ตะวันฉายในม่านเมฆ ตอนที่ 10
ตะวันฉายเดินเล่นบนถนนสวยริมแม่น้ำคนเดียวในขณะที่พระอาทิตย์กำลังจะลับฟ้า สีหน้าของเธอคิดหนัก
ตะวันฉายนึกถึงตอนที่ยุทธการบอกความจริงกับเธอ
“ตอนนี้ซันก็คงไม่ต้องอยู่ที่นี่แล้วสิ” ยุทธการจับมือตะวันฉาย “เดี๋ยวพี่ไปช่วยย้ายของนะ”
“เอ่อ...พี่ยุทธคะ ซันขอเวลาสักหน่อยได้ไหมคะ”
ยุทธการงง “ซันจะรออะไรเหรอ”
แล้วตะวันฉายก็นึกถึงตอนที่เธอคุยกับนิคและเอวา
“แล้วอย่างนี้แกจะออกจากบ้านนั้นเมื่อไหร่อ่ะ” เอวาถาม
ตะวันฉายเสียงอ่อย “นั่นสิ ฉันควรออกเมื่อไหร่”
เมื่อนึกถึงสองเหตุการณ์นั้น ตะวันฉายก็ยืนดูวิวด้วยความกลุ้มใจจนต้องฟุบหน้ากับราวสะพาน
รถของเมฆแล่นออกจากประตูใหญ่หน้าบ้านไป ตะวันฉายออกมาจากที่ซ่อน เธอมองตามรถของเมฆแล้วถอนใจก่อนจะเดินเข้าบ้านไป เก่งที่กำลังจะปิดประตูเห็นตะวันฉายเดินเข้ามาก็ดุทันที
“ไปไหนมาวะไอ้ซัน คุณเมฆเขาโมโหใหญ่เลยที่เอ็งหายไป”
“เหรอพี่” ตะวันฉายถาม
ตะวันฉายยิ้มแล้วเดินเข้าบ้านไป เก่งมองตามอย่างงงๆ
ตะวันฉายล้างจานเสร็จแล้วจะเอาจานเก็บ เธอถอยมายืนมองรอบๆห้องด้วยความอาลัย ทันใดนั้นอิงฟ้าก็เดินเข้ามาในครัว พอเห็นอิงฟ้าตะวันฉายก็จะเลี่ยงเดินออกไปแต่อิงฟ้าเรียกเธอเอาไว้
“ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย”
“ครับ”
อิงฟ้ายื่นเช็คมาให้ ตะวันฉายมองแต่ไม่รับ
“จะกลับบ้านนอกหรือจะหางานใหม่ก็แล้วแต่นาย แต่ไปจากที่นี่ได้ไหม”
ตะวันฉายมองเช็คในมืออิงฟ้าแล้วมองหน้าอิงฟ้า อิงฟ้ายิ้มให้อย่างพยายามมีไมตรีมากที่สุด
“คุณอิงฟ้าเก็บเงินนี้ไว้เถอะครับ”
อิงฟ้าไม่พอใจ “ซัน”
“ผมคิดจะลาออกอยู่แล้วครับ”
อิงฟ้ายิ้ม “เมื่อไหร่”
“พรุ่งนี้เช้าครับ”
“หวังว่านายคงรักษาคำพูดนะ”
ตะวันฉายกับอิงฟ้าประสานสายตากัน แล้วอิงฟ้าก็เดินออกไปจากห้องครัว
ตะวันฉายปิดไฟแล้วเดินออกมาจากครัว เธอเดินมาตามทางในบ้าน แล้วมองไปรอบๆด้วยความรู้สึกใจหายที่จะต้องไปจากบ้านนี้
ตะวันฉายเดินไปเปิดห้องทำงานของเมฆแล้วมองเห็นเมฆกับเธอตอนที่ช่วยกันแต่งเพลง ตอนที่แกล้งกันตามมุมต่างๆในห้องผุดขึ้นมาในหัว ตะวันฉายอมยิ้มขำแล้วปิดประตู
ตะวันฉายเดินออกมาแล้วเห็นเก่งนั่งเล่นกีตาร์ร้องเพลงอย่างสบายอารมณ์ เธอมองรอบตัวด้วยความใจหายแล้วก็ถอนหายใจ
เอวากับนิคกำลังเตรียมตัวอยู่ในห้องพักนักดนตรีที่ผับ เอวาแต่งหน้า จู่ๆ เมฆก็เดินอารมณ์เสียเข้ามานั่งที่มุมหนึ่งในห้อง นิคกับเอวามองหน้ากัน ทั้งสองเขยิบเข้ามาหากันแล้วสุมหัวทันที
นิคกระซิบ “เฮ้ย...มาอารมณ์บูดแบบนี้มันยังไงวะเนี่ย”
“หรือไอ้ซันจะบอกลาออกแล้ว”
“ไม่มั้ง ถ้าไอ้ซันลาออกพี่เมฆจะไปแคร์อะไรก็แค่หาคนใหม่” นิคว่า
“ฉันว่าไปถามให้รู้เรื่องดีที่สุด” เอวาเสนอ
เอวากับนิคเงยหน้าขึ้นมาก็เจอเมฆยืนอยู่ข้างหลัง ทั้งสองสะดุ้งตกใจ
“เย้ยยย”
เมฆถาม “ซันติดต่อมาบ้างหรือเปล่า”
“เอ่อ...ป..เปล่าค่ะ ม...มีอะไรกันเหรอคะ”
“ก็ซันน่ะสิ บอกพี่ชายเรียกแล้วออกจากบ้านไป จนป่านนี้ยังไม่กลับเลยนะ ไม่รู้ไปเที่ยวเล่นที่ไหน ฮึ..ไปกับพี่ชายคงเพลินมากละสิ”
เมฆยิ่งพูดก็ยิ่งแค้น เขาเห็นทั้งสองเงียบก็ก้มหน้าลงมอง นิคกับเอวาขมวดคิ้วมองจ้องมายังเมฆด้วยแววตาสงสัย เมฆจึงทำโมโหกลบเกลื่อน
“ตกลงซันติดต่อมาหรือเปล่า” เมฆถามย้ำ
นิคกับเอวาส่ายหน้าพร้อมกัน
“ก็แค่นั้นแหล่ะ”
เมฆเดินกลับไปนั่งเปิดสมุดโน้ตจัดเพลงแต่หน้าบอกบุญไม่รับ นิคกับเอวาสุมหัวกันต่อ
“แกคิดไหมวะว่าพี่เมฆเหมือนหึงไอ้ซันเลย” นิคถาม
“หรือว่าพี่เมฆจะเป็นเกย์แล้วชอบไอ้ซันขึ้นมาจริงๆอะ” เอวาสงสัย
“นี่ถ้ารู้ว่าไอ้ซันกำลังจะลาออก สงสัยกรี๊ดแต๋วแตกแน่เลยอ่ะ”
“โธ่...พี่เมฆ เป็นเก้งกวางจริงหรือเนี่ย”
นิคกับเอวามองเมฆด้วยความเสียดาย
เมฆ นิค และเอวาเล่นดนตรีด้วยกันบนเวที เมฆเล่นเปียโนแล้วดีดผิด นิคกับเอวาสะดุ้งตกใจ แต่ก็รีบเล่นเนียนๆตามน้ำไป พอเล่นไปได้สักพักเมฆก็เล่นวนอีก นิคกับเอวามองหน้ากันทันที
เวลาผ่านไป เมฆ นิค และเอวาเดินตามกันเข้ามาที่ด้านหลังเวที เมฆตรงไปเก็บของทันที
“แหม...วันนี้นึกว่าจะเล่นเพลงจบสามเที่ยวซะแล้ว” นิคบอก
“นั่นสิคะ พี่เมฆใจลอยไปไหนน้า” เอวาทำเป็นถาม
“พี่ขอโทษนะ พอดีวันนี้ไม่ค่อยสบายน่ะ พี่ไปก่อนนะ”
เมฆเก็บของแล้วเดินหนีทั้งสองไปทันที นิคกับเอวางงเป็นไก่ตาแตก
“เอวา...แกว่าพี่เมฆจะรีบไปไหน” นิคถาม
“ไม่ต้องถาม กลับไปหานายซันแหงๆ” เอวาบอก
เอวากับนิคเดินมาที่ลานจอดรถ สักพักโปรดิวเซอร์ก็เดินตามมา
“นิค” โปรดิวเซอร์เรียก
นิคกับเอวาหันไปหา
“เป็นไงตัดสินใจหรือยัง”
“เอ่อ...ผม...เอ่อ”
เอวาพูดสวนขึ้น “มันไปค่ะพี่”
นิคตกใจที่เอวาตอบแทน เขาจะพูดกับเอวาแต่โปรดิวเซอร์ก็ดึงแขนนิคมาเช็คแฮนด์
“พี่ดีใจมากนะที่เราจะได้ร่วมงานกัน”
นิคยิ้มเจื่อนๆ “ครับ ขอบคุณครับ”
“งั้นเชิญคุยกันตามสบายนะคะ เอวาขอตัวกลับก่อน” เอวาไหว้โปรดิวเซอร์แล้วหันไปหานิค “ยินดีด้วยนะเพื่อนรัก แต่วันนี้แกกลับเองละกัน ฉันง่วงจะรีบไปนอน”
เอวาเดินไปขึ้นรถแล้วขับออกไป นิคมองตามรถเอวาไปด้วยความรู้สึกใจหาย
“เอาล่ะ งั้นพี่จะให้ทางเมืองนอกส่งสัญญามาให้นิคเซ็นนะ” โปรดิวเซอร์บอก
“เอ่อ...พี่ครับผมได้เซ็นเลยเหรอครับ ไม่..ไม่ลองให้ผมทำเดโมให้ทางโน้นฟังหน่อยเหรอคับ เผื่อเขาจะไม่รับ”
“ไม่ต้องแล้ว พี่มีสิทธิ์เลือกเต็มที่”
“งั้นผมต้องไปเมื่อไหร่ครับ”
“พี่ว่าไม่เกินเดือน เลขาของพี่คงจัด process ทุกอย่างคงเรียบร้อย หรือจะเร็วกว่านั้น?”
“เอ่อ...อย่าดีกว่าครับ ผมว่าช้าหน่อยก็ได้สักเดือนสองเดือนผมก็ไม่มีปัญหา”
“ไม่ได้สิ ช้ากว่านี้พี่นี่แหล่ะจะมีปัญหา เอาเป็นว่าตามนี้แล้วกัน ยังไงพี่จะส่งข่าวเรื่อยๆนะ”
โปรดิวเซอร์เดินไปขึ้นรถแล้วขับออกไป นิคมองตามแล้วถอนหายใจด้วยความเซ็ง
ตะวันฉายเก็บเสื้อผ้าและข้าวของต่างๆใส่กระเป๋าด้วยท่าทางซึมๆ เพราะอาลัยอาวรณ์แต่ในที่สุดเธอก็เก็บของเสร็จ ตะวันฉายรูดซิปกระเป๋าแล้วลากไปพิงไว้ที่ประตูห้อง เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น ตะวันฉายเปิดประตูก็เห็นว่าเป็นเมฆที่ยืนอยู่ที่หน้าประตู
“ไง...ไปหาพี่ชายยาวเลยนะ กลับมากี่โมง”
“ค่ำๆครับ”
“เอาล่ะ ฉันจะถือว่าเป็นพี่ชายนาย ไม่หึงก็ได้ งั้นคืนนี้นายไปนอนห้องฉัน”
“ไม่ล่ะครับ คืนนี้คุณนอนห้องคุณ ผมนอนห้องผม”
“ได้ไง เป็นแฟนกันแล้วนะอย่าลืมสิ”
“พรุ่งนี้ก็ไม่เป็นแล้วล่ะครับ”
“นายหมายความว่าไง”
“ผมจะไปจากที่นี่วันพรุ่งนี้ครับ”
“อะไรนะ”
เวลาผ่านไป เมฆกับตะวันฉายยืนอยู่ในห้อง เมฆมองไปรอบๆ ก็เห็นห้องที่เก็บของเรียบร้อยแล้ว เขาหันมาหาตะวันฉาย
“ทำไม” เมฆถามสั้นๆ
“คุณฟ้าเธอดูแลคุณหมอกได้ดีกว่าผมอยู่แล้วนะครับ”
“ตอบไม่ตรงคำถาม”
“ผมจะกลับไปเขียนนิยายตามที่ฝัน”
“ใช่เรื่องที่ฉันจูบนายหรือเปล่า ถ้าใช่ฉันขอโทษนะ”
“ผมอยากกลับไปเขียนงานจริงๆครับ”
“จะไปเมื่อไหร่”
“พรุ่งนี้เช้า”
เมฆจ้องหน้าตะวันฉายนิ่งจนตะวันฉายรู้สึกตัวจึงหยุดเก็บเสื้อผ้าแล้วมองหน้าเมฆ
เมฆพูดขึ้น “อยู่อีกหน่อยได้ไหม”
ตะวันฉายยิ้มเศร้าๆ
“หาโอกาสลาหมอกด้วยนะ” เมฆบอก
ตะวันฉายกับเมฆมองหน้ากันนิ่ง
เมฆเดินออกมาจากห้องตะวันฉายพอปิดประตูได้เขาก็รู้สึกเศร้าใจจึงยืนเอามือลูบประตูด้วยความอาลัย อิงฟ้าเปิดประตูออกมายืนดูเมฆเศร้าแล้วเมฆก็เดินเข้าห้องไป อิงฟ้ายิ้มออกด้วยความพอใจ
“ขอโทษนะเมฆ ฟ้าทำเพื่อครอบครัวของเรา”
เมฆเล่นเปียโนเพลงที่เขาแต่งอยู่ในห้อง เสียงเปียโนดังไปทั้งบ้าน ตะวันฉายนอนตาค้างอยู่บนเตียง เธอได้ยินเสียงเปียโนลอยมาเบาๆ สักพักตะวันฉายก็ลุกขึ้นมองไปที่ห้องข้างล่าง แล้วเธอก็ตัดสินใจอะไรบางอย่าง
เมฆยังเล่นเปียโนใส่อารมณ์ต่อเนื่องเหมือนจะระบายอารมณ์อยู่ในห้องทำงาน ตะวันฉายมายืนอยู่ที่หน้าห้องทำงานของเมฆเพื่อฟังเสียงเปียโนของเมฆ
นิคพลิกซ้ายพลิกขวาแต่ยังนอนไม่หลับเลยได้แต่นอนตาค้างบนเตียง เอวาเองก็นอนไม่หลับอยู่บนเตียงเหมือนกัน เธอนอนมองรูปถ่ายที่เป็นรูปกลุ่มซึ่งมียุทธการอยู่ด้วยทุกรูป สุดท้ายเอวาตัดสินใจคว่ำรูปทุกรูปที่มียุทธการจนเหลือแต่รูปที่มีนิค เอวา และตะวันฉายเอาไว้เท่านั้น
ยุทธการส่งแมสเสจหาตะวันฉายก่อนจะยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
เสียงเปียโนที่เมฆเล่นหยุดลง ตะวันฉายยังยืนอยู่ที่หน้าห้องทำงานของเมฆ เสียงแมสเสจมือถือของเธอดังขึ้นพอดี ตะวันฉายตกใจจึงรีบวิ่งหนีออกไปจากหน้าห้องทำงาน เมฆเปิดประตูห้องทำงานออกมาดูแต่ก็ไม่เห็นใคร เขาจึงกลับเข้าไปในห้องทำงาน
ตะวันฉายกลับเข้ามาในห้องนอนแล้วรีบเปิดเมสเสจอ่าน
“พรุ่งนี้พี่จะมารับแต่เช้านะครับ”
ตะวันฉายล้มตัวลงนอนก่ายหน้าผากด้วยความเครียด
เช้าวันใหม่ ตะวันฉายกำลังจัดโต๊ะอาหารเช้า เมฆเดินลงมาแล้วนั่งมองหน้าตะวันฉายไม่วางตา
“มีอะไรเหรอครับ” ตะวันฉายถาม
“เปล่า” เมฆตอบ
“ไม่ต้องห่วงนะครับ เดี๋ยวผมจะบอกคุณหมอกแล้วจะไปเลย”
เมฆพยักหน้ารับรู้ อิงฟ้าพาหมอกเดินลงมา แล้วเขาก็พาหมอกมานั่งที่โต๊ะ ตะวันฉายเดินไปรินนมที่ตู้เย็น อิงฟ้ารีบเดินตามมาประกบ
“นายคงจะรักษาสัญญานะ” อิงฟ้าบอก
“ครับ หลังจากผมลาคุณหมอกแล้ว ผมไปวันนี้เลย”
ตะวันฉายถือแก้วนมเดินไป อิงฟ้าเดินตาม
“เอ่อ....คุณหมอกครับ คือพี่ซันจะบอกว่า....”
