xs
xsm
sm
md
lg

สามหนุ่มเนื้อทอง ตอนที่ 3

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


สามหนุ่มเนื้อทอง ตอนที่ 3

กริชชัยเดินพุ่งเข้าไปหาธีธัชด้วยความหงุดหงิด ทว่าธีธัชกลับไม่ได้รู้สึกใดๆ ที่เผลอไปสร้างความเข้าใจผิดให้แก่อรุณศรี จนเธอคิดว่า...กริชชัยเป็นเกย์! 

“ฉันว่ามันก็สมควรแล้วที่เขาจะคิดแบบนั้น เป็นฉัน ฉันก็คิด”
“อ้าว... ไหงพูดเงี้ยะ”
“ก็จริงนี่ บุคลิกแกมันเหมาะจะเป็นเกย์ แถมยังไม่มีแฟน ไปเดินตามเค้า จะจีบก็ไม่จีบ เค้าไม่คิดว่าบ้าก็บุญแล้ว”
“ที่ฉันบอกแก ไม่ได้จะให้มาซ้ำเติม”
“แล้วแกจะให้ฉันทำอะไร? ไปอธิบายให้เค้าฟังมั๊ย แล้วบอกไปเลยว่าแกป๊อด ไม่กล้าจีบ”
“เยอะไป! ไม่ต้อง แค่แกหยุดแอบมองฉัน แล้วก็ไม่ต้องมาอยู่ใกล้ฉันมากก็พอแล้ว”
“โอเคได้ งั้นฉัน กลับเลยแล้วกัน”
“เฮ้ย!!”
ธีธัชทำหน้ากะลิ้มกะเหลี่ยตามประสาคนเจ้าชู้ ก่อนที่จะสารภาพกับกริชชัยว่า
“คือว่า..น้องพาย”
ธีธัชหันไปที่เคาท์เตอร์ กริชชัยมองตามเห็นพนักงานรีเซฟชั่นสาวสวย ยืนอยู่ในชุดลำลองกำลังเก็บของเตรียมเลิกงาน น้องพายคนที่ว่าเงยหน้ามาแล้วยิ้มให้ธีธัช ที่ยิ้มรับรออยู่แล้ว 
“น้องเค้ากำลังจะกลับเข้ากรุงเทพฯ ฉันก็เลยอาสาไปส่งเค้า”
กริชชัยหันกลับมาทางธีธัช
“แกแอบมองฉันกับอรุณศรี แล้วยังมีเวลามาหลีหญิงอีกเหรอเนี่ย”
“เรื่องแบบนี้เวลามันไม่สำคัญเท่าจังหวะเว้ย” ธีธัชมองมาทางกริชชัยอย่างกวนๆ
“ส่วนเรื่องของแก ไอ้วัชมันยังอยู่ เดี๋ยวมันคงจะมีวิธีช่วยแกแก้ข่าวเอง ไม่ต้องห่วง!!”
ธีธัชยิ้มมั่นใจ แต่กริชชัยก็ยังอดหวั่นไม่ได้

วัชระยังนอนหลับอยู่บนโซฟาที่ล็อบบี้ ในอาการหมดสภาพเนื่องจากไม่ได้นอนพักผ่อนมาตั้งแต่เมื่อคืน พนักงานโรงแรมเดินเข้ามาหา และเรียกอย่างสุภาพ
“คุณวัชระครับ..คุณวัชระครับ”
“คุณวัชระ” เสียงพนักงานดังขึ้นอีกเล็กน้อย
วัชระถึงกับสะดุ้งตื่น ลุกพรุดพราดขึ้นมานั่งบนโซฟาในสภาพที่ยังงัวเงียอยู่
“ครับ”
“คุณวัชระใช่มั้ยครับ” พนักงานถามอย่างสุภาพเพื่อความแน่ใจ
“ครับ มีอะไรครับ”
“คุณเนตรนภัสต้องการเรียนสายด้วยครับ” พนักงานของโรงแรมยื่นส่งโทรศัพท์ของโรงแรมให้วัชระ
วัชระแทบไม่เชื่อหูของตัวเองที่เนตรนภัสสืบเสาะจนรู้เบอร์โทรศัพท์ของโรงแรม
“แหนม!! โทร.มาได้ไงเนี่ย” วัชระพูดประโยคแรกทันทีที่รับสาย

เนตรนภัสเสียงแจ๋นดังมาตามสาย น้ำเสียงแสดงถึงความภาคภูมิใจในความสามารถของตัวเองเป็นที่สุด
“ไม่เห็นจะยาก ก็แหนมจดชื่อโรงแรมที่วัชบอกไว้เมื่อคืน แล้วก็หาเบอร์จากอินเทอร์เน็ต แล้วก็ส่งรูปวัชมาให้พนักงานโรงแรมตามหา...ง่ายจะตาย!!”
วัชระถือโทรศัพท์ค้าง อ้าปากหวอด้วยความอึ้งเพราะนึกไม่ถึง เสียงเนตรนภัสดังกระแทกแก้วหูของวัชระอีกรอบ
“แล้วทำไมไม่ยอมรับสาย แหนมโทร.ไปตั้งกี่รอบแล้ว ทำอะไรอยู่? หรือว่าอยู่กับผู้หญิงอื่น”
วัชระส่ายหน้าอย่างระอา
“ผมนอนหลับอยู่ล็อบบี้ ก็เมือคืน…ทั้งคืน พอขับรถมาถึงก็สลบไม่รู้เรื่อง แล้วแหนมโทร.มามีอะไรหรือเปล่าครับ”
“คุณแม่มีเรื่องสำคัญอยากจะคุยด้วย วันนี้ และเดี๋ยวนี้!! Now!” เนตรนภัสตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง วัชระแสนที่จะเซ็งกับเนตรนภัส ทิ้งหลังเองพิงโซฟาอย่างหมดแรง

“เรื่องสำคัญ... เรื่องอะไร”
กริชชัยขมวดคิ้วถามวัชระ วัชระพยักหน้าอย่างเซ็งๆ สองคนเดินคุยไปตามทางเดินในโรงแรม วัชระส่ายหน้า
“ไม่รู้ ถามก็ไม่บอก เร่งให้กลับไปเร็วๆ เดี๋ยวก็รู้เอง ฉันขอโทษจริงๆ ว่ะ ที่ต้องกลับก่อน แกก็อยู่กับไอ้ธีไปแล้วกัน”
“รายนั้น กลับไปก่อนแกอีก”
“อ้าว”
“เออ..มันไปกับหญิง..ไม่ต้องถามว่าอะไรยังไง เพราะฉันก็ไม่รู้.. แล้วแกจะกลับยังไง ให้รถตู้ไปส่งหรือเปล่า”
ทั้งกริชชัยและวัชระเดินมาจนถึงทางออกซึ่งมีประตูกระจกใสมาก
“ไม่เป็นไร..ฉันซิ่งคันเมื่อเช้ากลับไปจอดไว้บริษัทแก แล้วเปลี่ยนเอารถฉันไปหาแหนม ฉันไปก่อนแล้วกัน ขี้เกียจโดนโทร.จิก” วัชระตอบอย่างเหนื่อยๆ หน้าตายังงัวเงียและมึนๆ อยู่
“เออ.. ถ้าง่วงก็อย่าฝืน โทร.มา เดี๋ยวฉันให้คนรถไปรับ” กริชชัยว่า
“ขอบใจมาก ไปหล่ะ !!”
วัชระพูดจบก็หันเดินออกไป โดยไม่ทันระวังว่ามีกระจกอยู่ วัชระชนเข้าอย่างแรง จนเซจะล้มลง
“โอ้ย!!”
กริชชัยรับวัชระไว้ในอ้อมกอดพอดีตามสัญชาตญาณ
“เฮ้ย ระวัง”
ช่างบังเอิญเกิ๊น เพราะเป็นจังหวะเดียวกับที่อรุณศรีเดินมาเห็นวัชระอยู่ในอ้อมกอดของกริชชัยพอดี อรุณศรีถึงกับอึ้ง
กริชชัยหันมาเห็นอรุณศรีที่กำลังมองมาพอดี ความตกใจทำให้กริชชัยรีบผลักวัชระทันที วัชระตกลงที่พื้น.เสียงดังตุ๊บ!!! วัชระร้องลั่น
“โอ้ย!!”
อรุณศรีรีบหลบตา ทำเป็นมองไม่เห็น เธอได้แต่อมยิ้มแล้วก็เดินเลี่ยงไป เพราะกลัวกริชชัยจะอาย
กริชชัยหน้าเสีย คิดว่า ทำไมถึงได้ซวยซ้ำ ซวยซ้อนขนาดนี้
ส่วนวัชระกุมก้นด้วยความเจ็บที่ถูกกริชชัยผลักจนนั่งจ้ำเบ้าลงกับพื้น วัชระลุกขึ้น
“แกปล่อยฉันทำไมวะ? เจ็บนะเว้ย”
“ขอโทษๆ แกก็กลับดีๆ มีอะไรค่อยคุยกัน”
กริชชัยพูดจบก็รีบเดินตามอรุณศรีไป วัชระมองตามด้วยไปด้วยความงงๆ
“มันจะรีบไปไหนของมัน”

