลไกร หรือจะเรียกผมว่าน้าเพิ่มก็ได้”
เอกรินทร์ยกมือไหว้ “สวัสดีครับน้าเพิ่ม”
แววยกมือไหว้ตาม “ยินดีต้อนรับนะคะ ต่อไปนี้คงได้เป็นเพื่อนบ้านกัน”
“ใครจะอยากเป็นเพื่อนบ้านกับเธอ ทำซะขนาดนี้ ขอโทษกันซักคำก็ไม่มี” สยุมภูว์บ่น
“ทำไมฉันต้องขอโทษด้วย นายนั่นแหละที่เซ่อซ่าเฟอะฟะเดินเข้ามาในบ้านฉันเอง” แววสวนกลับ
“อ๊าว...นอกจากจะไม่ขอโทษแล้วยังจะพูดจาแบบนี้อีก”
“ก็พูดแบบเนี้ย แล้วจะทำไม”
“แวว...ขอโทษเค้าไปเถอะ” เอกรินทร์พูด “คุณจักรเค้าก็โดนไปหลายขนานแล้วนะ”
“แค่นี้ยังน้อยไป ถ้าฉันมีปืน ป่านนี้นายโดนยิงไส้แตกไปแล้ว” แววบอก
“แวว ไม่เอาน่า” เอกรินทร์ปราม
“ก็จริงมั้ยล่ะเอก ฉันเพิ่งอาบน้ำออกมาก็เจอไอ้หมอนี่อยู่ในบ้าน ไปโรงพักหรือไปขึ้นศาลที่ไหน ฉันก็เป็นฝ่ายถูกอยู่แล้ว”
“มันไม่ใช่เรื่องใครถูกใครผิด แต่การขอโทษเนี่ย มันเป็นเรื่องของมารยาท” สยุมภูว์บอก
“นี่นายว่าฉันไม่มีมารยาทเหรอ” แววฉุน
“ก็ฉันพูดอยู่กับใครล่ะ ฉันก็ว่าเธอน่ะสิ”
“นี่นายจะเอายังไงกับฉัน หา?!”
แววทำท่าจะฮึ่มเข้าใส่ เอกรินทร์รีบขวางเอาไว้แล้วหันมาพูดกับสยุมภูว์
“ผมว่าอย่าเพิ่งคุยตอนนี้เลยครับ รอใจเย็นๆ แล้วค่อยมาเคลียร์กันก็ได้”
เพิ่มพงษ์หันมาสั่งสยุมภูว์ “ไป...ไอ้จักร กลับเข้าบ้าน”
สยุมภูว์สะดุ้งแล้วหันขวับไปมองเพิ่มพงษ์อย่างไม่คุ้นหู
เพิ่มพงษ์ดุสยุมภูว์ “ยังจะมัวยืนซื่อบื้ออะไรอยู่ล่ะ ก็บอกให้เข้าบ้าน”
สยุมภูว์เดินเข้าบ้านแต่ยังหันมามองหน้าแววที่เอกรินทร์กำลังดึงให้เข้าบ้านเช่นกัน

จากที่ทำมาดเข้มดุใส่สยุมภูว์เมื่อครู่ เมื่อเข้ามาในบ้านเพิ่มพงษ์ก็ทำเสียงอ่อนยกมือไหว้สยุมภูว์อย่างนอบน้อม
“ผมขอโทษครับคุณสยุมภูว์ คือเราจำเป็นจะต้องพรางตัว ผมก็เลยต้องตวาดคุณแบบน้าดุหลาน มันจะได้แนบเนียนน่ะครับ”
“ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ข้องใจอยู่เรื่องเดียว ไม่มีชื่อที่ดีกว่านี้แล้วเหรอ ตกลงต่อไปนี้ผมต้องชื่อนายจักรใช่มั้ย”
“เอ่อ...ครับ แถมนามสกุลเดียวกับผมซะด้วย”
“จักร กังวาลไกร เฮ่อ..จะตั้งชื่ออะไรไม่ปรึกษากันบ้างเล๊ย” สยุมภูว์เซ็ง
สยุมภูว์หยิบแว่นตาขึ้นมาจะสวม แต่เพิ่มพงษ์ยกมือปราม
“ผมว่าถ้าจะพรางตัวให้แนบเนียนขึ้น ต่อไปนี้ คุณสยุมภูว์ควรจะเลิกสวมแว่นตาซะ แล้วการแต่งตัว ก็ให้สมกับอยู่ในร้านขายต้นไม้หน่อย”
“ได้...ให้สมกับที่เปลี่ยนชื่อจากสยุมภูว์ เป็น นายจักร ด้วยใช่มั้ย”
“ยังไม่พอนะครับคุณ ผมว่าคุณต้องเปลี่ยนคาแรกเตอร์ และการพูดจาด้วย แบบตอนที่คุณเถียงกับยัยข้างบ้านเมื่อกี้น่ะครับ ใช่เลย!” เพิ่มพงษ์บอก
“ได้ครับน้าเพิ่ม จะให้ทำยังไงบ้าง ก็สั่งหลานจักรมาได้เลย...แหม..พอได้สวมบทบาทเป็นน้าผมหน่อยหละก็ สั่งใหญ่เลยนะ”
เพิ่มพงษ์ยิ้มเจื่อนๆ “เอ่อ...ที่ผมทำไปทั้งหมดก็เพื่อความปลอดภัยของคุณสยุมภูว์นะครับ”
“เรียกผมให้ถูกสิน้าเพิ่ม ผมชื่อจักร ต่างหาก”
เพิ่มพงษ์พูดด้วยเสียงนอบน้อม “ได้ครับคุณสยุมภูว์” แล้วเขาก็เปลี่ยนมาตวาดแบบข่มๆ “ไอ้จักร แกรีบไปอาบน้ำอาบท่าซะไป๊”
สยุมภูว์พยักหน้าแล้วเหล่มองทีเล่นทีจริง เพิ่มพงษ์รู้สึกตัวจึงหลบตาอย่างเกรงใจ

นิติธรคุยโทรศัพท์กับตำรวจอยู่ในห้องรับแขกที่บ้าน
“ครับท่าน แค่ท่านตามเรื่องให้ ผมก็ไม่รู้จะขอบคุณท่านยังไง ขอบคุณมากนะครับ”
นิติธรวางหูด้วยสีหน้าที่ยังเป็นกังวล นิติภูมิกำลังจะออกจากบ้านจึงเดินผ่านนิติธรไป
“แกได้ข่าวคุณสยุมภูว์บ้างหรือเปล่า” นิติธรถามขึ้น
“พ่อห่วงเขาอย่างกับลูกตัวเองเลยนะ ถ้าผมหายไปบ้างพ่อจะเป็นเดือดเป็นร้อนอย่างนี้หรือเปล่า” นิติภูมิแขวะ
“เลิกนิสัยขี้น้อยใจแบบเด็กๆซะทีเถอะ แกโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว”
“ผมจะทำอะไร พ่อก็หาเรื่องด่าผมได้ทั้งนั้นล่ะ ผมไม่ได้ดีเลิศในสายตาพ่ออย่างลูกชายเจ้านายพ่อนี่”
นิติธรไม่ต่อปากต่อคำ ส่วนนิติภูมิมองหน้าผู้เป็นพ่อราวกับท้าทาย
“ผมไม่อยากทำให้พ่อเสียใจนะ ในเมื่อพ่ออยากให้ผมช่วยตามหาสยุมภูว์ ผมก็จะช่วย...”
นิติภูมิเดินจากไปเมื่อทิ้งระยะห่างจากนิติธร นิติภูมิก็พูดกับตัวเองเบาๆ
“ฉันจะช่วยตามหาแกให้เจอ แล้วก็จะสงเคราะห์ให้แกลงนรกไปเร็วๆไง..ไอ้สยุมภูว์”