เมฆพูดสวนทันที “เป็นไงหมอกอร่อยไหมลูก มาพ่อป้อนให้นะ”
เมฆเขยิบเก้าอี้มานั่งใกล้ๆ หมอก ตะวันฉายขมวดคิ้วงงที่เมฆพูดแทรกขึ้น อิงฟ้าหงุดหงิดเพราะไม่ได้ดั่งใจ
ตะวันฉายจะพูดใหม่ “คุณหมอกครับ คือ...”
เมฆสวนอีก “ซัน...หมอกกำลังทานข้าวอยู่นะ”
ตะวันฉายยืนเก้อ ส่วนเมฆแอบอมยิ้ม
เมฆจูงหมอกประกบตัวไว้ตลอดในขณะที่เดินมากับอิงฟ้า ตะวันฉายเดินตาม
“คุณเมฆครับ ขอผมคุยกับคุณหมอกสักหน่อยได้ไหมครับ” ตะวันฉายเอ่ยขึ้น
“พ่อครับ หมอกอยากคุยกับพี่ซันครับ” หมอกบอก
เมฆทำเป็นไม่ได้ยิน “เอ....ให้ไอ้เก่งไปซื้อดอกไม้ หายไปเลย”
เก่งวิ่งเข้ามาพร้อมดอกเข็มหนึ่งกำ
“มาแล้วครับคุณเมฆ ดอกไม้ให้คุณหมอก”
“ไอ้เก่ง 12 สิงหาวันอะไร” เมฆถาม
“วันแม่ครับ”
“แล้วเอาดอกเข็มมาทำไม เขาใช้ไหว้ครู”
“โทษทีครับ พอดีแม่เก่งเป็นครู” เก่งบอก
เมฆส่ายหน้า “ไปเปิดประตู เดี๋ยวฉันไปหาซื้อเอง”
เมฆจะอุ้มหมอกขึ้นรถ อิงฟ้ารีบสะกิดตะวันฉาย
ตะวันฉายพูดออกมา “เอ่อ...คุณเมฆครับผมยังไม่ได้คุยกับคุณหมอกเลย”
“นั่นสิเมฆ ให้ซันคุยกับหมอกหน่อยนะ” อิงฟ้าเสริม
เมฆชะงัก “ฟ้ารู้เรื่องเรื่องนี้ด้วยเหรอ”
“เอ่อ...ไม่นี่ ฟ้าไม่รู้อะไร ก็เห็นซันเขาอยากจะคุยกับหมอกแล้วไม่ได้คุย”
เมฆมองอิงฟ้ากับตะวันฉายด้วยความสงสัย
“ไว้คุยตอนหมอกกลับมาแล้วกัน”เมฆพูดกับอิงฟ้า “ฟ้าขึ้นรถเถอะ เดี๋ยวจะสาย ผมต้องรีบกลับมาแต่งเพลงด้วย”
“เมฆไม่อยู่ด้วยกันเหรอ” อิงฟ้าถาม
“เขาให้แต่แม่อยู่ไม่ใช่เหรอ” เมฆบอก
เมฆพาหมอกขึ้นรถ อิงฟ้ารีบขึ้นรถไปด้วยความเซ็ง
ตะวันฉายเดินหน้าเซ็งเข้ามาในห้อง
“ตาบ้าเอ๊ย...ทำอะไรของนายเนี่ย”
ตะวันฉายหยิบโทรศัพท์ออกมากดหายุทธการ ยุทธการที่กำลังขับรถเห็นเบอร์ตะวันฉายก็ยิ้มออกมา
“พี่กำลังจะถึงแล้วซัน รอแป๊บนึงนะ”
“ไม่ต้องแล้วล่ะค่ะพี่ยุทธ”
“ทำไมล่ะ”
“เอ่อ...คือเมื่อเช้าซันตื่นสาย เลยไม่ทันได้ลาน้องหมอก กว่าจะได้เจอกันก็คงตอนเย็น”
“งั้นพี่มารับซันตอนเย็นนะ”
“ไม่เป็นไรค่ะพี่ยุทธ เดี๋ยวซันกลับเองดีกว่า ไม่อยากรบกวนพี่ เดี๋ยวจะเสียเที่ยวอีก”
ยุทธการทำหน้าเซ็งเล็กน้อย
“ก็ได้ ตามใจซัน แต่เรื่องไปส่งที่เกาะห้ามขัดพี่อีกนะ”
เมฆกับอิงฟ้าจูงหมอกมาที่หน้าโรงเรียน โดยหมอกถือพวงมาลัยดอกมะลิมาด้วย
“เดี๋ยวพ่อกลับก่อนนะครับหมอก อยู่กับแม่อย่าดื้อนะครับ” เมฆบอก
“วันนี้หมอกจะเป็นเด็กดี”
เมฆยิ้มแล้วจะเดินไป แต่อิงฟ้าจับแขนเมฆไว้
“ฟ้ารู้นะว่าเมฆกำลังพยามจะรั้งเขาไว้ แต่ยังไงเขาก็ต้องไป”
“ผมรู้ว่าผมดึงใครไว้ไม่อยู่หรอก ประสบการณ์มันมี ผมจำได้ คนอย่างผมเจ็บแล้วจำ” เมฆว่า
เมฆพูดจบก็เดินหนีไป อิงฟ้าจะเดินตามเมฆไปแต่หมอกดึงมืออิงฟ้าไว้
“แม่ครับ ต้องไปทางนี้” หมอกบอก
อิงฟ้ายิ้มหน้าเจื่อนแล้วเดินตามหมอกไป แต่สักพักเธอก็เปลี่ยนใจ
“หมอกครับ เดี๋ยวแม่ไปตามคุณพ่อมาอยู่ในงานด้วยดีกว่านะ”
หมอกงง “พ่อไม่ต้องมาก็ได้ครับ”
“แม่อยากให้มาครับ หมอกไปรอแม่ในโรงเรียนนะครับ”
“แม่มาเร็วๆนะครับ”
หมอกยิ้มแล้วเดินเข้าโรงเรียนไปกับเพื่อน อิงฟ้าหันหลังแล้วเดินกลับไปอย่างรวดเร็ว
อิงฟ้ารีบเดินมาที่หน้าประตู เธอเห็นเมฆกำลังจะออกรถไป อิงฟ้ารีบวิ่งตามไป
“เมฆ...เมฆ”
อิงฟ้าวิ่งตามไปได้สักพักก็ไม่ทันเลยหยุดพักเพราะเหนื่อย พอหันหลังจะเดินกลับอิงฟ้าก็ต้องตกใจเมื่อเห็นฝรั่งคนหนึ่งที่ถนนฝั่งตรงข้าม ฝรั่งคนนั้นใส่แว่นกันแดดใส่หมวกเดินปะปนกับผู้คนและกำลังหันมองดูป้ายถนน ป้ายร้านค้าอยู่
อิงฟ้าตกใจจนหน้าเสีย “เฮลมุท !!”
อิงฟ้ารีบหันหลังกลับจะเดินเข้าโรงเรียนแล้วนึกกลัวว่าหมอกจะไม่ปลอดภัย
อิงฟ้ามองเข้าไปในโรงเรียน “หมอก.....” อิงฟ้าจะเดินกลับเข้าไปแล้วนึกได้ว่าหมอกอาจจะเป็นอันตราย “ไม่ได้”
อิงฟ้ารีบเดินไปอีกทาง ปรากฏว่าฝรั่งคนนั้นเดินตามอิงฟ้าไป อิงฟ้ายิ่งพยามก้มหน้าแล้วเดินหนี
อิงฟ้าวิ่งมาหลบที่มุมหนึ่งแล้วโผล่หน้าออกมาดูฝรั่งให้แน่ใจว่าเป็นเฮลมุทหรือไม่ อิงฟ้าเห็นฝรั่งคนนั้นจากด้านหลังกำลังมองซ้ายมองขวาเหมือนมองหาใครสักคน สักพักก็มีรถตู้ขับผ่านมาบัง พอรถตู้ผ่านไปอิงฟ้าก็ไม่เห็นฝรั่งคนนั้นแล้ว อิงฟ้ายิ่งร้อนใจ
ตะวันฉายเปิดประตูเดินเข้ามาในห้องทำงานของเมฆ ก่อนจะเดินไปที่หน้ารูปธีรภพ
“พี่ธีร์คะ ซันจะไปจากที่นี่แล้วนะคะ” ตะวันฉายยิ้ม “ถึงแม้เราจะไม่ได้เจอกันอีก แต่ซันก็อยากจะบอกว่า ซันดีใจนะคะที่ช่วงเวลาหนึ่งของชีวิตซันได้รู้จักพี่ หลับให้สบายนะคะ”
ตะวันฉายยืนยิ้มให้กับรูปธีรภพ แล้วตะวันฉายก็เดินไปที่เปียโน เธอเห็นกระดาษที่เมฆเขียนเนื้อ “หืม...ใช้คำนี้ดีกว่านะ”
ตะวันฉายเอาปากกาขีดแล้วแก้คำให้ใหม่ เสร็จแล้วเธอก็ลองร้องดูแล้วเมฆก็เปิดประตูเข้ามาพอดี ตะวันฉายสะดุ้ง
“อยู่นี่เอง นึกว่านายไปแล้ว”
“ก็คุณเมฆบอกให้ผมอยู่รอลาคุณหมอกไม่ใช่เหรอครับ ผมก็ต้องรักษาคำพูดสิครับ ไม่เหมือนใครบางคนที่พยายามกันผมเมื่อเช้านี้”
เมฆมองเขม่นแล้วเขกหัวตะวันฉาย
“รู้ดีนักนะ แล้วนี่มาทำอะไร” เมฆมองปากกาในมือตะวันฉายแล้วมองกระดาษที่มีรอยแก้ “เฮ้ย...นี่นายมาแก้เนื้อฉันเหรอ”
หมอกนั่งรออิงฟ้าแบบหงอย ๆ สักพักหมอกก็ชะเง้อมองหาอิงฟ้าแต่กลับเห็นพ่อแม่ของเพื่อนๆเดินเข้ามาในโรงเรียนด้วยท่าทางมีความสุขตามประสาพ่อแม่ลูก เพื่อนหมอก 2 คนถือไอติมเดินตรงมาหาหมอก
“หมอก รอใครอ่ะ”
“รอแม่” หมอกตอบ
“หมอกไม่มีแม่ซะหน่อย”
หมอกโกรธ “เรามีแม่ แม่บอกให้เรารออยู่ที่นี่”
“แล้วแม่เธอไปไหนล่ะ”
หมอกจะร้องไห้ “ไม่รู้ แม่บอกให้เรารออยู่ที่นี่”
เพื่อนคนแรกพูดกับเพื่อนคนที่สอง “เราว่าหมอกไม่ได้มากับแม่หรอก หมอกโกหก”
หมอกร้องไห้ “เราไม่ได้โกหก เรามากับแม่”
“หมอกโกหก ๆๆ หมอกไม่มีแม่ หมอกโกหก” เพื่อนล้อ
หมอกโมโหจึงลุกขึ้นไปชกกับเพื่อนผู้ชาย เพื่อนผู้หญิงร้องไห้ หมอกลุกได้ก็ผลักเพื่อนผู้ชายจนล้มลงไปร้องไห้
หมอกตะโกน “เราไม่ได้โกหก”
หมอกวิ่งออกไปจากที่นั่นทันที ครูกับผู้ปกครองคนอื่นๆ รีบวิ่งมาดูเด็กทั้งสอง
อิงฟ้าเดินตามฝรั่งออกมาแต่ก็ไม่เจอใคร
“ไปไหนแล้ว”
อิงฟ้ามองหาฝรั่งคนนั้นแต่เมื่อไม่เห็นใครเลยจะเดินย้อนกลับไปทางเดิม แต่แล้วเธอก็ต้องตกใจที่ถูกใครคนหนึ่งจับแขนไว้ อิงฟ้าหันกลับไปมองก็เห็นว่าเป็นฝรั่งคนที่เธอตามหา อิงฟ้าตกใจจนหน้าซีด
ฝรั่งคนนั้นยิ้มให้อิงฟ้าก่อนจะถอดแว่นถอดหมวกออกช้าๆ อิงฟ้ากลัวจนปากคอสั่นก่อนจะพบว่าเขาไม่ใช่เฮลมุท
“Excuse me, where is the nearest exchange booth?” ฝรั่งถาม
อิงฟ้าถอนใจด้วยความโล่งอก
อิงฟ้าเดินกลับมาที่โรงเรียนแล้วมองหาหมอก แต่ก็ไม่เห็นอิงฟ้าเริ่มเดินดูตามสนามแต่ก็ไม่มี อิงฟ้าเดินกลับมาตรงที่หมอกคุยกับเพื่อนแล้วเดินไปถามครูที่อยู่ใกล้ๆ
“คุณครูคะ ไม่ทราบว่าเห็นหมอกไหมคะ เมื่อกี้ดิฉันให้เขามารอในโรงเรียน”
ครูเดินไปถามเพื่อนๆของหมอก แล้วเดินกลับมาหาอิงฟ้าพร้อมเพื่อนหมอกทั้งสองที่ถูกหมอกชกและแม่ของพวกเขา
“เพื่อนเขาบอกเมื่อกี้ก็อยู่ตรงนี้ค่ะ” ครูบอก
“คุณเองเหรอที่ว่าเป็นแม่หมอก ทำไมสอนลูกให้เป็นอันธพาล ดูสิมาชกลูกฉัน เด็กอะไรพ่อแม่ไม่สั่งไม่สอน”
“คุณครูคะ ช่วยฉันตาหาหมอกหน่อยได้ไหมคะ”
อิงฟ้ากับครูจะเดินไปแต่ผู้ปกครองขวางไว้ อิงฟ้ารำคาญจึงผลักให้หลีกไป ผู้ปกครองทั้งอึ้งทั้งโมโห
อิงฟ้าเดินตามหาหมอกหลายๆจุดจนโรงเรียนเข้า เด็กๆมายืนเข้าแถวกัน อิงฟ้าเริ่มใจไม่ดี
“หมอก...หมอกอยู่ไหนลูก”
ครูก็ช่วยมองหา อิงฟ้าเดินดูเด็กผู้ชายทุกคนที่แถว
เมฆเล่นเปียโน ตะวันฉายร้องเพลง แล้วทั้งสองก็ทะเลาะกัน
“เห็นไหม ของฉันเพราะกว่า” เมฆว่า
“ไม่เลย คำของคุณมันไม่มีสัมผัสใน” ตะวันฉายบอก
“ขอโทษนะ นี่เพลงไม่ใช่แต่กลอนสุนทรภู่ มันไม่จำเป็นต้องมีสัมผัสนอกสัมผัสใน หรือสัมผัสพิศวงอะไรทั้งนั้น”
“แต่มีแล้วมันเพราะกว่า”
“คำของนายมันโบราณ”
ตะวันฉายโมโห “ไม่รู้ล่ะคุณต้องใช้คำนี้”
“เย้ย นี่มันเพลงใครวะ”
ตะวันฉายตวาดเสียงดุ “เพลงคุณ แต่ผมจะเอาคำนี้”
เมฆสะดุ้งตกใจที่เห็นตะวันฉายมาดดุ ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ของเมฆก็ดังขึ้น
“พักก่อน เดี๋ยวนายกับฉันมาตีกันต่อ” เมฆกดรับสาย “ว่าไงฟ้า”เมฆตกใจ “อะไรนะ หมอกหายไป เดี๋ยวผมจะไปเดี๋ยวนี้”
เมฆกดปิดโทรศัพท์แล้วรีบวิ่งออกไปทันที ตะวันฉายตกใจแต่ก็รีบวิ่งตามไปด้วย
เมฆกับตะวันฉายรีบวิ่งหน้าตื่นเข้ามาในโรงเรียน อิงฟ้าที่รออยู่ใจไม่ค่อยดี
“หมอกหายไปได้ไง” เมฆถาม
“ฟ้าให้แกเดินเข้ามารอที่ในนี้ แต่พอฟ้ามาก็ไม่เจอแล้วอ่ะ”