อรุณศรีเดินเล่นอยู่ที่มุมหนึ่งของโรงแรมวังน้ำเขียว ทันใดนั้นกริชชัยก็เดินพรวดตามมา เพื่อจะอธิบาย
“อรุณศรี”
อรุณศรีชะงัก หยุดเดิน และหันมา กริชชัยเดินตามมาจนทัน เขาชี้แจงด้วยอาการปากคอสั่น เสียงระล่ำระลัก
“คือ... ที่คุณเห็นเมื่อกี๊”
“ฉันจะไม่บอกใครหรอกค่ะ”
“เอ่อ” กริชชัยสะอึก พูดต่ออะไรต่อไม่ถูกเลย
“ฉันรู้ว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัว ทั้งเรื่องของคุณกับคุณธีธัช และผู้ชายคนเมื่อกี้ฉันจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ไม่เม้าท์ และไม่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวค่ะ ไม่ต้องห่วง”
“เอ่อ..แต่ว่า” กริชชัย พยายามที่จะอธิบายต่อ

ทันใดนั้นเสียงเบญลี่ก็ดังแทรกเข้ามาขัดจังหวะการแก้ตัวของกริชชัยพอดี
“คุณกริชคะ”
กริชชัยชะงัก..ไม่กล้าพูดต่อ เบญลี่รีบเดินพรวดๆ เข้ามาหาด้วยท่าทีคล่องแคล่ว
“เบญลี่ให้เค้าจัดโต๊ะอาหารกลางวันสำหรับคุณกริช และเพื่อนๆไว้ที่เทอเรซด้านโน้น..วิวดีมั่กๆ เลยค่ะ เราไปกันเลยมั้ยคะ”
“ได้..แต่..อรุณศรีต้องทานร่วมโต๊ะกับผม”
ทั้งเบญลี่และอรุณศรีเลิกคิ้ว ด้วยความแปลกใจ
“ค่ะ” เบญลี่และอรุณศรีรับขึ้นพร้อมกัน
“คือ เพื่อนผมกลับไปหมดแล้ว ผมไม่อยากทานคนเดียว ถ้าคุณเบญสะดวกก็ทานด้วยกัน”
“พอดีต้องไปคุยเรื่องค่าใช้จ่ายในวันงานกับทางโรงแรมน่ะค่ะ แล้วเค้าก็จัดอาหารไว้ให้แล้วด้วย คุยไปกินไปน่ะค่ะ เบญลี่ให้แอ๊วดูแลแทนแล้วกันนะคะ” เบญลี่บอก

อรุณศรีอึดอัดที่ต้องรับหน้าที่ร่วมโต๊ะกินข้าวกับกริชชัย ได้แต่ยิ้มนิดๆ เป็นมารยาท แล้วก็เดินนำไป กริชชัยเดินตาม พร้อมกับอมยิ้มนิดๆ แอบมีความสุขอยู่คนเดียว
เบญลี่มองตามกริชชัยและอรุณศรีไป แล้วก็ขมวดคิ้วนิดๆ อดคิดไม่ได้ว่า มันจะมี Something หรือเปล่าหว่า ?


ที่เทอเรซของโรงแรม ซี่โครงหมูบาร์บีคิวถูกวางไว้ตรงหน้า อรุณศรีมองหน้ากริชชัยที่นั่งอย่างสุภาพตรงหน้าด้วยความลำบากใจ
“ถ้าคุณอยากใช้มือทานก็ตามสบายนะ ไม่ต้องอาย ผมรับได้” กริชชัยพูดอย่างรู้ใจ
“ขอบคุณค่ะ ..เอ่อ แต่ถ้าฉันเลอะเทอะ คุณคงไม่ไล่ฉันออกจากงานเพราะทานอาหารไม่เรียบร้อยนะคะ”
กริชชัยยิ้มด้วยความเอ็นดูก่อนจะผายมือ
“เชิญ...”
อรุณศรียิ้มรับแล้วเช็ดมือ ก่อนจะใช้มือหยิบซี่โครงที่อยู่ข้างหน้าอย่างเป็นธรรมชาติ คล่องแคล่ว น่าอร่อยมาก
กริชชัยมองแล้วก็อมยิ้มมีความสุข อรุณศรีเงยหน้ามองด้วยความสงสัย
“คุณไม่ทานเหรอ ? อร่อยนะคะ เนื้อหมักได้กำลังดี ร่อนแล้วก็นุ่มดี ซอสก็เข้มข้นใช้ได้เลย”
“คุณรู้เรื่องอาหารด้วยเหรอ”
“พี่ชายฉันเป็นเชฟน่ะค่ะ เขาชอบทำอาหารให้ฉันทาน แล้วก็ใช้ฉันเป็นหนูทดลองประจำ”
กริชชัยฟังเพลินอย่างมีความสุข อรุณศรีถามย้ำกริชชัยอีกครั้ง
“ตกลง จะไม่ทานเหรอคะ”
“อ้อ... ทานสิ”

กริชชัยหันมาหยิบมีด และส้อมเตรียมจะกิน แล้วก็เปลี่ยนใจวางอุปกรณ์ลงหันไปเช็ดมือ และใช้มือกินเหมือนอรุณศรีด้วยด้วยกิริยาเก้งก้างไม่สันทัด
อรุณศรีมองแล้วอดยิ้มไม่ได้
กริชชัยกินซี่โครงหมูบาร์บีคิวด้วยมือ ความไม่ถนัดและคุ้นเคยทำให้ซอสเลอะเป็นดวงอยู่ที่แก้ม
อรุณศรียิ้มขำ กริชชัยเงยหน้ามองด้วยความแปลกใจ อรุณศรีไม่พูด แต่ใช้นิ้ว ชี้มาที่แก้มของตัวเอง บอกให้กริชชัยรู้ว่าแก้มเลอะอยู่ กริชชัยยังงง ไม่เข้าใจ
“แก้มคุณเลอะซอส”
กริชชัยมองมือตัวเองก็เลอะเทอะอยู่ แล้วก็เงยหน้าบอกอรุณศรี
“มือผมเลอะ... รบกวนคุณ...เช็ดให้หน่อยได้หรือเปล่า”
กริชชัยได้แต่ลุ้น ขณะที่อรุณศรีคิดนิดเล็กน้อยกแล้วเช็ดมือตัวเองกับผ้า ก่อนจะหยิบกระดาษทิชชู่แล้วเดินข้ามโต๊ะไปเช็ดซอสที่แก้มให้กริชชัย
นาทีนั้นกริชชัยถึงกับใจเต้นโครมคราม ไม่เคยสัมผัสอรุณศรีในระยะใกล้เท่านี้มาก่อน