แววพูดพลางยกน้ำเปล่ามาให้เอกรินทร์ที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้รับแขกในบ้านของเธอ
“สงสัยคุณคงมาเสียเที่ยวแล้วหละ มือถือคุณที่ลืมไว้ในร้านกาแฟน่ะ ยัยธิชาเก็บไว้ให้แล้ว แต่เค้าจะเอามาให้ฉันที่นี่คืนนี้น่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ งั้นเดี๋ยวผมแวะไปที่ร้านกาแฟอีกทีก็ได้”
“แวะไปเถอะค่ะ สาวๆ ที่นั่นคงจะแฮปปี้ถ้าคุณจะแวะไปบ่อยๆ” แววแซว
“แล้วสาวที่นี่ล่ะจะแฮปปี้มั้ย ถ้าผมแวะมานี่บ่อยๆ”
แววผงะไปเล็กน้อย เอกรินทร์ยกน้ำขึ้นดื่ม
แววพูดดักคออย่างรู้ทัน “พูดงี้นี่จะจีบฉันเหรอ”
ได้ยินเช่นนั้น เอกรินทร์ที่กำลังยกแก้วน้ำขึ้นดื่มถึงกับสำลักน้ำจนหกรดเสื้อผ้า
“ถึงกับสำลักเลยนะ มา...ฉันเช็ดให้” แววบอก
แววหยิบทิชชู่มาจะซับน้ำที่เลอะตรงอกเสื้อให้เอกรินทร์
จังหวะนั้น มาลีตี วัณณรี และโรสเดินถือถุงช้อปปิ้งเต็มสองมือเข้ามาเห็นพอดี
มาลตีทักขึ้น “ทำอะไรกันน่ะ”
แววได้ยินเสียงแม่ก็สะดุ้งโหยงรีบผละออกมาจากเอกรินทร์ทันที
“เปล่านะแม่ คือแววแค่จะเอาทิชชู่ซับน้ำ....”
“พอๆๆ ไม่ต้องอธิบาย” มาลตีบอก “แววก็ทำงานรับผิดชอบตัวเองได้แล้ว เรื่องแค่นี้ แม่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นคนหัวโบราณ”
“แม่...ไปกันใหญ่แล้ว นี่เพื่อนสมัยเด็กของแววเอง” แววอธิบาย
เอกรินทร์ยืนขึ้นยกมือไหว้ “สวัสดีครับคุณแม่ ผมชื่อเอกครับ”
“อุ๊ยตาย..แหม พอยืนขึ้นมาแล้วสูงสมาร์ทเชียวนะ” มาลตีประทับใจ
เอกรินทร์ยิ้มรับ วัณณรีเดินเข้ามาหาด้วยท่าทางถูกอกถูกใจหนุ่มคนนี้
“พี่...มอเตอร์ไซค์ที่หน้าบ้านนี่ของพี่ใช่มั้ย เท่ชะมัดเลยอ่ะ ไว้ขอนั่งซ้อนท้ายบ้างได้ป่ะ”แววเสียงดุ “ยัยวัณ”
แววทำท่าทางอ่อนอกอ่อนใจ เธอหันไปมองเอกรินทร์ เอกรินทร์ยิ้มให้เพราะเห็นว่าไม่ซีเรียสอะไร

แววเดินออกมาส่งเอกรินทร์ที่มอเตอร์ไซค์ของเอกรินทร์ซึ่งจอดอยู่หน้าบ้านของเธอ
“โทษทีนะ ครอบครัวฉันไม่มีผู้ชายมาเป็นสิบปีแล้ว ตั้งแต่พ่อเสียไป แม่กับน้องก็เลยดูจะเยอะๆ ไปนิดที่ฉันพาผู้ชายเข้าบ้านเป็นครั้งแรก” แววอธิบาย
“ถามจริง คุณไม่เคยพาเพื่อนผู้ชายเข้าบ้านเลยเหรอ”
“อื้อ..”
“แล้ว...แฟนล่ะ”
“ฉันเคยมีแฟนที่ไหนล่ะ วันๆ ต้องทำงานหาเงินอยู่งกๆ พอมีเวลาว่างก็ขลุกอยู่แต่กับกลุ่มเพื่อนที่คุณเจอที่ร้านกาแฟน่ะแหละ” แววบอก
“อืม...ก็เกาะกลุ่มกันซะเหนียวแน่นแบบนี้ หนุ่มที่ไหนจะกล้าเข้ามาจีบ” เอกรินทร์แซว
“แต่ถ้าต้องแยกจากเพื่อนสองคนนี้ ฉันยอมโสดตลอดชาติดีกว่า”
เอกรินทร์ขึ้นคร่อมบนอานมอเตอร์ไซค์ แล้วใส่หมวกกันน็อค “งั้นผมไปร้านกาแฟก่อนนะยินดีที่ได้เป็นผู้ชายคนแรกที่เข้าบ้านนี้”
“อันที่จริงคุณก็ไม่ใช่คนแรกหรอกนะ”
เอกรินทร์รู้สึกผิดหวัง “อ้าว...”
แววยิ้มแล้วชี้ไปทางบ้านของเพิ่มพงษ์ “คนแรกคืออีตาบ๊องที่เข้าบ้านผิดตะกี้ไง”
“อ้อ” จากที่จ๋อยเอกรินทร์ก็เปลี่ยนเป็นยิ้มกว้างทันที

ศักดากับนิติภูมิยืนอยู่ที่โป๊ะของท่าน้ำร้างแห่งหนึ่ง นิติภูมิหยิบรูปถ่ายในซองเอกสารออกมาดู เขาพลิกดูแต่ละรูปอย่างหัวเสีย
“ผมกระจายภาพพวกนี้ให้ลูกน้องไปช่วยกันตามหาแล้วครับ” ศักดาเอ่ย “คุณนิติภูมิ แต่ว่า”
นิติภูมิพูดสวนออกมา “ยังไม่ได้เรื่อง..ก็เพราะรูปที่แกถ่ายมาทั้งหมดเนี่ย ไม่มีรูปไหนที่เห็นหน้ามันชัดๆ สักรูปแล้วมันจะตามหาไอ้สยุมภูว์เจอได้ยังไง..ฉันจะไว้ใจแกต่อไปได้ยังไงเนี่ย”
“ถึงจะไม่เห็นหน้าไอ้สยุมภูว์ แต่รูปของนายเพิ่มพงษ์ก็ชัดพอที่จะตามได้นะครับ”
นิติภูมิดูรูปอีกครั้ง เขาเห็นหน้าของเพิ่มพงษ์อย่างชัดเจนจึงเริ่มยิ้มออก
“สองคนนี้มันตัวติดกัน เจอมันที่ไหนก็เจอนายสยุมภูว์ที่นั่น” ศักดาบอก
“จริงของแก..แกให้ลูกน้องตามหามันต่อไป..ฉันจะลองใช้วิธีอื่น”
“วิธีไหนหรือครับ คุณนิติภูมิ” ศักดาถาม
“ฉันจะล่อให้มันปรากฏตัวออกมาเอง”
“จะใช้อะไรล่อให้มันออกมาล่ะครับ”
“นั่นล่ะ..ที่ฉันหนักใจ แต่มันต้องมีวิธีหนึ่งล่ะ”
พูดจบนิติภูมิก็ทำท่าทางครุ่นคิดอย่างหนัก