เมฆโมโหจึงตวาดอิงฟ้า “แล้วฟ้าทำไมไม่อยู่กับหมอก”
“เอ่อ...คือ..ฟ้าเจอเพื่อน เลยเข้าไปทักทาย”
“ทักเพื่อน มันนานขนาดลูกหายแล้วยังไม่รู้อีกเหรอ”
“คุณเมฆครับ ผมว่าตามหาคุณหมอกก่อนเถอะ เรื่องอื่นค่อยว่ากัน” ตะวันฉายบอก
ตะวันฉายไม่รอเมฆตอบ เธอรีบวิ่งไปทันที
“ซัน...รอด้วย” เมฆเรียก
เมฆวิ่งตามตะวันฉายไป อิงฟ้าทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดแรง
หลังจากแยกย้ายกันตามหา เมฆกับตะวันฉายก็วิ่งมาเจอกันที่สนาม
“ได้เรื่องอะไรไหมครับ” ตะวันฉายถาม
“ยามหน้าโรงเรียนบอกไม่เห็นเด็กเดินย้อนออกไปทางประตูใหญ่ ของนายล่ะ”
“ครูกับเพื่อนๆก็บอกว่าเห็นคุณหมอกครั้งสุดท้ายตรงที่คุณฟ้าบอก”
เมฆเจ็บใจ “แล้วนี่เราจะไปหาที่ไหน”
“คุณเมฆครับ มีที่ไหนที่คุณหมอกชอบไปเล่นเป็นพิเศษในโรงเรียนไหมครับ”
เมฆพยายามนึก “ก็มีสนามเด็กเล่น สระน้ำก็ดูแล้ว โรงอาหารหมอกชอบไปซื้อขนม”
“ไม่มีครับผมไปดูแล้ว พนักงานที่นั่นก็ไม่เห็น”
“งั้นหมอกจะไปไหนได้”
“เอางี้ มีที่ไหนที่คุณเมฆไม่ชอบให้คุณหมอกไปเล่น แต่คุณหมอกอยากไปหรือแอบไปไหมครับ”
“จริงด้วย บ้านภารโรง”
เมฆรีบวิ่งไป ตะวันฉายรีบวิ่งตามทันที
ตะวันฉายในม่านเมฆ ตอนที่ 10 (ต่อ)
เมฆกับตะวันฉายวิ่งมาถึงหลังบ้านภารโรง ทั้งสองพยายามมองหาแต่ก็ไม่เห็นหมอก
“ทำไมคุณหมอกถึงอยากมาเล่นที่นี่ครับ” ตะวันฉายถาม
“หมอกอยากได้ลูกหิน แต่ฉันไม่ซื้อให้ หมอกกับเพื่อนๆเลยชอบมาปั้นดินเล่นตรงนี้” เมฆถอนใจ “แต่ถ้าไม่มีก็แสดงว่าหมอกไม่ได้มาตรงนี้”
ตะวันฉายไม่สนใจ เธอพยายามเดินหาหมอก
“ซัน ไปดูที่อื่นเถอะ” เมฆชวน
เมฆจะเดินไปแต่ตะวันฉายยังไม่ยอมไป
ตะวันฉายตะโกน “คุณหมอกครับ”
พอตะวันฉายตะโกนเมฆก็งงว่าจะทำอะไร
“ออกมาเถอะ คุณพ่อ คุณแม่ พี่ซันเป็นห่วง คุณหมอกอย่าทำแบบนี้เลยนะครับ ถ้าคุณหมอกไม่ออกมา แสดงว่าคุณหมอกโกรธพี่ซัน ไม่รักพี่ซันแล้ว พี่ซันเสียใจนะครับ คุณพ่อก็เสียใจคุณหมอกไม่รักคุณพ่อ ไม่รักคุณแม่ ไม่รักพี่ซันแล้วเหรอครับ”
เสียงหมอกดังออกมา “รักครับ”
เมฆกับตะวันฉายหันมองหน้ากันแล้วก็ยิ้มดีใจ
เมฆกับตะวันฉายพูดพร้อมกัน “หมอก / คุณหมอก”
ทั้งสองวิ่งไปตามเสียงจนเห็นหมอกนั่งกอดเข่าอยู่ในซอกเล็กๆ ในสภาพใบหน้ามีแต่คราบน้ำตา พอเห็นหน้าเมฆกับตะวันฉายหมอกก็โผออกมากอดทั้งคู่พร้อมกัน
เมฆร้องไห้ “หมอก อย่าทำอย่างนี้อีกนะลูก พ่อเป็นห่วงหมอกนะครับ”
ตะวันฉายดูเมฆกอดหมอกร้องไห้แล้วก็ยิ้มปลื้มปิติ
“หมอก ทำไมลูกมาอยู่นี่ละครับ”
“หมอกมาตามหาแม่ครับ เพื่อนๆล้อหมอกอีกแล้วครับพ่อ เขาหาว่าหมอกโกหก หมอกจะให้เขาเห็นแม่”
เมฆจูบหน้าผากหมอกแล้วกอดหมอกแน่น
เมฆ ตะวันฉาย อิงฟ้าและผู้ปกครองเด็กคู่กรณีหมอกนั่งอยู่หน้าโต๊ะครูในห้องพักครู
“ยังไงคุณครูก็ต้องลงโทษน้องหมอกให้รู้จักหลาบใจด้วยนะคะ ฉันไม่ยอมให้เด็กเกเรพ่อแม่ไม่สั่งสอนแบบนี้มาทำลูกฉันเจ็บแน่” ผู้ปกครองว่า
ตะวันฉายแย้งขึ้น “แต่เท่าที่ทราบลูกคุณก็มาล้อคุณหมอกก่อนนะ”
“แล้วไง ลูกฉันก็แค่ล้อ จะอะไรนักหนา”
“เพราะคุณเป็นคนนิสัยแย่อย่างนี้ไง ลูกคุณถึงนิสัยไม่ดี ถามจริงๆเถอะ พ่อแม่คุณบังคับให้คุณมีปากเสียมีนิสัยอันธพาลแบบนี้เหรอ ถึงต้องถ่ายทอดต่อให้รุ่นลูกน่ะ” ตะวันฉายว่า
ผู้ปกครองโกรธจัด “นี่...แกก็แค่พี่เลี้ยงเด็กนะ รู้ไหมว่าฉันเป็นใคร”
“รู้ แต่ไม่แคร์” ตะวันฉายพูดกับหมอก “ไปกันเถอะครับคุณหมอก”
ตะวันฉายหันไปก็เห็นเมฆกับอิงฟ้ายืนตะลึงอยู่
“ไปสิครับ จะอยู่ทำไม เราไม่ผิด” ตะวันฉายบอก
ผู้ปกครองรีบวิ่งมายืนขวาง ตะวันฉายเดินชนจนล้มไปทันที
เมฆกับอิงฟ้ารีบเดินตามตะวันฉายที่เดินจูงหมอกออกไป ผู้ปกครองลุกขึ้นมาด้วยความโมโห
“ทำไมครูไม่จัดการพวกนั้น รู้ไหมว่าฉันเป็นใคร”
ครูส่ายหน้าระอาใจกับผู้ปกครองคนนี้
เมฆ ตะวันฉาย อิงฟ้า และหมอกเดินมาหยุดที่มุมหนึ่ง อิงฟ้าเดินมาแกะมือตะวันฉายออกแล้วจะจูงมือหมอกเอง แต่หมอกสะบัดแล้วไปกอดแขนตะวันฉาย
“หมอก ไม่เข้างานกับแม่เหรอลูก” อิงฟ้าถาม
หมอกหันหน้าหนีทันที
“หมอก” อิงฟ้าเสียใจ “แม่ขอโทษ เดี๋ยวแม่จะไปหาเพื่อนๆของหมอกไงครับ”
“ไม่...หมอกไม่ไปโรงเรียนแล้ว”
“ฟ้า...กลับไปบ้านก่อนเถอะ” เมฆบอก
“วันนี้วันแม่นะเมฆ”
“แต่คงไม่ใช่วันของฟ้า” เมฆว่า
อิงฟ้ารู้สึกจุกกับคำพูดของเมฆ แล้วเธอก็เดินจากไป เมฆนั่งลงกอดหมอก หมอกร้องไห้
“ไม่เป็นไรนะครับหมอก วันนี้หมอกไม่อยากไปโรงเรียน เราก็ไม่ไปเน๊อะ ยังไงก็ไม่มีเรียนอยู่แล้วก็ไม่ถือว่าหนีเรียน งั้นเดี๋ยวเราไปเที่ยวกันแทนแล้วกัน”
หมอกดีใจ “จริงนะครับพ่อ”
เมฆพยักหน้ารับ
“เอ่อ...คุณเมฆครับ งั้นผมขอลาคุณหมอกตรงนี้เลยแล้วกัน” ตะวันฉายพูด
“พี่ซันจะไปไหน” หมอกถาม
“คือพี่จะ....”
เมฆพูดสวนขึ้น “ซัน...ขอเวลาอีกนิดได้ไหม อยู่กับฉันกับหมอกหน่อยนะ”
“แต่คุณจะไปเที่ยว”
“ก็ไปด้วยกันไง”
“พี่ซันไปด้วยกันนะครับ”
เมฆอ้อน “ไปน้า...ไปนะตะเอง”
ตะวันฉายกลอกตาด้วยความเซ็ง
เมฆกับตะวันฉายจูงหมอกเดินเข้าสวนสนุก ทั้งสามคนไปอยู่บนเครื่องเล่นเครื่องต่างๆ และเล่นกันอย่างสนุกสนาน ทั้งสามไปเล่นม้าหมุนและถ่ายรูปกันไปอย่างสนุกสนาน
หมอกเต้นกังนัมสไตล์ที่ลานน้ำพุ แล้วเมฆกับตะวันฉายก็มาร่วมเต้นด้วยกันอย่างสนุกสนาน
เมฆกับหมอกนั่งกินไอศกรีมด้วยกัน สักพักก็มีตัวการ์ตูนมาสค็อทมาเต้นโชว์แล้วยื่นลูกโป่งให้หมอก หมอกรับลูกโป่งไว้แล้วกระโดดกอดตัวมาสค็อททำให้ลูกโป่งหลุดมือไป
“พ่อครับ ลูกโป่งลอยไปแล้ว”
เมฆ หมอก และตัวมาสค็อทวิ่งไล่ตามลูกโป่งไปเรื่อยๆ สักพักตัวมาสค็อทก็แอบวิ่งไปหยิบลูกโป่งของเด็กคนหนึ่งมา
เมฆกับหมอกมานั่งกินน้ำด้วยกัน หมอกเห็นตัวมาสค็อทมานั่งข้างๆแล้วเอาลูกโป่งยื่นให้ หมอกรับมา
“พ่อครับ แล้วพี่ซันล่ะ” หมอกถาม
“นั่นสิ ซันหายไปไหนล่ะ”
ตัวมาสค็อทถอดหัวออกทำให้เห็นว่าเป็นตะวันฉาย
“พี่ซัน !!”
“พี่ซันนึกว่าไม่มีใครคิดถึงพี่ซันแล้วนะเนี่ย พี่ซันร้อนจังเลยครับ” ตะวันฉายบอก
หมอกยื่นขวดน้ำของตัวเองให้ ตะวันฉายยิ้มแล้วรับมา เมฆยิ้มตาม ตะวันฉายเห็นก็แกล้งทำเมิน
“พี่ซันไปเปลี่ยนชุดก่อนนะครับ” ตะวันฉายบอก
ตะวันฉายเดินออกไป ทำให้เมฆกับหมอกนั่งอยู่ด้วยกันสองคน
“ถ้าพ่อหายไป จะมีใครคิดถึงพ่อมั้ยนะ” เมฆถาม
“ไม่คิดถึงครับ”
“โธ่ พ่อนี่น่าสงสารจริงๆ ขนาดลูกชายยังไม่คิดถึงเลย”
“พ่อจะหายไปไหนเหรอครับ”
“พ่อไม่หายไปไหนหรอกลูก”
“ที่หมอกไม่คิดถึงพ่อ เพราะรู้ว่าพ่อไม่มีทางทิ้งหมอกไงครับ”
เมฆยิ้มกว้างแล้วดึงหมอกเข้ามากอด หมอกหอมแก้มเมฆ เมฆหอมหมอกกลับ ตะวันฉายที่เปลี่ยนชุดเสร็จแล้วเดินมาเห็นสองพ่อลูกหอมแก้มกันไปกันมาก็เผลอยิ้มออกมา
หมอกขี่หลังเมฆแล้วก็หลับไป
“หมอก ดูโน่นสิครับ” เมฆชวนให้ลูกชายดู
“หลับไปแล้วครับ” ตะวันฉายบอก
“อ้าว...คนเก่งหลับซะงั้น”
เมฆพาหมอกไปนั่งใต้ร่มไม้ใหญ่ ตะวันฉายปูผ้าให้หมอกนอนหนุนตักของเธอ หมอกงัวเงียขึ้นมา ตะวันฉายเห็นก็เลยฮัมเพลงของเมฆเพื่อกล่อมให้หมอกนอน
“ทุกทุกเช้าที่ตื่นมา ฮัมเพลงเดิมซ้ำไปมา เพลงที่แต่งแต่ไม่จบสักที”
เมฆร้องต่อ “ทำนองก็เพราะดี คงเพราะคนแต่งทำนองเก่ง”
เมฆทำเป็นยืดออก ตะวันฉายมองหน้าด้วยความหมั่นไส้
“เฮ้อ...แต่เนื้อร้องที่แต่งมั่วๆเนี่ยสิ ไม่ไหว...ม่ายหวาย” เมฆแซว
“ก็ผมจะร้องของผมแบบนี้อ่ะ”ตะวันฉายทำเป็นไม่สนใจแล้วก็ร้องเพลงต่อ “เธอมาช่วยเติมคำร้อง ลงไปในท่วงทำนอง”
เมฆนิ่งฟังแล้วก็เริ่มรู้สึกว่าเพราะขึ้นมา
“หยุดร้องได้แล้ว” เมฆบอก
“จนเกิดเพลงนี้...” ตะวันฉายยังร้องต่อ
เมฆหยิบโทรศัพท์มาเตรียมกดอัดโดยยื่นไปที่ปากตะวันฉาย
“ร้องใหม่ตั้งแต่แรกได้ไหม” เมฆขอ
“หืมม...ไหนว่าเนื้อผมไม่ดีไง”
“ก็ไม่ดีน่ะสิ จะเอาไปเทียบดูว่าเนื้อไม่ดีเป็นไง ร้องเลย”
“ไม่ร้อง”
“อย่าเยอะ...ร้องเร็ว”
ตะวันฉายค้อนก่อนจะเริ่มร้องเพลงใหม่อีกรอบ เมฆยื่นโทรศัพท์ไปอัดเสียง ตะวันฉายร้องเพลงอย่างมีความสุข ส่วนเมฆก็ฟังอย่างมีความสุข
เมฆ ตะวันฉาย และหมอกเดินลงมาจากรถ เมฆเดินมามองหน้าตะวันฉายด้วยความอาลัย
ตะวันฉายกระซิบบอกเมฆ “เดี๋ยว ผมอาบน้ำให้คุณหมอกแล้วค่อยไปนะครับ”
เมฆยิ้มรับเศร้าๆ
เมฆกับตะวันฉายพาหมอกกลับเข้ามาในบ้าน อิงฟ้านั่งรออยู่ อิงฟ้าจะเข้าไปกอดหมอกแต่หมอกหลบ
“เมฆ...ช่วยพูดกับหมอกหน่อย” อิงฟ้าบอก
“ฟ้า อย่าว่าแต่หมอกเลย ผมเองก็คิดเหมือนหมอก”
“เมฆจะประชดประชันฟ้ายังไงก็ได้ค่ะ แต่ฟ้าสัญญาว่าจะไม่ทำให้หมอกตกใจอย่างนี้อีก”
“ผมไม่ไว้ใจฟ้าอีกแล้วล่ะ” เมฆว่า
“เมฆ!!!”
