ฉันรักเธอนะ ตอนที่ 2
นับดาวคนที่เป็นผู้ไม่ถูกเลือกเสมอ เดินคอตกกลับมาบ้าน หน้าตาแบบเพชราที่ย่าแต่งให้ เธอล้างออกหมด รวมทั้งผมที่เธอก็ทำให้มันเป็นทรงยุ่งเหยิงทรงเดิม รจนาตั้งตารอหลานกลับบ้าน พอเห็นสภาพหลานเดินเข้ามาก็ตกใจ
“ไหนบอกทำงานในห้าง ไหงกลับมาสภาพยิ่งกว่าไปเป็นตัวแทนต่อยมวยชิงแชมป์โลกซะอีก”
นับดาวพยักหน้าเศร้าๆ
“เป็นไงทำงานวันแรก เข้ากับเพื่อนได้มั้ย”
“หนูไม่ได้ไปโรงเรียนแล้วนะย่า ยังถามแบบนี้อยู่อีก”
“แล้วได้มั้ยล่ะ”
นับดาวส่ายหน้า
“กะแล้วเชียว เข้ากับใครเค้าก็ไม่ค่อยได้ ธรรมดาซะที่ไหน”
“หนูน่ะธรรมดา คนอื่นสิที่แปลก”
รจนามองสภาพหลาน
“นี่เรายังกล้าเชื่อแบบนั้นอยู่อีกเหรอเนี่ย”
นับดาวไม่สบอารมณ์
“แล้วเป็นไง เจ้านายเค้าชอบเราทำงานมั้ย”
“หึ หึ”
“ไม่รู้ล่ะสิ เข้าหาเจ้านายบ้าง ย่าบอกกี่ครั้งแล้ว คนจะเจริญก้าวหน้าได้ มันไม่ได้อยู่ที่ผลงานอย่างเดียว มันต้องรู้จักปฏิสัมพันธ์ด้วย”
“ไม่ต้องปฏิสัมพันธ์แล้วล่ะย่า เค้าไล่หนูออกแล้ว”
นับดาวเดินเซ็งๆคอตกออกไป ย่าพยายามจะปลอบใจ
“ย่าว่าแกไปเรียนต่อดีมั้ย ไปสอบ mba เอามั้ย ย่าส่งแกเรียนไหวนะ”
ไม่มีเสียงตอบรับจากนับดาว เพราะเธอคิดถึงเรื่อราวในวัยเด็ก...
ที่โรงเรียนประถม...เพื่อนๆกำลังแบ่งข้างเล่นกระโดดหนังยางกัน นับดาววิ่งมาขอเล่นด้วย
“ขอเล่นด้วยคนสิ”
เพื่อนไล่
“ไปอยู่ข้างโน้นสิ”
“ไม่เอา ก็ให้อยู่ข้างเธอสิ”
“เราก็ไม่เอา”
“เราเป็นตัวแถมก็ได้” นับดาวรีบบอก
“เรามีไพลินเป็นตัวแถมที่เก่งกว่าเธอแล้ว”
“เราก็มีตัวแถมแล้วเหมือนกัน”
เพื่อนเถียงกันไปมา นับดาวงง
“ทำไมมีตัวแถม 2 ข้างล่ะเลยล่ะ แปลว่ายังไม่มีตัวแถมน่ะสิ”
เพื่อนหันมาตวาดแว๊ด
“ก็บอกว่าไม่เอา ไม่เข้าใจรึไง”
“มันหูหนวก มันไม่ได้ยินหรอก”
นับดาวฟังอย่างเสียใจ
ค่ำคืนนั้น...
นับดาวล้มตัวเอาหน้าซุกหมอนในสภาพเยินๆแบบที่กลับมา เธอบ่นอะไรไปตามประสา
“อะไรเอ่ย ไม่เข้าพวก” เธอยกมือขึ้นแล้ววางลง “นับดาวไง…ข้อใดต่อไปนี้ผิด” เธอยกมือขึ้นแล้ววางลง “นับดาวไง ข้อใดต่อไปนี้ถูกต้อง” เธอยกมือขึ้นแล้ววางลง “ถูกทุกข้อยกเว้นนับดาว”
พอสิ้นเสียงนับดาว ทุกอย่างในห้องก็เงียบ เธอนิ่งไปซักพัก แล้วเธอก็ลุกพรวดขึ้นมาเหมือนคิดอะไรออก
“เพราะตานั่นคนเดียวทำเราโดนไล่ออก ใช่เลย เหตุผลที่เราโดนไล่ออกเพราะตานั่นมันขับรถชนเรา ทำเราสกปรกมอมแมม เราเลยโดนไล่ออก จะมามัวซังกะตายไม่ได้นับดาว เธอจะต้องแก้แค้น...แก้แค้นให้สาสม หึ หึ ว่ะฮ่าๆๆๆ” นับดาวบอกตัวเองอย่างมุ่งมั่น
ซีซีโทรศัพท์หายามาดะ อย่างกังวลเพราะเขาไม่รับสาย
“ฮัลโหล ทำไมไม่ยอมรับโทรศัพท์เลยทั้งวัน”
ทางด้านยามาดะยังอยู่ในห้องน้ำสนามบินสุวรรณภูมิ เขาแง้มดูนอกห้องส้วม ผู้หญิงเข้ามาเติมแป้งกันเป็นระยะ เขาออกไม่ได้ซักที
“มันจะเติมแป้งกันไม่หยุดหย่อนเลยรึไง”
บ่นแล้วก็รับโทรศัพท์ด้วยอย่างเซ็งๆ เพราะซีซีแว๊ดมา
“ฉันหวังว่าที่แกหายไปไม่ส่งข่าวทั้งวัน คงมีข่าวดีมาแจ้งให้ทราบนะ”
“เอ่อ...”
“นังยูกิมันถูกจับไว้ที่เกาะแล้วใช่มั้ย”
ยามาดะถอนใจเฮือก
“ยัง มีเรื่องผิดพลาดนิดหน่อย”
“ห๊า...ยัง แกพูดง่ายๆแค่เนี๊ยะ”
“ใช่...แต่ไม่ต้องห่วง ภายในพรุ่งนี้ ไอ ยูกิไปอยู่ที่เกาะแน่”
“ฉันจ้างแก ไม่ใช่ให้แกมาต่อรองว่าเป็นพรุ่งนี้หรือมะรืน วางแผนไว้วันนี้ ทำไมไม่ได้”
“กับอีแค่วันเดียวมันจะอะไรนักหนา”
“วันเดียวคือ 24 ชั่วโมง คือ 1,440 นาที คือ 86,400 วินาที ที่ฉันจะมีมันขวางทางอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก แกเข้าใจมั้ย ถ้าพรุ่งนี้มันยังรอดไปได้ ฉันก็จะไปจ้างคนอื่น”
“ผมว่าคุณคิดเลขเร็วดีนะ”
“ไอ้บ้า ไปจัดการงานให้เสร็จเลยไป”
ซีซีวางโทรศัพท์กระแทกกระทั้น ยามาดะถอนหายใจกับสิ่งที่ตัวเองกำลังจะทำ
ค่ำคืนนั้น...เมื่อกลับไปที่โรงแรมที่พัก ยามาดะหยิบรูปรวมนักเรียนสมัยม.ต้น ที่มียูกิอยู่ในนั้นด้วยขึ้นมาดู แล้วคิดไปถึงเรื่องราวในอดีต
ที่โรงเรียนในญี่ปุ่น...ช่วงพักกลางวันในห้องเรียนไม่มีใคร ยูกิในชุดนักเรียนม.ต้นมานั่งที่โต๊ะ เธอเห็นจดหมายสีชมพู แปะรูปหัวใจอยู่ที่ใต้โต๊ะเธอ เธอหันมองหาไปทั้งห้องก็ไม่เห็นใคร เธอเปิดจดหมายอ่าน ยามาดะที่เอาจดหมายมาสอดไว้ แอบมองอยู่ที่ประตูจากนอกห้องเรียน เขาตื่นเต้น อมยิ้มกับการกระทำของตัวเอง
ยามาดะพยายามสลัดความหลังอันฝังใจในอดีต ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะลุกขึ้นมาจัดแจงสารพัดอาวุธบนโต๊ะ ขณะที่เขาลุกจากที่นอน เพื่อมาเช็ดปืนพกอย่างทะนุถนอม พอเสร็จเขาก็หยิบมีดพก ถอดมันออกจากฝัก เช็กความคม พร้อมกับเอาผ้าเช็ดให้เงา
“ถึงเวลาที่เราจะมารื้อฟื้นความหลังกันอีกครั้งแล้ว ยูกิ !”
ในห้องออกกำลังกายของโรงแรมหรู ยูกิวิ่งอยู่บนลู่วิ่งตามลำพัง เธอหยุดวิ่งยืนกินน้ำเช็ดเหงื่อ ดูเซ็กซี่ในสายตาของยามาดะ ที่เดินเข้ามาทำทีว่าคุยโทรศัพท์ด้วยภาษาญี่ปุ่น
“ผมอยู่เมืองไทย มาพักผ่อน อย่าโทรมาคุยตอนนี้ เรื่องธุรกิจผมจะคุยเมื่อผมกลับไปเท่านั้น”
ยามาดะทำทีวางสาย แล้วถอนหายใจอย่างเบื่อๆ ยูกิที่ยืนอยู่ตรงนั้น เห็นคนญี่ปุ่นด้วยกันเธอเลยเอ่ยปากทักเป็นภาษาญี่ปุ่น
“มาพักผ่อนเหรอคะ”
ยามาดะทำเป็นตื่นเต้น
“คุณก็คนญี่ปุ่นเหรอ ดีจัง ผมอยู่ที่นี่ไม่มีเพื่อนเลย”
พนักงานโรงแรมเดินเอาน้ำเปล่ามาให้ ยามาดะรับน้ำแล้วหันไปขอบคุณด้วยภาษาไทย
“ขอบคุณนะครับ”
“พูดไทยได้ด้วยเหรอครับ” ยูกิพูดไทยด้วย
“ผมเคยอยู่ที่เมืองไทยครับ”
“ดีจัง ฉันชอบเมืองไทยมากเลยค่ะ”
“ผมก็เหมือนกันครับ ว่าแต่คุณพูดภาษาไทยเก่งจัง”
ยูกิยิ้มแทนคำตอบ
“แล้วนี่คุณจะไปเที่ยวไหนเหรอครับ”
“ยังไม่รู้เลยค่ะ รอคนมารับอยู่”
“ถ้าอยากไปไหนแล้วไม่มีใครพาไป บอกผมนะครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
ยูกิยิ้มรับอย่างจริงใจ ยามาดะยิ้มที่ทุกอย่าง กำลังดำลังดำเนินไปตามแผน
ยามาดะกับยูกิขึ้นลิฟท์ไปพร้อมกันสองคน ยามาดะยืนอยู่ด้านหลัง หยิบผ้าขนหนูผืนเล็กที่เขาซุกไว้ในกระเป๋า จะโปะยาสลบยูกิ แต่ยูกิก็หันหน้ามาคุยด้วยก่อน เขาเลยต้องเอาผ้าซุกไว้ในกระเป๋าเหมือนเคย
“ดีจังนะคะ เราอยู่ชั้นติดกันเลย”
ยามาดะยิ้มตอบ
“ดีครับ ขาดเหลืออะไรจะได้พึ่งพากันได้”
ยูกิหันไปเห็นว่ามีอะไรติดที่ผมของยามาดะ
“อุ๊ย...มีอะไรติดน่ะค่ะ”
ยามาดะพยายามเอามือปัดๆ แต่ก็ไม่โดน ยูกิเลยเข้าไปใกล้ เขย่งตัวเพื่อหยิบออกให้ ยามาดะหัวใจเต้นแรงเพราะยูกิเข้ามาใกล้เขามาก เขาอึ้งทำอะไรไม่ถูก
“ออกแล้วค่ะ...” ยูกิจ้องตายามาดะในระยะใกล้ “จริงๆฉันว่าฉันคุ้นหน้าคุณนะคะ”
เสียงลิฟท์ปิ๊ง...เปิดออกพอดี ยูกิส่งยิ้มให้ยามาดะที่ยังอึ้งอยู่ แล้วเดินออกจากลิฟท์ไป พอยูกิเดินออกจากลิฟท์ไป ยามาดะถอนหายใจออกมาทันที เขาเอามือจับหัวใจที่เต้นระรัวของเขา
วราพรรณขี่มอเตอร์ไซค์ใส่หมวกกันน็อก มาจอดที่บ้าน รจนาได้ยินเสียงรถเดินออกมาหาทันที
“มาก็ดีแล้ว ย่ากลัวนับดาวมันจะเป็นบ้า”
“มีเรื่องอะไรอีกเหรอย่า”
“ก็มันโดนไล่ออกจากงานอีกแล้ว”
“ไล่ออก เพิ่งไปทำได้วันเดียวเนี่ยนะ สงสัยเพราะการแต่งหน้าเพี้ยนๆของมันแน่เลย ก็บอกแล้วว่าให้ล้างออก เดี๋ยวคนเค้าจะหาว่าบ้า ก่อนจากบ้านทำไมย่าไม่เตือนมันมั่ง”
“ย่าแต่งให้มันเอง”
“อูย...” วราพรรณกลับลำทันที “แต่จะว่าไปมันมีสไตล์มาก ไม่ให้หาดูกันง่ายๆนะ ขนตาดกเป็นขนนกแบบเนี้ย”
“พอเถอะ”
“แหะ แหะ...เออ แล้วที่ย่าเรียกหนูมาเนี่ย มีอะไร”
“ขี้เกียจ ไปดูเองละกัน”
รจนาทำหน้าเซ็งจัด
นับดาวใส่แว่นหนาเตอะ หัวกระเซิง นั่งอยู่บนเตียง หยิบนามบัตรที่เป็นไทให้ไว้มาดูเห็นชื่อ “เป็นไท” วางนามบัตรของเป็นไทไว้ข้างๆ กับตุ๊กตาเยินๆอีก 1 ตัว แล้วเธอก็บีบคอตุ๊กตา จินตนาการว่าคือเป็นไท
“แก...ไอ้เป็นไท แกตาย แกอยู่ในกำมือฉันล่ะ หึหึ”
รจนากับวราพรรณแอบดูอยู่หน้าห้อง
“เป็นไง”
รจนาหันมาถามวราพรรณ
“หนัก”
“ฝากนุ้ยดูๆมันหน่อยก็แล้วกัน ย่าละเป็นห่วง”
“ได้จ้ะย่า ไม่ต้องห่วง”
รจนาโล่งใจอีกเปราะหนึ่งที่วราพรรณมาถึง แต่เธอก็ยังมองหลานอย่างกังวลอยู่ดี
นับดาวนั่งกินข้าวกับวราพรรณ กับข้าวบนโต๊ะเป็นกับข้าวพื้นๆ มีไม่กี่อย่าง นับดาวกินข้าวเหมือนคนอดอยาก กินไปคุยไป
“นี่แกมาได้ไง แล้วย่าฉันไปไหน”
“ย่าแกเค้าก็ไปเฝ้าร้านแล้วสิ”
“เออ ลืมไป”
วราพรรณมองเพื่อนนั่งกินอย่างงๆ
“แล้วนี่แกไปหิวมาจากไหนเนี่ย ห๊ะ”
“เมื่อวานเซ็งๆ เลยไม่ได้กินข้าว”
“เรื่องงานใช่มั้ย”
“นั่นก็เรื่องนึง”
“แล้วเรื่องอื่นคือ ?”
“แกจำได้ใช่มั้ย ไอ้คนที่ขับรถชนฉันน่ะ”
“อืม ที่ชนแล้วหนี แล้วมันก็เคยด่าเธอกับย่าด้วย”
“ใช่...เพราะมัน ทำให้ฉันโดนไล่ออก”
“พูดเป็นเล่น”
“แกมาก็ดีแล้ว ฉันน่ะคิดแผนทั้งคืนว่าจะล้างแค้นมันยังไงดี”
“แล้วแกรู้เหรอ ว่าเค้าอยู่ไหน”
นับดาวเอานามบัตรวางไว้บนโต๊ะ
“นี่ไง สิ่งที่มันทิ้งไว้ให้ฉัน”
“เอ๊า งี้ก็ดีดิ แกก็ไปเรียกค่าเสียหายซักสามสี่แสนเลย โทษฐานที่ทำให้แกโดนไล่ออก”
นับดาวตะลึงกับคำพูด
“ป้าด...แกคิดได้ไง ฉันนั่งคิดวิธีมาทั้งคืนเลยนะเนี่ย”
วราพรรณส่ายหน้าเอือมระอา นับดาวรีบบอก
“งั้นฉันขอยืมรถแกหน่อยนะ”
นับดาวคว้านามบัตร และกุญแจรถมอเตอร์ไซค์ของวราพรรณแล้ววิ่งออกไป ไม่ฟังใคร วราพรรณตกใจ
“เฮ้ย แก...”
