xs
xsm
sm
md
lg

อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว ตอนที่ 10

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว  ตอนที่ 10 

ในที่สุดภวัตก็ฟังทาฮิร่าเล่าเรื่องประหลาดล้ำเกี่ยวกับแนนนี่จนจบ และต้องทำเป็นเออออห่อหมกไปด้วย

“เนี่ย! เรื่องมันก็เป็นแบบเนี้ย เธอว่าฉันจะทำยังไงดี....นายภวิต”
“ผมชื่อ ภวัตครับ กรุณาเรียกให้ถูกด้วย”
“อ้ะ เรียกถูกก็ไม่ให้ฉันน่ะซิ” ทาฮิร่าลงนั่งระบายต่อ “ทุกวันเนี่ย ...ฉันกลุ๊ม...กลุ้มนี่ถ้าส่งตัวแนนนี่ให้ท่านหัวหน้าไปตั้งแต่ตอนนั้น ....ฉันก็คงไม่ต้องมานั่งกลุ้มอยู่ยังงี้”
“ผมว่าคุณยายอาจจะยิ่งกลุ้มมากกว่าเดิม” ภวัตว่าไปโน่น
“หือ....” ทาฮิร่าแปลกใจ
ภวัตมองสบตาทาฮิร่าด้วยสีหน้าและแววตาอันอ่อนโยน
“คุณยายเป็น คุณ...เอ๊ยแม่มดที่มีเมตตากรุณา....มีจิตใจดี ถ้าหากเธอมอบตัวแนนนี่ไป...คุณยายจะรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต”
“นี่เธอยกยอฉันเรอะ” ทาฮิร่าชักจะเขินๆ
“ผมพูดความจริงครับ”
ทาฮิร่ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็กลับขรึมลงไป
“แล้วตอนนี้เราจะทำยังไงกันดี ในเมื่ออสูรน้อยแนนนี่มีอิทธฤทธิ์มากขึ้นทุกวัน”
ภวัตวางมาดขรึมตาม “จะถึงขนาด...เอ้อ...กินคนมั้ยครับ
“ไม่ได้กินเนื้อหนัง...พวกอสูรจะกินจิตวิญญาณ...มันจะกัดกร่อนภายในจนภายนอกตายซาก” ทาฮิร่าพูดซีเรียส
“ถึงอย่างนั้นเชียวหรือครับ” ภวัตสะดุ้ง
“ฮื่อ ! แล้วเธอคิดว่าฉันสมควรจะกังวลมั้ยล่ะ”
“สมควรกว่าที่คิดครับ...ผมจะลองพาแนนนี่ไปพบจิตแพทย์”
“ใครนะ” ทาฮิร่าตกใจ
“จิตแพทย์ครับ เขาอาจจะช่วยแนนนี่ได้”
“ชื่อพิลึก แล้วนายคนนั้นเขาอยู่ที่ไหน”
“อยู่โรงพยาบาลครับ”
ทาฮิร่าผุดลุกขึ้นทันที
“หา! อยู่กับยมบาล นี่เธอจะพาหลานฉันไปให้ยมบาลเรอะ นายภวิต”
“โรงพยาบาลครับ ไม่ใช่ยมบาล แล้วผมก็ชื่อภวัต...” ภวัตเว้นระยะอีกนิดหนึ่ง “... คุณยายมาปรึกษาผม ก็แสดงว่าคุณยายไว้ใจผม...ผมจะพยายามช่วยแนนนี่จนสุดความสามารถ”
คราวนี้ทาฮิร่ามองภวัตด้วยความลังเล คิดหนักว่าจะไว้ใจหรือไม่ไว้ใจดี

ภวัตเปิดประตูออกมาในชุดอาหรับ และกำลังจะปิดประตูเข้านอน โป่งซึ่งขึ้นมาเพื่อจะตามภวัต ถึงกับชะงัก เบิกตากว้าง
“โห...”
ภวัตยังไม่ทันเห็นโป่ง ก้มลงมองตัวเองแล้วเปิดประตูออกไปใหม่
“คุณยายครับ ช่วยกรุณาเปลี่ยนผมให้เป็นแบบเดิมด้วย”
โป่งค่อยๆ ย่องเดินมาชะเง้อมองในขณะที่ร่างภวัตเวลานี้ กลับคืนเป็นนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียว โป่งตาโต อ้าปากค้าง
“คุณหมอร้อนแล้วเหรอครับ” โป่งยิ้มแห้งๆ

ภวัตผลักประตูปิดอย่างหงุดหงิด
“คุณยายครับ คุณยาย”
ทาฮิร่าปรากฏตัวขึ้นข้างหลังภวัต “อะไรอีกล่ะ”
ภวัตสะดุ้งหันขวับมามอง
“คุณยายคุณหลานนี่ ชอบโผล่พรวดพราดเหมือนกันเลย”
“เรียกฉันอีกทำไมยะ” ทาฮิร่าถาม
“ทีหน้าทีหลัง ห้ามคุณยายเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ผมตามอำเภอใจอีก” ภวัตบอกเสียงสุภาพ
“รับรู้ แต่ไม่รับรอง”
ทาฮิร่าพูดจบก็หายแว้บไปต่อหน้าต่อตา ภวัตหัวเสียเอามากๆ
“ทำมั้ยถึงได้วุ่นวายเหมือนกันขนาดนี้”

เวลาเดียวกันนั้น โป่งบ่นงึมงำอยู่คนเดียวในครัว
“ทำไมหมู่นี้ ถึงมีแต่คนแปลกๆ แม้แต่คุณหมอก็ยังอุตส่าห์แปลกกับเขาไปด้วย เฮ้อ!”

แนนนี่กลับเข้าห้องมาเล่าเรื่องที่โป่งบอกเกี่ยวกับแม่บ้านชื่อบานเย็นให้ชิกเก้นฟัง
“ไม่รู้จัก ที่เมืองแม่มดไม่มีใครชื่อบานเย็น”
“แล้วเมืองอสูรล่ะ”
“ไม่เคยไป แต่เท่าที่รู้ พวกอสูรไม่มีชื่อ หน่อมแน้มแบบนี้หรอก...ชิกเก้นว่าเป็นพวกเล่นกลมากกว่า
“แนนนี่จะลองไปสืบดู”
“แนนนี่ต้องระวังตัวนะ .... ยังไงก็ไว้ใจใครไม่ได้ทั้งนั้น” ชิกเก้นเตือน
“รู้แล้วละน่า ...แนนนี่ต้องทำเป็นไปหาพี่เกล้ากับคุณลุง...เอาขนมไปให้”
“ทำเองเรอะ” ชิกเก้นถามอย่างทึ่ง
“เปล่า เสกเอา”
“นึกแล้ว”
แนนเดินไปเปิดลิ้นชัก หยิบหนังสือวิธีทำขนมสวยๆ มาเปิดดู
“นี่ไง....แนนนี่ซื้อไว้....อยากกินขนมอะไร ก็เรียกออกมาได้เลย”
“โอว.....สุดๆไปเลย....” ชิกเก้นร้องออกมา

ไชยขับรถมาจอดหน้าบ้านบ้านภวัต ภายในรถบุษบาเบือนหน้ามาทางไชย
“ไม่ต้องรีบนะคะ พี่ไชย”
“เออน่า! พี่ไม่รีบอยู่แล้ว อย่าลืมเอาเป็ดย่างลงไปด้วยล่ะ”
“ค่ะ”
บุษบาเอื้อมมือไปหยิบถุงเป็ดย่างที่เบาะหลัง แล้วเปิดประตูรถลงไปกดกริ่ง

โป่งเดินมาเคาะประตูห้องบาบาร่า ครู่ต่อมาประตูก็เปิดออกมา
“ว่าไง” บาบาร่าในคราบบานเย็นถาม
เสียงแมวร้อง แล้วไทเกอร์ก็กระโดดมาเกาะบ่าบานเย็น
โป่งสะดุ้งตั้งแต่แมวร้อง “มะ...แมว”
ไทเกอร์ร้องอีก ตามองโป่งเขม็ง
“แมวใครครับ คุณแม่บ้าน”
“แมวฉันเอง ชื่อไทเกอร์ ...มันมาตอนแกไม่เห็น”
“เมี้ยว” ไทเกอร์จ้องโป่งเขม็ง
โป่งมองอย่างแหยงๆ แว่บหนึ่ง “....คุณแม่บ้านยังไม่ไปทำกับข้าวหรือครับ”
“อ้าว ! จะสวาปามแล้วเรอะ” บาบาร่าหลุดปาก
โป่งได้ฟังถึงกับสะดุ้งโหยง “ที่นี่เขาไม่สวาปามหรอกครับ แค่รับประทาน”
“แถวบ้านเรียกสวาปาม ...” บาบาร่าเว้นระยะนิดหนึ่งแล้วหันไปทางไทเกอร์ “....ไทเกอร์ อยู่ในนี้นะ ฉันจะไปทำกับข้าว”
“เมี้ยว” ไทเกอร์ร้องเป็นเชิงรับทราบ
บาบาร่าปิดประตู แล้วเดินไป โป่งรีบตาม

บาบาร่าเดินลงเข้ามาในครัว ติดตามมาด้วยโป่ง
“โป่งหุงข้าวนะครับ ....” โป่งเดินไปจะทำหน้าที่
“มิต้อง ฉันจัดการเอง....ปกติ ... ใครเป็นคนทำกับข้าว”
“คุณจักรครับ...ท่านทำกับข้าวอร่อย...แต่บางทีก็ซื้อสำเร็จรูป หรือไม่ก็เป็นอาหารแช่แข็ง”
“ต่อไปนี้ ฉันจัดการเอง” บานเย็นหรือบาบาร่าบอก
“จะให้โป่งช่วยอะไรมั้ยครับ”
“บอกแล้วมิต้อง ....จะไปไหนก็ไป”
โป่งลังเล จะไปไม่ไปดี
“ไปซี้ อีก 5 นาทีมายกกับข้าวไปได้”
“ฮ้า 5 นาที” โป่งตาเหลือก
“เออ”
“จะไหวเรอะ ป้า นี่ยังไม่มีอะไรเลยนะ”
“ถ้ายังมิไป เจ้านายแกมีหวังได้กินเนื้อคนผัดฉ่าแน่”
นัยน์ตาบาบาร่าดูน่ากลัว โป่งรีบออกไป

บุษบา และภวัตกำลังคุยกันอยู่ในห้องรับแขก
“ตายจริง....บุษลืมเอาเป็ดไปไว้ในครัว”
“ไม่ต้องครับ....เดี๋ยวให้เจ้าโป่งเอาไปให้บานเย็นจัดการ”
“เอ๊ะ ใครคะ ... ชื่อเช้ย ....เชย”
“แม่บ้านคนใหม่ครับ... เพิ่งมาอยู่วันนี้เอง”
“บุษอยากเห็นจัง”
แนนนี่อยู่นอกบ้าน กำลังย่องผ่านไป โดยก้มหัวหลบขณะผ่านตรงหน้าต่าง ภวัตมองเห็นพอดี
ภวัตรีบลุกขึ้นทันที “แนนนี่”
แนนทำปากจึ้กจั๊กอย่างหงุดหงิดขัดใจ แล้วจึงยืดตัวขึ้น
“เข้ามานี่ซิ” ภวัตเรียก
แนนเดินเข้ามาหน้างอ
“สวัสดี คุณบุษบาหรือยัง”
“ยังค่ะ”
“แล้วทำไมไม่สวัสดี”
“มือยกไม่ขึ้นค่ะ.... มันหนักๆ ยังไงก็ไม่รู้” แนนนี่รีบทำท่าประกอบ “...นี่ไงคะ”
“แนนนี่”ภวัตดุ
บุษบารีบพูดสวนขึ้น “อุ๊ย ไม่เป็นไรค่ะ...บุษไม่ถือ” หันมามองแนนนี่ ทำเป็นพูดสร้างภาพแบบผู้ใหญ่มีเมตตา “พี่น่ะไม่ถือหรอกจ้ะ แต่มันไม่ดีกับตัวแนนนี่เอง”