“คุณเมฆครับ คุณฟ้าเธอก็สัญญาแล้ว ยกโทษให้คุณฟ้าเถอะนะครับ” ตะวันฉายขอ
“นายไม่รู้จักเขาดีพออย่าพูดดีกว่า”
“คุณเมฆ ลืมแล้วเหรอครับว่าคุณให้คุณฟ้ามาอยู่ที่นี่เพราะอะไร ไม่ใช่เพราะคุณหวังดีกับคุณหมอกอยากให้แกได้รับความรักจากแม่ไม่ใช่เหรอครับ” ตะวันฉายบอก
เมฆนิ่งเงียบแล้วก็คิดตาม ตะวันฉายนั่งลงใกล้ๆ หมอก
“คุณหมอกครับ โกรธคุณแม่เหรอ” ตะวันฉายถาม
“ครับ”
“คุณหมอกเคยทำผิดไหมครับ อย่าเวลาซนแล้วคุณพ่อโมโหอ่ะมีไหม”
“มี ก็ไปเล่นที่บ่อโคลนไงครับ หรือเล่นน้ำไม่ยอมขึ้น”
“คุณแม่ก็เหมือนกันนะครับ วันนี้คุณแม่อาจจะเผลอซนไปนี้ดเดียวเอง เลยมาช้าไปหน่อย เหมือนคุณหมอกเล่นน้ำไม่ยอมขึ้นไง คุณหมอกจะโกรธคุณแม่ทั้งวันเลยเหรอ”
“หมอกอยากอวดแม่กับเพื่อน” หมอกบอก
“พรุ่งนี้ก็อวดได้ วันต่อๆไปก็อวดได้นี่ครับ ยังไงตอนนี้คุณแม่ก็มาอยู่กับคุณหมอกแล้ว ไปทั้งรับทั้งส่งยังได้เลยจริงไหม พรุ่งนี้พาไปอวดทั้งห้องเลยนะครับ” ตะวันฉายบอก
หมอกนิ่งเงียบ ตะวันฉายพูดต่อ
“พี่ซันรู้ว่าคุณหมอกไม่โกรธคุณแม่แล้ว เพราะอะไรรู้ไหมครับ เพราะคุณหมอกเป็นลูกผู้ชาย เป็นสุภาพบุรุษ แล้วก็เป็นเด็กดีไงครับ พี่ซันพูดถูกใช่ไหม”
หมอกยิ้ม “ครับ”
หมอกพยักหน้ารับ อิงฟ้าดีใจจึงเข้ามากอดหมอกแล้วก็ร้องไห้
เมฆกับตะวันฉายมองอิงฟ้ากับหมอกกอดกันด้วยความซึ้งใจ
ตะวันฉายถือเป้เดินลงมาเจออิงฟ้าดักอยู่ที่หน้าบันได
“ถึงฉันจะไม่ชอบหน้านาย แต่ก็ขอบใจนะที่ช่วยพูดเรื่องหมอก” อิงฟ้าบอก
“ไม่เป็นไรครับ”
“เมฆกับหมอกรอส่งนายอยู่ที่หน้าบ้าน โชคดีนะ”
ตะวันฉายพยักหน้ารับ แล้วอิงฟ้าก็เดินขึ้นไปข้างบน
ตะวันฉายยืนคุยกับเมฆ หมอก และเก่งที่ริมสระน้ำหน้าบ้าน
“อยู่ต่ออีกหน่อยได้ไหม หมอกกำลังต้องการนาย” เมฆขอ
“คุณเมฆครับ คุณหมอกต้องการคุณฟ้า” ตะวันฉายบอก
“นายจะไปแน่?”
“ครับ...มันถึงเวลาแล้ว”
“ฉันไม่เข้าใจ เวลาอะไรของนาย”
“คุณไม่ต้องเข้าใจหรอกครับ ผมบอกได้เพียงว่า ผมอยู่อย่างนี้ตลอดไม่ได้ มันไม่ใช่ชีวิตผม”
“แล้วฉันจะได้เจอนายอีกไหม” เมฆถาม
ตะวันฉายยิ้มเจื่อนๆ “คุณเมฆ ผมไม่ใช่เกย์”
“ตอบไม่ตรงคำถามอีกแล้วนะ”
“ไม่ครับ ลาก่อนนะครับ”
ตะวันฉายเดินไปหาหมอกแล้วกอดหมอก
“พี่ซัน...” หมอกร้องไห้
“ไม่เอาครับ อย่าร้องไห้ พี่ซันบอกแล้วไงว่าคุณหมอกเป็นเด็กดี เป็นสุภาพบุรุษ ลูกผู้ชายต้องไม่ร้องไห้นะครับ”
“แล้วพี่ซันจะมาหาหมอกอีกไหม” หมอกถาม
ตะวันฉายตอบไม่ได้จึงดึงหมอกเข้ามากอดแทน
“พี่ไปนะครับเด็กดีของพี่ซัน”
ตะวันฉายลุกขึ้นแล้วสะพายเป้เดินไป เก่งเดินตามไปด้วย หมอกจับมือเมฆแล้วก็ร้องไห้
“พ่อพี่ซันไปแล้ว” หมอกตะโกน “พี่ซัน...พี่ซัน”
ตะวันฉายหันมาโบกมือแล้วรีบหันกลับเดินต่อไปกับเก่ง
“เอ็งนี่ใจแข็งนะ เป็นพี่ร้องไห้ไปแล้ว” พูดแล้วเก่งก็ร้องไห้
ตะวันฉายทำตลก “แหมพี่เก่ง ผมไม่ได้ไปตายนะ”
พูดจบตะวันฉายก็ปาดน้ำตา เก่งเห็นพอดี
“เอ็งร้องไห้เหรอ”
“เปล่านี่พี่ ผมไปนะพี่เก่ง”
“โชคดีนะน้องรัก” เก่งอวยพร
เก่งกับตะวันฉายกอดกัน แล้วตะวันฉายก็เดินออกจากประตูรั้วไป
เมฆอุ้มหมอกขึ้นมา หมอกกอดเมฆแล้วร้องไห้ เมฆยิ้มจางๆด้วยความเศร้า
“โชคดีนะซัน”
ยุทธการช่วยหิ้วกระเป๋าให้ตะวันฉาย ทั้งสองเดินเข้ามาในรีสอร์ท เกริกไกรกับสายรุ้งเดินเข้ามาต้อนรับด้วยความตื่นเต้นยินดี
“ผู้จัดการคนเก่งของแม่ กลับมาแล้วเหรอลูก”
ตะวันฉายฝืนยิ้มแล้วไหว้พ่อกับแม่
“ขอบใจนะยุทธที่พาเจ้าตัวแสบกลับมาบ้านจนได้” เกริกไกรบอก
“ผมไม่ได้ทำอะไรหรอกครับอาเกริก ซันเขายอมกลับเอง ผมถึงได้พามาส่ง ไม่งั้นใครจะบังคับเขาได้ล่ะครับ” ยุทธการบอก
“ก็จริง... ดันเอาเชื้อดื้อของพ่อมาเยอะ” สายรุ้งแขวะ
“อ้าวโบ้ยเลยนะแม่”
อ้อเดินถือน้าส้มมาเสิร์ฟให้ตะวันฉายกับยุทธการ
“น้ำส้มคั้นสดๆหวานเย็น ชื่นใจ มาแล้วค่ะ”
“ไง อ้อ ดีใจไหม ผู้จัดการคนเก่งกลับมาแล้ว เธอจะได้ไม่ต้องเหนื่อยอยู่คนเดียว” เกริกไกรถาม
“ดีใจอะไรล่ะคะ อ้อรอเลื่อยขาเก้าอี้ จะเทคโอเวอร์ตำแหน่งผู้จัดการของคุณซันอยู่เนี่ยค่ะ”
สายรุ้งเงื้อมะเหงกทำท่าจะเขกหัวอ้อ อ้อยิ้มทะเล้น
อ้อพูดกับตะวันฉาย “อ้อล้อเล่นนะคะ”
ตะวันฉายไม่พูดเล่นกับใคร “พ่อแม่คุยกับพี่ยุทธตามสบายนะคะ ซันเหนื่อย ขอไปพักก่อน” ตะวันฉายหยิบแก้วน้ำส้มเดินออกไป
ทุกคนมองตามอย่างงงๆ
“ไหนว่าไม่มีใครบังคับให้กลับบ้าน แล้วไหงทำหน้าอย่างกับจะเข้าแดนประหาร” เกริกไกรงง
สายรุ้งตีแขนเกริกไกร
ยุทธการมองตามตะวันฉายด้วยความเป็นห่วง “ซันเขามีเรื่องไม่สบายใจตอนอยู่กรุงเทพน่ะครับ แต่คุณอาไม่ต้องห่วงนะครับ เรื่องมันจบไปแล้ว แล้วผมจะอยู่ช่วยดูแลซันอีกแรง ผมลางานไว้แล้ว”
สายรุ้งกับเกริกไกรมองหน้ากันแล้วยิ้มออก
“ขอบใจนะจ๊ะ ยังไงอาฝากน้องด้วย”
ยุทธการยิ้มรับก่อนจะมองไปทางตะวันฉายที่เดินไปอย่างเป็นห่วง
ตะวันฉายนั่งเหงาอยู่ริมสระว่ายน้ำพลางนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต...
ตะวันฉายนึกถึงตอนที่เมฆมองตามเธอด้วยความเศร้าใจ ส่วนหมอกเองก็กอดเมฆไว้แล้วทนไม่ไหวจึงร้องไห้เรียกตะวันฉาย ตะวันฉายพยายามจะไม่ร้องแต่ก็เดินปาดน้ำตาโดยไม่ยอมหันหลังกลับไป
เมื่อนึกถึงเหตุการณ์นั้น ตะวันฉายก็น้ำตารื้นขึ้นมาเพราะคิดถึงเมฆกับหมอก อยู่ๆ ก็มีแก้วน้ำหวานสีสวยใส่น้ำแข็งยื่นมาตรงหน้า ตะวันฉายรีบกระพริบตาเพื่อไล่น้ำตาก่อนจะหันไปมอง ตะวันฉายเห็นว่าเป็นยุทธการที่ส่งเครื่องดื่มมาให้พร้อมรอยยิ้มอบอุ่น ตะวันฉายฝืนยิ้มตอบ
“ขอบคุณค่ะพี่ยุทธ”
ตะวันฉายรับเครื่องดื่มไปวางพอหันกลับมา ยุทธการก็นั่งยองๆ อยู่ข้างเก้าอี้พร้อมกับมองตะวันฉายอย่างห่วงใย
“พี่รู้ ว่าซันยังช็อคกับข่าวการเสียชีวิตของธีรภพ”
ตะวันฉายเพิ่งจะคิดถึงธีรภพ “จริงด้วย... พี่ธีร์...” ตะวันฉายเห็นยุทธการมองอยู่ก็รีบเปลี่ยนท่าที “เอ่อ ค่ะ ซันคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าพี่ธีร์จะตายไปแล้ว”
“พี่รู้ว่าเขาเป็นคนที่ซันจะไม่ลืม และคิดถึงเขามาก”
ตะวันฉายคิดแล้วก็ยืนยันกับตัวเอง “ก็ควรจะเป็นอย่างนั้น...”
ยุทธการกุมมือตะวันฉาย “แต่ในเมื่อไม่มีเขาแล้ว พี่ยุทธคนนี้ก็จะขอเป็นดูแลหัวใจของซันเอง”
ตะวันฉายอึ้งไป “พี่ยุทธ...”
“พี่ไม่ได้ขอให้ซันต้องมาดูแลหัวใจพี่เป็นการตอบแทนหรืออะไร แค่ให้พี่ได้ดูแลซัน พี่สัญญาว่าจะทำให้ดีที่สุด ให้พี่ได้ดูแลซันได้ไหม?”
ตะวันฉายมองหน้ายุทธการแต่ก็ยังไม่มีคำตอบ ทันใดนั้นเสียงเฮลมุทก็ดังขึ้นใกล้ๆ
“ขอโทษครับ”
ตะวันฉายกับยุทธการผละออกจากกัน ก่อนจะหันไปมองจนเห็นเฮลมุท แต่ยุทธการไม่ได้เอะใจ
“เมื่อครู่ผมนั่งตรงนี้ สงสัยจะทำกุญแจห้องตกไว้ คุณเห็นมั่งหรือเปล่าครับ” เฮลมุทถาม
ทั้งสองช่วยกันก้มดูที่พื้น แล้วตะวันฉายก็เห็นกุญแจตกอยู่ข้างๆ บริเวณที่เธอนั่งอยู่ ตะวันฉายหยิบให้
“อยู่นี่ค่ะ”
เฮลมุทรับไป “ขอบคุณครับ” เฮลมุทเดินออกไป
ตะวันฉายเห็นว่าเป็นโอกาสที่จะปลีกตัวจากยุทธการจึงรีบลุกออกไปบ้าง
“ชักร้อนแล้วล่ะพี่ยุทธ เข้าไปข้างในดีกว่า ป่านนี้แม่เตรียมของว่างให้เสร็จแล้ว”
“เดี๋ยวสิ ซัน!”
ตะวันฉายไม่รอเธอรีบโฉบหนีไป ยุทธการมองตามแล้วก็ได้แต่ถอนใจ
หมอกนั่งดูทีวีอยู่ในบ้าน โดยมีเก่งนั่งอยู่เป็นเพื่อน อิงฟ้าถือจานเค้กเดินเข้ามามองหมอกแล้วอมยิ้มอย่างมีแผน อิงฟ้าเดินยิ้มเข้ามา
“เค้กช็อคโกแล็ตของโปรดของใครเอ่ย...?”
หมอกหันมองอิงฟ้าแล้วนิ่งไป แล้วเขาก็หันมาดูทีวีต่อโดยแกล้งทำไม่สนใจเค้ก
อิงฟ้าอึ้งไปเล็กน้อยแต่ก็พยายามยิ้มแย้มพร้อมกับถือจานเค้กเข้ามาใกล้
“เค้กช็อคโกแลทนุ่มๆนิ่มๆ มีเด็กแถวนี้ชอบกินนี่นา ทำไมวันนี้ทำเป็นเฉย”
หมอกฝืนใจตัวเองด้วยการไม่หันไปมอง
“ก็ได้... หมอกไม่กิน งั้นแม่กินเองแล้วนะ” อิงฟ้ายั่ว
หมอกมองอิงฟ้าที่ทำท่าจะกินเค้กแล้วก็ส่ายหน้าเหมือนเหนื่อยใจกับแม่ ก่อนจะเดินออกไป
อิงฟ้าตกใจรีบวางจานเค้กแล้วเดินตามไป “หมอก เดี๋ยวก่อน หมอก!”
เก่งได้แต่มองตามอย่างเหนื่อยใจไปด้วย
“รู้ซะบ้างว่าลูกใคร ทั้งฟอร์มจัด ทั้งขี้น้อยใจ ถอดแบบคุณเมฆมาเปี๊ยบ!” เก่งถอนใจ
อิงฟ้าเดินตามมาจับตัวหมอกไว้ได้ เธอคุกเข่าลงกอดลูกชายเอาไว้ ส่วนเก่งวิ่งตามมายืนดูห่างๆ“วันนี้หมอกเป็นอะไรครับ โกรธอะไรแม่หรือเปล่า”
“หมอกโกรธทุกคนแหล่ะ” หมอกบอก
“โกรธทุกคน พี่เก่งด้วยเหรอ” อิงฟ้าถาม
หมอกพยักหน้ารับ
“อ้าว...คุณหมอกครับ เมื่อกี้ยังดูทีวีด้วยกันอยู่เลย ไหงมาแตกคอกับพี่เก่งด้วยล่ะครับ” เก่งถาม
“ก็ทุกคนไม่คิดถึงพี่ซันเหรอ ทำไมไม่ตามพี่ซันกลับมา”
อิงฟ้าชะงักไปทันที
“หมอกอยากเล่นกับพี่ซัน”
ยิ่งได้ยินเรื่องตะวันฉายอิงฟ้าก็ยิ่งไม่ชอบใจ แต่เธอก็เก็บอาการไว้
“ซันเค้าไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ไม่มีใครตามเค้ากลับมาได้แล้วล่ะ หมอกอย่าคิดถึงเค้าเลยนะลูก”
“แต่หมอกคิดถึงพี่ซัน”
อิงฟ้ารู้สึกอึดอัดใจจึงแกล้งแถไป “ถ้างั้นแม่จะลองถามพ่อดูว่าซันไปอยู่ที่ไหน” อิงฟ้าพูดกับเก่ง “เก่ง มาพาหมอกไปที”
เก่งเดินเข้ามาจูงหมอกไป
หมอกหันมากำชับอิงฟ้า “แม่อย่าลืมเรื่องพี่ซันนะ”
อิงฟ้าฝืนยิ้มให้พอเก่งพาหมอกเดินออกไป อิงฟ้าก็ทำหน้าเครียด
เมฆเปิดประตูเข้ามาในห้องที่ตะวันฉายเคยนอนแล้วมองรอบๆห้องที่ว่างเปล่า เขานึกถึงตอนที่ตะวันฉายเคยอยู่ในห้องนี้ ตอนที่เขาเคยมาแกล้งก่อกวนตะวันฉายซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีความสุข
เมฆยิ้มให้กับความทรงจำนั้นก่อนจะเดินมาลูบเตียงที่ตะวันฉายเคยนอนแล้วเขาก็นั่งลง
อิงฟ้าแอบมายืนมองอยู่ที่ประตู เธอเห็นท่าทางเมฆที่อาลัยอาวรณ์ตะวันฉายแล้วก็อดที่จะหงุดหงิดไม่ได้ แต่เธอก็ต้องปั้นหน้ายิ้มแย้ม
อิงฟ้าเดินเข้ามาในห้อง “เมฆมาอยู่นี่เอง ทำอะไรอยู่เหรอ?”