สยุมภูว์ซึ่งยังอยู่ในชุดเดิมเปิดประตูห้องนอนของตัวเองในบ้านเช่าเพิ่งพงษ์แล้วเดินงุดๆ ก้มหน้าเข้ามาด้วยท่าทางเหนื่อยล้าเพราะอยากพักผ่อนเต็มที่ เขาเดินมาทรุดนั่งที่ขอบเตียง แล้วทิ้งตัวกางแขนนอนแผ่หรา
“เฮ่อ...หมดเรื่องหมดราวซะทีวันนี้”
สยุมภูว์นอนหงายมองเพดานสักพักแล้วก็หันตะแคงมา เขาเห็นผ้าห่มยับๆ ย่นๆ มีหน้าของแจ๊คที่โผล่ออกมามองเขาด้วยตาปรือๆ
ทั้งสยุมภูว์และแจ็คต่างก็ตกใจสุดตัว “เฮ้ยย!!!”
สยุมภูว์กระโดดถอยมานั่งอยู่ริมเตียง แจ็คก็ผุดลุกขึ้นโดยที่ผ้าห่มยังคลุมศีรษะ อารามตกใจสยุมภูว์เลยยันเท้าไปเต็มท้องของแจ็ค จนแจ๊คตกเตียงไปเหลือแต่ปลายเท้าสองข้างโผล่พ้นขอบเตียงขึ้นมา
เพิ่มพงษ์เปิดประตูเข้ามาด้วยอาการตื่นตกใจ
“เกิดอะไรขึ้น...” เพิ่มพงษ์ชะเง้อไปที่ขอบเตียง
แจ็คค่อยๆ เอื้อมมือขึ้นมาจับขอบเตียง แล้วโผล่หน้าที่ยังบูดเบี้ยวเพราะจุกขึ้นมาช้าๆ
“อ้าว! ไอ้แจ็ค” เพิ่มพงษ์เอ่ย
สยุมภูว์งง เขาหันมองเพิ่มพงษ์เป็นเชิงถาม “ไอ้แจ็ค?”
เพิ่มพงษ์บอกด้วยน้ำเสียงสุภาพ “อ๋อ...ไอ้แจ็คมันเป็นญาติห่างๆ ของผมเอง” เพิ่มพงษ์นึกขึ้นได้ รีบทำเสียงดุแล้วพูดต่อ “ฉันเอามันช่วยทำความสะอาดบ้าน แล้วก็ช่วยงานที่ร้านต้นไม้น่ะ” เพิ่มพงษ์หันไปที่แจ็ค “ไอ้แจ็ค นี่ไอ้จักร ลูกพี่แก”
“หวัดดีครับพี่จักร” แจ๊คพูดโดยที่ยังกุมท้อง “เจอครั้งแรกก็เอาซะจุกเลยนะลูกพี่”
สยุมภูว์รีบสวมบทจักร “โทษที ฉันไม่แน่ใจว่าผีหรือคน ก็เลยใส่ไปก่อน”
“ผีอะไรเล่า ผมเป็นญาติหน้าเพิ่ม หน้าตาก็เหมือนน้าเพิ่มน่ะแหละ” แจ๊คว่า
“ไอ้แจ็ค มันจะลามปามเกินไปแล้ว ตระกูลเราน่ะมีแต่หน้าตาดีๆ อย่างฉันงี้” เพิ่มพงษ์เอาใบหน้ามาเทียบข้างๆ สยุมภูว์ “อย่างไอ้จักรงี้...มีก็แต่แกแหละที่เป็นหลุมดำของวงศ์ตระกูล ไปไกลๆ เลยไป๊ ห้องนอนแกน่ะห้องเล็กๆ ข้างหลังโน่น ขี้เหร่แล้วยังอยากนอนเตียง”
แจ็คเดินจะออกจากห้อง แต่ตอนเดินผ่านเขายังเอาหน้ามาเทียบโดยเรียงจากตัวเอง เพิ่มพงษ์ และสยุมภูว์
“ตระกูลเดียวกันจริงเหรอเนี่ย” แจ๊คบ่นเบาๆ พลางเดินออกไป “ต้องมีคนนึงถูกเก็บมาเลี้ยงแน่ๆ”

ชลธิชายืนอยู่ที่เคาน์เตอร์ร้านกาแฟ พนักงานคนหนึ่งยื่นใบตอกบัตรให้เธอเซ็น ชลธิชาเซ็นแต่พอเหลือบเห็นลูกค้าเดินเข้ามาก็พูดทักทายทั้งๆ ที่ยังเซ็นบัตรอยู่
“สวัสดีค่ะ จะรับอะไรดีคะ”
“รับโทรศัพท์มือถือครับ” เอกรินทร์บอก
ชลธิชาสะดุ้ง พอเงยหน้าขึ้นมาเห็นเอกรินทร์เธอก็ยิ้มทักทาย
“อ้าว...คุณเอก”
“ขอโทษทีครับ สำหรับความเซ่อซ่าขี้ลืมของผม..เลยต้องมารบกวนคุณธิชาอีกแล้ว”
ชลธิชายื่นโทรศัพท์มือถือคืนให้เอกรินทร์ที่มานั่งคุยกับเธอที่โต๊ะนั่งในสวนหน้าร้านอันร่มรื่น
“นี่ค่ะ โทรศัพท์คุณเอก”
ขอบคุณมากนะครับ เอ่อ...แล้วยังไงผมต้องขอโทษด้วยที่ไลลาโทรเข้าเครื่องผมแล้วพูดจากับคุณไม่ค่อยดีเท่าไหร่”
“ไม่เป็นไรค่ะ ลูกผู้หญิงด้วยกันเข้าใจดี เป็นใครก็ต้องโกรธ ถ้าโทรเข้าเครื่องแฟน แล้วดันมีผู้หญิงคนอื่นรับสายแบบนี้”
เอกรินทร์ขำ “เข้าใจผิดแล้วคุณ แฟนอะไร ไลลาเค้าเป็นญาติผม...เป็นลูกคุณป้าผมเองครับ”
ชลธิชาดีใจ แต่พยายามเก็บอาการ “อ้าว..เหรอคะ”
“คุณป้าผมห่วงว่าเค้าเป็นผู้หญิงตัวคนเดียว ก็เลยให้มาอยู่คอนโดห้องติดกับผม ผมเองไม่ค่อยอยู่ห้องก็เลยฝากกุญแจให้เค้าช่วยดูแล ลงท้ายไลลาก็เลยเดินเข้าออกห้องผมได้ตามสบาย”
ทันใดนั้น เริงใจก็เดินเข้ามาสะกิดไหล่เอกรินทร์อย่างอารมณ์ดี
“ว่าไง! มาวันละสองรอบเลยเหรอคะ ติดใจรสชาติกาแฟ หรือติดใจเจ้าของร้าน”
“คือผมลืมโทรศัพท์...” เอกรินทร์บอก
เริงใจพูดแทรกขึ้น “รู้แล้วค่ะ ไม่ต้องเล่า แล้วคุณเอกเคลียร์กับที่บ้านรึยัง ที่เค้าโทรมาวีน”
“เริงใจ ที่โทรมาน่ะญาติคุณเอกเค้า” ชลธิชาอธิบาย
“อ้าว..เหรอคะ นี่คุณ! ได้โทรศัพท์คืนแล้ว ก็คงไม่แวะมานี่อีกสิ” เริงใจแซว
“ไม่หรอกครับ ผมก็คงได้เจอแววกับพวกคุณอีกบ่อยๆ นี่ผมว่าจะลองถามพี่ๆ นักข่าวช่วยหางานให้คุณแววเค้าด้วย”
“ถ้าได้อย่างงั้นก็ดีเลยค่ะ ต้องขอบคุณแทนยัยแววด้วยนะคะ” ชลธิชาบอก
“ไม่ต้องขอบคุณอะไรหรอกครับ ก็เพื่อนๆ กันทั้งนั้น”
เริงใจแตะไหล่ตีซี้เอกรินทร์ทันที “ใช่...งั้นต่อไปนี้ พวกเราเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันแล้วนะ”
เริงใจยื่นมือมากลางวง แต่อีกสองคนยังทำหน้างงๆ
“ต้องจับมือด้วยเหรอ” ชลธิชาถาม
“เร็วสิ..” เริงใจหันไปบอกเอกรินทร์ “คุณก็ด้วย!”
ชลธิชากับเอกรินทร์จับมือกันอย่างเขินๆ แต่เริงใจยิ้มร่าเริงโดยไม่ได้แสดงอาการขัดเขินแต่อย่างใด

