มือปราบพ่อลูกอ่อน ตอนที่ 9
ภัทรดนัยเดินออกมาจากห้องเอกสาร ในสำนักงานของมาวิน เขาถือซองกระดาษสีน้ำตาลด้วยท่าทางมีพิรุธ ภัทรดนัยกำลังจะเดินออกไป แต่จู่ๆ เสียงมือถือก็ดังขึ้น ภัทรดนัยตกใจลนลานรีบกดรับสาย
“โทร.มาทำบ้าอะไรตอนนี้วะไอ้กรด!! ..เออ..ชั้นได้เอกสารมาแล้ว..แกรอชั้นก่อน..ชั้นจะรีบไปหาแกเดี๋ยวนี้แหละไอ้กรด”
ภัทรดนัยวางสายแล้วรีบเดินออกไป ทันใดนั้น มาวินก็โผล่ออกมาด้วยท่าทางที่ได้ยินหมดทุกอย่าง
“หึๆๆ ไหนบอกว่าไอ้กรดตายแล้วไง...คิดจะตบตาสารวัตรมาวินเหรอ หึๆๆ ไอไม่ได้ซื้อวุฒิ เอฟบีไอมานะเฟร้ย”
มาวินสวมแว่นดำแล้วรีบเดินตามไป
ภัทรดนัยเดินจ้ำมาที่สวนสาธารณะ เขามีท่าทางลับๆล่อๆ แล้วตรงไปนั่งที่ม้านั่งตัวหนึ่ง ซึ่งมีชายคนหนึ่งกำลังกางหนังสือพิมพ์ปิดหน้าอยู่
ชายคนนั้นลดหนังสือพิมพ์ลงมาจึงเห็นว่าเป็นกริสน์ในคราบของกรด มาวินสะกดรอยตามมาห่างๆ
“ไอ้กรด..คนตายเดินได้เหรอ หึๆ”
ภัทรดนัยส่งซองเอกสารยื่นให้แล้วพูดสองสามคำกับกรด จากนั้นกรดและภัทรดนัยต่างก็ลุกเดินแยกกันไปคนละทาง
“แกหนีชั้นไม่พ้นหรอกไอ้กรด”
มาวินพูดแล้วตัดสินใจเดินตามกรดไป
กริสน์ในคราบกรดออกเดินไป มาวินสะกดรอยตามไปห่างๆ โดยแอบหลังเสาบ้าง หลังรถยนต์บ้าง หลังถังขยะบ้าง รวมทั้งยังดึงร่มกันแดดของผู้หญิงที่กางอยู่มาบังหน้าตัวเองก็มี
กริสน์เดินเลี้ยวเข้าไปในซอกตึกแคบๆ
“ไอ้กรด แกนัดใครไว้” มาวินสงสัย
กริสน์เดินอย่างรวดเร็วเข้ามาในซอกตึก มาวินเดินตามมาห่างๆ กริสน์ยกโทรศัพท์ขึ้นพูด
“สวัสดีครับคุณสุขสันต์ พอดีคุณพิมบ่นคิดถึงคุณสุขสันต์น่ะครับ แต่ไม่กล้าโทรหาคุณสุขสันต์ กลัวคุณสุขสันต์จะหาว่าแกจู้จี้ ผมก็เลยอาสาโทร.มาหาน่ะครับ ไม่ทราบว่าคุณสุขสันต์ยังคุยงานอยู่ร้านอาหารร้านเดิมอยู่หรือเปล่าครับ”
อีกด้านหนึ่ง สุขสันต์กำลังนั่งกินข้าวและคุยงานอยู่กับนักธุรกิจในห้องส่วนตัวภายในร้านอาหาร โดยมีลูกน้องยืนรายรอบ
“ฮ่าๆๆ ชั้นอยู่ร้านอาหารคุยกับแขกร้านเดิม แล้วฝากบอกคุณพิมด้วยนะว่า ชั้นก็คิดถึงเธอ” สุขสันต์พูดโทรศัพท์อย่างอารมณ์ดี
สุขสันต์วางสายแล้วหัวเราะอย่างพอใจ ก่อนจะหันมาคุยธุรกิจต่อ
กริสน์ที่เวลานี้ปลอมเป็นกรดวางโทรศัพท์แล้วยิ้ม เขาเดินมาหยุดที่ทางเข้าด้านหลังของร้านอาหารร้านหนึ่ง กริสน์มองป้ายร้าน ชักปืนออกมาจากเอวแล้วขึ้นลำกล้อง
มาวินที่แอบอยู่หลังตึกถึงกับตาโต “น่านไง...เอาแล้ว...มีคนบาดเจ็บแน่งานนี้!”
กริสน์เดินเข้ามาในร้าน มาวินตามเข้ามาห่างๆ พร้อมกับชักปืนออกมาบ้าง
กริสน์เดินผ่านครัวไป มาวินเดินตาม พนักงานมองทั้งสองอย่างงงๆ
กริสน์เดินเร็วขึ้น มาวินเดินตามห่างๆ กริสน์รีบวิ่งขึ้นบันได มาวินวิ่งตามไม่ลดละ กริสน์วิ่งหายไปในมุมหนึ่ง มาวินวิ่งตามมาพอพ้นมุมนั้นเขาก็พบว่ากริสน์ในคราบกรดหายไปแล้ว
“อ้าว...หายไปไหนวะ?”
ทันใดนั้นก็มีบริกรคนหนึ่งวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา
“ช่วยด้วยๆมีคนจะยิงกัน!” บริการบอกกับเขา
“ไหนๆ อยู่ไหน? ฉันเป็นตำรวจ!” มาวินรีบถาม
“ตำรวจ...นั่นครับ ห้องนั้นครับ” บริกรชี้ไปที่ห้องอาหารส่วนตัว
“เดี๋ยวแกโทร.ไปแจ้ง 191 เลยนะ ฮ่าๆ สารวัตรมาวิน มาแล้ว”
มาวินรีบวิ่งไปทางที่บริกรชี้ทันที บริกรคนนั้นค่อยๆ หันมา เผยให้เห็นว่าเป็นภัทรดนัยที่ปลอมตัวมา ภัทรดนัยถึงกับหัวเราะร่า
มาวินรีบผลักประตูเข้ามาในห้องส่วนตัวแล้วชี้ปืนขู่
“นี่ตำรวจ! ทุกคนหยุดให้หมด อย่าขยับ”
สุขสันต์ ฉัตรชัย ฮิม บอร์ดี้การ์ด และนักธุรกิจที่อยู่ในห้องนั้นหันมองมาวินเป็นตาเดียว
หลังจากทุกคนในห้องนิ่งไปสักพัก สุขสันต์ก็กล่าวขึ้น “สวัสดีครับ สารวัตรมาวิน!”
“โอ๊ะ...โอ!” มาวินตกใจ
“ทุกคน..สารวัตรมาหาถึงที่เลย..ต้อนรับหน่อยซิ” สุขสันต์บอก
ลูกน้องทุกคนยกปืนขึ้นมาเล็งไปที่มาวิน ฉัตรชัยปิดประตูห้องแล้วกดล็อค มาวินกลืนน้ำลาย
ที่ข้างทางใกล้ร้านอาหาร กริสน์หัวเราะสะใจอยู่กับภัทรดนัย
“ฮ่าๆๆ ไอ้สารวัตรมาวิน เล่นกับใครไม่เล่น รับรองงานนี้มันต้องเข็ดไปอีกนาน” ภัทรดนัยสะใจ
“มันคงจะมาป่วนเราไม่ได้อีกสักพัก ระหว่างนี้เราต้องรีบแกะรหัสให้ได้ ว่าพวกสุขสันต์นัดกันที่ไหน เมื่อไหร่”
“ชั้นรู้แล้ว..วันก่อนชั้นดูหนังมา..มันต้องเอาไปแช่น้ำ แล้วตัวอักษรลับจะขึ้นมา” ภทัรดนัยเอาน้ำดื่มเทใส่กระดาษทันที “อื้ม มันไม่ขึ้น หรือว่ามันจะไม่มีโค้ดลับอะไร”
“ชั้นว่าแกเอาเวลาไปเร่งให้ทีมถอดรหัสทำงานเร็วๆจะดีกว่า” กริสน์ประชด
ที่ร้านสวีทโอปอล์ พวกเด็กๆ กำลังรุมเข้าคิวซื้อขนมอยู่ ปาล์มลากแขนเมทินีเข้ามาในร้าน
“เบาๆๆ ต๊ายๆๆ” เมทินีรีบก้มลงเป่าและลูบแขนตัวเอง “ดึงคุณแม่แรงๆแบบนี้ ไม่ได้นะคะ ถ้าหนังแม่ไม่คืนตัว หลายแสนนะคะลูก..คุณแม่บอกแล้วไง ลูกปาล์มอยากจะซื้อมากแค่ไหน ซื้อไปเลยจ๊ะ แม่รอจ่ายตังค์ให้”
“มากแค่ไหนก็ได้ใช่มั้ยครับ หึๆๆ” ปาล์มยิ้ม
ปาล์มวิ่งเข้าไปกวาดขนมที่วางโชว์อยู่ลงในรถเข็น เขากวาดได้จำนวนหนึ่งแล้วก็รู้สึกไม่ได้ดังใจจึงผลักเด็ก2-3คนที่ยืนขวางอยู่ออกไป แล้วปีนขึ้นไปยืนบนเก้าอี้
“ทุกคนโปรดทราบ!! ใครที่กำลังเลือกขนมอยู่ ไม่ต้องเลือกแล้ว เพราะขนมทั้งหมดของร้านนี้..ตั้งแต่ด้านนี้ ไปถึงด้านนั้น ซุ้มนั้นๆๆๆ..ปาล์มเหมาหมด!”