เบญลี่เดินมาพร้อมกับแฟ้มงานที่ยังกุมอยู่ในมือเดินผ่านมาทางห้องอาหารในบริเวณเทอเรซ และเห็นอรุณศรีกำลังเช็ดซอสที่แก้มของกริชชัยอย่างตั้งใจ ในขณะที่กริชชัยแอบมองด้วยความชื่นชม
“โอ๊ะ..โอ..”
เบญลี่ถึงกับรีบกดตัวลงต่ำหลบวูบทันที
“หะ?.. ฉันตาฝาดหรือเปล่าเนี่ย”
เบญลี่ค่อยโผล่หัวขึ้นมาทีละน้อย เห็นอรุณศรีกลับมานั่งที่เดิม แต่กริชชัยยังเขินอยู่
เบญลี่ดึงตัวหลบเข้ามาเหมือนเดิม ขมวดคิ้วนิ่วหน้า คิดหนักจนคิ้วแทบจะผูกเป็นโบว์ สมองส่วนอยากรู้อยากเห็นทำงาน

กริชชัยยังอมยิ้มนิดๆ ด้วยความเขิน
“ขอบคุณมาก”
“ไม่เป็นไรค่ะ ที่ฉันทำให้เพราะรู้ว่าจริงๆแล้วคุณเป็นอะไร ถ้าคุณเป็น ‘ผู้ชายแท้ๆ’ ฉันก็คงไม่กล้าทำ” อรุณศรีระบายยิ้มที่ริมฝีปากอย่างจริงใจ เล่นเอากริชชัยถึงกับสะอึก
จังหวะนั้นกริชชัยมองทอดสายออกไปนอกหน้าต่าง ด้วยความเหนื่อยใจ จนแทบจะกินต่อไม่ลง

รถในสภาพยับเยินของวัชระแล่นเข้ามาจอดในบ้านเนตรนภัสในเย็นวันนั้น วัชระเพิ่งจะเปิดประตูรถและก้าวลงมาได้เพียงขาเดียว โทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น วัชระหยิบขึ้นมาดูอย่างเซ็งๆ เพราะคิดว่าเป็นเนตรนภัส
“จิกจนวินาทีสุดท้ายจริงๆ” วัชระพึมพำกับตัวเอง
วัชระกำลังจะกดรับ แต่พอเห็นชื่อที่ปรากฏหน้าจอก็แปลกใจ “Private number”
“ใครวะ... ซ่อนชื่อซะด้วย หรือจะเป็นพวกสายข่าว... ฮัลโหล” วัชระตัดสินใจกดรับ

“ยอมรับสายแล้วเหรอคะคุณตำรวจ” สุพรรณิการ์นั่นเอง ที่เวลานี้เธอยืนอยู่ในร้านกรอกเสียงลงไปอย่างมีอารมณ์
จากนั้นสุพรรณิการ์ก็เดินด้วยอาการเจ็บสะโพก เดินกระเผกขึ้นไปที่ห้องทำงาน ซึ่งอยู่ชั้นบนของร้านเหล้าสาดสุรา หวานนารี ห้องของสุพรรณิการ์ตกแต่งแบบอินเดีย สีสันจัดจ้าน ใน บรรยากาศสบายๆ โรแมนติก
“คุณเป็นใคร ?” วัชระกรอกเสียงลงตามสายพร้อมขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความสงสัย
“คนที่คุณชนแล้วหนีไงยะ” สุพรรณิการ์เดินพลาง พูดไปพลางอยู่ในห้อง
“ผมถามว่า ใคร?”
สุพรรณิการ์ยังพูดต่อด้วยน้ำเสียงกวนๆ
“ท่าทางจะชนแล้วหนีไว้หลายคน ถึงจำไม่ได้” สุพรรณิการ์แดกดัน
วัชระเริ่มเซ็ง
“นี่คุณ..ผมไม่มีเวลาล้อเล่น”
สุพรรณิการ์เริ่มหงุดหงิด อารมณ์เสียและของขึ้นมาทันที
“อ้าว...นี่ฉันก็ไม่มีเวลามาล้อเล่นเหมือนกันย่ะ และที่โทร.มานี่ก็จริงจังนะ ไม่ใช่โทรมาขำๆ”
ขณะที่การสนทนายังไม่ทันจะได้ใจความ เนตรนภัสเดินมาทางด้านหลังเห็นวัชระกำลังพูดโทรศัพท์อยู่พอดี
“วัชคุยกับใคร?” เสียงเนตรนภัสดังลอดเข้ามายังสายของสุพรรณิการ์

“เสียงใคร?” สุพรรณิการ์ถามขึ้น
“แค่นี้ก่อนนะ ถ้าคุณมีธุระจริงๆ ค่อยโทร.มาอีกทีแล้วกัน วันนี้ผมไม่มีเวลามาเล่นเกม”
วัชระรีบชิงตัดบทจากสุพรรณิการ์ทันที ในขณะที่เนตรนภัสรีบก้าวเท้าเดินมาหาวัชระทันที
“เฮ้ยๆๆ คุณอย่าวางนะ คุยกันให้รู้เรื่องก่อน คุณตำรวจ!”

วัชระกดวางสายไปด้วยความรำคาญ เนตรนภัสเดินมาพร้อมกับซักถามตามประสาคนขี้หึงในทันที
“แหนมถามว่าคุยกับใคร”
“ใครไม่รู้คงจะโทร.ผิด” วัชระพูดด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย
“แล้วทำไมต้องวางด้วย?”
“อ้าว.ก็เค้าโทร.ผิด จะให้ผมคุยอะไรกับเค้า?”
เนตรนภัสอ้าปากเถียง
“ก็...”
“แหนม.. คุณแม่มีเรื่องสำคัญจะคุยกับผมไม่ใช่เหรอ ผมก็รีบขับรถกลับมาตามคำสั่ง แล้วตกลงจะเสียเวลาทะเลาะกันตรงนี้ หรือจะรีบปล่อยให้ผมไปคุยธุระสำคัญ”
เนตรนภัสชะงักนิดๆ นึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องใหญ่รออยู่ จึงจำใจต้องยอมยุติเรื่องคุยโทรศัพท์กับคนแปลกหน้าไว้แค่นั้น
“คุยกับคุณแม่ก่อนก็ได้ แต่คุยจบแล้ว เอามือถือมาให้แหนมดูด้วยนะ แหนมจะเช็คว่าคุยกับใคร!!”
เนตรนภัสออกคำสั่งแล้วก็เดินนำเข้าบ้านไป
วัชระมองตามด้วยความเหนื่อยใจ ก่อนจะหันมากดปิดโทรศัพท์ แล้วก็โยนไว้ในรถอย่างไม่ไยดี


ด้านสุพรรณิการ์ไม่ยอมแพ้เหมือนกัน ยืนกดโทรศัพท์อยู่ในห้องด้วยความหงุดหงิด
“ปิดเครื่อง? หนอย... คิดจะหนีฉันเหรอ?”
สุพรรณิการ์หันไปหยิบนามบัตรของวัชระที่ทิ้งไว้ให้ขึ้นมาดู
“ร้อยตำรวจเอกวัชระ ถ้าฉันตามตัวเจอเมื่อไหร่ นายชะตาขาดแน่!!”


