xs
xsm
sm
md
lg

มือปราบพ่อลูกอ่อน ตอนที่ 13

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


 มือปราบพ่อลูกอ่อน  ตอนที่ 13 

อธิปยืนมองผืนน้ำทะเลที่เรียบสงบแล้วก็เริ่มอึ้ง พิมมาดาก้าวขึ้นมาจากน้ำ เดินขึ้นมาตามบันไดสะพานปลา แล้วหย่อนก้นนั่งกอดเข่าคอตกอย่างสิ้นหวัง พิมมาดายกมือป้ายน้ำตาที่ไหลไม่หยุด แจ๊ส โจ๊ก และจีจ้าโผเข้ามากอดพิมมาดา

“น้าพิม...น้ากริสน์เค้าคงจมน้ำไปก้นทะเลแล้ว” แจ๊สร้องไห้
“หรือไม่ลูกพี่ก็คงถูกปลาฉลามกินไปแล้ว” จีจ้าก็ร้องไห้
“น้ากริสน์ไม่มีวันกลับมาหาพวกเราอีกแล้ว” โจ๊กน้ำตาไหลพราก
พิมมาดานิ่งงันแล้วเริ่มตระหนักความจริงจึงเสียใจจนร้องไห้หนัก อธิป เดช ผู้ใหญ่ชวด เจ๊ช้าง และชาวบ้านทุกคนยืนมองทั้งสี่คนอยู่บนสะพาน
“คนพวกนั้นคงรักมันมากนะครับ เหมือนไอ้กรดมันเป็นพ่อ แล้วก็ตายจากเมียกับลูกไปกะทันหันยังไงอย่างนั้น” เดชพูดกับอธิป
อธิปเริ่มรู้สึกแย่ เดชพูดต่อ “ยิ่งดูก็ยิ่งสลดใจ อย่างกับดูช่วงวงเวียนชีวิต”
อธิปรีบตัดบท “หุบปากเดี๋ยวนี้ไอ้เดช!”
เดชหุบริมฝีปากแทบไม่ทัน ทันใดนั้นโอปอล์ที่อาบน้ำเสร็จก็วิ่งเข้ามาสมทบ
“ป๊าคะ! โอปอหิวข้าวแล้ว โอปออยากกินปลาทอด” โอปอล์ตะโกนอย่างเริงร่า
โอปอล์มองพิมมาดากับหลานๆ ที่นั่งร้องไห้เรียกหากริสน์อยู่ที่ชายหาด แล้วก็คิ้วขมวดด้วยความงุนงง เดชรีบจับตัวโอปอล์หันหลังแล้วจะผลักให้กลับเข้าบ้าน
“คุณหนูครับ อาบน้ำเสร็จแล้วจะออกมาตากแดดตาก-ลมทำไมครับ? เดี๋ยวตัวดำหมด เข้าข้างในดีกว่า”
“น้าพิมกับพวกโจ๊กเป็นอะไร?” โอปอล์ถาม
เดชกับอธิปได้แต่อึ้ง โอปอล์วิ่งเข้าไปหาพิมมาดากับหลานๆ “โจ๊ก มีอะไรเหรอ เป็นอะไรกันไปหมด”
อธิปมองตามลูกสาวไป พวกหลานของพิมมาดาไม่ตอบคำโอปอล์ แต่หันมาจ้องอธิปอย่างเจ็บแค้น อธิปเห็นดังนั้นก็ถึงกับหน้าซีด พวกเด็กๆ ยังคงยืนจ้องอธิปเป็นตาเดียว
โอปอล์มองพ่อด้วยดวงตาตกตะลึง อธิปเห็นโอปอล์ยืนตัวตรงพร้อมดวงตาที่เต็มไปด้วยคำถาม อธิปถึงกับหน้าซีดลงกว่าเดิม
ภาพตอนที่กริสน์เต้นรำในงานวันเกิดโอปอล์ย้อนกลับมาในหัวอธิป อธิปเริ่มหวั่นไหว
โอปอล์เดินตรงเข้ามาหาอธิป น้ำตาของเธอเริ่มไหล
อธิปเห็นดังนั้นก็น้ำตาคลอตาม เขาคิดถึงตอนที่กริสน์เสี่ยงตายไปช่วยตัวเองกับเดชที่โดนมัดอยู่ สีหน้าของโอปอล์เต็มไปด้วยความผิดหวัง เสียใจ เธอค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้กับพ่อของตัวเอง
อธิปปากสั่นอย่างสะเทือนใจ เขาคิดถึงตอนที่กริสน์เสี่ยงตายรับกระสุนแทนเขาที่ท่าเรือแล้วก็คร่ำครวญออกมา “ไอ้กรด...”
อธิปเริ่มได้สติ เขาหันหน้ากลับไปที่ทะเล “ไอ้กรด!”
อธิปกระโดดลงทะเลไปทันที ทุกคนที่เห็นพากันตกตะลึง
“เสี่ย! / ป๊า!” เดชกับโอปอล์ตะโกนลั่น

อธิปดำดิ่งลงไปในทะเล ซักพักเขาก็โผล่ขึ้นมาหายใจ อธิปหายใจเฮือกใหญ่แล้วดำลงไปอีก ทุกคนมองอย่างลุ้นๆ
ทันใดนั้นอธิปก็ดึงกริสน์ขึ้นมา
พิมมาดากับเด็กๆ เห็นดังนั้นก็ร้องเรียกอย่างดีใจ “นายกริสน์ ! / น้ากริสน์! / ลูกพี่!”
อยู่ๆ อธิปก็หมดแรงแล้วจมหายไปพร้อมกับกริสน์ ทุกคนบนฝั่งตกใจร้องเสียงดัง “เฮ้ย!”
อธิปโผล่ขึ้นมาอีกครั้ง ทุกคนโล่งอก
เดชตะโกนถาม “เสี่ยไหวมั้ยครับ?”
อธิปตะโกนกลับ “มัวแต่พล่ามอยู่ได้ ลงมาช่วยฉันเร็วๆซิวะ!”
เดชรีบวิ่งลงทะเลช่วยอธิปดึงร่างกริสน์ขึ้นมา

ร่างไร้สติของกริสน์ถูกวางลงบนผืนทราย พิมมาดากับพวกเด็กๆ เข้ามารุมล้อม
“นายกริสน์!” พิมมาดาเรียก
“น้ากริสน์ / ลูกพี่ๆ” เด็กๆ เข้ามาเรียก
เดชเขย่าตัวกริสน์ แต่กริสน์ก็ยังไม่ฟื้น เดชจึงตบแก้มกริสน์ไปมา
“ไอ้กริสน์ยังไม่ได้สติเลยครับเสี่ย!”
ผู้ใหญ่ชวดเอามือไปอังรูจมูกกริสน์ “ไม่ใช่แค่ไม่ได้สติ แต่มันไม่หายใจด้วย”
“หา! ไม่หายใจ!” ทุกคนตกใจ
อธิปรีบปั๊มหัวใจและทุบหน้าอกกริสน์อย่างแรง “ฟื้นซิไอ้กรด แกฟื้นขึ้นมาซิวะ!”
กริสน์นิ่งไม่มีสัญญาณชีพใดใด พวกเด็กๆ ร้องไห้ระงม พิมมาดาน้ำตาไหลเป็นทาง สักพักเธอทนไม่ได้รีบพุ่งเข้าไปหากริสน์
“จำไว้นะถ้านายกริสน์เป็นอะไรไป เสี่ยจะต้องรับผิดชอบ ฉันจะเอาเรื่องเสี่ยให้ถึงที่สุด ฉันจะแจ้งจับเสี่ยข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนา เสี่ยจะต้องโดนประหารชีวิต!” พิมมาดาว่าเป็นชุดแล้วก้มลงพูดกับกริสน์ “นายกริสน์ฟื้นซิ! นายต้องฟื้นขึ้นมา..นายต้องหายใจ”
พูดจบพิมมาดาก็บีบจมูกแล้วบีบกรามกริสน์ให้อ้าปาก ก่อนจะสูดลมหายใจลึก แล้วก้มหน้าลงเป่าลมเข้าไปแรงๆ สลับกับการกดที่อกเพื่อไล่ลม
“โอ้ววว!! เหมือนในหนังเลย” ผู้ใหญ่ชวดพึมพำ
แจ๊สตาโต “การทำซีพีอาร์ ช่วยชีวิต”
“น้าพิมสู้ๆ น้ากริสน์สู้ๆ” จีจ้าเชียร์
“หายใจสิ หายใจๆๆๆ ได้ยินมั้น กริสน์ กรด เกริกพล หรืออะไรก็เถอะ” พิมมาดาตะโกน เธอกดปอดสลับกับการเป่าปากในขณะที่น้ำตายังไหลไม่หยุด
“หายใจๆ เร็วๆเข้า ก่อนที่สมองจะตาย..เข้าใจไหม”
สักพัก กริสน์สำลักน้ำออกมาแล้วไอค่อกแค่ก ทุกคนดีใจโดยเฉพาะพิมมาดาที่ดีใจสุดๆ
“คุณพระคุณเจ้าช่วย!! กริสน์ ดีมากๆๆ เก่งมาก” พิมมาดาเชียร์ เธอกระชากกริสน์ เพื่อยกให้อกสูงขึ้น พิมมาดาดันหลังแล้วลูบหลังแรงๆ
กริสน์สำรอกน้ำพรวดออกมา
“คุณพิมคือคนที่กู้ชีพไอ้กรดคืนมาได้” เดชบอก
“เฮ้ น้าพิมเก่งที่สุดๆ” เด็กๆ ชม
พิมมาดาได้สติรีบวางกริสน์ลงแล้วถอยออกไป อธิป เดช และผู้ใหญ่ชวดช่วยกันเข้ามาปฐมพยาบาลกริสต่อ

เวลาผ่านไป พิมมาดายืนพิงต้นไม้มองท้องฟ้าที่สวยงามแล้วครุ่นคิดเหมือนขัดแย้งกับตัวเอง
“จริงเหรอ..ไม่หรอกน่า.. เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ก็ต้องไม่อยากเห็นใครตายไปต่อหน้าทั้งนั้น มนุษย์ด้วยกัน ก็ต้องช่วยชีวิตกัน ถ้ามีโอกาสทำได้..มันเป็นเรื่องธรรมดาเท่านั้นเอง”
เจ๊ช้างตามหาพิมมาดา พอเจอเจ๊ช้างก็รีบเข้ามา “นังหนูๆๆ”
พิมมาดาหันมามองอย่างงงๆ เจ๊ช้างบอก “แฟนเอ็งน่ะ..มัน..”
พิมมาดาร้อนใจ “อะไรนะคะ กริสน์เค้าเป็นอะไรอีก!”
“เปล่า..เค้าไม่ได้เป็นไร แต่เค้าถามหาเอ็ง” เจ๊ช้างบอก
พิมมาดาอึ้งไป “เค้า..สบายดีแล้วหรือยังคะ”
“ก็ดีนะ เห็นมันเดินเหินไปมาเองได้แล้วหนิ แล้วเอ็งหลบมาอยู่มืดๆทำไม ตะกี๊เห็นร้องไห้จะเป็นจะตาย ทำไมไม่ไปโอ๋แฟนให้สมกะที่เค้ารอดตายมาได้”
“เจ๊ช้างคะ..เค้า..กับหนู ไม่ได้เป็น..อย่างที่เจ๊คิด” พิมมาดาอธิบาย
“อีหนูเอ๊ย..จะมาทำเป็นแอ๊บทำไม รักเค้าก็ต้องให้เค้ารู้สิ ว่าเรารัก” เจ๊ช้างบอก
“หนูไม่ได้รักเค้า”
“อั้นแน่ะ”
“จริงๆ!! หมาแมวจะตาย หนูช่วยได้ หนูก็ช่วยทั้งนั้น มันเป็นเรื่องของมนุษยธรรม” พิมมาดาบอก
“ปากดีนักนะ อยากรู้นัก แล้วถ้าเค้าตายไปจริงๆ ใครจะโดดน้ำตายตามคนแรก..หา”
“ไม่ใช่หนูก็แล้วกัน”
เจ๊ช้างมองหน้า “ทำไมต้องปากแข็งด้วยวะ มีปัญหาอะไรกันหรือเปล่า หรือว่า มันเจ้าชู้ ติดการพนัน หรือว่า..มีเมียแล้ว”
“ปัญหาหรือคะ..ปัญหาคือ..หนูไม่รู้จักเค้าเลยค่ะ ไม่รู้ว่าเค้าคิดอะไร ไม่รู้..ว่าเค้าทำอะไร ไม่รู้..ว่าเค้าคือใคร..แล้วหนูจะไปรักคนที่เราไม่รู้จักเลยได้ไงคะ” พิมมาดาพูดแล้วเดินหนีไป
“ไม่รู้จัก..ไม่รู้จักยังไงวะ ก็เห็นสนิทกันจะตาย” เจ๊ช้างงง

ความมืดคลุมตัวทั่วผืนฟ้าเหนือท้องทะเล บรรดาเรือไดหมึก และเรือตังเกค่อยๆ เคลื่อนออกสู่ทะเล กริสน์นั่งพิงเสาแล้วมองเหม่อ อธิปมาแอบมองเขาอยู่ที่มุมนึง
กริสน์นั่งนิ่งแล้วพูดออกมาเรียบๆ “ผมไม่เคยคิดร้ายกะเสี่ยเลย ทุกอย่าง ผมทำเพราะมันเป็นหน้าที่”
“แล้วตอนนี้ล่ะ หน้าที่ของแก..คืออะไร” อธิปถาม
กริสน์ลุกขึ้นยืน “เอาคนผิดที่แท้จริงไปรับโทษ ปราบคนพาล อภิบาลคนดี”
“แหม..แกนี่มันช่างจิตใจสูงส่งจริงนะ เสียสละความสุขส่วนตัวทุกอย่างเพื่อประชาชนงั้นเหรอ”
กริสน์พูดเนื้อเพลงมาร์ชด้วยเสียงเรียบ “เนื้อของเรา เราเชือด แม้ทั้งเลือดเราพลี เอาชีวี ของเราเข้าแลกมา เพื่อให้ประชา ดำรงสุขสถาพรไป”
“แล้วตัวเอ็งล่ะ ความรู้สึกส่วนตัวของเอ็ง จิตใจเอ็ง ต้องการอะไร” อธิปถามต่อ
“ผมก็ต้องเอาตัวเองให้พ้นจากข้อหา พ้นจากมลทิน จากการถูกใส่ร้าย ปลอดภัย รอดชีวิต แล้วก็อาจจะได้ยศ ได้ความดีความชอบ ได้ลาภยศสรรเสริญ”
“แล้วความรู้สึกส่วนตัวของแกล่ะ แกเคยรู้สึกอะไรกะใคร เคยมีความจริงใจ ความผูกพัน ความรัก ความไว้ใจให้ใครบ้างไหม”
“แล้วเสี่ยคิดยังไงล่ะ” กริสน์ถามกลับ
“ก็กูแค้นมึงไง ไม่เคยแค้นใครเท่านี้” อธิปบอก
“งั้นก็กรุณาเก็บความแค้นไว้ก่อน ให้เราจัดการกะไอ้พวกคนเลวเสร็จ แล้วค่อยคิดบัญชี เพราะถ้าผมตายไปจริงๆตอนนี้ พวกเสี่ยนั่นแหละ จะลำบาก”
“แกคงนึกว่าแกแน่มากสินะ”
“ผมเป็นมือดีขนาดไหน นายก็รู้อยู่แล้ว ถ้าไม่แน่จริง..ผมไม่อยู่มาจนถึงวันนี้”
“ลำพองตัวจัง ไอ้กริสน์ ที่แกรอดมา เพราะความรัก..แกยังไม่รู้อีกเหรอ คนทุกคน ที่ช่วยแก ก็เพราะเค้ารักแกกันทั้งนั้น”
“ผมจะไม่พูด..ถึงทั้งความรัก และความแค้น จนกว่าจะจบภารกิจ เข้าใจไว้ด้วย”
กริสน์พูดแล้วก็เดินหนีเข้าบ้านไป
พิมมาดาที่ยืนฟังอยู่ในมุมหนึ่งห่างออกไปมีแววตาขัดใจ