เมฆแกล้งพูดเฉไฉไป “ไม่มีอะไร แค่มาเช็คห้องว่าซันมันทำอะไรเสียหายรึเปล่า... ฟ้ามีอะไร?”
“ฟ้ามาตามไปกินกลางวัน วันนี้ฟ้าลงมือทำของโปรดให้เมฆเลยนะ”
อิงฟ้าทำร่าเริงและยิ้มแย้มแจ่มใส เมฆจึงต้องฝืนยิ้มตอบ
อิงฟ้ากำลังตักแบ่งสปาเก็ตตี้ในจานขนาดใหญ่ให้เมฆกับหมอกที่นั่งร่วมโต๊ะ เธอพยายามทำตัวร่าเริงเต็มที่
“เป็นไง น่ากินไหม อร่อยด้วยนะ กินกันเลย!”
“แม่ถามพ่อหรือยังครับ” หมอกถามขึ้น
อิงฟ้ายิ้ม “ถามอะไรจ๊ะ”
“ถามว่าพี่ซันไปอยู่ที่ไหนไง แม่บอกว่าจะถามพ่อให้”
อิงฟ้าชะงักแล้วยิ้มเจื่อนไปทันที เธอเหลือบมองเมฆ
เมฆพูโกับหมอก “ทำไมเหรอครับ หมอกจะรู้ที่อยู่ของพี่ซันไปทำไม”
“หมอกอยากให้แม่ไปตามพี่ซันกลับมา”
“แต่แม่ว่าซันเค้าคงไม่ยอมกลับมาแล้วล่ะ เพราะถ้าเค้าอยากอยู่ที่นี่ เค้าก็ต้องไม่ไป” อิงฟ้ารีบเปลี่ยนเรื่อง “ไม่เอาแล้ว ไม่คุยเรื่องคนอื่นแล้วนะครับ กินสปาเก็ตตี้ดีกว่า ร้อนๆจะได้อร่อย เสร็จแล้วก็ต่อด้วยของหวาน เป็นเค้กช็อคโกแลท ดีไหมครับ”
เมฆกับหมอกฝืนใจกินอาหารด้วยอาการเจื่อนๆเพราะอดคิดถึงตะวันฉายไม่ได้ อิงฟ้าเหลือบมองทั้งสองด้วยอาการหนักใจ แต่เธอก็ต้องแกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้
ตะวันฉายในม่านเมฆ ตอนที่ 10 (ต่อ)
เมฆกับหมอกออกมารดน้ำต้นผักกาด ทั้งสองต่างก็เหลือบมองไปที่แปลงผักของตะวันฉายที่ตอนนี้เจ้าของไม่อยู่แล้ว เมฆถอนใจแล้วจะเข้าไปรดน้ำผักของตะวันฉาย แต่หมอกรีบห้ามไว้
“พ่อครับ เดี๋ยวก่อน!” เมฆชะงัก “หมอกนึกอะไรออกแล้ว เราไม่ต้องรดน้ำผักให้พี่ซัน พอมันใกล้จะตายเราจะได้ตามพี่ซันกลับมาดูแลมันไงครับ”
เมฆชะงักแล้วฝืนยิ้ม “ก็ได้ ตกลงตามนี้”
หมอกดีใจแล้วกลับไปรดน้ำผักของตัวเองอย่างมีความหวัง ส่วนเมฆได้แต่ถอนใจ
เมฆพูดเบาๆ “หมอกเอ๊ย คนทั้งคนเค้ายังไม่คิดจะดูดำดูดี แล้วเขาจะมาแคร์อะไรกับต้นผักกาด”
อิงฟ้ายืนมองเมฆกับหมอกจากในบ้านด้วยสีหน้าไม่สบายใจ สักพักเก่งก็ยกจานสปาเก็ตตี้ที่ยังเหลืออยู่เยอะเข้ามา
“คุณอิงฟ้าครับ จะทำไงกับสปาเก็ตตี้ที่เหลือดีครับ”
อิงฟ้าตอบหน้านิ่ง “ทิ้งไป”
เก่งตกใจ “แต่มันเหลือตั้งเยอะนะครับ ทิ้งไปเสียดายแย่ ไว้อุ่นกินเย็นนี้ดีไหมครับ”
อิงฟ้าหันไปมองเก่งหน้าดุๆ แต่ยังพูดนิ่งๆ “ทิ้งไป”
เก่งกลัว “ครับ ทิ้งครับ”
อิงฟ้าเดินออกไป เก่งมองตามแล้วพูดเบาๆ
“เดี๋ยวจะทิ้งลงท้องไอ้เก่งไม่ให้เหลือเลย” เก่งมองสปาเก็ตตี้แล้วรู้สึกว่าน่ากิน “ลาภปากไอ้เก่ง” เก่งยิ้ม
ตะวันฉายเดินทอดอาลัยอยู่ตามลำพัง ครู่หนึ่งเกริกไกรกับสายรุ้งที่กำลังตามหาลูกสาวอยู่ก็มาเจอ
“ซัน มาเดินเล่นอยู่นี่เอง กลับเถอะลูก ไปกินข้าวกัน” สายรุ้งชวน
“ซันยังไม่ค่อยหิวเลยค่ะ พ่อกับแม่กินก่อนเถอะค่ะ”
“นี่พ่อถามจริงๆเหอะ เกิดอะไรขึ้นที่กรุงเทพกันแน่ ทำไมกลับมาแล้วทำเหมือนแบตอ่อนตลอดเวลา หรือว่าต้องเอาสายชาร์จมาเสียบก้น”
สายรุ้งตีแขนเกริกไกร “คนนะคุณ ไม่ใช่มือถือ!”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ซันแค่... แค่เหนื่อยๆ”
“ไม่ให้เหนื่อยได้ไง เดินมาตั้งไกล โน่น รีสอร์ทเราอยู่ปู้นนน...” เกริกไกรชี้ไป
สายรุ้งตีเกริกไกรอีก “เอ๊ะคุณนี่ยังไงนะ เป็นเล่นตลอด” สายรุ้งคุยกับตะวันฉาย “แน่ใจนะลูก ว่าไม่ได้เป็นอะไร”
เกริกไกรชิงตอบแทนซัน “จะเป็นอาร้ายยยย มียุทธการมาคอยดูแลอยู่ทั้งคน จริงไหมเจ้าซัน”
ตะวันฉายถอนใจ “รู้ละ สงสัยเพราะพี่ยุทธมาอยู่นี่ซันเลยป่วย” เกริกไกรอ้าปากจะเถียงแต่ตะวันฉายพูดต่อ “แถมมีกองเชียร์พี่ยุทธตามมาเชียร์อีก ซันเลยยิ่งป่วย!”
“นี่...” เกริกไกรจะเถียงอีก
ตะวันฉายรีบขัดขึ้น “ถ้าไม่ให้ซันอยู่คนเดียว สงสัยซันต้องขอยืมสายชาร์จพ่อแล้วล่ะค่ะ แต่ไม่ได้เอามาเสียบก้นนะคะ เอามามัดคอ”
ตะวันฉายทำหน้าเซ็งแล้วเดินหนีไป
เกริกไกรพูดกับสายรุ้ง “เป็นไงล่ะ เห็นรึยังว่าไม่มีอะไรต้องห่วง เพราะเจ้าซันมันยังแสบเหมือนเดิม”
สายรุ้งมองที่ตะวันฉายแล้วก็พยักหน้าเห็นด้วย
ยุทธการวางกระเป๋าเดินทางแล้วไหว้ลาเกริกไกรกับสายรุ้ง
“ไหนว่าลางานมาแล้วไงยุทธ แล้วทำไมอยู่ได้แป๊บเดียวก็จะกลับแล้ว” สายรุ้งถาม
“ผมก็อยากอยู่นานกว่านี้ครับ แต่ทางนั้นโทรมาตามว่ามีงานด่วน เลยต้องกลับก่อนกำหนด”
“ยังไงงานต้องมาก่อน ยุทธก็มาช่วยดูแลเจ้าซันแล้ว เดี๋ยวอาส่งเจ้าซันกลับไปช่วยดูแลยุทธบ้างแล้วกัน”
ตะวันฉายทำหน้าเซ็ง แต่เกริกไกรยิ้มขำ
“คุณนี่ ลูกเพิ่งกลับมา จะให้ไปอีกแล้วเหรอ” สายรุ้งถาม
“นั่นสิคะ ให้คุณซันกลับไปกรุงเทพอีกเท่ากับปล่อยเสือเข้าป่า กว่าจะจับตัวกลับมาได้อีกคงยาก... สู้ให้อ้อไปเป็นตัวแทนดูแลคุณยุทธแทนดีกว่า” อ้อส่งตาหวานให้ “รับไหมคะคุณยุทธ”
ยุทธการยิ้ม “ตอบโดยไม่ต้องคิด ไม่รับครับ!”
อ้อแกล้งงอน ทุกคนหัวเราะขำ
“พี่ยุทธรีบไปเถอะ เดี๋ยวจะไม่ทันเรือ” ตะวันฉายบอก
ยุทธการหันมาบอกเกริกไกรกับสายรุ้ง “ผมไปนะครับ”
หลังจากร่ำลากันแล้ว ตะวันฉายก็เดินออกมาส่งยุทธการที่หน้ารีสอร์ท
ตะวันฉายเดินมาส่งยุทธการด้านหน้ารีสอร์ท ยุทธการหันมาลาตะวันฉาย
“ดูแลตัวเองนะซัน พี่เสร็จงานแล้วจะมาหาใหม่”
“ซันไม่เป็นไรหรอก พี่ยุทธไปเถอะ ไม่ต้องห่วง”
ยุทธการจะหันไป พอดีเห็นเชือกรองเท้าหลุดเขาจึงก้มลงนั่งผูก เท้าของลูกน้องเฮลมุททั้งสองคนเดินเข้ามาทางยุทธการ แต่ยุทธการก้มลงผูกเชือกรองเท้าอยู่ทำให้ไม่เห็นทั้งสอง ลูกน้องทั้งสองเดินผ่านไป ยุทธการผูกเชือกรองเท้าเสร็จจึงเงยหน้าขึ้นมา
ยุทธการพูดกับตะวันฉาย “พี่ไปนะ”
ตะวันฉายยิ้มให้ ยุทธการหิ้วกระเป๋าแล้วเดินไป
ตะวันฉายเดินกลับเข้ามาในห้องแล้วถอนหายใจ เธอเหลือบเห็นชุดผู้ชายที่เคยปลอมตัวไปอยู่ในบ้านเมฆแล้วก็สะท้อนใจ ตะวันฉายเดินไปเปิดกระเป๋าแล้วหยิบวิกกับแว่นตาออกมามองก่อนจะยิ้มเศร้า แล้วถอนใจ ตะวันฉายเอื้อมมือไปวางวิกกับแว่นตาที่โต๊ะ พอดีสายตาของเธอก็เหลือบไปเห็นปฏิทินแล้วก็ชะงัก ตะวันฉายขีดดอกจันทร์ไว้ที่วันที่ปลายเดือนในปฏิทินพร้อมข้อความ “กำหนดส่งนิยาย”
ตะวันฉายตกใจ “กำหนดส่งนิยายประกวดปลายเดือนนี้ ตายแล้ว!!”
ตะวันฉายเปิดเครื่องด้วยท่าทางทะมัดทะแมง เธอวางถ้วยกาแฟและแก้วน้ำไว้ใกล้ๆ
“ทุกอย่างพร้อม! ลงมือเลย ตะวันฉาย เราต้องทำให้ได้!”
ตะวันฉายเริ่มลงมือแต่งนิยายต่อ
“บรรยากาศในสวนยังคงเงียบสงบ แต่จิตใจของภัตติมา ไม่ได้สงบเหมือนดอกเเดฟโฟดิลในสวน ในใจของเธอร่ำร้อง... เขาจะมาไหม เขาจะอ่านความนัยภายใต้ม่านดวงตาของเธอออกไหม....”
ภาพในจินตนาการของตะวันฉาย ตะวันฉายอยู่ในชุดสวยแฟนตาซีรับบทเป็นนางเอกนิยายที่เธอเขียนเอง ตะวันฉายเดินมองหาไปรอบๆสวน
“ภัตติมาเดินมองหาเขา ราวนกน้อยมองหากิ่งไม้ที่มันจะเกาะยึดให้หายเหนื่อย... ทันใดนั้นเอง หัวใจที่อ่อนล้าของเธอก็เริ่มเต้นแรง”
เมฆในชุดพระเอกนิยายกำลังนั่งไขว้ห้างอยู่
“เค้านั่นเอง เค้ามาจริงๆ!”
ตะวันฉายโผเข้าไปหาเมฆ
เมฆพูดเสียงเข้ม “ระวัง!”
ตะวันฉายชะงัก เมฆกระโดดเข้ามาตะปบงูที่พื้นทันที
ตะวันฉายยกมือขึ้นทาบอก “งูพิษ!”
เมฆจับงูไว้แล้วต่อสู้กับมัน งูฉกเข้ามาทางด้านซ้าย เมฆหันหัวหลบไปด้านขวา งูฉกมาด้านขวา เมฆเบี่ยงหน้าหลบไปด้านซ้าย
ตะวันฉายลุ้นและเป็นห่วง “นายเมฆ ระวัง!”
เมฆจับหางงูเหวี่ยงแล้วฟาดลงกับพื้น
เมฆพูดเสียงเข้ม “มันตายแล้ว”
“คุณช่วยชีวิตชั้นไว้อีกแล้ว”
“เห็นคุณอยู่ในอันตราย จะให้ผมดูดายได้ยังไง”
เมฆหันมายิ้มเท่ห์ ตะวันฉายสบสายตา เมฆมองเลยไปทางด้านหลังตะวันฉายแล้วก็ชะงักไป ตะวันฉายหันไปมองตาม
ที่ด้านหลังตะวันฉาย มีชายหนุ่มก้ามปูยืนอยู่ เมฆวิ่งผ่านตะวันฉายไปซบอกอันบึกบึนของเขา
“นาวิน ช่วยด้วย...” เมฆซบอกแล้วทำออดอ้อน “งู... เค้ากลัวงู...”
ตะวันฉายหน้าเหวอไปทันที
ตะวันฉายอึ้งและตกใจกับสิ่งที่ตัวเองแต่งไป
“เฮ้ย ไหงเป็นเงี้ย!”
ตะวันฉายกดแบ็คสเปซเพื่อลบสิ่งที่แต่งเมื่อครู่ทิ้งไป
“บ้าๆๆๆๆๆ บ้าที่สุดเลย อะไรของแก ไอ้ซัน!” ตะวันฉายกุมหัว “ทำไม ทำไมต้องคิดถึงแต่เกย์คนนั้น บ้าไปแล้ว ตะวันฉาย!”