วัณณรีกับโรสเดินมาด้อมๆ มองๆ อยู่แถวริมรั้วบ้านตัวเอง ทั้งสองมองลอดไปที่บ้านของเพิ่มพงษ์
โรสพูดเบาๆ”จริงๆ นะคะคุณวัณ ตะกี้โรสเห็น บ้านเนี้ย มีคนนึง หล่อทะลุรั้วมาเลยหละค่ะ”
“วัณก็อยากรู้เหมือนกันว่าไอ้หล่อทะลุรั้วของพี่โรสนี่จะหล่อซักขนาดไหน”
ทันใดนั้นเสียงแววก็ดังขึ้น “ทำอะไรน่ะ”
วัณณรีกับโรสสะดุ้งโหยง ทั้งสองหันไปเห็นแววเดินเข้ามาหา
วัณณรีรีบเอานิ้วจุ๊ปาก “ชู่ว!.. อย่าเสียงดังสิพี่แวว พี่เห็นเค้าแล้วใช่มั้ย คนข้างบ้านที่เพิ่งย้ายมาน่ะ เห็นพี่โรสบอกว่าหล่อมากก...”
“อีตาเฟอะฟะนั่นน่ะเหรอ” แววถาม
วัณณรีเอานิ้วจุ๊ปาก “ชู่วว...”
วัณณรีเงี่ยหูฟังเสียงของข้างบ้านจึงได้ยินเสียงของจักรกับแจ็คคุยกันเสียงดังออกมาจากในบ้าน
“พี่จักร จะให้ผมทำให้จริงๆ อ่ะ” เสียงแจ๊คถามดังออกมา
“เออสิวะ เร็ว” เสียงสยุมภูว์ตอบ
“จะดีเหรอพี่ ผมไม่เคยทำมาก่อนเลยนะ”
วัณณรี โรส และแววหันมามองหน้ากันเพราะชักเอะใจกับบทสนทนาที่ได้ยิน
“ก็ลองทำซะสิ จะได้มีครั้งแรก”
“แต่มันเสียวอ่ะพี่”
วัณณรี โรส และแววตาเหลือกด้วยความตกใจ
“อย่าลีลาได้มั้ย ก็ดันๆ เข้าไปสิ…ดันเข้าไปลึกๆ” เสียงสยุมภูว์ดังออกมา
วัณณรี โรส และแววยิ่งเหวอขึ้นไปอีก ทั้งสามร้องออกมาพร้อมกัน “เฮ่ย!.”
“ผมกลัวโดนดูด” เสียงแจ๊คดังออกมา
แววเหลืออดจึงรีบเอามืออุดหูวัณณรีแล้วตะโกนข้ามรั้วไปในบ้านของเพิ่มพงษ์
“นี่! จะทำอะไรบัดสี ก็เสียงเบาหน่อยได้มั้ย เกรงใจเพื่อนบ้านบ้าง”

แจ็คยืนอยู่บนบันไดเล็กๆ เพื่อเปลี่ยนหลอดไฟ โดยมีสยุมภูว์ยืนกำกับอยู่บนพื้น
สยุมภูว์เงี่ยหูฟัง “ข้างบ้านเค้าโวยวายอะไรกัน” สยุมภูว์เงยหน้าไปพูดกับแจ็ค “บอกให้ดันเข้าไปลึกๆ”
“ก็ผมเสียวโดนไฟดูด”
เสียงแววตะโกนด่าดังแว่วมา “หน้าไม่อาย ไอ้ทุเรศ”
“เฮ้ยๆ เงียบก่อนซิ” สยุมภูว์เงี่ยหูฟัง “ไอ้แจ็ค เมื่อกี้แกได้ยินอย่างที่ฉันได้ยินมั้ย”
อ่านต่อหน้าที่ 4




แววมยุรา ตอนที่ 1 (ต่อ)
สยุมภูว์เดินออกมาจากในบ้าน โดยมีแจ็คเดินตาม ทั้งสองเห็นแวว วัณณรี และโรสยืนอยู่ที่รั้วบ้านด้านที่ติดกับบ้านของพวกเขา วัณณรีและโรสสะกิดกันให้มองสยุมภูว์ แต่แววยืนทำท่าจะเอาเรื่อง
“เกิดอะไรขึ้น” สยุมภูว์เห็นแววตาเขียวก็เข้าใจ “นี่..เมื่อกี้เธอด่าฉันเหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิ ทีหลังถ้านายสองคนจะทำอะไรกันก็ให้มันมิดชิดหน่อย” แววชี้ที่วัณณรี “บ้านนี้มีเด็กผู้หญิงอยู่นะ อุบาทว์ที่สุด”
สยุมภูว์กับแจ็คหันมองมาหน้ากันอย่างงงๆ
สยุมภูว์พูดเบาๆ “อะไรวะ?” เขาหันไปหาแวว “เธอนึกว่าฉันสองคนทำอะไรกันอยู่เหรอ”
“ยังจะมีหน้ามาถาม อายกันเป็นมั้ยเนี่ย น่าเกลียด” แววว่าอีก
“เราเปลี่ยนหลอดไฟกันอยู่...มันน่าเกลียดตรงไหนไม่ทราบ” สยุมภูว์ถามกลับ
“ก็น่าเกลียดตรงที่...ห๊ะ” แววนึกขึ้นได้ “อ้าว!นายเปลี่ยนหลอดไฟอยู่เหรอ”
“อ๋อ...ผมรู้แล้ว” แจ๊คพูดกับสยุมภูว์ “ก็ตะกี้พี่บอกให้ผมดันเข้าไปลึกๆ ไอ้ผมก็บอกพี่ว่าเสียวโดนดูด เค้าก็เลยเข้าใจว่าเราสองคนกำลัง...”
แววรีบสวนขึ้น “พอแล้ว ไม่ต้องพูด”
“อ๋อ...” สยุมภูว์หัวเราะเยาะแวว “เข้าใจแล้ว เธอได้ยินเสียงเราก็เลยคิดลามกไปซะไกล โอ๊ย...คนเราอ่ะนะ จิตใจเป็นยังไงก็คิดออกมาอย่างงั้น”
แววฉุน “นายว่าฉันลามกเหรอ”
“ก็จริงมั้ยล่ะ คนเค้าเปลี่ยนหลอดไฟ ก็ดันฟังเป็นว่าเค้าทำอะไรลามก”
แววหน้าเจื่อนเพราะเสียฟอร์ม “ทำไม ฉันฟังผิดเอง แล้วมีอะไรมะ”
“หน้าแตกเป็นริ้วเลยสิ” สยุมภูว์เชิดหน้ากอดอกแล้วยืนรอ “งั้นก็เร็ว...มา...เดี๋ยวฉันจะรีบเข้าบ้านแล้ว”
แววงง “อะไร?”
สยุมภูว์ยังเชิดหน้าอยู่ “รีบขอโทษฉันมา”
“ฝันไปเหอะ ใครบอกเหรอว่าจะขอโทษนาย”
สยุมภูว์หันมามองหน้าแวว “เธอนี่เกิดมาเคยยอมรับผิด แล้วก็ขอโทษใครบ้างมั้ย”
“เคยสิ แต่กับนาย ขอบอกว่าไม่มีวัน”
สยุมภูว์หันไปพูดกับแจ็ค “โอย..ไอ้แจ็ค เวรกรรมอะไรของฉันวะ ย้ายบ้านมาก็ดั๊นมาอยู่ติดกับคนนิสัยแบบนี้”
วัณณรีโพล่งขึ้นมา “แต่วัณก็ไม่ได้นิสัยเหมือนพี่แววหรอกนะคะ”
“ยัยวัณ นี่เธออยู่ข้างใครกันแน่” แววถามน้องสาว
โรสพูดกับแจ็ค “เอ่อ..โทษนะจ๊ะ เมื่อกี้ได้ยินว่านายชื่อแจ็คเหรอ”
แจ็คตอบอย่างไม่พอใจ “ใช่! ทำไม หน้าตาเราไม่ควรชื่อแจ็คหรือไง”
“เปล่าจ้ะ ไม่ได้ว่า คือฉันชื่อโรสน่ะ แจ็คกับโรส”
จากที่ไม่พอใจแจ๊คก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้โรสที่ยิ้มอย่างเป็นมิตรให้เขาเช่นกัน
“ยัยโรส! ขึ้นเรือไททานิคไปเลยไป แจ็คกับโรสเนี่ย นี่ไม่มีใครอยู่ข้างฉันเลยใช่มั้ยเนี่ย โธ่วุ้ย!” แววเซ็ง
แววเดินหันกลับเข้าบ้านไปอย่างหงุดหงิด วัณณรีกับโรส ค่อยๆ ขยับตามไป แต่ทั้งสองก็เหลียวมา วัณณรีส่งยิ้มให้สยุมภูว์ โรสส่งยิ้มให้แจ็ค
สยุมภูว์ยิ้มรับตามมารยาท แต่แจ็คยิ้มตอบอย่างหวานเชื่อม