“หา” เด็กๆ ร้องอย่างตกใจ
“ทุกคนออกไปจากร้านให้หมด พนักงานเอาขนมใส่ถุงให้ด้วย” ปาล์มตะโกนสั่ง
เด็กๆ ที่อยู่ในร้านโวยวายขึ้นมาทันที
“เหมาได้ไง พวกเราก็จะซื้อเหมือนกัน” เด็กคนหนึ่งตะโกนขึ้นมา
ปาล์มกระโจนมากระชากคอเด็กคนนั้นทันที “แกมีปัญหาเหรอ!”
เด็กคนนั้นมีท่าทางหวาดกลัว “ไม่มีๆ”
“ดี..ใครมีปัญหา แสดงตัวออกมา ถ้าใครไม่มีอะไรคาใจแล้ว ก็ออกไป”
พวกเด็กๆ ทยอยออกไปจากร้าน เมทินีพูดกับเด็กๆ เหล่านั้น
“ขอโทษทีนะเด็กๆ น้าต้องซื้อทีละเยอะๆ แบบนี้ เพราะน้ารวยมาก ธุรกิจเยอะ มาบ่อยๆไม่ได้ พวกเธอจนๆ เอาไว้มาใหม่บ่อยๆนะ”
น้อมพงษ์กับจตุพลกำลังยืนมองเหตุการณ์อยู่อีกด้าน
“ยัยคนนั้นใครวะ มาไล่ลูกค้าเราออกหมดเลย” จตุพลสงสัย
“อ๋อ คุณเมทินี นักธุรกิจมีที่ดินเกือบทุกจังหวัดของประเทศ เจ้าของร้านศัลยกรรมเมทินี...รวยระดับต้นๆ ของประเทศ..คนที่ชอบออกข่าวว่าควงกับพระเอกคนนั้นคนนี้ ทั้งๆ ที่พระเอกไม่รู้จักเลยอ่ะครับ” น้อมพงษ์ตอบ
“อ๋อ....ไม่รู้จักว่ะ..แต่ว่า เจ๊คนนี้รวยมากเลยใช่มั้ย..งั้นถ้าเราได้เจ๊คนนี้มาช่วยขยายสาขาล่ะ”
“ร้านเราสบายแน่นอนครับ” น้อมพงษ์สนับสนุน
เมทินีหันมาพอดี เธอสบตาเข้ากับจตุพลโดยบังเอิญ เมทินียิ้มอย่างขวยเขินก่อนจะทำฟอร์มไม่สนใจแล้วเมินหน้าไปอีกทาง แต่ก็ยังแอบปรายตามองจตุพลอยู่
จตุพลกับน้อมพงษ์งงกับท่าทีของเมทินี
“ผมคิดว่า..โปรเจ็คท์สำคัญอย่างนี้ คุณจตุพลจะต้องออกโรงไปต้อนรับด้วยตัวเองแล้วล่ะครับ..เพื่อธุรกิจของเรา สู้ๆ” น้อมพงษ์บอก ส่วนจตุพลหวั่นใจ
เมทินีกำลังหยิบครีมขึ้นมาทามือทาแขนของตัวเองอยู่ จตุพลเดินเข้ามาทักทาย
“สวัสดีครับคุณเมทินี”
“คุณ...” เมทินีถามอายๆ
“ผมจตุพลครับ เป็นผู้ดูแลธุรกิจสวีทโอปอล์ทั้งหมด..เป็นเกียรติมากครับที่คุณเมทินีมาร้านเรา..แหม ผมรู้จักคุณเมทินีจากข่าวสังคมมานานแล้ว เพิ่งจะได้เจอตัวจริงวันนี้..น่าประทับใจจริง”
“น่าประทับใจ ยังไงคะ?” เมทินีถาม
“ก็ตัวจริงคุณเมทินีดูเป็นผู้หญิงเก่ง ฉลาด มองการณ์ไกล มากกว่าที่สื่อถ่ายออกมาน่ะสิครับ..และที่สำคัญ..ตัวจริง..ก็ยังดูดีมาก” จตุลพป้อยอ
เมทินีเขินจนเผลอทำขวดครีมหล่นลงพื้น เมทินีจะก้มลงเก็บจังหวะเดียวกับจตุพลที่จะช่วยเก็บเช่นกัน ทำให้มือทั้งสองคนโดนกันโดยบังเอิญ
“อุ๊ย..” เมทินีเขิน
ทั้งสองสะดุ้งราวกับถูกไฟช็อต
“ผมเก็บให้ครับ” จตุพลอาสา
“ไม่เป็นไรค่ะ” เมทินีบอก
เมทินีจะเก็บเองแต่จตุพลคว้ามือเธอไว้ เมทินีจะเอามืออีกข้างเก็บ จตุพลก็คว้าเอาไว้อีก จตุพลรวบสองมือเมทินีมาประสานเข้าด้วยกันแล้วกุมไว้
“ให้ผมเก็บให้เถอะนะครับ”
เมทินีจำยอม เธอมีท่าทีเขินอาย
อยู่ๆ ปาล์มก็เข้ามาขัด “คุณมายุ่งอะไรกับแม่ผม!”