ตะวันฉายลุกขึ้นมาเต้นแร้งเต้นกาฮึดฮัดด้วยความโมโหตัวเอง
เกริกไกรกับสายรุ้งยืนมองตะวันฉายอยู่ที่มุมหนึ่ง ทั้งสองเห็นตะวันฉายกำลังเต้นแร้งเต้นกาเพราะโมโหตัวเอง เกริกไกรกับสายรุ้งหันมามองหน้ากันอึ้งๆ
“ไหนว่าลูกไม่เป็นอะไรไง” สายรุ้งว่า
“ชักอาการหนักขึ้นทุกที... หรือว่าผีนักเขียนเข้าสิง” เกริกไกรสงสัย
“ผีเผออะไรกัน คุณนี่! สงสัยลูกไปเก็บข้อมูลเขียนนิยายจนข้อมูลล้นเลยเพี้ยนไปแล้ว”
เกริกไกรกับสายรุ้งมองลูกสาวด้วยความเป็นห่วง
อ้อมายืนเคาะประตูห้องเกริกไกรกับสายรุ้งด้วยท่าทางกลัวๆ
“คุณเกริกไกร คุณสายรุ้งคะ” อ้อเคาะห้อง “คุณเกริกไกร คุณสายรุ้ง...”
สักพักประตูก็เปิดออกมา เกริกไกรกับสายรุ้งมาเปิดประตูในสภาพงัวเงียเพราะเพิ่งตื่น
“อะไรอ้อ ดึกดื่นป่านนี้ ไม่หลับไม่นอนหรือไง” เกริกไกรถาม
“อ้อก็อยากจะนอน... แต่... แต่มันมีเสียงอะไรไม่รู้ค่ะ อ้อว่าต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลในรีสอร์ทเราแน่ๆ”
“ท.. ทำไมเหรออ้อ มีอะไร” สายรุ้งใจไม่ดี
“มันเหมือนมีสิ่งลึกลับ แล้วเมื่อกลางวัน อ้อได้ยินคุณสองคนพูดอะไรเรื่องผีๆ”
“ฮึ้ย! นึกว่าเรื่องอะไร ไปเลย ไปนอนเลยอ้อ ปลุกฉันขึ้นมาพูดเรื่องอะไรไร้สาระ เดี๊ยะ โดนตัดเงินเดือน” เกริกไกรจะเดินกลับเข้าห้อง
“เดี๋ยวสิคะ อ้อได้ยินเสียงจริงๆนะคะ ถ้าไม่ใช่ผีก็ต้องมีใครซักคนมาแอบทำอะไรมิดีมิร้ายในรีสอร์ทเราแน่ๆ”
“ไร้สาระน่ะ” เกริกไกรว่า
“เดี๋ยวสิคุณ ไปดูหน่อยไม่ดีเหรอ”
“นั่นสิคะ เกิดมีฆาตกรต่อเนื่องหรือพวกอาชญากรแอบเข้ามาพักในรีสอร์ทเราล่ะคะ!?”
เกริกไกรชะงักไปแล้วก็มีสีหน้าครุ่นคิด
เกริกไกร สายรุ้ง และอ้อแอบย่องเข้ามา ทั้งสามได้ยินเสียงของมีคมกรีดกับวัตถุบางอย่างซึ่งฟังแล้วน่าขนลุก
อ้อกลัว “นั่นไงคะ เห็นรึยัง อ้อไม่ได้โกหก”
สายรุ้งหน้าเสีย “เสียงอะไรน่ะคุณ?”
เกริกไกรหน้าเครียด เขาเหลือบเห็นแจกันดอกไม้จึงคว้าขึ้นมาเป็นอาวุธ เกริกไกรเดินนำสองสาวไป คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คของตะวันฉายเปิดทิ้งไว้บนโต๊ะ แต่ไร้ร่องรอยคน
สายรุ้งยิ่งหน้าเสีย “คอมซันนี่คุณ! แล้วลูกล่ะ!?”
เสียงวัตถุบางอย่างขีดข่วนกันดังขึ้นมาอีก เกริกไกรเป็นห่วงลูกจึงรู้สึกฮึดขึ้นมา เขาบุกเข้าไปยังที่มาของเสียงทันที
เกริกไกร สายรุ้ง และอ้อบุกเข้ามาในครัว มีร่างของคนคนหนึ่งนั่งคุดคู้อยู่ที่มุมหนึ่ง ทั้งสามเดินเข้ามาเห็นแล้วก็ชะงัก แสงจากตู้เย็นสาดส่องทำให้เห็นว่าร่างนั้นหันมา ทั้งสามเห็นว่าเป็นตะวันฉายที่อยู่ในสภาพขอบตาดำ หัวยุ่ง รอบปากมีคราบสีน้ำตาลเปรอะเปื้อนคล้ายคราบเลือด
เกริกไกร สายรุ้ง และอ้อกรีดร้องขึ้นพร้อมกันด้วยความตกใจ ตะวันฉายมองทั้งสามด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ก่อนจะยกจานเค้กช็อคโกแลทขึ้นมาแล้วเอาช้อนขูดจานจนเกิดเสียงในขณะที่ตักเค้กเข้าปาก
เช้าวันใหม่ ตะวันฉาย เกริกไกร สายรุ้ง อ้อนั่งจิบกาแฟคุยกันเนื่องจากแทบไม่ได้นอนมาตลอดทั้งคืน
“ชักไปกันใหญ่แล้วนะเจ้าซัน เล่นเอาตกใจกันหมด เมื่อคืนน่ะ” เกริกไกรว่า
“ไหวไหมซัน พบหมอไหมลูก” สายรุ้งถาม
“ก็มันเครียดนี่คะ ซันแค่อยากจะเขียนนิยายให้จบ แต่ยิ่งเขียนยิ่งเลอะ ซันก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว”
“ก็พักก่อนสิคะคุณซัน ให้ใจร่มๆ เดี๋ยวก็เขียนได้” อ้อแนะนำ
“แต่มันจะถึงกำหนดส่งแล้ว ถ้าไม่รีบไม่ทันแน่”
“ตกลงที่เขียนเนี่ย เพราะอยากเขียนนิยาย หรือว่าเขียนแค่อยากจะส่งประกวดให้เสร็จๆไปกันแน่” เกริกไกรถาม
ตะวันฉายชะงัก
“จริงด้วย ไหนซันเคยบอกว่าไม่สำคัญที่ทำได้ แต่สบายใจที่ได้ทำไง แล้วนี่ทำไมดูไม่เห็นจะสบายใจอย่างเลย” สายรุ้งเสริม
ตะวันฉายอึ้งไป “ถูกของพ่อกับแม่... ตอนนี้ซันกำลังมองแต่ปลายทาง อยากให้มันรีบจบๆไป แต่ซันไม่ได้ชื่นชมกับทางเดินรอบข้าง ก่อนจะถึงจุดหมายเลย”
“ลึกซึ้งนะคะ” อ้อชม
ตะวันฉายรู้สึกฮึดขึ้นมา “ไม่ได้! ซันจะปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว ซันต้องเริ่มเขียนนิยายใหม่ เราต้องเอ็นจอยกับการเขียน ไม่ใช่เร่งๆให้มันจบ!”
“ต้องให้มันได้อย่างนี้สิ ลูกแม่” สายรุ้งปลื้ม
“งั้นซันขอลางานไม่มีกำหนดนะคะ จนกว่าซันจะเขียนนิยายจบ!” ตะวันฉายเดินออกไปทันที
เกริกไกรกับสายรุ้งอึ้ง
“อ้าว เฮ้ย เอางี้เลยเหรอ!?” สายรุ้งตกใจ
“แนะนำกันดีนัก” อ้อว่า
เกริกไกรกับสายรุ้งตวัดสายตามองอ้อ
อ้อยิ้มแหย “ได้เวลางานละ ไปนะคะ” อ้อรีบเดินออกไป
เกริกไกรกับสายรุ้งส่ายหน้าด้วยความเหนื่อยใจ
ตะวันฉายเปิดคอมพิวเตอร์ใหม่ด้วยความตั้งใจที่ดีขึ้น
“ต้องเอาใหม่ ต้องทำให้ได้... ตัวหนังสือทุกตัวต้องมีความสุข...”
แต่แล้วตะวันฉายก็เห็นตัวหนังสือสีแดงที่เมฆเคยเขียนคอมเม้นท์ไว้ เธอถึงกับชะงัก
ตะวันฉายนึกถึงตอนที่เมฆพิมพ์คอมเม้นท์ให้เธอ
เมื่อนึกถึงตอนนั้นตะวันฉายก็สะท้อนใจ เธอลูบลงไปบนตัวหนังสือสีแดงที่เมฆพิมพ์คำแนะนำ แล้วก็ถอนหายใจอีกครั้ง พอจะเริ่มต้นใหม่ ตะวันฉายก็อดแวบไปคิดถึงเมฆไม่ได้อีก
เมฆมีท่าทางหงอยๆกำลังจิ้มคีย์เปียโนทีละโน้ตตรงบริเวณเนื้อร้อง “ไม่พูดอะไรก็เข้าใจกันทุกคำ” แล้วเขาก็หยุดเล่น เมฆถอนใจแล้วหยิบไอโฟนมากดฟังเพลงที่เขากับตะวันฉายช่วยกันบันทึกไว้
เมฆหลับตาฟังเพลงสักพักก็บรรเลงเปียโนไปพร้อมกับเสียงร้องของตะวันฉายและเสียงฮัมเพลงของเขา อิงฟ้าที่แอบดูอยู่ตรงประตูมีสีหน้าไม่พอใจที่ได้ยินเสียงของตะวันฉาย
เมฆเล่นจบเพลงแล้วก็ลงมือเขียนเพลงส่วนที่เหลือต่อจากที่เคยแต่งค้างไว้ อิงฟ้าพยายามเข้ามาดึงความสนใจไปจากเมฆ
“เมฆ สอนฟ้าเล่นเปียโนมั่งสิ”
เมฆแปลกใจ “ฟ้าว่าอะไรนะ”
“ฟ้าอยากเล่นเปียโน เมฆสอนฟ้าหน่อยนะ ฟ้าจะเอาไว้เล่นให้หมอกฟัง”
“แต่ผมเคยจะสอนฟ้า แล้วฟ้าก็ไม่สนใจนี่”
อิงฟ้าเข้าไปนั่งข้างๆ เมฆ “แต่ตอนนี้ฟ้าสนแล้วนี่” อิงฟ้ามองที่คีย์เปียโน “ไหน เมฆจะให้เริ่มยังไงก่อน ตรงไหนตัวโดนะ” อิงฟ้าลองกด “ตรงนี้ หรือตรงนี้”
เมฆมองอิงฟ้าก็รู้สึกได้ว่าอิงฟ้าต้องการอะไร เขาจึงจับมืออิงฟ้าให้หยุด
“เมฆจะจับมือฟ้าสอนแบบเด็กอนุบาลเหรอ” อิงฟ้ายิ้มร่าเริง “ได้เลยค่ะคุณครู”
เมฆพยายามพูดดีๆ “อย่าพยายามเลยนะ มันไม่ใช่ ก็คือไม่ใช่”
อิงฟ้าอึ้งไปแต่ก็ยังพยายามต่อ
“แหม เมฆ อย่าเพิ่งดูถูกฟ้าสิ คนที่เพิ่งหัดเรียนดนตรีตอนโตก็มีถมไป มันอาจจะใช่สำหรับฟ้าก็ได้ แล้วฟ้าก็อาจจะช่วยเมฆทำงานได้ ไม่ต้องให้...” อิงฟ้าไม่อยากพูดถึงตะวันฉาย “..คนอื่นมาช่วย”
“ขอบคุณนะฟ้า แต่ผมขอทำงานคนเดียวดีกว่า”
อิงฟ้าเสียใจ “ถ้างั้นฟ้าก็จะอยู่เป็นกำลังใจให้เมฆอย่างเดียวก็ได้ จะวันนี้หรือวันไหน ฟ้าก็จะไม่ไปจากเมฆ”
เมฆหนักใจ “...ผมรับความรู้สึกที่เกินเพื่อนจากฟ้าไม่ได้แล้ว ทุกอย่างมันไม่เหมือนเดิมแล้วล่ะฟ้า” เมฆลุกขึ้นแล้วจะเดินออกไป
“เพราะซันเหรอ ที่เมฆเอาแต่ซึมเศร้านี่เป็นเพราะซันจริงๆเหรอ ตกลงนี่เมฆจะเป็น...”
“ผมจะเป็นอะไรไม่สำคัญหรอกฟ้า ไม่ต้องหาคำตอบกับเรื่องนี้หรอก ผมจะทำในสิ่งที่มีความสุข แล้วฟ้า..ก็ไม่ใช่คำตอบของผม” เมฆเดินออกไป
อิงฟ้าเสียใจ
หมอกอยู่ในชุดว่ายน้ำ ใส่ห่วงยางที่แขน คาดแว่นท่าทางเตรียมพร้อมเต็มที่ แต่กลับนั่งแกว่งขาอยู่ริมสระอย่างหงอยๆ เก่งถืออุปกรณ์ทำความสะอาดเดินมาเห็น
“อ้าว คุณหมอก ไม่ลงสระเหรอครับ” เก่งถาม
“หมอกไม่อยากเล่นคนเดียวคับ”
“งั้นพี่เก่งเล่นเป็นเพื่อนมั้ย”
หมอกส่ายหน้า “หมอกอยากเล่นกับพี่ซัน หมอกคิดถึงพี่ซัน”
เก่งทำหน้าเศร้าตาม “พี่ก็คิดถึงซัน” เก่งมองอุปกรณ์ทำความสะอาดในมือ แล้วถอนใจก่อนจะแอบบ่น “ไม่มีมัน เราก็อู้ไม่ได้”
เก่งลงนั่งข้างๆ หมอกแล้วก็ถอนใจ ทั้งสองคอตกพร้อมกัน
จอมสยามนั่งหลับตาพริ้มเสียบหูฟังฟังเพลงของเมฆอยู่ด้วยท่าทางถูกใจมาก เมฆนั่งรอฟังคำตอบจากจอมสยามอยู่ข้างๆ จอมสยามฟังเพลงจบก็มองหน้าเมฆยิ้มๆ แล้วลุกพรวดขึ้นไปจับหน้าเมฆ ด้วยอาการลน
“ไอ้เมฆ เพลงเพราะมาก ชั้นอยากจะจูบปากแกจริงๆ”
เมฆตกใจรีบเอามือยันจอมสยามไว้ “เฮ้ย..ขอร้องๆ กรุณาเก็บจิตใต้สำนึกเอาไว้ให้ลึกสุดใจเถอะนะพี่นะ”
“ไอ้นี่ เดี๋ยวก็เจอซัดซักเปรี้ยงหรอก”
“ล้อเล่นน่า นี่พี่ชอบเพลงผมขนาดนี้เลยเหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิ แล้วเพลงอื่นล่ะ ไม่มีแล้วเหรอ”
เมฆมีแววตาหม่นลงเพราะคิดถึงตะวันฉาย เขาส่ายหน้าแทนคำตอบ
“ก็แต่งอีกสิ” จอมสยามบอก
“จะพยายาม แต่ไม่แน่ใจว่าจะแต่งได้อีกหรือเปล่า” เมฆว่า
“อ้าว อะไรของแกวะ ไม่แน่ใจอะไร พรสวรรค์ก็มี ฝีมือก็ยังไม่ตก มันยังมีอะไรที่ทำให้แกแต่งเพลงไม่ได้อีก”
“ขาดแรงบันดาลใจมั้งพี่”
“ขาดก็ออกไปหาสิวะ”
เมฆนิ่งคิด
ยุทธการนั่งกินข้าวกับนิคและเอวาที่ร้านอาหาร
“ซันเค้าก็ยังดูซึมๆอยู่นะ ก็ต้องให้เวลาเค้าทำใจหน่อย แต่ยังไงพี่ก็จะไปดูแลเค้าเรื่อยๆ เอวากับนิคก็โทรหาซันบ่อยๆล่ะ เค้าจะได้ไม่เหงา”
เอวายิ้มน้อยๆ แล้วทำเป็นร่าเริงกลบเกลื่อน “พี่ยุทธรักซันขนาดนี้ เอวายอมแพ้เลย เดี๋ยวเอวาจะยุให้ซันมันตาสว่างมองมาทางนี้ซะที”
นิคมองเอวาแล้วก็แค่นยิ้มก่อนจะถอนใจ เอวาเหลือบมองนิคแต่ทำเป็นไม่สนใจ
“ขอบคุณเอวามากนะ ที่ให้กำลังใจพี่มาตลอด เอวาเป็นน้องสาวที่น่ารักที่สุดเลยรู้มั้ย” ยุทธการบอก
“งั้นน้องสาวที่น่ารักก็อยากให้พี่ชายที่แสนดีสมหวัง เอวาจะช่วยเชียร์พี่ยุทธเต็มที่เลยค่ะ”
นิคร้องออกมา “เฮ้อออ...”