รูปในกรอบที่ตั้งอยู่บนโต๊ะในห้องนอนของชลธิชาเป็นรูปของชลธิชา แวว และเริงใจในชุดนักเรียนมัธยมปลายกำลังยืนเคียงข้างกัน ใบหน้าของทั้งสามในรูปยิ้มแย้มดูสนิทสนม ชลธิชาดูเรียบร้อยสุดยืนอยู่ตรงกลาง ขณะที่แววดูห้าวๆ และเริงใจดูขี้เล่น ทั้งสองต่างก็แอบเอามือต่อเขาให้ชลธิชา เริงใจแลบลิ้นอย่างทะเล้นให้กับกล้อง
ชลธิชาในชุดนอนมองดูรูปแล้วยิ้ม เธอเดินมานั่งที่เตียงแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ชลธิชาหันไปพูด
“เข้ามาได้เลยค่ะ”
นุกูล พ่อของชลธิชาอยู่ในชุดนอนเปิดประตูเข้ามาในห้อง
“ตั้งแต่เปิดร้านกาแฟนี่ กว่าพ่อจะได้คุยกับลูกก็ต้องรอดึกๆ แบบนี้หละนะ” นุกูลเดินมานั่งข้างๆ ลูกสาว “เป็นไงบ้าง เหนื่อยมั้ยลูก”
“ไม่หรอกค่ะคุณพ่อ เริงใจช่วยลูกได้เยอะเลย เอ่อ..คุณพ่อคะ คือ..แววเค้าเพิ่งออกจากงาน แต่เค้าต้องรับภาระเยอะ ลูกกลัวเพื่อนเดือดร้อน ก็เลยคิดว่า ถ้าลูกจะชวนแววมาเป็นหุ้นส่วนอีกคนจะได้มั้ยคะ”
“พ่อว่า...ลูกตัดสินใจเองได้เลยนะ ที่พ่อเปิดร้านกาแฟให้เนี่ย ก็เพื่อให้ลูกได้ฝึกบริหารธุรกิจ ฝึกคิด ฝึกตัดสินใจ...”
“แต่ลูกไม่ได้เก่งอย่างคุณพ่อนี่คะ ก็ต้องรบกวนปรึกษาคุณพ่อบ้าง”
นุกูลจับศีรษะลูกสาวอย่างเอ็นดู “แต่กว่าพ่อจะเป็นอย่างนี้ได้ พ่อก็ล้มลุกคลุกคลาน ลองผิดลองถูกมาเยอะ ลูกเองก็ต้องผ่านประสบการณ์แบบนั้นบ้างนะ”
“คุณพ่อยังได้ลองผิดลองถูก แต่ถ้าเป็นลูก กลัวจะลองแต่ผิด ไม่มีถูกเลยน่ะสิคะ”
“ผิดสิดี ลูกเพิ่งเริ่มต้น ก็ผิดซะให้รู้ คิดซะว่า ผิด เป็นครู ที่จะสอนให้เรารู้ทั้งเรื่องธุรกิจ แล้วก็เรื่องชีวิต”
“ค่ะคุณพ่อ แล้วที่บริษัทของคุณพ่อเป็นยังไงบ้างคะตอนนี้ งานยุ่งมั้ยคะ” ชลธิชาถาม
“ก็นิดหน่อยลูก พ่อกำลังจะจัดงานประมูลเครื่องเพชรครั้งใหญ่เลย เอ้อ! ยัยแววเพื่อนลูกเค้าว่างงานอยู่ใช่มั้ย งั้นให้มารับจ็อบเป็นนางแบบในงานนี้มั้ยล่ะ”
“ดีสิคะคุณพ่อ แววต้องดีใจแน่ๆ เดี๋ยวลูกโทรไปบอกแววเค้าดีกว่า”
“งั้นพ่อไปนอนแล้วนะ ราตรีสวัสดิ์ลูก”
นุกูลเอียงแก้มให้ชลธิชาหอมแล้วจับศีรษะชลธิชาคลอนเบาๆ อย่างเอ็นดู ก่อนจะเดินออกจากห้องนอนของลูกสาว

สยุมภูว์นอนหนุนแขนตัวเองอยู่ในห้องที่ปิดไฟมืดสลัว เขาลืมตาโพลงมองเพดานอย่างครุ่นคิดและวิตก
ภาพรถทั้งคันระเบิดไฟลุกท่วมแวบขึ้นในหัว สยุมภูว์สะดุ้งผวาเล็กน้อยเหมือนยังหวาดผวากับเหตุการณ์นั้นอยู่ไม่หาย เขาลุกขึ้นนั่งแล้วทอดถอนใจ สยุมภูว์เอามือก่ายหน้าผากด้วยความสงสัยและหวาดวิตก
“มันเกิดอะไรขึ้นกับเราเนี่ย”

สยุมภูว์เดินถือกระป๋องน้ำอัดลมออกมาจากในบ้าน เขาเดินมานั่งเปิดกระป๋องยกดื่มที่เก้าอี้ใกล้ๆ กับรั้วบ้านฝั่งที่ติดกับบ้านของแวว
สยุมภูว์นั่งทอดถอนใจเพราะคิดถึงเรื่องวุ่นๆ และเรื่องเฉียดตายที่ผ่านมา พลันได้ยินเสียงคนเดินออกมาจากบ้านแวว เขาจึงหันไปมอง
สยุมภูว์เห็นแววเดินพูดโทรศัพท์มือถือออกมาจากตัวบ้าน
“จ้ะ...ฝากบอกคุณพ่อเธอนะว่าฉันขอบคุณมากๆ ถึงฉันจะเบื่องานที่ต้องใช้แต่หน้าตาไม่ได้ใช้สมองแบบนี้ แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีตังค์ใช้น่ะ”
แววเดินมานั่งพูดใกล้ๆ กับรั้วด้านที่สยุมภูว์นั่งอยู่ สยุมภูว์หันมาฟังแววพูด

ชลธิชานอนคุยโทรศัพท์มือถือกับแววอยู่บนเตียง
“งั้นมาช่วยดูแลร้านกาแฟฉันมั้ยล่ะ แล้วเดี๋ยวฉันแบ่งหุ้นให้ เราจะได้มาอยู่กันเป็นแก๊งค์สามสาวเหมือนสมัยเรียนไง”
“ขอบคุณนะธิชา” แววพูด “ฉันรู้ว่าเธออยากช่วย แต่ฉันไม่รบกวนดีกว่า งานที่ร้านกาแฟ แค่เธอกับเริงใจสองคนก็เอาอยู่แล้ว มีฉันเข้าไป ก็เกะกะเปล่าๆ”
“แล้วเธอไหวเหรอแวว ภาระค่าใช้จ่ายที่บ้านก็หนักอยู่ไม่ใช่เหรอ” ชลธิชาถามด้วยความเป็นห่วง
แววเศร้าลงไปถนัดใจ จนสยุมภูว์ที่ชะเง้อมองอยู่สังเกตเห็นได้
“พูดเรื่องนี้แล้วฉันอยากจะร้องไห้ แม่กับน้องไม่เคยรับรู้เลยว่าฉันเหนื่อยแค่ไหนที่ต้องหาเงินมาใช้จ่ายให้ผ่านไปได้แต่ละเดือน วันนี้นะ เผลอแป๊บเดียว ก็พากันออกไปช็อปปิ้งกลับมาอีกแล้ว”
“เธอน่าจะบอกให้แม่กับน้องช่วยประหยัดบ้างนะ บอกไปสิ ว่าเธอเพิ่งออกจากงาน เผื่อเค้าจะเห็นใจเธอบ้าง” ชลธิชาแนะนำ
“จะบอกทำไม บอกไปแม่กับน้องก็ไม่สบายใจเปล่าๆ”
สยุมภูว์เริ่มรู้สึกเห็นใจแวว
“ก็เธอเป็นซะแบบนี้ ลงท้ายก็เลยต้องลำบากอยู่คนเดียว ทำไมต้องเอาภาระของคนอื่นมาแบกไว้คนเดียวด้วยล่ะแวว”
“คนอื่นที่ไหนล่ะ แม่กับน้องฉันนะ” แววบอก
“ยิ่งเป็นครอบครัวเดียวกัน ก็ยิ่งต้องช่วยกันทำงานหาเงินสิ ให้เธอเหนื่อยอยู่คนเดียวแบบนี้ก็ไม่ไหวนะ”
“ไม่ไหวก็ต้องไหวน่ะธิชา ฉันไม่เกี่ยงหรอกนะ ถ้าจะต้องลำบากเพื่อแม่กับน้อง แต่บางทีเหนื่อยมากๆ มันก็มีท้อๆ อยากระบายออกมาบ้าง ได้บ่นกับเธอแบบนี้ เดี๋ยวฉันก็โอเคแล้วหละ ไม่ต้องห่วงน่ะเพื่อน”
สยุมภูว์มองแววด้วยความรู้สึกอินตามไปกับสิ่งที่ได้ยินและเริ่มนับถือหัวใจผู้หญิงคนนี้
“เธอไหวแน่นะแวว...อย่าลืมว่าเธอยังมีฉันกับเริงใจพร้อมจะช่วยเสมอนะจ๊ะ...จ้า...โอเค งั้นราตรีสวัสดิ์นะ”
ชลธิชากดปุ่มวางหูแล้วลดโทรศัพท์มือถือลง แววตาของเธอเป็นห่วงเพื่อนมากเพราะรู้ดีว่าถึงแววจะลำบากแต่ก็จะฝืนพูดว่าไม่เป็นไรเสมอ
แววถอนใจ แล้วน้ำตาของเธอก็ไหลออกมา แววยกมือปาดน้ำตา แล้วเดินเข้าบ้านไป สยุมภูว์มองตามไปอย่างเห็นใจ