นับดาววิ่งมาหน้าบ้านคร่อมมอเตอร์ไซค์ ใส่หมวกกันน็อกอันใหญ่ฉาบปรอท วรพรรณวิ่งตามมาติดๆ
“เฮ้ย นับดาว แกอย่าล็อกคางนะเว้ย มันเสียอยู่”
นับดาวเอาสายล็อกคางของหมวกกันน็อก ล็อกดังกรึ๊บทันทีที่วราพรรณพูดจบ แล้วเปิดกระจกพูด
“ฉันรู้แล้วว่าต้องล็อก เพื่อความปลอดภัย ขอบใจนะเพื่อนที่เตือน”
“ไม่ใช่เว้ย บอกว่าอย่า...”
นับดาวสตาร์ทรถขับออกไป วราพรรณได้แต่มองอย่างอ่อนใจ
การประชุมเพิ่งเลิก พนักงานทยอยกันออกจากห้องประชุม เหลือเป็นไทกับองอาจที่ยังนั่งอยู่
“เดี๋ยวฝากคุณดูแลเรื่องซับพลายเออร์ต่างๆด้วยละกันนะ”
“อ้าวแล้วคุณไทจะไปไหนครับเนี่ย”
“คุณก็รู้ผมมีหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่รออยู่”
เป็นไทยักคิ้วให้ องอาจนึกได้
“ดูแลยูกิจัง”
“แน่นอน”
“ตัวเองก็มีแฟนอยู่แล้วแท้ๆ”
“นี่ผมไปทำงานเพื่อบริษัทเรา”
“กล้าใช้คำว่า เรา นะ”
“ถ้าแพรวมา บอกว่าผมไปคุยงานสำคัญนะ”
“ระวังเถอะ คุณแพรวถอนทุน 20 ล้านขึ้นมา จะซวยกันทั้งบริษัท”
“นี่แหละ งานสำคัญที่ผมมอบหมายให้คุณดูแล อย่าให้แพรวรู้เรื่องนี้เด็ดขาด”
องอาจเซ็งเลย
“ไปล่ะ นัดยูกิจังไว้ เดี๋ยวจะสาย”
เป็นไทยิ้มแป้นออกไป องอาจมองอย่างหมั่นไส้
นับดาวจอดมอเตอร์ไซค์ที่หน้าออฟฟิศเป็นไท เธอเปิดกระจกหมวกกันน็อกมองชื่อออฟฟิศกับนามบัตร
“หึหึ...คราวนี้ล่ะ ทีฉันบ้างแล้ว”
นับดาวพยายามจะถอดหมวกกันน็อกออกแต่ก็ไม่ออก ถอดยังไงก็ไม่ออก เธอยืนพยายามอยู่ตรงนั้น แล้วเป็นไทก็เดินอย่างสบายใจออกมาจากออฟฟิศ นับดาวหันไปเห็น เธอรีบเดินไปทั้งหมวกกันน็อกขวางหน้าเป็นไทไว้ เป็นไทตกใจที่อยู่ๆก็มีคนใส่หมวกกันน็อกฉาบปรอทมาขวางหน้า
“ฉันมาทวงเงินของฉัน”
เป็นไทงงๆ
“เงินอะไรของคุณ ผมไม่ได้ทำธุรกิจขายอุปกรณ์แต่งรถนะ”
“ที่คุณขับรถชนฉันเมื่อวานนี้ไงล่ะ”
เป็นไทคิดๆ
“เมื่อวาน เมื่อวานผมไม่ได้ขับรถชนมอเตอร์ไซค์ที่ไหนนะ”
“ยังกล้าปฏิเสธอีกเหรอ รู้มั้ยคุณทำฉันถูกไล่ออก”
“ผมว่าคุณจำคนผิดแล้วล่ะ ผมไม่เคยไปยุ่งกับใครจนเขาโดนไล่ออก”
“ตกลงจะไม่รับผิดชอบใช่มั้ย”
“ผมไม่ได้ทำ ทำไมผมต้องรับด้วยเล่า”
นับดาวโมโห
“ไม่ได้ทำเหรอ นี่ไงแผล”
นับดาวชี้เข่าที่ถลอกนิดหน่อย แล้วเปิดกระจกหมวกกันน็อกให้เป็นไทดูหน้า แต่เธอใส่แว่นตา
“ฉันไง จำได้มั้ย จ่ายมาเลยห้าแสนแล้วหายกัน ฉันจะไม่มายุ่งวุ่นวายกับชีวิตคุณอีก”
เป็นไทหัวเราะ
“นี่คุณ ผมไม่เคยเจอคุณมาก่อนนะ แต่ถึงผมจะไม่ได้เป็นคนทำคุณนะ ผมบอกให้เลย แผลถลอกแค่เนี้ยคุณเรียกห้าแสน ใครเค้าจะให้คุณ”
นับดาวอึกอัก
“สามแสนก็ได้ ฉันลดให้”
เป็นไทส่ายหน้าเดินไป นับดาวรีบต่อรอง
“แสนนึง ต่ำกว่านี้ไม่ได้แล้วนะ คุณทำฉันโดนไล่ออกจากงานด้วยนะ”
เป็นไทไม่สนใจเดินต่อไป นับดาวตัดสินใจ
“ห้าพันอ่ะ นี่ฉันไม่เหลืออะไรแล้วนะ”
เป็นไทไม่สนใจ พูดโดยไม่หันมามอง
“ขอให้ทวงเงินได้นะคุณ ผมไปล่ะ”
นับดาวหน้าเหวอ
“ตกลงคุณจะไม่จ่ายใช่มั้ย...ได้”
เป็นไทเดินหันหลังให้ไม่สนใจ เธอวิ่งหน้าตั้งเข้าไปโจมตีแล้วกระโดดบ้องหูอย่างเต็มแรงทั้ง 2 ข้างแล้วเอาหัวที่ใส่หมวกกันน็อกกระแทกไปที่เว้าดั้งของเขาอีกหนึ่งที เป็นไทวิ้งๆ เดินเซแซด นับดาวเห็นแล้วรีบขึ้นมอเตอร์ไซค์ขับหนีออกไปทันที
“เฮ้ย...จะหนีไปไหน”
เป็นไทจะวิ่งตาม แต่จากอาการมึนเซ ทำให้เดินขาขวิด เอียงไปเอียงมา ตามไม่ทัน
สังวรณ์นั่งดูภาพไอยูกิ จากนิตยสารเอเชี่ยนฮิตของเขา เลขาเดินเข้ามากระซิบข้างหู สังวรณ์หน้าตื่น
“ไอยูกิอยู่เมืองไทยแล้ว พูดเป็นเล่น ข่าวแบบนี้เราน่าจะรู้สิ”
“นี่เราก็กำลังรู้อยู่ไม่ใช่เหรอครับ”
“ฉันหมายถึงว่าเราน่าจะรู้ แล้วไปทำข่าวที่สนามบินเว้ย”
“นักสืบที่เราจ้างไปสืบบอกว่า เธอบินมาพักผ่อนเป็นการส่วนตัว ก่อนที่จะจัดคอนเสิร์ตครับ”
สังวรณ์คิดๆ
“พักผ่อนเป็นการส่วนตัวเหรอ งั้นก็ดีเลย โทรไปนัดสัมภาษณ์ไอยูกิให้ได้ เพราะมันจะเป็นสกู๊ปที่เอ็กคูสซีฟที่สุด เพราะไม่มีหนังสือเล่มไหนได้รู้เลย แล้วที่สำคัญ ฉันจะสัมภาษณ์เอง”
สังวรณ์ยิ้มหน้าหื่น มีความสุขสุดๆ เลขามองๆก่อนจะรับคำ
“ครับ”
“แล้วก็อย่าลืมส่งคนสะกดรอยตามทุกฝีก้าวด้วย ฉันอยากรู้ว่ายูกิจะมาทำอะไรบ้าง”
“ได้ครับ”
เลขาเดินสวนกับวราพรรณออกไป เธอเดินเข้ามาส่งสกู๊ปงานกับสังวร
“นี่สกู๊ปรวมข่าวฉาวดาราในรอบปีค่ะ”
สังวรหยิบมาเปิดดู
“ดี...พาดหัวแรงดี ผมชอบ คุณนี่เป็นนักข่าวมือหนึ่งของนิตยสารบันเทิงไทยใช่มั้ย”
วราพรรณยิ้มๆ
“เดี๋ยวคุณช่วยทำประวัติชีวิตผม แบบบทสัมภาษณ์ ลงทุกเล่มหน่อย ผมจะรวมเล่มขาย”
“บทสัมภาษณ์ตัวคุณซังวอนเอง ลงทุกเล่ม” วราพรรณหัวเราะแหยๆ “ดีค่ะ...น่าอ่านดี ว่าแต่จะให้ฉันเริ่มสัมภาษณ์คุณเมื่อไหร่ดีคะ”
“สัมภาษณ์อะไรกัน ผมอัดเทปสัมภาษณ์ตัวเองไว้หมดแล้ว คุณเอาไปถอดแล้วเรียบเรียงได้เลย”
สังวรณ์หยิบกล่องเทปสัมภาษณ์ตัวเองที่อยู่ในกล่องมาวางตั้งบนโต๊ะ มีราวๆ 20 ม้วนได้ วราพรรณตกใจ
“นี่ลงได้หลายปีเลยนะคะ”
สังวรณ์ยิ้มภูมิใจ วราพรรณมองไปเห็นปกเอเชี่ยนฮิตที่หน้าปกไอยูกิ เธอนึกขึ้นได้
“เอ่อ คุณซังวอนคะ คุณซังวอนชอบไอยูกิเหรอคะ”
“ใครๆก็ชอบไอยูกิทั้งนั้น เค้ากำลังดังมากเลยนะคุณ”
“ฉันมีเพื่อนคนนึง เค้าอยากเป็นดารา หน้าตาคล้ายๆไอยูกินี่แหละค่ะ”
“พูดเป็นเล่น ถ้าสวยขนาดนั้นก็น่าจะดังไปตั้งนานแล้วสิ”
“คืออาจจะต้องแต่งเพิ่มนิดๆหน่อยๆน่ะค่ะ คุณซังวอนสนใจอยากดูตัวมั้ยคะ”
“เอาสิ...ถ้าเหมือนไอยูกิจริงๆ ผมจะปั้นให้ดังระเบิดเลย”
วราพรรณยิ้มดีใจกับคำพูดของสังวร
เป็นไทเดินอยู่ที่สนามหลวงกับยูกิ เขาเดินเซไปเซมาไม่ค่อยตรงทาง ซึ่งเป็นผลจากการที่โดนนับดาวตบหูมา
“ผมว่าจะพายูกิจังทัวร์รอบเกาะรัตนโกสินทร์นะครับ”
ยูกิมองอย่างเป็นห่วง
“สภาพนี้ จะรอดมั้ยคะ”
“ไหวครับ...ผมไหว”
เป็นไทดูทุลักทุเลมาก ขณะเดียวกันนั้น กลุ่มวัยรุ่นเดินมามองยูกิ แล้วกรี๊ดกร๊าด
“ไอยูกิ...ไอยูกิจริงๆด้วย”
ยูกิรีบเอาแว่นดำมาใส่ ส่ายหน้าว่าไม่ใช่ วัยรุ่นพยายามจะพุ่งเข้าหา เป็นไทกันไว้
“เดี๋ยวผมจัดการตรงนี้เอง”
เป็นไทกันแบบเซไปเซมา ยูกิรีบเดินไป เป็นไทพยายามกันวัยรุ่นแต่เหมือนคนเมาหาเรื่องมากกว่า
“อย่าตามไปนะ...อย่า”
เป็นไทเซไปเซมา วัยรุ่นไม่พอใจ
“จะไปกินเหล้าที่ไหนก็ไปเลย อย่ามายุ่งเรื่องของเด็ก”
วัยรุ่นอีกคนมองเหยียด
“เมาจนแทบเอาตัวเองไม่รอด ยังจะมาขวางอีก”
เป็นไทยังโซซัดโซเซ ขวางทางเด็กวัยรุ่นไว้
“ตามไม่ได้ บอกว่าตามไม่ได้”
ตำรวจแถวนั้นเดินเข้ามาเคลียร์
“มีเรื่องอะไรกันน่ะ”
วัยรุ่นรีบฟ้อง
“คนเมามาอาละวาดค่ะ เราไม่ได้ทำอะไรเลยนะ”
วัยรุ่นอีกสองคนรีบเสริม
“ใช่ค่ะ มาขวางทางไม่ให้ไป”
ตำรวจคว้าตัวเป็นไท
“อะไรน่ะเรา...ไปโรงพักเลยไป”
เป็นไทพยายามอธิบาย แต่ก็ยืนตัวเอียง
“ผมไม่ได้เมานะครับ ไม่ได้เมาจริงๆ”
“ยืนให้ตรงแล้วค่อยพูดดีมั้ย ไป...ไปโรงพัก”
ตำรวจล็อกแขนเป็นไทไว้ เป็นไทพยายามจะยื้อแต่ก็อ่อนปวกเปียก
อ่านต่อหน้า 2
ฉันรักเธอนะ ตอนที่ 2 (ต่อ)
เป็นไทถูกตำรวจจับมาที่สถานีตำรวจ และถูกคุมตัวอยู่ในห้องขัง ยูกิมาเยี่ยมยืนอยู่ด้านนอกลูกกรง เป็นไทพูดกับยูกิด้วยแววตาจริงจัง
“คุณไม่ต้องกลัวนะยูกิจัง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมก็จะปกป้องคุณเอง”
ยูกิมองยิ้มๆ
“ฉันว่าคุณเอาตัวเองให้รอดก่อนดีกว่า”
ยูกิหัวเราะ เป็นไทจ๋อยไป
“อย่าล้อสิ อายนะ”
ตำรวจเปิดห้องขังเรียกเป็นไทออกมา
“เอ้า...ออกมาได้แล้ว”
เป็นไทยังเดินออกมาเซๆ ตำรวจหันมาถามยูกิ
“แน่ใจนะว่าไม่ได้เมา...สภาพนี้น่ะ”
“ไม่สบายค่ะ”
ตำรวจหันไปถามเป็นไท
“นี่แฟนเหรอ”
ยูกิรีบปฏิเสธ
“เปล่าค่ะ”
เป็นไทมองเหลือบๆแบบอยากให้ตอบว่าแฟน แต่พอยูกิตอบว่าไม่ใช่แฟน ตำรวจก็เปลี่ยนน้ำเสียงเป็นพูดเพราะกับยูกิทันที
“พาไปหาหมอให้เรียบร้อยนะครับ อย่าปล่อยให้เดินเพ่นพ่าน ไปไหนมีสายจูงก็ดี เวลาอึนี่ก็ควรจะเก็บใส่ถุงไปทิ้งถังขยะ”
เป็นไทมองเคืองๆ
“คน ไม่ใช่หมา”
ตำรวจยิ้มหวานให้ยูกิ
“ตามสบายนะครับ ถ้ามีอะไรให้ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างเรารับใช้ก็เชิญได้ทุกเวลาครับ”
เป็นไทเบ้หน้าหมั่นไส้ตำรวจ ยูกิได้แต่ยิ้ม
ยูกิพาเป็นไทมาตรวจอาการที่โรงพยาบาล เพิ่งตรวจเสร็จรู้ผลจากหมอ เขาก็ถามหมออย่างสงสัย
“น้ำในหูไม่เท่ากัน”
“แรงกระแทกส่งผลให้ความดันภายในหูผิดปกติ มีผลต่อการทรงตัวน่ะครับ” หมออธิบาย
“แล้วผมต้องทำยังไงกับมันบ้างครับเนี่ย”
“พักผ่อนมากๆ ทานยาตามที่หมอสั่งก็พอ เดี๋ยวร่างกายก็จะค่อยๆปรับสมดุลไปเอง”
“แล้วผมไปไหนมาไหนได้มั้ยครับเนี่ย”
“แล้ววันนี้เป็นไงละครับ”
“หนัก...”