แนนนี่ไม่เก็ตทำหน้างงครู่หนึ่ง “หา! แนนนี่หูฝาดหรือเปล่าเนี่ย...แง่งๆ ใส่ไม่เท่าไหร่ดันมาเป็นพี่เป็นน้องกันแล้ว Fake อ้ะ”
บุษบาทำทีเป็นเสียใจ “ภวัตขา...บุษ ...บุษไม่ไหวแล้ว”
“แนนนี่ ขอโทษคุณบุษเดี๋ยวนี้” ภวัตเอ็ดเสียงเขียว
“ให้ตายเถอะ ทำไมพี่ภวัตถึงไม่ทันคนเล้ย” แนนนี่เซ็ง
“น้องแนนนี่ อุ๊ยตายแล้ว น้องแนนนี่ว่าคุณโง่ค่ะ” บุษบายุยง
“ยังไม่ถึงขั้นน้าน...น...”
“พอที” ภวัตเสียงดังตัดบทขึ้น
แนนนี่ยืนหน้าง้ำ
“ภวัตคะ...แนนนี่ยังเด็ก ... บุษน่ะไม่ถือสาแกหรอกค่ะ” บุษบาเล่นบทแสนดีต่อ
แนนนี่ซอยเท้ายิกๆ อย่างหมั่นไส้
“อุแหมะ! แม้ๆๆๆๆๆๆๆ เด็กที่ไหน ขนาดแนนนี่น่ะมีลูกมีผัวได้แล้ว” แนนนี่ยอกย้อนบุษบาแบบไม่ไว้หน้า
คราวนี้ภวัตโกรธจนหน้าดำหน้าแดง คว้าแขนแนนนี่ลากตัวไป “มานี่เดี๋ยวนี้”
“บุษไปด้วยค่ะ” บุษบารีบตามทันที
“คุณบุษรอผมอยู่ที่นี่แหละ ผมจะพาแนนนี่ไปส่งบ้าน”
“อย่าลืมฟ้อง ....เอ๊ย! อย่าลืมรายงานคุณแม่แกด้วยนะคะ”
ภวัตลากตัวแนนนี่ออกไป โดยมีบุษบามองตาม พอคล้อยหลังทั้งคู่ สีหน้าบุษบาเปลี่ยนเป็นครุ่นคิด

บาบาร่าอยู่ในครัวคนเดียว กำลังหลับตา แล้วยื่นมือโบกไปมาว่าคาถา
“อัย .... อุรัมปราฮาลีฮาเด...อาอัยซี ....”
ครู่เดียวเท่านั้นบาบาร่าก็ลืมตาขึ้น นัยน์ตาเหลืองเป็นประกายวาบ
ภาพกับข้าวน่ากินหลายอย่าง ปรากฏอยู่อยู่ในจานจัดวางอย่างสวยงามเรียบร้อย
“ขนาดเสกเอง ยังอยากกินเลย...อึ้ม...ม...หอมน่ากิน” บาบาร่ายิ้มอย่างพึงพอใจ
“5 นาทีแล้วครับ” เสียงโป่งดังขึ้น
โป่งเดินเข้ามา แล้วเบิกตากว้าง เมื่อเห็นจานอาหารสวยงามวางอยู่แล้ว
“มะ....มะ....มา มาได้ยังไง”
“ยกไปเลย” บาบาร่าบอก
บุษบาเดินเข้ามา ในมือถือถุงเป็ดย่างที่เอามาฝากภวัต
“โป่ง” บุษบาชะงักเมื่อเห็นบาบาร่า “อ้าว”
บานเย็นบาบาร่าเลิกคิ้ว แล้วมองตรวจตราบุษบาตั้งแต่หัวจดเท้า “นี่ใครอีกล่ะ”
โป่งหายตกตะลึง แล้วรีบอธิบาย “คุณบุษบาครับ...เธอเป็นเพื่อน”
บุษบาสวนขึ้นทันควัน “ที่กำลังพัฒนาเป็นแฟนของคุณภวัต” บุษบาส่งถุงยื่นให้ “...ฉันเอาเป็ดย่างมา
ทานกับครอบครัวคุณภวัต 1 ตัว” พลางมองหน้าทั้ง 2 คน อย่างคาดโทษ “อย่าให้ขาดไปแม้แต่ชิ้นเดียว”
พูดจบบุษบาก็สะบัดหน้าเดินเชิดออกไป
บาบาร่ามองตาม นัยน์ตาเป็นประกายวาบ

ทางด้านภวัตลากแนนนี่มาถึงหน้าบ้าน แนนนี่พยายามบิดแขนออกตลอดเวลา ในขณะที่มาถึงหน้าบ้าน
เมื่อเห็นว่าภวัตไม่ยอมปล่อย แนนนี่ก้มหน้าลงพึมพำคาถา แล้วเป่าลงไป พลันที่แขนแนนนี่ก็เหมือนมีประกายไฟขึ้นมา
ภวัตร้องและปล่อยมืออย่างรวดเร็ว แล้วสะบัด “โอ๊ย!...” จ้องหน้าแนนี่เขม็ง “....นี่ใช้คาถากับพี่เรอะ”
“ก็อยากไม่ปล่อยนี่” แนนนี่บอก
“ต่อไปห้ามใช้เวทมนตร์อีก” ภวัตพูดเชิงสั่ง
“เสียใจ! แนนนี่ไม่ชอบให้ใครมาสั่ง”
“งั้นเธอก็เอาเปรียบคนอื่น ...ซึ่งไม่ยุติธรรม”
“ไม่มีความยุติธรรมในโลกนี้หรอก... เมื่อกี้พี่ภวัตฉุดกระชากลากถูแนนนี่มาก็ไม่ยุติธรรม เพราะแนนนี่เป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ เรี่ยวแรงสู้พี่ภวัตไม่ได้ แนนนี่ก็ต้องใช้คาถาสู้ เชิญกลับไปหาคุณบุษบา Baby เถอะค่ะ ป่านนี้นางคงชักกระแด่วๆ รอจนจะขาดใจแล้ว”
แนนนี่ประชดส่ง เปิดประตูเล็กก้าวเข้าไป แล้วนึกได้โผล่ออกมาใหม่
“อ้อ! ทางนี้เจ๊แกก็ให้พี่ชายมาเรียกคะแนนกับพี่ดารกา งานนี้พี่ภวัตคงต้องตัดสินใจเองแล้วละค่ะ ว่าจะไปทางไหนดี”
สมใจแล้วแนนนี่ก็ผลุบเข้าไป พร้อมกับปิดประตู สีหน้าภวัตพอได้ฟังก็รู้สึกเป็นห่วงดารกาครามครัน แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทร.หารัดเกล้าทันที
“น้องเกล้า...พี่มีเรื่องจะให้ช่วยหน่อย”

รัดเกล้ากำลังรับโทรศัพท์ที่โต๊ะทำงาน ซึ่งเปิดโน๊ตบุ๊คไว้
รัดเกล้าฟังแล้วพยักหน้ารับคำพี่ชายเรียบๆ
“ฮื้อฮึ ! ...ค่ะ...ได้...ได้...โอ.เค. เกล้าจะไปจัดการให้เดี๋ยวนี้”
รัดเกล้าวางโทรศัพท์ ปิดโน๊ตบุ๊ค แล้วเดินออกไปจากห้องลงมาข้างล่างทันที

กับข้าวน่ากินหลายอย่างวางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ
ทั้งสามคน จักรวาล บุษบา และรัดเกล้านั่งกันพร้อมหน้า บุษสีหน้าบึ้งตึง ... โดยเกล้าจัดการตักข้าวแจก
“ภวัตล่ะ” จักรวาลถามถึงลูกชาย

รัดเกล้าเหลือบมองท่าทีบุษบาแว่บหนึ่ง “พี่ภวัตต้องตรวจคนไข้ ส่วนพี่หมอไชยก็เป็นผู้บริหาร”
“หนูบุษก็เลยไม่รู้จะคุยกับใคร” จักรวาลว่า
“คุยกับเกล้า กับคุณพ่อก็ได้นี่คะ
บุษบาฝืนยิ้มให้ “ค่ะ”
“ถ้าหนูจะไปทานกับข้าวที่บ้านโน้นก็ได้นะ...ไม่ต้องเกรงใจ”
บุษบาแทบจะลุกขึ้นทันที “จริงหรือคะ บุษกลัวเสียมารยาท”
“โอย ! ไม่เสียหรอก”
ทันใดนั้นมีเสียงเป็ดร้องดังขึ้น ...ทุกคนหันไปมอง เห็นเป็ดตัวหนึ่งเดินเข้ามา สีหน้าแต่ละคนมองอย่างประหลาดใจ
“มาจากไหนน่ะ” รัดเกล้าเบือนหน้ามามองบนโต๊ะ ซึ่งไม่มีจานเป็ดย่าง
“โป่ง โป่งเอ๊ย” จักรวาลเรียกโป่งเสียงดัง
“ครับ” โป่งรีบเข้ามา
“เป็ดนั่นมาจากไหน” จักรวาลถาม
“ไม่ทราบครับ.... เอ แถวนี้ก็ไม่มีใครเลี้ยงเป็ด” โป่งเองก็ประหลาดใจ
“แล้วเป็ดย่างของฉันล่ะ” บุษบาถามออกมา
“อ้าว ! ยังไม่ได้เอามาหรือครับ” โป่งทำหน้างงๆ มองบนโต๊ะอาหาร
“ก็เห็นมั้ยล่ะ” บุษบาย้อนให้อย่างไม่พอใจ
“เดี๋ยวผมไปดูให้ครับ”
“เอาเป็ดไปด้วย” จักรวาลบอก
“ครับ” โป่งวิ่งจับเป็ด แล้วอุ้มออกไป
จักรวาลส่ายหน้า หันมาทางบุษบา “หนูบุษจะไปเลยก็ได้นะ”
“ไม่ดีกว่าค่ะ กับข้าวที่นี่เยอะแยะ บุษอยู่ช่วยคุณอากับเกล้าทานดีกว่า”
รัดเกล้าลอบมองท่าทีที่เปลี่ยนไปของบุษอย่างแปลกใจ

โป่งเดินเข้ามาภายในห้องครัว แล้วมองหาจานเป็ดย่าง แต่ไม่เจอ
“อยู่ไหนหว่า”
มีเพียงจานและถุงใส่เป็ดยังวางอยู่ โป่งเดินมาเปิดถุงดู
“ไม่มี ...” วินาทีนั้นโป่งก้มมองเป็ด ที่อุ้มอยู่ “อย่าบอกนะว่า แกเป็นตัวเดียวกับเป็ดย่างตัวนั้น”
เป็ดเงยหน้ามองโป่งแล้ว ค่อยๆ กลับกลายเป็นเป็ดย่าง
โป่งตกใจร้องลั่น “เฮ้ย” ปล่อยเป็ดย่างตกลงพื้น
เป็ดย่างวิ่งออกไปทางหลังบ้าน ในสภาพเป็ดย่างนั้น โป่งหน้ามืดเป็นลมล้มพับไปทันที