ทั้งวัชระและเนตรนภัสเดินเข้ามาในบ้าน สวนทางกับนรีวรรณพอดี
“ทำบุญต่อชะตา? พี่เนี่ยนะ” วัชระอดถามขึ้นด้วยความแปลกใจ
เนตรนภัสคอยเกาะแขนแจวัชระไม่ยอมปล่อย พร้อมๆ กับถลึงตาใส่นรีวรรณ
“ใช่ค่ะ พี่วัชทำบุญครั้งสุดท้ายไปเมื่อไหร่คะ? นุ้ยว่าช่วงนี้ดูพี่วัชหน้าหมองๆ เหมือนชะตาไม่ค่อยดี” นรีวรรณพยายามจะบอกวัชระเป็นนัยๆ กับเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า
ขณะที่แขนด้านซ้ายของเนตรนภัสยังกุมมือของวัชระไว้แน่น แต่มือข้างขวาเริ่มคลายออกจากวงแขนแล้วยื่นมือออกมา วางนิ้วแปะลงจิ้มบนใบหน้านรีวรรณ ก่อนจะไสหัวน้องสาวให้หลีกทาง
“ยัยนุ้ย หลบไป!! แล้วก็หยุดพูดมากได้แล้ว พี่จะวัชไปคุยกับคุณแม่” เนตรนภัสเตือน
เนตรนภัสพูดจบก็ลากตัววัชระไปอย่างรวดเร็ว นรีวรรณก็ยังไม่วายที่จะตะโกนไล่หลัง
“ถ้าพี่วัชไม่มีเวลา เอาวันเดือนปีเกิดมาก็ได้นะคะ เดี๋ยวนุ้ยต่อชะตาออนไลน์ให้ เดี๋ยวนี้เค้ามีบริการผ่านอินเตอร์เน็ตแล้วนะคะ”
“หุบปาก” เนตรนภัสตะโกนสวนนรีวรรณทันที
วัชระออกจะงงๆ กับคำพูดคำจาของนรีวรรณที่เหมือนจะบอกอะไรแก่เขา จนเขาอดคิดในใจไม่ได้ว่า “นี่มันอะไรกันวะ”
เนตรนภัสลากตัววัชระเข้าห้องรับแขกพร้อมกับปิดประตูอย่างแรง
นรีวรรณส่ายหน้าด้วยความไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เนตรนภัสกำลังจะทำ จนอดคิดไม่ได้ว่า
“งานนี้ใครจะซวยกันแน่ พี่วัช พี่แหนม หรือว่าแม่”

สีรุ้งที่ถูกเนตรนภัสจัดฉากให้มานั่งทำหน้าเบื่อหน่ายอยู่ในห้องรับแขก วัชระกับเนตรนภัสนั่งเผชิญหน้า เนตรนภัสเปิดฉากพูดขึ้นอย่างรีบเร่ง
“คุณแม่คะ..คุณแม่มีเรื่องจะคุยกับวัชไม่ใช่เหรอคะ คุยเลยค่ะ!!” เนตรนภัสยิ้มสดใส และเริ่มโยนลูกเปิดประเด็นในทันที
สีรุ้งหันมามองหน้าวัชระ วัชระยิ้มรับนิดๆ ทั้งสีรุ้งและวัชระต่างก็รู้สึกงงๆพอกัน
“ที่ฉันเรียกเธอมาวันนี้ เพราะมีเรื่องจะถาม”
“ถามเลยค่ะ!” เนตรนภัสแทรกด้วยความใจร้อน
สีรุ้งปรายตามาทางเนตรนภัส ผู้เป็นลูกสาวด้วยความอ่อนใจ
“คบกันมาตั้งนานแล้ว..ไม่คิดจะ...”
สีรุ้งตะกุกตะกัก เนตรนภัสลุ้น
“...เปลี่ยนใจบ้างเหรอ” สีรุ้งไม่รู้จะเรียบเรียงคำพูดอย่างไร
วัชระสะดุ้งนิดๆ เนตรนภัสชักสีหน้าไม่สู้ดี
“คุณแม่” เนตรนภัสเสียงสูงใส่สีรุ้ง เหมือนจะเตือนว่าอย่าหลงประเด็น
“แม่จะบอกว่า ถ้าไม่คิดจะเปลี่ยนใจ ก็ควรจะทำอะไรๆ ให้มันเป็นเรื่องเป็นราว มั่นคงไม่ใช่ควงกันไปควงมาแบบนี้” สีรุ้งพยายามตบความคิดเข้าประเด็นที่เนตรนภัสต้องการ
เนตรนภัสได้ยินดังนั้น ค่อยรื่นหูและอารมณ์ลดลงอย่างเห็นได้ชัด
“แล้วไป...”
วัชระยังไม่เข้าใจที่สีรุ้งพูดอยู่ดี จนอดขมวดคิ้วถาม
“คุณแม่หมายถึงอะไรครับ? อย่าบอกนะครับว่าคุณแม่หมายถึง...การแต่งงาน!!”
เนตรนภัสหันขวับกลับมาและใส่วัชระในทันที
“ทำไมวัช? ถ้าคุณแม่หมายถึงการแต่งงานแล้วยังไง หรือว่าวัชไม่คิดจะแต่ง”
วัชระหน้าเลิ่กลั่ก สีรุ้งเริ่มงงๆ ขณะที่เนตรนภัสกำลังของขึ้นจึงใส่ยาวอย่างไม่สนหน้าอินทร์ หน้าพรหม
“นี่คิดจะคบแหนมเล่นๆ งั้นเหรอ แหนมไม่ยอมนะ แหนมเสียเวลากับวัชมาตั้งหลายปี ไม่ยอมเสียเวลา เสียโอกาส แล้วยังเสียต _” เนตรนภัสหลุดคำว่า “ตัว” ออกมาแค่ครึ่งคำ
“แหนม!! พอลูก อย่าพูดต่ออีกเลย แม่จะเป็นลม แม่พูดเอง”
“คุณแม่ไม่ต้องค่ะ แหนมพูดเอง!!!”
สีรุ้งกุมขมับ ลมแทบจับ เมื่อเนตรนภัสไม่ยอมหยุด
“นี่ไม่ใช่การสอบถาม หรือเจรจา แต่เป็นการแจ้งให้ทราบ วัชจะต้องแต่งงานกับแหนมภายในปีนี้ !!”
“ปีนี้? มันเหลืออีกไม่กี่เดือนเองนะ”
“ใช่ และแหนมก็จะไม่รอไปจนถึงปีหน้า วัชจะต้องจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย และงานแต่งงาน ‘ของเรา’จะต้องเริดที่สุด!”
“แต่..วัชไม่มีเงิน จะมาจัดงานเริดๆ ได้ยังไง”
“แหนมออกเอง เสียเงินเท่าไหร่ไม่ว่า แต่งานนี้ ‘ห้ามเสียหน้า’ เด็ดขาด!!” เนตรนภัสสวนกลับ
สีรุ้งถึงกับพิงหลังลงที่โซฟา เพราะลมตีขึ้นด้วยความเครียด
“เฮ่อ...”
เนตรนภัสเชิดหน้าขึ้นอย่างมั่นใจ ขณะที่วัชระมองหน้าเนตรนภัสด้วยความรู้สึกทั้งอึดอัด ขัดใจ แววตาเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด

หลังเสร็จสิ้นการพูดคุยกับสายรุ้งและเนตรนภัส วัชระเดินคอตกออกจากบ้านหลังใหญ่โตหลังนั้นด้วยความอึดอัดใจ ใบหน้าเคร่งขรึม คำพูดของเนตรนภัสดังก้องอยู่ในหัว
“นี่ไม่ใช่การสอบถาม หรือเจรจา แต่เป็นการ ‘แจ้งให้ทราบ’ วัชจะต้องแต่งงานกับแหนมภายในปีนี้!! วัชจะต้องจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย และงานแต่งงาน ‘ของเรา’ จะต้องเริดที่สุด!! เสียเงินเท่าไหร่ไม่ว่า แต่งานนี้ ‘ห้ามเสียหน้า’ เด็ดขาด!!”
วัชระเดินมาถึงที่รถด้วยความเครียดสุดทน ง้างมือจะทุบลงไปที่กระโปรงรถ แต่เหลือบไปเห็นว่ามันบุบอยู่แล้ววัชระเลยชะงักมือ เปลี่ยนเป็นวางไว้ที่หน้ารถอย่างแผ่วเบา แล้วก็ถอนหายใจออกมาเพื่อรพบายความเครียด
“เฮ่อ!!”
บนท้องฟ้าเมฆฝนก่อตัว และค่อยๆ เคลื่อนตัวลอยต่ำ เช่นเดียวกับความมืดมนที่กำลังคืบคลานเข้ามาในชีวิตวัชระอย่างเต็มรูปแบบยามนี้