“ถ้างั้นพักผ่อนอยู่เฉยๆก็ดีกว่า”
เป็นไทมองหน้ายูกิเซ็งๆ จ๋อยๆ
เป็นไทนั่งอยู่บนรถเข็นโดยมียูกิเป็นคนเข็นให้
“แย่เลย นอกจากจะไม่ได้พายูกิจังเที่ยวแล้ว ยังพามาลำบากอีก”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
“แต่ผมสัญญานะครับ ว่าถ้าผมดีขึ้นเมื่อไหร่ ยูกิจังอยากไปไหน ผมจะพาไปทุกที่”
“พักผ่อนก่อนเถอะค่ะ เรื่องเที่ยว ฉันไปเองก็ได้”
“ไม่ได้ครับ รอผมหน่อยนะครับ ผมสัญญาจริงๆ”
ยูกิพยักหน้ายิ้มๆรับคำ แล้วเข็นเป็นไทไปตามทางเดิน วราพรรณเดินมาจ่ายเงินค่ายาพอดีเห็นไอยูกิกำลังเข็นรถคุยกับเป็นไทผ่านไป เธอมองอย่างคุ้นๆ
“ใครวะ หน้าตาอย่างกับไอ้นับดาว...” วราพรรณนึกได้ “เฮ้ย ไอ ยูกิ นี่หว่า ตัวจริงโคตรสวยเลย มากับใครน่ะ” วราพรรณคิดบางอย่างออก หยิบกล้องออกมาจากกระเป๋า “คราวนี้ล่ะ ได้ข่าวใหญ่แน่”
วราพรรณ หาที่แอบถ่ายที่เหมาะเจาะ เห็นยูกิกำลังพยุงเป็นไทลุกขึ้น เป็นไทเซ ยูกิพยุงไว้ ทั้งคู่มองตากันเขินๆ โดยที่ไม่รู้ตัวว่าทุกกระบวนท่า วราพรรณได้ถ่ายไว้หมดแล้ว
เย็นนั้นวราพรรณรอนับดาวอยู่ที่ห้างสรรพสินค้าแต่แค่ไม่กี่อึดใจนับดาวก็เดินมา
“กุญแจรถฉันล่ะ”
นับดาวยื่นกุญแจรถคืนให้
“แกรู้มั้ย ฉันเกือบต้องตัดหัวทิ้งเพราะหมวกกันน็อกบ้า ๆของแก”
“แล้วเป็นไง ได้เงินมามั้ย”
นับดาวส่ายหน้า
“กะแล้วเชียว ปล่อยแกทำอะไรคนเดียว ไม่ได้เรื่องซักที”
“เฮ้ย...จะโทษฉันก็ไม่ถูกนะ ไอ้บ้านั่นมันหน้าด้านจะตาย ทำเป็นจำฉันไม่ได้ซะงั้น ฉันละเจ็บใจนักเชียว แต่ก็ดีนะ ให้บ้องหูมันไปที ไม่งั้นฉันต้องอกแตกตายแน่ๆ”
“เออ...ก็ทำได้แค่เนี้ย ทั้งปีอ่ะ”
“แล้วนี่เร่งฉันให้มาเนี่ย มีธุระอะไรรึเปล่า”
“มีสิ สำคัญกับแกด้วย”
นับดาวยิ้มระรื่น
“เฮ้ย เรื่องอะไรอ่ะ แกหางานให้ฉันทำได้แล้วใช่เปล่า”
วราพรรณส่ายหน้า
“ไม่ใช่”
นับดาวถอนหายใจเซ็งๆ
“แล้วอะไร”
“เจ๋งกว่านั้นอีก เจ้านายฉันบอกว่าอยากจะเห็นตัวจริงแกเว้ย แล้วถ้าแกถูกใจเค้านะ เค้าจะดันแกให้เป็นซุปเปอร์สตาร์เลยเว้ย”
นับดาวกรี๊ดเลย ตื่นเต้นมาก
“พูดเป็นเล่น...แล้ว...แล้วฉันต้องทำยังไงจะถูกใจเค้าวะ แบบชัวร์ ไม่พลาดเลย เห็นปุ๊บ ถูกใจปั๊บ”
“นี่ไงประเด็น ฉันเลยพาแกมานี่...เค้าหาคิวยากมากนะ แต่เค้าก็ให้แกเข้าพบด้วย”
วราพรรณยักคิ้วให้เพื่อน บอกให้รู้ถึงความแน่ของตัวเอง
วราพรรณหยิบเสื้อผ้าสวยๆมาเป็นสิบชุด โยนให้นับดาวถือ นับดาวถืออย่างทุลักทุเล วราพรรณชี้ให้เดินไปเค้าน์เตอร์เพื่อจ่ายเงิน
หลังจากออกจากร้านเสื้อผ้า ทั้งสองก็ตรงมายังร้านเครื่องสำอางมาเลือกเครื่องสำอาง วราพรรณหยิบลิปสติกสีนู้ดสวยๆใส่ตะกร้าเต็มไปหมด อีกทั้งอายไลน์เนอร์ มาสคาร่า อายเชโดว์ บลัชออน สารพัด...นับดาวทาปากแดงแจ๋ มาหา วราพรรณพร้อมทำท่าเซ็กซี่ วราพรรณได้แต่ส่ายหัวเพราะมันไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง
นับดาวถือถุงช้อปปิ้งพะรุงพะรังเดินตามวราพรรณ
“เฮ้ย นุ้ย...แกจ่ายตังค์ไปเยอะขนาดนี้ ฉันไม่มีใช้แกหรอกนะเว้ย”
“ไม่เป็นไร ฉันเลี้ยง”
“อยู่ๆแกจะมาเลี้ยงฉันได้ยังไง ไม่เอาหรอก”
“เอาน่า วันนี้ฉันได้งานใหญ่มา สกู๊ปที่ได้คงโบนัสให้ฉันมากกว่าที่ซื้อของให้แกเป็นไหนๆ”
นับดาวหน้าตื่นอยากรู้มาก
“เหรอ งานอะไร”
“ถ่ายรูปคนดังน่ะ แกไม่ต้องไปสนใจหรอก แกสนใจแค่ว่าคนดังคนนั้นทำให้ฉันคิดว่า ฉันจะปั้นแกเป็นซุปเปอร์สตาร์ได้ไม่ยาก”
นับดาวดีใจ
“จริงเหรอ อย่าล้อฉันเล่นนะเว้ย ฉันฝันไปไกลแล้วนะ”
“ล้อเล่นรึเปล่า เดี๋ยวก็คอยดูกัน”
วราพรรณมองป้ายร้านทำผมไฮโซ แล้วพานับดาวเข้าไป
วราพรรณพานับดาวเข้ามาร้านทำผม ช่างทำผมตกใจกับสภาพผมนับดาว วราพรรณเลือกแบบทรงผม ทรงเดียวกับไอยูกิให้นับดาว แล้วบรีฟช่างทำผมต่างๆนานาก่อนจะไปนั่งรอ นับดาวถูกจับทำผม อบไอน้ำ ทำสี สารพัด ทำเอาเธอนั่งสัปหงก ช่างต้องคอยจับหัวเธอให้ตั้ง สุดท้ายช่างจับถอดแว่น แต่งหน้าแต่งตา
วราพรรณนั่งหลับหมดท่าอยู่ตรงเก้าอี้นั่งรอ ในมือถือนิตยสารหน้าปกไอยูกิคาอยู่ด้วย ทันใดนั้นมีมือหนึ่งมาสะกิดเธอให้ตื่น วราพรรณงัวเงียตื่นขึ้นมาเงยหน้าขึ้นมองก็ต้องตะลึงเมื่อเห็นนับดาวทั้งทำผมแต่งหน้า ใส่ชุดที่เธอซื้อให้ครบชุด สวยราวกับนางฟ้า วราพรรณตื่นเต้น ส่วนนับดาวยังขัดๆเขินๆกับลุคใหม่ของเธอ
“เป็นไง พอได้มั้ยแก”
วราพรรณยิ้มพอใจ
“เฮ้ย...ใครเอาซาตานหัวกระเซิงไปไว้ไหนแล้ววะ”
นับดาวเขินๆ
“แก...อย่าว่าดิ มันเขินนะเว้ย เอาจริงๆ สวยป่าว”
“ตรงๆเลยนะเว้ย ถ้าแกเป็นทำตัวแบบนี้ตั้งแต่แรก ป่านนี้นะ อั้มก็อั้มเถอะ”
นับดาวถูกใจเขินใหญ่
“เจ้านายแกเค้าจะถูกใจใช่มั้ย”
“ชัวร์...ไปฉลองกันหน่อยดีกว่าเพื่อน”
นับดาวยิ้มดีใจ ตื่นเต้น ที่ตัวเองจะได้ดัง
วราพรรณพานับดาวเข้ามานั่งในร้านอาหารญี่ปุ่น ยามาดะกำลังนั่งกินข้าวอยู่คนเดียว เค้าเห็นนับดาวก็เข้าใจว่าเป็นยูกิ เขายิ้มพึงใจ
“ร้านแบบนี้ฉันสั่งไม่เป็นหรอกแก”
“เออรู้...ว่าแกโตมาแบบชาตินิยม ถูกปลูกฝังให้รักวัฒนธรรมไทย แต่แกต้องเรียนรู้ไว้บ้าง เดี๋ยวพอเป็นดาราแล้วใครเค้าชวนมาจะสั่งไม่เป็น”
“เหรอๆ เอาสิ”
ยามาดะเดินเข้ามาทักนับดาวอย่างคนคุ้นเคย
“สวัสดีครับ”
นับดาวกับ วราพรรณ มองหน้ากันงงๆ
“ยามาดะที่เจอกันที่ฟิตเนสเมื่อเช้าไงครับ”
“ฟิตเนสอะไร ไม่เคยไป ฉันไม่รู้จักคุณหรอก”
“คุณยังบอกว่าคุ้นหน้าผมอยู่เลย”
นับดาวชักไม่พอใจ
“ไม่คุ้น... ไม่รู้จักจริงๆ จำคนผิดแล้ว”
ยามาดะเอามือทุบโต๊ะด้วยความโมโห
“ผมไม่เคยลืมคุณ ผมจะจำผิดได้ยังไง”
วราพรรณเห็นท่าไม่ดีรีบชวน
“ไปเถอะแก ท่าจะเมาว่ะ”
นับดาวกลัวยามาดะ จึงรีบพากันเดินออกไปกับวราพรรณ ยามาดะมองตามอย่างโมโห
“ไม่รู้จักงั้นเหรอ อายคนอื่นนักรึไงที่รู้จักผมน่ะ เพราะผมมันเลวใช่มั้ย...เราได้เห็นดีกันแน่”
คนในร้านตื่นตกใจกับพฤติกรรมของเขา ยามาดะโกรธมาก
ค่ำนั้น...เป็นไทนั่งพิงหัวเตียง สะโหลสะเหล
“โอ๊ย...บ้านหมุนๆ”
เขาหลับตาลงเพื่อลดอาการเบลอ แล้วภาพของผู้หญิงใส่หมวกกันน็อกวิ่งมาบ้องหูเขาก็แว้บเข้ามา มันหมุนกระจายไปทั่วในความคิด
“ไอ้เด็กแว้น ฉันเจอแกที่ไหน ฉันเอาแกตายแน่”
เป็นไทล้มตัวลงนอนก่อนที่เขาจะอาการหนักไปมากกว่านี้
ยามาดะมาหา ซีซีที่คอนโด เขายืนเคาะประตูห้องดังระรัว ซีซีเดินมาเปิดประตู
“โอ๊ย ใครมาดึกป่านนี้”
ซีซีเปิดประตูมาเห็นยามาดะเมาแอ๋อยู่หน้าห้อง
“นี่แกรู้จักบ้านฉันได้ไงเนี่ย”
ยามาดะเมามายพูดลิ้นรัว
“อย่าดูถูกนะ ผมน่ะยากูซ่า ยากูซ่าอยากรู้อะไร รู้หมด”
“แล้วนี่แกเมาขนาดนี้ แกจับยายไอยูกิเรียบร้อยแล้วรึยังเนี่ย”
“ไอ ยูกิ นางชั่ว หลอกให้อยากแล้วก็จากไป”
ซีซีงงๆ
“แกพูดอะไรของแกเนี่ย...สภาพแบบนี้ยังไม่ได้ทำงานให้ฉันใช่มั้ย ดีฉันจะได้ไปจ้างคนอื่น”
ยามาดะดึงมือซีซีไว้
“อย่าไป ยามาดะรับปากแล้ว คำไหนต้องคำนั้น ผมน่ะยามาดะ ยากูซ่าหมายเลข 2 เชียวนะ”
ซีซีเบ้หน้าเหยียดๆ
“อันดับสองแล้วไง อันดับสองแล้วทำงานพลาดจะมีประโยชน์อะไร”
“พลาดไม่ได้แล้ว รู้มั้ยการลงโทษคนทำงานพลาดของยากูซ่าเค้าทำกันยังไง”
“ทำยังไง”
“ตัดนิ้ว ผมน่ะพลาดไปแล้ว 2 ครั้งในชีวิต สัญญากับตัวเองว่าจะไม่พลาดครั้งที่ 3 ไม่งั้นผมจะต้องเสียนิ้วไปอีก”
“อะไรของแก นิ้วแกก็ยังอยู่ครบ”
“ผมลืมบอกไปว่าผมเกิดมามี 12 นิ้ว เหมือนพ่อรู้ว่าผมจะเป็นยากูซ่า เลยให้นิ้วมาเกิน”
ซีซีมองอย่างเซ็งๆ
“เมาแล้วแก”
“เหมือนพ่อคอยเตือนเสมอว่า อย่าพลาดอีกเป็นครั้งที่ 3”
“ดี...งั้นก็รีบๆลงมือสิ”
ซีซีหันไปอีกที ยามาดะหลับไม่ได้สติบนโซฟาของเธอไปซะแล้ว
“เอ๊า...อะไรเนี่ย งานก็ไม่ทำ เมาหัวราน้ำมาวุ่นวายถึงฉันอีก นี่มันคนไทยชัดๆ”
ซีซีมองอย่างระอา ที่ยามาดะเมาหลับสนิท ไม่รู้สึกตัว
ค่ำคืนนั้น...นับดาวล้มตัวลงนอน ไม่ล้างหน้า ไม่เปลี่ยนชุด
“เรื่องอะไรจะอาบน้ำ พรุ่งนี้ตื่นมาไม่ได้แบบนี้จะว่าไง”
นับดาวยิ้มหวาน ฝันไปไกล
สายๆของวันต่อมา...เป็นไทเอางานมานั่งทำที่บ้าน เขากำลังจดจ่ออยู่กับจอคอม องอาจเดินเข้ามาหา
“นี่ตัวเลขซัพพลายเออร์ทั้งหมดที่ผมเช็กมาครับ”
“ว่าไงนะ”
เป็นไทหันไปหาองอาจแต่ผิดด้าน องอาจชี้
“ทางนี้”
เป็นไทหันมาหาองอาจ
“โทษทีว่ะ หูมันอื้อๆ ก้องๆ มากเลย”
“คุณไทไปทำอะไรมาครับเนี่ย สภาพถึงได้เป็นแบบนี้”
“โดนตบหูน่ะสิ”
องอาจตกใจปนแปลกใจ
“ใครตบ...ยูกิจังเหรอ หรือคุณไทคิดจะทำอะไรเธอ เธอเลยตบหูเข้าให้”
เป็นไทเซ็งเลย
“อย่าเพิ่งคิดเองเออเองได้มั้ย แค่นี้ผมก็ปวดหัวจะตายอยู่แล้ว”
องอาจยิ้มแหยๆ
“แหะ แหะ”
“โดนเด็กแว๊นส์ที่ไหนไม่รู้ อยู่ก็เดินมาตบหูซะงั้น”
“ดีมันไม่ขับมอเตอร์ไซค์ชน”
“ก็ลองดูซิ แค่มันทำแค่นี้นะ ผมก็เสียงานเสียการจะแย่ ถ้าขืนได้เจออีกที ผมเล่นมันตายแน่ คอยดู” แค่คิดแก้แค้น เป็นไทก็ปวดหูปี๊ดขึ้นมาทันที “โอ๊ย...”