แนนนี่กลับเข้าห้องตัวเองก็รีบโทรศัพท์คุยกับปีเตอร์ทันที ในขณะที่ชิกเก้นเหลือบมองดูอย่างรำคาญ สลับกับนอนหลับ
“แนนนี่เซ็งจังเลย ปีเตอร์มารับแนนนี่หน่อยได้ไหม” แนนนี่พูดเสียงอ้อน
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ....ว่าแต่คุณแม่แนนนี่จะอนุญาตเรอะ”
“แนนนี่อนุญาตเอง... เอางี้....แนนนี่จะไปรอที่ร้านกาแฟคอนโดฯ ปีเตอร์”
“ไม่ได้....ให้ผมไปรับแนนนี่เองดีกว่า” ปีเตอร์รับอาสา
“มันชักช้าไม่ทันใจ”
“ยังกับแนนนี่มาเร็วนักนี่”
“ก็เร็วกว่าปีเตอร์นั่นแหละ อีก 1 นาทีพบกัน”
แนนนี่ปิดโทรศัพท์
“แนนนี่ แนนนี่ เฮ้อ!” ปีเตอร์เรียก แต่แนนนี่ปิดมือถือแล้ว ปีเตอร์จึงปิดมือถือตัวเอง
ชิกเก้นฟังอยู่รีบดีดตัวลุกขึ้น
“เอาจริงเรอะ แนนนี่”
“จริง แล้วห้ามฟ้องคุณยายนะ”
“ชิกเก้นไม่ปากมากเท่าเจ้าตะเกียงหร้อก”
แนนนี่ปรายตามองไปที่ตะเกียงแก้วแว่บหนึ่งยิ้มอย่ามีเลศนัย “...แนนนี่โรยยานอนหลับไว้ข้างใน 2-3 วันแล้ว”
“มิน่า! ไม่ได้ยินเสียงมันเลย”
“แนนนี่ไปละนะ”
แนนนี่เดินไปหยิบไม้กวาดที่ปรากฏอยู่แล้วตรงมุมห้องมา ขึ้นขี่ออกไปทางหน้าต่าง

เป็นจังหวะเดียวกับที่อิงอรกำลังเดินออกมาที่สนามหญ้าเพื่อสูดอกาศบริสุทธิ์ อิงอรบิดตัวไปมา แล้วออกกำลังบริหารคอ ในจังหวะที่หงายหน้าขึ้นฟ้า อิงอรต้องเบิกตากว้าง แทบเป็นลมล้มพับ เมื่อเห็นแนนนี่ขี่ไม้กวาดบินโฉบกำลังจะผ่านหน้าไป แถมแนนนี่ยังก้มลงมองมาสบตาพอดี และโบกมือบ๊ายบายให้
“Why you do this to me?”
อิงอรได้แต่ตีอกชกหัวตัวเองอยู่คนเดียว

พอตั้งสติได้อิงอรรีบวิ่งพรวดมาที่ประตูรั้วบ้านจักรวาลกำลังจะกดกริ่ง บาบาร่าเปิดประตูออกมา พลางมองโดยรอบ ทั้ง 2 ฝ่ายชะงักมองหน้ากัน
“เธอ....อยู่ที่นี่เรอะ”
บาบาร่าในคราบบานเย็นพยักหน้า มองอิงอรหัวจรดเท้า
“ทำไมฉันไม่เคยเห็น”
“ก็ฉันเพิ่งมาอยู่นี่” บาบาร่าเว้นนิดหนึ่ง “.... ฉันเป็นแม่บ้านคนใหม่”
อิงอรทำท่าทีลึกลับ ถามโพล่งขึ้น “เมื่อกี้เห็นอะไรหรือเปล่า”
“เห็นอะไร”
“ก็แนนนี่น่ะซิ แนนนี่ขี่ไม้กวาดไปโน่น” อิงอรชี้มือประกอบ บอกสถานที่บนท้องฟ้า
บาบาร่านิ่วหน้าถามย้ำ “ขี่ไม้กวาดเรอะ”
“ใช่ .... เด็กคนนี้ต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่”
บาบาร่านัยน์ตาเป็นประกายแว่บหนึ่ง “ไม่ธรรมดายังไง”
“คุณอิงจะเล่าให้ฟัง อยากฟังมั้ย” ข้าเมาท์ประจำละแวกวางท่า
“เล่ามาให้หมด” บาบาร่าตาลุก รีบบอก
อิงอรพอใจ “รู้มั้ย เธอเป็นคนแรกที่พูดแบบนี้”
อิงอรออกท่าออกทางเล่า บาบาร่าฟังอย่างพอใจ ที่ได้พบตัวอสูรเสียที

บาบาร่าฟังเรื่องจากปากอิงอรเสร็จ ก็มาปรากฏตัวขึ้นในห้อง
“ได้เรื่องมั้ย คุณยาย” ไทเกอร์รีบถาม
“ได้เกินคาด ยัยคุณอิง แกช่างพูด”
ระหว่างพูด บาบาร่ายื่นมือออกไป เห็นเป็นภาพเหยือกน้ำ เทน้ำลงในถ้วยกาแฟเอง แล้วแก้วใบนั้นก็ลอยมาหาบาบาร่า ซึ่งบาบาร่ารับไว้
“...ทีแรกไอ้เราก็คิดว่า คุณอิงอาจจะเป็นอสูร”
“มองยังไง้ว่า คุณอิงเป็นอสูร”
“อ้าว! ก็อยู่ดีๆ แกกลายร่างเป็นตะขาบนี่ มาตอนนี้เข้าใจแล้วว่าแกถูกอสูรร้ายสาป เพราะกลัวจะบอกความจริงให้ฉันฟัง”
“รู้ยังงี้แล้วจะทำไงต่อไป” ไทเกอร์ถาม
“ของอย่างนี้พรวดพราดไม่ได้ มันต้องค่อยๆ คืบ...ค่อยๆ คลานไปสู่จุดหมาย”
สีหน้าบาบาร่าทั้งพึงพอใจ และมาดมั่นเอามากๆ

บรรยากาศบริเวณโดยรอบบริเวณคอนโดของปีเตอร์ซึ่งใกล้ค่ำเต็มที ร้านรวง และบ้านช่องละแวกนั้นเริ่มเปิดไฟสว่าง
ปีเตอร์เปิดประตูเดินเข้ามาภายในร้านกาแฟ กวาดสายตามองไปโดยรอบแล้วยิ้ม เพราะไม่มีแนนนี่นั่งอยู่สักโต๊ะ
ปีเตอร์ขยับจะเดินไปนั่งโต๊ะที่ว่างในมุมหนึ่ง จู่ๆ ก็มีมือๆ หนึ่งมาสะกิดตรงไหล่ ปีเตอร์หันขวับไปมอง แล้วสะดุ้ง
“เฮ้ย”
ปีเตอร์เห็นแนนนี่ยืนยิ้มเผล่ให้ ขณะที่ทุกคนในที่นั้นหันมามองปีเตอร์ซึ่งอุทานเสียงดังลั่น
“มาได้ยังไงเนี่ย”
แนนนี่ไม่ตอบ เดินยิ้มกริ่มเดินนำไปนั่งที่โต๊ะในมุมหนึ่ง ปีเตอร์รีบเดินตาม ทั้ง 2 คนนั่งลง ปีเตอร์ยังตื่นเต้นและแปลกใจไม่หาย
“มาได้ยังไง”
“ขี่ไม้กวาดมา” แนนนี่บอกความจริงที่ยากจะเชื่อได้
“พูดเป็นเล่นอยู่เรื่อย ...รู้แล้วละ...แนนนี่มาถึงก่อน แล้วค่อยโทรศัพท์ชวนผมใช่มั้ยล่ะ รู้ทันหรอกน่า”
“จะคิดยังไงก็ได้” แนนนี่บอกเสียงเรียบ
“กินข้าวหรือยัง”
แนนนี่ส่ายหน้า นัยน์ตาหมองลงแว่บหนึ่ง ตื้นตันในความห่วงใยของปีเตอร์
“ใครขัดใจมาละซี” ปีเตอร์รู้ใจ
แนนนี่น้ำตารื้นขึ้นมา ล้วงกระเป๋าหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดน้ำตา ปีเตอร์เห็นก็ยิ่งตกใจ
“แนนนี่ร้องไห้ทำไม ใครทำอะไร...”
แนนนี่รีบพูดขัดจังหวะขึ้นก่อน
“...ไม่มีใครทำอะไรหรอก อยู่ดีๆ มันก็อยากร้องขึ้นมา”
“อยากเล่าอะไรให้ผมฟังไหม” ปีเตอร์มีสีหน้าจริงจังขึ้น
“แนนนี่ยังไม่พร้อม” แนนนี่ส่ายหน้า
“แต่ผมพร้อมเสมอที่จะฟังแนนนี่”

แนนนี่สบสายตาที่จริงจังและจริงใจของปีเตอร์แล้วถอนหายใจยาว ขณะผินหน้ามองผ่านกระจกร้านออกไป

 อ่านต่อหน้า 2





อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว  ตอนที่ 10 (ต่อ)

อิงอรเดินนวยนาดพาบาบาร่าเดินเข้ามาภายในบ้านตัวเอง

“เชิญค่ะ” อิงอรเชื้อชวนบาบาร่ามานั่งในห้องรับแขก
“คุณอิงอยู่คนเดียวหรือคะ”
“อยากจะมีคนอยู่ด้วยเหมือนกันค่ะ แต่มันดันมีมารหัวใจน่ะซีคะ...เชิญนั่งค่ะ”
บาบาร่าทรุดตัวลงนั่ง สองขาเม้าท์หนึ่งคนกับหนึ่งแม่มดนั่งคุยกันอยู่ในห้องรับแขกบ้านอิงอร
“...ฉันอยากเห็นแนนนี่ที่คุณเล่าให้ฟังน่ะค่ะ....เอาแบบชัดๆ แบบตัวต่อตัว”
“คุณบานเย็นไม่กลัวหรือคะ คุณอิงน่ะกลั๊ว ...กลัว” อิงอรทำท่าขนลุกขนพอง
“ฉันเป็นคนอยากรู้อยากเห็น” บานเย็นหรือบาบาร่าบอก
อิงอรตบเข่าฉาดใหญ่อย่างพอใจที่เจอแนวร่วม
“เหมือนกันเปี๊ยบ ...ยังมีคุณยายข้างบ้านคุณอิงอีกนะคะ”
“แหม! ฉันละมองคนไม่ผิดเลย คนแบบคุณ นี่แหละ ที่ฉันเสาะหามาน้าน..น..นาน”
อิงอรปลาบปลื้มที่มีแนวร่วมแถมยอมยอมรับฟังคำพูดตัวเอง ในขณะที่บาบร่าเบือนหน้ามาทำสีหน้าเจ้าเล่ห์