“เค้ายังไม่ได้ยุ่งเลยค่ะลูกปาล์ม..ไปๆๆ อย่ามาขัดจังหวะแม่” เมทินีหันมาพูดกับจตุพล “ขอโทษทีนะคะ มีแม่สวย ลูกปาล์มแกก็หวงเป็นธรรมดา”
“ปาล์มซื้อขนมเสร็จแล้ว รอแม่จ่ายเงิน เร็วๆๆ” ปาล์มเร่ง
“เอ้อ หลานสาวอา เรียนโรงเรียนเดียวกับปาล์มนะ ชื่อโอปอล์..น้องปาล์มรู้จักมั้ย” จตุลพชวนคุย
ปาล์มกระเด้งขึ้นมาทันที “คุณอาของโอปอล์เหรอครับ” ปาล์มรีบเข้าไปกอด “ฝากเนื้อฝากตัวด้วยค้าบบบ..ปาล์มสัญญาว่า..ถ้าปาล์มอายุครบสิบแปดเมื่อไหร่ ปาล์มจะให้แม่ไปขอโอปอล์ทันที..คุณอาตกลงนะครับ”
“ลูกปาล์มคะ” เมทินีเรียก
“ถ้าน้องปาล์มชอบแบรนด์สวีทโอปอล์มากขนาดนี้..น่าจะมาเป็นเจ้าของร่วมกันนะครับ..คุณเมทินีสนใจจะร่วมลงทุนกับเรามั้ยครับ” จตุลพเข้าเรื่อง
“ลงทุน?” เมทินีงง
“คือ..ผม..กำลังวางแผนขยายธุรกิจออกไปอีก..อันดับแรก ก็คิดว่าจะขยายเฟรนไชส์เข้าไปเปิดในห้างสรรพสินค้าทั่วกรุงเทพฯ คงจะโชคดีมาก..ถ้าผมได้ร่วมงานกับคนเก่งๆ และสวยอย่างคุณเมทินี..สนใจจะลงทุนซื้อขายแเฟรนไชส์สักที่สองที่มั้ยครับ”
“ซื้อ!!! ซื้อหมดเลย เอาทุกที่” ปาล์มบอก
“เอิ่ม..” เมทินีสนใจ แต่ทำเป็นวางฟอร์ม “นีคิดว่า คงต้องขอนัดคุยในรายละเอียดอีกสักหน่อยจะดีกว่านะคะ”
“ได้ครับ นี่นามบัตรผมครับ” จตุพลยื่นนามบัตรให้ “แล้วผมจะโทรไปนัดหมายกับเลขาคุณเมทินีนะครับ”
“ไม่ต้องค่ะ” เมทินียื่นนามบัตรให้ “โทร.มานัด..ส่วนตัวเลยดีกว่า”
เมทินียิ้มหวานแล้วขยิบตาให้ จตุพลยิ้มรับ
ห้องพักคนไข้ในโรงพยาบาล มาวินนอนเข้าเฝือกทั้งแขน ขา และมีผ้าพันแผลทั่วใบหน้า เขาค่อยๆ ได้สติลืมตา และพบว่าตัวเองนอนเจ็บอยู่ พอหันมาด้านข้างก็ต้องตกใจ เพราะเห็นภัทรดนัยและกริสน์ในคราบของกรดยืนจ้องอยู่
“ตะเอ๋!” ภัทรดนัยทัก
“เฮ้ย..แก ไอ้ภัท..อูย” มาวินจะด่าแต่ก็เจ็บ
“นอนสบายๆก็ได้ครับ ผมแค่มาเยี่ยม... สารวัตรไปทำอีท่าไหนมา..ถึงได้ถูกคนรุมตื้บมาขนาดนี้ ไปอวดเบ่งผิดที่ผิดทางมาใช่มั้ยครับเนี่ย..เจ็บตรงไหนบ้างครับ?” ภัทรดนัยยั่ว
“กะ..แก..”
“สารวัตรไม่ต้องบอกว่าเจ็บตรงไหน” ภัทรดนัยจับแขนมาวินบีบ “เจ็บมั้ยครับ”
“โอ๊ย!” มาวินร้องเสียงดัง
“ตรงนี้ล่ะครับ เจ็บมั้ย..ตรงนี้ล่ะ..ตรงนี้ๆๆ”
ภัทรดนัยแตะตรงนั้นบีบตรงนี้ไปทั่ว มาวินร้องเจ็บหมดทุกจุด
ภัทรดนัยทำเหมือนเจอตำแหน่งที่มาวินไม่เจ็บ “อ้ะๆๆ นี่ไง ตรงนี้สารวัตรไม่เจ็บ งั้น... “ ภัทรดนัยหยิกจุดสงวน
“อ๊าก” มาวินร้องลั่น
“จะได้เจ็บเท่าๆกันทุกส่วน” ภัทรดนัยบอก
“แก..แก..”
“ที่สารวัตรมีสภาพยังงี้ ก็เพราะสารวัตรแอบสะกดรอยตามผม เค้าเรียกว่าคนดีผีคุ้ม..ผมจะทำอะไร ก็ปล่อยผมไป เลิกแกะรอยผมเถอะ..เรามาแก้กรรมด้วยการละเว้นซึ่งกันและกันดีมั้ย..ผมไม่อยากให้สารวัตรเจอกรรมตามสนองอีก” กริสน์เสนอทางออก
พยาบาลเดินเข้ามาพร้อมกับถาดอาหาร
“อุ๊ยๆๆ ได้เวลาทานข้าวพอดี มาๆๆ ผมป้อนเอง” ภัทรดนัยอาสา
พยาบาลส่งถาดให้ แล้วเดินออกไป
“ทานเยอะๆนะสารวัตร จะได้หายเร็วๆ อ้ำๆๆ” ภัทรดนัยยัดข้าวร้อนๆ ใส่ปากมาวิน
มาวินร้อนจึงต้องห่อปาก “โอะ อู้ว”
“ข้าวต้มร้อนไปใช่มั้ยครับ โทษทีๆ ลืมเป่า..อ้ะๆ คำนี้แก้ตัว” ภัทรดนัยยัดอีกคำเข้าปาก “อุ๊ย ลืมเป่าให้อีกแล้ว”
มาวินถูกป้อนข้าวใส่ปากไม่ยั้ง เขามองภัทรดนัยด้วยแววตาแค้น
“ชั้น..ไม่ปล่อย..พวกแก แน่” มาวินพยายามพูด
“เอ้า ยังปากดีไม่เลิก งั้นทานอีกนะครับ” ภัทรดนัยยัดข้าวต้มร้อนๆ ใส่ปากมาวินอีก
มาวินร้องลั่นห้อง
จตุพลเดินมาส่งเมทินีที่รถซึ่งจอดอยู่หน้าร้านสวีทโอปอล์ ปาล์มนั่งกินขนมอยู่ในรถ บนหน้าตักของเขามีขนมเต็มไปหมด
“ต้องส่งขนมตามมาทันที อย่าให้เกินหนึ่งชั่วโมงนะ” ปาล์มสั่ง
“ไม่ต้องห่วง..ลูกค้าคนพิเศษของร้านเรา และของหนูโอปอล์ทั้งที..อาบริการเต็มที่อยู่แล้ว” จตุพลรับคำ
“น่ารักอ้ะคนเนี้ย..เนอะๆ คุณแม่..คนนี้น่ารักเนอะ” ปาล์มบอกแม่
เมทินีก็แอบชอบแต่ยังวางฟอร์ม “อื้อ”
“คุณนีครับ..ถ้าไม่รบกวนเวลามากนัก..ฝากคิดเรื่องลงทุนกับสวีทโอปอล์บ้างสักนิดนะครับ”
“คุณจตุพล..ถามตรงๆนะคะ..ทำไมคุณถึงชวนนีลงทุนด้วยคะ”
“เพราะคุณนีเก่ง ฉลาด เป็นผู้นำ มองตลาดออก ผมมั่นใจว่าจะช่วยทำให้ยี่ห้อสวีทโอปอโด่งดังได้แน่ๆครับ”
“นีขอเหตุผลตรงๆ ได้มั้ยคะ” เมทินีพูด
“ถ้าจะเอาเหตุผลตรงๆ..ก็คือ..ผมเบื่อนักธุรกิจผู้ชายแล้ว..ผมอยากมีหุ้นส่วนธุรกิจสวยๆ คนที่ผมอยากจะคุยงานด้วยทุกวัน..ผิดมั้ยครับ”
เมทินีเป็นปลื้มแต่ยังวางฟอร์ม “ค่ะ..ไม่ผิด..เอิ่ม นีขอตัวกลับก่อนนะคะ”
“หวังว่าคุณนีจะคิดถึงผมบ้าง เหมือนที่ผมจะคิดถึงคุณนีนะครับ” จตุพลหยอด
“นีไม่ค่อยมีเวลา..แต่ก็จะพยายามค่ะ”