น้ำพริกกับผักชุดใหญ่ถูกวางลงบนโต๊ะกินข้าว อาหารพื้นบ้านหน้าตาแปลกๆ ตั้งเรียงรายอยู่เต็มโต๊ะ พวกเด็กๆ นั่งล้อมวงแล้วมองอาหารตาปริบๆ
“เต็มที่เลยนะทุกคน ไม่พอเติมได้ไม่มีอั้น ถือว่าเป็นการฉลองที่ทุกคนเข้าใจกัน” ผู้ใหญ่ชวดบอก
พวกผู้ใหญ่จะจ้วงตักกับข้าวแต่ก็ต้องชะงัก เพราะเด็กๆ นั่งนิ่งมองหน้ากันไปมา
“เอ้า...ทำไมไม่กินกันละ ไม่หิวกันเหรอ?” ผู้ใหญ่ชวดถาม
“พวกแกคงทานอาหารพวกนี้ไม่เป็นน่ะคะ” พิมมาดาบอกแล้วพูดกับเด็กๆ “เดี๋ยวน้าไปเจียวไข่มาให้นะ”
พิมมาดาจะลุกไป แต่กริสน์พูดขัดขึ้น “กินไม่เป็นก็ต้องหัดกิน” พิมมาดาชะงัก กริสน์พูดต่อ “เวลาไปไหนมาไหนจะได้ไม่ลำบาก ถ้าต้องไปอยู่ในที่ๆไม่มีไข่ให้กินขึ้นมาจะทำยังไง? แล้วอีกอย่างถ้าหัดเลือกกินตั้งแต่เด็กโตไปก็จะเป็นโรคขาดสารอาหารตัวเล็กหัวโต อยากเป็นอย่างนั้นกันเหรอ?” เด็กๆ ส่ายหน้า “ถ้าอยากโตไวไว ก็ต้องไม่เลือกกินจริงมั้ย?”
เด็กๆ พยักหน้าเห็นด้วย พิมมาดาอารมณ์เสีย เธอกระแทกช้อนในมือกับจาน
“ไม่ต้องไปเจียวไข่หรอกครับน้าพิม โจ๊กจะลองกินดูครับ” โจ๊กบอก
“แจ๊สก็เหมือนกันจะกินให้เป็นทุกอย่างจะได้โตไวไว”
“จีจ้าด้วยๆ”
“กินง่ายๆจะได้ร่างกายแข็งแรงว่ายน้ำเก่งเหมือนป๊าใช่มั้ยคะ?” โอปอล์บอก
อธิปขำๆ อยู่ๆ กริสน์ก็จาม “ฮัดเช่ย!”
“สงสัยหวัดจะกินซะแล้ว” กริสน์พูด
“อาจจะไม่ใช่หวัดก็ได้นะคะ จีจ้าเคยได้ยินคนเขาบอกว่า จามหนึ่งครั้งแปลว่ากำลังมีคนคิดถึง”
กริสน์มองหน้าพิมมาดา แล้วก็จามอีก “ฮัดเช่ย!”
“จามสองครั้ง แปลว่ากำลังมีคนรัก” โอปอล์บอก
กริสน์มองหน้าพิมมาดา แล้วทำท่าเหมือนจะจามอีก
พิมมาดารีบขัด “แต่ถ้าจามสามครั้ง แปลว่าจะมีคนด่า!”
กริสน์รีบเอาทิชชู่อุดจมูกไว้ทันที
“เดี๋ยวกินข้าวเสร็จแล้วก็กินยาแก้หวัดดักไว้หน่อยแล้วกันนะ เล่นแช่อยู่ในน้ำนานซะขนาดนั้นหวัดไม่กินก็แปลกแล้วละ” เจ๊ช้างบอก
“พูดแล้วจีจ้ายังตื่นเต้นไม่หายเลยนะคะ ตอนที่ลูกพี่ขึ้นมาจากน้ำแล้วไม่หายใจอ่ะ”
พิมมาดาปราม “เด็กๆเวลาทานข้าว ไม่คุยนะคะ”
“ใช่ๆๆ ตอนนั้นนะน้าก็จำติดตาเหมือนกัน เมาท์ทูเมาท์ แบบนอนสต๊อบเลย” เดชพูดแล้วหันไปคุยกับกริสน์ “นี่แกรู้มั้ยคุณพิมเขาเป็นห่วงแกมากเลยนะ ร้องไห้อย่างกับผัวตายแหนะ ฮ่าๆ”
กริสน์มองพิมมาดาที่นั่งตาเขียว พิมมาดารีบรวบช้อนเก็บทันที
“พิมอิ่มแล้ว ขอตัวก่อนนะคะ”
พิมมาดาลุกขึ้นเดินกระแทกเท้าออกไป กริสน์มองอย่างอึ้งๆ

อธิปอุ้มโอปอล์ที่กำลังหลับสนิทกลับเข้าไปในบ้าน พิมมาดาเดินมาที่ระเบียง เธอเห็นกริสน์กับพวกเด็กๆกำลังนอนดูดาวกันอยู่ที่ชายหาด โดยที่เด็กๆ นอนก่ายอยู่บนตัวกริสน์
พิมมาดาเดินเข้ามาหากริสน์และเด็กๆ ที่ชายหาด “เด็กๆ ดึกมากแล้ว ไปเข้านอน...ไป” พิมมาดาพูดเม้มปากเหมือนพยายามระงับอารมณ์
“น้าพิมขอพวกเราดูดาวต่ออีกนิดนะคะ ยังไม่ง่วงเลย” แจ๊สต่อรอง
“ง่วงหรือไม่ง่วงก็ต้องนอน เป็นเด็กไม่ควรนอนดึก เข้าใจมั้ย?” พิมมาดายืนกราน
“แต่ว่า...พรุ่งนี้พวกเราก็ไม่ได้ไปโรงเรียน น้าพิมก็ไม่ได้เปิดร้านดอกไม้ นอนดึกคงไม่เป็นไรหรอกนะครับ” โจ๊กว่า
พิมมาดาเสียงแข็งขึ้นมาทันที “ยังไงกฏก็ต้องเป็นกฏ!”
กริสน์ฟังอยู่นานจึงพูดขึ้นบ้าง “นี่คุณพิม กฏกติกาทุกอย่างย่อมมีข้อยกเว้นนะ ยืดหยุ่นหน่อยซิคุณ ตอนนี้เด็กๆกำลังมีโอกาสศึกษาธรรมชาติ เรียนรู้ดวงดาวบนท้องฟ้าโดยที่ไม่ต้องไปซื้อตั๋วเข้าท้องฟ้าจำลอง ก็ควรให้พวกเขาได้เรียนรู้อย่างเต็มที่ถึงจะถูก นี่มันคือวิชา สปช. บวกวิชา วิทยาศาสตร์เลยนะเนี่ย!”
พิมมาดาอึ้ง จีจ้ารีบลุกขึ้นมากอดแขนพิมมาดาแล้วอ้อน
“น้าพิมมาดูดาวกับพวกเรานะคะ “ จีจ้าลากพิมมาดาไปนั่งข้างๆกริสน์ “เมื่อกี้ลูกพี่ชี้ให้พวกเราดูดาวเหนือด้วย”
“น้ากริสน์บอกว่า ดาวเหนือเป็นดาวของนักเดินทางใช่มั้ยครับ?” โจ๊กถาม
“ใช่ นักเดินเรือก็ใช้ดาวเหนือนี่แหละ นำทางในทะเล หรือเวลาหลงป่า ถ้าเราหาดาวเหนือเจอเราก็จะรู้ทิศทางช่วยให้หาทางออกได้นะ”
“แล้วดาวลูกไก่ในเพลงที่น้ากริสน์เคยร้องให้ฟังละคะอยู่ที่ไหน?” แจ๊สถาม
กริสน์มองหา “โน่นไง ดาวลูกไก่ จะเป็นกลุ่มดาวอยู่บนท้องฟ้า”
จีจ้านับ “1…2...3…4…5…6…7 มีเจ็ดดวงจริงๆด้วย”
“กระจุกดาวลูกไก่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนในฤดูหนาวของซีกโลกเหนือและในฤดูร้อนของซีกโลกใต้ โดยเป็นที่รู้จักอย่างดีในตำนานปรัมปราแทบทุกวัฒนธรรมทั่วโลก ชาวญี่ปุ่นเรียกว่า ซูบารุ”
กริสน์อธิบายแล้วเหลือบตามองพิมมาดา พิมมาดาเองก็เหลือบตามองกริสน์เช่นกัน ทั้งสองจึงสบตากันโดยไม่รู้ตัว
“เหมือนรถยนต์เหรอครับ” โจ๊กถามขึ้น
“ใช่ แต่สัญลักษณ์ของรถยนต์ญี่ปุ่นนั่น จะมีรูปดาวแค่6ดวง ความจริงกระจุกดาวกลุ่มนี้มีกันเป็นพันๆ แต่เราจะเห็นเฉพาะดวงที่เด่นๆ บางช่วง ก็เห็นแค่6 แต่ถ้าดูผ่านกล้องดีๆ จะเห็นถึง9”
พิมมาดามองไปบนฟ้าแล้วพยายามนับ
“คุณนับได้กี่ดวง” กริสน์ถาม
พิมมาดารู้สึกตัวจึงรีบทำเป็นเมิน “ชั้นไม่ได้นับ ชั้นไม่ทำอะไรหน่อมแน้มปัญญาอ่อนหรอก”
“งั้นนักดาราศาสตร์ก็ปัญญาอ่อนล่ะสิ” กริสน์ย้อน
“ก็คนที่ไม่ใช่นักดาราศาสตร์ นับไปแล้วมันมีประโยชน์อะไรล่ะ น่ารัก โรแมนติกตายล่ะ”
“คนใจร้าย..” กริสน์ว่า
“ใครใจร้าย” พิมมาดาย้อนถาม
“นั่นสินะ ถ้าคุณใจร้าย คงไม่ช่วยชีวิตผม ขอบคุณมากนะครับ ตอนนี้ผมก็เป็นหนี้ชีวิตคุณแล้ว สักวัน ผมหวังว่า จะได้ตอบแทนบุญคุณ”
“ไม่ต้องหรอก เคยบอกแล้วไง..ชั้นช่วยชีวิตนก หนู กระรอก หมาแมว กบ คางคกมามากแล้ว มันเป็นนิสัยของชั้น”
“อ้อ ผมอยู่ในกลุ่มกบ คางคก..ว่างั้น”
“ใช่” พิมมาดาตอบประชด
“คุณเม้าทูเม้ากบ คางคกด้วย”
“หยุดพูดซะทีเถอะ” พิมมาดาตวาดกริสน์ แล้วทั้งสองก็ต่างคนต่างเงียบ โดยรอบตัวของทั้งคู่ก็เงียบ
พิมมาดากับกริสน์เอะใจจึงหันไปมองพวกเด็กๆ จึงเห็นว่าเด็กๆหลับปุ๋ยไปหมดแล้ว

กริสน์วางจีจ้าลงบนเตียงเป็นคนสุดท้าย พิมมาดาห่มผ้าให้พวกเด็กๆ พอเงยหน้าขึ้นมาก็สบตากับกริสน์ที่กำลังมองเธออยู่
พิมมาดาเดินหนีไปยังมุมที่เธอนอนแล้วเอาผ้าคลุมโปง กริสน์ยืนมองแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ แต่สักพักแววตาของเขาก็หมองเศร้าลงไป

กริสน์เดินออกมายืนขรึม เขาเดินไปเดินมาอยู่สักพัก แล้วก็หยิบมือถือขึ้นมากด
“ฮัลโหล..ภัทรดนัยเหรอ”
ที่มุมหนึ่งห่างออกไปมีชายชาวประมงทำเป็นจุดตะเกียงอยู่ข้างๆ เรือแต่แอบมองกริสน์อยู่ ชายคนนั้นยิ้มอย่างน่ากลัว ก่อนจะเอามือถือออกมาถ่ายรูปกริสน์ไว้แล้วต่อโทรศัพท์ออกไป
“ครับคุณจตุพล พวกมันอยู่ที่นี่ครับ กำลังจะส่งรูปไปให้ดูนะครับ”

เช้าวันใหม่ พิมมาดายังนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง ควันเป็นกลุ่มใหญ่ลอยคละคลุ้งไปทั่วห้อง พิมมาดาสำลักควัน ไอค่อกแค่กแล้วจึงลืมตาขึ้น
“ไฟไหม้!” พิมมาดาตกใจ
พิมมาดาหันซ้ายหันขวาแต่ไม่เห็นวี่แววของพวกเด็กๆ เธอเริ่มใจเสีย

“แจ๊ส โจ๊ก จีจ้า หายไปไหนกันหมด!! ไฟไหม้ๆๆ หนีเร็ว!”

อ่านต่อหน้า 2




 มือปราบพ่อลูกอ่อน  ตอนที่ 13 (ต่อ) 

พิมมาดาวิ่งกระเซอะกระเซิงลงมาที่ด้านล่างซึ่งมีควันโขมงปกคลุมทั่วบริเวณ พิมมาดาวิ่งแล้วร้องตะโกนไปด้วยไม่ขาดปาก

“ไฟไหม้ๆๆ”
จีจ้ากำลังถือตะหลิวอยู่ในมือยื่นหน้าออกมามองพิมมาดา
“ไฟไหม้ที่ไหนเหรอคะน้าพิม?”
พิมมาดาเห็นจีจ้าก็ดีใจมากรีบวิ่งไปคว้าแขนจีจ้าไว้
“ควันคลุ้งขนาดนี้ยังจะถามว่าไฟไหม้ที่ไหนอีก หนีก่อนเร็ว!”
จีจ้ายื้อเอาไว้ “ไฟไม่ได้ไหม้ซะหน่อย จีจ้ากำลังช่วยป้าช้างทำกับข้าวต่างหากละคะ ผัดผักบุ้งไฟแดง”
เจ๊ช้างที่กำลังใส่ผักบุ้งลงกระทะจนไฟลุกวาบขึ้นหันมาพูดกับพิมมาดา “โทษทีนะคุณ..เบาๆทำไม่เป็น..สาวไฟแรงทำกับข้าวก็เงี้ย หึๆ”
พิมมาดาหน้าเจื่อน กริสน์เดินเข้ามาพร้อมกับโจ๊กและโอปอล์
“กระต่ายตื่นตูมจริงๆเลยคุณน้าใครเนี่ย?” กริสน์แซว
“น้าพิม..นี่” โจ๊กยกถุงไข่ขึ้นมาอวด “น้ากริสน์พาโจ๊กกับโอปอล์ไปเก็บไข่ที่เล้าไก่มา ได้มาเพียบเลย”
“น้าพิมจะกินไข่เจียวหรือไข่ดาวดีคะ” โอปอล์ถาม
จีจ้ารีบพูดแทรก “เดี๋ยวจีจ้าทอดให้เอง”
พิมมาดายิ้มเขินๆ ที่เห็นเด็กๆ ตื่นมาทำงานแต่เช้า
“เส้นเรื่องเปลี่ยนเห็นๆ ปกติน้าต้องดูแลหลาน แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นหลานๆมาดูแลน้าซะงั้น”

กริสน์เอ่ยแซวอีก พิมมาดาค้อนกริสน์ทันที

มาวินเปิดประตูเข้ามาในห้องพักของลูกน้องคนที่ทำหน้าที่แกะรอยสัญญาณมือถือกำลังทำงานอยู่

“เป็นไง..ได้เรื่องอะไรหรือยัง” มาวินถาม
“ทั้งเบอร์เลขา..เบอร์ที่โต๊ะทำงาน แล้วก็เบอร์มือถือส่วนตัวของท่านผู้การ..วันนี้มีแต่เรื่องงานล้วนๆเลยครับ ไม่มีสายจากคนที่เรารอคอยเลยครับ” ลูกน้องรายงาน
“แน่ใจนะว่าแกไม่ได้เผลอหลับ”
“ผมเป็นนักแกะรอยมืออาชีพนะครับผู้กอง”
“ชั้นไว้ใจแก..ถ้ามีใครพยายามจะติดต่อท่านผู้การ..ไม่ว่ามันจะเป็นใคร มีเรื่องอะไร..ชั้นต้องรู้ ก่อนที่ท่านผู้การจะรู้..แล้วชั้นรับรอง..แกจะได้ความดีความชอบในฐานะสมุนมือขวาของชั้นแน่นอน”
ลูกน้องยิ้มรับอย่างพอใจ แล้วก็ทำงานต่อไป
“เดี๋ยวชั้นต้องออกไปสำนักงาน..ถ้ามีอะไรโทรเข้ามาได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง” มาวินบอก

มาวินเดินออกมาด้านนอก เขากำลังจะไปที่รถของตัวเองที่จอดอยู่ข้างทาง อยู่ๆ ก็มีรถตู้แล่นมาจอดขนาบข้าง มาวินมองอย่างแปลกใจ ฉัตรชัยกับฮิมลงมาจากรถแล้วมายืนกันมาวินเอาไว้พร้อมกับผายมือเชิญให้ขึ้นรถตู้ของพวกเขา
“พวกแก..จะทำอะไรชั้น” มาวินถาม
“จะชวนไปนั่งรถชมวิว” ฮิมล้วงมือเข้าไปในเสื้อนอกโดยทำเหมือนมีปืน “ขึ้นรถ!”
“อย่าบอกนะว่า..มาอุ้มชั้น” มาวินตกใจ
“ฉลาดมาก..งี้ก็เดินไปขึ้นรถ..พูดง่ายๆโตไวๆ อะไรๆจะได้ไม่เปรี้ยง” ฉัตรชัยขู่

มาวินถูกผลักออกมายืนบนดาดฟ้าของตึกแห่งหนึ่ง ที่ดาดฟ้าแห่งนั้นมีสุขสันต์ยืนรออยู่แล้ว สุขสันต์หันหน้ามาถาม “มาแล้วเหรอผู้กองมาวิน”
“คุณสุขสันต์..คุณทำยังงี้ทำไม” มาวินละลักละล่ำ
“สามสิบแปด” สุขสันต์พูด
“อะไร สามสิบแปด อะไร มันคือรหัสอะไรใช่มั้ย”
“ตึกนี้สูงสามสิบแปดชั้น..ขอให้แกโชคดี” สุขสันต์บอก
ยังไม่ทันขาดคำ ฉัตรชัยกับฮิมก็เข้ามาอุ้มมาวินขึ้นแบบไม่ให้ทันตั้งตัว ทั้งสองเอามาวินไปนั่งที่ขอบตึก แล้วหย่อนตัวมาวินลงทำเหมือนจะโยนทิ้ง
“อย่าๆๆๆ คุยกันก่อนๆ” มาวินตื่นกลัว
ฉัตรชัยกับฮิมรีบเบรคไว้ สุขสันต์พูด
“ชั้นขอพูดตรงๆนะ..คดียาเสพติด ชั้นเป็นคนเริ่ม สืบข้อมูลจนรู้ว่าเป็นไอ้กริสน์กับพิมมาดา..และชั้นก็อยากเป็นคนทำให้เรื่องนี้จบ..แล้วอยู่ๆแก ก็จะมาขโมยคดีนี้ไป.. แกจะให้ชั้นทำยังไง”
“ก็มันเป็นหน้าที่ของตำรวจ” มาวินบอก
“หน้าที่กับชีวิต แกเลือกอะไร” สุขสันต์ถามนิ่งๆ
“คุณสุขสันต์..คุณเป็นนักการเมือง ก็ทำหน้าที่บริหารบ้านเมืองไป เรื่องตามจับผู้ร้าย มันหน้าที่ผม”
“ชั้นถามว่าหน้าที่กับชีวิตแกเลือกอะไร” สุขสันต์ถามย้ำ
ทันใดนั้น ฉัตรชัยกับฮิมก็ยกมาวินขึ้นทั้งตัวแล้วจับไปที่ขอบผนังอีก ทั้งสองจับขาแล้วหย่อนมาวินลงไปจนหัวห้อยต่องแต่งกลางอากาศ
“ว้ากๆๆๆ ฆ่าเจ้าหน้าที่โทษหนักนะ..ปล่อยชั้นๆ” มาวินร้องโวยวาย
“เลือกมา!” สุขสันต์ขู่
“ตำรวจอย่างผม.. มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ไม่ว่าอะไรก็ซื้อเราไม่ได้..ต่อให้ต้องตาย ผมก็ขอผดุงความถูกต้องเท่านั้น” มาวินพูด
“งั้นแกตาย!” สุขสันต์บอก
ฉัตรชัยกับฮิมทำท่าจะโยนมาวิน อยู่ๆแพรวพิลาศก็เดินเข้ามาที่ดาดฟ้า โดยที่เธอกำลังใช้มือถือถ่ายคลิปเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่
“เยี่ยมมากๆ คุณมาวิน..คุณนี่แหละคือคนที่พวกเราตามหา” แพรวพิลาศบอก
“ตามหา..อะไร..คุณแพรว” มาวินงง
“คืองี้ เรื่องทั้งหมด มันเป็นการจัดฉากเพื่อทดลองใจคุณดูเท่านั้น..คือ คุณพ่อกับคุณสุขสันต์..ต้องการตำรวจที่ไว้ใจได้ เพื่อจะฝากฝังคดีล่าตัวพวกแก็งยาเสพติดคดีนี้ให้รับผิดชอบ..แล้วเราก็ได้รู้แล้วว่า คุณคือคนที่เราตามหา..ใจสู้ มุ่งมั่น ซื้อตัวไม่ได้..แพรวถ่ายคลิปไว้หมดแล้ว จะเอาไปให้พ่อดู”
“ช่วยดึงขึ้นไปก่อนได้ม้าย” มาวินโวยวาย
ฉัตรชัยกับฮิมดึงมาวินกลับขึ้นมา
“ผมไม่เข้าใจ นี่มันอะไรกัน!” มาวินยังข้องใจ
“ผมขอโทษที่ต้องทำอย่างนี้นะ แต่มันไม่มีทางอื่นที่จะพิสูจน์ใจคุณแล้ว..เพราะข้อมูลนี้ ท่านไพศาลกำชับผมมาว่าจะบอกใครสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้..คุณมาวิน..คุณอยากรู้ที่กบดานของนายกริสน์กับพิมมาดามั้ย” สุขสันต์ถาม
มาวินตาวาวขึ้นทันที “คุณรู้เหรอ”