ลูกค้าคู่หนึ่งเดินออกไป ขณะที่อีก 2-3 คน เดินเข้ามา พนักงานยกขนม และน้ำเปล่ามาเสิร์ฟแนนนี่ ส่วนปีเตอร์สั่งเป็นกาแฟ
“กินกาแฟตอนนี้ แล้วจะนอนหลับเหรอ”
“ผมยังทำรายงานไม่เสร็จ เลยต้องนอนดึก”
แนนใช้ช้อนเขี่ยขนมเล่นไปมา เหมือนไม่รู้จะทำอะไรดี ปีเตอร์มองแนนนี่อย่างเพ่งพิศขณะจิบกาแฟ แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมาเช่นกัน
จู่ๆ แนนนี่ก็ทอดถอนใจ แล้วเงยหน้าพูดโพล่งออกมาขึ้น
“ปีเตอร์ .... แนนนี่คิดว่าตัวเองรักพี่ภวัต”
ปีเตอร์สำลักกาแฟพร่วดออกมา ทว่าแนนนี่ไม่ได้สนใจยังคงเพ้อเรื่องภวัตต่อ
“...รักมานานตั้งแต่เกิดเลย”
คราวนี้ปีเตอร์นัยน์ตาเหมือนจะเจ็บปวดขึ้นมาแว่บหนึ่ง
“แต่พี่ภวัตเขารักพี่ดา” แนนนี่เว้นไปนิดหนึ่ง “รักคนที่เขาไม่รักนี่มันเจ็บปวดมากนะ”
“ใช่” ปีเตอร์พูดเพราะรู้ซึ้งคำนี้ดีกว่าใคร!!
แนนนี่ผินหน้ามามอง เห็นพอดี
“..ปีเตอร์พูดเหมือนคนอกหัก ... อุ๊ย งั้นเราก็เหมือนกันเลย
ปีเตอร์ฝืนยิ้มบางๆ ให้
“ค่อยยังชั่ว! แนนนี่จะได้มีเพื่อน ว่าแต่ใครเหรอที่งี่เง่ามองข้ามผู้ชายรูปหล่อแล้วก็แสนดีอย่างปีเตอร์”
“อย่ารู้เลย”
“บอกหน่อยน่า แนนนี่อยากรู้” แนนนี่เริ่มจะสนุกขึ้นมา แววตาอยากรู้อยากเห็นฉายชัด
“ไม่บอก”
“แนนนี่จะต้องรู้ให้ได้ คอยดู๊”
ปีเตอร์เฉไฉทำเป็นตักขนมกินด้วยสีหน้าเรียบเฉย

บรรยากาศของถนนไม่ไกลจากคอนโดฯ ในเวลาค่ำคืนสว่างไสงไปด้วยแสงไฟ ทั้งปีเตอร์ และแนนนี่คนเดินออกมาจากร้านกาแฟ
“รอเดี๋ยว ผมไปเอารถก่อน”
“ไม่ต้อง แนนนี่จะกลับเอง”
“ไม่ได้ ผมต้องไปส่ง”
“เดี๋ยวก็สาปให้เป็นสับปะรดอีกหรอก” แนนนี่เย้าเล่น
ปีเตอร์หัวเราะอย่างขบขันเมื่อนึกถึงภาพนั้น แนนนี่หัวเราะตาม ทั้งสองคนต่างหัวเราะคิกคัก บรรยากาศสนุกสนานกลับคืนมา
“โอย... ได้หัวเราะแล้วดีจัง”
ปีเตอร์ค่อยๆ หยุดหัวเราะ แล้วจ้องหน้าแนนนี่ จังหวะนั้นแนนนี่ก็จ้องหน้าปีเตอร์เช่นกัน
“รู้แล้วว่าปีเตอร์รักใคร”
ปีเตอร์รีบหลบตาวูบ “ใคร” แต่ออกอาการตกใจนิดๆ
“ยัยเจ๊บุษบาไง้” แนนนี่ยิ้มระรื่น
ปีเตอร์รู้สึกโล่งใจแถมขบขัน “เฮ้ย! ยัยนั่นให้ฟรียังไม่เอาเล้ย”
แนนนี่ตบไหล่ปีเตอร์เหมือนจะให้กำลังใจ “ไอ้ไม่เอานั่นแหละมักจะได้ ไปละเพื่อน”
แนนนี่เดินตรงไป ปีเตอร์รีบตาม
“รอด้วย”
แนนนี่เดินเลี้ยวตรงมุมไป ปีเตอร์เลี้ยวตาม แล้วชะงัก เพราะไม่มีแม้แต่เงาของแนนนี่ ตรงบริเวณนั้น ปีเตอร์เกาหัวแกรกๆ ด้วยความงง
“หายไปไหนเร็วจัง”
ปีเตอร์เดินออกตามหาแนนนี่

บรรยากาศยามค่ำในบ้านปัทมนเงียบสงบ แนนี่ขี่ไม้กวาดโฉบเข้ามาทางหน้าต่างห้อง โดยมีทาฮิร่ายืนกอดอกคอยแนนนี่อยู่พร้อมกับปัทมน แนนนี่เห็นก็ตกใจ จนพลัดตกลงมาจากไม้กวาดลงกองที่พื้น
“โอ๊ย”
“หายไปไหนมา” ปัทมนถามขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
แนนนี่รีบพูดเสียงอ้อน “ทำไมคุณแม่หน้าบึ้ง .. บึ้ง”
“ทั้งคุณแม่ทั้งคุณยายอยากรู้ว่า แนนนี่หายไปไหนมา” ทาฮิร่าถามย้ำ
แนนค่อยๆ ลุกขึ้น
“ไปขี่ไม้กวาดเล่น” แนนนี่พูดหน้าเฉย
“แม่ขอสั่งห้ามไม่ให้หนูทำอย่างนี้อีก” ปัทมนสั่งด้วยเสียงเคร่งเข้ม
“โธ่ ! คุณแม่ขา” แนนนี่อ้อนใส่
“คุณแม่พูดถูกแล้ว” ทาฮิร่าพูดสำทับ
“คุณยายขา” คราวนี้หันมาอ้อนทาฮิร่า
“เจ้ากำลังตกอยู่ในอันตราย ...” ทาฮิร่าเว้นนิดหนึ่ง “สายลับตัวร้ายของนครเวทมนตร์กำลังมาสืบหาอสูรน้อยที่นี่”
“หมายถึงแนนนี่หรือคะ” แนนนี่ตกใจ
ทาฮิร่าและปัทมนมีสีหน้าเคร่งขรึม เป็นกังวลอย่างหนัก
ทั้งสามคนและหนึ่งแมว ไม่รู้ว่าที่ภายนอกห้องเวลานั้นดารกาแนบหูแอบฟังอย่างตั้งใจ
“อัน ...ตะ...ร้าย ....อัน....ตะ...ราย” ชิกเก้นร้องเตือนแนนนี่ออกมา
แนนนี่ถอนใจเฮือกใหญ่ ขณะทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงนอน

ด้านดารกาเปิดประตูเข้ามาในห้องและรีบปิดล็อค สีหน้าแววตาเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น นึกถึงคำพูดท่าฮิร่าขึ้นมา
“สายลับตัวร้ายของนครเวทมนตร์กำลังมาสืบหาอสูรน้อยที่นี่”
ดารกาฟุบหน้าลงกับฝ่ามือตัวเองอยู่อย่างนั้น ครู่หนึ่งแล้วเดินไปหน้ากระจก จ้องมองเงาตัวเองในกระจก
“ฉันจะทำยังไงดี”
ภาพเงาดารกาในกระจกมองตอบมา แล้วค่อยๆ เปลี่ยนไปคนละคน นัยน์ตาดาเริ่มมีสีแดงกระจายเป็นเส้นเลือดไปทั่ว
ดารกาที่ยืนอยู่หน้ากระจก ถอยกรูดไป 2-3 ก้าว แล้วยกมืออุดปาก
จ้องหน้าดารกาในกระจกที่...ดูแข็งกร้าว และทรงอำนาจ
“อสูรไม่เคยกลัวแม่มด” เสียงดารกาในกระจกสะท้อนกังวานเป็นเสียงผู้ชาย
“พวกมันใช้เล่ห์เหลี่ยมทำลายล้างพวกเราจนแทบไม่มีเหลือ ....เจ้าคือทายาทอสูรตนสุดท้ายที่ถือกำเนิดมาเพื่อทำลายบรรดาแม่มดและเมืองเวทมนตร์ให้จมธรณี
ดารกาหน้ากระจกตอบกลับ “แต่พวกเขากำลังตามล่าข้า”
“พวกแม่มดมันเจ้าเล่ห์ เราต้องซ้อนกลให้มันทำลายกันเอง ทำให้พวกมันเข้าใจผิดกันเอง! ...ทำให้พวกมันเข้าใจผิดกันเอง แล้วอสูรจะกลับมายิ่งใหญ่ตามเดิม”
พอพูดจบภาพในกระจก ค่อยๆ เปลี่ยนกลับมาเป็นดารกาปกติดังเดิม นัยน์ตาเป็นประกายวูบวาบ

ทาฮิร่าออกมายืนคุยปรับทุกข์กับปัทมนที่ชั้นบนของบ้าน บรืเวณหน้าห้องดารกาต่อ
“ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ ....ไม่มีอำนาจชั่วร้ายอะไรจะต่อสู้กับพุทธคุณได้ฉันจะสวดมนต์ขออำนาจแห่งพุทธคุณ ... ช่วยปกป้องคุ้มครองแนนนี่”
“แนนนี่เป็นอสูรนะคุณ” ทาฮิร่าย้ำ
“ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับเป็นคนดี ...เอ้อ ....สำหรับแนนนี่ ก็คือเป็นอสูรที่ดีน่ะค่ะ”
“แนนนี่เกเร” ทาฮิร่าส่ายหน้าอ่อนอกอ่อนใจ
“แต่แกก็ไม่ได้ทำร้ายใครนะคะ”
“ยังไม่ถึงเวลาน่ะซิ”
ธานีเดินขึ้นมา แล้วชะงักมองทาฮิร่าอย่างแปลกใจ
“ธานี....จำคุณยายไม่ได้หรือลูก”
ธานียกมือไหว้อย่างนอบน้อม
“สวัสดีครับ ... ผมกำลังแปลกใจว่า คุณยายมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมอยู่ข้างล่างตลอดเวลาทำไมไม่เห็นคุณยาย”
“ไม่เห็นก็ไม่ได้หมายความว่า ยายไม่ได้ขึ้นมานี่”
คำพูดทาฮิร่ายิ่งทำให้ธานี่ทำหน้างงยิ่งขึ้น
“งงละซี .... ยายก็งงเหมือนกัน ...ไปละ”
ทาฮิร่าเดินอย่างคล่องแคล่วไปที่บันได แล้วลงไป สองแม่ลูกมองตาม แล้วธานีก็หันมามองหน้าแม่เป็นเชิงถาม
ปัทมนทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้เดินเข้าห้องตัวเอง
ธานีจึงได้แต่มองตามแม่อย่างงงๆ ต่อไป