เมทินีขึ้นรถไป จตุพลช่วยปิดประตูแล้วยืนส่ง เมทินีมองผ่านกระจกออกมาอย่างขวยเขิน เธอทำเป็นสะบัดสะบิ้งจนรถออกไป จตุพลเปลี่ยนสีหน้าทันที
น้อมพงษ์เดินเข้ามาหา “เป็นยังไงบ้างครับ สำเร็จมั้ย”
“สำเร็จกับผีสิ..ชั้นขนลุกไปหมดแล้ว แค่มองตาก็อยากจะเอาใบหนาดมาฟาดยัยเจ๊นีให้ผีออกให้รู้แล้วรู้รอด”
“ดูท่าทางเจ๊แก ชอบคุณจตุพลเอาเรื่องอยู่นะครับ หึๆๆ อย่างนี้ หลอกเงินมาลงทุนง่าย คิดว่าทำเพื่อธุรกิจแล้วกันนะครับ”
ทันใดนั้น มือถือของจตุพลก็ดังขึ้นเป็นเสียงข้อความเข้า จตุพลหยิบมากดอ่าน “คืนนี้โทร.มานะ จะรอ จูบุจูบุ”
จตุพลกุมขมับอย่างเครียดๆ
โจ๊กกับแจ๊สแอบเปิดประตูเข้ามาในห้องนอนกริสน์ โดยมีจีจ้ากับป๊อปคอร์นเดินตามเข้ามา
“พวกเราแอบเข้าห้องลูกพี่วิ่งสู้ฟัดมาทำอะไรกันอ่ะ” จีจ้าสงสัย
“พี่มั่นใจ ว่าคนไทยเกิน 1 ล้านคน ..ต้องสงสัยว่าน้ากริสน์ต้องเป็นไส้ศึกที่นายไร้สุขทุกข์ระทมส่งเข้ามาอยู่ในบ้านเรา”
“เราต้องหาหลักฐาน และขับไล่ออกไป..แยกย้ายกันหา!” โจ๊กสั่ง
พวกเด็กๆแยกย้ายกันรื้อหาหลักฐาน ทั้งหมดรื้อมุมนั้นมุมนี้ไปทั่ว ป๊อปคอร์นก็ช่วยหาด้วย
“พวกพี่คิดมาก ลูกพี่กริสน์ไม่ใช่คนไม่ดีหรอก.....มั้ง” จีจ้าชักลังเล
“เจอแล้ว!” โจ๊กตะโกนลั่น
“อะไร” จีจ้าถาม
“เงิน!!” โจ๊กพบเงินวางอยู่ในลิ้นชัก “สองร้อยยี่สิบบาท..ต้องเป็นเงินที่ขโมยร้านเรามาแน่ๆ”
“อาจเป็นเงินลูกพี่กริสน์เองก็ได้” จีจ้าบอก
แจ๊สดึงกล่องรองเท้าออกมาจากใต้เตียง โดยมีหนังสือพิมพ์วางอยู่บนกล่อง “ฮ้า!! นี่ๆๆ หนังสือพิมพ์ของร้านดอกไม้..มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง น้ากริสน์ต้องขโมยมาแน่ๆ”
“ขโมยทั้งเงิน ขโมยทั้งของ ชัดเลยว่าเป็นคนไม่ดี” โจ๊กสรุป
“เราจะไปฟ้องน้าพิม” แจ๊สบอก
“เดี๋ยวๆๆ” จีจ้าทักแล้วจะเข้าไปห้าม แต่เผลอเตะกล่องรองเท้าคว่ำจนเผยให้เห็นว่าในกล่องนั้นมีทั้งปืนและรูปภาพมากมาย
“ปืน!” เด็กๆ ตกตะลึงที่เห็นปืน โจ๊กจะเข้าไปหยิบปืนขึ้นมา แต่แจ๊สรีบห้ามเอาไว้ “ห้ามจับปืนนะโจ๊ก!”
โจ๊กหยุดกึก “ทำไมล่ะพี่แจ๊ส?”
แจ๊สหน้าตาจริงจัง “เด็กๆอย่างเราห้ามเล่นปืนเด็ดขาด ถ้าเกิดมีลูกกระสุนอยู่ละก็ถึงตายเลยนะ”
โจ๊กกับจีจ้าอึ้ง ป๊อปคอร์นคลานต่ำเข้าไปที่ปืน มันดมๆ ฟุดฟิดๆ แล้วหันกลับมาที่เด็กๆ ก่อนจะพยักหน้าบอกว่าเป็นของจริง
“ป๊อปคอร์นพยักหน้า แปลว่า..ปืนของจริง!” โจ๊กบอก
“รูปภาพพวกนี้ มีแต่ภาพนายทุกข์ระทมทั้งนั้น” แจ๊สพูด
“จีจ้าบอกแล้วไง..จริงๆแล้วลูกพี่กริสน์เป็นตำรวจ ที่กำลังสืบความชั่วของนายทุกข์ระทมอยู่ ..เป็นตำรวจก็ต้องมีปืน”
“โจรก็มีปืนได้นะ” โจ๊กพูดขึ้น
“พี่ว่าเราไปบอกน้าพิมดีกว่า” แจ๊สเสนอ
เด็กๆ จะรีบออกไปแต่พอไปถึงประตูก็ต้องผงะ เพราะกริสน์ยืนขวางอยู่ที่ประตูซึ่งเปิดออก
“พวกเธอเข้ามาทำไม!” กริสน์เหลือบไปเห็นกล่องใส่ปืนคว่ำอยู่ก็ตกใจ “เฮ้ย!”
พวกเด็กๆ มาออกันอยู่ที่มุมนึงของห้องเพราะกลัวกริสน์
“ชั้นไม่ใช่โจร” กริสน์บอก
จีจ้าดีใจแล้วตั้งท่าจะวิ่งเข้าหา “จีจ้าบอกแล้ว”
แจ๊สคว้าตัวจีจ้าไว้ “จีจ้า!” แจ๊สพูดกับกริสน์ “ถ้าไม่ใช่โจร แล้วทำไมถึงมีปืน”
“รูปนายทุกข์ระทมด้วย” โจ๊กเสริม
“อืม” กริสน์ลังเลแล้วชั่งใจก่อนจะตัดสินใจพูด “มาถึงขั้นนี้แล้วชั้นคงต้องบอกความจริงกับพวกเธอ แต่พวกเธอสัญญาได้มั้ยว่าจะไม่เอาไปบอกต่อ”
เด็กๆ พยักหน้า กริสน์ตีหน้าเศร้าทันที
“ชั้น..กับนายทุกข์ระทม..จริงๆแล้ว เราเป็น..พี่น้องกัน”
“พี่น้อง!” เด็กๆ ตกใจ
กริสน์ออกลีลาเล่าเหมือนจริง โดยแต่งเรื่องเหมือนกำลังแสดงละครเวที
“นายทุกข์ระทมเป็นลูกที่เจ้าคุณพ่อเจ้าคุณแม่ของพี่รับอุปการะมาเลี้ยง ไม่ใช่ลูกแท้ๆ แต่ฉัน...ฉันคือลูกชายที่แท้จริง..คุณชายกริสนพงษ์ไพศาล..ทายาทคนเดียวของตระกูลสว่างวงศ์”
“คุณชาย” เด็กๆ ตกใจ
“นายทุกข์ระทมอยากฮุบสมบัติทั้งหมดของตระกูลฉัน..ก็เลยวางแผนทำให้เจ้าคุณพ่อเจ้าคุณแม่รถคว่ำเสียชีวิต แล้วใส่ร้ายว่าฉันเป็นคนทำ..จ้างคนตามล่าฉัน..จนฉันต้องหนีหัวซุกหัวซุน ไปอยู่เมืองนอก ในขณะที่นายทุกข์ระทมเสวยสุขอยู่บนกองเงินกองทองของฉัน”
“คุณพูดจริงเหรอ แล้วทำไม..นายทุกข์ระทมถึงจำคุณไม่ได้” แจ๊สสงสัย
“ก็..ก็..พี่หนีไปอยู่เกาหลี เลยทำหน้ามาใหม่หมด คาง แก้ม จมูก ฝีมือหมอทั้งนั้น” กริสน์ด้นสด
“มิน่า..นายทุกข์ระทมถึงจำลูกพี่ไม่ได้” จีจ้าเข้าใจ
“ใช่..พี่จะกลับมาทวงสิทธิ์ทายาทตัวจริงคืนมา!! พี่เลยตีสนิทนายทุกข์ระทม เพื่อสืบหาพินัยกรรมฉบับจริงของเจ้าคุณพ่อ และใบเกิด ที่ระบุว่า ทายาทที่แท้จริงของตระกูลสว่างวงศ์ จะต้องมีปานแดงรูปหัวใจที่แก้มก้นขวา ซึ่งมันก็คือฉัน อยากดูมั้ย” กริสน์ท่าจะถอดกางเกง