สุขสันต์เดินมาส่งแพรวพิลาศที่รถ
“ขอบคุณมากนะครับแพรว..ถ้าไม่มีแพรว นายมาวินคงไม่เชื่อและแผนการนี้คงไม่สำเร็จ”
“แพรวยินดีที่จะช่วยคุณเสมอนะคะ..ใช้ให้ไอ้ผู้กองมาวินไปตามล่าคนร้ายแทนคุณด้วยแล้ว แพรวยิ่งยินดี..แพรวไม่อยากให้คุณเข้าไปพัวพันกับคดีนี้มาก เดี๋ยวจะยิ่งวุ่นไปกันใหญ่”
“ผมก็แค่ทำในสิ่งที่ต้องทำ..แค่นั้น”
“ตอนนี้ไม่มีอะไรที่คุณต้องทำอีกแล้ว..ที่เหลือก็แค่ภาวนาขอให้ผู้กองมาวิน จัดการจับยัยพิมมาดากับพรรคพวกค้ายาให้ได้ก็พอ..แล้วคุณอย่าลืมสัญญาของเรานะคะ”
“สัญญา?” สุขสันต์งง
“แหม ทำเป็นไก๋” แพรวพิลาศรีบกางนิ้วนางมือข้างซ้ายให้ดู “ก็เรื่อง...” สุขสันต์ยังทำหน้างง “เวลาทำหน้าบื้อๆงงๆแบบเนี้ย คุณน่ารักนะเนี่ย”
แพรวพิลาศเข้ามากอดสุขสันต์
“แพรวดีใจที่วันที่รอคอยจะมาถึงสักที”
สุขสันต์ยังงงจึงพึมพำกับตัวเอง “วันอะไร เรื่องอะไรวะ”

พิมมาดาจ่ายสตางค์ค่าของแล้วหันไปส่งของให้แจ๊สถือ
“แจ๊สเอาของกลับบ้านไปก่อนนะ เดี๋ยวน้าตามไป”
แจ๊สเดินถือของไป พิมมาดาหันรีหันขวางแล้วตรงไปยังโทรศัพท์หยอดเหรียญที่อยู่มุมหนึ่งของร้าน เธอหยอดเหรียญอย่างร้อนรนแล้วรีบกดเบอร์จะโทรออก ทันใดนั้น กริสน์ก็เข้ามาคว้าหูโทรศัพท์ไปจากเธอแล้วกระแทกกลับเข้าที่ทันที พิมมาดาตกใจจนหน้าซีด
“นายกริสน์!”
“คุณจะโทรหาใคร?”

แจ๊สเดินหิ้วของกลับบ้านอย่างอารมณ์ดี เธอร้องเพลงและโยกตัวไปด้วยตลอดทางอย่างมีความสุข พอแจ๊สเดินมาถึงจุดหนึ่งซึ่งตรงกับท่อนฮุคของเพลงที่เธอร้อง แจ๊สก็กระโดดหมุนตัวไขว้ขาแล้วเต้นหนึ่งสเต็บ
ทันใดนั้นก็มีคนมาขัดขาแจ๊ส จนเธอสะดุดล้ม แจ๊สมองตามไปว่าใครขัดขาก็เห็นโอ้กับเพื่อนๆยืนหัวเราะอยู่ โดยที่โอ้ถือขนมสวีทโอปอล์อยู่ด้วย
“ฮ่าๆ พวกเรา ดูยัยเด็กเอ๋อหัวหยิกนั่นดิ ทำท่ากะยึกกะยือ อย่างกับไส้เดือนโดนน้ำร้อนลวกเลย ฮ่าๆๆ”
“ทะลึ่ง!” แจ๊สว่า
“ด่าใครทะลึ่ง..ยัยผีดิบ” โอ้สวน
แจ๊สลุกขึ้นเต้น 2-3สเต๊ปใส่โอ้ “เค้าเรียกการเต้น ไม่รู้จักก็หลบไป!” แจ๊สผายมือทำท่าให้โอ้หลบ
แจ๊สจะเดินฝ่าไปแต่โอ้ขยับมาขวางเหมือนไม่ยอมให้ไป ทั้งคู่จ้องหน้ากันอย่างท้าทาย

ส่วนที่หน้าร้านขายของ พิมมาดาพยายามเดินหนี แต่กริสน์เดินตามอย่างคาดคั้น
“คุณจะโทรไปหาใคร”
“ไม่ต้องมาตีหน้ายักษ์ทำเสียงแข็ง ฉันแค่จะโทรหาเค้ก” พิมมาดาบอก
“คุณรู้มั้ยตำรวจอาจดักฟังโทรศัพท์พวกนั้นอยู่”
“อ๋อ กลัวตำรวจจะบุกมาจับนายใช่มั้ยล่ะ” พิมมาดาย้อน
“คุณพิม..ช่วยดูหลานๆคุณเป็นตัวอย่างบ้างสิ ทั้งแจ๊ส โจ๊ก จีจ้า ตั้งแต่มานี่ เคยทำเรื่องอะไรให้น่าห่วงมั้ย..ไม่มีเลย..เพราะพวกเด็กๆรู้ว่าควรจะต้องทำตัวยังไงในสถานการณ์อย่างนี้..แล้วคุณล่ะ?”
“ชั้น..ทำไม..อะไร..ว้า แย่จังไม่เก็ท..นายช่วยพูดอีกทีได้มั้ย แล้วช่วยขีดเส้นใต้ด้วยว่าประโยคไหนคือจริง ไหนคือหลอก..อ้อ นายคงบอกไม่ได้สินะ” พิมมาดาทำท่าขีดเส้นใต้ประชดกริสน์ “ภารกิจระดับโลก”
“อ้าว...ทำไมประชดยังงี้ล่ะ”
“ถ้าไม่อยากให้ชั้นพูดตรงๆ ก็สอนชั้นสิ ว่าการพูดเสแสร้งเค้าทำยังไง”
“สักวันคุณจะเข้าใจผม”
“หูย พระเอก พระเอกมาก..ขอบอกนะ..ฉันจะไม่ยอมให้หลานๆชั้นต้องมาตกระกำลำบากอยู่ในหมู่บ้านโจรไปจนตายหรอก”
ทันใดนั้น จีจ้ากับโจ๊กก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา
“น้าพิม!! น้ากริสน์!! แย่แล้วๆๆ”
“โจ๊ก จีจ้ามีเรื่องอะไร?” พิมมาดาตกใจ
จีจ้าหอบแต่ก็พยายามเล่า “คือ..ว่า..พี่แจ๊ส..เดี๋ยวนะคะ” จีจ้าหยิบยามาพ่น พอหายแล้วจีจ้าก็กำลังจะเล่า แต่โจ๊กชิงลากพิมมาดาไปก่อน
พิมมาดากังวลหนัก “แจ๊ส..ทำไม..เกิดอะไรกับแจ๊ส!”
“ตามมาดูเองดีกว่าครับ” โจ๊กบอกแล้วลากพิมมาดาให้วิ่งไปทันที
“เอ้า! จีจ้ายังไม่ทันได้พูดเลย!! โห้ยย ต้องวิ่งอีกแล้วเหรอ จีจ้าเหนื่อยนะ” จีจ้าหันมาเห็นกริสน์ยืนอยู่ เธอก็ยิ้มอย่างมีเลศนัย “น้ากริสน์”
“โอย.” กริสน์ทำหน้าเซ็ง “เอ้า....มา”
จีจ้ากางแขนรอให้อุ้ม กริสน์จำใจต้องอุ้มจีจ้าแล้วเดินตามพิมมาดาไป
เจ้าของร้านขายขนมที่กำลังจัดขนมสวีทโอปอล์ลังใหญ่อยู่แถวนั้นมองตามอย่างงงๆ

ไทมุงจำนวนมากกำลังมุงดูอะไรบางอย่างอยู่บนสะพานปลาด้วยความสนใจ พิมมาดาวิ่งเข้ามาอย่างกระหืดกระหอบ ส่วนกริสน์อุ้มจีจ้าตามหลังมาห่างๆ
พิมมาดาพยายามแทรกตัวเข้าไปในกลุ่มฝูงชน เมื่อแทรกเข้าไปได้พิมมาดาก็ตกตะลึง เพราะเธอเห็นแจ๊สกำลังดวลเต้นกับโอ้และพรรคพวกอยู่ โดยเริ่มกันคนละกระบวนท่าแลกกันไปแลกกันมา แจ๊สเต้นเป็นสเต็บสวยงามแข็งแรง ส่วนโอ้เต้นแบบเด็กที่ดูคอนเสิร์ตลูกทุ่ง
ทั้งแจ๊สและโอ้เต้นได้สวยสูสี บรรดาไทมุงต่างชื่นชอบทั้งสองฝ่าย พิมมาดาทำท่าจะเข้าไปห้าม แต่กริสน์รีบดึงไว้
“คุณพิม..แจ๊สแค่เต้น ไม่ได้ทำอะไรผิด..ไม่มีอะไรเสียหายหรอก”
โอ้เริ่มเต้นท่ายากชุดใหญ่ จีจ้า โจ๊ก พิมมาดา กับกริสน์เห็นก็ถึงกับยืนอ้าปากค้าง
โจ๊ก จีจ้า และโอปอล์ส่งเสียงเชียร์แจ๊ส “พี่แจ๊สสู้ๆ พี่แจ๊สสุดยอด!”
แจ๊สเต้นสู้บ้าง เธอวาดลวดลายไม่หยุด แก๊งค์ของโอ้เริ่มสนุกจึงย้ายฝั่งไปเต้นเป็นแบล็คกราวน์ให้แจ๊ส
ชาวบ้านที่มุงดูอยู่ต่างก็ชื่นชอบ หลายคนเริ่มมันจึงเต้นตามไปด้วย ผู้ใหญ่ชวดเข้ามาเต้นกับเจ๊ช้าง “แหม...หลานแจ๊สนี่เท้าไฟไม่เบาเลย ท่านี้ เต้นได้ป่าว” ผู้ใหญ่ชวดออกสเต็ป “โย่ว”
“เจ๊แจมด้วย” เจ๊ช้างเอาด้วยคน “แล้วท่านี้ล่ะ วู้ว”
“พี่เดชก็มีท่ามาประชันด้วย” เดชพูดแล้วออกไปเต้นกลางวงอีกคน “เต้นแบบนี้ได้พี่เดชจะนับถือเลย”
แต่แจ๊สก็เต้นตามทุกคนได้หมด
“โอปอล์ อยากเต้นเก่งอย่างพี่เค้ามั้ยลูก?” อธิปหันมาถามลูกสาว
“อยากค่ะ!!! พี่แจ๊ส สอนโอปอล์หน่อย”
โอปอล์วิ่งออกไปเต้นอีกคน
“สอนเราด้วย!” ผู้ใหญ่ชวด เจ๊ช้างและเดชร้องขอพร้อมๆ กัน
ทุกคนเริ่มเต้นตามแจ๊สอย่างสนุกสนาน โอ้เดินมาหยุดตรงหน้าแจ๊สแล้วคุกเข่าแบบหนังจีน “ข้าน้อยขอคาราวะ” โอ้เอามือตบอกตัวเอง “เธอเจ๋งมากยัยหัวหยิก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนที่แต่งตัวเหมือนมาจากดาวอังคารอย่างเธอจะเก่งขนาดนี้...เอ่อ มีแฟนยังอ่ะ”
กริสน์เหลือบมองพิมมาดาที่กำลังยืนฟังคำชมของทุกคนอยู่ เขายักคิ้วให้พิมมาดาเหมือนจะพูดว่า”เห็นไหมล่ะ”

ทุกคนบนสะพานปลาหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน หลายคนหอบเพราะเหนื่อยจากการเต้น
“พรุ่งนี้เอาอีกนะ” เจ๊ช้างบอก “มาสอนเต้นอีก เจ๊ไม่ได้สนุกอย่างนี้มานานแล้ว..มาเต้นด้วยกันอีกนะผู้ใหญ่ ชั้นรู้สึกว่าเราสองคนเข้ากันได้ดีมากๆ”
“เรามีไปเต้นคู่กันตอนไหน ไปเข้าขากันตอนไหน” ผู้ใหญ่ชวดงง
เจ๊ช้างคว้าแขนผู้ใหญ่ชวดมาล็อกตัวไว้ “ไปๆๆ ไปส่งที่บ้านหน่อยนะ สาวๆสวยๆอย่างชั้น เดินกลับบ้านคนเดียวอันตราย”
และแล้วทุกคนก็แยกย้ายกันออกไป แต่ทุกคนยังคงชื่นชมแจ๊สไม่หยุด กริสน์พยักเพยิดให้พิมมาดาเข้าไปหาแจ๊ส
“แจ๊ส” พิมมาดาเรียก
“น้าพิม..เอ่อ แจ๊สขอโทษค่ะ แจ๊สไม่ได้..”
“แจ๊สเต้นเก่งมาก” พิมมาดาชม
แจ๊สทำหน้างง “น้าพิม..ชมแจ๊สเหรอ”
“ใช่ แจ๊สเต้นเก่งมาก ถึงน้าจะไม่เคยรู้มาก่อนว่าไปแอบหัดมาจากไหน” พิมมาดาทำท่าเหมือนจะบ่ กริสน์จึงรีบกระแอมเตือนสติทันที “แต่ก็..เอาเถอะ เต้นเก่งก็พอแล้ว”
“ในที่สุดแจ๊สก็พิสูจน์ให้น้าพิมเห็น ว่าคนเราวัดกันที่เสื้อผ้าไม่ได้ ดีใจด้วยนะแจ๊ส” กริสน์บอก
แจ๊สยิ้มอย่างดีใจ
“ไม่ต้องยิ้ม..น้าชมว่าเต้นเก่ง ก็ไม่ได้แปลว่าทุกอย่างจะดีไปหมด”
“คุณพิม..” กริสน์ทัก
“น้าจะชื่นชมแจ๊สได้เต็มปากกว่านี้ ถ้าแจ๊สรู้จักแต่งตัวให้เหมาะกับกาลเทศะ..มานี่” พิมมาดาดึงแจ๊สมายืนตรงหน้า แล้วนั่งลงต่อหน้าแจ๊สอย่างอ่อนโยน “แจ๊สแต่งแบบนี้ แล้วเต้นแข่งขัน มันก็เหมาะสมดี..แต่ในชีวิตจริง แต่งแบบนี้ เค้าถือว่ามันเยอะไป..ถ้าแต่งไม่ดี ก็จะดูเหมือนบ้า..ถ้าอยากดูเท่ เจ๋ง คูล..ต่างหูพวกนี้ เยอะไป..ส่วนหน้า..ก็..ลบตรงตาออกหน่อย”
พิมมาดาค่อยๆ ถอดเครื่องประดับและลบเครื่องสำอางค์ที่มากเกินไปออกให้แจ๊สอย่างอ่อนโยน
กริสน์มองพิมมาดาอย่างประทับใจ
“อย่างนี้สิ ถึงดูเจ๋งสุดๆ” พิมมาดาบอก
“น้าพิม..ไม่ว่าแจ๊สที่แต่งตัวแบบนี้เหรอคะ” แจ๊สถาม
“แจ๊สจะแต่งยังไงก็ได้ แต่แจ๊สต้องรู้ว่า สิ่งสำคัญไม่ใช่การแต่งตัว แต่คือความคิดและความสามารถ ต่างหาก”
“รับรองค่ะ แจ๊สจะแต่งตัวดี มีความคิด..ขอบคุณค่ะน้าพิม”
แจ๊สยิ้มกว้างแล้วโผเข้ากอดพิมมาดา
“แจ๊ส..ไปเล่นกันป่าว!!! ไม่ได้เป็นแฟน เป็นเพื่อนก็เอา” โอ้ชวน
“เพื่อน..มีคนอยากเป็นเพื่อนกับแจ๊สด้วย” แจ๊สดีใจ
“ใครจะไม่อยากมีเพื่อนเจ๋งๆอย่างแจ๊สล่ะ” โอ้บอก
แล้วแจ๊สก็วิ่งไปกับโอ้และพรรคพวก
“แจ๊ส..ดูไม่ใช่เด็กเก็บตัว เก็บกดเหมือนวันแรกๆที่ผมเจอเลยเนอะ..ไม่รู้ใครอบรมสั่งสอน ดี๊ดี เก๊งเก่ง” กริสน์ชมตัวเอง
“ขอบคุณที่ชม” พิมมาดารับคำแล้วทำท่าจะเดินไป
“ผมหมายถึงผม”
กริสน์จะเดินตามพิมมาดาไป แต่แล้วเขาก็เหลือบไปเห็นห่อขนมสวีทโอปอล์ตกอยู่ที่พื้น กริสน์หยิบขึ้นมาดูก็ถึงกับเครียดทันที
“ขนมสวีทโอปอล์!”