เย็นวันเดียวกัน รถตู้ของกริชชัยแล่นเข้ามาจอดที่หน้าบริษัท M Group ส่วนรถมอเตอร์ไซค์คันที่กริชชัยขับไปโรงแรมวังน้ำเขียวมีพนักงานขับตามหลังมาให้
ประตูรถตู้เปิดออก กริชชัยเดินลงมาก่อน ตามมาด้วยเบญลี่ และอรุณศรี สามคนยืนอยู่หน้าบริษัท สายตาที่เบญลี่มองกริชชัยและอรุณศรีด้วยความอยากรู้อยากเห็นซ่อนอยู่
“นี่ก็เลยเวลาเลิกงานมาแล้ว ฝนก็เหมือนจะตก แล้ว จะกลับบ้านกันยังไง?” กริชชัยถามขึ้นลอยๆ
“เบญลี่เอารถมาค่ะ คุณกริชไม่ต้องห่วงนะคะ”
“ผมรู้” กริชชัยหันมาตอบนิ่งๆ
“แล้วคุณ..กลับยังไง?” กริชชัยหันมาทางอรุณศรี
“เดี๋ยวแฟนมารับค่ะ” อรุณศรีตอบอย่างจริงใจ
กริชชัยจุกเหมือนโดนลิ่มปักกลางอก เบญลี่หันขวับมาทางอรุณศรี หน้าตาแสดงความไม่พอใจ อรุณศรีหันมายิ้มให้ โดยไม่รู้ตัวว่าโดนเคือง
“ งั้นก็..ดี!!” กริชชัยตัดบทกลบเกลื่อน

กริชชัยพูดจบแล้ว หันหลังเดินเข้าบริษัทด้วยความเซ็ง


อ่านต่อหน้า 2








สามหนุ่มเนื้อทอง ตอนที่ 3 (ต่อ)

ภายหลังจากที่กริชชัยเดินเข้าบริษัท เบญลี่ลากอรุณศรีมาที่มุมหนึ่งของตึก

“พี่เบญลี่ มีอะไร? ลากแอ๊วมาตรงนี้ทำไมเนี่ย”
เบญลี่มองซ้ายมองขวาอย่างระแวดระวัง แน่ใจว่าไม่มีคน จึงหันขวับถามอรุณศรี
“ไปตอบคุณกริชเค้าแบบนั้นทำไม?”
“อ้าว..ก็แฟนแอ๊วเค้ามารับจริงๆนี่”
“ตอบแบบนั้นไป แล้วไม่กลัวเหรอ?”
อรุณศรีงง “กลัววอะไร ?”
เบญลี่มองหน้าอรุณศรีราวกับจะคาดคั้น
“ถามจริง ไม่รู้จริงๆเหรอเนี่ย”
“รู้อาราย?”
“ก็เรื่องคุณกริชงาย...ไม่รู้จริงๆอ่ะ?”
อรุณศรีคิดสักครู่ เรื่องกริชชัยเป็นเกย์ก็เข้ามาในสมองอีก ภาพธีธัชกับกริชชัยหยอกล้อกัน และกริชชัยกอดกับวัชระผ่านเข้ามาในสมอง
“อ๋อ...แอ๊วรู้ พี่เบญลี่ก็รู้เหรอ”
“คือ พี่ก็ไม่ได้ตั้งใจ แต่มันแอบเห็นโดยบังเอิญน่ะ” เบญลี่ตอบแบบอึกๆอักๆ
ภาพที่อรุณศรีเช็ดปากให้กริชชัย และแววตาของกริชชัยที่หวานเยิ้ม ผ่านเข้ามาในสมองของเบญลี่ เธอพูดต่อ ด้วยความกระตือรือร้น
“พี่ก็เลยคิดว่า แอ๊วไม่ไม่น่าจะบอกเรื่องมีแฟน บอกไปเท่ากับตัดโอกาสตัวเอง”
“ตัดโอกาส” อรุณศรีงงกับคำนี้นิดๆ
อรุณศรีคิดว่า เบญลี่คงจะหมายถึงว่า กริชชัยอาจจะไปสนใจปรานต์ก็ได้
“ อ๋อ แฟนแอ๊วเค้าไม่สนหรอกค่ะ ปรานต์เค้าแมนๆ ค่ะ”
เบญลี่งงกับคำตอบของอรุณศรี
“ขอบคุณที่เตือนนะคะ เอาเป็นว่า แอ๊วจะคอยระวังไม่ให้เค้าสองคนเจอกัน เพื่อความปลอดภัย” อรุณศรีพูดต่อ
แล้วยิ้มก่อนจะเดินไปที่ห้องทำงานตัวเอง เบญลี่มองตามอย่างงง
“ไม่ให้เจอกัน หรือว่ายัยแอ๊วจะเก็บคุณกริชไว้เป็นกิ๊ก!!”
เบญลี่คิดในใจ โดยไม่ได้รู้เลยว่า คุยกันไปคนละเรื่อง

กริชชัยเดินเข้ามาในห้องทำงานแล้วทรุดลงนั่งด้วยความเซ็ง
“ทั้งมีแฟนแล้ว ทั้งคิดว่าเราเป็นเกย์ ซวยครบสูตรจริงๆ”
กริชชัยส่ายหน้าแล้วก็เอนหลังพิงโซฟา เงยหน้ามองเพดานอย่างไร้หวัง
อรุณศรีเก็บของที่โต๊ะทำงาน แล้วก็ส่งข้อความบอกปรานต์ไปว่า
“จะออกไปยืนรอหน้าบริษัท มารับได้เลย”

ครู่ต่อมาที่หน้าบริษัท M Group อรุณศรีเดินถือกระเป๋างานออกมายืนรอ บรรยากาศครึ้มๆ เหมือนฝนกำลังจะ
ตก อรุณศรีเงยหน้ามองเกรงว่าปรานต์จะมาไม่ทันก่อนที่ฝนจะตก
กริชชัยเก็บของกำลังออกจากบริษัทเช่นเดียวกัน เขามองผ่านริมหน้าต่างเห็นท้องฟ้าครึ้มๆ ในใจคิดว่า ฝนคงจะตกในไม่ช้า จึงรีบออกจากห้อง ก้าวเท้าเดินลงจากตึก ไป กริชชัยมองลงไปที่หน้าตึกชั้นล่าง เห็นอรุณศรียืนอยู่
กริชชัยหยุดยืนมอง เปลี่ยนใจกระทันหัน ยังไม่กลับดีกว่า แต่ก็อดห่วงในตัวอรุณศรีไม่ได้

อรุณศรียืนรออยู่ที่เดิมจนเมื่อยขา หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทร.หาปรานต์ แต่ไม่มีคนรับ
“กรุณาฝากข้อความหลังได้ยินเสียงสัญญาณ…ตื๊ด”
อรุณศรียืนรออยู่อีกครูหนึ่ง ก่อนจะเปลี่ยนมานั่งรอ และโทรศัพท์อีกครั้ง ไม่มีคนรับสาย ท้องฟ้าเริ่มมืดลงทุกขณะ ลมเริ่มกรรโชกแรง ฝนกำลังจะตก

ความมืดจากลมฝน และเวลากลางคืนที่เริ่มคลืบคลานเข้ามาแผ่คลุม
“แอ๊วไม่รอแล้วนะ เบื่อ” อรุณศรีบ่นอุบ
อรุณศรีวางสายไปด้วยความเซ็ง แล้วทันใดนั้นฝนก็เทลงมาอย่างหนัก !!
อรุณศรีตกใจรีบวิ่งหลบฝนเข้าไปในตึก ทันใดนั้นก็มีร่มสีดำคันใหญ่ก็ยื่นเข้ามากันฝนให้อย่าง
ทันท่วงที
อรุณศรีตกใจนิดๆ ก่อนจะหันมาพบว่า ที่แท้ กริชชัยคือ ผู้กางร่มให้กับเธอนั่นเอง อรุณศรีเปลี่ยนจากความตกใจเป็นแปลกใจ
“คุณกริช คุณยังไม่กลับเหรอคะ”
“ผมรอคุณ”
“รอฉัน? รอทำไม” อรุณศรีสงสัย
“รอจนกว่าจะมี...” กริชชัยตั้งใจที่จะพูดว่า “แฟน” ต่อในประโยคนี้ แต่ชะงักและเปลี่ยนสรรพนามเรียก
“คนมารับ..แล้วนี่ เค้า ยังไม่มารับเหรอ”
“ก็ พอดีเค้าติดงานสำคัญ ยังปลีกตัวออกมาไม่ได้ ฉันก็เลยคิดว่าจะกลับเอง”
“เดี๋ยวผมไปส่ง” กริชชัยโพล่งออกมา
อรุณศรีชะงักแปลกใจ กริชชัยใจเต้นโครมครามที่ได้พูดในสิ่งที่อยากจะพูด อยากทำตามด้วยความห่วงใยออกไป กริชชัยรอคำตอบด้วยใจระทึก
อรุณศรีอึกๆอักๆ
“อย่าเลยค่ะ ฉันกลับแท๊กซี่เองดีกว่า”
“ฝนตกแบบนี้ ผมว่าหาแท๊กซี่ลำบากแน่ แล้วรถก็น่าจะติด นี่ก็ดึกมากแล้ว ให้ผมไปส่งดีที่สุด”
“ผมไม่ทำอะไรคุณหรอกน่า ไว้ใจได้”
“ฉันรู้หรอกน่า” อรุณศรีมองหน้าแล้วยิ้มๆอย่างรู้ทัน
กริชชัยอมยิ้มนิดๆ
“อย่างฉันไม่ใช่แนวที่คุณชอบ” อรุณศรีพูดต่อ
กริชชัยถึงกับสะอึก หุบยิ้มหน้าเจื่อนในทันทีแต่จำต้องฝืนยิ้มให้กับอรุณศรี ก่อนจะเบือนสายตาหลบ
อย่างเซ็ง