“ไม่ๆ” เด็กๆ รีบห้าม
กริสน์ทำเป็นทรุดลงแล้วหน้าตาเศร้าลง
“ฉันต้องทำให้สำเร็จ เพื่อวิญญาณเจ้าคุณเจ้าคุณแม่จะได้สงบสุข ฮือๆ”
เด็กๆอึ้งและเห็นใจ ทั้งหมดต่างพากันสงสารกริสน์
กริสน์พาเด็กๆออกมาจากห้อง “ไปๆๆ แล้วอย่าลืมที่รับปาก”
พิมมาดายืนกอดอกรออยู่ข้างนอก
“กี่โมงกี่ยามแล้ว ทำไมยังไม่พาเด็กๆ เข้านอนอีก พรุ่งนี้ต้องไปเรียนนะ”
“เอ่อ..กำลังจะพาไปแล้วนี่ไงครับ เข้านอนช้ากว่าปกติสักสิบนาทีไม่เป็นไรหรอก”
“จะนาทีเดียวหรือร้อยนาที มันก็คือสาย..นายจะปลูกฝังให้หลานชั้นไม่รู้จักรักษาเวลาหรือไง..ใช้ไม่ได้”
“ทำไมน้าพิมชอบว่าลูกพี่กริสน์เรื่อยเลย” จีจ้าถาม
“ทีคนที่ควรจะต่อว่ากลับไม่ว่าสักคำ” โจ๊กเสริม
“สักวัน..พวกเราจะทำให้น้าพิมรู้ว่าใครกันแน่คือทายาทตัวจริงของตระกูลสว่างวงศ์!” แจ๊สต่อ
“ใครกันแน่ที่เป็นเจ้าของทรัพย์สมบัติมหาศาลทั้งหมด” โจ๊กบอก
“ใครกันแน่ที่เป็นพระเอก” จีจ้าพูดต่อ
เด็กๆหัวเราะหึๆ อย่างมีเลศนัย
“พวกเธอพูดเรื่องอะไร...นายสอนอะไรหลานชั้น” พิมมาดางง
กริสน์รีบตัดบท” เด็กๆ..เข้าบ้านไปนะๆ”
เด็กๆ เดินเข้าไป ป๊อปคอร์นมองพิมมาดาแล้วเชิดหน้าเดินตามไป
“อย่าให้รู้นะว่านายสอนอะไรแย่ๆ ให้หลานชั้น นายเจอดีแน่”
พิมมาดาขู่แล้วรีบเดินตามเด็กๆ ไป
กริสน์มีท่าทางเครียด “ตายๆๆๆ เกลียดพวกเด็กๆพวกนี้จริงๆ”
ที่โรงเรียนในเช้าวันต่อมา ชมรมStar dance กำลังซ้อมเต้นกันอยู่ ทุกคนพยายามจะเต้นท่าที่ต้องหมุนตัว แต่ทำกันไม่ได้ ทำทีไรก็เซเพราะจัดระเบียบร่างกายไม่สมดุล แจ๊สเดินผ่านมาแล้วหยุดมอง
“ทำไมท่านี้ทำไม่ได้สักทีอ้ะ..เอ้า ห้ามพัก ลุกขึ้นมาซ้อมต่อจะประกวดอยู่แล้วนะ” ครูฟ้าใสบ่น
ลูกทีมนั่งพักเพราะเมื่อยขา
“ไม่ไหวแล้วค่ะครู ปวดขาไปหมดแล้ว” ลูกทีมคนหนึ่งพูดขึ้น
“ท่านี้ย้ากยาก” ลูกทีมอีกคนบอก
“เวลาจะเทิร์นอ่ะ เค้าต้องมีโฟกัส” ครูฟ้าใสอธิบาย ด้านหลังของครูฟ้าใสแจ๊สกำลังทำท่านั้น ซึ่งทีมเต้นนั่งมองอยู่ “มอง แล้วเวลาจะหมุน กวาดเท้า..รู้สึกว่าเท้ามันกำลังดึงเราๆๆ แล้วก็ปล่อยตัวไปตามแรงเหวี่ยง” แจ๊สหมุนได้อย่างสวยงาม “กลับมาที่โฟกัสเดิม”
แจ๊สทำได้อย่างสวยงาม พวกลูกทีมมองอย่างทึ่งๆ
“ครูไปเคลียงาน กลับมาทำกันให้ได้นะ I’be back !” ครูฟ้าใสเดินออกไป
หัวหน้าทีมเห็นครูฟ้าใสไม่อยู่ก็เดินรี่เข้ามาหาแจ๊สทันที หัวหน้าทีมผลักแจ๊สจนล้มลง “ใครใช้ให้เธอมายุ่งยัยเฉิ่มเบ๊อะ!”
“ก็แค่ทำตามที่ครูบอก” แจ๊สพูด
“ระดับชั้น ฝึกเองก็ทำได้..ไม่ต้องมายุ่ง!! ถ้าเก่งนักก็ไปสมัครเองสิ โด่ ไม่มีปัญญาแล้วจุ้น!”
กลุ่มทีมเต้นเดินไปฝึกต่อ แจ๊สทำหน้าเซ็งและแค้น เธอหันมองไปที่ป้ายรับสมัครประกวดที่ติดอยู่ ด้วยแววตามุ่งมั่น แจ๊สจะเข้าไปดึงป้ายมาแต่อยู่ๆมีคนมากระชากป้ายนั้นออก แจ๊สหันมองไปพบว่าเป็นปาล์มและสมุนที่ตามมาเป็นแผง
“จะทำอะไร อย่าบอกนะว่าอยากจะประกวดเต้น..ก๊ากๆๆๆ มนุษย์ต่างดาวอย่างเธอ เต้นเป็นด้วยเหรอ..ก๊ากๆๆ เพ้อเจ้อ ฮ่าๆๆ”
“เอาใบประกาศมา” แจ๊สบอก
ปาล์มผลักแจ๊สล้มไป “อยากได้เหรอ” ปาล์มฉีกใบประกาศทิ้ง แล้วโปรยลงกับพื้น “เอาไปดิ ก๊ากๆๆๆ คนแปลกประหลาดอย่างเธอ ไปออกงานวัดเต้นเมียงู ดึ่มดึ๋ยๆ จะรุ่งกว่า นะ ก๊ากๆๆๆ บาทเดียวดูเพลินอะไรไม่เกิน เมียงู”
ปาล์มและสมุนร้องและล้อเลียนแจ๊สต่างๆ ทีมเต้นก็หัวเราะเยาะแจ๊สด้วย แจ๊สแค้นเพราะทำอะไรไม่ได้ได้แต่กรี๊ดเสียงดังลั่น
ปาล์มกรี๊ดล้อเลียน “กรี๊ดๆๆๆๆ”
“กรี๊ด!” แจ๊สกรี๊ดไม่หยุด
ครูฟ้าใสกับครูพงษ์พัฒน์วิ่งเข้ามา
“หยุดๆๆ มีเรื่องอะไรกัน ทั้งหมดไปที่ห้องพักครู ไร้ท์นาว!” ครูฟ้าใสสั่ง
ครูฟ้าใสรู้สึกตกใจจนต้องยกมือขึ้นทาบอก เมื่อได้รู้เรื่องจากปากของแจ๊สที่พูดถึงเจตนารมย์ของตัวเองเมื่อมาอยู่ที่ห้องพักครู
“แจ๊สจะประกวดแด๊นซิ่ง คอนเทสต์ 2011 โอ้มายก๊อด”
เด็กๆ จากชมรมเต้นยืนมองกันเรียงราย
“ครูคิดดูสิครับ ว่าถ้าเอเลี่ยนอย่างยัยแจ๊สไปประกวด...โรงเรียนเราก็คงจะ...” ปาล์มหันซ้ายหันขวา
“เป็นอะไร” ครูพงษ์พัฒน์ถาม
“ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน” ปาล์มตอบ
“แจ๊สเต้นได้ แจ๊สซ้อมเองที่บ้าน ถ้าครูไม่เชื่อ แจ๊สจะเต้...” แจ๊สพยายามจะบอกแต่ยังไม่ทันพูดจบครูพงษ์พัฒน์ก็แทรกขึ้นมาก่อน
“แจ๊ส...ครูขอพูดตรงๆนะ...คือ คนที่จะเต้นได้ ต้องรูปร่างดีๆหน้าตาน่ารักๆสวยๆเต้นแล้วมีเสน่ห์น่ามอง..แต่เธอ..นอกจากจะไม่มีอะไรเข้าข่ายนั้นเลย...ตรงกันข้ามด้วยซ้ำ เธอแค่อยู่เฉยๆ มองมาเฉยๆ ก็ทำให้คนมองรู้สึกเหมือน...”