เจ้าของร้านขายขนมกำลังขายขนมสวีทโอปอล์ให้กับพวกเด็กๆ ชาวบ้านที่มาแย่งกันซื้อเต็มไปหมด กริสน์รีบวิ่งเข้ามาห้าม
“หยุดๆๆๆ ห้ามซื้อ.. ทุกคนเอาคืนมาๆ” กริสน์ดึงขนมจากมือเด็กๆ “ขนมนี้กินแล้ว..ท้องเสีย เอาคืนมาให้หมด..เฮีย คืนเงินเด็กๆไปด้วย”
เจ้าของร้านโวยวาย “เฮ้ย!!...นี่มันอะไรกันน่ะ? ท้องเสียอะไร..น้าเพิ่งจะรับมาขาย..กว่าน้าจะได้ของมาขาย ต้องรอเป็นเดือนๆเลยรู้มั้ย”
“จะรอแค่ไหนก็ช่าง แต่ขนมนี้กินไม่ได้ ต้องทิ้งเท่านั้น”กริสน์ทิ้งลงพื้นแล้วเหยียบจนเละ
อธิปกับเดชเดินเข้ามา เดชเห็นกริสน์เหยียบขนมสวีทโอปอล์ก็ตกใจ
“ขนมสวีทโอปอ!! ไอ้กริสน์.. แกกล้าเหยียบย่ำขนมที่เป็นเหมือนชีวิตจิตใจของเสี่ยแบบนี้เลยเหรอ?!”
“ชั้นใช้เวลาพัฒนาสูตรขนมสวีทโอปอเป็นปีๆ มันถึงได้อร่อยครองใจเด็กทั่วประเทศ..ทำไมมันถึงกินไม่ได้!” อธิปสงสัย
กริสน์มองหน้าอธิปก็เห็นว่าอธิปยืนอึ้งอยู่

อธิปที่ได้รู้เรื่องจากปากของกริสน์ถึงกับช็อก
“ขนมสวีทโอปอมียาเสพติด!”
เดชแกะขนมในซองมาดมแล้วเอาลิ้นแตะๆ “ไม่จริง ผมไม่เชื่อ กลิ่นก็ปกติ รสชาติก็ปกติ นายอย่ามาโกหกดีกว่า”
“มันเป็นยาเสพติด ที่ถูกนำเข้ามาโดยมีดอกไม้บังหน้า..เป็นยาเสพติดชนิดใหม่ ที่ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส ฉี่ไม่ม่วง ถ้าจะตรวจสอบ ก็ต้องเอาเข้าห้องแลป เพื่อตรวจอย่างละเอียดเท่านั้น”
“ไอ้จตุพล..ไอ้หลานอกตัญญู เห็นเงินดีกว่าเลือดเนื้อ..มันกล้าดียังไง ถึงเอาธุรกิจชั้นไปร่วมมือกับนายสุขสันต์” อธิปโกรธ
“เกี่ยวอะไรกับคุณสุขสันต์ อย่าใสร้ายคนที่ไม่มีโอกาสแก้ตัวสิ” พิมมาดารีบแย้ง
“นายสุขสันต์เคยมาชักชวนให้ผมทำธุรกิจด้วย..ถึงเค้าจะไม่ได้พูดโต้งๆว่ายาเสพติด..แต่เราก็เข้าใจกันได้..แล้วพอผมไม่เอาด้วย มันถึงไปใช้เจ้าจตุพล” อธิปอธิบาย
“เพราะอย่างนี้ นายจตุพลถึงได้วางยาเสี่ยไงครับ” กริสน์บอก
“มีหลักฐานอะไรไปกล่าวหาคุณสุขสันต์ ขนมนี่มียาเสพติดจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ ถ้ามีจริง ป่านนี้ก็ต้องมีคนที่เสพยาแล้วออกอาการให้เห็นบ้างสิ” พิมมาดาพูด
ทันใดนั้นเดชก็ลงไปดิ้นในท่าเต่าทอง
“เดช!” ทุกคนร้องอย่างตกใจ พวกเด็กๆ ที่เห็นถึงกับตกตะลึง
“นี่แหละ อาการของคนที่กินขนมสวีทโอปอล์เข้าไป” กริสน์บอก
“ท่านี้..มันเหมือนกับ..นายปาล์ม!” โจ๊กพูด
“ไม่ใช่แค่นายปาล์ม เด็กทั้งโรงเรียนกินสวีทโอปอล์ทั้งนั้น..เท่ากับว่าเด็กๆในโรงเรียนเรา ไม่สิ ทั้งกรุงเทพ เผลอๆ อาจจะทั้งประเทศ ติดยาเสพติดสวีทโอปอล์หมดแล้ว” แจ๊สพูดอย่างตกใจ
“บรื๋อ... น่ากลัว”
จีจ้าทำท่าสยอง อธิปถึงกับเครียด

อธิปเสียใจเดินจ้ำอ้าวออกมาที่ชายหาดด้วยท่าทางเครียดหนัก กริสน์กับเดชเดินตามมาติดๆ

“เสี่ยครับ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” กริสน์ถามด้วยความเป็นห่วง
“ขนมสวีทโอปอล์ ขนมที่ชั้นตั้งใจทำให้เด็กๆทั่วประเทศได้ชิม แล้วติดใจหลงรักขนมนี้ ชั้นอยากให้ชื่อสวีทโอปอล์เป็นตัวแทนความสุขสำหรับเด็กๆทุกคน เหมือนที่โอปอล์ทำให้ชั้นมีความสุข” เด็กๆ กลุ่มหนึ่งวิ่งผ่านหน้าไป อธิปมองเด็กๆ เหล่านั้น “แต่นี่...ขนมสวีทโอปอล์กำลังทำลายเด็กๆ เป็นมารร้ายของสังคม...ชั้นรับไม่ได้...โอปอล์ ป๊าขอโทษ”
กริสน์กับเดชมองเห็นอาการของอธิปที่เสียใจอย่างหนักก็ได้แต่เข้าไปตบบ่าปลอบใจ
อีกมุมหนึ่ง ชาวบ้านที่เดินอยู่แถวชายหาดโดนลูกสมุนจตุพลโผล่มาเอาปืนกระแทกหัวจนล้มลง
ส่วนกริสน์ยังคงพยายามปลอบใจอธิป “โอ๋ๆๆๆ เสี่ยครับ ถ้าเราสามารถพิสูจน์ความจริงว่ายาเสพติดเป็นฝีมือของนายจตุพลกับนายสุขสันต์...ชื่อของขนมสวีทโอปอล์ก็จะกลับมาขาวสะอาดอีกครั้งได้แน่ๆ ผมมั่นใจ”
อีกมุมหนึ่ง ชาวบ้านที่กำลังยาท้องเรืออยู่ร่างกระตุกเหมือนถูกยิงจากนั้นก็ล้มลง
เดชช่วยปลอบใจอธิปด้วย “สงบสติอารมณ์นะครับเสี่ย...เสี่ยยังต้องไปกอบกู้ชื่อเสียงสวีทโอปอล์คืนมานะครับ”
อีกด้านหนึ่งห่างออกไป ชาวบ้านผัวเมียคู่หนึ่งถูกยิงจนร่วงล้มไปพร้อมกัน รองเท้าบู๊ทของชายฉกรรจ์จำนวนมากย่ำลงพื้นทรายแล้ววิ่งกระจายตัวไปทั่วหมู่บ้าน
อธิปที่ยืนอยู่กับกริสน์และเดชพูดด้วยความแค้น “ไอ้จตุพล...แกมันคือจอมมาร ทำลายความสุขความฝันของเด็กๆ... แกไม่ควรเกิดเป็นหลานของฉัน!”
ทันใดนั้นก็มีรถกระบะแล่นเข้ามาทางที่ทั้งสามยืนอยู่อย่างรวดเร็ว รถกระบะเบรกจนฝุ่นตลบ เมื่อฝุ่นจางจึงเผยให้เห็นจตุพลยืนสั่งการอยู่บนรถกระบะคันนั้น
“จตุพล!” ทั้งสามตกใจ
“คิดถึงผมบ้างหรือเปล่าอากู๋”

จตุพลพูดเสียงเยือกเย็น

 อ่านต่อหน้า 3 




 มือปราบพ่อลูกอ่อน  ตอนที่ 13 (ต่อ) 

จตุพลพูดทักแกมเย้ยหยันจบก็ยังยืนอยู่บนรถกระบะ ส่วนลูกสมุน 4-5 คนที่มากับรถคันนั้น กระโดดลงมาล้อมแล้วถือปืนเล็งทั้งสามคนไว้ กริสน์ อธิป และเดชถูกสมุนของจตุพลจู่โจมล้อมจนไม่มีทางหนีไปไหน

“หึๆๆ สร้างหมู่บ้านอยู่กันเป็นล่ำเป็นสันแบบนี้ก็ดี..ผมจะได้ไม่ต้องออกแรง ตามหาสัตว์เลี้ยงของอากู๋ให้หนื่อย” จตุพลบอก
“จตุพล!! ทุกคนที่นี่ เป็นคนที่เคยมีพระคุณกับแกทั้งนั้น!! แกกล้าเรียกเค้าว่า..หน็อย..ไอ้หลานชั่ว”อธิปด่า
อธิปทำท่าจะขยับไปหาจตุพล แต่พวกสมุนของจตุพลต่างหันปากกระบอกปืนมาตรงหน้าอธิปทั้งกันทั้งหมดแล้วขึ้นนกพร้อมยิง อธิปเห็นดังนั้นก็ถึงกับผงะ
“เข้ามาสิครับ ผมรับรองว่าจะไม่หนี..แต่อากู๋ต้องแน่ใจนะว่าตอนที่ชกผม จะยังมีชีวิตอยู่” จตุพลขู่
ทันใดนั้น ผู้ใหญ่ชวดกับเจ๊ช้างก็นำขบวนชาวบ้านนับสิบถือปืนพร้อมอาวุธต่างๆ เดินเข้ามา ทั้งหมดยืนเรียงเป็นแผงอยู่ในท่าพร้อมรบอย่างไม่หวั่นเกรง
“แน่ใจนะว่าจะไม่หนี!” เจ๊ช้างถาม
“โหว ยังกะชาวบ้านบางระจันเลยวุ้ย” กริสน์ทึ่ง
“ไอ้เด็กเมื่อวานซืน อย่าคิดว่าพวกชั้นจะให้แกมาอวดเบ่งในถิ่นของชั้นได้!” ผู้ใหญ่ชวดพูดเสียงเข้ม
แล้วผู้ใหญ่ชวดก็โยนปืนลูกซองให้ทั้งสาม กริสน์รับปืนได้ด้วยท่าเท่ อธิปก็รับปืนได้เท่พอกัน เดชชูมือรอจะรับปืน แต่รับพลาดปืนกระแทกโดนหัวตัวเอง “โหยยย ทำไม๊..จะเท่บ้าง ไม่เคยสำเร็จ” เดชบ่น
“เห็นอย่างนี้แล้ว อยากจะหนีขึ้นมาบ้างหรือยัง” ผู้ใหญ่ชวดถาม
“เดี๋ยวก็รู้ว่าใครกันแน่ที่ต้องหนี” จตุพลพูดแล้วก็ยกมือให้สัญญาณ
รถกระบะอีก 3คันที่บรรทุกสมุนจตุพลมาเต็มคันรถแล่นเข้ามาจากรอบทิศ แล้วอยู่ๆก็มีรถอีกคันพุ่งออกมาโดยน้อมพงษ์อยู่บนรถคันนั้น น้อมพงษ์ถือปืนกลเล็งมาทางพวกอธิป
“ขอให้เจ้าภาพจงเจริญ!” น้อมพงษ์พูดยังไม่ขาดคำเขาก็ระดมยิงปนเข้าใส่
กริสน์ตะโกนบอกทุกคนทันที “ทุกคน หลบ!”
ชาวบ้านทุกคนกระโจนแล้วแยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทาง ทุกคนวิ่งหนีกันอลหม่าน หัวซุกหัวซุน แต่ชาวบ้านหลายคนก็ถูกยิงร่วงลงไปกอง
น้อมพงษ์ยังคงระดมยิงด้วยความสะใจ จตุพลที่ดูเหตุการณ์อยู่ก็สะใจ ชาวบ้านพากันวิ่งหนีตายอย่างอลหม่าน อธิป เดช กริสน์ ผู้ใหญ่ชวด และเจ๊ช้างก็กระโจนหาที่กำบังได้อย่างหวุดหวิด
“ไป..เชือดให้หมดหมู่บ้าน..ใครล่าแต้มได้มากสุด ชั้นมีรางวัลให้” จตุพลตะโกนสั่ง
บรรดาลูกสมุนของจตุพลได้ยินดังนั้นก็ร้องเฮดังลั่น

พวกสมุนของจตุพลยังระดมยิงกันอย่างไม่หยุด พวกชาวบ้านก็พยายามยิงต่อสู้เป็นระยะๆ กริสน์ อธิป และเดชหลบหลังที่กำบังซึ่งอยู่ใกล้ๆกัน โดยทั้งสามก็ยิงสู้ด้วย
“พวกมันกะฆ่าหมด ไม่เว้นแม้แต่เด็กเลยหรือไง!” กริสน์ฉุน
“พวกมันจัดเต็มมาทั้งคนทั้งอาวุธ กะถล่มหมู่บ้านทั้งหมู่บ้านแน่..งานนี้ตายเป็นตาย!” เดชหันไปยิงสู้
“ไอ้เดช แกรีบไปดูแลโอปอล์เดี๋ยวนี้ ไป..ส่วนแก ไอ้กริสน์..ไปหาคุณพิมกับหลาน แล้วพวกแกก็พาทุกคนหนีออกไปจากที่นี่..ไปๆๆ” อธิปสั่ง
“ถ้าจะตายก็ต้องตายด้วยกัน แต่เดชจะไม่ทิ้งเสี่ยเอาตัวรอดเด็ดขาด”
อธิปหันไปยิงสู้ แล้วหันมาตะคอก “ชั้นสั่งให้แกไปปกป้องลูกสาวชั้น!” อธิปถีบเดชจนกระเด็น “ไป!”
กริสน์กับเดชมีท่าทีอึกอัก ผู้ใหญ่ชวดกับเจ๊ช้างเข้ามาสมทบอีกแรง
“พวกข้าดูแลเสี่ยเอง” ผู้ใหญ่ชวดบอก
“บอกให้ไป!” อธิปย้ำ
“ดูแลตัวเองด้วยนะครับเสี่ย” กริสน์พูดแล้ววิ่งออกไป
“เสี่ยครับ” เดชเข้าไปกอดอธิปจนเต็มรัก แล้วค่อยผละไป “เดชรักเสี่ยนะครับ”
อธิปยิงสู้อย่างไม่กลัวเกรง

พิมมาดาพาเด็กๆ วิ่งหนีออกมาโดยมีสมุนจตุพลวิ่งตาม ชาวบ้านคอยยิงสกัดแต่ก็ต้านไม่อยู่ สมุนจตุพลคนหนึ่งโผล่มาดักหน้าพิมมาดาและเด็กๆ พิมมาดาถูกจับเหวี่ยงไปชนกับปลาของชาวบ้านที่ตากแดดเอาไว้จนล้มระเนระนาด
“น้าพิม!” พวกเด็กๆ รีบวิ่งไปดูพิมมาดาทันที
โจ๊กหันมาเผชิญหน้าสู้กับพวกสมุน
“เป็นผู้ชายต้องดูแลปกป้องผู้หญิง ทำแบบนี้ไม่เป็นสุภาพบุรุษ!” โจ๊กว่า
แล้วโจ๊กก็วิ่งเข้าไปชก แต่สมุนคนนั้นจับโจ๊กยกขึ้นมาทั้งตัว แล้วเหวี่ยงไปเหวี่ยงมา แจ๊สเห็นน้องชายถูกทำร้ายก็ได้แต่กรีดร้องเสียงดัง “กรี๊ด!”
“โจ๊ก!!! แกอย่าทำอะไรเด็กนะ ปล่อยเด็กไป” พิมมาดาตะโกน
“ปล่อยพี่โจ๊ก!” จีจ้าสั่ง
สมุนเอามือสองข้างบีบคอโจ๊ก พิมมาดาเห็นก็ตกใจ “โจ๊ก!”
ทันใดนั้น กริสน์ก็เข้ามาเอาไม้ตีหัวสมุนเต็มแรง ไม้ไม่หักแต่สมุนล้มทั้งยืน
สมุนคนอื่นเห็นกริสน์ ก็รีบควักปืนออกมา แต่กริสน์ไวกว่าจึงยิงสวนไปจนบรรดาสมุนกระเด็น
พิมมาดาร้องด้วยความตกใจ “กรี๊ด” โจ๊กวิ่งไปกอดพิมมาดา
“คุณไม่เป็นอะไรกันนะ” กริสน์ถาม
“น้ากริสน์ระวัง!” จีจ้าตะโกนบอก
กริสน์สั่งทุกคน “หลับตา!”
พวกเด็กๆหลับตา พิมมาดาเข้ามาปิดตาจีจ้า กริสน์หันไปยิงสมุน 2คนที่กำลังจะยิงเขาจากด้านหลังจนร่วงไปทันที
กริสน์กระโดดหลบไปมาพร้อมกับยิงสวนเหล่าสมุน สมุนอีก 2คนกำลังวิ่งมาทางด้านหลังกริสน์
จีจ้าหันไปเห็นแหที่วางอยู่อีกด้าน ก็รีบเรียกพี่ชายตัวเอง “พี่โจ๊ก”
โจ๊กรู้งานจึงวิ่งไปอีกด้าน ในจังหวะที่สมุนทั้งสองวิ่งมา โจ๊กกับจีจ้าก็ดึงแหจนตึง สมุนทั้งสองสะดุดแหล้มหน้าคว่ำทันที
“เย้ๆๆ” โจ๊กกับจีจ้าดีใจ
สมุนคนหนึ่งโงหัวขึ้นจะยิงทั้งคู่ แต่พิมมาดาเห็นก่อนจึงรีบตะโกนบอกหลาน “โจ๊ก! จีจ้า!”
พิมมาดารีบวิ่งไปปกป้องโจ๊กกับจีจ้า อยู่ๆ ก็มีรถเข็นพุ่งเข้าใส่สมุนโครมใหญ่จนสมุนคนนั้นน็อกไป พิมมาดากับหลานๆ หันไปมองก็เห็นว่าแจ๊สคือคนผลักรถเข็นคันนั้น
ส่วนสมุนอีกคนที่นอนอยู่โดนพิมมาดาปาก้อนหินใส่หัวไปเต็มๆ
“พี่แจ๊ส!! น้าพิมสุดยอดเลยๆ” โจ๊กกับจีจ้าส่งเสียงชม
“จะดีใจทำไม..นี่มันผู้ร้ายของจริง พวกเธอห้ามอวดเก่งอย่างนี้อีกเข้าใจมั้ย” พิมมาดาเตือน
“พอๆๆ อย่าเพิ่งต่อว่ากัน หนีก่อน” กริสน์บอก
ทันใดนั้น น้อมพงษ์ก็โผล่มา “คิดว่าแกจะรอดไปได้เหรอไอ้กริสน์..ตายๆๆ”
น้อมพงษ์รัวปืนกลเข้าใส่
“วิ่ง!” กริสน์ตะโกนบอกทุกคน พิมมาดาและพวกเด็กๆ วิ่งหนีสุดชีวิต
น้อมพงษ์ยิงปืนใส่ไม่ยั้งแล้วก็หัวเราะสะใจ “ฮะๆๆ”
กริสน์พาพิมมาดากับเด็กๆหลบไปได้อย่างหวุดหวิด