แนนนี่เดินกลับไปกลับมาอย่างใช้ความคิด แล้วหันมาหารือกับชิกเก้น
“กำลังคิดอะไรฮึ แนนนี่”
“สายลับคนนี้เป็นใครฮึ ชิคเก้น”
“ก็คนกันเองนั่นแหละ เวรก๊ำ ...เวรกรรม”
“กันเองของชิคเก้น อาจจะไม่ใช่กันเองของแนนนี่ก็ได้”
“โอ๊ย ! กันเอ๊งกันเองเหมือนกัน”
“ใคร”
“เจ๊บาบาร่า”
แนนนี่สะดุ้งเฮือก
“หา! จารย์บาบาร่านะเรอะ”
“นั่นแหละ”
“งั้นก็สบายมาก จารย์เคยช่วยแนนนี่ จารย์ปลื้มแนนนี่ ...จารย์ไม่มีวันทำอะไรแนนนี่หรอก” แนนนี่ยิ้มแฉ่ง
“น้อยไปซิ พูดแบบนี้แสดงว่าไม่รู้จัก คุณยายบาบาร่าดี”
“ทำไมจะไม่รู้จัก พรุ่งนี้แนนนี่จะไปแนะนำตัว โธ่เอ๊ย เรียกแต่สายลับ...สายลับ..ไอ้เราก็นึกว่าใครที่ไหน”
แนนนี่กลายเป็นควันลอยเข้าไปในตะเกียงแก้ว

พริบตาเดียวแนนนี่เดินมาทรุดตัวลงนั่งในตะเกียงแก้ว
“อยู่ในนี้ค่อยสงบหน่อย ....ตะเกียงแก้วก็ถูกวางยาเงียบ...เฮ้อ!ถ้าอยู่แบบนี้ได้ตลอดไปก็ดีซิ”
แนนนี่เอนตัวลงนอนแล้วหลับตาลง

โทรศัพท์บ้านในห้องนอนแนนนี่ดังขึ้น ชิกเก้นซึ่งหมอบหลับอยู่หรี่ตาขึ้นมอง
“ใครโทร. มาล่ะ”
ชิกเก้นกระโดดแผล็วขึ้นไปบนโต๊ะ
“ต้องรับหน้าที่เป็นโอเปเรเตอร์จำเป็นซักหน่อย”
เท้าหน้าชิกเก้ายกออกไป ชิกเก้นทำเสียงฝรั่ง
“ฮัลหลิว ...ฮัลหลิว ...”
ปีเตอร์นั่นเองโทร. มา และกำลังอยู่ในคอนโดฯ
ปีเตอร์ ชักสีหน้าอย่างแปลกใจ
“เอ้อ .... นั่นบ้านแนนนี่หรือเปล่าครับ”
“ไม่ใช่ .... บ้านแคทตี้”
“ขอโทษครับ” ปีเตอร์เปลี่ยนโทร.ใหม่ นึกว่าตัวเองโทร.ผิด
ชิกเก้นรับสายอีก
“ฮัลหลิว”
“....นั่นคุณแคทตี้อีกแล้วหรือครับ” ปีเตอร์ แปลกใจ
“ใช่ .....เวรก๊ำ ....เวรกรรม”
“เอ! ทำไมเบอร์เดียวกับแนนนี่” ปีเตอร์พึมพำ
“ฉันจะไปรู้ได้ไงล่ะ ....เธออาจจะโทร.ผิดก็ได้” ชิกเก้นว่า
“ไม่ผิดหรอกครับ นี่ชื่อแนนนี่เลย”
“ฉันไม่รับทราบอะไรทั้งนั้น ง่วงแล้ว เธอก็ควรจะนอนเหมือนกัน เวรก๊ำ...เวรกรรม”
ชิกเก้นพูดจบก็กระโดดลงมาจากโต๊ะ ขดตัวหลับ ส่วนปีเตอร์ยังคงงุนงง ขณะมองโทรศัพท์
“นี่มันเบอร์แนนนี่...ชื่อแนนนี่ แล้วแคทตี้มาจากไหน”

ดารกานั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงในห้อง หันหน้าเข้ารูปปั้นอสูร ร่ายคาถาอยู่ในลำคอ
“ฮายา....ฮายา....กลิ่นอสูรจงหมดไปจากตัวข้า ...ฮายา...ฮายา”
เหมือนมีควันอบอวล ซับออกจากตัวดา แล้วลอยเข้ารูปปั้นอสูรแทน
ดารกาลืมตาขึ้น ดวงตาสีแดงก่ำค่อยๆ เลือนหายไปจนเป็นปกติ

ดอกไม้ชูช่ออวดใบสวยงามรับแสงแดดยามเช้า แนนกำลังหวีผม หลังแต่งเครื่องแบบนักศึกษาเรียบร้อยแล้ว
“เนี่ย วันนี้ปีเตอร์ต้องซักแนนนี่ตายเลย ว่าแคทตี้เป็นใคร”
“ก็บอกว่าเป็นแมวซิ” ชิกเก้นแนะ
เสียงพรเคาะประตูพร้อมกับตะโกนเรียก
“คุณแนนนี่ขา คุณแนนนี่ ....คุณแน้น...นี...”
แนนนี่เดินไปหยิบกระเป๋าและหนังสือเรียนเดินไปเปิดประตู
“จ๊ะเอ๋” แนนนี่พุ่งมาหาแบบรวดเร็วจนพรตกใจ
“อุ๊ย”
“แนนนี่เสร็จพอดี กำลังจะลงไปเดี๋ยวนี้แหละ ไม่เห็นจะต้องมาตามเลย”
“คุณปีเตอร์มาน่ะค่ะ มาแต่เช้ามืดเลยด้วย พี่พรไปเปิดประตูก็เห็นรถจอดอยู่แล้ว”
“มาทำไมแต่เช้า”
“สงสัยจะคิดถึงคุณแนนนี่มั้งคะ” พรว่ายิ้มๆ
“ฮื้อ”
แนนนี่เดินออกไป โดยไม่ลืมปิดประตู พรรีบตาม

ดารกาคุยกับปีเตอร์ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ขณะที่แนนเดินเข้ามา ติดตามด้วยพร
“แนนนี่มาแล้ว”
ปีเตอร์หันไปมอง ...สีหน้าแววตาแจ่มใสขึ้นทันที แล้วลุกยืน
“แนนนี่ .... ผมเป็นห่วงจนนอนไม่หลับทั้งคืน”
แนนนี่นิ่วหน้าขณะที่ดาลอบยิ้มอย่างมีเลศนัย ขณะที่พรยิ้มเอ็นดู แล้วเดินเลยไปที่ครัว
“เว่อร์.....เว่อร์ ไม่เห็นมีอะไรต้องเป็นห่วงเลย”
ปีเตอร์หน้าเสีย
“อ้าว ! พูดอย่างนั้นปีเตอร์ก็เสียใจแย่ละซิ นี่เขาอุตส่าห์มารับ” ดารกาว่า
“โธ่เอ๊ย”
“ผมกลับไปก่อนก็ได้”
“ไม่ต้องหรอก ปีเตอร์” ดารกาหันมาทางแนน สีหน้าขรึมลง “อย่าใจร้ายนักเลย ...พาปีเตอร์ไปกินข้าวเช้ากันก่อน เดี๋ยวได้ไปเรียน”
แนนนี่หรี่ตาถามอย่างไม่วางใจ
“พี่ดาบอกว่าจะกลับหอตั้งแต่เมื่อวาน แล้วทำไมยังอยู่อีกล่ะคะ”
“ก็อยากอยู่บ้านกับคุณแม่กับแนนนี่น่ะซิ ...พี่ดาไปละ ...พี่ภวัตจะไปส่งไปละนะ ปีเตอร์ กินข้าวให้อร่อยล่ะ” ดารกาขอตัว
“ฮะ ขอบคุณ”

ดารกาเดินออกไป แนนนี่มองตามหน้างอ ปีเตอร์ลอบมองอย่างน้อยใจ

พรยกชามโจ๊กมาวางให้ทั้ง 2 คน
“ข้าวต้มถุงค่ะ”
แนนนี่พาลพูดกับพรแบบพาลๆ
“รู้แล้ว เห็นลอยอยู่ตั้งหลายศพ”
แนนนี่จ้องไปที่กุ้งในชามข้าวต้มหลายตัว พรหัวเราะแหะๆ
“แหม....ก็พี่พรรู้ว่า คุณแนนนี่ชอบทานกุ้งนี่คะ ...รอเดี๋ยวพี่พรไปคั้นน้ำส้มให้”
พรเดินออกไป
แนนนี่ผลักชามข้าวต้มออกห่าง
“ไม่เห็นอยากกินเลย .... แนนนี่ยกให้”
“โกรธที่พี่ดาไปกับหมอภวัตใช่ไหม” ปีเตอร์ถามอย่างรู้ทัน
“ก็จะมีอะไรเสียอีกล่ะ”
ปีเตอร์พยายามกล้ำกลืนข่มความเจ็บปวดลงไป
“ถ้าแนนนี่อยากให้หมอภวัต..ชอบ..” ตรงคำว่า “ชอบ” ปีเตอร์พูดเสียงเบาลง “....แนนนี่ก็ต้องทำตัวอ่อนหวานน่ารักแบบพี่ดา...ไม่ใช่พาลเกเรคอยแกล้งหรือประชดประชันเขา”
“ก็แนนนี่โกรธนี่”
“แล้วอยากให้หมอภวัตชอบหรือเปล่าล่ะ”
“ปีเตอร์ก็รู้” แนนนี่ตอบเสียงค่อยๆ
“งั้นก็ต้องทำตัวแบบที่ปีเตอร์บอก”
“ปีเตอร์จะช่วยแนนนี่ใช่ไหม”
ปีเตอร์พยักหน้า แล้วเสตักข้าวต้มกิน แนนนี่ลุกขึ้น มาโอบไหล่ปีเตอร์อย่างซึ้งใจ
“ขอบใจนะปีเตอร์ ขอบใจมาก”

ปีเตอร์เหลือบมอง แขนและมือของแนนนี่ที่โอบไหล่อยู่ ภายในใจรู้สึกเจ็บปวด

 อ่านต่อหน้า 3 





อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว  ตอนที่ 10 (ต่อ)

ดารกาเปิดประตูหน้าบ้านเดินเข้ามา กำลังจะเข้าไปภายในบ้านภวัต แต่มีเสียงร้องทักขึ้นก่อน

“มาหาใครจ๊ะ”
ดารกาชะงัก หันไปมองตามเสียง จังหวะนั้นเหมือนกับว่าในห้วงความคิด เธอมองเห็นบาบาร่าในร่างแม่มดที่แท้จริงกำลังเดินเข้ามาหา ดารกาผุดนัยน์ตาเจ้าเล่ห์แว่บหนึ่ง แล้วปั้นหน้ายิ้มให้อย่างอ่อนหวาน
“มาหาพี่ภวัตค่ะ...เมื่อวานพี่รับปากว่าจะไปส่งที่มหาวิทยาลัย…คุณป้ามาอยู่ใหม่หรือคะ”
บาบาร่าในคราบบานเย็นรู้สึกพอใจในท่าทีอ่อนหวานนั้น
“ใช่ ป้ามาเป็นแม่บ้านให้หมอภวัต”
“ดีจัง...หนูอยู่บ้านเยื้องๆกันไงคะ...หนูชื่อน้องดา”
บาบาร่านัยน์ตาเป็นประกายกับประโยคแรก
“ที่บ้านหนู มีผู้หญิงอายุรุ่นราวคราวเดียวกับหนูอีกคนใช่ไหม”
ดารกาทำทีเป็นแปลกใจ
“ใช่ค่ะ...คุณป้าทราบด้วย”
บานเย็นบาบาร่ายิ้มดุ แล้วพูดออกมาลอยๆ
“รู้ยิ่งกว่ารู้อีก”