“เหมือน...เหมือนดูหนังผีอยู่” ปาล์มช่วยต่อ
“แจ๊ส..คนเราไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นหรือทำทุกสิ่งทุกอย่าง” ครูฟ้าใสอบรม “เราต้องรู้ตัวเรา ว่าเกิดมาเพื่ออะไร...แล้วก็ทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด...อย่างแจ๊สไม่ได้เกิดมาเพื่อเต้น จ๊สไม่ใช่สตาร์..แต่แจ๊สเกิดมาเพื่อ...เพื่อ..สร้างบาลานซ์...ความสมดุลให้กับโลก...แจ๊สทำให้ทุกๆคนแยกแยะความแตกต่างของคำว่า...นอร์มอล ปกติ กับแอ๊บนอร์มอล ไม่ปกติได้...เพราะฉะนั้น หน้าที่ใครหน้าที่มัน...ปล่อยให้คนนอร์มอลเค้าประกวดเต้นกันไป...คนแอ๊บนอร์มอลอย่างแจ๊ส ก็ไปทำอะไรแอ๊บๆ เถอะ”
แจ๊สนิ่งฟังแต่แววตายังคงดื้อรั้นและไม่ยอมแพ้
เค้กหน้าระรื่นประกาศชัดเจนกลางร้านเบเกอรี่ของตัวเอง
“ชั้นจะขอคุณกริสน์เป็นแฟน!”
พิมมาดาได้ยินก็ถึงกับอึ้ง”อะไรนะ”
“ถูกต้องแล้วคร้าบ!” เต๋ากับเต้ยประสานเสียง
“เต๋าว่าเต๋าแรงแล้ว ชะนีเค้กแรงกว่า ตัวแม่มากๆอ้ะ”
“ไม่เสียแรงที่เต้ยยอมหลีกทางยกคุณกริสน์ให้”
“เดี๋ยวๆๆๆ..เค้ก แกจะไปขอผู้ชายเป็นแฟนได้ไง..แกเป็นผู้หญิงนะ น่าเกลียด” พิมมาดาเบรค
“อยู่เป็นโสดจนแก่ก็น่าเกลียดพอกันนั่นแหละ อุ๊บส์ ชั้นไม่ได้ว่าเธอนะพิม แต่..ชั้นอัดอั้นจนทนไม่ไหวแล้ว ชั้นต้องเปิดเผยความในใจออกไป”
“นายกริสน์น่าพิศวาสตรงไหน” พิมมาดาถาม
“ทุกตรง..อร๊าย” เค้กพูดแล้วก็เขินเอง
“ภาษากระเทยเรียก..ของแซ่บ” เต๋ากับเต้ยพูดพร้อมกัน
พิมมาดาหันไปดุ “เต๋า เต้ย ร้านไม่มีคนอยู่ กลับไปเฝ้าร้านเลย ไป!”
“พูดเรื่องทีไร โมโหทุกที” เต้ยบ่น
“นั่นดิ...ไปก็ได้ค่ะ” เต๋าเซ็ง
เต๋ากับเต้ยยอมเดินออกไป
“พิม ทำไมเธอต้องโมโหด้วย” เค้กข้องใจ
“ชั้นไม่รู้ว่านายกริสน์ไปทำอะไรให้เธอประทับใจ แต่ชั้นว่า..เค้าไม่คู่ควรกะเธอหรอก”
“แต่ชั้นตัดสินใจแล้ว และเธอก็ต้องช่วยชั้นด้วย.. ..คืนนี้ ชั้นจะแอบเข้าไปรอในห้องนอนคุณกริสน์..พอคุณกริสน์กลับมา..ชั้นก็จะโผล่มา..เซอร์ไพร้ส์!! แล้วชั้นก็พูดว่า..” เค้กทำเป็นซ้อมพูดกับพิม “เป็นแฟนกับเค้กนะคะ คุณกริสน์ก็ต้องดีใจ ตอบตกลง..แล้วเราก็กอดกัน..แล้วสุดท้าย”
“พอละ! น่าเกลียดที่สุด”
พิมมาดาตำหนิแล้วลุกออกไป ปล่อยเค้กให้นั่งฝันหวานอยู่อย่างนั้น
อ่านต่อหน้า 2
มือปราบพ่อลูกอ่อน ตอนที่ 9 (ต่อ)
สมุนสองคนของจตุพลที่มีหน้าที่คุมอธิป ยืนอยู่หน้าห้องรับแขก ทั้งสองได้ยินเสียงอธิปโวยวาย เลยตัดสินใจเดินเข้าไปดู
“พูดไม่รู้เรื่องเลยไอ้เดช !! โว๊ย” อธิปโวยเสียงดัง
เดชกับอธิปสบตากันแล้วรีบผละออกจากกัน
เดชทำเป็นพูดเสียงดัง “โอ๋ๆๆ เสี่ยอย่างอแงนะ ผมจะเปิดการ์ตูนให้ดูนะ อ่ะๆ” เดชพูดแล้วรีบเปิดการ์ตูนอิ๊กคิวซังให้อธิปดูทันที สมุนทั้งสองเข้ามามองอย่างงงๆ
อธิปทำเสียงพร้อมการ์ตูนในทีวี “จะรีบไปไหน จะรีบไปไหน..ครับผม..พักเดี๋ยวนึงซิครับ”
สมุนทั้งสองสบตากันแล้วทำหน้าสมเพช ทั้งคู่ส่ายหัวอย่างสมเพชแต่ก็วางใจว่าทุกอย่างปกติ อยู่ๆ อธิปก็ชี้หน้าสมุน “ปุจฉา!”
สมุนทั้งสองมองหน้ากันอย่างงงๆ อธิปก็ชี้อีกครั้ง “ปุจฉา”
สมุนทั้งสองอึกอักนิดหน่อย แล้วก็นึกขึ้นได้หันมามองหน้ากันแล้วหันไปรับมุก “วิสัชนา!”
“อะไรเอ่ย..คนเสพตาย..คนขายติดคุก” อธิปถาม
สองสมุนมองหน้ากันไปมาอย่างงงๆ เดชรีบเข้ามาประกบ เขาทำหน้าน่ารักแล้วพูดเหมือนชี้แนะ “ใช้’หมอง..นั่ง’มาธิ”
สมุนงงไม่รู้จะทำอะไร อยู่ๆ อธิปก็ลุกขึ้นตวาด “บอกว่าให้ใช้หมอง นั่งมาธิ ไอ้พวกโง่..ไม่เข้าใจรึไง นี่แน่ะ! นี่แน่ะ!” อธิปหยิบแจกันฟาดหัวสมุนคนนึงดังปังจนสมุนคนนั้นสลบ
สมุนอีกคนเอะอะแล้วทำท่าจะควักปืน เดชคว้าแจกันอีกอันทุบหัวจนสลบไปอีกคน
“เสี่ย เสี่ยทำอะไรลงไป” เดชถาม
“ไม่รู้..มันอดใจไม่ไหว แล้วแกล่ะ ทำอะไร” อธิปถามกลับ
“อ้าว ก็..ผมก็ต้องตกกะไดพลอยโจนตามเสี่ยไง แล้วแบบนี้จะเอาไงดีล่ะครับ”
“ไปเอาตัวโอปอล์มา..แล้วพวกเราไปกัน” อธิปสั่ง
อธิปกับเดชรีบวิ่งขึ้นบันไดมาที่ห้องโอปอล์ ทั้งสองเห็นทางสะดวกเลยรีบเปิดประตูเข้าไปในห้องโอปอล์ทันที เมื่อประตูเปิดทั้งสองเห็นโอปอล์กำลังทำการบ้านอยู่
“โอปอล์ๆ เราหนีกันเถอะลูก” อธิปบอกลูกสาว
โอปอล์ถามเพราะงง “หนีไปไหนคะ?”
“เอาน่า ไม่ต้องถาม ไม่ต้องเก็บของด้วย ไปเลยไปกับป๊า!”