ยุทธการกับเอวาหันมามองนิค
“เป็นอะไรนิค” ยุทธการถาม
“อาหารมันเผ็ดน่ะครับ เผ็ดจนน้ำตาจะไหลเลย”
เอวามองเขม่นนิคเพราะรู้ว่าโดนกัด “อยากลองกินแบบเผ็ดจนปากเจ่อด้วยมั้ยล่ะ”
นิคยิ้มๆ แต่ทำเป็นไม่สนใจก่อนจะกินต่อไป เอวามองค้อน ยุทธการมองทั้งสองคนอย่างไม่เข้าใจ
เอวาเล่นเกมกับนิคอย่างเมามันอยู่ที่เกมเซนเตอร์ สุดท้ายเอวาก็ชนะ
“เย้”
“เหนื่อยมั้ย” นิคถาม ซึ่งเขาหมายถึงเรื่องยุทธการ
เอวาเข้าใจคำถามนิค “เหนื่อยเหมือนกัน”
“แล้วทำแบบนี้ทำไม”
เอวาถอนใจ “แล้วจะให้ชั้นร้องไห้ต่อหน้าเค้าหรือไงล่ะ”
“ไม่ถึงกับต้องร้องไห้ แต่ไม่ต้องเฟคไปอวยเค้าให้ไอ้ซันขนาดนั้น ปากน่ะยินดี แต่ใจนี่สิ จะร้าวอีกกี่รอบ”
“รู้ ชั้นก็ไม่ชอบความรู้สึกนี้เลย แล้วมันก็เหมือนไม่ซื่อสัตย์กับซันด้วย”
“ใครจะไปชอบความรู้สึกรักคนที่เขาไม่ได้รักวะ”
เอวายิ้มเจื่อนๆ
เอวากับนิคเข้ามาในห้องทำงานที่โรงเรียน เอวาวางกระเป๋าก่อนจะทิ้งตัวนั่งอย่างเหนื่อยใจ
“เฮ้ย ไม่เอาน่า เมื่อกี๊ยังเล่นเกมหนุกหนานอยู่เลย” นิคว่า
“แกรู้ว่าชั้นไม่ได้สนุกจริงๆไม่ใช่เหรอ มาทำร่าเริง เดี๋ยวก็หาว่าเฟคอีก จะเอาไงกันแน่”
“แต่พักนี้แกเซ็งห่อยบ่อยเกินไปแล้ว เหมือนไม่ใช่เอวาคนเดิม”
“อ้าว ชั้นเป็นคนนะเว้ย ไม่ใช่ตัวละครแบนๆ มีสุขมีเศร้ามันก็ธรรมดา เมื่อวานเพิ่งอกหัก วันนี้ให้หายเลยรึไง”
นิคขำเอวา “เออๆ เข้าใจ ชั้นก็แค่เป็นห่วงแก ไม่อยากให้เศร้านาน ช่วงนี้แกอยากจะผีเข้าผีออก ก็เป็นไปเถอะ ชั้นรับได้”
เอวามองตานิคเหมือนจะมองให้ทะลุไปถึงหัวใจ เอวายิ้ม นิคแอบหวั่นไหวแต่ทำกลบเกลื่อน
“อะไร มองงี้ สยองว่ะ”
“ถ้าใครได้แกเป็นแฟนนี่โชคดีค่อดๆ อยากได้แฟนแบบแกว่ะ” เอวาแกล้งเข้าไปกอดแขนนิค “นิคจ๋า ตัวเองรักเค้ามั้ย”
นิคอึ้งแต่ก็ทำเป็นจิ้มหน้าผากเอวาแล้วยันออกไป “แกไม่อยากได้แฟนแบบชั้นหรอก เพราะแกอยากเป็นแฟนพี่ยุทธต่างหาก” นิคลุกขึ้น “เดี๋ยวชั้นจะออกไปทำธุระหน่อย แกก็เตรียมตัวสอนได้แล้ว นัดชดเชยนักเรียนไว้ไม่ใช่เหรอ” นิคเดินออกไป
เอวายิ้มเศร้าๆ
นิคยืนพิงประตูแล้วก็ครุ่นคิด เขาตัดสินใจโทรไปหาโปรดิวเซอร์
“ครับพี่ พาสปอร์ตได้แล้วนะครับ เดี๋ยวผมจะเอาไปให้”
นิควางสายแล้วหยิบพาสปอร์ตมาเปิดดู เขาหันมองไปทางห้องเอวาด้วยสีหน้าหนักใจ
นิคส่งพาสปอร์ตให้โปรดิวเซอร์ โปรดิวเซอร์หยิบมาเปิดดู
“โอเค เรียบร้อย ไม่มีปัญหา งั้นนิคก็เตรียมตัวได้เลย”
“เอ่อ พี่ครับ ถ้าผมอยากจะพาเอวาไปด้วยได้ไหม”
โปรดิวเซอร์คิดอยู่ครู่หนึ่ง “อืม..จริงๆมือกลองเราไม่ได้ขาดนะ แต่เอวาก็เล่นเข้าท่าอยู่เหมือนกัน เอางี้ ให้เอวามาคุยกันก่อนได้ไหม”
“ขอบคุณพี่มากนะครับที่ให้โอกาสเอวา”
นิคคิดอะไรบางอย่าง
ตะวันฉายในม่านเมฆ ตอนที่ 10 (ต่อ)
นิคนั่งรอยุทธการอยู่ที่ล็อบบี้ปปส. ครู่หนึ่งยุทธการก็เดินเข้ามา
“ไงนิค มีเรื่องอะไรด่วนหรือเปล่า มาหาพี่ถึงนี่”
นิคเปิดประเด็นทันที “พี่ยุทธครับ ถ้าซันไม่ชอบพี่ พี่ก็ควรจะมองคนอื่นบ้างนะครับ”
ยุทธการงง “นิคมาหาพี่เรื่องนี้เหรอ”
“ครับ เรื่องนี้โดยเฉพาะ”
ยุทธการยังงง และอึ้งอยู่ “ทำไมเมื่อตอนกินข้าว นิคไม่ถามพี่ซะเลยล่ะ”
“ผมยังไม่แน่ใจครับ ว่าจะทำอย่างนี้ดีมั้ย แต่ตอนนี้ผมคิดว่าผมต้องพูดแล้วล่ะครับ”
ยุทธการคิด แล้วตอบคำถามนิค “พี่ทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก”
“แต่มีคนๆหนึ่งที่เขารักพี่ยุทธมาก แล้วเขาก็ดีไม่แพ้ซันด้วย” นิคบอก
ยุทธการแปลกใจ “ใครเหรอ”
“เอวาครับ”
ยุทธการอึ้ง “เอวาเหรอ?”
“ครับ มันชอบพี่ตั้งแต่อยู่มหาลัยแล้วล่ะครับ มันมีความสุขทุกครั้ง เวลาพี่ดีกับมัน โทรหามัน ชวนมันไปไหนต่อไหน ทั้งๆที่รู้อยู่ว่าพี่รักซัน แต่ตอนนี้มันร้องไห้มากกว่าหัวเราะอีกครับ”
“แต่พี่..คิดกับเอวาแค่น้องสาว”
“ผมขอร้องนะพี่ ให้พี่เปิดใจมองเอวาบ้าง”
ยุทธการนิ่งคิดไปครู่หนึ่งแล้วตอบนิค “ถ้าให้นิครักกับคนที่มองว่าเป็นน้องสาวมาตลอด นิคจะทำได้เหรอ ความรักน่ะ มันจะเอาคนนั้นมาแทนคนนี้ไม่ได้ รักใครก็รักคนนั้น”
นิคทั้งอึ้งทั้งหนักใจ
เมฆมารอรับหมอกที่หน้าโรงเรียน หมอกเดินกอดลูกฟุตบอลมาหาเมฆด้วยหน้าตาเบื่อๆ
“กลับบ้านเถอะคับพ่อ หมอกไม่อยากเล่นแล้ว”
“ไม่สบายหรือเปล่าลูก ทุกทีต้องขอพ่อเล่นกับเพื่อนครึ่งชั่วโมงก่อนกลับนี่”
“พี่ซันไม่อยู่เล่นอะไรก็ไม่สนุก แม่ก็ไม่ค่อยเล่น พี่เก่งก็เอาแต่นอน พ่อก็อยู่แต่ห้องทำงาน”
เมฆสงสารลูก เขานิ่งคิดแล้วก็ยิ้มออกมา
“งั้นเราไปเที่ยวกันสองคนพ่อลูกมั้ย”
หมอกกระโดดดีใจ “ดีคับ พ่อจะพาหมอกไปเที่ยวไหน”
เมฆยิ้ม
เมฆบรรเลงคีย์บอร์ดอย่างเมามันเหมือนปลดปล่อยเต็มที่อยู่บนเวทีในผับ นิคกับเอวามองอึ้งๆ ทั้งสองมองหน้ากันแล้วเล่นให้เข้ากับเมฆด้วยความสนุกสนาน เสียงปรบมือชอบใจ และเสียงกรี๊ดจากแขกดังสนั่นร้าน เมฆ เอวา นิคเล่นมาถึงท่อนจบ แล้วทั้งสามก็โค้งให้คนดู เสียงกรี๊ดดังขึ้นอีก ทั้งสามยิ้มอย่างมีความสุข
เมฆเก็บของด้วยท่าทางมีความสุขอยู่ในห้องพัก เอวากับนิคนั่งพักและคุยถึงเพลงเมื่อสักครู่อย่างชอบใจ
“นานๆจะเห็นพี่เมฆปล่อยของซักที มันส์สุดๆเลยพี่” นิคชม
“ท่าทางพี่เมฆจะแฮ็ปปี้สุดๆเลยนะเนี่ย มีข่าวดีอะไรหรือเปล่า” เอวาถาม
“มี พี่จะไม่อยู่สักพักนะ เดี๋ยวให้พี่จอมมาแทน พี่จะพาหมอกไปพักผ่อนที่ต่างจังหวัด” เมฆบอก
“ไปไหนพี่”
เมฆยิ้มๆ ไม่ตอบอะไร
“เจอกัน” เมฆเดินออกไป
“มีลับลมคมนัยนะเนี่ยพี่เรา”
“ไปกันหมด ไอ้ซันก็ไป พี่เมฆก็ไป เดี๋ยวแกก็ไปอีกคน” เอวาตัดพ้อ
“แกก็ไปกับชั้นสิ”
“ว่าไงนะ”
“เอวา วันนี้ชั้นไปคุยกับพี่ยุทธมา ชั้นอยากให้แกตัดใจจากพี่ยุทธให้ได้ แล้วไปเมืองนอกกับชั้น ชั้นจะจัดการทุกอย่างให้”
เอวาตกใจ “เฮ้ย ทำไมแกทำอย่างนี้วะ ชั้นอุตส่าห์ไว้ใจแก บอกแกทุกเรื่อง แต่แกกลับไปบอกพี่ยุทธ ทำไมแกต้องหักหลังชั้นอย่างนี้ ชั้นจะรักใครมันก็เรื่องชั้น”
นิคโมโหเลยโพล่งออกไป “แต่เขาไม่มีทางรักแก”
เอวาอึ้งไป
“ชั้นบอกเค้าว่าแกรักเค้า แต่พี่เค้าบอกว่าไม่มีวันที่เค้าจะมองคนอื่น โดยเฉพาะแก คนที่เค้าเห็นเป็นน้องสาว แกจะทรมานตัวเองต่อไปทำไม”
“แกไม่ต้องมายุ่งเรื่องของชั้นอีก แล้วชั้นก็ไม่คิดที่จะไปเมืองนอกกับแกด้วย ชั้นไม่เข้าใจเลย ว่าแกจะวุ่นวายกับเรื่องของชั้นไปทำไม”
“เพราะชั้นรักแกไง”
เอวาตกใจ
“ชั้นขอโทษ ที่รักแก”
เอวายังอึ้งอยู่ แล้วเธอก็พยายามทำความเข้าใจ “ชั้นเข้าใจแล้วล่ะว่าพี่ยุทธรู้สึกยังไงกับชั้น เพราะชั้นก็ไม่รู้สึกกับแกแบบนั้น”
แล้วเอวาก็เดินจากไป นิคได้แต่ยืนเศร้าอยู่ตรงนั้น
วันต่อมา อ้อนั่งเช็คบุ๊คกิ้ง VIP แล้วก็ขมวดคิ้ว สีหน้าของเธอดูเหมือนมีเรื่องยุ่งยาก เกริกไกรเดินมาเห็นจึงเข้าไปถาม
“มีปัญหาอะไรเหรออ้อ”
“Travel T มีบุ๊คกิ้งแปลกๆมาอีกแล้วน่ะสิคะ คราวก่อนก็คุณฌอน ขอเหมาทั้งวิลล่า นี่ก็มี VIP มาอีกแล้ว แถมยังขอเป็น Confidential ไม่ลงชื่อแขกที่เข้าพักด้วย”
“แล้วมันมีปัญหาตรงไหนล่ะ”
“เค้าขอให้คุณซันมาต้อนรับเท่านั้นค่ะ”
เกริกไกรมีสีหน้าแปลกใจเหมือนกัน
ตะวันฉายโวยวายใส่พ่อกับแม่
“ไม่เอาอ่ะพ่อ นี่มันยังไม่ใช่เวลาทำงานเลยนะ แล้วตอนนี้ซันก็กำลังอินกะนิยายอยู่ด้วย”
สายรุ้งยื่นหน้ามองจอคอมพิวเตอร์ “อินยังไง เขียนไปสี่บรรทัดเอง”
ตะวันฉายรีบปิดฝาคอมพิวเตอร์ “ก็...ก็...อินคือมันยังอยู่ข้างในไง ยังไม่ out แหม แม่อ่ะ”
เกริกไกรกับสายรุ้งมองหน้ากันแล้วก็ส่ายหน้า
“ไปรับแค่วีไอพีที่เขาระบุเอง มันไม่ได้ยากเย็นอะไรนี่” เกริกไกรบอก
“ต้องไปอัญเชิญมาจากท่าเรือเลยเหรอคะเนี่ย”
“น่า นะลูก พอพาแขกมาถึงโรงแรมแล้ว ซันจะไปเขียนนิยายต่อพ่อก็ไม่ว่าอะไรหรอก”
ตะวันฉายทำหน้าเซ็ง “แขกคนไหนที่บังอาจประทับใจบริการของซันคะเนี่ย เพราะขนาดซันเองยังเคยคิดเลยว่าถ้าเจอคนแบบซันมาบริการ ซันคงเผาโรงแรมทิ้งแน่ๆ”
“แขกจากTravel T เค้าไม่ระบุชื่อ”
ตะวันฉายได้ยินก็อึ้งและใจไม่ดี
อ้อกำลังทำงานอยู่ที่หน้าเคาท์เตอร์ สักครู่ตะวันฉายก็วิ่งหน้าตื่นเข้ามา
“แขกทราเวล ทีมาถึงหรือยังคะ”
“อ้าว พี่ก็นึกว่าคุณซันออกไปแล้วซะอีก” อ้อดูเวลา “ตายๆ ป่านนี้รอแกร่วอยู่ที่ท่าเรือแล้วล่ะค่ะ”
“โอเค ซันจะรีบไปเดี๋ยวนี้ อย่าฟ้องพ่อแม่นะ” ตะวันฉายวิ่งออกไปทันที
อ้อมองตามแล้วก็ถอนใจ “ทราเวล ที อีกแล้วนะคุณซัน สังหรณ์ใจยังไงไม่รู้”
ตะวันฉายขับรถมาจอดที่ท่าเรือเกาะกุลัน แล้วรีบลงจากรถ แต่จู่ๆ ก็มีคนมาเปิดประตูรถฝั่งคนนั่ง พร้อมกับโยนกระเป๋าขึ้นรถพอดี ตะวันฉายตกใจจึงเดินไปโวยวาย
“เฮ้ย อะไรเนี่ย มาเปิดรถชั้นทำไม ขึ้นผิดคันแล้ว”
เมฆหันมายิ้มกริ่มให้ตะวันฉาย ตะวันฉายช็อคจนตาค้าง
“คุณ...”