กริสน์พาพิมมาดากับเด็กๆ มาซ่อนที่โขดหินแห่งหนึ่ง จีจ้ากอดกริสน์เอาไว้แน่น “ลูกพี่ต้องอยู่กับเรานะ”
“ไม่งั้นพวกเราจะต้องถูกยิงตายกันหมด” แจ๊สเสริม
“จีจ้า แจ๊ส โจ๊ก พวกเธอต้องปลอดภัย..ไม่ว่าจะเป็นยังไง ชั้นจะไม่ทิ้งพวกเธอ ชั้นจะปกป้องด้วยชีวิตของชั้นเอง” กริสน์บอกแล้วหันไปพูดกับโจ๊ก “โจ๊ก นายเป็นผู้ชายคนเดียว”
“ผมจะปกป้องทุกคนเอง” โจ๊กรับคำ
กริสน์เขกหัว “ชั้นจะบอกว่า อย่าอวดเก่ง เชื่อฟังน้าพิม เข้าใจมั้ย”
“เราจะรอดไหมนายกริสน์” พิมมาดาถามเสียงสั่น
“รอดแน่นอน” กริสน์ตอบอย่างเชื่อมั่น
“ชั้นจะเชื่อคำพูดนายได้ไง นายดีแต่หลอกลวง”
“คุณพิม..คุณต้องเชื่อใจผม..ผมบอกคุณได้แค่นี้”
กริสน์พูดพร้อมกับสบตาพิมมาดาด้วยแววตาที่แสดงถึงความรักและห่วงใย แล้วเขาก็วิ่งออกไปยิงพวกสมุน พิมมาดาดึงหลานๆ เข้ามากอดแล้วซ่อนตัวไว้
“โอปอล์..โอปอล์อยู่ที่ไหน” โจ๊กเป็นห่วงโอปอล์

โอปอล์กำลังกรีดร้องอยู่บริเวณหน้าหมู่บ้าน “กรี๊ดๆๆ”
สมุนของจตุพล 2คนยืนอยู่ตรงหน้าของโอปอล์ ทั้งสองถือปืนอยู่ในมือแต่ยังเกี่ยงกันไปมา
“ชั้นทำไม่ลงว่ะ แกลงมือดิ”
“แกดิ”
“ชั้นลงมือเอง” เดชเอ่ยขึ้นแล้วเข้ามาล็อคคอสมุนทั้งสองก่อนจะจับมากระแทกกัน แล้วกระโดดฉีกขาเตะสมุนทั้งสองพร้อมกันจนสมุนทั้งสองหมอบไปอย่างง่ายดาย
“หึๆๆ ไม่รู้ซะแล้วว่าเดชเรียนกังฟูมาจากเฉินหลง..รีบหนีเถอะครับคูณหนู” เดชหันมาพบว่าโอปอล์หายไปแล้ว “อ้าว คุณหนู..คุณหนูหายไปไหน”
“ฮือๆ ป๊า ช่วยด้วย” เดชได้ยินเสียงโอปอล์ร้องไห้ดังมา เขาจึงตามเสียงไปจนถึงถังน้ำแข็ง เดชพบว่าโอปอล์กำลังนั่งขดตัวซ่อนอยู่ในถังน้ำแข็งด้วยความกลัว
“คุณหนู..ไม่ต้องกลัวแล้วนะครับ เดชอยู่นี่ทั้งคน ไม่มีใครทำอะไรคุณหนูได้แน่ๆ..ออกมาเถอะครับ”
โอปอล์ยังนั่งนิ่งไม่ยอมออก “ป๊า..โอปอล์จะหาป๊า”
“ป๊า..ยังไม่ว่างครับ..ไปกับเดชก่อนนะ เดชจะพาไปหลบในที่ปลอดภัย..นะครับ”
“ป๊า โอปอล์จะหาป๊า”
เดชพยายามข้อร้องอ้อนวอนแต่โอปอล์ก็ไม่มีทีท่าจะออกมา เดชได้แต่ยืนกลุ้มใจ

จตุพลยืนหัวเราะสะใจอยู่ที่รถกระบะที่จอดอยู่ เขาพูดใส่โทรโข่ง “เสี่ยอธิป เจ้าพ่อในตำนาน ทำได้แค่หัวหดอยู่แต่ในรูเหรอ ฮะๆๆ ออกมา” จตุพลทำเสียงเหมือนเรียกสุนัข “มาๆๆ ออกมา”
ผู้ใหญ่ชวดกับเจ๊ช้างที่กำลังยิงต่อสู้อยู่หลังที่กำบังรู้สึกโกรธแค้นแทน
“หน็อย มันไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงซะแล้ว” ผู้ใหญ่ชวดแค้น
“แน่จริงก็หยุดยิง แล้วมาตัวๆกับเสี่ยสิวะ..ใช่มั้ยเสี่ย” เจ๊ช้างพูดแล้วเธอกับผู้ใหญ่ชวดก็หันไปมองที่อธิป เห็นอธิปกำลังเอาผ้ามาคาดหัว แล้วป้ายเขม่าควันที่แก้มคล้ายแรมโบ้
“เสี่ย..จะทำอะไร” ผู้ใหญ่ชวดร้องถาม
อธิปถือปืนขึ้นมา “ชวด ช้าง..พวกแกยิงคุ้มกันให้ชั้นด้วย..ไอ้หลานไม่รักดี วันนี้ แกกับชั้นได้เห็นดีกันแน่..ย้าก!”
อธิปวิ่งกระโจนออกมาจากที่กำบังทันที โดยมีผู้ใหญ่ชวดกับเจ๊ช้างลุกขึ้นยิงคุ้มกันให้ อธิปวิ่งฝ่ากระสุนคล้ายแรมโบ้ ทั้งกระโดดข้ามสิ่งกีดขวาง ทั้งกระโจนม้วนหน้า แล้วลุกขึ้นวิ่งต่อ โดยมีเป้าหมายอยู่ที่จตุพล
จตุพลแสยะยิ้มแล้วตะโกนสั่งการให้สมุนยิงไม่หยุด ผู้ใหญ่ชวดกับเจ๊ช้างยิงพวกสมุนล้มคว่ำไป อธิปวิ่งเข้ามาใกล้จตุพลมากขึ้น จตุพลเริ่มเห็นท่าไม่ดี
อธิปกระโดดขึ้นมายืนบนกระโปรงหน้ารถกระบะที่จตุพลอยู่ ทั้งสองเผชิญหน้ากัน
“หมดเวลาของแกแล้ว” อธิปบอก
“ใครกันแน่ที่หมด” จตุพลย้อนถามพร้อมกับยิ้ม เขายกปืนขึ้นยิงทันที อธิปกระเด็นตกจากรถ
ผู้ใหญ่ชวดกับเจ๊ช้างเห็นดังนั้นก็ตกใจ “เสี่ย!”
จตุพลยืนมองอธิปอย่างสะใจ “ยุคของอากู๋มันหมดไปนานแล้ว ยุคนี้มันยุคของผม ฮะๆๆ”

อีกด้านหนึ่ง กริสน์วิ่งจ้ำสุดชีวิตไปตามหาด สักพักก็มีสมุนโผล่มาจากข้างทาง กริสน์ควักปืนยิงไปวิ่งไปซึ่งก็ถูกสมุนจนร่วงกันไปหมด
ชาวบ้านชายและหญิงพยายามหนีพวกสมุน แต่ถูกพวกสมุนกระชากตัวได้แล้วจะยิงทิ้ง กริสน์วิ่งเข้ามากระโดดถีบและอัดสมุนจนน็อกไป
“ไปหาที่ซ่อน เร็ว” กริสน์บอกชาวบ้านทั้งสอง
ชาวบ้านตั้งท่าจะหนีไป แต่ก็มีสมุนโผล่มาอีก
กริสน์คว้าสวิงบนเรือ แล้วกระโดดเอาสวิงเกี่ยวปืนจนปืนของสมุนหล่น จากนั้นเขาก็เอาสวิงเกี่ยวหัว แล้วกระชากจนสมุนหน้าคว่ำไปกับพื้น ก่อนที่เขาจะตามไปฟาดจนสมุนน็อกไป แล้วกริสน์ก็สั่งชาวบ้าน “ไปๆ หลบไป”
สมุนอีก 2คนวิ่งมาจากด้านหลัง กริสน์ใช้สวิงปักกับพื้น แล้วกระโดดลอยตัวถีบทั้งสองจนกระเด็น ขณะที่กริสน์กำลังสู้กับพวกสมุนอยู่ อยู่ๆ น้อมพงษ์ก็โผล่ออกมายกปืนยิงกราด พวกสมุนโดนยิงร่วง
กริสน์มองไปยังที่มาของกระสุน เห็นน้อมพงษ์ยืนยิ้มเหี้ยมเกรียม “อ้าว..ยิงผิด..โทษทีนะ”
“นี่แกยิงพวกเดียวกันเองเหรอวะ ไอ้ชั่ว” กริสน์ว่า
“ผลลัพธ์สำคัญกว่าวิธีการเว้ย” น้อมพงษ์บอกแล้วก็ระดมยิงอีก “ตายๆๆ”
กริสน์รีบวิ่งหนีกระสุน เขากระโดดไปหลบบนเรือ น้อมพงษ์ยังคงยิงไม่หยุด กระสุนมากมายเจาะเข้าที่ข้างเรือ เรียงเป็นชุดจนไม้และชิ้นส่วนเรือแตกหักกระจุยกระจายเป็นผุยผง
กริสน์ที่หลบอยู่ถึงกับบ่นออกมา “ไอ้โหด ไอ้บ้าสงคราม ทำไมไม่ไปอยู่ชายแดน” ทันใดนั้น เสียงปืนก็เงียบไป กริสน์กระชับปืนแล้วโผล่ออกไปหมายจะยิงสู้
กริสน์ถึงกับผงะเมื่อเห็นน้อมพงษ์ถือระเบิดอยู่ด้วยใบหน้าเหี้ยม
“รักนะคะคนดีของชั้น” น้อมพงษ์โยนระเบิดเข้าใส่ทันที
“รักบ้านมึงดิ!” กริสน์รีบกระโดดหลบ เรือลำนั้นระเบิดตูมทันที
“ก๊ากๆๆ ..โอ้ เมื่อมีไฟ ไฟ ไฟ ลุกขึ้นแจ่มจ้า สุขอุราเมื่อเรามาพร้อมหน้ากัน” น้อมพงษ์หัวเราะอย่างสะใจ

จตุพลยกปืนขึ้นเล็งไปที่อธิป อธิปพูดกับหลานตัวเอง
“ไอ้จตุพล ชั้นไปทำอะไรแกแค้นนักแค้นหนา แกถึงตอบแทนชั้นอย่างนี้”
“ก็แค่อากู๋ยืนอยู่ในตำแหน่งที่ผมอยากจะอยู่..อากู๋ก็รู้ว่าวงการนี้ เบอร์หนึ่งก็มีได้แค่คนเดียว..แล้วจะเผาแบงก์กงเต็กตามไปให้นะอากู๋”
ทันใดนั้น ผู้ใหญ่ชวดกับเจ๊ช้างก็ยิงสวนมาที่จตุพล จตุพลรีบหลบทันที
“ตราบใดที่ชั้นยังอยู่ ใครก็ทำอะไรเสี่ยอธิปไม่ได้!” ผู้ใหญ่ชวดบอก
จตุพลจำต้องถอยโดยให้สมุนยิงคุ้มกัน เดชและโอปอล์เข้าถึงตัวอธิปจึงรีบลากเข้าไปหลบมุม
“ป๋า” โอปอล์ตกใจ “ป๋าโดนยิง”
“เดชมาช่วยแล้วนะครับเสี่ย..ลุกไหวมั้ยครับ”
“โอปอล์...ป๋าไหว...ป๋ายังไหว...ไม่เป็นไรนะคะ” อธิปบอกลูกสาว
เดชเข้ามาประคองอธิปให้ลุก ผู้ใหญ่ชวดกับเจ๊ช้างคอยยิงคุ้มกันให้ เดชกำลังจะพาอธิปหนีไปแต่จตุพลยกปืนขึ้นยิงทันที กระสุนถูกที่หัวไหล่ของเดชอย่างจัง
“โอ๊ย!!!ทำม้ายๆๆ พอจะเท่ทีไร ต้องแป้กทุกทีเลย” เดชคร่ำครวญ
“กรี๊ด!!” โอปอล์ร้องด้วยความตกใจ
เดชกับอธิปทรุดลงไปตรงนั้นพร้อมๆ กัน
“ไอ้เดช!!” ผู้ใหญ่ชวดตะโกนสุดเสียง
ผู้ใหญ่ชวด เจ๊ช้าง และพวกชาวบ้านยังยิงคุ้มกันให้อยู่ เดชพยายามจะประคองอธิปให้ลุกขึ้นแต่ก็ไม่มีแรง ทั้งสองทรุดลงไปอีกครั้ง
“ทิ้งชั้นไว้ แล้วพาโอปอล์หนีไป” อธิปสั่ง
“ไม่ ผมไม่ทิ้งเสี่ย” เดชบอก
“ไม่...โอปอล์ไม่ไป...” โอปอล์ร้องไห้

น้อมพงษ์เข้ามาดูซากเรือพร้อมกับมองหากริสน์ กริสน์ยังคงนอนกองอยู่ แรงระเบิดทำให้เขาระบมไปทั้งตัว กริสน์ลุกไม่ขึ้น ตาพร่า และหูอื้อ
น้อมพงษ์ได้ทีจึงเตะกริสน์เต็มแรง แล้วควักปืนเล็กที่ซ่อนเอาไว้ออกมาถือ
“ฮะๆๆ เมื่อกี้ยังเก่ง ทำไมทีนี้จ๋อยนักล่ะวะ..สู้มาดิ สู้มา!” น้อมพงษ์ชกลมโชว์ “สายสืบตำรวจมีดีแค่นี้เองเหรอ”
อยู่ๆ ก็มีเสียงกรี๊ดของพิมมาดากับเด็กๆ ดังมา สักพักสมุนก็ลากพิมมาดามาบริเวณที่กริสน์อยู่
“คุณพิม” กริสน์ตกใจ
“เฮ้ย หรือว่า แกแอบรักยัยพิมมาดา..ก๊ากๆๆ สาวๆเอ๊าะๆมีตั้งเยอะ ไม่ชอบ ไปชอบยัยพิม อีนี่มันลูกสามแล้ว แกยังจะเอาอีก รสนิยมแกโคตรเพี้ยนเลย ก๊ากๆๆ” น้อมพงษ์ว่า
“แก!” กริสน์แค้น
“ทำไม!! แกคิดหือเหรอ ไอ้ใฝ่ต่ำ” น้อมพง์ชกใส่กริสน์เป็นชุด “จ้องหน้าทำไม” น้อมพงษ์ชกอีก “ยังจะจ้องอีกใช่มั้ย..ได้..งั้นชั้นจะจัดให้เด็กแกสักดอก” น้อมพงษ์หันปืนไปทางพิมมาดา
กริสน์ถึงกับผงะ เด็กๆ ร้องระงม สมุนจับตัวเด็กๆ เอาไว้ น้อมพงษ์กำลังจะลั่นไกแต่อยู่ๆ ก็มีบูมเมอแรงลอยคว้างพุ่งมากระแทกปืนของน้อมพงษ์จนกระเด็นหล่นไป
“โอ๊ย!” น้อมพงษ์ร้อง
ห่างออกไป โอ้ยืนรับมูมเมอแรงท่าเท่อยู่ที่โขดหิน
“มาริโอ้!” แจ๊สตะโกน
“ชั้นเป็นอย่างบูมเมอแรง ขว้างไปยิ่งแรงยิ่งกลับมาเร็ว...เพื่อนแจ๊สฮะ เพื่อนโอ้มาช่วยแล้ว” โอ้ร้องบอก
สมุนหันปืนจะไปยิงโอ้ แต่โอ้รีบหลบทันที ทันใดนั้นสมุนของโอ้ก็โผล่ออกมาตามมุมๆ พวกเด็กๆ ยิงหนังสติ๊กใส่สมุนของน้อมพงษ์จนเต้นเป็นเจ้าเข้า
ส่วนสมุนน้อมพงษ์ยิงไปเท่าไหร่ก็ไม่โดนเด็กๆ โอ้โผล่ออกมายิงหนังสติ๊กโดนกกหูน้อมพงษ์ไปเต็มๆ
กริสน์หยิบทรายมาซัดเข้าตาน้อมพงษ์ทันที ส่วนพิมมาดาก็ชกเข้าที่กกหูของน้อมพงษ์ จนน้อมพงษ์ล้มกลิ้งไป
พิมมาดามองเห็นรถกระบะที่จอดอยู่ก็หันมาบอกหลานๆ “รถ..เด็กๆ ไปขึ้นรถเร็วๆ” พิมมาดาต้อนเด็กๆ ไปขึ้นรถ
พิมมาดารีบประคองกริสน์ไปขึ้นรถ ส่วนแจ๊สมองหาโอ้ สักพักโอ้ก็โผล่ออกมาจากมุมหนึ่ง พร้อมกับยกมือบ๊ายบาย แจ๊สบ๊ายบายตอบ พิมมาดาขึ้นรถแล้วตัดสินใจขับออกไปอย่างรวดเร็ว

ชาวบ้านช่วยกันพาอธิป โอปอล์ และเดชหลบไปที่มุมหนึ่ง โดยมีผู้ใหญ่ชวดกับเจ๊ช้างยิงคุ้มกันไว้
“กระสุนหมด..โธ่เว้ย เอาไงต่อดี” เจ๊ช้างบ่น
“ข้าก็ไม่รู้เว้ย” ผู้ใหญ่ชวดบอก
“โอ้มาช่วยอีกแรงแล้ว” โอ้วิ่งเข้ามาหา
“แกกลับมาทำไม ไอ้เดช” อธิปจะดุเดช
“คุณหนูซ่อนตัวอยู่ ไม่ยอมออกมา เรียกหาแต่เสี่ยคนเดียวครับ” เดชบอก
“โอปอล์” อธิปเรียกลูกสาว
“โอปอล์ไม่ไปไหนทั้งนั้น โอปอล์จะอยู่กับป๋า โอปอล์มีป๋าคนเดียวนะ”
“โอปอล์พูดซึ้งกินใจเดชมาก..เดชก็มีเสี่ยคนเดียว ถ้าไม่มีเสี่ยเดชก็ไม่รู้จะอยู่ยังไง..เดชจะอยู่สู้กับเสี่ย..สู้เว้ย!”
“พวกข้าด้วย!” ผู้ใหญ่ชวด เจ๊ช้าง และโอ้ประสานเสียง
“ตายยากตายเย็นจริงๆ” จตุพลบ่น
น้อมพงษ์เดินเข้ามาสมทบ
“ไอ้นี่ดีกว่าคุณจตุพล” น้อมพงษ์ควักระเบิดออกมาแล้วยื่นให้จตุพล จตุพลรับมาแล้วถอดสลัก จตุพลตั้งท่าจะโยน อยู่ๆ ก็มีเสียงปืนดังขึ้น สมุนที่ยืนอยู่ข้างๆ จตุพลร่วงลงไป
“เฮ้ย..ใครวะ!” จตุพลตะโกนถาม
ตำรวจมากมายเดินเท้าวิ่งกระจายตัวไปซุ่มตามมุมต่างๆ แล้วล้อมเอาไว้ทุกด้าน รถตำรวจต่างแล่นเข้ามาจอดมากมาย
มาวินประกาศใส่ไมโครโฟน “มาวิน มือปราบสุดหล่อมาแล้วครับท่าน จะยอมหรือจะให้ยิง อำนาจในการตัดสินใจอยู่ในมือท่านแล้ว เลือกมา!”