“ณ จุดนี้ เอาตัวเองให้รอดก่อนดีกว่า แล้วนี่จะให้ผมบอกคุณแพรวว่ายังไงล่ะเนี่ย”
“ทำไงก็ได้ ให้แพรวอย่าเพิ่งมาเจอฉันสภาพนี้ ฉันขี้เกียจตอบคำถาม”
“แล้วไม่ต้องการคนดูแลเหรอ”
“ก็คุณไง”
องอาจเบ้หน้ารับ
“มีอยู่คนเดียว ใช้ทำทุกอย่าง ยกเว้นให้ไปดูแลผู้หญิง ดีจริง”
องอาจหน้าเซ็งๆ
นับดาวลงมาจากบนบ้าน มาที่โต๊ะอาหาร ในชุดเดิม หน้าเดิมจากเมื่อคืน
“มีอะไรกินมั่งเนี่ย”
รจนาหันไปเห็นก็ตกใจ
“นี่แกเป็นใคร เข้ามาในบ้านได้ยังไง”
“ย่า นี่หนูเอง จำไม่ได้เหรอ”
“หนูไหน...เดี๋ยวปั๊ดฟาดให้”
“นับดาว หลานย่าไง”
“อ๋อ นึกว่าใคร...ห๊า ว่าไงนะ นับดาวเหรอ”
นับดาว ยิ้มหวานให้ย่า
“จ้ะ ย่า”
“คิดยังไงทำตัวสวยขนาดนี้ สวยจนจำไม่ได้เชียว”
“หนูจะดังแล้วนะย่า หนูจะได้เป็นดาราแล้ว”
“ใครบอกแก”
“นุ้ยไง...นุ้ยบอกจะพาฉันไปเป็นดารา”
“ให้มันจริงเฮอะ”
ขณะเดียวกันนั้นเสียงมอเตอร์ไซค์ของวราพรรณส่งเสียงเข้ามา นับดาวดีใจ
“นั่นไง มันมารับแล้ว อวยพรหน่อยสิ”
“ขอให้ดังสมใจละกันนะลูกนะ”
“ย่าน่ารักที่สุดเลย...หนูไปก่อนล่ะ”
“อ้าว ไม่กินข้าวแล้วเหรอ”
“ไม่เอาดีกว่า เดี๋ยวพุงป่อง ไม่สวย”
ย่ามองหลานสาวที่เดินออกไปอย่างมีความสุขที่เห็นความฝันของหลานดูท่าจะเป็นจริงได้มากขึ้น
นับดาวออกมาหาวราพรรณที่หน้าบ้าน วราพรรณอึ้งไป
“นี่ใส่ชุดเดิมเลยเหรอเนี่ย”
“ก็อะไรที่เราชัวร์ว่าสวย ก็อย่าไปเปลี่ยน”
“นี่ไม่ได้ล้างหน้า อาบน้ำเลยใช่มั้ย”
“แกรู้ด้วยเหรอ”
นับดาวดมตัวเองว่าเหม็นมั้ย
“ก็ฉันเป็นเพื่อนแกนี่หว่า แต่ที่ฉันสงสัยคือแกจะไปกับฉันทำไมตั้งแต่เช้าวะ ฉันนัดหัวหน้าไว้ตั้งบ่าย”
“ก็ฉันตื่นเต้น อยู่คนเดียวก็ไม่เป็นอันทำอะไรหรอก”
“เออ แล้วแต่ละกัน แต่ฉันมีธุระหลายที่นะ”
“อืม”
วราพรรณยื่นหมวกกันน็อกใบเดิมให้ นับดาวมองแหยงๆ
“ให้ใส่ใบนี้อีกแล้วเหรอ เมื่อวานกว่าจะเอาออกได้”
“เอาน่า ฉันก็มีอยู่แค่สองใบนี้เท่านั้นแหละ อย่าเรื่องมากเลย ตอนนี้ยังไม่ได้เป็นดาราเว้ย”
“เออๆ”
“ก็อย่าไปเผลอล็อกหมวกอีกล่ะ”
“คิดว่าฉันโง่ขนาดจะทำซ้ำเลยรึไง บ้าน่า”
“เออ ยินดีด้วยที่ฉลาด งั้นไปกันเลยละกัน”
วราพรรณสตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์ นับดาวสวมหมวกกันน็อกปรอทใบเดิม ซ้อนท้ายไป วราพรรณขับมอเตอร์ไซค์ออกไป
อ่านต่อหน้า 3
ฉันรักเธอนะ ตอนที่ 2 (ต่อ)
นับดาวกับวราพรรณเดินผ่านหน้าห้องน้ำในห้างสรรพสินค้า นับดาวหันไปบอกเพื่อน
“เออ นุ้ย...แกไปธุระก่อนเลย เดี๋ยวฉันเดินตามไป ขอเข้าห้องน้ำก่อน”
“ได้...ฉันอยู่ทางโน้นนะ”
วราพรรณชี้บอกแล้วเดินไป นับดาวกำลังจะเดินเข้าห้องน้ำ เดินสวนกับยามาดะที่ท่าทางมึนๆแฮงค์ๆ ทั้งคู่สบตากันพอดี เธอจำเขาได้
“นายคนเมื่อคืน”
ยามาดะไม่ทันตั้งตัวที่ได้เจอนับดาวนึกว่าเป็นยูกิ
“แกอย่าทำอะไรฉันนะ ฉันไม่รู้จักแก ไม่เคยทำอะไรให้แกเลย”
ยามาดะได้ยินว่าไม่รู้จักก็โกรธ
“ตกลงเราจะไม่รู้จักกันจริงๆใช่มั้ย ดี...ผมจะได้ตัดสินใจทำอะไรง่ายขึ้น”
นับดาวตื่นกลัว
“ทำอะไร แกจะทำอะไรฉัน แกเห็นฉันสวย ฉันเอ็กซ์ ใช่มั้ย แกคิดจะข่มขืนฉันใช่มั้ย”
นับดาวถอยหนี ยามาดะเดินตาม
“อย่าคิดมากเลยน่า ผมไม่ได้จะข่มขืนคุณ ผมก็แค่ทำตามหน้าที่เท่านั้น”
“ฉันไม่เชื่อ หน้าแกหื่นขนาดนี้ อย่าเข้ามาใกล้ฉันนะ”
นับดาวพยายามหนี ยามาดะเข้ามารวบเอวจากด้านหลัง เอามือปิดปากไว้ เธอพยายามดิ้นสุดแรงเกิดเอามือเขาที่ปิดปากเธอออกแล้วตะโกนเสียงดัง
“ช่วยด้วย...ช่วยด้วย รปภ. มีคนจะข่มขืนฉัน”
คนเริ่มหันมามอง ยามาดะเห็นท่าไม่ดี เลยรีบวิ่งหนีไป รปภ.มาก็ไม่เจอใครแล้ว นับดาวชี้ไป
“มันไปทางนั้นแล้ว”
รปภ.รีบวิ่งตามยามาดะไป นับดาวเห็นคนมอง เธอรู้สึกอายจึงรีบออกไปจากตรงนั้น
นับดาวรีบเดินมาหาวราพรรณที่กำลังนับยอดนิตยสารบันเทิงไท
“3 4 5 6”
นับดาวเข้ามาบอกอย่างตื่นเต้น
“นุ้ย...แกต้องไม่เชื่อแน่ๆว่าเมื่อกี้ฉันเจออะไร”
“ไม่เชื่อ”
“โอ๊ย...ยังไม่ได้ฟังเลย”
“จะเล่าก็เล่าสิ จะถามทำไม”
วรพรรณนับต่อไม่สนใจเพื่อน
“แกจำคนเมื่อคืนที่ไปอาละวาดที่โต๊ะเราได้มั้ย เมื่อกี้มันจะข่มขืนฉัน ความสวยฉันคงเตะตามันจริงๆ”
“เว่อร์ละ ใครเขาจะข่มขืนคนกลางห้าง”
“จริงๆมันล็อคฉันจะพาฉันเข้าไปห้องน้ำ ดีนะฉันฉลาดเลยรอดมาได้”
วราพรรณยังนับต่อไม่สนใจเพื่อน
“แล้วเขาจับมันได้มั้ยล่ะ”
“ไม่รู้สิ” นับดาวส่ายหน้า
ทางด้านยามาดะวิ่งหนีมาแผนกชุดฉันใน รปภ.ไล่ตามมาติดๆ ยามาดะหลบหลังหุ่นชุดชั้นใน แล้วเขาก็คิดอะไรออกว่าควรจะทำไงดี
รปภ.ยังวนเวียนหาอยู่หน้าแผนกชุดชั้นใน ยามาดะเอาวิกกับชุดที่หุ่นมาใส่ กลายเป็นผู้หญิงล่ำหนวดเฟิ้มผมยาว พันเฟอร์สีชมพูที่คอเดินออกมา เขาพยายามเอามือปิดหน้าโจรๆของตัวเองไว้ แล้วเดินผ่านรปภ.ไป โดยที่รปภ.ไม่ได้สังเกต
ยามาดะวิ่งหนีมาหน้าห้างเขาหยุดพักเหนื่อย แล้วถอดวิกถอดเฟอร์ออก
“หมด...มาดยากูซ่าที่สั่งสมมา...” ยามาดะเขวี้ยงวิกกับเฟอร์ทิ้งอย่างเจ็บใจ “เธอทำฉันแสบมากยูกิ ฉันไม่มีวันใจอ่อนกับเธออีกแล้ว”
ยามาดะวิ่งออกไปอย่างอับอายสุดๆ
นับดาวยังตื่นเต้นกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิด พยายามจะเล่าให้เพื่อนฟัง แต่วราพรรณก็ดูไม่สนใจเอาซะเลย
“แกเคยมั้ยที่แบบตื่นเต้นมากๆ ทำอะไรไม่ถูกอ่ะ แต่ต้องตัดสินใจเดี๋ยวนั้น”
วราพรรณยังนับหนังสืออยู่
“อืม”
“เฮ้ย...นี่แกฟังฉันอยู่มั้ยเนี่ย”
วราพรรณง่วนกับการนับ นับดาวเห็นเพื่อนไม่สนใจก็หงุดหงิด
“งั้นฉันเล่าต่อนะ มันพาพวกมา 3 คน ฉันน่ะร้องตะโกนให้คนช่วยเป็นสิบ ยี่สิบครั้งเลยนะ พอคนเริ่มเห็นมันก็เอามีดมาจี้คอฉัน พาฉันฝ่าฝูงคนออกไป ผ่านไปร้อยคน พันคน หมื่นคน ผ่านร้าน 12 ร้าน...”
“พอแล้ว ฉันนับผิดตั้งแต่แกพูดเลข 3 แรกแล้ว”
“ก็แกไม่ฟังฉัน เพื่อนเกือบตายนะเว้ย”
“แล้วแกดูท่าเหมือนคนเกือบตายมั้ยล่ะ...นี่ฉันนับถึงไหนแล้วเนี่ย”
“นี่แกทำอะไรเนี่ย เมื่อไหร่จะเสร็จ”
“มาเช็คยอดหนังสือว่าขายไปแค่ไหนแล้ว”
“หน้าที่นักข่าวเหรอวะ”
“ไม่ใช่ แต่เขาให้ทำอะไรก็ทำๆไปเถอะ ถือเป็นการเรียนรู้”
“ใช้งานนอกเหนือหน้าที่แบบนี้ เขาจ่ายเงินแกป่าววะ”
“ก็บอกแล้วไง ถือเป็นการเรียนรู้ นี่เขาไม่คิดเงินเพิ่มก็ดีแล้วนะ”
“หืม...แกพูดแบบนี้ ฉันก็ดูเห็นแก่ตัวเลยสิเนี่ย”
วราพรรณหันไปนับต่อไป นับดาวยืนเซ็งๆ
เป็นไทค้นหาของอยู่บนรถของตัวเอง ที่จอดอยู่ในลานจอดรถของคอนโด
“แผ่นคอนเสิร์ตยูกิไปไหนวะเนี่ย บนห้องก็ไม่มี”
ขณะเดียวกันนั้น มอเตอร์ไซค์ของวราพรรณ ที่มีนับดาวซ้อนก็ขับเฉียดหน้ารถเขาไป เป็นไทไม่สังเกตเห็น ยังหาของต่อไป
วราพรรณจอดมอเตอร์ไซค์บริเวณลานจอดรถ ไม่ไกลจากรถเป็นไทเท่าไหร่ เธอถอดหมวกกันน็อค นับดาวลงมายืนยังไม่ถอดหมวกกันน็อค
“ทำไมธุระแกเยอะจัง ไม่เสร็จซักที ฉันจะได้เป็นดารามั้ยเนี่ย”
“ก็บอกแล้วว่าอย่าตามมา ยังจะบ่นอีก”
“ที่นี่นานมั้ย”
“มาเอาไฟล์เอกสาร แป๊บเดียว แกรอตรงนี้แหละ”
“ก็ดี”
“เอาน่า...สถานีต่อไปแกก็ได้เป็นดาราแล้ว”
นับดาวดีใจ
“เออๆ เร็วๆนะ”
“แล้วอย่าไปเล่นอะไรแผลงๆล่ะ เดี๋ยวหมดสวย”
“บ้า ฉันไม่ใช่เด็กนะแก”
วราพรรณเดินไป นับดาวนั่งบนมอเตอร์ไซค์รอ บริเวณนั้นมีคนกำลังทาสีผนังอยู่ไม่ไกล พอวราพรรณออกไป เป็นไทหาเอกสารอยู่ในรถก็เสร็จธุระ ปิดประตูรถ ล็อคแล้วเดินมาทางนับดาว พอดีกับที่นับดาวทำกุญแจตกแล้วก้มลงไปเก็บพอดี เป็นไทก็เดินผ่านไปแบบเซเล็กน้อย ทั้งคู่ไม่เห็นกัน...เป็นไทเดินผ่านมาแล้วก็นึกอะไรขึ้นได้
“เฮ้ย...วันนั้นองอาจมันเอาใส่ไว้ในซองน้ำตาลหลังรถนี่หว่า”
เป็นไทเดินกลับไปที่รถอีกที คราวนี้เขาเห็นนับดาวเต็มๆ เขารีบหลบเพื่อตั้งสติทันที
“ไอ้เด็กแว๊นคนนั้นนี่หว่า”
เป็นไทชะโงกไปดูอีกที
“ชัดเลย หมวกอันนี้ รถคันนี้...หึ..หึ..หึ ไม่คิดเลยว่านาทีของการล้างแค้นจะมาถึงเราเร็วขนาดนี้”
เป็นไทมองซ้ายมองขวาไม่รู้จะแก้แค้นด้วยวิธีไหนดี แล้วเขาก็หันไปเห็นคนที่กำลังทาสีอยู่ ก็ยิ้มออกมาอย่างมีแผนพร้อมกับหัวเราะในคอ
เป็นไทแอบหยิบถังสีกับแปรงทาสีที่วางสำรองของช่างมาอย่างเงียบๆ...นับดาวนั่งรอวราพรรณอย่างเซ็งๆเธอเปิดกระจกหมวกกันน็อคชะเง้อมองเพื่อน
“แป๊บเดียวอะไรเนี่ย หัวฉันลีบหมดแล้วมั้งเนี่ย”
ทันใดนั้นมีคนเอามือมาเคาะหมวกกันน็อคจากด้านหลัง นับดาวคิดว่าเป็นวราพรรณ รีบหันไป เป็นไทเอาแปรงทาสีที่จุ่มสีจนชุ่มละเลงหน้าเธอ ผ่านกระจกที่เปิดอยู่ของหมวกกันน็อค นับดาวตกใจหลับตาปี๋ นึกว่าวราพรรณแกล้ง
“เฮ้ย...ทำอะไรน่ะ เดี๋ยวเข้าตานะเว้ยแก”
เป็นไทหัวเราะ
“เป็นไงล่ะไอ้เด็กแว๊น ทีนี้แกเข้าใจรึยังว่าเวลาแกล้งคนอื่นแล้วเขารู้สึกยังไง”
นับดาวถอดหมวกกันน็อคออก แต่สีเลอะหน้าเธอจนจำเขาไม่ได้
“แกเป็นใครน่ะ มาทำฉันแบบนี้ทำไม”
“นี่เห็นว่าเป็นผู้หญิงหรอกนะ ไม่งั้นผมบ้องหูเหมือนที่คุณทำกับผมไปแล้ว”
นับดาวได้ยินเป็นไทพูด ก็ปาดสีออกจากตา หรี่ตามอง