สยุมภูว์มองตามแววไปด้วยความรู้สึกเห็นใจและเป็นห่วง ส่วนเพิ่มพงษ์ก็ยืนมองสยุมภูว์อยู่ที่ตัวบ้าน

สยุมภูว์เดินเข้าบ้านมาเห็นเพิ่มพงษ์ยืนรออยู่อย่างสำรวม สยุมภูว์หยุดชะงัก
“ดูเหมือนคุณสยุมภูว์จะสนใจสาวข้างบ้านคนนี้ซะเหลือเกินนะครับ” เพิ่มพงษ์ทัก
“ไม่ใช่อย่างงั้นน้าเพิ่ม แต่จะว่าไป ผมก็นับถือหัวใจเค้านะ”
“นี่เรากำลังพูดถึงผู้หญิงคนเดียวกับที่เล่นงานคุณสยุมภูว์ซะน่วมอยู่รึเปล่าครับ”
“ใช่...ถึงภายนอกเค้าจะดูห้าวๆ แต่ยังไงเค้าก็คือผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนึงที่ต้องทำงานหาเลี้ยงครอบครัว ยอมลำบากตัวคนเดียว เพื่อให้แม่กับน้องสบาย น้าเพิ่มว่าหัวใจเค้าน่ายกย่องมั้ยล่ะ”
“ถ้าเป็นอย่างที่คุณว่ามา ต้องเรียกว่า หัวใจเธอมันน่ากราบเลยหละครับ คนที่กตัญญู แล้วก็สู้ชีวิตแบบนี้ ยังไงปลายทางก็ต้องเจริญแน่นอนครับ”
เพิ่มพงษ์พูดจบก็จ้องหน้าสยุมภูว์นิ่งเหมือนจับผิด แล้วก็อมยิ้มกลั้นขำแทบไม่อยู่
“มีอะไรเหรอน้าเพิ่ม” สยุมภูว์ถาม
“ผมไม่เคยเห็นคุณสยุมภูว์ชมผู้หญิงคนไหนขนาดนี้มาก่อนเลย หรือว่า...”
“หรือว่าอะไร”
“หรือว่าคุณสยุมภูว์จะหลงเสน่ห์สาวข้างบ้าน เกิร์ล เน็กซ์ ดอร์ คนนี้ซะแล้ว”
“เว่อร์แล้วน้าเพิ่ม” สยุมภูว์หลบตา
“อ๊ะ! แน๊ะๆๆ มีหลบตา ผมรับใช้คุณสยุมภูว์มาร่วมสิบปี แต่ไม่เคยเห็นคุณสยุมภูว์เป็นแบบนี้”
แจ็คเดินงัวเงียเข้ามา อย่างคนเพิ่งตื่นเข้ามาหาทั้งคู่ “ใครชื่อสยุมภูว์เหรอครับ”
เพิ่มพงษ์กับสยุมภูว์สะดุ้งเพราะกลัวความแตก เพิ่มพงษ์รีบแสร้งทำเป็นหงุดหงิดทันที
“ไอ้บ้า ฉันอยู่กะไอ้จักรสองคนตรงเนี้ย สยุมภงสยุมภูว์อะไรของแก”
“แต่...ผมได้ยินน้าเพิ่มพูดว่าสยุมภูว์” แจ๊คเถียง
“ไม่มี๊ นี่แกละเมอ หรือเมายาสีฟัน ไป๊...กลับไปนอนไป ไร้สาระ” เพิ่มพงษ์ไล่
แจ็คชักจะคล้อยตามที่เพิ่มพงษ์พูดแต่ก็ยังลังเลเพราะไม่แน่ใจว่าตัวเองหูแว่วไปเองหรือเปล่า
แจ็คหันเดินกลับไป พลางบ่นกับตัวเอง “สงสัยครึ่งหลับครึ่งตื่นแล้วหูแว่วไปเองมั้ง”
พอแจ็คเดินห่างไป เพิ่มพงษ์ก็ขยับเข้ามาใกล้สยุมภูว์แล้วกระซิบ
“ต่อไปนี้ ถ้าเราไม่ได้คุยธุรกิจการงานจริงจัง ผมขออนุญาตเรียกคุณสยุมภูว์ว่าไอ้จักรไปตลอดได้ไหมครับ”
“ได้เลยครับ ผมว่าเป็นไอ้จักรกะน้าเพิ่มไปตลอดก็ดีเหมือนกัน ขืนให้เปลี่ยนกลับไปกลับมา ผมงงตายเลย”
เพิ่มพงษ์พูดอย่างนอบน้อม “งั้นตกลงตามนี้นะครับ คุณสยุมภูว์” เพิ่มพงษ์นึกได้รีบทำเสียงเข้ม “เอ๊ย! งั้นตามนี้นะไอ้จักร แกจำไว้ให้ดีล่ะ”
สยุมภูว์มองเหล่เพิ่มพงษ์

เช้าวันใหม่ นิติภูมิคิดถึงแผนการที่จะล่อให้สยุภูว์ออกมาอยู่ในห้องสมุดแต่เขาก็ยังคิดอะไรไม่ออกจึงเปิดล็อคเกตดูรูปแม่
นิติภูมิพูดกับตัวเอง “มันต้องมีสักทางสิ”
นิติธรเดินเข้ามาเห็นว่านิติภูมิกำลังนั่งคิดอะไรอยู่
“แกตามเรื่องคุณสยุมภูว์ไปถึงไหนแล้ว” นิติธรเอ่ยถาม
นิติภูมิรู้สึกเบื่อ “พ่อไม่คิดบ้างหรือว่า ที่สองคนนั้นทำตัวลึกลับขนาดนี้ เขาอาจจะไม่อยากให้เราอยากตามหาเขาเจอก็ได้นะ”
“พ่อว่ามันน่าจะเป็นเรื่องความปลอดภัยมากกว่า ถ้าคุณสยุมภูว์ปรากฏตัวออกมาตอนนี้ ไอ้คนที่มันคิดไม่ดีกับคุณสยุมภูว์มันคงจ้องจะซ้ำอยู่แน่ๆ”
นิติภูมิยิ้ม "นั่นสิครับ..ผมน่าจะคิดเรื่องนี้ได้..แต่ถ้าเขาไม่ไว้ใจแม้กระทั่งจะติดต่อพ่อ เขาคงไม่ไว้ใจใครหรอก”
นิติธรนิ่งไป นิติภูมิตอกย้ำ “น่าน้อยใจนะครับที่คนที่เราเทิดทูนไม่ไว้ใจเราขนาดนี้”
“คุณสยุมภูว์ก็คงจะมีเหตุผลของเขา”
นิติภูมิประชด “ผมอยากจะเป็นคนดีๆอย่างพ่อจังเลยครับ”
นิติธรมองลูกชายด้วยท่าทางไม่พอใจก่อนจะเดินออกไป นิติภูมิมองตามพอเห็นว่าพ่อตัวเองเดินพ้นประตูไปก็ยิ้มเยาะแล้วพูด
“รับความจริงไม่ได้ล่ะสิ”
นิติภูมิสังเกตเห็นรูปถ่ายพ่อกับแม่ของสยุมภูว์ที่ติดอยู่ที่ผนังๆใกล้ประตูที่นิติธรเพิ่งเดินออกไป เขาสังเกตเห็นอะไรบางอย่างในรูปถ่ายนั้นจนต้องลุกขึ้นไปดู
นิติภูมิมองพิจารณาที่สร้อยคอที่แม่ของสยุมภูว์สวมในรูป
นิติภูมิเปิดล็อคเก็ตรูปแม่ของตนเองดูแล้วยกล็อคเก็ตขึ้นเทียบกับภาพถ่าย เขาเห็นว่าแม่ของนิติภูมิสวมสร้อยเส้นเดียวกับแม่ของสยุมภูว์ นิติภูมินิ่งคิดอะไรบางอย่าง