พวกตำรวจกระจายกำลังกันเข้าล้อมเอาไว้ มาวินประกาศอีก
“วางอาวุธลงเดี๋ยวนี้..ใครตุกติก เรายิงแน่!”
จตุพลลังเล เขายังกำระเบิดที่อยู่ในมือแน่น แล้วก็ตัดสินใจโยน
“ยอมก็ไม่ใช่เจ้าพ่ออันดับหนึ่งสิวะ” จตุพลพูดแล้วโยนระเบิด
ระเบิดตกลงหน้ารถตำรวจแล้วระเบิดบึ้ม ตำรวจยิงต่อสู้ทันที พวกสมุนจตุพลกระจายกันยิงใส่ตำรวจ น้อมพงษ์ดึงจตุพลให้ถอยออกมา ทั้งสองปล่อยให้สมุนยิงสู้กับตำรวจไป

ผู้ใหญ่ชวด เจ๊ช้าง และโอ้ รีบพาอธิป โอปอล์ กับเดชแยกหลบออกมา
“เสี่ย..รีบหนีไปก่อน..พวกเราจะล่อตำรวจเอาไว้ให้เอง” เจ๊ช้างบอก
“ข้าไม่ไป” อธิปยืนกราน
“ไม่ไปไม่ได้ เสี่ยยังมีคุณหนูโอปอล์ต้องดูแล..ส่วนพวกเรา ไม่มีอะไรให้ห่วงอีกแล้ว” ผู้ใหญ่ชวดบอก
“หนีไปเถอะครับเสี่ย ไม่ต้องห่วงเรา อย่างมากก็ถูกตำรวจจับ ไม่ตายหรอก” โอ้บอก
“เดช..พาเสี่ยหนีไป” ผู้ใหญ่ชวดสั่ง
“แต่..” อธิปอ้ำอึ้ง
“ไปเถอะครับเสี่ย” เดชบอก
“ไอ้ชวด นังช้าง ระวังตัวด้วย” อธิปพูด
แล้วอธิป โอปอล์กับเดชก็พากันออกไป ผู้ใหญ่ชวดกับเจ๊ช้างมองตามอย่างโล่งอก
“ทีนี้ก็เป็นหน้าที่ของพวกเราแล้ว” โอ้บอก
ตำรวจวิ่งเข้ามาพอดี “พวกมันอยู่ทางนี้”
“ไปเร็วช้าง ไอ้โอ้” ผู้ใหญ่ชวดบอก
โอ้ ผู้ใหญ่ชวดกับเจ๊ช้างรีบแยกย้าย โดยวิ่งล่อตำรวจไปคนละทาง

พวกสมุนของจตุพลและพวกชาวบ้านถูกจับมารวมตัวกัน ทั้งหมดถูกสั่งให้นอนราบไปกับพื้น มาวินเดินเข้าดูหน้าทีละคนๆ
“ทำไมมีแต่พวกลูกกระจ๊อก..ไอ้ผู้ร้ายตัวเป้งๆอย่างเสี่ยอธิป นายจตุพล มันไปอยู่ไหน..อย่าบอกนะว่ามันหนีรอดไปได้”
พวกตำรวจจ๋อยไปตามๆ กัน มาวินออกคำสั่ง
“ออกไปตามล่าสิ!! พวกมันคงยังหนีไปไม่ได้ไกล ไปๆๆ”
ตำรวจส่วนหนึ่งแยกย้ายกันออกไป ส่วนตำรวจอีกสองนายจับตัวผู้ใหญ่ชวดกับเจ๊ช้างมาหามาวิน
“แก..แกรู้ใช่มั้ยว่าเสี่ยอธิปหนีไปไหน บอกมา!!” มาวินบอก “ถ้าแกให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ ชั้นจะช่วยให้แกได้ลดโทษ”
“ชั้นไม่เคยขายนาย” ผู้ใหญ่ชวดตอบเรียบๆ
ตำรวจอีกนายคุมตัวเจ๊ช้างเข้ามา มาวินเครียดหนัก
“โอ๊ย อุตส่าห์จัดชุดกำลังมาเต็มเหนี่ยวขนาดนี้ แต่ดันจับไอ้ตัวเป้งๆไม่ได้สักคน โอ๊ยๆๆ” มาวินประกาศก้อง “ไม่ว่าพวกแกจะอยู่ไหน ชั้นจะล่าตัวมาเข้าคุกให้ได้!”
มาวินพูดยังไม่ทันขาดคำก็มีบูมเมอแรงลอยมาโดนหัวเขาเต็มๆ “อ๊าก...ใครวะ”
โอ้ที่ยืนอยู่อีกมุมหนึ่งหัวเราะลั่นแล้ววิ่งหนีไป
“ไปจับไอ้เด็กนั่นมาเร็ว...ไป” มาวินโมโหสุดๆ

พวกเด็กๆ ที่ต่างก็ขอบตาดำกำลังนอนหงายเป็นเต่าทอง ทั้งหมดทั้งหัวเราะ ทั้งดิ้น ทั้งตะกุย ทั่วสนามฟุตบอลของโรงเรียน ครูหลายคนวิ่งวุ่นเข้ามาดูแลเด็กๆกันจ้าละหวั่น ครูบางคนลงไปดิ้นกับเด็กๆ ด้วย
ครูฟ้าใสยืนมองจากหน้าต่างห้องฝ่ายปกครอง กลุ่มพ่อแม่ของเด็กๆ นั่งรอคำตอบอยู่เต็มห้อง
“ว้อท แฮพเพ่น ทู มาย สติ้วเด้นท์” ครูฟ้าใสตกใจสุดขีด “เกิดอะไรขึ้นกับนักเรียนของชั้น”
ทันใดนั้น ปาล์มก็โผล่มาเกาะกระจกด้านนอกห้อง “แฮ่ๆๆ”
เด็กคนอื่นๆ ตามมาเกาะกระจกเหมือนปาล์ม เพราะในห้องนั้นมีขนมสวีทโอปอล์ที่ครูพงษ์พัฒน์ยึดจากเด็กๆ อยู่
“นี่โรงเรียนหรือหนังผีซอมบี้เนี่ย” ครูพงษ์พัฒน์ตกใจ
“ครูฟ้าใสจะว่ายังไงครับ..เด็กป่วยครึ่งค่อนโรงเรียนขนาดนี้ ทางโรงเรียนจะบอกว่าไม่ทราบสาเหตุ ไม่ได้..ผมไม่ยอม” ผู้ปกครองคนหนึ่งโวยวายขึ้น
แม่ของเด็กคนหนึ่งโบ๊ะหน้าไปด้วยพูดไปด้วย “เด็กๆไม่ได้ป่วย ไม่ได้เป็นโรค ไปหาหมอก็ตรวจอะไรไม่พบ”
“แต่อาการที่เห็น มันไม่ใช่ปกติธรรมดาแน่นอน” แม่ของเด็กอีกคนพูด
“คุณพ่อ คุณแม่ขา ทางโรงเรียนก็พยายามหาคำตอบสุดความสามารถแล้ว เราไม่ได้นิ่งนอนใจนะคะ” ครูฟ้าใสชี้แจงด้วยน้ำตารื้น “เด็กทุกคนก็เหมือนลูกในไส้อิชั้น เห็นพวกแกเป็นอย่างนี้ อิชั้นก็ทรมาน ไม่ต่างจากคุณพ่อคุณแม่หรอกค่ะ” ครูฟ้าใสพยายามเงยหน้าเพื่อไม่ให้น้ำตาไหล
“โถ ครูฟ้าใส..ทุกคนใจเย็นๆก่อนนะครับ..จริงๆแล้ว ทั้งหมดที่เราเห็น อาจจะเป็นแผนการรวมหัวกันต่อต้านฝ่ายปกครองของโรงเรียนก็ได้” ครูพงษ์พัฒน์บอก
“หมายความว่ายังไง” แม่ของเด็กคนหนึ่งสวนขึ้น
“ก็เด็กๆชอบทำผิดกฏ” ครูพงษ์พัฒน์เทของออกจากถุงใบแรก “กระโปรงสั้น กางเกงสั้นผิดระเบียบ โบว์ดอกกุหลาบยักษ์ ถุงเท้ายาว..แต่ที่หนักสุด คือถุงนี้” ครูพงษ์พัฒน์เทออกมามีแต่ขนมสวีทโอปอล์ “เด็กๆแอบกินขนมในห้อง นี่คือที่ผมยึดมาแค่ห้องเดียวนะครับ”
พวกเด็กๆ ด้านนอกเห็นขนมสวีทโอปอล์ก็มีปฏิกิริยากระหายมากขึ้น
“ดูๆ พอเห็นของที่ถูกยึดก็ออกอาการ..เห็นมั้ยครับ” ครูพงษ์พัฒน์บอก
“จะเป็นแค่การประท้วงได้ยังไง ในเมื่อตอนอยู่ที่บ้าน ลูกชั้นก็มีอาการแบบนี้” แม่คนหนึ่งบอก
“เพื่อความแนบเนียนสมจริงยังไงครับ..โอเค เดี๋ยวผมจะออกไปเจรจากับพวกเด็กๆดู แล้วทุกคนคอยดูนะครับ”
ครูพงษ์พัฒน์หิ้วถุงขนมออกไปนอกห้องฝ่ายปกครอง ครูฟ้าใสและพวกผู้ปกครองจับตามอง
ครูพงษ์พัฒน์เดินแหวกวงล้อมของเด็กๆออกไป “เดี๋ยวๆๆๆ ใจเย็นๆๆๆ ครูมีข้อเสนอ มาตกลงกับพวกเธอ”
“เอาขนมมา” ปาล์มตะโกน
“นายปาล์ม..นายเป็นแกนนำของเด็กซอมบี้พวกนี้ใช่มั้ย..ดี งั้นเรามาเจรจาตามประสาแกนนำกัน”
ปาล์มพยายามกระชากถุงขนมมา “เอาขนมมา”
ครูพงษ์พัฒน์ดึงถุงขนมไว้ “เว้ย ใจเย็นๆ คุยกันก่อน”
ปาล์มกระโดดเข้ากัดแขนครูพงษ์พัฒน์ทันที เด็กคนอื่นๆรุมกัด ครูพงษ์พัฒน์พยายามวิ่งหนีจนล้มลงไป พวกเด็กๆ กระโจนเข้ามารุมครูพงษ์พัฒน์ยั้วเยี้ยเต็มไปหมด
“เบาๆๆ ปล่อยครู..โอ๊ยย อย่ากัด..โอ้ว นั่นไม่ใช่ขนม..ครูยอมแล้ว”
ในที่สุด ปาล์มก็แย่งเอาถุงขนมไปได้
พวกเด็กๆไปรุมแย่งกันกินขนม ไม่สนใจครูพงษ์พัฒน์อีก
ครูฟ้าใสและพวกผู้ปกครองมองอยู่ในห้องฝ่ายปกครอง
“โถ ยิ่งเห็นยิ่งใจจะขาด” ครูฟ้าใสคร่ำครวญ
“คุณครูไม่ต้องดราม่า..ถ้าวันนี้พวกเราไม่เห็นการแก้ไขปัญหาที่ดีขึ้น เรื่องยาวแน่!” แม่คนหนึ่งขู่
ครูฟ้าใสหน้าซีด พวกพ่อแม่เดินออกจากห้องไป สวนกับครูสาวที่หน้าตาตื่นวิ่งเข้ามา
“ครูใหญ่ขาๆ..แย่แล้วค่ะ คือ..คุณเมทินีค่ะ ข้างนอก”
เสียงเมทินีประกาศใส่ไมโครโฟนดังทั่วบริเวณ “พ่อแม่พี่น้อง..เราจะไม่ยอมอีกต่อไปแล้ว” สิ้นเสียงของเมทินีพ่อแม่ทั้งหมดก็เฮรับ

ครูฟ้าใสกับครูสาวรีบพากันเดินออกไป ครูพงษ์พัฒน์กำลังจะเดินตามไปแต่ก็ต้องชะงัก เขาเห็นขนมสวีทโอปอล์ตกอยู่จึงเข้าไปหยิบ
“มันจะอร่อยแค่ไหนกันเชียว” ครูพงษ์พัฒน์หยิบขนมมาแตะลิ้นเพื่อชิม “อื้ม อร่อยว่ะ”

ครูพงษ์พัฒน์กินอีกเรื่อยๆ ไม่ยอมหยุด

 อ่านต่อหน้า 4 เวลา วันนี้ เวลา 18.00 น.  




 มือปราบพ่อลูกอ่อน  ตอนที่ 13 (ต่อ) 

เมทินียืนไฮปาร์คอยู่บนรถที่ติดเครื่องขยายเสียง “เราจะช่วยลูกๆของเราให้พ้นทุกข์ทรมาน” พ่อแม่ทุกคนเฮรับ “เราต้องการให้ใคร หรือหน่วยงานของรัฐหรืออะไรก็ได้ ออกมาแสดงความรับผิดชอบกับเหตุการณ์นี้ ใช่มั้ย...ลูกๆของเรา ไม่ใช่ผักไม่ใช่ปลา สนใจกันหน่อย!”

จังหวะนั้นครูฟ้าใสวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา
“คุณเมทินี..มันอะไรกันคะ” ครูฟ้าใสเหลือบไปเห็นนักข่าว “ว้าย นักข่าว อย่าถ่ายค่ะๆ”
“ครูอย่าขัดขวาง เราแค่จะชุมนุมเรียกร้องอย่างสงบ อย่าทำให้เราตกใจ ไม่งั้นเราอาจจะทุบ เผา ทำลายข้าวของได้” เมทินีขู่
“เรากำลังหาทางแก้ปัญหาอยู่ ให้เป็นหน้าที่ของโรงเรียนเถอะค่ะ” ครูฟ้าใสเจรจา
“เราจะไม่รออีกต่อไปแล้ว ในเมื่อโรงเรียนนี้ไร้ประสิทธิภาพ ปกป้องลูกน้อยของเราไม่ได้ พวกเราก็จะรวมพลังกันจัดการเอง”
“ขอร้องล่ะค่ะ อย่าทำอย่างนี้กับโรงเรียนอิชั้นเลย”
“ครูฟ้าใส” ครูพงษ์พัฒน์วิ่งเข้ามาเพื่อดูแลฟ้าใส “หน็อย พวกคุณจะทำร้ายจิตใจครูฟ้าใสมากไปแล้วนะครับ..คิดว่าเป็นพ่อเป็นแฮ่!” ฤทธิ์ยาในขนมที่ครูพงษ์พัฒน์กินเข้าไปเริ่มออก “แล้วจะทำอะไรก็แฮ่!!! ทำยังงี้” กล้ามเนื้อของครูพงษ์พัฒน์กระตุกไม่หยุด
“ครูพงษ์พัฒน์..ครูเป็นอะไร” ครูฟ้าใสถาม
“เป็นอะไร!!” กล้ามเนื้อครูพงษ์พัฒน์กระตุกเยอะขึ้น
อยู่ๆ ครูพงษ์พัฒน์ก็ร่วงลงไปนอนหงายทำท่าตะกุยๆ เหมือนเด็กๆ
“ครูพงษ์พัฒน์!” ครูฟ้าใสตกใจ เมทีนีเห็นก็รีบบอกนักข่าว
“พี่ๆนักข่าว..ถ่ายไปเลย เอาไปออกข่าว บอกให้สังคมรับรู้ความจริง..ว่านักเรียนและครูโรงเรียนนี้ กำลังตกเป็นเหยื่อขององค์กรลับ ที่ใช้ลูกๆเราเป็นหนูทดลองทางเคมี พัฒนาอาวุธชีวภาพ..อิชั้น ในฐานะผู้แทนของผู้ปกครองเด็กทุกคน..ขอเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ออกมารับผิดชอบ แก้ปัญหานี้ ภายในสามวัน” บรรดาพ่อแม่เฮรับ
“ถ้าไม่มีการแก้ปัญหานี้..อิชั้น ขอเอาเกียรติของไฮโซมหาเศรษฐีอันดับต้นๆของประเทศเป็นประกัน ว่าอิชั้นจะทำให้เรื่องนี้ใหญ่โตระดับโลกแน่..อิชั้นไม่ได้ขู่นะ แต่อิชั้นรู้จักผู้ใหญ่ในวงการสีต่างๆ..และก็มีเพื่อนไฮโซต่างประเทศเพียบ..อยากดังไปทั่วโลกก็ลองดู” บรรดาพ่อแม่เฮรับ
เมทินีปลุกระดมพวกพ่อแม่ต่อไป
“โรงเรียนชั้นพินาศก็คราวนี้” ครูฟ้าใสกลุ้มใจ