“นี่คุณเองเหรอ”
“ใช่...ผมเอง คิดว่าเป็นใครล่ะ สร้างศัตรูไว้เยอะน่ะสิ”
นับดาวอยากจะร้องไห้
“คุณไม่รู้หรอกว่าคุณทำอะไรลงไป”
“รู้สิ...เพราะผมตั้งใจ แค่นี้ยังน้อยไปด้วยซ้ำกับที่คุณทำกับผม” เป็นไทเอาสีป้ายตามชุด ตามแขนนับดาวอีก “นี่ นี่...สมน้ำหน้า”
นับดาวทรุดลงไปนั่ง
“สีพลาสติกล้างยากหน่อยนะ คงต้องใช้เวลาอีกหลายวัน ถือว่าหายกันก็แล้วกัน”
เป็นไทเดินเฉิบๆออกไป ปล่อยให้นับดาวนั่งเปื้อนสีทั้งหน้า ทั้งตัว ทั้งชุด นั่งร้องไห้อยู่อย่างนั้น...เป็นไทเดินยิ้มมีความสุขกลับห้อง
“ได้แก้แค้นปุ๊บ รู้สึกว่าตัวเองหายเป็นปกติทันทีเลย หึ หึ หึ”
เขาเดินยิ้มควงกุญแจรถ มีความสุข
วราพรรณเดินมายังรถตัวเองที่จอดอยู่ที่ลานจอด
“เสร็จละ ไปเหอะ” วราพรรณเห็นนับดาวกอดเข่าเอาหน้าฟุบร้องไห้อยู่ก็ตกใจ “เฮ้ย เป็นไร”
นับดาวหันหน้ามาหาหน้าเปื้อนสี ร้องไห้จ๊าก วราพรรณถอนใจ
“บอกแล้วไงว่าอย่าเล่นอะไรแผลงๆ สภาพนี้ถ้าไปหาเจ้านายฉัน เขาคงไล่แกไปก่อสร้างมากกว่าเป็นดารา”
นับดาวสะอื้น
“ไอ้นั่นมันทำฉัน ฉันไม่เหลืออะไรแล้ว”
วราพรรณคิดๆประมวลผล
“ถ้าให้ฉันเดา ช่างทาสีมันข่มขืนแกใช่มั้ย”
“ไม่ใช่...ไอ้คนนั้นที่มันขับรถชนฉัน”
“ตกลงคนนั้นมันข่มขืนแก”
“ไม่ใช่ มันแกล้งฉัน มันเอาซุปเปอร์สตาร์ไปจากฉันแล้ว”
“ไม่เป็นไรเว้ย เอาไว้นัดใหม่วันหลังก็ได้”
“ก็แกบอกเองว่าเจ้านายแกหาคิวพบยาก แถมถ้านัดไม่เป็นนัดจะเสียเครดิตไง”
“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวฉันพยายามใหม่ ไม่ต้องร้องไห้นะเว้ย”
วราพรรณได้แต่ปลอบเพื่อน นับดาวร้องไห้เสียใจเหมือนเด็กๆ
เย็นนั้น นับดาวหน้าเปื้อนสีที่ยังล้างออกไม่หมด นั่งเซ็งๆอยู่บนโต๊ะกินข้าว รจนากลับมาบ้าน ซื้อของทำกับข้าวมาเต็มไปหมด
“ว่าไงล่ะแม่ดารา แล้วนั่นหน้าไปโดนอะไรมา เขาให้เล่นไอ้มดแดงรึไง”
นับดาวหน้าหงิกงอ
“ยังไม่ได้เป็น”
“เห็นหน้าก็รู้แล้ว”
“แต่มันไม่ใช่เพราะหนูหรอกนะย่า”
“จะเพราะใคร เราก็ยังไม่ได้เป็นอยู่ดี”
“แต่หนูจะต้องเป็นให้ได้ในวันนึงล่ะ”
“ไม่คิดว่ากำลังฝันเกินตัวไปเหรอเรา ดูเราซิ งานยังไม่มีทำเลย เงินนี่ไม่ต้องพูดถึง ถ้าย่าตายไปจะทำยังไง ทำอะไรที่มันใกล้ตัวก่อนดีมั้ยลูกเอ้ย”
“หนูเลิกฝันไม่ได้หรอกย่า ความฝันมันคือชีวิตหนู”
“งั้นก็แวะมาอยู่กับความจริงบ้างก็ดีนะ...ที่ย่าพูดเนี่ย เพราะเป็นห่วงนะ อยากให้เราดูแลตัวเองได้ ย่าจะได้ตายตาหลับ”
“ย่าน่ะ เอาเรื่องตายมาดับฝันหนูตลอดเลย หนูสัญญาว่าจะหางาน แต่ย่าก็ต้องสัญญาว่าจะไม่บอกให้หนูหยุดฝันเหมือนกัน”
รจนาถอนหายใจกับพฤติกรรมของหลานสาว ก่อนจะเดินออกไป นับดาวหันไปเห็นพริกแห้งที่ย่าซื้อมาในถุง เธอมองมันอย่างคั่งแค้น
สังวรณ์ร้องคาราโอเกะเพลงเกาหลีอยู่อย่างเมามันทั้งร้องทั้งเต้น ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูดังขึ้น สังวรณ์เสียอารมณ์ที่มีคนขัดจังหวะ ปิดเพลงแล้วมานั่งที่โต๊ะ ทำเสียงเข้ม
“เข้ามา”
วราพรรณเปิดประตูเข้ามา
“อ้าว...คุณนั่นเอง” สังวรณ์มองๆ “ไหนบอกจะพาเพื่อนที่หน้าเหมือน ไอ ยูกิมาไง”
“คือเกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยน่ะค่ะ”
“ดีจัง อยากเป็นดาราแต่เบี้ยวคนจะให้โอกาสซะงั้น คงจะดังหรอกนะแบบนี้”
“มีอุบัติเหตุจริงๆค่ะ”
“ผมไม่สนหรอก ใครจะเป็นจะตาย แล้วนี่ไม่ได้พาเพื่อนมาแล้วมาทำไม”
“คือฉันมีสิ่งที่คิดว่าคุณซังวอนน่าจะสนใจมาให้ดูน่ะค่ะ”
“สิ่งที่ผมน่าจะสนใจเหรอ คุณคงไม่ทำผมผิดหวัง 2 ครั้งติดกันหรอกนะ ผมเกลียดความผิดหวังเป็นที่สุด”
สังวรณ์มองวราพรรณอย่างกดดัน
นับดาวหยิบกระปุกเกลือวางบนโต๊ะ แล้วหยิบพริกแห้งจากถุงออกมา ตักเกลือใส่ช้อนแล้วบี้พริกรวมไปกับเกลือบนช้อน พร้อมกับจุดไฟแช็คเผาหน้าตาเธอเคียดแค้นมาก
“แกทำให้ฉันไม่ได้เป็นดารา ฉันก็ขอให้แกไม่ประสบความสำเร็จในความฝันของแก...” นับดาวจริงจังมาก “แกทำให้ฉันตกงาน ฉันก็ขอให้แกไม่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานเหมือนกัน”
ไฟลุกไหม้ในช้อน นับดาวมองอย่างคั่งแค้น
วราพรรณหยิบรูปปาปารัชชี่ ที่เธอถ่ายยูกิ กับเป็นไทที่โรงพยาบาล ให้ดู สังวรณ์ดูด้วยความโมโห
“นี่มันไอ ยูกิ กับไอ้เป็นไทนี่”
“ฉันเจอเธอกับผู้ชายคนนี้ที่โรงพยาบาล ดูหนุงหนิงกันมาก ฉันเลยถ่ายรูปมาค่ะ”
“ดี...เธอทำดีมาก เอาลงฉบับพรุ่งนี้เช้าเลย พาดหัวให้ใหญ่ที่สุดเลย”
“ได้ค่ะ”
“ไปได้แล้ว”
วราพรรณเดินไปจากห้อง สังวรณ์มองรูปแล้วขยำทิ้ง
“ไอ้เป็นไท นอกจากแกจะแย่งตัวไอยูกิจากฉันไปแล้ว แต่ยังคิดจะชิงหัวใจไปด้วยเหรอ ไม่มีทางหรอก ฉันจะทำทุกอย่างที่แกวางแผนไว้ให้พังให้หมด”
สังวรณ์ยิ้มสะใจที่ได้โอกาศเล่นงานเป็นไท เขากดรีโมทเพลย์คาราโอเกะเกาหลีต่อ แล้วก็กลับมาร้องและเต้นเหมือนเป็นคนละคนกับคนที่แค้นเมื่อกี้
เป็นไทนั่งดูทีวีอยู่ในห้อง อยู่ๆเขาก็สะดุ้งขึ้นจากโซฟา เขาหันมองโซฟาด้านหลังตัวเองเอามือจับหลังด้วยสีหน้าแปลกใจ
“อยู่ๆก็ร้อนหลังวูบ คงไม่ได้มีใครแช่งเราอยู่หรอกมั้ง”
เป็นไทไม่สนใจแล้วก็นึกอะไรได้ หยิบโทรศัพท์มาโทรหายูกิอย่างคิดถึง
ยูกิเดินอยู่ที่ทางเดินของโรงแรมกำลังจะกลับห้อง โดยมียามาดะสะกดรอยตามเธอมาห่างๆ เสียงโทรศัพท์เธอดังขึ้น ยูกิกดรับสาย
“สวัสดีค่ะ”
“วันนี้เป็นไงบ้างครับ”
“ฉันต่างหากที่ต้องถามคุณ คุณเป็นคนป่วยนะ”
“ผมสบายดีแล้ว เลยว่าจะชวนยูกิจังไปเที่ยวกันพรุ่งนี้”
ยูกิดีใจ
“จริงเหรอ ทำไมหายเร็วจัง”
“ได้ยาดี”
“ถ้าหายจริงๆก็ดีสิ ฉันไม่อยากจะบอกเลยว่าวันนี้ฉันเบื่อมากเลย”
“เพื่อเป็นการไถ่โทษ พรุ่งนี้ยูกิจังอยากไปไหน ผมจะพาไปหมดเลย”
“ดีสิ ฉันจะตั้งตาคอยเลย”
“ผมก็เหมือนกัน”
เป็นไทวางโทรศัพท์ด้วยรอยยิ้ม ยูกิก็เช่นกันเธอเปิดประตูเข้าห้องไป ยามาดะเดินออกมาจากที่ซ่อน เขามองด้วยแววตาร้ายกาจ
เช้าวันใหม่...หนังสือพิมพ์บันเทิงที่มีภาพเป็นไทกับยูกิทั้งโอบทั้งกอดกัน ถูกวางตามร้านหนังสือ...แพรวไพลินอารมณ์เสียเดินถือหนังสือพิมพ์เข้ามาในห้องไม่เห็นเป็นไทอยู่ที่โต๊ะ พนักงานกำลังเดินออกจากห้อง เธอรีบถาม
“พี่ไทไปไหน”
“คุณไทกำลังประชุมเรื่องคอนเสิร์ตไอ ยูกิ ค่ะ”
แพรวไพลินร้อนใจ แต่แล้วเป็นไทก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับองอาจพอดี ยังคุยงานต่อเนื่องกันเข้ามา
“เดี๋ยวคุณตามเรื่องคนที่จะมาดูแลเรื่องเครื่องเสียงแล้วก็ไฟในคอนเสิร์ตก่อนเลยนะ รายที่เราสรุปกันนั่นแหละ”
“ได้ครับ...แล้วใครจะเป็นคนคอยดูแลคุณ ไอ ยูกิ ละครับ”
“เรื่องนั้นเป็นหน้าที่ผมเอง”
เป็นไทเดินไปที่โต๊ะ องอาจหมั่นไส้เจ้านาย ทำเสียงล้อ
“เรื่องนั้นเป็นหน้าที่ผมเอง”
เป็นไทกับองอาจเพิ่งเห็นว่าแพรวไพลินนั่งอยู่ในห้องนั้นด้วย องอาจหันไปยิ้มทักทาย
“สวัสดีครับคุณแพรว”
แพรวไพลินไม่สบอารมณ์ สวนขึ้นทันที
“เดี๋ยวฉันขอคุยกับพี่ไทเป็นการส่วนตัวหน่อยนะ ส่วนกับคุณน่ะ เราคงต้องคุยกันยาวเหมือนกัน”
“อูย งานเข้า”
องอาจรีบปลีกตัวออกไป เป็นไทยังไม่รู้ว่าเรื่องอะไร
“มีเรื่องอะไรเหรอแพรว ไม่ใช่เรื่องยาวใช่มั้ย”
“ทำไมคะ พี่ไทมีธุระที่ไหนเหรอ”
แพรวไพลินจ้องหน้า
ไอยูกิหยิบโทรศัพท์มือถือโทรหาเป็นไท เธอถือสายรอเป็นไทรับสาย ยามาดะที่อยู่หน้าฟิตเนสมองแล้วก็เปิดขวดน้ำเอายาบางอย่างใส่ลงไปในขวดน้ำ
ทางด้านแพรวไพลินมองหน้าเป็นไทอย่างจับผิด
“ทำไมต้องมองพี่แบบนั้นด้วย มีอะไร”
“พี่ไทกำลังคิดนอกใจแพรวอยู่รึเปล่า”
“นอกใจอะไร แพรวเอาที่ไหนมาพูด”
ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์เป็นไทดังขึ้นมาขัดจังวะ เป็นไทเห็นชื่อกำลังจะรับ แพรวไพลินแย่งมาจากมือเพื่อดูชื่อ เธอเห็นชื่อที่โทรเข้ามาเขียนว่า “ยูกิจัง”
“ยูกิจังเหรอ เพิ่งมาเมืองไทยแค่ไม่กี่วันเดียว สนิทกันขนาดเรียกว่ายูกิจังแล้วเหรอ”
“แพรวเอาโทรศัพท์คืนพี่มา พี่ต้องดูแลลูกค้า”
“การดูแลลูกค้าของพี่เนี่ย มันต้องโอบ ต้องกอดกันด้วยเหรอ”
“แพรวเอาอะไรมาพูด...ส่งโทรศัพท์มาให้พี่เถอะ”
แพรวไพลินโยนหนังสือพิมพ์ใส่หน้าเขา
“อธิบายมาซิ”
เป็นไทหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นดู ตกใจอยู่เหมือนกัน
“ไม่มีอะไรหรอก แพรวก็รู้พวกปาปารัชชี่เป็นไง”
“ทำไม...พี่ไทจะบอกว่าไปหลายคนแต่เขาครอปเหลือแค่สอง หรือว่ามันเป็นภาพตัดต่อ”
“ไร้สาระน่าแพรว อย่าหาเรื่องพี่ดีกว่า แพรวก็รู้ว่าพี่ทำงาน”
“ทำงาน โอเค แล้ววันนี้นัดกับลูกค้าว่าจะไปไหนละคะ ถึงได้เลื่อนประชุมเป็นตอนเช้า แล้วลูกค้าก็ต้องโทรมาตามแบบนี้”
“เลื่อนประชุมอะไร”
“ปกติพี่ไทเคยประชุมเช้าด้วยเหรอคะ แค่ตื่นยังสายเลย”
เป็นไทเถียงไม่ออก พยายามเปลี่ยนเรื่อง
“แพรวอย่าทำตัวแบบนี้สิ ไม่น่ารักเลย”
“พี่ไทก็อย่าทำตัวแบบนี้สิ ไม่น่ารักเหมือนกัน”
“พี่ก็ทำงานของพี่ปกติ”
“ได้...พี่จะไปทำงานก็ได้ค่ะ แต่ต้องพาแพรวไปด้วย”
เป็นไทหน้าตื่น
“เฮ้ย!”