เพิ่มพงษ์นอนคิดอะไรบางอย่างด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอยู่ในห้องนอนของเขา
ภาพเหตุการณ์ในอดีตหวนกลับมาในหัวของเพิ่มพงษ์...
ภาพหน้าศพของแม่นิติภูมิซึ่งเป็นภาพเดียวกับภาพในล็อคเก็ตของนิติภูมิ นิติภูมิวัยเด็กยืนดูรูปแม่อยู่ สักพักนิติธรก็เดินมาจูงเขาให้ไปสวัสดีเพิ่มพงษ์ที่ถือพวงหรีดเดินเข้ามา
“สวัสดีคุณน้าสิลูก” นิติธรบอกลูกชาย แต่นิติภูมิยืนนิ่ง นิติธรจึงเสียงเข้ม “ภูมิ..!!”
“ไม่เป็นไรครับคุณนิติธร สงสัยหลานจะง่วง” เพิ่มพงษ์บอก
เพิ่มพงษ์มอบพวงหรีดให้นิติธรรับไป มีคนมารับพวงหรีดนั้นไปวางที่หน้าศพ นิติภูมิมองตามแล้วเดินตามคนรับพวงหรีดไป แต่นิติธรไม่ได้สนใจจะตามลูกชาย
“คุณนิติธรไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ค่าใช้จ่ายทั้งหมดคุณสีหราชจะเป็นคนดูแลเอง” เพิ่มพงษ์บอก
“แค่ค่าดูแลรักษาพยาบาลภรรยาของผม ผมก็เกรงใจจะแย่อยู่แล้วครับ”
“อย่าได้เกรงใจเลยครับ คุณนิติธรถือเป็นหนึ่งในครอบครัวของทศพลกรุ๊ปเหมือนกัน”
เพิ่มพงษ์มองหานิติภูมิจนเห็นว่านิติภูมิอยู่ตรงแท่นที่วางพวงหรีด นิติภูมิมองหน้าเพิ่มพงษ์ก่อนจะผลักแท่นวางพวงหรีดล้มลงแล้วเข้าไปกระทืบพวงหรีดที่เพิ่มพงษ์เพิ่งจะมอบให้ซ้ำ เพิ่มพงษ์หน้าเสีย นิติธรหันไปมองตามแล้วรีบเข้าไปดึงนิติภูมิออก
เพิ่มพงษ์นอนคิดถึงเหตุการณ์นั้นแล้วก็รำพึงกับตัวเอง
“นิติภูมิ..เรื่องนี้มันก็นานมาแล้ว..ไม่น่าเป็นไปได้นะ”

แสงจากหน้าต่างห้องแววส่องเข้ามาเสมือนบอกว่าเช้าแล้ว ครู่หนึ่งได้ยินเสียงสัญญาณโทรศัพท์มือถือที่วางไว้ข้างเตียงดังขึ้น แววหยีตาขึ้นมาหยิบโทรศัพท์มารับโดยไม่ดูหน้าจอ
“ใครเนี่ย” แววเสียงงัวเงีย “ทำไมโทรมาเช้าจัง...” พอนิ่งฟังแววก็ทำเสียงตื่นเต้นแปลกใจ “หา! เอกเหรอ” แววลุกพรวดขึ้นนั่ง “หา! มีเรื่องด่วน?...เรื่องอะไรเหรอ?”

เอกรินทร์กำลังยืนพูดโทรศัพท์อยู่กบแวว
“รีบลุกขึ้นแต่งตัวสวยๆ เร็ว เดี๋ยวผมจะพาไปสมัครงาน”
“สมัครงานอะไรของคุณ ฉันงงไปหมดแล้ว” แววตอบ
“รีบลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวเหอะน่า เชื่อผม ไม่ต้องรู้หรอกว่าที่ไหน เดี๋ยวผมพาไปส่งเอง”
แววลุกเดินมาที่หน้าต่าง “เหรอ...แล้วตอนนี้คุณอยู่ที่ไหนแล้วเนี่ย”
แววเดินพูดโทรศัพท์ผ่านหน้าต่างไปแต่แล้วก็พลันชะงักย้อนกลับมายืนชะเง้อ เธอเห็นเอกรินทร์นั่งคร่อมอยู่บนมอเตอร์ไซค์แล้วเงยหน้ายิ้มก่อนจะยกมือตะเบ๊ะทักทาย
“บริษัทรถยนต์นำเข้าเค้ากำลังอยากได้พีอาร์ด่วนเลยน่ะ”
แววตะโกนออกมาจากหน้าต่าง “ฉันอาบน้ำแต่งตัวก่อนนะ”
แววผลุบหายไปจากกรอบหน้าต่าง เอกรินทร์ยิ้มอย่างมีความสุข

เอกรินทร์ขี่มอเตอร์ไซค์อยู่บนถนนในกรุงเทพฯ โดยมีแววแต่งชุดสวยซ้อนท้ายอยู่ เอกรินทร์ยิ้มอย่างมีความสุข ส่วนแววนั่งกระชับกระเป๋าถือด้วยความระมัดระวัง รถมอเตอร์ไซค์เลี้ยวโค้งวิ่งไปไกลลับตา

พนักงานหญิงคนหนึ่งถือหูโทรศัพท์ติดต่อภายในอยู่ที่บริเวณเคาน์เตอร์รีเซฟชั่นในบริษัทตัวแทนรถยนต์นำเข้า โดยที่แววและเอกรินทร์ยืนรออยู่ที่เคาน์เตอร์
“ค่ะ...สิบนาทีนะคะ...ได้ค่ะ” พนักงานหญิงเงยหน้าพูดกับแวว “คุณแววนะคะ”
แววตอบ “ใช่ค่ะ”
“รบกวนนั่งรอตรงนี้ ประมาณสิบนาที แล้วดิฉันจะเรียกอีกทีค่ะ”
“ค่ะ ขอบคุณมากค่ะ”
แววกับเอกรินทร์ถอยมานั่งที่เก้าอี้นั่งรอบริเวณนั้น
“ขอบคุณมากนะเอก ถ้าฉันได้งานนี้ จะเลี้ยงข้าวคุณเลย” แววบอก
“ต้องขอบคุณหัวหน้าฝ่ายข่าวผมด้วย เค้าเป็นคนแนะนำให้ผมพาคุณมาที่นี่”
“ค่ะ ฝากขอบคุณหัวหน้าคุณด้วยนะคะ เอ้อ...มีเวลาอีกตั้งเยอะ งั้นฉันขอตัวไปห้องน้ำก่อนดีกว่า”
“ตามสบายเลยครับ”