รถของกริชชัยแล่นฝ่าแสงสีของกรุงเทพยามราตรี ภายในรถเห็นกริชชัยนั่งคู่กับอรุณศรี เขาอบมองอรุณศรีเป็นระยะๆ ด้วยความตื่นเต้น
ขณะที่อรุณศรีนั่งอย่างสบายใจ ไม่เกร็ง และไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น นอกจากในใจที่ยังแอบเคืองปรานต์ด้วยความเซ็ง นับเป็นวันเวลาแห่งความสุขของกริชชัย กริชชัยขับรถและฮัมเพลงประจำตัวเขา

รถสปอร์ตหรูของกริชชัยแล่นเข้ามาจอดที่หน้าบ้านของอรุณศรี
“ขอบคุณนะคะ ที่มาส่ง”
“ด้วยความยินดีครับ”
“ส่วนเรื่องนั้น คุณไม่ต้องห่วงนะคะ”
กริชชัยขมวดคิ้วนิดๆ อดคิดไม่ได้ว่าเป็นเรื่องอะไรที่อรุณศรีพูดถึง
“ฉันไม่เอาไปเม้าท์กับคนอื่นแน่นอน คุณเองก็เคลียร์กับคุณธีธัชให้ฉันด้วยนะคะ เค้าจะได้รู้ว่าเราสองคน ไม่ได้มีอะไรกัน” อรุณศรียิ้มรื่น
“ฉันไปก่อนนะคะ”
อรุณศรีพูดจบแล้วก็เปิดประตูลงจากรถไปเลย
กริชชัยได้แต่อ้าปากค้างยังไม่ทันจะได้พูดอะไร เพราะอรุณศรีเปิดประตูรถแล้วรีบเดินเข้าบ้านในทันที กริชชัยเหมือนคนในอาการน้ำท่วมปาก ได้แต่มองเธอเดินจากไป
กริชชัยโกรธตัวเองแล้วก็ทุบมือลงบนพวงมาลัยด้วยความเซ็ง แต่จังหวะที่ทุบนั้น บังเอิญไปโดนเสียงแตรรถ เสียงแตรดัง
อรุณศรีที่กำลังจะเข้าบ้าน ถึงกับชะงักและหันกลับมามองของรถกริชชัยด้วยความแปลกใจ
กริชชัยตกใจเล็กน้อยที่เสียงแตรรถดังขึ้น เขาชะงักและหันไปมองไปทางอรุณศรี กริชชัยคิดว่าเอาไงดีกับสถานการณ์ฉุกเฉินนี้ ตัดสินใจลดกระจกลงแล้ว โบกมือลา พร้อมกับยิ้มเจื่อนๆ
อรุณศรีมองมาทางกริชชัยด้วยสีหน้างงๆ มาโบกมือทำไม?
กริชชัยรีบหันกลับ แล้วก็ปิดกระจกรถพร้อมกับขับรถออกไปทันที
อรุณศรีมองตามอย่างแปลกใจ พลางขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วเดินเข้าบ้าน แต่ไม่คิดมาก

อรุณศรีเดินเข้ามาในบ้าน บ้านของเธอขนาดไม่ใหญ่นัก มีเพียงห้องครัวเท่านั้นที่ใหญ่โตกว้างขวาง เครื่องครัวเพียบพร้อมและเก๋ไก๋ มุมหนึ่งของผนังมีหนังสือทำอาหารเรียงรายมากมาย ส่วนห้องนั่งเล่นเล็กๆ ในบรรยากาศอบอุ่น รอบๆผนังห้อง ยังมีรูปอรุณศรีและโอบบุญพี่ชายที่ถ่ายคู่กัน เรียงรายตั้งแต่วัยเด็กไปถึงรูปเรียนจบรับปริญญา แม้แต่รูปถ่ายในปัจจุบันก็มี ภาพเหล่านี้ เพื่อบ่งบอกว่า พี่น้องคู่นี้รักและสนิทสนมกันมาก

อรุณศรีเดินเข้ามาในบ้านแล้ววางกระเป๋าและแฟ้มงานไปกันคนละทาง ก่อนจะรีบหยิบโทรศัพท์มือถือจากกระเป๋ากระโปรงมาดู หน้าจอว่างเปล่า ไม่มีการติดต่อมาจากปรานต์
“ไม่โทร.กลับมาสักครั้ง เชื่อเค้าเลย” อรุณศรีบ่นอุบ
อรุณศรีส่ายหน้าด้วยความเซ็ง แล้วก็โยนโทรศัพท์ลงบนโซฟา
ทันใดนั้นปรานต์ก็โทร.มาพอดี อรุณศรีปรายตามามอง เห็นชื่อปรานต์ เธอคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะตัดสินใจรับสายด้วยความหงุดหงิด
ทันทีที่กดรับ เสียงปรานต์ก็พุ่งออกมา ทั้งที่อรุณศรียังไม่ได้พูดอะไรสักคำ
“แอ๊วผมขอโทษนะ ติดลูกค้าสำคัญมากเลย ผมพยายามจะปลีกตัวออกมาแต่เค้าไม่ยอม ขนาดผมบอกว่านัดแฟนไว้ ผมไม่อยากผิดนัด เค้าก็ยังไม่ยอม ผมขอโทษจริงๆนะ”
อรุณศรีนิ่งฟังด้วยความเบื่อหน่าย