“ทำไมคะ ก็เงินของแพรวไม่ใช่เหรอที่ทำให้พี่ได้ประมูลโปรเจ็คนี้มา ทำไมแพรวจะไปไม่ได้”
แพรวไพลินหน้าตาจริงจังยื่นคำขาด เป็นไทลำบากใจ
ยูกิวางโทรศัพท์หน้าเซ็งๆที่เป็นไทไม่รับโทรศัพท์ ยามาดะมองอยู่หน้าฟิตเนส ยื่นน้ำให้พนักงานฟิตเนส ชี้ไปที่ยูกิ
“บอกว่าเป็นบริการของทางโรงแรม ไม่ต้องบอกว่ามาจากผม”
พนักงานฟิตเนสพยักหน้าเข้าใจ แล้วเดินไปหายูกิ
ไม่ว่าเป็นไทจะเดินไปไหน แพรวไพลินก็ตามติดทุกฝีก้าว เขาหยุดเธอก็หยุด เขานั่งเธอก็นั่งข้างๆ เป็นไทอึดอัด พยายามจะหาวิธีหนีจากแพรวไพลิน เขาชะโงกไปนอกหน้าต่าง ทำท่าตกใจ
“เฮ้ยแพรว ช้างตัวเบ้อเริ่มเลย”
แพรวไพลินทำหน้าเซ็ง
“แพรวไม่ใช่เด็กนะคะ จะได้หลอกได้ง่ายๆ ช้างก็มีถมไปในกรุงเทพ ไม่เห็นแปลกตรงไหน”
“แปลกสิ นี่ช้างสามหัวเลยนะ โอ้โหดูดิ คนดูกันใหญ่เลยอ่ะ”
“ช้างสามหัวที่ไหนจะมาเดินเพ่นพ่านแถวนี้ อีกอย่าง แพรวไม่ชอบช้าง”
เป็นไทพยายามหาทางล่อหลอก
“แต่เหมือนเขาจะเอาช้างมาทำแคมเปนของกระเป๋าหลุยส์นะ ดูนั่นสิ กระเป๋ารุ่นใหม่ซะด้วย”
พอได้ยินชื่อแบรนด์เนมแพรวไพลินรีบวิ่งไปดูทันที
“ไหนๆ รุ่นลิมิเต็ดรึเปล่า”
เธอชะโงกหาสิ่งที่เขาพูดแต่ไม่มี
“พี่ไท...อยู่ตรงไหนล่ะ”
แพรวไพลินหันมาไม่เห็นเป็นไทซะแล้ว เธอเจ็บใจมาก
“ใครจะเอาช้างมาโปรโมทกระเป๋าเล่า...หลงกลจนได้”
แพรวไพลินรีบเดินตามออกไป
เป็นไทรีบถอยรถจะขับออกไปแต่แพรวไพลินก็มาขวางหน้ารถไว้ เขาเบรกหัวทิ่ม
“คิดว่าจะหนีไปไหนได้เหรอพี่ไท”
เป็นไทเซ็งที่แพรวไพลินมาทันจนได้ เขาหันไปเห็นเสื้อสูทตัวเองที่แขวนไว้หลังรถ จึงหยิบออกมา เปิดกระจกเอาสูทยื่นไปนอกรถ แพรวไพลินสงสัย
“พี่ไทคิดจะทำอะไรน่ะ นั่นเสื้อสูทตัวนั้นของพี่ไท มันของอาร์มานี่ไม่ใช่เหรอ”
“ใช่จ้ะ”
เป็นไทโยนสูทออกไปข้างทาง แพรวไพลินร้องกรี๊ดเสียงหลง
“พี่ไทคิดจะทำอะไรน่ะ”
เธอวิ่งออกจากที่ขวางหน้ารถตามมาเก็บสูทที่ถูกทิ้ง เป็นไทยิ้มหวานให้
“พี่ไปทำงานก่อนนะแพรว อย่าโกรธกันนะ”
เขาขับรถออกไปเลย แพรวไพลินเจ็บใจที่หลงกลอีกครั้ง
“พี่ไทกลับมานะ พี่ไท...กลับมา”
ยูกิรับน้ำจากพนักงานฟิตเนส เธอยิ้มขอบคุณ
“ขอบคุณค่ะ”
พนักงานฟิตเนสเดินออกไป ยูกิเปิดน้ำจะดื่ม ยามาดะแอบมองอย่างลุ้นๆ ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์จากเป็นไทเข้ามาพอดี ยูกิยังไม่ได้ดื่มรีบกดรับสาย
“ฮัลโหล”
เป็นไทขับรถคุยบลูทูธกับยูกิ
“ขอโทษที พอดีเมื่อกี้ประชุมอยู่น่ะครับเลยไม่ได้รับสาย”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
“ตอนนี้ผมกำลังขับรถไปรับแล้วนะครับ”
“โอเคค่ะ คุณสบายดีแล้วแน่นะคะ”
“แน่นอนครับ ว่าแต่ยูกิจังโทรมามีอะไรครับ”
“แค่อยากเช็คดูว่าคุณไหวมั้ย”
“ไหวไม่ไหวไม่รู้ แต่ถ้าเหาะได้ผมเหาะไปรับยูกิจังแล้ว”
“โอเค แล้วเจอกันค่ะ”
เป็นไทยิ้ม รีบขับรถไปรับยูกิ ขณะเดียวกันนั้นโทรศัพท์จากแพรวไพลินโทรเข้ามาเป็นไทปิดเครื่องทันที
ยูกิกดวางสาย ยามาดะที่แอบดูลุ้นต่อให้เธอกินน้ำ ยูกิเก็บโทรศัพท์ ทำโน่นทำนี่ ยามาดะลุ้นมาก ในที่สุดยูกิก็เปิดขวดน้ำ แล้วก็กิน ยามาดะยิ้มออกอย่างโล่งใจ
ยูกิเดินกลับห้องอย่างสบายใจ อยู่ๆเธอก็มึนหัวขึ้นมาเซไปพิงข้างฝา เธอรวบรวมแรงจะเดินไปให้ถึงห้องที่อยู่ไม่ไกลแล้วเธอก็ล้มลงแต่เธอยังพอมีสติอยู่บ้างขณะที่นอนอยู่กับพื้น เธอเห็นคนเดินเข้ามาคนนั้นหน้าตาเบลอๆไปตามฤทธิ์ของยา ยูกิพยายามกดโทรศัพท์โทรออกหาเป็นไทแต่ไม่มีแรงแม้จะยกขึ้นมาแนบหู เสียงจากโทรศัพท์บอกว่าเป็นไทปิดเครื่อง ยามาดะเดินเข้ามาถึงตัวเขานั่งยองๆลงมาดู เวลานั้นสติสัมปชัญญะของยูกิก็วูบดับลง
เป็นไทเดินเข้ามาในล็อบบี้โรงแรม มองหายูกิ แต่ก็ไม่เห็น เขาเดินไปถามเคาน์เตอร์
“คุณไอยูกิ ห้อง 801ลงมารึยังครับ”
พนักงานเช็คล็อคเกอร์ที่วางกุญแจของแต่ละห้อง
“ไม่ได้ฝากกุญแจไว้นะคะ”
“งั้นฝากโทรเช็คหน่อยได้มั้ยครับ”
“ค่ะ”
ระหว่างรอ เป็นไทก็หันซ้ายแลขวาหายูกิ เป็นเวลาเดียวกับที่ยามาดะลากกระเป๋าเข็นใบใหญ่ขนาดพอที่จะใส่คนลงไปได้มาเช็คเอ้าท์หน้าเค้าน์เตอร์ เป็นไทไม่ได้สนใจยามาดะ
“เช็คเอ้าท์ครับ”
“ค่ะ” พนักงานเรียกเป็นไท “คุณคะ ไม่มีคนรับนะคะ อาจจะลงมาแล้วก็ได้ค่ะ”
“ขอบคุณครับ”
เป็นไทมองหายูกิโดยไม่สงสัยยามาดะแม้แต่น้อย
เป็นไทนั่งบนโซฟามองหายูกิ แต่ก็ไม่เห็น เขาดูนาฬิกาแล้วตัดสินใจหยิบโทรศัพท์มาเปิดเครื่องแล้วโทรหา ขณะที่ยามาดะลากกระเป๋าใบใหญ่ผ่านหลังไป โดยที่เขาไม่ได้สนใจ เสียงโทรศัพท์ดังจากกระเป๋าลากใบใหญ่ของยามาดะขึ้นมา เป็นไทหันไปมองหาต้นเสียง เดินมาใกล้ๆ ยามาดะทำเป็นร้องเพลงกลบแล้วรีบลากกระเป๋าออกไป เป็นไทไม่ทันสงสัยอะไร
ยามาดะถอนหายใจโล่งอกที่รอดจากการสงสัยมาได้
“เกือบไป”
ยามาดะยกกระเป๋าใบใหญ่ขึ้นรถอย่างทุลักทุเลมาก พอวางเสร็จเขาก็เปิดกระเป๋า ยูกิหลับไม่ได้สติอยู่ในนั้น ยามาดะหยิบโทรศัพท์ของยูกิออกมาปิดเครื่อง แล้วก็ปิดกระเป๋าลงอีกครั้ง
“นอนหลับไปในนี้ก่อนแล้วกันนะ ฉันรับรองว่าไม่ปล่อยให้เธอตายง่ายๆหรอก”
ยามาดะปิดรถ แล้วก็เข้าไปนั่งขับรถออกไป
เป็นไทรออยู่นานามากจึงตัดสินใจมาเคาะประตูห้องยูกิ
“ยูกิ...นี่ผมเองนะ...ยูกิ”
ไม่มีเสียงตอบรับมา เขาลองหมุนลูกปิดเห็นว่าไม่ได้ล็อคก็เปิดเข้าไปในห้อง...เป็นไทเข้ามาในห้องเรียกหายูกิไปทั่วห้องตามมุมต่างๆ ทั้งในห้องน้ำ ห้องครัว แม้กระทั่งในตู้เสื้อผ้า แต่ก็ไม่มีเธออยู่ สภาพห้องก็เหมือนคนไม่ได้ตั้งใจจะไปไหน เพราะข้าวของก็วางอยู่ทั่วห้อง เป็นไทเริ่มกังวลใจ
องอาจกำลังดูภาพปาปารัชชี่เป็นไทกับยูกิในหนังสือพิมพ์บนโต๊ะ
“กะแล้วเชียวทิ้งไว้สองคนไม่ได้ เหมือนฝากแมวไว้กับปลาย่าง เอ๊ะ หรือปลาย่างไว้กับแมววะ”
แพรวไพลินเดินเข้ามา อารมณ์ไม่ค่อยดี
“ใครแมว ใครปลาย่าง”
องอาจหันไปตามเสียง
“คุณแพรว”
“ไหนคุณบอกฉันว่าพี่ไทประชุมทั้งวัน ไม่มีเวลาไปไหนเลยไง แล้วนี่อะไร”
แพรวไพลินชี้หนังสือพิมพ์ องอาจจ๋อยไปนิดก่อนจะแก้ตัว
“ก็มีเข้าไปคุยงานกับคุณยูกิเขานิดหน่อยน่ะครับ ไม่ได้มีอะไรเลย ภาพนี่เป็นเรื่องของมุมกล้องเลยเข้าใจผิดมากกว่าน่ะครับ จริงๆผมก็อยู่ด้วยนะครับ” องอาจทำเป็นชี้ไปมั่วๆที่ภาพ “ผมยืนอยู่ตรงนี้ เขาถ่ายไม่เห็นเอง”
“ฉันจะรู้ได้ไง ว่าคุณไม่ได้โกหกเพื่อช่วยเจ้านาย”
“โกหกอะไร หน้าตาผมดูเหมือนคนขี้โกหกเหรอครับ”
“ใช่...”
องอาจหน้าเสีย
“อูยย...”
แพรวไพลินแค้นๆ
“อย่าให้ฉันจับได้นะ ว่ามีใครโกหกปิดบังฉัน ฉันจะไล่ออกให้หมดเลย”
องอาจกลืนน้ำลายเอื๊อก
“รับประกัน ไม่มีแน่นอนครับ”
“แล้วถ้าพี่ไทกลับมา โทรรายงานฉันด่วน เข้าใจมั้ย ฉันมีเรื่องต้องจัดการพี่ไทอีกยาว”
“ครับ...ได้ครับ”
แพรวไพลินเดินไม่พอใจออกไป องอาจโล่งใจที่แพรวไพลินกลับไปได้
“เรื่องในครอบครัวก็ต้องดึงเราเข้าไปเกี่ยว นี่มันนอกเหนือหน้าที่ชัดๆนะเนี่ย คุณไท”
ขณะเดียวกันนั้นพนักงานเดินมาตามองอาจ
“พี่องอาจคะ”
“คงไม่ได้มีปัญหาอะไรให้ฉันไปแก้อีกนะ”
“ต้นสังกัดไอยูกิ โทรมาสาย 3 ค่ะ”
องอาจเซ็งเลย
“นั่นไง”
“เดี๋ยวโอนมาให้เลยนะคะ”
องอาจถอนหายใจยาว เบื่อๆกับปัญหาที่เข้ามา
องอาจกำลังร้อนใจ ยืนรอเป็นไทอยู่หน้าออฟฟิศ เป็นไทเดินเข้ามาอย่างร้อนใจเช่นกัน
“คุณไทมาพอดี”
“มีเรื่องอะไร ถ้าไม่สำคัญไม่ต้องพูดนะ”
“สำคัญครับ”
“ว่ามา”
“ทางต้นสังกัดของยูกิไม่พอใจมากโทรมาตำหนิเรื่องข่าวที่ลงวันนี้ใหญ่เลยครับว่ามันเกิดเหตุการณ์แบบนั้นได้ยังไง แล้วเขาบอกว่าติดต่อยูกิจังไม่ได้ ต้องการให้คุณกับยูกิจังเข้าไปคุย แล้วอยากให้จัดแถลงข่าวให้เร็วที่สุดครับ”
“โอเค เรื่องนั้นมันไม่มีอะไร ฉันอธิบายได้ เรื่องเล็ก”
“ค่อยสบายใจหน่อย ผมรู้ว่าคุณไทคงจัดการได้...งั้นผมนัดให้ไปต้นสังกัดพรุ่งนี้เลยดีมั้ยครับ”
“ใจเย็น...ผมมีปัญหาสำคัญกว่านั้นมาบอกคุณ แต่คุณต้องสัญญาว่าเรื่องนี้จะเป็นความลับระหว่างเราแค่ 2 คนเท่านั้น”
“โอ้ว...สำคัญจริงๆ ได้ครับ ผมจะไม่ปริปากบอกใคร”
เป็นไทหน้าตาจริงจัง องอาจก็อยากรู้ว่าเรื่องอะไร
เป็นไทพาองอาจมากินข้าว องอาจหิวกินใหญ่ แล้วก็นึกได้
“เออ แล้วเรื่องที่จะเป็นความลับระหว่างเรา คืออะไรกันครับ”
“คืองี้นะ คือยูกิจังหายตัวไป”
“โธ่ นึกว่าเรื่องอะไร” องอาจกินช้าวต่อแล้วก็คิดได้ว่าเรื่องใหญ่ อาหารพุ่งออกจากปาก “ยูกิจังหายไป ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“เมื่อกลางวันนี้ ตอนเช้าผมยังคุยโทรศัพท์กับเธอนัดกันอยู่เลย แต่พอไปถึงโรงแรมเธอก็หายไป แต่ของในห้องยังอยู่”
“แค่ออกไปเที่ยวไหนละมั้ง”
“ผมก็คิดงั้น แต่รออยู่จนเย็นก็ไม่มีวี่แววจะกลับมา โทรไปก็ปิดมือถือ”
“แล้วนี่แจ้งตำรวจไว้รึยังครับ”
“นี่...ผมบอกคุณแล้วไง ว่าเรื่องนี้เราจะรู้กันแค่สองคน”
“รู้กันสองคนแล้วไงครับ สืบทอดเป็นมรดกต้นตระกูลส่งต่อไปถึงรุ่นลูกรุ่นหลานเหรอ ปู่เขียนพินัยกรรมว่ามีคนหายตัวไป รู้กันแค่สองคนนะ...จะบ้าเหรอครับ เรื่องใหญ่ขนาดนี้ คนหายตัวไปทั้งคนนะครับ จะบ้าซุบซิบ ยุกยิกกันแค่สองคนได้ไง”
“คุณอยากให้เป็นข่าวหน้าหนึ่งรึไง มันจะไม่ใช่ข่าวใหญ่แค่ประเทศเราประเทศเดียวนะ”
“รู้เยอะๆสิดี จะได้ช่วยกันตามหา”
“แล้วไม่คิดถึงคอนเสิร์ตที่จะต้องล่ม ภาพลักษณ์บริษัทเราถึงการดูแลศิลปินที่ไม่เป็นมืออาชีพ คุณไม่แคร์สิ่งที่เราสร้างกันมากว่าจะมีวันนี้เลยรึไง”
องอาจคิดตาม
“แล้วคุณไทจะจัดการเรื่องนี้ยังไง”
“เราสองคนต้องตามหาไอยูกิให้เจอ”
องอาจหัวเราะประชด
“ตลกละ คนมีอยู่สองคน จังหวัดมี 76 จังหวัด เราจะรู้ได้ไงว่ายูกิจะอุตริไปเที่ยวกาฬสินธุ์ หรือ อำเภอหนองไทรงามที่ไหนรึเปล่า เราจะไปตามเจอได้ยังไง หรือจะบินกลับประเทศไปรึเปล่าก็ไม่รู้”
“มันคือความหวังไง หวังว่าพรุ่งนี้หรือมะรืนเขาจะกลับ เราก็ทำได้แค่นั้น”
“แล้วนี่รู้รึเปล่าที่เขาหนีหายไปเพราะอะไร”
“ไม่รู้เหมือนกัน อาจจะเป็นเพราะข่าวที่ลงก็ได้มั้ง”
“งั้นก็หนีไปเพราะคุณไท”
“เออ รู้แล้ว ไม่ต้องย้ำ”
“แล้วเราจะทำยังไงต่อไป”
“เดี๋ยวคุณไปเฝ้าที่โรงแรม อย่ามีพิรุธ อย่าให้ใครสงสัยเด็ดขาด ส่วนผมจะไปตามที่ต่างๆที่ผมเคยพายูกิไป”
“สองคน”
เป็นไทพยักหน้ารับ องอาจถอนหายใจยาว
ค่ำนั้น ยามาดะพายูกิมาที่รีสอร์ทริมทะเล เขาอุ้มยูกิออกมาจากกระเป๋าค่อยๆวางลงบนเตียงอย่างทะนุถนอมจ้องมองดูใบหน้าของเธอยามหลับช่างไร้เดียงสา ยามาดะจับปอยผมของเธอที่ลงมาปรกหน้าขึ้นไปอย่างเอ็นดู
“คุณบังคับผมให้ทำแบบนี้เองนะ”
ยามาดะลุกขึ้นแล้วเดินออกไปข้างนอก...เขาเดินครุ่นคิดเรื่องต่างๆไปที่ริมทะเล ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เขาทำมันถูกหรือผิดกันแน่ ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เขากดรับสาย
“ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เธออยู่ที่เกาะ”
ยามาดะวางสายอย่างไม่สนใจฟังคู่สนทนา เขาเดินครุ่นคิดต่อไป
อ่านต่อหน้า 4 เวลา 12.00 น.