เดชที่ยืนดูต้นทางอยู่ทางหน้าประตูทำมือเรียกให้ไปได้เพราะทางสะดวก
ลูกน้องของจตุพลเดินเข้ามาในห้องรับแขก เขาเห็นเพื่อนนอนกองอยู่กับพื้น ข้างๆมีเศษแจกันแตกกระจายอยู่เต็มพื้น ก็รีบยก ว.ขึ้นมาพูดทันที “คุณน้อมพงษ์ครับ”
อธิปจูงโอปอล์วิ่งมาตามทางในคฤหาสน์ โดยมีเดชวิ่งนำเพื่อดูต้นทาง เดชวิ่งมาหลบอยู่ที่มุมหนึ่ง เขาเห็นลูกน้องของจตุพลยืนอยู่ อธิปกับโอปอล์วิ่งเข้ามาหลบด้วย ทั้งหมดรอจนสมุนจตุพลเดินเลยไป จึงวิ่งออกมาจากที่ซ่อนแล้ววิ่งต่อไป
อธิป เดช และโอปอล์วิ่งมาหลบที่โรงรถเพื่อหลบสมุน 2-3 คนที่เดินอยู่แถวนั้น อธิปให้สัญญาณเพื่อให้เดชวิ่งไปเอากุญแจรถที่แขวนอยู่มา เดชรีบวิ่งไปดูลูกกุญแจ “อันนี้มันกุญแจคันไหนหว่า?”
อธิปส่งเสียงเร่งเบาๆ “เร็วซิไอ้เดช”
“เร็วสุดๆแล้วครับเสี่ย” เดชเหงื่อตก “อ้อ...คันนั้นครับ!”
ทั้งสามวิ่งขึ้นรถได้ก็รีบปิดประตู เดชรีบสตาร์ทรถพอเครื่องติดทั้งสามก็ดีใจมาก เดชเข้าเกียร์เตรียมออกรถ แต่พอมองไปข้างหน้ารถเขาก็ตกใจสุดขีด อธิปกับโอปอล์พอหันไปเห็นก็ตกใจด้วย
ห่างออกไปบริเวณหน้ารถ จตุพลกับน้อมพงษ์และบรรดาลูกสมุนกำลังยืนจังก้าขวางรถอยู่
จตุพลกับน้อมพงษ์ลากทั้งสามเข้ามาในห้องรับแขก เมื่อจตุพลกับน้อมพงษ์เห็นสมุนสองคนสลบอยู่บนพื้นก็ตกใจ จตุพลชี้ไปที่สมุนที่นอนกองอยู่ที่พื้นแล้วถาม “อากู๋บอกผมหน่อย...ทำไมไอ้2คนนั่นเป็นแบบนี้ ใครทำอะไรมัน หา! ไอ้เดช”
เดชอึกอัก “เอ้อ อ้า อ้าเอ้อ ก็..เสี่ย เสี่ยทำครับ”
“อากู๋ อากู๋ทำอะไรเด็กผม?” จตุพลถาม
อธิปทำท่าคิด “ใช้หมองนั่งมาธิๆ”
“เสี่ยทำหรือเปล่า?” น้อมพงษ์ถามย้ำ
“ป๊าไม่ได้ทำ ป๊าไม่มีทางทำ!” โอปอล์บอก
จตุพลชี้หน้าด้วยความโกรธ “แล้วจะเป็นใครไปได้อีกล่ะ! ป๊าเธอ ทำร้ายลูกน้องชั้น”
เดชรีบหาทางออก “น่าเป็นห่วงมากเลยนะครับ ตอนนี้เสี่ยอาการรุนแรง..ถึงขนาดทำร้ายคนอื่นแล้ว..ใครจะรู้ ว่าซักวัน อาจทำร้ายผม หรือแม้กระทั่งคุณหนูโอปอล์ก็ได้”
“โอปอล์จะพาป๊าไปโรงพยาบาล” โอปอล์พูดด้วยความรู้สึกร้อนใจจริงๆ เธอพยายามจะประคองอธิปให้มานั่งรถเข็น “พี่เดช ช่วยทีสิ”
“ถูกครับ ถูกๆๆ เราต้องไปโรงพยาบาลกันเดี๋ยวนี้” เดชรีบสนับสนุน
น้อมพงษ์จับตัวอธิปไว้ “ไม่ต้องพาไปไหนหรอกครับ..เรามีหมอประจำตัวเสี่ยอธิปอยู่แล้ว โทรเรียกมาได้ทุกเมื่อ”
“ไม่เอา!!..หมอของอาจตุพลไม่ได้เรื่อง!! รักษาป๊าไม่หาย!!..โอปอล์จะพาป๊าไปโรงพยาบาล” โอปอล์ยืนกราน
จตุพลพูดเสียงดัง “ไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น!”
“โอปอจะพาป๊าไปโรงพยาบาล..ไปโรงพยาบาลๆๆ”
“อย่าดื้อกับอานะ!!! ออกไปข้างนอก” จตุพลไล่
“ไม่!!! อาจตุพลนั่นแหละออกไป ไม่ต้องมายุ่ง..ออกไปๆๆ” โอปอล์ดันตัวจตุพลให้ออกไป
จตุพลจับตัวโอปอล์เอาไว้ “กล้าขัดคำสั่งอาเหรอ!!! อยากถูกตีใช่มั้ย!” จตุพลเงื้อมือจะตี
“อย่า!” อธิปร้องห้าม
จตุพลกับน้อมพงษ์มองอธิปที่ร้องขึ้นมาอย่างอึ้งๆ
พออธิปรู้ตัวก็กลัวความแตก “อย่า ยาอย่าย่า ยีหยี่ยี่ ยูหยู่ยู่ คุณแม่ซักผ้า คุณยายสระผม ลูกอมโบตัน ยาสีฟันคอลเกต สบู่วิเศษ ปักกะเป้ายิ้งฉุบ”
จตุพลสั่งสมุนสองคน “พวกแกไปดูไอ้2คนนั่น น้อมพงษ์...สั่งทุกคนในบ้าน ว่าตั้งแต่วันนี้ไป ให้ขังเสี่ยอธิปไว้เฉพาะในห้องนอน ห้ามออกมาให้เห็นเดือนเห็นตะวัน”
“ไม่เอา ห้ามใครขังป๊านะ อาจตุพลใจร้าย ฮือๆ” โอปอล์ร้องไห้
“นังเด็กดื้อ..ออกมานี่!” จตุพลลากโอปอล์ออกไป
อธิปได้แต่มองตามอย่างเป็นห่วง
จตุพลลากตัวโอปอล์ขึ้นมาบนห้องของเธอ โอปอล์พยายามดิ้นมาตลอดทาง “ปล่อยโอปอล์ ปล่อยๆๆ”
“เข้าไปในห้อง” จตุพลสั่ง
“ไม่จริง..ป๊าไม่ทำร้ายพวกเรา ป๊าทำแต่พวกคนชั่ว” โอปอล์โวยวาย
เดชรีบวิ่งเข้ามาดึงตัวโอปอล์ไว้ “คุณหนูโอปอ เงียบนะครับ” เดชหันไปพูดกับจตุพล “คุณจตุพลครับ ..เดี๋ยวผมจะอธิบายให้คุณหนูเข้าใจเองครับ”
“มันหน้าที่แกอยู่แล้ว” จตุพลบอก
“แกดูแลเสี่ยก็ไม่ได้เรื่อง ดูแลคุณหนูก็ไม่ได้เรื่อง” น้อมพงษ์ด่าแล้วเข้ามาตบหน้าซ้ายของเดช “หัดทำตัวให้มีคุ้มค่าข้าวแดงแกงร้อนที่เสี่ยเคยราดหัวกบาลแกมาซะบ้างสิ” แล้วเขาก็ตบหน้าขวาของเดช “เข้าใจมั้ย!”
โอปอล์พยายามตีน้อมพงษ์ “ใจร้ายๆ ห้ามทำร้ายพี่เดชนะ”
น้อมพงษ์หันมาตาเขียวใส่โอปอล์ เดชรีบเข้าไปกันโอปอล์ไว้แล้วยกมือไหว้
“ต่อไปผมจะทำตัวเป็นลูกน้องเสี่ย..ที่กตัญญูกตเวทีครับ เพราะพวกอกตัญญูมีเยอะแล้ว”
“ไปๆๆ ไสหัวไป เหม็นขี้หน้า” น้อมพงษ์ไล่
เดชรีบพาโอปอล์เข้าห้องไป
“แกจะไล่มันไป ถามชั้นสักคำหรือยัง” จตุพลถาม
“ก็..แหม ผมรู้ใจคุณจตุพล..รู้ว่าจะพูดอะไร เลยพูดแทนไงครับ” น้อมพงษ์รีบเปลี่ยนเรื่อง “ผมว่า..คุณจตุพลต้องทำอะไรสักอย่างนะครับ..ยัยเด็กโอปอล์มันฤทธิ์มากขึ้นเรื่อยๆ”
“แกจะให้ชั้นทำอะไร?”