แท้จริงแล้วในค่ำคืนนั้น ปรานต์ยืนอยู่ที่หน้าร้านสปานวดกระปู๋ พริตตี้สาวสวยประจำร้านยืนคุยกับคุณลูกค้า ปรานต์ยืนคุยโทรศัพท์อยู่ไม่ไกล โดยมีพริตตี้สาวเซ็กซี่โบกมือทักทาย ปรานต์โบกมือให้เป็นทำนองที่รู้กันว่าแป๊บนึง แล้วก็หันกลับมาคุยโทรศัพท์ต่อ
“ตอนนี้แอ๊วอยู่ไหนแล้ว ? กลับถึงบ้านหรือยัง? กลับลำบากหรือเปล่า”
เงียบ ไม่มีเสียงตอบจากอรุณศรี ปรานต์ถามย้ำ
“แอ๊ว ได้ยินหรือเปล่า?”
เงียบ ไม่มีเสียงตอบอีกเช่นเคย
“แอ๊ว ฟังผมอยู่หรือเปล่า?”
“ฟังอยู่” อรุณศรีตอบน้ำเสียงเซ็งๆ
ปรานต์ถามกลับ ด้วยความแปลกใจ
“ฟังแล้วทำไมไม่ตอบ..เป็นอะไรหรือเปล่า ?”
“เป็น !!” อรุณศรีตอบเสียงแข็ง ทว่าเย็นชา
“แอ๊วเป็นอะไร” ปรานต์ซัก
“โกรธ!!”
ปรานต์ชักสีหน้านิดๆ ส่ายหน้าๆ น้ำเสียงหงุดหงิดใส่กลับ
“แอ๊วจะมาโกรธผมได้ยังไง ผมบอกแล้วไงว่าผมติดลูกค้า!”
อรุณศรีระเบิดเสียงใส่ปรานต์
“มันจะติดพันขนาดขอตัวมาโทร.บอกสักคำไม่ได้หรือไง จะได้ไม่ต้องรอ ที่สำคัญแอ๊วไม่ได้ขอร้องให้มารับ ปรานต์อยากมาเอง แล้วก็ปล่อยให้ยืนรอ นั่งรอ ฝนก็ตก รถก็ติด ถ้ามารับไม่ได้ ก็ไม่ต้องอาสา แอ๊วกลับเองได้ ไม่ต้องเสียเวลาไปรอให้เสียอารมณ์ และครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก มันเป็นแบบนี้มาตลอด มันน่าเบื่อ”
ปรานต์ทำเสียงอารมณ์เสียใส่ กลบเกลื่อนความผิดของตัวเอง
“แอ๊ว ถ้าจะมาอารมณ์เสียใส่ปรานต์ เราอย่าคุยกันดีกว่า เดี๋ยวจะทะเลาะกันเปล่าๆ”
อรุณศรีของขึ้นอีกรอบ
“ปล่อยให้รอตั้งสองสามชั่วโมง จะไม่ให้อารมณ์เสียเลยหรือไง”
“พอๆ พอ ได้แล้วแอ๊ว เราหยุดคุยกันแค่นี้ดีกว่า เอาไว้แอ๊วมีสติมากกว่านี้เมื่อไหร่ เราค่อยคุยกัน”
“ใครกันแน่ที่ไม่มีสติ”
หลังจากที่ปรานต์พูดตัดบทก็วางสายไปในทันที
“โธ่เอ๊ย โดนด่าจนเถียงไม่ออก ทำเป็นวางหูใส่ ทุเรศ”
อรุณศรีอารมณ์เสีย โยนโทรศัพท์ลงบนโซฟาอีกรอบ กัดริมฝีปากตัวเองด้วยความโกรธ

ปรานต์ส่ายหน้าด้วยความไม่ได้ดั่งใจ แล้วก็เก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกง ก่อนจะเดินกลับไปหาสาวๆ ด้วยความไม่รู้สึกผิดแม้แต่น้อย

อรุณศรีทรุดลงนั่งที่โซฟา ปรายตามามองโทรศัพท์ที่วางอยู่อย่างสงบ ไม่มีการโทร.กลับมาจากปรานต์ ขมวดคิ้วคิดหนัก หรือว่า นี่จะเป็นสัญญาณว่าเราไปด้วยกันไม่ได้ ถึงขั้นต้องเลิกกัน

กริชชัยกำลังขับรถกลับบ้านด้วยความเหงา นึกถึงอรุณศรีที่บอกกับกริชชัยว่ามีแฟนแล้ว
“ฉันเห็นคุณแอบมองฉันมานานแล้ว คุณ คิดอะไรหรือเปล่า? ถ้าคุณจะคิดอะไรที่มัน เอ่อ..อย่างนั้นน่ะ ฉันขอบอกก่อนเลยนะว่าฉัน มีแฟนแล้ว”
กริชชัยบอกความรู้สึกไม่ถูก ทั้งเศร้า เสียดาย เซ็ง คละเคล้ากันไป เขานึกถึงเรื่องธรรมะเกี่ยวกับความรักที่เขาเคยอ่าน
“พระพุทธองค์ทรงตรัสเกี่ยวกับความรักไว้ใน พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม 1 ภาค 3 หน้า 786 และ 747 ไว้ว่า “ดูกรนางวิสาขา ผู้ใดมีสิ่งที่รัก หนึ่งร้อย ผู้นั้นก็มีทุกข์ หนึ่งร้อย”
เป็นเวลาเดียวกับที่อรุณศรีค่อยทรุดตัวลงนั่ง ที่โซฟากลางบ้านที่เงียบเหงาด้วยความเศร้า ด้านหลังมีรูปที่อรุณศรีที่ถ่ายคู่กับสุพรรณิการ์
กริชชัย ยังคงพูดถึง “ผู้ใดมีสิ่งที่รัก ผู้นั้นก็มีทุกข์”

ฝ่ายสุพรรณิการ์นั่งอยู่ในที่ทำงาน มือสองข้างพันผ้าไว้ เนื่องจากอาการซ้นที่เกิดจาดการทุบหน้ารถวัชระ สุพรรณิการ์ใช้นิ้วจิ้มโทร.ออก ที่หน้าจอขึ้นรูปหน้าวัชระ
สัญญาณปิดเครื่อง “หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถ...”
สุพรรณิการ์กดสายทิ้งด้วยความหงุดหงิด
“อีตาเคราเฟิ้ม นายไม่มีทางหนีฉันพ้นแน่ คอยดู”
สุพรรณิการ์กดโทร.ออกอีกทั้งที่รู้ว่าวัชระปิดเครื่อง
ฝ่ายกริชชัย ยังคงนับย้ำและพูดซ้ำซากเหมือนแผ่นเสียงตกร่อง “ผู้ใดมีสิ่งที่รัก แปดสิบ ผู้นั้นก็มีทุกข์ แปดสิบ”

วัชระขับรถอยู่บนถนนด้วยความเครียด เสียงเนตรนภัสดังกึกก้องอยู่ในหูและดังอื้ออึงอยู่อย่างนั้น
“นี่ไม่ใช่การสอบถาม หรือเจรจา แต่เป็นการ “แจ้งให้ทราบ” วัชจะต้องแต่งงานกับแหนมภายในปีนี้ วัชจะต้องจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย และงานแต่งงาน “ของเรา” จะต้องเริดที่สุด !! เสียเงินเท่าไหร่ไม่ว่า แต่งานนี้ “ห้ามเสียหน้า” เด็ดขาด!!”
วัชระถอนหายใจอย่างแรง
กริชชัยยังคงนับสัจธรรมของความรักใน พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกายอย่างต่อเนื่อง
“ผู้ใดมีสิ่งที่รัก เจ็ดสิบ ผู้นั้นก็มีทุกข์ เจ็ดสิบ”
วัชระขับรถไปด้วยความกลัดกลุ้มใจ

ฝ่ายธีธัช กำลังส่องดูแผลตัวเองที่หัวด้วยความกลัวว่าจะไม่หล่อเหมือนอย่างเคย ยิ่งนึกถึงตอนที่ลำเภากระหน่ำตีหัวแบบไม่ยั้งก็ให้เกิดความแค้นใจ
“ฉันจะต้องหาทางแก้แค้นยัยเด็กบ้านั่นให้ได้”
กริชชัยยังคง “ผู้ใดมีสิ่งที่รัก เก้า ผู้นั้นก็มีทุกข์ เก้า”

ที่บ้านสวน ลำเภา ยืนมองภาพวาดที่วางอยู่ตรงหน้า พึมพำผุ้คนเดียวว่า
“ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร? หรือว่า จะเป็นคนที่คุณกริชหลงรัก”
ลำเภามองภาพอีกที ด้วยความเป็นห่วง

ในที่สุดกริชชัยก็พร่ำบ่นสัจธรรมของความรักมาถึง
“ผู้ใดมีสิ่งที่รัก หนึ่ง ผู้นั้นก็มีทุกข์ หนึ่ง” ครบ 100 ครั้งพอดี

“ผู้ใดไม่มีสิ่งที่รัก ผู้นั้นก็ไม่มีทุกข์” กริชชัยถอนหายใจเมื่อเห็นข้อสรุปของความรักจากหลักสัจธรรม
“ทำไมฉันเลิกรักเธอไม่ได้นะ อรุณศรี”
กริชชัยพึมพำกับตัวเอง แล้วก็ต้องก้มหน้ารับทุกข์อันแสนหวานนั้นต่อไป