ฉันรักเธอนะ ตอนที่ 2 (ต่อ)
ค่ำนั้น...เป็นไทเปิดประตูคอนโดห้องตัวเองเข้าไปมืดๆ เหนื่อยใจที่ยูกิหายไป เขาเอื้อมมือไปเปิดไฟ แล้วก็ต้องสะดุ้ง เพราะเมื่อไฟเปิด ก็เห็นแพรวไพลินนั่งรอเขาอยู่หน้าเครียด
“เฮ้ย...แพรว เข้ามาได้ยังไงเนี่ย”
“คิดว่าแค่กุญแจห้องพี่ไท แพรวจะไม่มีเหรอ”
“พี่ว่า พี่ไปหาซื้ออะไรกินข้างล่างก่อนดีกว่า”
แพรวไพลินจ้องหน้าพูดเสียงเข้ม
“แพรวยังไม่อนุญาตให้ไป”
“ดูท่าทางจะอารมณ์ไม่ดีนะ”
“วันนี้พาไอ ยูกิไปไหนมา ทำไมกลับเอาซะป่านนี้”
“ไม่ได้เจอกันเลย”
“อย่ามาโกหก”
“สาบานจริงๆ ไม่ได้เจอกันเลยทั้งวัน ไม่เชื่อถามองอาจได้เลย”
เป็นไทยบอกเซ็งๆ
องอาจเปิดประตูห้องของยูกิเข้าไป ในห้องเงียบๆ องอาจเรียกหายูกิในห้อง
“ยูกิ...ยูกิจัง กลับมารึยัง” องอาจเดินหาไปทั่วห้อง “ยูกิ ผมองอาจเองนะ ยูกิ”
องอาจตามหาทั่วห้องแต่ก็ไม่เห็นวี่แววของยูกิ จึงเปิดประตูห้องน้ำเข้าไปก็ต้องตกใจเมื่อเห็นเงาสะท้อนตัวเอง
“เฮ้ย...โธ่ นึกว่าใคร...เห็นหน้าแกทีไรตกใจทุกที”
องอาจส่ายหัวกับตัวเอง
“แล้วนี่ให้มาเฝ้าที่ห้องเขาแบบนี้ มันจะต้องเฝ้าไปถึงเมื่อไหร่กันเนี่ย จะกลับมารึเปล่าเหอะ”
องอาจระอาใจ
แพรวไพลินยังคงคาดคั้นเป็นไท อย่างไม่เชื่อใจ
“จะไม่เจอได้ไง ก็เมื่อเช้าที่หนีแพรวไป ก็ไปหายูกิไม่ใช่เหรอ”
“แพรว พี่บอกแล้วว่าพี่ไปทำงาน แล้ววันนี้ก็วุ่นๆทั้งวัน พี่ยังไม่ได้พักเลย แพรวอย่าเพิ่งมาคาดคั้นอะไรตอนนี้ได้มั้ย พี่เหนื่อย”
“ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่อง เหนื่อยก็ส่วนเหนื่อย ตกลงชอบไอ ยูกิมั้ย”
“พี่ทำตามหน้าที่ทั้งนั้น”
“แล้วข่าวล่ะ”
“ข่าวก็คือข่าว ใครอยากจะเห็น อยากจะเชื่อยังไงก็เชื่อไป พี่ไม่อธิบายหรอกเรื่องพวกนี้น่ะ ไร้สาระ”
“ก็ได้แพรวจะเชื่อพี่ไทว่าไม่มีอะไร แต่ถ้าแพรวรู้ระแคะระคายอะไร แพรวจะเอ...”
เป็นไทสวนทันที
“เอาเงิน 20 ล้านคืน พี่รู้แล้ว แพรวพูดมาเป็นร้อยครั้งแล้ว”
“พี่ไท...แพรวถามจริงๆเหอะ ยังรักแพรวอยู่รึเปล่า”
เป็นไทไม่ตอบ เดินเข้าห้องไปวางสัมภาระ
“แค่ตอบว่ารักหรือไม่รัก มันยากนักเหรอพี่ไท”
เป็นไทท่าทางเบื่อๆ
“ไม่ยาก แพรวอยากจะฟังมันตอนนี้จริงๆมั้ยล่ะ”
แพรวไพลินกลัวคำตอบ
“ไม่เป็นไรค่ะ พี่ไทไม่ต้องตอบก็ได้ แพรวถามไปอย่างงั้นแหละ”
“แต่ตอนนี้พี่อยากตอบ พี่น่ะมะ...”
แพรวไพลินรีบเอามืออุดหู ทำเสียงกลบ
“ลา ลา ลา ลา ลา ลา”
เป็นไทมองเอือมๆ แพรวไพลินรีบตัดบท
“แพรวกลับก่อนดีกว่า แพรวรู้ว่าพี่ไทเหนื่อย”
เธอรีบหยิบกระเป๋าแล้วเดินออกไปจากห้องทันที เป็นไทได้แต่ถอนหายใจล้มตัวลงบนโซฟา
“ผู้หญิงนี่เข้าใจยากจริง...ยูกิ คุณก็เหมือนกัน ถึงคุณจะโกรธผม ก็ไม่ควรหนีหายไปแบบนี้”
เป็นไทบ่นอย่างเครียดจัด
สายๆของวันใหม่ ยูกิเริ่มรู้สึกตัว เธอตื่นมามึนๆเบลอๆกับยาที่เธอกินเข้าไป ยูกิมองไปรอบด้านรู้สึกไม่คุ้นตาเลย ขณะเดียวกันนั้น ยามาดะเดินถือข้าวต้มอุ่นๆเข้ามาในห้อง ยูกิยังมองเห็นเขาเบลอๆ
“ที่นี่ที่ไหนเนี่ย”
ยามาดะพอเห็นว่ายูกิฟื้นแล้ว เขาก็ทำเข้มทันที
“ตื่นแล้วรึไง กว่าจะตื่นได้นะ”
“คุณเป็นใคร”
“ยังจำฉันไม่ได้อีกเหรอ”
สายตายูกิค่อยๆปรับจนเห็นหน้ายามาดะชัด
“คุณที่ฟิตเนสนั่นเอง”
“ไง...คราวนี้จำได้แล้วเหรอ ไหนบอกว่าจำฉันไม่ได้ไง”
ยูกิงงที่ยามาดะพูด
“ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
ยูกิพยายามนึกๆแล้วเธอก็นึกได้ว่าเธอหัวแล้วล้มลงบนทางเดิน แล้วเธอยังนึกได้อีกว่ามีนัดกับเป็นไท
“เป็นไท”
ยามาดะไม่พอใจ
“รู้สึกตัวก็พูดถึงชื่อผู้ชายคนอื่นเลยนะ”
“ฉันนัดเขาไว้ ฉันต้องโทรบอกเขา” ยูกิหาโทรศัพท์ตามกระเป๋าเสื้อผ้าตัวเองไม่มี “โทรศัพท์ฉันไปไหนล่ะ”
ทันใดนั้น ซีซีก็เดินเข้ามาชูโทรศัพท์ยูกิให้ดู
“หานี่อยู่เหรอ”
“ซีซี”
“ยังจำฉันได้ด้วยเหรอ นึกว่าดังจนจำใครไม่ได้แล้วซะอีก”
ซีซีเขวี้ยงโทรศัพท์ของยูกิไปชนผนังแตกกระจาย ยูกิตกใจ ซีซีมองด้วยแววตาไม่เป็นมิตร ยูกิยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องราว
“เธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ทำไมต้องทำแบบนี้ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่”
“ถามเป็นชุดเลยนะ...จะตอบคำถามไหนก่อนดีล่ะ เล่าย่อๆละกันนะ เรื่องของเรื่องก็คือว่าฉันทำงานของฉันอยู่ดีๆ ก็มีคนมาแย่งงานฉันไป จากแย่งไปแค่งานเดียว ก็กลายเป็นสองงาน สามงาน จนทั้งหมด แล้วมันก็แย่งตำแหน่งซุปเปอร์สตาร์ฉันไปด้วย คนว่างงานอย่างฉันก็เลยไม่มีอะไรทำ อยากหาอะไรทำสนุกๆด้วยการ ลองจับตัวซุปเปอร์สตาร์มาขังไว้เล่นๆ ก็แค่นั้นเอง”
ยูกิตกใจ
“นี่ตกลงว่าฉันถูกจับตัวมาเหรอ”
“ดีนี่ เริ่มฉลาดแล้ว”
ซีซีเดินเฉียดไป ยูกิหลบอย่างหวาดๆ มือไปโดนแจกันหล่นเสียงดัง
องอาจหลับอยู่บนโซฟา สะดุ้งตื่นเพราะมีเสียงแปลกๆดังในห้องยูกิ เขาเหล่ซ้าย แลขวาก็ไม่เห็นใคร
“ยูกิกลับมาแล้วรึเปล่า...ยูกิ”
ห้องทั้งห้องยังเงียบและมืด เพราะไม่ได้เปิดม่านรับแสง เขาพยายามเดินหาต้นตอของเสียง เสียงคล้ายๆเสียงทุบประตูแต่มันดังมาจากตู้ องอาจค่อยๆเดินไปเปิดตู้อย่างกลัวๆ
“ยูกิ...ไม่ได้อยู่ในตู้ใช่มั้ย”
เงียบ ไม่มีเสียงอะไรตอบกลับมา
“หรือว่า...โดนฆ่าหั่นศพแล้วยัดไว้ในนี้”
เขายิ่งกลัว รวบรวมความกล้าจะเปิดตู้ องอาจกัดเล็บตัวเอง ไม่กล้าเปิด เดินวนไปมา
ยูกิพยามอธิบายกับซีซี
“แต่ฉันไม่เคยแย่งงานเธอนะ”
“เริ่มกลับมาโง่อีกละ เธอพูดอย่างงี้คิดว่าฉันจะเชื่อเหรอ เธอรู้ไว้เลยนะ ว่าที่ฉันต้องตกอับทุกวันนี้ ก็เพราะเธอนั่นแหละ”
“แต่มันไม่เกี่ยวกับฉัน”
“ฉันชักเบื่อจะฟังเธอพูดแล้วล่ะ” ซีซีหันไปหายามาดะ “ทำดีมาก ขังมันไว้ให้ลืมเลย อยากจะทำอะไรมัน ก็ทำ ฉันไม่ห้าม” ซีซี ยื่นเงินปึกใหญ่ให้ “นี่เงินงวดแรกของแก”
ยามาดะรับเงินไป ซีซีหันมาพูดกับยูกิ
“ขอให้สนุกกับการตกนรกทั้งเป็นนะ”
ซีซีเดินออกไป ยูกิพยายามจะวิ่งตามไป ยามาดะฉุดแขนเธอไว้ ผลักไปไว้บนเตียงเหมือนเก่า
“อย่าคิดจะหนี ไม่งั้นได้เจ็บตัวกว่านี้แน่”
“ฉันไม่เคยทำอะไรซีซีจริงๆนะ ฉันไม่เคยทำอะไรคุณด้วย”
ยามาดะเหยียดยิ้ม
“หึ...โกหกหน้าด้านๆ คุณทำให้ผมต้องทำในสิ่งที่เสียศักดิ์ศรีของยากูซ่า”
ยามาดะนึกภาพตอนที่ตัวเอง ต้องแต่งหญิงหนีออกมาจากห้าง อย่างรับไม่ได้จริงๆ
“ยังบอกว่าไม่ได้ทำอะไรอีกเหรอ”
“ฉันเคยเจอคุณแค่ที่ฟิตเนสครั้งเดียว ฉันจะไปทำอะไรคุณได้”
“อย่ามาโกหก” ยามาดะเลื่อนชามข้าวต้มให้ยูกิอย่างโมโห “กินซะ จะได้หุบปากน่ารำคาญ”
“แต่ฉันไม่เคยทำอะไรใคร”
ยามาดะไม่สนใจฟัง เดินออกไปนอกห้องล็อคประตู ยูกิพยายามจะเขย่าประตูแต่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะเปิดออกเลย เธอได้แต่ตะโกนอยู่หน้าประตู
“ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย ปล่อยฉันไปเถอะ ปล่อยฉันไป”
ไม่มีเสียงตอบรับมาจากอีกด้านของประตู ยูกิได้แต่ร้องไห้
องอาจ พยายามกดโทรศัพท์มือถือแล้วถือหูรออย่างหงุดหงิด
“โอ่ย..โทรหาใครก็ไม่ติด”
เขามองดูตู้ เสียงยังดังก่อกแก่แก่กอยู่
“เอาวะ เป็นไงเป็นกัน...ศพก็ศพสิวะ...ยูกิ อย่าเป็นเธอก็แล้วกัน อย่าตายนะ”
องอาจ ลุ้นระทึก เสียงก่อกๆแก่กๆยังดังออกมาจากในตู้ แต่ยังไม่ทันได้เปิด แม่บ้านก็เปิดประตูผลั่วเข้ามาในห้อง
“ทำความสะอาดค่ะ”
องอาจสะดุ้งสุดตัว แทบช็อค แต่พอเห็นเป็นแม่บ้านก็ค่อยโล่งอก
“แหม เวลามีเยอะ จะต้องมาทำเอาตอนนี้ด้วยนะ ถ้าผมช็อคตายขึ้นมาจะทำไงเนี่ย”
แม่บ้านมององอาจงงๆ องอาจรีบยิ้มให้
“เออ...ไม่มีอะไรหรอก ก็ทำความสะอาดไปละกัน” องอาจหันไปมองตู้อย่างร้อนรน “แต่ถ้าเจออะไร จำไว้ว่าผมไม่ได้ทำ ผมไม่เคยฆ่าใคร”
องอาจรีบวิ่งออกไป แม่บ้านมององอาจงงๆ เธอเปิดตู้ที่องอาจกลัวเพื่อเช็คความเรียบร้อยไม่เห็นอะไรในตู้ นอกจากไม้แขวนเสื้อที่แกว่งไปตีผนังตู้เป็นจังหวะเสียงดังก่อกแก่ก
“ไม่เห็นมีอะไรเลย เพี้ยน”
นับดาวเดินเข้ามาที่โต๊ะกินข้าว เธอเห็นรจนานั่งกินข้าวอยู่ไอค่อกแค่กเสียงแหบพร่า
“ยังไม่ได้ไปสมัครงานที่ไหนใช่มั้ย”
“ยังเลยย่า หนูว่าจะไปหาวันนี้แหละ”
“งั้นก็ดี ไปเฝ้าร้านแทนย่าหน่อยสิ” รจนาไอ “รู้สึกไม่ค่อยสบาย”
“ได้จ้ะ แล้วนี่ย่าไปหาหมอมารึยังเนี่ย”
“เจ็บคอแค่นิดหน่อย กินยาเดี๋ยวก็หาย”
“ตามใจละกัน แต่ถ้าไม่ไหวเมื่อไหร่ก็บอกหนูนะ”
เสียงโทรศัพท์บ้านดังขึ้น รจนาเดินไปรับเสียงแหบแห้ง
“สวัสดีค่ะ...รจนาพูดอยู่ค่ะ...จ้างร้องเพลงเหรอ”
รจนากวักมือเรียก นับดาววิ่งถือสมุดไปจดวันเวลาของงานจ้างข้างๆย่า
“เดี๋ยวแป๊บนึงนะ ขอเช็คสมุดคิวก่อน...วันไหนนะ...สิบเก้าเหรอ สิบเก้านี่...แหม...” รจนาทำเป็นคิด “...ว่างค่ะ...ยี่สิบก็ว่างค่ะ...ยี่สิบเอ็ด เหมือนจะไม่ว่าง แต่ว่างยาวถึงสิ้นเดือนเลยค่ะ จะเอาวันไหนก็เลือกมาได้เลยค่ะ...ไหวสิคะ ร้องไหวค่ะ เสียงที่แหบนี่เพราะเพิ่งตื่นนอน...จะให้ร้องให้ฟังด้วย...”