ข่าวเมทินีประท้วงโรงเรียนถูกรายงานผ่านสถานีโทรทัศน์ทุกช่อง โทรทัศน์ภายในร้านเค้กก็เปิดข่าวนี้เช่นกัน ภัทรดนัยที่อยู่ในร้านเค้กเดินงุ่นง่านพร้อมโทรศัพท์ไปด้วย
“เอ้ย...ช่วยชั้นกะไอ้กริสน์หน่อยดิ” ภัทรดนัยหน้าบึ้งทันที “น่านไง...เอาอีกแล้ว”
ภัทรดนัยรีบวางหู เค้กเดินเข้ามาหาแล้วเอ่ยถาม
“โดนดักฟัง โทรศัพท์...อีกแล้วเหรอ”
“ตำรวจที่ผมพอจะพึ่งได้ไปเป็นพวกมาวินหมดแล้ว ไม่รู้จะไปพึ่งใครแล้วอ่ะ”
ภัทรดนัยและเค้กเซ็ง ทั้งสองหันไปดูทีวี ผู้ประกาศข่าวกำลังรายงานข่าว
“สถานการณ์ของอาการประหลาดที่กำลังเกิดขึ้นกับเด็กนักเรียนทั่วประเทศขณะนี้ กำลังลุกลามมากขึ้นนะคะ..ภาพที่คุณผู้ชมเห็นขณะนี้ เป็นโรงเรียนชื่อดังแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นจุดที่นักเรียนมีอาการนี้มากที่สุด..และหนึ่งในนั้น มีลูกชายหัวแก้วหัวแหวน ของคุณเมทินี เศรษฐินีอันดับต้นๆของประเทศ..เราลองไปฟังกันดู”
ตัดภาพไปเมทินีกำลังประกาศว่าจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด
“ยัยเมทินี..มีเส้นสายเยอะขนาดนั้นเลยเหรอ” ภัทรดนัยตกใจ
“รวยขนาดนี้รู้จักคนแทบทั้งประเทศละมั้ง” เค้กบอก
“เส้นสายเยอะ” ภัทรดนัยนิ่งคิด “เอ้ย...คิดออกแล้ว”
ภัทรดนัยรีบวิ่งไปหลังร้านทันที เขาวิ่งสวนกับเต๋าและเต้ยที่เดินถือเค้กกับน้ำออกมาเสิร์ฟแขก
“ต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับคุณกริสน์แน่ๆ” เต๋าพูดแล้วหันไปมองภัทรดนัย
“ออกอาการดี๊ด๊าอย่างนั้น ชั้นชักไม่แน่ใจว่าสองคนนี้เป็นแค่เพื่อนกันธรรมดา” เต้ยสัณนิษฐาน
“หน็อย ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับคุณกริสน์ ชั้นต้องรู้ให้ได้” เค้กบอก
“พวกเราด้วย” เต๋ากับเต้ยประสานเสียง
ทันใดนั้น ภัทรดนัยก็วิ่งกลับเข้ามาในร้านแล้วเอ่ยถาม
“เต๋าเต้ยติดต่อไอ้กริสน์กับคุณพิมได้ไหม”
เต๋ากับเต้ยส่ายหัว
“โอ๊ย....ติดต่อมันไม่ได้ แล้วจะช่วยมันยังไงละเนี้ย” ภัทรดนัยกลุ้มใจ

รถกระบะที่พิมมาดาขับวิ่งมาตามทาง อยู่ๆ รถก็เริ่มสะดุดเครื่องยนต์สั่นตะกุกตะกักแล้วก็หยุดลง พิมมาดาที่เป็นคนขับบ่นออกมา “ว๊าย...น้ำมันหมด...ทำไมซวยอย่างงี้”
กริสน์หันซ้ายหันขวา “เด็กๆ...ลงเดิน”
พิมมาดาก้าวลงมาจากรถด้วย “แล้วจะเดินไปไหน”
“ทางนั้น” กริสน์ชี้ไปตามทาง
“ทางนั้นไปไหนอ่ะน้ากริสน์” แจ๊สถาม
“เดินไกลไหมครับ” โจ๊กอยากรู้
“จีจ้าหิวน้ำค่ะ”
“นายเคยมาเหรอแถวนี้น่ะ” พิมมาดาถามกริสน์
“ไม่เคย” กริสน์ตอบเรียบๆ
“อ้าว!” ทุกคนร้องพร้อมกัน
“ก็ต้องไปล่ะ อยู่ตรงนี้จะรอรถลีมูซีนมารับเหรอ...โทรศัพท์มีหรือเปล่าครับคุณพิม”
“มีอะไรล่ะ...โดนไล่ยิงจนล้มทับพังไปหมดแล้ว” พิมมาดาบอก
“นั่นล่ะคำตอบ...ไปๆ เด็กๆ เดินๆ ก่อนที่พวกมันจะตามมาเจอ” กริสน์สั่ง
แล้วทั้งหมดก็ตัดสินใจเดินตามกริสน์ไป

กริสน์เดินนำ เขาแหวกพงหญ้าที่สูงท่วมหัวแล้วลัดเลาะไปตามทาง แจ๊ส จีจ้า และโจ๊กเดินตามหลัง โดยมีพิมมาดาเดินปิดท้าย
“จีจ้าหิวน้ำ!” จีจ้าบ่นขึ้นมาอีกครั้ง
“อีกนิดนึงนะจีจ้า เดี๋ยวน้าจะหาน้ำให้ดื่ม” กริสน์หันไปบอก
“โอ๊ย!” แจ๊สร้อง
พิมมาดารีบเข้ามาดู “แจ๊ส..เป็นอะไร..ตายแล้ว นี่โดนหญ้าบาดขาเลือดไหลเลย”
“ขาแจ๊สเป็นลายหมดแล้ว แจ๊สไม่เดินแล้ว” แจ๊สพูด
“อย่าทำตัวงี่เง่าน่ะ เดิน!” โจ๊กบอกพี่สาว
“ไม่เดิน”
“บอกให้เดิน!” โจ๊กเข้ามาผลักแจ๊ส
“อย่ามาผลัก ชั้นเป็นพี่นายนะ”
“งั้นก็ทำตัวให้สมเป็นพี่หน่อยสิ เดินไป” โจ๊กว่าแล้วก็ผลักอีก
“บอกว่าอย่าผลักๆๆๆๆ กรี๊ด!”
แล้วโจ๊กกับแจ๊สก็ทะเลาะกัน
“จีจ้าหิวน้ำอ่า หิวๆๆๆ” จีจ้าบ่นขึ้นมา
“ทุกคน..เงียบ!” กริสน์สั่ง
เด็กๆ ยังแผดเสียงต่อไปไม่หยุด โจ๊กกับแจ๊สทั้งทุบตีทั้งผลักและกระชากกัน
“ทุกคน..น้าของร้องล่ะ..ช่วยสงบสติอารมณ์กันหน่อย” กริสน์ขอร้อง
เด็กๆ ยังคงไม่เชื่อฟัง พิมมาดามองหลานๆ แล้วกลั้นใจร้องกรี๊ดออกมาดังๆ “กรี๊ด”
ทุกคนตกใจและหุบปาก เด็กๆ รวมทั้งกริสน์หันมาทางพิมมาดาทันที
“ยังจะทะเลาะกันเองอีก ยังไม่รู้ตัวกันอีกใช่ไหม ว่าที่ผ่านมา ทุกคนโชคดีแค่ไหน ที่รอดชีวิตมาได้ เราไม่ได้อยู่ชีวิตประจำวันนะ จะได้มาทำตัวง๊องแง๊งแบบนี้ ทุกคน..โตได้แล้ว เราต้องสามัคคีกัน เพื่อผ่านพ้นอุปสรรคไปให้ได้สิ” พิมมาดาบอก
กริสน์ทึ่ง “วาว..น้าพิมพูดมีเหตุผลนะ”
ทุกคนอึ้ง
“ขอให้ทุกคนสำนึกตัวไว้เสมอ ว่าเวลานี้ น้าคือเจ้าแม่ยาเสพติด ร้านถูกตำรวจยึด หลานๆออกจากโรงเรียน..เงินจะซื้อข้าวกินยังไม่มี จะโทรให้ใครมาช่วยก็ไม่ได้ เหลือแต่ตัวเปล่าๆ ไม่มีอะไรเลย หนีเสือ ก็ปะจระเข้ เพราะน้าไม่ดี น้ามันโง่ โดนหลอก..โดนทั้งตำรวจและผู้ร้ายหลอก” พิมมาดาพูดเป็นชุด
“โอ๊ย..รู้สึกว่าโดนพาดพิงยังไงไม่รู้..คุณพิม ผมขอโทษ” กริสน์มีท่าทีอ่อนโยนลง “เด็กๆทุกคน น้าผิดเอง ที่น้าไม่มีความสามารถพอที่จะกระชากหน้ากากผู้ร้ายออกมาได้... แต่น้าขอเอาชีวิตน้าเป็นเดิมพัน น้าขอสัญญาว่าอีกไม่นาน ชีวิตของทุกคน จะกลับมาเป็นปกติ กลับไปอยู่ที่จุดเดิม”
“จุดเดิม..คือจุดไหน” พิมมาดาทำขรึม
“จุดเดิม..คือจุดที่ ชีวิตของคุณกับหลานๆ..อยู่กันมาอย่างปกติสุข ก่อนที่..ผม..จะเข้ามาทำให้คุณเดือดร้อน”
“หยุดพูดเถอะ ถ้าจะมีคนผิด ก็ชั้นแหละที่ผิด”
“พอๆๆๆ ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาแย่งกันเป็นคนผิด เอ้า...ไป เดินต่อ อย่าท้อถอย”
กริสน์พูดแล้วอุ้มจีจ้าขึ้นขี่หลัง จากนั้นก็จูงโจ๊กไป ส่วนพิมมาดากับแจ๊สยังคงยืนอึ้งอยู่ กริสน์จะเดินไปแต่แล้วก็ชะงักหันกลับมาหาพิมมาดากับแจ๊ส “คืนนี้ ท่าทาง แถวนี้ งู หนู ตะขาบ ตุ๊กแก คงจะยัวเยี้ย แล้วเผลอๆ อาจจะมีผีด้วย” พูดจบกริสน์ก็เดินไปทันที
พิมมาดากับแจ๊สมองหน้ากัน ทีแรกทั้งคู่ยังไม่ยอมไป แต่พอเห็นกริสน์กับโจ๊ก และจีจ้าลับสายตาไป แจ๊สก็เริ่มหวั่นใจจึงออกวิ่งนำไปก่อน
“รอด้วยๆ” พิมมาดาตะโกนแล้วรีบตามไปอีกคน

รถไฟแล่นผ่านไป อธิปกับเดชนั่งหน้าซีดอยู่ข้างทางรถไฟเพราะเจ็บแผลที่ถูกยิง สักพัก โอปอล์ก็วิ่งมาแต่ไกล เธอถือถุงก๊อปแก๊ปที่ใส่ยาและอุปกรณ์ทำแผลมาด้วย
“ยามาแล้วค่ะๆ”
“คุณหนูโอปอ เก่งที่สุดเลยครับ อูย” เดชเจ็บแผล
“พี่เดชรีบทำแผลให้ป๊าเร็วๆ” โอปอล์บอก
“ทำแผลให้ตัวเองก่อนเถอะ..ของชั้น มันแค่เฉี่ยวๆ แต่ของแก ท่าจะโดนจังๆ” อธิปบอก
“ให้ผมทำให้เสี่ยก่อนเถอะครับ..ของผมยังพอไหวครับ แต่ของเสี่ยสิครับ เสียเลือดไปมากแล้ว”
“งั้นแกทำให้ชั้น ชั้นทำให้แก ทำไปพร้อมๆกันเลย..โอปอล์ อันนี้ เรตน.สิบแปดบวก แปลว่าเด็กห้ามดู หลับตานะคะ” อธิปบอกลูกสาว
“ค่ะ” โอปอล์ปิดตาตัวเองแต่ปากยังถาม “ป๊าขา แล้ว..เราจะไปไหนกันต่อคะ”
“ป๊าจะต้องหาทางติดต่อนายกรดให้ได้ เราต้องช่วยนายกรด ทำให้ความจริงปรากฏ พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าขนมสวีทโอปอล์มียาเสพติด และก็ลากคอคนเลวตัวจริงมารับโทษ....ไม่อย่างนั้น พวกเราไม่มีวันได้อยู่อย่างสงบสุขแน่ๆ” อยู่ๆ อธิปก็สะดุ้งโหยง “อูย ซี้ด” อธิปหันไปเห็นเดชกำลังเอาแอลกอฮอล์เช็ดแผลของเขาอยู่ “แกจะไม่ให้ซุ่มให้เสียงก่อนเลยเหรอไง”
“แสบเหรอครับ ไหวมั้ยครับเสี่ย” เดชถาม
“ชั้นไหว” อธิปเอาแอลกอฮอล์เช็ดคืนบ้าง “แล้วแกล่ะ ไหวมั้ย”
“โอ้ว ไหวว” เดชร้อง
เดชกับอธิปผลัดกันเอาแอลกอฮอล์เช็ดแผลให้อีกฝ่าย และต่างก็ผลัดกันร้องซี้ดซ้าดไปมา

จีจ้ายังขี่หลังกริสน์ที่เดินนำไปเรื่อยๆ โจ๊กเดินตามกริสน์ พิมมาดาและแจ๊สเดินตามมาห่างๆ ด้วยท่าทางอิดโรย
“นายกริสน์...ชั้นกับแจ๊สไม่ไหวแล้ว หยุดก่อนได้ไหม๊” พิมมาดาบอก
กริสน์หยุดเดิน โจ๊กหยุดตาม ทั้งคู่ยืนนิ่งไม่หันมาหาพิมมาดา
“เราพักกันก่อนเถอะ เด็กๆหมดแรงแล้ว” พิมมาดาขอ
พิมมาดาและแจ๊ส เดินมาจนจุดที่กริสน์และโจ๊กหยุดยืนอยู่ พิมมาดามองผ่านกริสน์และเด็กๆไปข้างหน้า “เฮ้ย นั่น”
พิมมาดาชี้ให้กริสน์ดู ไกลออกไปมีบ้านคนตั้งอยู่หนึ่งหลังโดดเดี่ยว
“บ้าน..บ้าน เรารอดตายแล้วๆ” พิมมาดาดีใจ
“เห็นแล้ว...ถึงหยุดยืนดูอยู่นี่ไง” กริสน์บอก
พิมมาดาดีใจจนเผลอเข้าไปกอดกริสน์ พอรู้สึกตัวเธอก็รีบผละออก

กริสน์เดินเข้ามาด้อมๆมองๆ ที่ประตูบ้านหลังนั้น พิมมาดายืนกอดเด็กๆ อยู่ที่มุมหนึ่งห่างออกไป ด้วยท่าทางระมัดระวัง
กริสน์ตัดสินใจเคาะประตู “ขอโทษครับ..มีใครอยู่มั้ยครับ..” รอสักพักแต่ก็เงียบ “มีใครอยู่มั้ยครับ”
ยังไม่มีเสียงตอบออกมา กริสน์จึงตัดสินใจค่อยๆดันบานประตูเข้าไป จนประตูเปิดออก กริสน์ชะโงกหน้าเข้าไป “มีใครอยู่มั้ยครับ..พวกเรามาดีนะครับ”
อยู่ๆ ก็มีขวานพุ่งมาปักตรงเสาที่ประตูใกล้ๆกับหน้าของกริสน์ กริสน์ถึงกับขวัญเสีย เขามองเข้าไปเห็นชายแก่หน้าโหดคนนึงยืนอยู่ด้วยท่าทางไม่ไว้ใจ
“แกเป็นใคร!” ชายแก่ถาม
“เอ่อ..ผม..รถเสียน่ะครับ เลยว่าจะเดินหาที่เติมน้ำมัน แต่ดันหลงทาง” กริสน์ตอบ
“หลงทางเหรอ” ชายแก่มองกริสน์แบบหัวจรดเท้า
“กระเป๋าก็หาย มือถือก็ไม่มีครับ” กริสน์พูดเสริมแล้วทำหน้าน่าสงสาร
“มาคนเดียวเหรอ?” ชายแก่ถามต่อ
กริสน์ส่ายหน้าแล้วชี้ให้ดูพิมมาดาที่หลบอยู่ที่มุมแล้วพิมมาดากับเด็กๆ ก็โผล่ออกมาทำหน้าน่าสงสาร

จีจ้า โจ๊ก และแจ๊สนั่งกินข้าวผัดอย่างเอร็ดอร่อย พิมมาดาเขี่ยข้าวในจานเพราะไม่กล้ากิน
“กินสิคุณ..เสียมารยาท” กริสน์บอก
“เดี๋ยวชั้นก็กินเองนั่นแหละ”
ชายแก่เดินถืออาหารและผลไม้กับน้ำดื่มเข้ามาวางให้อีก
“เอ้า ผัดมาเพิ่ม เพื่อใครอยากเติมข้าวอีก” ชายแก่บอก
จีจ้ารีบจ้วงข้าวในจานเข้าปากจนหมดแล้วพูดด้วยเสียงอู้อี้ “เติมค่ะๆ”
“จะกินอะไรมากมาย..เกรงใจคุณลุงบ้าง” พิมมาดาดุ
“ไม่ต้องเกรงใจ..ข้าอยู่นี่ก็ไม่ค่อยได้เจอใคร โทษทีนะที่ไม่ค่อยมีอะไรให้กิน” ชายแก่บอก
“แค่นี้ก็เยอะเกินพอแล้วครับ” กริสน์พูด
ชายแก่เหลือบไปเห็นพิมมาดาไม่ยอมกินอาหารก็พูดขึ้น “ไม่มียาพิษหรอก”
“คะ?” พิมมาดารับคำ
“ข้าวผัด กินได้ ไม่มียาพิษ จะให้ข้าชิมให้ดูก่อนมั้ย” ชายแก่ถาม
“เปล่านะคะ พิมไม่ได้”
ชายแก่พูดเสร็จก็เอาช้อนที่วางอยู่บนโต๊ะมาตักข้าวผัดจากจานของพิมมาดามากิน พิมมาดาหน้าเหวอ ชายแก่เคี้ยวพลางถาม “รังเกียจของคนจนเหรอ หรือว่ามันน่าขยะแขยงจนกินไม่ลง”
“ค่ะ...กินค่ะ...กินๆๆ” พิมมาดารีบจ้วงกิน “อร่อยม๊ากมากเลยค่ะ”
“เอา...เดี๋ยวกินเสร็จก็ไปล้างเนื้อล้างตัวซะ มอมแมมเหลือเกิน แล้วถ้าอยากนอนก็กระท่อมท้ายสวนตรงโน้น แต่ถ้ากลัวข้า...ก็ไม่ต้องนอน อยากไปต่อก็ไป ตามสบาย” ชายแก่พูดแล้วเดินแยกออกไป