เช้าวันต่อมา ภายในห้องครัวของบ้านอรุณศรี โอบบุญกำลังตอกไข่ใส่กระทะที่ทันสมัยบนเตาที่ร้อนได้ที่ และใช้ไม้ละเลงคนด้วยความชำนาญ เมื่อไข่สุกได้ที่ โอบบุญเทไข่ใส่จานที่แต่งไว้อย่างเก๋ไก๋แล้ว โรยเบคอนเจียว กลิ่นหอมชวนรับประทาน
อรุณศรีเดินออกมาจากห้อง ได้กลิ่นอาหารแล้วก็ยิ้มนิดๆ ก่อนจะเดินมาที่ห้องรับแขก
“ตื่นแต่เช้าเลยนะ”
โอบบุญ พี่ชายของอรุณศรียิ้มรับ พร้อมกับเดินมาที่โต๊ะอาหารพร้อมเมนูอาหารเช้า
“ใครจะขี้เซาเหมือนเธอ มาก็ดีแล้ว ช่วยพี่ชิมจานนี้หน่อย เจ้านายอยากได้เมนูอาหารเช้า แบบทำเร็วๆ ทานง่ายๆ ได้กำไรเยอะๆ”
“ไม่เอาอ่ะ วันนี้ไม่มีอารมณ์จะกิน ปวดจิต”
โอบบุญมองหน้าน้องสาว
“หงุดหงิดแบบนี้ทะเลาะกับใครมา ไอ้ปรานต์ หรือว่าเจ้าของรถสปอร์ตคันเมื่อคืน”
อรุณศรีหันขวับทันที
“พี่โอบรู้ได้ไง? เมื่อคืนตอนเค้ามาส่ง พี่โอบยังไม่กลับไม่ใช่เหรอ? หรือว่า มีสายสืบ”
“สายสง สายสืบไรเล่า ป้าขายน้ำเต้าหู้หน้าปากซอยเป็นคนบอก เมื่อเช้าพี่เดินออกไปซื้อไข่ พอเห็นหน้าพี่ก็รีบรายงานเป็นชุดเลย สรุปเป็นความจริงใช่มั๊ยเนี่ย”
อรุณศรีเดินมาถึงโต๊ะอาหาร
“ก็จริง”
โอบบุญยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ด้วยความอยากรู้ “แล้ววันนี้เค้าจะขับรถสปอร์ตมารับหรือเปล่า”
ยังไม่ทันที่อรุณศรีจะให้คำตอบใดๆ เสียงปรานต์ก็ดังเข้ามาในบ้านพอดี
“ใครขับรถสปอร์ตเหรอครับ”
โอบบุญกับอรุณศรีหน้าเซ็ง หมดอารมณ์ในทันทีทั้งคู่

ปรานต์เดินด้วยหน้าตาร่าเริง ไม่ได้สำนึกถึงสิ่งที่ทำไว้เมื่อวาน
“พี่โอบเปลี่ยนรถเหรอครับ? พี่เอาไปติดเครื่องเสียงที่ร้านผมได้นะ รุ่นใหม่เพิ่งมาจากญี่ปุ่น เสียงใสกิ๊ก”
“เปล่า พี่ยังขับรถญี่ปุ่นมือสองเหมือนเดิม”
“อ้าว แล้วใครขับรถสปอร์ต?” ปรานต์ซักเพราะอยากรู้ความจริง
“ใครก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าเป็นผู้ชาย แล้วก็ขับมาส่งแอ๊วที่บ้านเมื่อคืน”
โอบบุญลอยหน้าพูดด้วยความสะใจ อรุณศรีปรายตามาทางโอบบุญ แม้จะเคืองนิดหน่อยที่พี่ชายปากโป้ง แต่สะใจมากกว่า ปรานต์หันขวับมาทางอรุณศรีทันที
“จริงเหรอแอ๊ว มันเป็นใคร?”
โอบบุญพูดโพล่งขึ้นลอยๆ
“โอ๊ะ เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าต้องรีบไปทำงานแต่เช้า พี่ไปทำงานอาบน้ำก่อนนะ” .
โอบบุญพูดจบก็รีบเดินไปยังห้องนอนทันที
ปรานต์รีบพุ่งเข้ามาจับแขนอรุณศรีคาดคั้นความจริง
“แอ๊ว มันแอบมาจีบแอ๊วตอนปรานต์ไม่อยู่ใช่มั้ย? บอกมา มันเป็นใคร”
อรุณศรีเอามือปัดมือปรานต์ออก แล้วก็ตอบหน้านิ่งๆ
“ไม่บอก” อรุณศรีหยิบกระเป๋าเตรียมจะเดินออกจากบ้าน
“แอ๊ว บอกมานะ มันเป็นใคร แล้วมันมาส่งทำไม” ปรานต์ไม่ยอมแพ้ เดินตามมาคาดคั้น
“หึงเหรอ”
“ใช่”
“ดี หึงมากๆ นะ แล้วก็มาคอยเฝ้าไว้ให้ดี ไม่ใช่ปล่อยให้นั่งรอ ยืนรออยู่หน้าบริษัทตั้งสองสามชั่วโมง เป็นที่สมเพชของคนที่เขาเดินผ่านไปมา รู้ซะบ้าง ว่าแอ๊วมีค่าขนาดไหน อย่ามาทำทิ้งๆ ขว้างๆ แบบนี้”
อรุณศรีพูดจบก็รีบเดินออกจากบ้านไป แต่ไม่วายที่ปรานต์ตะโกนไล่หลัง ด้วยความขัดใจ
“แอ๊ว เดี๋ยวก่อน บอกมาก่อนว่ามันเป็นใคร แอ๊ว แอ๊ว”
อรุณศรีไม่หยุดเดิน ปรานต์รีบก้าวเท้าเดินตามออกไป

เช้าวันเดียวกัน ที่บ้านสวน ลำเภากำลังซักไซ้ถึงภาพผู้หญิงที่เธอเห็นในห้องนอน
“ชื่อ อรุณศรี เป็นพนักงานในบริษัท”
กริชชัยจิบกาแฟพร้อมกับพยักหน้ารับ “อืมม์..”
ลำเภายังคงทำหน้าที่คอยขุดคุ้ยหาความจริงต่อไป
“คุณกริชชอบเค้ามากขนาดวาดรูปเก็บไว้แบบนี้ เคยบอกเค้าหรือยัง”
“ไม่เคย” กริชชัยส่ายหน้า
“ทำไม”
“เค้ามีแฟนแล้ว” กริชชัยถึงกับหน้าเจื่อนไปที่พูดประโยคนี้
“มีก็มี ไม่เห็นเกี่ยวนี่ คุณกริชชอบเค้า ไม่ได้ชอบแฟนเค้าสักหน่อย แล้วบางทีแฟนเค้าอาจจะเป็นคนไม่ดีก็ได้ ถ้าเค้ารู้ว่าคุณกริชชอบ เค้าอาจจะเปลี่ยนใจ”
“แฟนเค้าจะดี หรือไม่ดี มันก็เกี่ยว ถ้าเค้ารักของเค้า พี่ก็ไม่อยากเข้ายุ่ง อยู่แบบไม่รู้ยังดีกว่ารู้แล้วต้องเกลียดกัน หรือมองหน้ากันไม่ติด”
กริชชัยพูดด้วยความรู้สึกเหมือนปลง ลำเภาอดเห็นใจพี่ชายไม่ได้
“บนโลกมีผู้หญิงให้เลือกตั้งเยอะแยะ ทำไม๊ ทำไมคุณกริชจะต้องไปชอบคนที่เค้าไม่ชอบด้วย เภาไม่เข้าใจจริงๆ”
“ถ้าเภาได้เจอเค้าสักครั้ง เดี๋ยวเภาก็รู้เอง”
กริชชัยตอบด้วยความรู้สึกดีๆที่มีต่ออรุณศรี

ลำเภาฟังแล้วก็ขมวดคิ้ว แต่ซักอยากจะเจอสักทีเสียแล้วสิ

อ่านต่อตอนที่ 4







กำลังโหลดความคิดเห็น