รจนาหันมองหลานสาว นับดาวกระแอมปลอมเสียงเป็นย่าแล้วร้อง
“เสียงรถด่วนขบวนสุดท้าย แว่วดังฟังแล้วใจหาย หัวใจน้องนี้แทบขาด...”
รจนาหันไปพูดโทรศัพท์เสียงแหบ
“เป็นไงคะ...นี่แค่ท่อนขึ้นนะคะเนี่ยยังจับใจขนาดนี้ ถ้าอยากฟังท่อนฮุกต้องขออุบไว้ก่อน ไว้ฟังวันจริงเลยดีกว่าค่ะ...ตกลงนะคะ ขอบคุณค่ะ”
รจนาวางโทรศัพท์ หันมาชมหลานสาว
“ร้องได้ดีมาก สมกับที่ย่าสอน”
“แล้วนี่ย่าไปรับงานเขา ย่าจะร้องไหวเหรอ ไม่สบายแบบนี้”
“ไหวสิ ถ้าไม่ไหวก็ไปฉีดยา ฉีดปุ๊บเสียงมาปั๊บ เทคโนโลยีเขาก้าวไปถึงไหนแล้วรู้ซะบ้าง”
“ตามใจ หนูก็แค่เป็นห่วงย่าเท่านั้นแหละ”
“ห่วงตัวเองซะก่อนเถอะเราน่ะ งานการก็ไม่มีทำ ยังแบมือขอเงินย่าอยู่เลย คอยดูเถ๊อะ ถ้าย่าเป็นอะไรขึ้นไปจริงๆละก็...”
“ย่า...หนูบอกแล้วไงว่าอย่าพูดเรื่องอะไรแบบนี้ ไม่เอาแล้ว ไม่คุยกับย่าแล้ว”
นับดาวเดินงอนออกไปจากบ้าน รจนามองตามอย่างห่วงๆ
เป็นไทอยู่ในห้องทำงาน คุยโทรศัพท์กับต้นสังกัดของไอยูกิ หน้าเครียด
“ผมทราบครับ แต่ข่าวมันไม่มีอะไรเลย คนไทยขี้ลืมครับ ปล่อยไปข่าวก็เงียบไปเอง...ครับ เข้าใจครับ...ห๊ะ ให้แถลงข่าวพรุ่งนี้เลยเหรอ มันไม่กะทันหันไปเหรอครับ อย่างน้อยก็น่าจะให้ผมเตรียมตัวซักสองสามวัน...ครับ ได้ครับ ผมจะพยายาม”
เป็นไทวางสาย ถอนหายใจเฮือกใหญ่ องอาจเดินเข้ามาหา
“เป็นไง ยูกิกลับมาที่ห้องรึยัง”
องอาจส่ายหน้า มองซ้ายมองขวา ไม่มีใคร
“นี่คุณไท คุณแน่ใจได้ไงว่ายูกิยังมีชีวิตอยู่”
“ไอ้บ้า คิดอะไรของคุณน่ะ”
“ก็ใครจะไปรู้ล่ะ อยู่ๆเธอก็หายตัวไป ติดต่อไม่ได้ ไม่มีวี่แววอะไรเลย”
“ยูกิต้องไม่เป็นอะไร เพราะถ้าเธอตาย พวกเราเนี่ยแหละจะตายทั้งเป็น เพราะผมเพิ่งคุยกับต้นสังกัดเมื่อกี้ เขาจะให้เราเลื่อนแถลงข่าวคอนเสิร์ตมาเป็นพรุ่งนี้ แล้วให้แถลงถึงข่าวที่เกิดขึ้นไปพร้อมกันเลย”
องอาจชะงักอึ้ง
“โอ้ว มายก็อด แล้วเราจะเตรียมงานกันทันได้ยังไง”
“เอาว่าเราจะไปหายูกิที่ไหนก่อนดีกว่า”
“คราวนี้ได้ตายของจริงแน่”
เป็นไทถอนหายใจ
“เอาเป็นว่าวันนี้คุณเตรียมงานสำหรับพรุ่งนี้ให้พร้อมละกัน ส่วนผมจะไปตามหายูกิเอง”
“นี่ตกลงเราจะทำยังงี้กันจริงๆใช่มั้ย ไม่แจ้งตำรวจหรือทำอะไรซักอย่างที่มันแน่นอนกว่านี้จริงๆเหรอ”
“เอาน่า ถึงยังไงพรุ่งนี้ผมก็เป็นคนรับหน้าอยู่แล้ว คุณไม่ต้องห่วงเรื่องนี้หรอก ดูแลงานส่วนของคุณไปก็แล้วกัน”
องอาจถอนใจ
“ว่าไงก็ว่าตามกัน”
“แล้วอีกอย่าง ผมเพิ่งโยนสูทผมทิ้งไป คุณช่วยไปหาเช่าสูทให้ผมด้วยนะ”
เป็นไทพูดจบก็เดินออกไป องอาจบ่นคนเดียวเซ็งๆ
“ทำทุกอย่าง ตั้งแต่เรื่องเล็กน้อยจนถึงเรื่องใหญ่จริงๆเรา”
องอาจเป็นกังวล รีบไปจัดการงานต่อ
วราพรรณกำลังเยี่ยมชมร้านชุดราตรีที่รจนารับจ้างดูแลอยู่ นับดาวนั่งอย่างอ่อนใจคุยกับเพื่อน
“ชุดร้านนี้ที่ย่าแกรับจ้างดูแลก็สวยดีนี่หว่า แกไม่เอาไปใส่บ้างวะ”
“แกจะให้ฉันใส่ไปไหน”
“อีกหน่อยแกเป็นดาราก็ได้ใส่แล้ว”
“แล้วเมื่อไหร่ล่ะ หัวหน้าแกก็โกรธจนไม่อยากเจอฉันละ”
“เออ...เอาน่า โอกาสดีๆอาจกำลังมาถึงแกก็ได้”
“ฉันนั่งรอโอกาสมาตั้งแต่ฉันจำความได้แล้วว่ะ ไม่รู้ต้องรอไปถึงเมื่อไหร่”
นับดาวนั่งท้อกับอนาคตตัวเอง
องอาจเดินมองหาร้านเช่าสูท เขาจดชื่อไว้ในกระดาษ แต่มองหาเท่าไหร่ก็ยังหาไม่เจอ
“นี่ก็ตรงตามแผนที่ทุกอย่างแล้วนี่หว่า ร้านมันอยู่ตรงไหนกันแน่วะ”
องอาจเดินหาต่อไป ขณะเดียวกันในร้าน วราพรรณหาดูชุดตามราวเสื้อผ้า นับดาวนั่งเหม่อ วราพรรณหยิบชุดราตรียาวที่มีหน้ากากอยู่ในเซตด้วยขึ้นมา
“เฮ้ย...ชุดนี้สวยดีว่ะแก มีหน้ากากด้วย”
“ก็คงสำหรับไปงานแฟนซีอะไรพวกนั้นละมั้ง”
“แกแต่งให้ฉันดูหน่อยสิ”
“บ้า...ฉันจะแต่งไปทำไม ไม่เอาหรอก”
“ก็แต่งชุดสวยๆ แล้วฉันก็จะถ่ายรูปสวยๆให้แกไง เผื่อจะเอาไปทิ้งไว้โมเดลลิ่ง หรือเจ้านายฉันเห็นหน้าแกแล้วอาจจะหายโกรธจนอยากเจอตัวจริงแกก็ได้นะ”
“เฮ้ย...จริงเหรอ เออ แต่งสิ แต่ง ไปลองเลยนะ”
นับดาวดีใจที่เธออาจจะมีโอกาสได้เป็นดาราอีกครั้ง วราพรรณได้แต่มองดูเพื่อนตัวเองแล้วยิ้ม นับดาวหายเข้าไปในห้องแต่งตัว
องอาจเดินหาจนมาถึงหน้าร้านมองยิ้มๆ ก่อนจะเดินเข้าไปในร้าน เห็นวราพรรณนั่งอยู่
“นี่ร้านให้เช่าสูทใช่มั้ยครับ”
“ดูเหมือนร้านซ่อมมอไซค์รึไง”
“เจ้าของร้านอยู่มั้ย”
“ทำไม หน้าอย่างฉันเป็นเจ้าของไม่ได้เหรอ”
“เอ๊ะ นี่คุณจะกวนประสาทผมทำไมเนี่ย”
“ฉันก็พูดของฉันอย่างงี้ ไม่ได้จะกวนซะหน่อย”
“ถึงว่าสิ ร้านเงียบไม่มีลูกค้าเลย เพราะจ้างพนักงานแบบนี้มาเฝ้าร้านนี่เอง”
วราพรรณชักฉุน
“เฮ้ย...เดี๋ยวก็มีเรื่องหรอก”
องอาจเบ้หน้า
“มีเรื่องกับทอม กลัวตายล่ะ”
วราพรรณโกรธ
“แล้วคิดว่าฉันอยากมีเรื่องกับเกย์อย่างนายรึไง”
องอาจสะดุ้ง
“ผมไม่ใช่เกย์นะ”
“ฉันก็ไม่ใช่ทอมเหมือนกัน”
ทันใดนั้นเสียงนับดาวดังเข้ามาสงบศึก
“มีเรื่องอะไร”
องอาจหันไปตามเสียง มองนับดาวตั้งแต่เท้าไล่มาถึงหุ่นของเธอที่สะโอดสะองในชุดราตรีสวย ไล่มาถึงใบหน้า ปรากฎว่านับดาวใส่หน้ากากแฟนซีด้วย องอาจถึงกับผงะ วราพรรณหันไปบอกเพื่อน
“ผู้ชายคนนี้เขาจะมาเช่าชุดราตรีไว้ใส่ไปกับแฟนน่ะ”
องอาจไม่พอใจดุวราพรรณ
“นี่คุณ...” เขาหันไปพูดกับนับดาว “ผมจะมาเช่าสูทน่ะครับ”
“อ๋อ ได้ค่ะ รู้ไซส์รึยังคะ”
“รู้ครับ”
“งั้นเชิญเลือกแบบด้านนี้เลยค่ะ”
"ไม่ต้องบอกก็รู้นะครับว่าคุณเป็นเจ้าของร้านแน่ๆ แต่งตัวซะเต็มเลย มองก็รู้ว่าเป็นร้านเช่าชุดออกงาน”
“ย่าฉันรับจ้างดูแลน่ะค่ะ วันนี้ท่านไม่สบาย เลยมาดูร้านให้...”
“เหรอครับ”
นับดาวยิ้มให้ องอาจพยายามนึกแต่ก็นึกไม่ออกว่านับดาวคล้ายใคร
นับดาวยังใส่หน้ากากแฟนซีอยู่เดินจากหน้าร้านมาหาวราพรรณ
“เรียบร้อยแล้วเหรอ”
“อืม...” นับดาวพยายามนึก “อ๋อ คนเมื่อกี๊ เคยเจอที่งานตอนพาย่าไปร้องเพลงนี่หว่า”
วราพรรณแปลกใจ
“เป็นอะไร”
“ถึงว่าฉันคุ้นหน้าคนเมื่อกี้มากเลย”
“ตามสีลมซอยสองละมั้ง พวกแก๊งเก้งกวางน่ะ”
นับดาวส่ายหน้า
“ไม่ใช่...พวกคนในวงการบันเทิงน่ะ”
วราพรรณพยักหน้า
“ว่าแต่แก จะใส่หน้ากากทำไม”
“ก็แกบอกให้ฉันแต่งให้ครบชุด”
“บ้ารึเปล่า จะถ่ายรูปไปให้โมเดลลิ่ง แต่ปิดหน้าไว้เนี่ยนะ”
“เออ...ฉันก็ลืมคิด” นับดาวถอดหน้ากากออก “แล้วเพิ่งมาบอกตอนนี้เนี่ยนะ ปล่อยให้ฉันใส่อยู่ตั้งนาน”
“ก็มันตลกดี ดูเพลินๆ”
วราพรรณหัวเราะ นับดาวค้อน
“บ้า”
“มาถ่ายรูปกัน”
วราพรรณเดินนำนับดาวเข้าไปหามุมถ่ายรูปในร้าน...นับดาวยืนเก็กท่าเก้ๆกังๆ วราพรรณต้องไปคอยจัดท่าทางให้เข้าทีแล้วถ่ายรูปนับดาว หลายเซ็ต นับดาวดูดีมากในภาพถ่าย
เย็นนั้นนับดาวแต่งตัวธรรมดา มากินก๋วยเตี๋ยวกับวราพรรณ เธอนั่งดูรูปตัวเองในกล้อง
“เฮ้ย...ภาพนี้ฉันสวยว่ะแก อันนี้ก็ดี ฉันไม่เคยมีรูปสวยๆแบบนี้เลย”
“ฝีมือฉัน ธรรมดาซะที่ไหน”
“ฉันฝากแกด้วยนะเว้ย ถ้าฉันได้เป็นดาราฉันจะไม่ลืมแกเลย”
“แกจะลืมฉันได้ยังไง ไม่มีฉันแกก็ไม่มีใครคบแล้ว”
“นั่นสิเนอะ...เดี๋ยวมื้อนี้ฉันเลี้ยงเองนะ”
นับดาวรู้สึกปวดฟันเอาลิ้นดุนแก้ม ฟันกรามข้างที่ปวด วราพรรณไม่ยอม
“ไม่ต้องหรอก งานก็ไม่มีทำ ไม่ต้องคิดจะเลี้ยงคนอื่นเลย”
นับดาวเซ็ง
“นี่ แกว่าฉันควรจะทำงานอะไรดีวะ ส่งพิซซ่าดีมั้ย”
“บ้าเหรอ...อย่าลืมสิ ว่าตอนนี้แกสวยแล้วนะเว้ย จะไปส่งพิซซ่าได้ไง นี่แกเป็นอะไรของแก”
“ปวดฟัน ไม่ไหวแล้ว เดี๋ยวฉันไปอุดฟันหน่อยดีกว่า”
นับดาวเซ็งๆกับฟันกรามข้างที่ปวด
ค่ำนั้น นับดาวมาทำฝันที่คลีนิกหมอฟัน เธอนอนอ้าปาก ส่งเสียงอ้อแอ้ ให้หมออุดฟันอยู่ เสียงเครื่องอุดฟันดังเสียวไส้ หมอปาดเหงื่อ
“เรียบร้อยแล้วครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
นับดาวพูดไม่ชัด อ้าปากไม่ถนัด
“ยาชาอีกสองชั่วโมงคงหมดฤทธิ์น่ะครับ”
นับดาวพูดสำเนียงออกญี่ปุ่น
“นี่มันชาไปถึงโคนลิ้นเลยนะคะ”
“ก็คุณ ดิ้นเหลือเกิน หมอเลยเสียบพลาดโดนโคนลิ้น”
“แหม...แถมให้ก็ไม่บอก”
นับดาวประชดส่ง
อ่านต่อตอนที่ 3 เวลา 17.00 น.