“ยังจำกันได้ใช่มั้ย คุณตะ วัน ฉาย” เมฆถาม
เสียงหมอกดังขึ้น “สวัสดีคับ”
ตะวันฉายค่อยๆกวาดตาลงไปมองก็เห็นหมอกยืนยิ้มแฉ่งให้อยู่
ตะวันฉายยิ่งอึ้ง “เอ่อ..ส..สวัสดีคับ”
หมอกมองตะวันฉายแล้วคิด
“มารับช้านะ ทำงานอย่างคุณ ผมก็นึกว่าโดนไล่ออกไปตั้งนานแล้วซะอีก ไม่คิดว่าจะยังอยู่นะเนี่ย” เมฆว่า
“ขอโทษค่ะ”
“ขอโทษค่ะ?? นี่ใช่ผู้จัดการขาเหวี่ยงคนเดิมรึเปล่าเนี่ย คุณตะวันฉายเขาต้องไม่ยอมรับผิด ไม่มีมารยาท ไม่รับผิดชอบ พูดจามะนาวไม่มีน้ำ...”
ตะวันฉายชักจะทนไม่ไหวจึงจะด่ากลับ “นี่ไอ้.. “
หมอกโพล่งออกมา “พี่ซัน!”
ตะวันฉายตกใจ เธอมองหมอกที่กำลังชี้มาที่เธอ
“พี่หน้าเหมือนพี่ซันเลย แต่พี่ซันเค้าเป็นผู้ชาย” หมอกบอก
“พี่....เอ่อ...”
“แต่พ่อว่าไม่เหมือนหรอกพี่ซันเขาผอมๆ แห้งๆ แต่นี่” เมฆแกล้งมองรูปร่างตะวันฉาย “อื้อหือ”
ตะวันฉายทั้งโกรธทั้งอาย “คุณ! คุณไม่มีสิทธิ์มามองชั้นอย่างนี้นะ”
“ดุชะมัด ก็แค่จะบอกว่า อื้อหือ สวยนะเนี่ย”
ตะวันฉายเหวอ เธอเขินจนพูดอะไรไม่ออก
“แต่ใจร้าย” เมฆพูดต่อ
“นี่คุณ รีบๆขึ้นรถเลย ชั้นมีอย่างอื่นต้องรีบไปทำอีก” ตะวันฉายรีบเดินไปขึ้นรถ
เมฆแอบขำ
เมื่อมาถึงรีสอร์ต เมฆไหว้เกริกไกรกับสายรุ้ง ทั้งสองรับไหว้อย่างยินดี
“สวัสดีค่ะ ไม่คิดว่าจะเป็นคุณเมฆมาพักเองนะคะเนี่ย ยินดีต้อนรับนะคะ” สายรุ้งนั่งลงคุยกับหมอก “แล้วคนนี้ล่ะ ใครเอ่ย”
หมอกไหว้สายรุ้ง “สวัสดีคับ ชื่อหมอกคับ” หมอกไหว้เกริกไกรกับอ้อ
“ลูกชายผมเองครับ” เมฆบอก
“มารยาทดีซะด้วย คุณเมฆนี่สอนลูกดีนะครับ” เกริกไกรชม
“มา ขอแม่อุ้มหน่อยลูก” อ้อพูด
ทุกคนทำหน้าเหวอ อ้อหัวเราะ
“ล้อเล่นค่า”อ้อพูดกับหมอก “นั่งเรือมาสนุกมั้ยครับ”
“สนุกครับ” หมอกตอบ
ตะวันฉายยืนหน้าเจื่อนอยู่ข้างๆเกริกไกร
ตะวันฉายกระซิบถาม “พ่อ ซันไปได้ยัง”
เกริกไกรพยักหน้า “ไปเถอะ”
ตะวันฉายกำลังจะเดินไป แต่เมฆเรียกไว้ก่อน
“เดี๋ยวก่อนครับ” เมฆพูดกับเกริกไกรและสายรุ้ง “วันนี้พนักงานของคุณมารับช้า ลำพังผมน่ะรอได้ แต่ลูกผมต้องมารอด้วยตั้งนาน อากาศก็ร้อน ถ้าเด็กเกิดเป็นลมชักขึ้นมาจะทำยังไง”
“นี่คุณ จะเอาไงอีก ชั้นก็ขอโทษไปแล้วไง” ตะวันฉายโวย
เกริกไกรรีบรั้งแขนลูกสาวไว้
“ตะวันฉาย”
อ้อกุมขมับ “เอาแล้วไง”
สายรุ้งกระซิบกระซาบกับอ้อ “ไหนเธอบอกชั้นว่าทุกอย่างราบรื่นไม่มีปัญหาไง นี่สมรู้ร่วมคิดกันเหรอ”
อ้อตอบอ้อมแอ้ม “ก็..ก็คุณซันไม่ให้บอก”
เมฆยังแกล้งตะวันฉายต่อโดยการพูดกับเกริกไกร “เพราะฉะนั้น ผมขอแบบเดิมนะครับ”
“แบบเดิม??” เกริกไกรทวนคำ
“ให้คุณตะวันฉายมาเป็นบัทเล่อร์ ดูแลผมกับลูกตลอด 24 ชั่วโมง”
“หา! มากไปมั้ง” ตะวันฉายตกใจ
“เอ่อ ผมว่าลดโทษลงกึ่งหนึ่งได้มั้ยครับ คราวก่อนผู้จัดการบกพร่องต่อหน้าที่ไปเยอะ สมควรแก่การลงโทษ แต่ครั้งนี้ แค่มารับสายไปนิดหน่อย เอาแค่ครึ่งวัน 6โมงเช้า ถึง6โมงเย็นก็พอนะครับ”
“โห ก็ยังเยอะอยู่ดีอ่ะ” ตะวันฉายบ่น
เกริกไกรทำหน้าปรามตะวันฉาย ตะวันฉายหน้างอ
เมฆยอมรับ “ก็ได้ครับ”
ตะวันฉายหันไปทำหน้าเศร้ากับเกริกไกร สายรุ้ง แล้วก็ส่ายหน้าคล้ายจะบอกว่าไม่เอานะ สายรุ้ง กับเกริกไกรถอนหายใจเพราะช่วยได้แค่นี้
ตะวันฉายยกกะเป๋าของเมฆกับหมอกเข้ามาในบ้านพักก่อนจะวางกระแทกลงบนพื้นด้วยหน้าตาบูดบึ้ง
“นี่คุณ ทำดีๆหน่อย” เมฆว่า
“พี่คนนี้ไม่เหมือนพี่ซันจริงๆด้วยคับ พี่ซันใจดีกว่านี้” หมอกบอก
ตะวันฉายอึ้ง เธอทำหน้าละห้อยเพราะรู้สึกผิดกับหมอก
เมฆพูดกับหมอก “เดี๋ยวเราเก็บของแล้วลงไปเล่นน้ำกันนะ”
หมอกดีใจ “คับพ่อ”
เมฆพูดกับตะวันฉาย “อย่าลืมตามมาบริการนะจ๊ะหนู”
ตะวันฉายทำหน้าเจ็บใจ
เมฆเล่นน้ำทะเลกับหมอกอย่างสนุกสนาน ตะวันฉายกางเก้าอี้ผ้าใบ กางร่ม จัดโต๊ะ และเตรียมเครื่องดื่ม ฯลฯ อยู่
ตะวันฉายเตรียมของเสร็จแล้วก็มีสีหน้าสบายใจขึ้น เธอจะล้มตัวลงนั่งรอที่เก้าอี้แต่เมฆกับหมอกก็ขึ้นมาลากตะวันฉายไปลงน้ำทะเล ตะวันฉายร้องลั่น แล้วเธอก็โดนสองพ่อลูกแกล้ง
เวลาผ่านไป ตะวันฉายต้องมาเตะฟุตบอลชายหาดกับเมฆและหมอก เธอเล่นจนลิ้นห้อยเพราะตามสองพ่อลูกไม่ทัน
ตะวันฉายพาสองพ่อลูกไปขี่ช้างที่คลองพร้าว หมอกสนุกสนานมาก ตะวันฉายมองแล้วก็เผลอยิ้ม เมฆก็มีความสุขที่เห็นหมอกมีความสุข เขามองตะวันฉายที่กำลังเล่นกับหมอกด้วยความประทับใจ
พระอาทิตย์คล้อยต่ำลงเรื่อยๆ เมฆ หมอก และตะวันฉายนั่งอยู่บนรถสองแถวที่แล่นกลับที่พัก เมฆโอบหมอกที่หลับอยู่ ส่วนตะวันฉายนั่งอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามพร้อมกับมองดูหมอก พอละสายสายตาจากหมอก ก็เห็นว่าเมฆมองเธอพร้อมกับยิ้มให้ทำเอาตะวันฉายเขินจนต้องรีบหลบตา แล้วหันไปมองดูวิวเพื่อกลบเกลื่อน เมฆมองตะวันฉายที่นั่งผมปลิวพลิ้วไปตามลมอย่างไม่วางตา
เมฆอุ้มหมอกที่ยังหลับอยู่เดินเข้าบ้านพัก โดยมีตะวันฉายเดินตามมาอย่างเหนื่อยล้า
“ส่งแค่นี้นะ” ตะวันฉายบอก
เมฆยังไม่อยากให้ไป “อ้าว หมดเวลาแล้วเหรอ”
“6 โมงกว่าแล้ว เป็นอัน เลิกทาส ไปล่ะ” ตะวันฉายหันหลังจะเดินไป
เมฆจะเรียกตะวันฉายแต่ก็ลังเล เขาเลยปล่อยให้ตะวันฉายเดินจากไป
ตะวันฉายนั่งลงที่โต๊ะทำงานนอกห้องด้วยความเหนื่อย เธอเปิดคอมพิวเตอร์จะทำงาน แต่เมฆเข้ามาหาเธอ
“หิวอ่ะ” เมฆบอก
ตะวันฉายกลอกตาด้วยความเซ็ง “กระเพาะคุณ ไม่เกี่ยวกับชั้น”
“ไม่หิวเหรอ ไปกินข้าวด้วยกันนะ”
“ไม่ไป จะทำงาน” ตะวันฉายบอก
เมฆชะเง้อดูคอมพิวเตอร์ตะวันฉาย
“ทำงาน ทำอะไรน่ะ เอ๊ะ เขียนนิยายหรือเปล่า”
ตะวันฉายรีบบังคอมพิวเตอร์ไว้ “ชั้นจะทำอะไรก็เรื่องของชั้น คุณไปได้แล้ว”
เมฆแกล้งชะเง้อมองอีก “อุ๊ย โน้ตบุ๊คก็คุ้นๆนะ เหมือนของพี่เลี้ยงคนเก่าหมอกเลย ไหนขอดูหน่อยสิ”
ตะวันฉายปัดป้อง “ไม่ต้องดูหรอกน่า ใครเขาก็มีโน้ตบุ๊คอย่างนี้ได้ทั้งนั้นแหละ”
“อือๆ จริงด้วยเนอะ เอ๊ะ แล้วคุณกำลังเขียนเรื่องอะไรอยู่เหรอ พี่เลี้ยงหมอกเขาเขียนเรื่อง Angel’s Garden ผมเคยอ่านด้วยนะ เน่ามาก”
ตะวันฉายโวยทันที “เน่าแล้วอ่านทำไมล่ะ วิเคราะห์ ตีความเป็นหรือเปล่าเหอะ มาวิจารณ์งานคนอื่นน่ะ”
“อ้าว ทำไมต้องโวยวายด้วยล่ะ ทำอย่างกับเขียนเองงั้นแหละ”
ตะวันฉายอึ้ง “ก็..พูดอย่างเข้าใจคืนอื่นน่ะ”
เมฆยิ้มๆ “เหรอ เอ้าๆ คุณทำงานของคุณไปเถอะ ผมจะไปหาข้าวกินละ” เมฆเดินออกไป
ตะวันฉายถอนใจ “อยากจะเปลี่ยนเป็นเรื่อง “เขย่าขวัญตะวันฉาย” จริงๆเลย”
ทันใดนั้นเมฆก็เดินมาหาอีก
“นี่ ผมลืมไป ผมยังไม่ได้บอกอะไรไปอีกอย่าง”
“อะไรอีกล่ะ”
“ตอนกลางคืน ผมอยากให้คุณ..มานอนที่บ้านพักผมด้วย”
ตะวันฉายตกใจ “หา! จะบ้าเหรอ คุณตกลงไว้ที่ 6 โมงนะ ชั้นไม่อยู่ด้วยหรอก”
เมฆทำหน้าเศร้า “ใจร้าย แค่จะให้มาช่วยดูแลลูกผมแค่เนี้ยก็ไม่ได้”
ตะวันฉายมีน้ำเสียงอ่อนลง “ก็...ก็มันผิดกฎอ่ะ”
“ก็เปลี่ยนกฎซะสิ” เมฆเดินผิวปากไปอย่างสบายอารมณ์
“โอ๊ยย..สุดจะทนแล้วนะ....” ตะวันฉายบ่น
เกริกไกรนั่งคุยกับสายรุ้งด้วยท่าทางไม่พอใจ
“พ่อก็รับไม่ได้เหมือนกัน ใช้งานซันบ้างพ่อก็พอทำใจได้ แต่นี่ต้องให้ไปเป็นพี่เลี้ยงดูแลลูกตัวเองอีก แถมยังให้อยู่ด้วยทั้งคืน มันเกินไปแล้ว”
“นี่เขาเห็นคนของเราเป็นอะไร ไม่คิดเลยว่าคุณเมฆจะดูถูกกันอย่างนี้ ยัยซันก็คน ให้เขาจิกใช้อยู่ได้ยังไง ทุกทีเคยยอมใครซะที่ไหน พ่อ แม่จะไปคุยกับคุณเมฆซะหน่อย เสียลูกค้าก็ยอมล่ะคราวนี้” สายรุ้งจะเดินไป
เกริกไกรคิดแล้วห้าม “เดี๋ยวๆๆแม่ เมื่อกี๊แม่ว่าซันมันยอมคุณเมฆเหรอ”
“ใช่ คราวที่แล้วลูกเรามันเล่นงานเค้าจนเราแทบจะโดนถอนหงอกกันอยู่แล้ว แต่นี่อะไร ยอมไปรับใช้เขาอยู่ได้ คุณเมฆคงร้ายกับยัยซันมาก จนลูกสู้ไม่ไหว”
เกริกไกรคิดตามแล้วยิ้มขำ “เออ นั่นสิ พ่อว่ามันก็แปลกอยู่นะ ที่ซันมันก็ดูไม่กล้ากับคุณเมฆน่ะ แม่ว่ามั้ย”
สายรุ้งชะงักแล้วก็คิดตาม
“มองอีกด้าน คุณเมฆอาจจะทำให้ซันกลายเป็นคนทำงานบริการที่ดีในอนาคตก็ได้นะ พ่อว่า ปล่อยไปก่อนเถอะ ลองให้คุณเมฆดัดนิสัยยัยตัวดีสักพักดีกว่า” เกริกไกรบอก
“จะดีเหรอพ่อ”
ตะวันฉายโวยวายพ่อกับแม่
“ไม่ดี! ไม่เอา ซันไม่ยอมมมม...”
สายรุ้งกระซิบบอกเกริกไกร “เห็นมั้ย แม่ว่าแล้ว พ่อจัดการไปเลยนะ แม่ไม่อยากปวดหัว”
“ซัน ความต้องการของลูกค้าต้องมาก่อน จะไม่ได้เหรอ” เกริกไกรบอก
“แล้วถ้าเขาต้องการ..” ตะวันฉายก้มมองร่างกายตัวเอง “อึ๋ย “
เกริกไกรค้าน “ไม่ม้าง..”
“พ่ออ่ะ แม่ดูพ่อสิ ไม่หวง ไม่ห่วงลูกเลย จะปล่อยให้ไปนอนบ้านผู้ชายซะงั้น”
“พ่อไม่ปล่อยให้ใครมาทำอะไรลูกหรอก พ่อกับแม่จะสังเกตการณ์อยู่ห่างๆเอง” เกริกไกรบอก
สักพักหมอกก็วิ่งมาหาตะวันฉาย
“พี่ค้าบ.. ไปดูปูลมกัน”
ตะวันฉายรับคำทันที “ปูลมเหรอ ได้ครับ” ตะวันฉายจูงมือหมอกเดินไปที่ชายหาดหน้าบ้าน
เกริกไกรกับสายรุ้งมองตะวันฉายด้วยความแปลกใจ
“อ้าว ไปง่ายๆเลย พ่อ ไอ้ที่คิดว่าคุณเมฆจะดัดนิสัยยัยซันน่ะ สงสัยจะเป็นเจ้าตัวเล็กนี่ล่ะมั้ง” สายรุ้งบอก