พิมมาดาอยู่ในชุดกระโจมอกด้วยผ้าขาวม้ากำลังถูหน้าที่เปื้อนมอมแมมให้แจ๊สและจีจ้าซึ่งใส่ผ้าขาวม้าเหมือนกัน ทั้งสามนั่งเรียงแถวตรงหน้า
อีกมุมนึง กริสน์ก็กำลังขัดแขนขัดขาให้โจ๊กอย่างแรง ทั้งสองก็นุ่งผ้าขาวม้าเช่นกัน
สักพัก กริสน์ก็แอบชะโงกดูพิมมาดา เขาเห็นพิมมาดากำลังสระผมให้หลานสาว เธอเริ่มยิ้มแย้ม หยอกเย้า และเล่นแชมพูกับหลานๆ
จากนั้นไม่นาน พิมมาดาก็แอบชะโงกดูกริสน์ เธอเห็นกริสน์กำลังเอาเปลือกมะพร้าวมาทำแปรงสีฟันแล้วถูฟันตัวเองให้โจ๊กดู โจ๊กก็ทำตาม

หลังจากอาบน้ำเสร็จ พิมมาดาที่สวมชุดเดิมแต่หน้าตาและผมสะอาดสะอ้านออกมายืนตากผ้าขาวม้า 3-4ผืนบนราวที่อยู่รอบๆกระท่อม
สักพัก พิมมาดาก็ก้าวเข้ามาในกระท่อมที่มีตะเกียงจุดไฟสลัว เด็กๆ กำลังนอนหลับอยู่รอบตัวกริสน์ ส่วนกริสน์นั่งปัดยุงให้เด็กๆอย่างใส่ใจ พิมมาดายืนมองภาพดังกล่าวอย่างนิ่งอึ้ง
“คุณไปนอนเถอะ เดี๋ยวชั้นปัดยุงให้หลานเอง” พิมมาดาเสียงอ่อนลง
“คุณก็นอนเถอะ เดี๋ยวผมปัดยุงให้” กริสน์บอก
พิมมาดาหย่อนก้นนั่งพิงข้างฝา “ชั้นไม่นอน ตาลุงจะไว้ใจได้แค่ไหนไม่รู้” เธอยกหัวโจ๊กมาหนุนตักตัวเอง
“นอนเถอะคุณ” กริสน์บอก
“ชั้นไม่นอน”
“แน่ใจ๋?...งั้นอย่านอนนะ ราตรีสวัสดิ์”
กริสน์ล้มลงนอนแล้วแกล้งหลับตา พอรู้พิมมาดายังนั่งอยู่จึงลืมตาขึ้นมา
“ไม่ง่วง หรือง่วงแต่ไม่นอน..จะแบบไหน ก็นอนเถอะคุณ ไม่ต้องอวดเก่งหรอก แล้วก็ไม่ต้องกลัวด้วย เพราะผมจะนั่งเฝ้าให้เอง ผมจะไม่ให้ใครหรืออะไรมาทำร้ายคุณกับเด็กๆได้แน่..เชื่อใจผมเถอะ”
“อย่าเซ้าซี้ได้มั้ย บอกว่าไม่นอน ก็คือไม่นอน”
“โอเคๆ ตามใจ”
กริสน์นิ่งไปสักพักแล้วเอ่ยชมพิมมาดา
“คุณนี่เก่งนะ หนีกระสุนหลบระเบิด แล้วยังทั้งวิ่งทั้งเดิน จนมาถึงนี่ แต่ยังมีแรงนั่งตั้งฉากกับพื้นได้อีก สุดยอด”
กริสน์หันมาอีกทีก็พบว่าพิมมาดานั่งหลับไปแล้ว หัวของเธอค่อยๆไถลลงมาซบที่บ่าของกริสน์ ซึ่งกริสน์ก็ปล่อยให้ซบอย่างนั้น “อ้าว..นึกว่าแน่”
กริสน์มองพิมมาดาและเด็กๆ ที่หลับสนิทแล้วก็ยิ้มอย่างสุขใจ สักพักสีหน้าและแววตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นเศร้าหมองเพราะคิดถึงเรื่องยุ่งยากใจ

เช้าวันใหม่ กริสน์ พิมมาดาและเด็กๆ นอนหลับเป็นตาย ประตูกระท่อมเปิดออก เงาของชายแก่พาดไปที่หน้าของจีจ้า จีจ้าลืมตาขึ้นมามอง เธอเห็นร่างดำตะคุ่มๆ ของชายแก่ยืนอย่างน่ากลัวอยู่ที่ประตู

หลังจากนั้น หัวของพิมมาดาก็ตกจากไหล่กริสน์ เธอเลยได้สติตื่นขึ้นในอ้อมกอดของกริสน์ ทีแรกพิมมาดายิ้ม แต่เมื่อเธอมองไปที่มือตัวเองและพบว่ากำลังกุมมือใครบางคนอยู่ พิมมาดาก็ทำหน้างงๆ และเพิ่งตระหนักได้ว่ากำลังกอดใครบางคนอยู่ พิมมาดาเงยหน้ามองให้ชัดๆ แล้วก็ต้องผงะเพราะเธอเพิ่งรู้ว่ากอดกริสน์อยู่
“เฮ้ย!!! ไอ้คนเลว คนฉวยโอกาส นี่แน่ะๆ”
“เฮ้ย อะไรคุณ” กริสน์งัวเงียตื่น
“นายมากอดชั้น จับมือชั้นทำไม แต๊ะอั๋งชั้นเหรอ”
“ผมจะไปอยากจับมือคุณทำไม..จะบอกให้ว่าเมื่อคืน คุณหลับแล้วก็มาซบบ่าผม ผมยังไม่ว่าสักคำ”
กริสน์กับพิมมาดากำลังเถียงกันหน้าดำหน้าแดง แต่แล้วทั้งคู่ก็ต้องชะงัก
“เด็กๆหายไปไหน” พิมมาดาทักขึ้น
“แจ๊ส โจ๊ก จีจ้า” กริสน์ตกใจ
ทั้งคู่ลุกพรวดออกมาจากกระท่อม และตะโกนเรียกเด็กๆเสียงหลง “แจ๊ส โจ๊ก จีจ้า”
เด็กๆ ทั้งสามวิ่งพ้นต้นไม้มาพลางร้องวี้ดว้าย โดยมีชายแก่วิ่งตามมา
“เกิดอะไรขึ้นเด็กๆ” พิมมาดาถาม
“ลุงจะทำอะไรน่ะ” กริสน์ถามเอาเรื่อง
“จะทำอะไรล่ะ ก็เอาหนอน” ชายแก่ยกหนอนในมือให้ดู “แหย่เด็กๆเล่นสนุกๆ”
“ใช่....หนอน น่ากลัวมากเลยน้าพิม” จีจ้าบอก
กริสน์และพิมมาดาหน้าเหวอ
“น้ากริสน์ ลุงเค้าเล่นกะเรา” โจ๊กบอก
“แถมเมื่อเช้ายังมาปลุกพวกเราไปกินอาหารเช้าแล้วด้วย” แจ๊สเสริม
“เหรอค่ะ...ขอบคุณนะคะและขอโทษด้วยค่ะ” พิมมาดาขอโทษ
“ไม่เป็นไร... ข้าเข้าใจ..เออ..ตื่นก็ดีแล้ว แล้วพวกเอ็งจะเอายังไงกันต่อ” ชายแก่ถาม

ภัทรดนัยกำลังเช็ดแก้วให้สะอาดอยู่ในร้านเค้ก เขาเอาแก้วเรียงเข้าที่ แต่สายตายังพะวงอยู่กับโทรศัพท์ที่ร้าน ส่วนเค้กยืนอยู่ที่แคชเชียร์ เต๋ากับเต้ยกำลังรับออเดอร์จากลูกค้า ทุกคนทำงานแต่ก็ไม่วายแอบสังเกตพฤติกรรมของภัทรดนัยตลอดเวลา
ทันใด โทรศัพท์ก็ดังขึ้น ภัทรดนัยรีบบอก “ผมรับ”
“ชั้นรับเอง!” เค้กพุ่งมาคว้าโทรศัพท์ตัดหน้า “สวัสดีค่ะ..คุณกริสน์! คุณกริสน์ยังสบายดีใช่มั้ยคะ เป็นยังไงบ้าง ตอนนี้อยู่ที่ไหน”
อีกด้านหนึ่ง กริสน์กำลังพูดโทรศัพท์มือถืออยู่
“คุณเค้ก ผมยังไม่มีเวลาอธิบาย ช่วยเรียกไอ้ภัทรดนัยมาพูดก่อน ผมมีเวลาน้อย”
“แต่เค้กเป็นห่วงคุณนะคะ ห่วงยัยพิมด้วย..ค่ะๆๆๆ เค้กไม่คุยแล้ว” เค้กส่งโทรศัพท์ให้ภัทรดนัย “เอ้า คุณกริสน์เค้าจะพูดกับนาย”
ภัทรดนัยกำลังจะรับสาย แต่เต้ยวิ่งมารับสายตัดหน้า
“สวัสดีค่ะคุณกริสน์ คุณพิมกะเด็กๆ เป็นยังไงบ้าง สบายดีไหม”
“คิดถึงใจจะขาดแล้ว” เต๋าพูดแทรก
กริสน์ท่าทางร้อนใจ “ไปเรียกไอ้ภัทรดนัยมาคุย.. เร็วๆ”
เต๋าส่งโทรศัพท์ให้ภัทรดนัย “เอ้า คุณกริสน์จะคุยกับหล่อน”
ภัทรดนัยรับสาย “เออ รอจนจะหัวใจวายแล้ว..ได้ๆ แกจะให้ชั้นไปรับแกที่ไหน ..ห๊า!! แกไปทำอะไรที่นั่นวะ”
ภัทรดนัยวางสายแล้วรีบร้อนออกไปนอกร้านทันที
กริสน์คืนมือถือให้ชายแก่ แล้วพูดกับชายแก่
“คุณลุงคือเทวดามาโปรดจริงๆ”
“คุณลุง คุณลุงใจดีที่สุดในโลกเลยค่ะ” พิมมาดาบอก
ทั้งสองมองหน้ากัน แล้วนั่งลงไหว้ชายแก่ เด็กๆ ทำตามกันสลอน
“ขอให้ลุงเจริญๆครับ” โจ๊กอวยพร
“แจ๊สจะไม่ลืมบุญคุณคุณลงเลย”
“จีจ้าขอสัญญาค่ะ ว่าจีจ้าจะเป็นเด็กดีตลอดไปค่ะ”
ชายแก่ยิ้มพร้อมกับน้ำตาคลอ
“ขอให้เอ็งครองรักกันไปจนแก่เฒ่า ผลิตลูกๆดีๆ เก่งๆแบบนี้ออกมาอีกเยอะ ประเทศเราจะได้เจริญๆ”
กริสน์กับพิมมาดามองหน้ากัน แล้วต่างฝ่ายต่างก้มหน้าเพราะทำหน้าไม่ถูก


ภัทรดนัยรีบออกมานอกร้าน แต่เค้ก เต๋า และเต้ยรีบวิ่งมาขวางไว้
“นายจะไปหาคุณกริสน์ใช่มั้ย..ชั้นไปด้วย” เค้กบอก
“คุณไปไม่ได้” ภัทรดนัยเสียงแข็ง
“ทำไมจะไปไม่ได้ ชั้นเคยช่วยนายหลอกล่อพวกตำรวจนอกเครื่องแบบมาแล้ว ชั้นช่วยนายได้แน่ๆ” เค้กบอก
เต๋ากับเต้ยเข้ามาขวาง “พวกเราจะไปด้วย”
“งานนี้มันไม่เหมือนงานที่แล้ว ไม่มีใครช่วยได้ ถึงช่วยได้ก็ไม่เอา และที่สำคัญชั้นไม่ต้องการคนช่วย ..กลับไปที่ร้าน”
“ไม่กลับ!” ทั้งสามคนประสานเสียง
“ถ้าไม่มีใครเฝ้าร้าน แล้วถ้าไอ้กริสน์มา จะทำยังไง” ภัทรดนัยถาม
“คุณกริสน์จะมาร้านเหรอ” เค้กเริ่มตื่นเต้น
“ก็ใช่น่ะสิ..ชั้นจะไปทำภารกิจอื่น ส่วนนายกริสน์จะมาที่นี่ ถ้าอยากเจอนายกริสน์ก็อยู่รอที่ร้านนี่แหละ”
“ไม่จริง นายกำลังหลอกพวกเรา ใช่มั้ย”เต๋าพูดดัก
“คิดว่าพวกเรารู้ไม่ทันเหรอ” เต้ยเสริม
“ถ้าพวกนายไม่เชื่อก็ตามใจ แต่ถ้ากริสน์มาแล้ว ไม่เจอใคร เข้าร้านไม่ได้ แล้วมันหนีไปซ่อนตัวที่อื่น ก็อย่ามาโวยวายแล้วกัน” ภัทรดนัยเปิดประตูขึ้นรถไป “เอ้า ใครจะไป หรือไม่ไป ผมให้เวลาคิด สิบวิ ไม่งั้นไม่รอแล้ว”
ภัทรดนัยปิดประตูแล้วเปิดกระจกพร้อมกับนับถอยหลัง “สิบ..เก้า..”
“ชั้นว่าหลอกร้อยเปอร์เซ็นต์ คุณกริสน์ไม่ได้จะมาที่นี่แน่” เต๋าเริ่มวิเคราะห์
“แต่ถ้ามาล่ะ”เค้กสวน
“ไม่มีหรอก ยังไงชั้นก็จะไปด้วยแน่”
ระหว่างที่เค้ก เต๋า และเต้ยกำลังหารือกันว่าจะตัดสินใจยังไง ภัทรดนัยก็ย้ายจากที่นั่งคนขับ ข้ามไปออกประตูที่นั่งข้างคนขับแล้วก้มหัว แอบคลานออกไปทันที
“สรุปว่าพวกเราจะไปทั้งหมด”เต้ยพูด
แล้วเค้ก เต๋า และเต้ยก็เปิดประตูขึ้นไปนั่งในรถ
“ออกรถได้เลย!” เต๋าสั่ง
-แต่ทั้งสามเห็นว่าไม่มีคนขับ เพราะภัทรดนัยหายไปแล้ว
“กรี๊ดๆๆๆ หายไปไหน หายไปได้ยังไง..นายภัทรดนัย ชั้นเกลียดนาย!” เค้กแค้น

ปาล์มถูกจับกางแขนกางขามัดขึงพืดกับหัวเตียง “ปล่อย!!!!! บอกให้ปล่อย!”
เมทินีเดินกลับเข้ามาในบ้านด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อน เมื่อเห็นปาล์ม เธอก็รีบถลาเข้าไปข้างเตียง “โถ ลูกปาล์มของหม่ามี้..อย่าดิ้นนะคะ ยิ่งดิ้นก็ยิ่งเจ็บเปล่าๆ..มันอาจจะทรมาน แต่อดทนหน่อยนะคะ หม่ามี้กำลังทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยลูกปาล์มให้เป็นปกติอยู่นะ”
ปาล์มอ้อนวอนอย่างมีมารยา “หม่ามี้ ปาล์มเจ็บ ปล่อยปาล์มนะครับ แขนปาล์มจะหลุดอยู่แล้ว หม่ามี้ทำกับลูกชายตัวเล็กๆคนนี้ได้ยังไง..หม่ามี้ไม่สงสารปาล์มแล้วหร๋อ”
“ค่ะๆ หม่ามี้จะปล่อย”
“ไม่ได้นะคะคุณผู้หญิง อย่าใจอ่อน” แม่บ้านรีบเข้ามาเตือน
“ลูกปาล์มขา” เมทินีร้องไห้ “หม่ามี้ปล่อยไม่ได้ ไม่อย่างนั้นลูกปาล์มจะไม่หาย หม่ามี้ขอโทษนะคะ” เมทินีผละออกมา แล้วก็เซเหมือนหน้ามืด
“คุณผู้หญิง” แม่บ้านรีบมาประคอง “อุ่นว่า คุณผู้หญิงขึ้นห้องไปพักบ้างเถอะค่ะ กลางวันประท้วง กลางคืนดูลูก มันไม่ไหวนะคะ”
“หม่ามี้ขอโทษ” เมทินีพูดแล้วเดินออกจากห้องไป
“หม่ามี้ แฮ่!” ปาล์มตะโกน

เมทินีกลับเข้ามาในห้อง โดยที่เธอยังสะอื้นอยู่ ท่าทางของเมทินีเหนื่อยอ่อนเป็นอย่างมาก เธอโยนกระเป๋าถือทิ้งไป แล้วถอดเครื่องประดับโยนไป จากนั้นก็นั่งพักที่ปลายเตียง เมทินีถอนหายใจ แล้วก็รู้สึกว่ามีลมพัด
“ลม” เมทินีหันไปเห็นหน้าต่างเปิดอยู่ “อ้าว”
เมทินีเดินไปปิดหน้าต่าง เธอเหลือบเห็นเงาคนสะท้อนอยู่ในกระจกหน้าต่าง เมทินีเพ่งมองก็เห็นพวกกริสน์ยืนอยู่ “คุณกริสน์!” เมทินีจะวิ่งไปหา แต่ก็ต้องชะงักเพราะมีคนอื่นๆ ยืนอยู่ด้วย “นี่มันเรื่องอะไรกันค่ะเนี่ย?”
“นีครับ..ผมมีเรื่องอยากให้นีช่วยหน่อยนะครับ”
กริสน์พูดกับเมทินีด้วยท่าทีและน้ำเสียงจริงจัง 

 อ่านต่อตอนที่ 14  พรุ่งนี้ (4 ก.พ. 55) เวลา 9.30 น.  



กำลังโหลดความคิดเห็น