สองพี่น้อง ภวัต และรัดเกล้า กำลังทานอาหารเช้าอยู่ขณะที่ดารกาเดินเข้ามา รัดเกล้าหันไปเห็นพอดี
“อ้าว น้องดา ทานข้าวด้วยกันมั้ย”
“ไม่เป็นไรค่ะ น้องดาไม่หิว
“ไม่หิวก็กินรองท้องเสียหน่อย เดี๋ยวจะไม่สบาย”
รัดเกล้ากุลีกุจอเดินออกไป
“ทำไมรีบมาล่ะ...พี่บอกแล้วว่าจะไปรับ”
ดารกายิ้มแย้มเหมือนกับว่าเอ็นดูแนนนี่เต็มประดา
“น้องดาไม่อยากเป็นส่วนเกินน่ะค่ะ”
“ส่วนเกิน” ภวัตรู้สึกแปลกใจ
“ปีเตอร์มาหาแนนนี่แต่เช้าเลย...พี่พรบอกว่ามาจอดรอตั้งแต่ประตูยังไม่เปิดเลยนะคะ นี่กำลังทานข้าวด้วยกัน”
ภวัตได้ฟังก็มีสีหน้าขรึมลงตั้งแต่ดารกาเอ่ยชื่อปีเตอร์คำแรก
“คู่นี้น่ารักนะคะ....คุณแม่เองก็พอใจปีเตอร์...”
“คุยเรื่องคนอื่นทำไม” ภวัตตัดบทขึ้น
ดารกาลอบยิ้มอย่างพอใจ
“คนอื่นที่ไหนคะ....แนนนี่เป็นน้องสาวแสนดีของดา ....
รัดเกล้าหายเข้าไปในกลัว กลับออกมาพร้อมยกชามข้าวต้มเดินเข้ามา
“มาแล้วจ้า...ข้าวต้มร้อนๆ เลย”
ดารการีบเดินไปหา ไหว้ขอบคุณแล้วรับชามมา
“ขอบคุณค่ะ”
ดารกาและรัดเกล้าเดินมานั่งทานที่โต๊ะ
“คุณลุงละค่ะ...น้องดาว่าจะถามตั้งแต่แรกแล้ว”
“ไปสอนหนังสือ ...ความจริงวันนี้หยุด แต่อยากติวให้ลูกศิษย์จ้ะ”
สามคนกินกันไปคุยกันไป โดยที่ภวัตดูฝืดคอ ทานข้าวไม่ลง

โป่งเปิดประตูบ้านจักรวาล ภวัตขับรถออกไปโดยมีดารกานั่งเคียงคู่กันมา ในขณะที่พรเปิดประตูบ้านปัทมน มีปีเตอร์ขับรถออกมาโดยที่แนนนี่นั่งคู่ข้างคนขับ จังหวะหนึ่งทั้ง 2 ฝ่ายต่างหันมามองหน้ากัน

ภวัตสีหน้าขรึมลงไป ขณะที่ดารกายิ้มแย้มแจ่มใสร่าเริงดูจริงใจ แล้วยกมือทักทายปีเตอร์กับแนนนี่ ในขณะที่ภวัตขับเลยไปราวกับไม่สนใจ
ปีเตอร์ขับตามหลังไป รถแล่นออกมาถนนใหญ่
“พี่ดากับคุณหมอจะหมั้นกันเมื่อไหร่” ปีเตอร์ถาม
“ชาติหน้า” แนนนี่ตอนเสียงฉุน
“เฮ้ย”
“ไปถามเขาเองซิ ฉันชื่อแนนนี่ ไม่ใช่ดารกา”
“วันนี้หงุดหงิดแต่เช้า...ไม่สบายหรือเปล่า” ปีเตอร์พูดเสียงอ่อนโยนเอาอกเอาใจ
“โห! ทำเสียงหล่อ” แนนนี่หันมามองอย่างประหลาดใจ
“ชอบมั้ยล่ะ” ปีเตอร์ยิ้มกริ่ม
แนนนี่ส่ายหน้า
“อยากจะอ้วก...ไม่เหมาะกับคาแร็คเตอร์...แกมันบ้าๆ ทำเสียงหล่อไม่ Work” แนนนี่เว้นไปนิดหนึ่ง “แล้วทีหน้าทีหลังไม่ต้องแจ้นมารับแต่เช้าอย่างวันนี้อีก...เพราะแนนนี่จะไม่มาด้วย! แซงเลย” แนนนี่เร่งให้ปีเตอร์แซงหน้ารถภวัต
“แซงไม่ได้” ปีเตอร์บอก
“ต้องได้ นี่ไง” แนนนี่เอื้อมมือไปจับพวงมาลัยรถให้แซงอย่างน่าหวาดเสียว
“แนนนี่” ปีเตอร์ตกใจ
ภวัตมองผ่านกระจกอย่างเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ในขณะที่ดารกาตกใจ
แนนนี่จั๊กจี้เอวปีเตอร์ที่ชักสีหน้าไม่พอใจการกระทำของแนนนี่
“หัวเราะก่อน บอกให้หัวเราะ เราทำได้แล้ว”
“เฮ้ย! อย่า! เดี๋ยวรถชน” ปีเตอร์ดิ้นขยุกขยิกเพราะบ้าจี้
“นี่แน่ะๆๆ” แนนนี่ชอบใจจั๊กจี้ไม่หยุด
รถปีเตอร์เป๋ไปเป๋มา
ภวัตและดารกาตกใจกับรถปีเตอร์ ภวัตนิ่วหน้า
“นั่น 2 คน เขาเล่นอะไรกัน”
“ตายแล้ว!” ดารกายกมือปิดหน้าอย่างหวาดเสียว
จังหวะนั้นมีรถคันใหญ่พุ่งตรงมาด้วยความเร็วสูง ปีเตอร์ร้องลั่น แนนนี่ร่ายคาถา และจ้องไปที่รถคันนั้นนัยน์ตาแนนนี่กลายเป็นประกายสีเหลือง แสงจากดวงตาแนนนี่พุ่งไป รถทั้ง 2 คันแคล้วคลาดการชนกันได้อย่างหวุดหวิดและน่าเสียวไส้ ปีเตอร์ปากสั่นมือสั่นขณะแนนนี่หัวเราะชอบอกชอบใจ
ภวัตบีบแตรลั่น ขณะแล่นมาจอบเทียบ แล้วชี้มือให้ปีเตอร์เอารถเข้าจอดข้างทาง ดารกาหน้าซีดเผือด

ภวัตขับรถนำหน้าเข้ามาจอดในซอยค่อนข้างเงียบ ปีเตอร์ตามมาจอด ในขณะที่แนนนี่มีสีหน้าสะใจ
ภวัตเปิดประตูเดินมาอย่างโกรธจัด แล้วกระชากประตูรถที่ปีเตอร์กำลังเปิด
“ขับรถประสาอะไร....โตกันแล้วนะ ไม่ใช่เด็กๆ”
ปีเตอร์หน้าเสียแล้วยกมือไหว้
“ผมขอโทษครับ”
แนนนี่เปิดประตูตามลงมา
“ปีเตอร์ไม่ผิด ไม่ต้องไปขอโทษ”
“อ้อ! เราซินะ...เล่นพิเรนท์ๆ แบบนี้ไม่มีใครนอกจากเรา”
ดารกาเปิดประตูรถเดินตามลงมา
“เป็นยังไงบ้าง”
“สะ...บ๊าย...สบายไร้กังวล”
“แนนนี่! ทำผิดแล้วยังไม่สำนึกอีก” ภวัตโมโหสุดขีด
แนนนี่ลอยหน้าเถียง
“ผิดที่ไหน...ก็ไม่เห็นมีใครเป็นอันตรายซักหน่อย...ซักนิดด้วย”
ภวัตโกรธจนพูดไม่ออก ขณะที่ปีเตอร์พยายามยกไม้ยกมือส่ายหน้าห้ามแนนนี่ไม่ให้เถียง
“เอ้า! ระวังเส้นโลหิตแตกนะคะ คุณหมอ...ไปได้แล้ว ปีเตอร์เดี๋ยวเรียนคาบแรกไม่ทัน...สอบคราวนี้สอยเอา A มาให้ชื่นใจซะด้วย”
แนนนี่พูดจบก็ขึ้นรถ แล้วปิดประตู ปีเตอร์รีบยกมือไหว้ลาภวัต แล้วขึ้นรถ
“จะไปไหน” ภวัตเรียกไว้
ดารกาแตะแขนภวัตอ่อนโยน
“ช่างเถอะค่ะ พี่ภวัต ...แนนนี่ก็คะนองตามประสาวัยรุ่น”
“คะนองแบบนั้น ตายได้นะนั่น” ภวัตยังหงุดหงิดไม่หาย
“มองในแง่ดี สองคนนั่นก็ไม่ได้เป็นอะไร...ไปกันเถอะค่ะ” ดารกาบอกย้ำให้ไปอีกครั้ง
ภวัตพยักหน้า สูดลมหายใจยาว แล้วเดินไปขึ้นรถ
“พี่ภวัตขับได้มั้ยคะ ถ้าไม่ได้ น้องดาขับให้”
“พี่ไม่เป็นไรแล้ว”
ภวัตขับรถออกไป

พรและผาด กำลังช่วยกันทำความสะอาดบ้านอยู่ โดยพรใส่หูฟังเพลงขณะทำงานบ้าน เสียงกริ่งหน้าประตูบ้านดังขึ้น พรยังคงร้องเพลงไปเช็ดถูไป เสียงกริ่งดังอีก ผาดเดินมาดึงหูฟังออกอย่างรำคาญ
“ได้ยินมั้ย ไปเปิดประตูไป๊”
พรเดินบ่นพึมพำออกไป
“ตัวเองก็ได้ยิน แล้วทำไมไม่ไปเปิดขี้เกียจละซี้”
“ยัง...ยังจะบ่นอีก” ผาดทำตาเขียวใส่

พรเปิดประตู แล้วชะงักนิดหนึ่ง เมื่อเห็นบาบาร่าในคราบบานเย็นยืนอยู่เยื้องไปข้างหลังอิงอร โดยที่บาบาร่าถือตะกร้าแอปเปิ้ลลูกโตสีสวย มาด้วย
“ไม่ต้องทำหน้าแปลกใจจ้ะพร! ที่เห็นทำหน้าเริดๆ เชิดๆ แต่ไม่หยิ่งอยู่นี่คือ คุณบานเย็น...แกมาเป็นแม่บ้านให้คุณจักรวาล” อิงอรว่า
พรมองการแต่งตัวบานเย็นบาบาร่าหัวจรดเท้า
“แต่งตัวแปลกๆนะคะ”
“เขาเรียกว่าสวย ไม่ใช่แปลก...ฉันแต่งตัว แบบนี้มาตั้งแต่สมัยอยู่กับเลดี้อาราเบลล่า”
“ไม่รู้จักค่ะ” พรว่า
“เลดี้อาราเบลล่าเป็นเพื่อนสนิทกับเลดี้มอร์กาน่า...” บาบาร่าทำหน้าเบื่อหน่ายเมื่อเห็นหน้าตางงหนักขึ้นของพร “...ไม่รู้จักอีกละซี้”
“รู้จักสโนไวท์มั้ย...คุณบานเย็นเคยอยู่กับพระมารดาเลี้ยงของสโนไวท์ด้วย สโนไวท์ไง้” อิงอรพยายามลุ้นให้รู้จักสักคนเต็มที่
“หนูรู้จักแต่แก้วหน้าม้าค่ะ” พรยิ้มแห้งๆ
“Stupid” บาบาร่าบ่น
“เชิญข้างในดีกว่าค่ะ...คุณบานเย็น”
สองคนเดินนำเข้าไป พรยังคงทำหน้างงๆ ขณะปิดประตู
“ใครจะไปรู้จัก”