แววเปิดประตูห้องน้ำหญิงเข้ามา ไลลาที่แต่งตัวเซ็กซี่กำลังยืนแต่งหน้าทาปากอยู่หน้ากระจก แววมายืนที่อ่างล้างหน้าซึ่งอยู่ติดกัน ไลลาแต่งหน้า ส่องกระจก สำรวจหน้าตา ทรงผม และขยับเสื้อผ้าให้เข้าที่ ทันใดนั้นแววก็เผลอเปิดก๊อกน้ำแรงสุดจนก๊อกน้ำแตก น้ำจากก๊อกฉีดเป็นสายไปโดนไลลาที่ยืนอยู่ข้างๆ จนเสื้อผ้าเปียกปอน ไลลากรีดร้องและหันมา
“ว๊าย!!”
“อุ๊ย! ขอโทษค่ะ ไม่รู้ว่าน้ำแรงขนาดนี้” แววบอก
ไลลามองเสื้อผ้าตัวเองที่เปียกชุ่มแล้วยิ่งโกรธ “นี่เธอรู้มั้ยว่าทำอะไรลงไป ฉันมาสมัครเป็นพริตตี้ที่นี่ ถ้าฉันเปียกซ่กเข้าไปแบบนี้ เธอคิดว่าฉันจะได้งานมั้ย”
“แต่ฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะคะ ขอโทษจริงๆ ค่ะ”
“แค่ขอโทษงั้นเหรอ ดีนี่...แค่พูดว่าขอโทษ ก็ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรแล้วใช่มั้ย ถ้างั้นฉันขอลองมั่ง”
ไลลาเปิดก๊อกน้ำสุดแรงแล้วเอามือบีบที่ปากก๊อกน้ำก่อนจะบังคับทิศทางน้ำให้ฉีดใส่แววเต็มๆ
“ว๊าย..เธอทำบ้าอะไรของเธอน่ะ” แววตกใจ
“ก็ทำอย่างที่เธอทำกับฉันน่ะแหละ อะ...ทีนี้ตาฉันขอโทษบ้าง” ไลลายิ้มเยาะแวว “ขอโทษนะ ขอโทษจริงๆ ค่ะ หายกันแล้วนะ”
แววก้มมองชุดเปียกซ่กของตัวเอง “เปียกไปหมดแล้ว นี่ฉันจะมาสัมภาษณ์งานนะ”
“ทีนี้เข้าใจหัวอกฉันรึยังล่ะ แต่ฉันขอโทษแล้วนะ” ไลลาขำสะใจ “ฮะๆๆ”
แววเริ่มหมั่นไส้ “ได้...จะเล่นกันแบบนี้ใช่มั้ย”
แววเปิดก๊อกสุดแรงแล้วเอามือกุมที่ก๊อกเพื่อบังคับทิศทางน้ำให้ฉีดใส่ไลลา
ไลลาร้องลั่น “ว๊ายยย..”
ไลลาไม่ยอมแพ้จึงตอบโต้ด้วยวิธีเดียวกัน ถึงจะเปียกแค่ไหนก็ยอมขอแค่ให้ได้ตอบโต้
ทันใดนั้นสาวออฟฟิศคนหนึ่งก็ออกมาจากห้องส้วม พอเห็นสภาพทั้งสองก็ถึงกับร้องตกใจ
“ว๊าย...”
สาวออฟฟิศรีบเดินหลบแล้วเผ่นออกจากห้องน้ำไป
ไลลาฉุนจัด “แก...”
ทั้งสองฉีดน้ำใส่กันจนเปียกชุ่ม ทั้งหน้าตาทั้งเสื้อผ้าเปียกเละกันไปทั้งคู่

เอกรินทร์ที่นั่งรออยู่ได้ยินเสียงพนักงานหญิงร้องเรียก
“คุณแววเข้าพบเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลได้เลยค่า...อ้าว!”
พนักงานหญิงมองไปที่เก้าอี้นั่งรอแต่เห็นเอกรินทร์นั่งอยู่คนเดียว
“ผู้หญิงที่มากับคุณล่ะคะ” พนักงานถาม
“เดี๋ยวก็มาแล้วครับ อีกแป๊บเดียวครับ”เอกรินทร์ตอบ
เอกรินทร์ยิ้มรับหน้าไป แล้วบ่นกับตัวเองเบาๆ
“ทำไมนานจัง”

แววกับไลลาฉีดน้ำใส่กันจนเปียกปอนทั้งผมเผ้า เสื้อผ้า และเครื่องสำอางบนใบหน้าต่างก็เละเทะทั้งคู่
“หน้าอย่างแกโดนน้ำคงไม่รู้สึก งั้นให้เจอฝ่ามือฉันบ้างดีมั้ย”
พูดจบไลลาก็ผละจากการฉีดน้ำจากก๊อกเข้ามาตบหน้าแววไปฉาดหนึ่ง
แววฉุนหนัก “นี่เธอตบฉันเหรอ”
“แค่นี้ยังน้อยไปย่ะ”
ไลลาพูดจบก็ตบแววไปอีกทีหนึ่ง แต่คราวนี้แววตบสวนกลับบ้าง ทั้งสองกระโจนเข้าใส่กัน ทั้งจิกผม ทั้งฉุดรั้งดึงเสื้อ ยื้อกันอุตลุดชุลมุน
สาวออฟฟิศคนเดิมเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับรปภ. ชายคนหนึ่ง
สาวออฟฟิศชี้ให้ดู “นี่ไง รปภ.ช่วยจัดการที”
รปภ.ส่งเสียงห้าม “หยุดครับ...หยุดเถอะครับคุณ”
รปภ.รีบพุ่งเข้ามาหย่าศึก พอแกะมือของไลลากับแววออกจากการยื้อยุดฉุดกระชากได้ รปภ.ก็เจอเอาลูกหลงไปหลายดอกจนชักฉุน
รปภ.ตวาด “จะหยุดหรือไม่หยุด! ถ้าไม่หยุดผมจะ ว. เรียกตำรวจมาจัดการนะ”
พอได้ยินคำว่าตำรวจ แววกับไลลาจึงยอมผละจากกัน แต่สายตายังจ้องกันอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ
ไลลารีบฟ้องรปภ. “นังนี่มันหาเรื่องฉีดน้ำมาใส่ฉันก่อน”
“ฉันไม่ได้ตั้งใจย่ะ” แววฟ้องรปภ.กลับ “ยัยนี่ต่างหากที่ตั้งใจฉีดน้ำใส่ฉัน”
รปภ.เซ็ง “โอ๊ย!”
รปภ. จับต้นแขนของทั้งสองให้ยืนอยู่ห่างกันคนละฝั่งทันที

เอกรินทร์ที่นั่งรออยู่ชักอึดอัด เขายกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูแล้วเริ่มกระวนกระวาย พนักงานหญิงที่เคาเตอร์ถามอีก
“คุณคะ แล้วผู้หญิงที่มากับคุณล่ะ ที่ชื่อคุณแววน่ะ ตอนนี้ฝ่ายบุคคลกำลังรออยู่นะคะ”
“ครับๆๆ เดี๋ยวก็มาแล้วครับ...โน่นไง มาแล้วๆ ...ห๊ะ!!??”
เอกรินทร์ตาโตตกใจเมื่อเห็นรปภ. ใช้มือทั้งสองข้างจับต้นแขนของแววกับไลลา แยกไว้คนละฝั่งแล้วลากเดินตรงมาหา
“อ้าว..มาแล้วเหรอนายเอก” ไลลาทัก
แววประหลาดใจ “อ้าว...เธอรู้จักคุณเอกด้วยเหรอ”
เอกรินทร์พูดกับไลลา “ไลลา..” แล้วเขาก็หันมาหาแวว “คุณแวว..” เอกรินทร์หันไปถามรปภ. “นี่มันเกิดอะไรกันขึ้นเหรอครับ”
รปภ. พูด “สองคนนี้มากับคุณใช่มั้ย ช่วยดูแลให้ดี อย่าให้ก่อเรื่องอีกนะครับ”
“ครับๆ ได้ครับ” เอกรินทร์พูดกับแววและไลลา “นี่อย่าบอกนะว่าคุณสองคน”
แววกับไลลาพูดพร้อมกัน “เค้าหาเรื่องฉันก่อน”
“ยังจะโกหกอีก” แววฉุน
“ก็เธอฉีดน้ำใส่ฉันก่อนจริงๆ” ไลลาสวน
“ก็ฉันไม่ได้ตั้งใจ แต่ของเธอน่ะ ตั้งใจเต็มๆ”
รปภ.หันมาขู่ “ต้องให้ผม ว. เรียกตำรวจมั้ยครับ”
แววกับไลลาหยุดพูด ทั้งสองได้แต่มองหน้ากันอย่างไม่มีใครยอมลงให้ใคร เอกรินทร์ที่อยู่ตรงกลางมีท่าทางอ่อนใจ
จบตอนที่ 1
ติดตามอ่านแววมยุรา ตอนต่อไป เวลา 12.00 น.



กำลังโหลดความคิดเห็น