ปัทมนซึ่งแต่งตัวจะออกไปทำงาน รับตะกร้าแอปเปิ้ลจากบาบาร่า
“ขอบใจมาก ความจริงไม่ต้องลำบาก”
“อ๋อ! ไม่ลำบากเลยค่ะ” อิงอรยิ้มกริ่ม เจ้ากี้เจ้าการเต็มที่
ขณะอิงพูด บาบาร่าลอบเหล่มองแบบชักจะรำคาญ
“คุณบานเย็นแกมีสวนแอปเปิ้ล... แกเคยอยู่กับเลดี้อาราเบลล่า...เลดี้มอร์กาน่า...แล้วก็...” อิงอรพล่าม
“เอ๊ะ...ฟังดูเหมือนคุณบานเย็นไม่ใช่คนไทย”
“เป็นคนกลุ่มน้อยค่ะ...น้อยนิดมาก” บาบาร่าบอกหน้าเนือยๆ ไว้ตัว
“วันหลังเราไปเยี่ยมชมสวนแอปเปิ้ลบ้านคุณบานเย็นดีมั้ยคะ”
ปัทมนเหลือบดูนาฬิกาแว่บหนึ่ง
“แต่ตอนนี้ปัทต้องรีบเข้า Office ค่ะ...มีปัญหานิดหน่อย”
“อ้าว! ตายจริง...คุณอิงพอจะช่วยได้มั้ยคะ” อิงอรถามหน้าตื่นตามสไตล์..เยอะ
“อ๋อ ! ไม่เป็นไรค่ะ ปัทพอจะแก้ไขได้”
“แต่เกินความรู้ ความสามารถของน้องปัทละก็...ปรึกษาคุณอิงได้ทุกเวลานะคะ ไม่ต้องเกรงใจ”
ปัทยิ้มแห้งๆ ขณะที่บาบาร่าทำจมูกฟุดฟิด เหมือนกำลังพยายามสูดหากลิ่นอสูร

เวลาเดียวกันนั้น รูปปั้นอสูรในห้องดารกาเริ่มกลอกนัยน์ตาไปมา พร้อมกันนั้นควันกลิ่นอสูรค่อยๆ ลอยอ้อยอิ่งอบอวลออกมาทางจมูกรูปปั้น กลุ่มควันนั้นลอยไปทางประตู แล้วลอยเลื้อยลงตรงขอบประตูด้านล่าง

“ออก! พร้อมกันเลยดีไหมคะ” ปัทมนชวนทั้งสองคนขึ้นอย่างมีมารยาท
“ต้องดีซิคะ เจ้าของบ้านไม่อยู่ แล้วเราจะอยู่ไปทำไม”
ระหว่างสองคนพูดกัน กลิ่นอสูรลอยเข้ามา บานเย็นบาบาร่าชะงัก นัยน์ตาเป็นประกาย
อิงอรเห็นท่าทีบาบาร่าแปลกไปก็หันมา
“ไปค่ะ คุณบานเย็น...มีอะไรหรือคะ”
“เอ๊าะ ไม่มีอะไรค่ะ” บาบาร่ารีบปฏิเสธ
ทั้งสามคนเดินกันออกไป

ภวัตมาถึงโรงพยาบาล เริ่มงานทันที พยาบาลเรียกคนไข้หน้าห้อง
“คุณทาราวดีศรีค่ะ”
ภวัตกำลังหาชื่อของทาราวดีศรี
“ไม่มีชื่อนี้นี่”
ร่างของหญิงสูงวัยคนหนึ่งใส่หมวกคลุมครึ่งหน้าเดินเข้ามา แต่งตัวราวกับจะไปงานแข่งโปโลของคนชั้นสูง
พยาบาลมองตามจนเหลียวหลัง ขณะที่ภวัตเองก็มองอย่างจะทบทวนว่าเคยเห็นท่าทางแบบนี้ที่ไหน
“คุณ...”
“ทาราวดีศรี”
คนไข้ไม่มีในรายชื่อบอก พร้อมกับหมวกใบสวยถูกถอดออก เผยให้เห็นว่าคนไข้รายนี้ที่แท้คือ ทาฮิร่า
ภวัตถอนใจเฮือกใหญ่ แล้วพยักหน้ากับพยาบาลเป็นเชิงให้ออกไปได้
“เมื่อวานคุณบานเย็น มาวันนี้คุณทาราวดีศรี” ภวัตเอ่ยท่าทางเซ็งๆ
“อย่างน้อยชื่อนี้ก็เข้าท่ากว่าบานเย็น” ทาฮิร่าพูดเสียงเชิดๆ
“พวกชนกลุ่มน้อยอย่างคุณยาย จะทำความวุ่นวายให้ชนกลุ่มใหญ่อย่างผมไปถึงไหน” ภวัตยอกย้อน
“จนกว่าทุกอย่างจะจบลงด้วยดี” น้ำเสียงทาฮิร่าซีเรียส
“แน่ใจหรือครับว่าจะจบลงด้วยดี”
ทาฮิร่าผุดลุกขึ้นทันใด รีบถาม “...หมายความว่ายังไง นายภวิต”
“ผมชื่อภวัต เมื่อไหร่คุณยายจะเรียกถูกเสียที”
“เธอก็เปลี่ยนชื่อเป็นภวิตซิ ฉันจะได้เรียกภวัต” ทาฮิร่าลงนั่ง “ดีเท่าไหร่แล้วที่ฉันไม่หายตัวแว่บเข้ามา”
“คุณยายมีธุระอะไร บอกมาเลยดีกว่า”
“เมื่อเช้า...แม่บาบาร่าบานเย็น เข้าไปในบ้านของคุณปัทมนพร้อมด้วยตะกร้าแอปเปิ้ล” ทาฮิร่าเว้นไป “แต่ละลูกใหญ่มากและสวยงามน่ากิน”
“ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ครับ”
“แน่นอน ถ้ามันจะไม่ใช่แอปเปิ้ลอาบยาพิษ”
“คุณยายรู้ได้ยังไง” ภวัตชะงัก
“ฉันจะบอกให้แอปเปิ้ลของบาบาร่าน่ะ มีพิษทั้งหมด เพราะใช้ดินพิษปลูก”
“ฟังดูไม่น่าเชื่อ” ภวัตลังเล
“ถ้าฟังดูไม่น่าเชื่อ เธอต้องลองกินดู”
ภวัตนิ่งอึ้ง
“เธอต้องเอาแอปเปิ้ลไปราดด้วยน้ำกรดให้หมด”
“คุณยายทำเอง จะไม่ง่ายกว่าผมทำหรือครับ”
“เธอต้องเป็นคนทำ”
“ใครบอก”
“ฉันบอกเอง”
ภวัตถอนใจเฮือก

เวลานั้นอิงอรผู้ไม่รู้ตัวกำลังคบค้ากับแม่มด กำลังเดินพาบาบาร่ามาถึงหน้าบ้านทาฮิร่าซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านจักรวาล และปัทมน
อิงอรชะเง้อชะแง้มอง
“บ้านมืด...สงสัยว่าจะไม่อยู่ เราไปดูบ้านอื่นๆ ต่อดีมั้ยคะ คุณอิงรู้จักทุกบ้านเลยค่ะ”
แต่บาบาร่าออกตัวเดินกลับ “เอ๊ะ!...วันๆ คุณอิงไม่ได้ทำอะไร นอกจากคอยสอด...”
อิงอรชะงัก
“...ส่องทุกข์สุขของชาวบ้านหรือคะ” บาบาร่าต่อตอนจบให้ดูสวยงาม
“ค่อยยังชั่ว นึกว่าสอดอย่างเดียว...คุณอิงมีนิสัยโอบอ้อมอารีแบบนี้เองค่ะ”
ทั้งสอง หนึ่งคนกับหนึ่งแม่มด เดินคุยกันมาถึงหน้าบ้านจักรวาล
“ถึงแล้ว! ขอบคุณนะคะที่พาบานเย็นเที่ยว” บาบาร่ายิ้ม
“ด้วยความเต็มใจค่ะ...คุณบานเย็นมีอะไรก็บอกนะคะ คุณอิงยินดีช่วยเต็มที่”
บาบาร่าผุดยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา “...คุณอิงได้ช่วยคุณบานเย็นแน่ๆ ค่ะ”
แล้วเปิดประตูบ้านเดินเข้าไป
“คุณอิงจะทำอะไรต่อดี” อิงอรงงๆ กับชีวิต

โป่งกำลังตกแต่งกิ่งไม้ ขณะที่บาบาร่าเดินเข้ามาทางประตูหน้าบ้าน
“คุณแม่บ้านไปไหนมาครับ”
บาบาร่าไม่ตอบ เดินเชิดเข้าบ้านไป โป่งมองตามอย่างงงๆ

บาบาร่าเดินเข้ามาในห้อง แล้วเดินกลับไปกลับมา
“ทำยังไงถึงจะเห็นยัยคุณยายบ้านนั้นได้”
“ไม่เห็นจะยาก” ไทเกอร์บอก
“ยาก เพราะแกไม่ค่อยจะอยู่บ้าน...เท่าที่ฟัง...มันคลับคล้ายคลับคลาใครซักคน”
“ไทเกอร์จะเข้าไปสอดแนมให้ก่อน” ไทเกอร์ว่า
“เจ้าของบ้านยังไม่ได้เชื้อเชิญ...เราก็เข้าไปไม่ได้ แต่ที่บ้านต้องสงสัย ฉันสามารถเข้าไปได้แล้ว พร้อมกับผลแอปเปิ้ลพิฆาต”
บาบาร่ากลอกตาไปมาอย่างเจ้าเล่ห์

พรกำลังล้างผลแอปเปิ้ลลูกใหญ่อยู่ในครัว จังหวะหนึ่งยกแอปเปิ้ลขึ้นส่องด้วยความทึ่ง
“แอปเปิ้ลอะไรลูกใหญ่เบ้อเริ่มเทิ่ม” พรชะงัก “นั่นอะไรแวบๆวับๆ”
พรเอาแอปเปิ้ลมาส่องใกล้ตา เห็นผิวแอปเปิ้ลปรากฏเป็นลายเลื่อมเหมือนผิวหนังงู
“ว้าย” พรตกใจร้องลั่น ปล่อยลูกแอปเปิ้ลในมือ
ผาดเดินเข้ามาพอดีได้ยินเสียงก็หันไป “เฮ้ย เบาๆ หน่อย ของเจ้านายนะแก”
พอรู้เรื่องผาดเดินมาหยิบขึ้นส่องดู ในขณะที่พรมองอย่างสยอง
“ดีที่ไม่ช้ำ” ผาดว่า
“พี่! เมื่อกี้ฉันเห็นเป็นงู” พรบอก
“จะบ้าเรอะ แอปเปิ้ลกับงูไม่เห็นจะเหมือนกันตรงไหน” ผาดบอก
“ตรงผิวนะพี่...เหมือนหนังเปี๊ยบ
“บ้า! ล้างให้เสร็จ แล้วเอาไปวางบนโต๊ะ” ผาดสั่ง
“ล้างเถอะ ฉันกลัว” พรบอกอย่างสยองแล้วรีบออกไป
“พร! พร! แหม! นังคนนี้ ทำมาหลอกว่าเห็นแอปเปิ้ลเป็นงู”
ผาดล้างต่อเองอย่างฉุนๆ โดยไม่เอะใจว่าระหว่างนั้นแอปเปิ้ลผลหนึ่งค่อยๆขยับเล็กน้อย แล้วกลายเป็นงูเลื้อยหนีไป
งูตัวขนาดไม่ใหญ่ไม่ยาวมากนักเลื้อยออกจากครัวเข้ามาในห้องรับแขก แล้วเลื้อยเลยขึ้นบันไดไป
ไม่นานหลังจากนั้นก็มีควันลอยเข้ามาตรงพื้นประตูหน้าห้องแนนนี่ ก่อนจะกลายเป็นงูตัวนั้น มันเลื้อยขึ้นไปบนโต๊ะหนังสือ แล้วกลับเป็นแอปเปิ้ลผลใหญ่ สวยน่ากินตามเดิมโดยไม่มีใครเห็น

รัดเกล้านั่งทำงานอยู่หน้าโน้ตบุ๊คภายในออฟฟิศ ระหว่างนั้นมีเสียงโทรศัพท์ภายในดังขึ้น รัดเกล้ากดรับสาย
“ว่าไง”
“แขกที่คุณเกล้านัดไว้มาพบแล้วค่ะ” เสียงเลขาฯพูดในสาย
รัดเกล้าชะงักและออกอาการแปลกใจ พึมพำออกมาหลังวายสาย “ฉันไม่ได้นัดใครนี่”
จังหวะนั้นมีเสียงเคาะประตูเบาๆ แล้วประตูเปิดออก เป็นธานีที่เดินยิ้มเผล่เข้ามาทันได้ยินที่รัดเกล้าบ่น
“นัดนี่ไง” ธานีปิดประตู
รัดเกล้าวางโทรศัพท์ลง ...หน้านิ่วคิ้วขมวดทันที
“พี่จะมาถามว่า น้องเกล้าต่อยพี่ทำไม” ธานีถาม
“โฮ้ย เพิ่งจะมาสงสัย” รัดเกล้าเหมือนจะเซ็ง

“พี่สงสัยตั้งแต่ถูกต่อยแล้ว จะถามก็ไม่ได้จังหวะซักที เลยตัดสินใจมาที่นี่” ธานีบอกเหตุผลของการมาเยือนโดยไม่นัดหมาย
รัดเกล้าลุกยืนเผชิญหน้ากับธานี ลอยหน้าพูด
“เพราะพี่มาต่อยพี่ภวัต พูดแล้วมันเจ็บใจอยากจะซัดอีกทีซักหมัด 2 หมัด”
“แล้วรู้มั้ยว่าทำไมพี่ต่อยไอ้ภวัต” ธานีถามเสียงเรียบ
รัดเกล้าฉุนที่ธานีเรียกพี่ชายว่าไอ้
“ไอ้ภวัตที่พี่เรียกน่ะพี่ชายเกล้านะ”
“แนนนี่ก็เป็นน้องสาวพี่เหมือนกัน”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับแนนนี่” รัดเกล้าแปลกใจที่มีชื่อแนนนี่มาเอี่ยว
“ไอ้ภวัตบังอาจจูบแนนนี่”
“ตาเถร” รัดเกล้าตกใจ สะดุ้งเฮือก!
“เป็นไง! มันสมควรถูกต่อยมั้ยล่ะ” ธานีว่า
“มันต้องมีสาเหตุ อยู่ดีๆ พี่ภวัตไม่ทำยังงั้นหรอก” รัดเกล้าลูบคางไปมา
“ไม่ว่าจะยังไง มันก็ไม่สมควรทั้งนั้น”
“เย็นนี้เกล้าจะถามพี่ภวัต ส่วนพี่ก็ไปถามแนนนี่” รัดเกล้าสรุป
“ฝากบอกมันด้วยว่า พี่อนุญาตให้จีบน้องสาวพี่คนเดียว ถ้ารักพี่เสียดายน้องแบบนี้จะไม่ยกให้สักคน”
พูดจบธานีก็เดินออกไป รัดเกล้าทิ้งตัวลงนั่งอย่างมึนงง เคาะโต๊ะด้วยสีหน้ามึนๆ
“ทำไมพี่ภวัตทำแบบนั้น”

เย็นนั้นรัดเกล้าทำอย่างที่พูดหลังกลับถึงบ้านก็พุ่งตรงไปที่ห้องพี่ชาย ถามเรื่องที่ได้ยินจากธานี และภวัตหันกลับไปหารัดเกล้าที่อ้อมมายืนข้างหน้า
“คะ พี่ภวัตทำอย่างที่พี่ธานีกล่าวหาหรือเปล่า” รัดเกล้าถามย้ำ
ภวัตสีหน้าอึดอัดยุ่งยากใจ เพราะไม่อยากบอกว่า แนนนี่ต่างหากที่เป็นฝ่ายจูบตน
“พี่ทำหน้าตาท่าทางแบบนี้ จะให้เกล้าเข้าใจว่าเป็นความจริงใช่ไหมคะ” รัดเกล้ารุก
“เกล้า...” ภวัตอึกอักอย่างอึดอัด
“จริงหรือไม่จริง”
ภวัตถอนหายใจก่อนตอบเสียงจริงจัง “จริง!”
รัดเกล้าเข่าอ่อน คิดไม่ถึงทิ้งตัวลงนั่ง
“ตาเถร! ทำไมพี่ภวัตทำแบบนี้ เกล้าน่ะอุตส่าห์ปกป้องพี่เต็มที่ ขนาดต่อยปากพี่ธานีแก้แค้นให้ แล้วนี่...” รัดเกล้าช้อนสายตาจ้องหน้าภวัตเขม็ง “ตกลงพี่ภวัตชอบใครกันแน่!”
ภวัตนิ่งและทรุดตัวลงนั่งเช่นกัน

ทางด้านแนนนี่เพิ่งกลับจากมหา’ลัย มาถึงบ้าน ไล่ๆ กับดารกา และกำลังถูกธานีถามเรื่องในวันที่เขาเห็นจูบกันอยู่กับภวัต แนนนี่เม้มปากนิดหนึ่ง
“แนนนี่กล้าทำก็กล้ารับ ...แนนนี่เป็นฝ่ายจูจุ๊บพี่ภวัตเองค่ะ”
ธานีเข่าอ่อนแทบหมดแรงไม่ต่างจากรัดเกล้า
“แนนนี่ โอย...พี่อยากเป็นลม”
“ทำไมล่ะคะ ทีพี่ดายังทำได้เลย” แนนนี่ยังพูดต่อเสียงแข็ง
“ยังจะเถียงอีก...แล้วทำไมไอ้ที่เขาทำดี ถึงไม่เลียนแบบ กลับไปทำตามไอ้ที่ไม่ดี”
“ไชโย้ ในที่สุด...ในที่สุดพี่ธานีก็ยอมรับว่า พี่ดาเป็นคนไม่ดี”
ดารกาเดินเข้ามาพอดี และทันได้ยินที่แนนนี่ร้องดีใจ ถึงกับชะงัก
“พี่ไม่ได้พูดอย่างนั้น” ธานีรีบปฏิเสธ
“งั้นก็บอกมา”
ดารกายืนนิ่ง แล้วตัดสินใจเดินเข้ามาในห้องรับแขก ธานีหันมาเห็นก็ชะงัก ก่อนจะพูดทักเสียงอ่อยๆ
“น้องดา”
แนนนี่หันไปมองตาม
“อ้าว! พี่ดา”
ดารกาเดินหนีขึ้นข้างบน
“น้องดา...ฟังพี่ก่อน”
ดารกาเดินไปโดยไม่ยอมหันกลับมามอง ธานีรีบตามทันที ส่วนแนนนี่ยิ้มเยาะ แล้วเดินขึ้นไปข้างบนอย่างช้าๆ

แนนนี่เยื้องย่างมาที่หน้าห้องตัวเอง ขณะที่ธานีกำลังเคาะประตูห้องดารกา
“น้องดา...ออกมาพูดกันก่อน...พี่จะอธิบายให้ฟัง”
“เสียเวลาเปล่าๆ ค่ะ...พี่ธานี” แนนนี่หันไปบอก
“แนนนี่ เรานี่ร้ายกาจกว่าที่พี่คิดนะ” ธานีหันมามองดุๆ
“พี่ดาร้ายกว่าแนนนี่อีก”
“เหลวไหล! ต้องให้คุณแม่....”
แนนนี่รู้ว่าต้องโดนสวด รีบเปิดประตูเข้าห้องก่อนที่ธานีจะพูดจบ
ธานีหัวเสียหงุดหงิด ได้แต่มองห้องนั้นทันที ห้องนี้ที

แนนนี่กวาดตามองไปโดยรอบ...แล้วร้องเรียก
“ชิกเก้น เมี้ยวๆๆๆ ....ชิคเก้นอยู่ที่ไหน”
แต่ทุกอย่างเงียบกริบ
“สงสัยจะไปหาคุณยาย”
แนนนี่ว่าพลางวางกระเป๋าบนโต๊ะ แล้วชะงัก เมื่อมองไปเห็นแอปเปิ้ลลูกสวยวางอยู่
“น่ากินจัง ใครเอามาวางไว้ที่นี่” แนนนี่หยิบแอปเปิ้ลขึ้นมาดู แล้วถามตะเกียงแก้ว “พี่ตะเกียง...พี่ตะเกียง”
ตะเกียงแก้วปรือตาขึ้นมามองแว่บหนึ่ง แล้วหลับต่อ
“สงสัยยายังไม่หมดฤทธิ์...” แนนนี่วางแอปเปิ้ลลง “ขออาบไปน้ำก่อนนะ แล้วจะมากิน”
แนนนี่เดินเข้าห้องน้ำไป โดยไม่รู้ว่าแอปเปิ้ลมองตาม
ส่วนดารกาพอเข้าห้องมาก็นั่งนิ่งอยู่บนเตียง สีหน้าดูโหดเหี้ยมเลือดเย็น นัยน์ตากลายเป็นสีแดงวาบขึ้นมา

ในขณะที่ธานีกำลังเดินลงบันไดมานั้น จู่ๆ เหมือนมีอะไรอย่างหนึ่งตามหลังมา จังหวะที่ธานีกำลังก้าวลงบันไดช้าๆ นั้น อะไรอย่างหนึ่งก็ผลักธานีจนเซถลาตกลงไป ธานีตกใจร้องลั่น
“เฮ้ย...โอ๊ย”
ร่างของธานีกลิ้งลงไปตามขั้นบันไดจนถึงขั้นแรก ก่อนที่จะสลบเหมือดไปในทันที

ไม่มีใครรู้ว่าในห้องด้านบนเวลานั้น นัยน์ตาของดารกาที่เป็นสีแดงก่ำเมื่อครู่ ค่อยๆ เลือนหายไป กลายเป็นสีหน้าของดารกาที่ดูเยือกเย็นสงบนิ่งเหมือนเดิม

อ่านต่อตอนที่ 11 พรุ่งนี้  (30 ม.ค. 55) เวลา 9.30 น.




กำลังโหลดความคิดเห็น