“ทำให้โอปอล์เชื่อฟังอยู่ในอาณัติของเรา..เหมือนเด็กๆที่เป็นทาสเรา..เต็มบ้านเต็มเมืองอยู่ตอนนี้ไงครับ”
จตุพลยิ้มอย่างเห็นด้วย
แจ๊สกำลังดูทีวีช่อง MV สลับกับเข้าอินเตอร์เนทอยู่ที่ร้านดอกไม้ จากนั้นก็เปิดดูรูปภาพแฟชั่นต่างๆเพื่อหาสไตล์การแต่งตัวแต่ก็ยังไม่เจอที่ถูกใจ อีกด้านหนึ่ง เต๋ากับเต้ยกำลังทำงานกันอยู่
เต๋าหันมาเห็นภาพในทีวีเป็นเลดี้ กาก้า “อุ๊ยตาย...คุณแม่ขา”
เต๋ากับเต้ยรีบยกมือไหว้ทีวี “คุณแม่สวัสดีค่ะ”
“คุณแม่....แรงเนอะ...ดูชุดสิ” เต๋าบอก
“อยากใส่ไฮคัทแบบนั้นบ้าง จะโชว์ขาอ่อนให้หนุ่มๆสั่นสะท้านไปทั้งซอยเลย” เต้ยพูด
แจ๊สมองในทีวีแล้วก็เกิดไอเดีย เธอทำตาโตขึ้นมาทันที
“พี่เต๋า พี่เต้ย ถามหน่อยสิ...สมมติถ้าเราจะตัดชุด แบบนักร้อง...ประมาณนี้...แพงมั้ย?”
“ถ้าเอาแบบไม่เนี้ยบมาก พี่เต้ยเคยจ้างช่างก๊อปปี้ชุดของมาดอนน่า ตอนไปประกวดแฟนซีกับแก๊งเพื่อนสาว...ไม่เกินสามพัน...แต่ได้ชุดเหมือนใช้ได้อยู่นะ” เต๋าให้ข้อมูลแล้วเธอก็ถามกลับ
“น้องแจ๊สถามทำไมค่ะ”
“ไม่เกินสามพันเหรอ”
แจ๊สครุ่นคิด ภาพที่อินเตอร์เนทเป็นป้ายการประกวดแด็นซ์ซิ่งคอนเทส
พิมมาดาเดินกลับมาที่บ้าน เธอพบว่าแจ๊สยืนรออยู่
“น้าพิม” แจ๊สเรียก
“แจ๊ส..มีอะไร”
“แจ๊ส..ขอเบิกเงินค่าขนมล่วงหน้า..สองเดือนได้มั้ย”
“เบิกเงินสองเดือน?..เบิกทำไม?” พิมมาดางง
เต๋ากับเต้ยมองหน้ากัน
“ได้หรือไม่ได้ล่ะคะ?” แจ๊สถาม
พิมมาดาคว้าตัวแจ๊สเอาไว้ “แจ๊ส..ตอบน้ามา เธอมีความจำเป็นอะไรถึงต้องใช้เงินมากมาย..ห๊า!! ไปทำอะไรไม่ดีไว้ใช่มั้ย!! ถึงต้องใช้เงิน!!! ทำอะไรไว้..เล่นเกม..เล่นพนัน..หรือติดยา..บอกมาเดี๋ยวนี้!”
เต๋ากับเต้ยเห็นท่าไม่ดีจึงรีบเข้ามาไกล่เกลี่ย
“คงไม่ขนาดนั้นมั้งคะพี่พิม”เต้ยออกความเห็น
“ใช่ค่ะๆ” เต๋าสนับสนุน
“ว่าไงแจ๊ส?” พิมมาดาถามย้ำ
ทันใดนั้น กริสน์ก็วิ่งออกมาห้าม “เฮ้ย คุณๆๆ เบาๆ นี่เด็กนะครับ มองให้เป็นเด็กหน่อย”
“นายไม่ต้องยุ่ง อยากจะไปมีความสุขที่ไหนกับใครก็ไป” พิมมาดาแขวะ
“พูดอะไร? ..ไป..แจ๊ส..เข้าบ้าน” กริสน์บอกแจ๊ส
“นี่หลานฉันนะ ฉันกำลังดุเขาอยู่ คุณไม่เกี่ยว! ยัยแจ๊สบอกมาก่อนว่าจะเอาเงินไปทำอะไร?”
“เรื่องส่วนตัว..น้าพิมไม่ช่วยก็ไม่เป็นไร แจ๊สหาเงินเองก็ได้”
แจ๊สกระแทกเสียงแล้วเดินเข้าบ้านไป
“แจ๊ส” พิมมาดาเรียก
“ไปหงุดหงิดอะไรที่ไหนมา ก็อย่ามาพาลลงกับเด็กสิคุณ” กริสน์ว่า
“บอกแล้วไง จะไปมีความสุขกับใครก็เชิญ!”
พิมมาดาประชดแล้วก็เข้าบ้านไป กริสน์งง เต๋ากับเต้ยวงแตกรีบเดินแยกไปคนละทาง
โจ๊ก จีจ้า เต๋า และเต้ยกำลังนั่งดูการ์ตูนช่องการ์ตูนเน็ตเวิร์กอยู่ที่ห้องดูทีวีในบ้าน ทุกคนต่างหัวเราะสนุกสนาน พิมมาดาเดินไปเดินมาเพราะคิดหนักอยู่อีกด้านนึงก่อนจะตัดสินใจเดินเข้ามาในกลุ่ม เต๋ากับเต้ยมองพิมมาดาว่าจะมาอารมณ์ไหน
“เต๋า เต้ย..ถ้าแจ๊สมาขอเงิน ห้ามให้เงินแจ๊สเด็ดขาด เข้าใจมั้ย” พิมมาดาสั่ง เต๋ากับเต้ยจะอ้าปากถาแต่ยังไม่ทันได้ถามอะไร พิมมาดาก็พูดดัก “ไม่ต้องถาม ชั้นสั่ง เข้าใจมั้ย” เต๋ากับเต้ยจะอ้าปากอีก พิมมดาก็พูดดักอีก “บอกว่าไม่ต้องถาม!”
“ไม่ได้จะถามค่ะ” เต้ยได้ฤกษ์พูด
“จะบอกว่าโอเค”เต๋าบอก
พิมมาดาหน้าแตก
“เอ้า เด็กๆ ได้เวลาเข้านอนแล้ว ไปๆ” กริสน์บอกเด็กๆ
“ครับ /ค่ะ” โจ๊กกับจีจ้ารับคำ
พิมมาดามองแล้วก็นึกขึ้นได้ เธอทำตาลุกแล้วรีบเข้ามาขวาง “เดี๋ยวสิๆ จะรีบไปไหน ดูการ์ตูนให้จบก่อนก็ได้..กำลังสนุกอยู่ไม่ใช่เหรอ..เด็กๆ นั่งๆๆ นายชอบขัดขวางความสุขของเด็กๆเรื่อยเลย”
“ถึงเวลาเข้านอนแล้ว” กริสน์ย้ำ
พิมมาดาพูดพึมพำกับตัวเอง “หรือว่า..แอบเป็นใจกะยายเค้ก..ต๊ายตาย” พิมมาดาคิดว่ารู้ทัน รีบหันมาทำหน้าเคร่ง “นายหาเรื่องจะไป..ไปหาความสุขส่วนตัว” พิมมาดาเน้นเสียง “มากกว่า ทำงานเกินเวลานิดๆหน่อยๆไม่ได้หรือไง”
“เฮ้ย ปกติคุณเองนั่นแหละที่เข้มงวดเรื่องเวลา..เข้านอนสายสิบนาทีสิบห้านาทีก็บ่นเป็นเรื่องใหญ่”
“ก็วันนี้ชั้นอยากให้เด็กๆดูทีวี” พิมมาดาแถ
“พวกเราจะเข้านอนค่ะ” จีจ้าบอก
เด็กๆเดินขึ้นไปห้องนอนตัวเอง ป๊อปคอร์นเดินตามไปด้วย
“จีจ้า โจ๊ก..มาดูทีวีเป็นเพื่อนน้าก่อน วันนี้น้าอนุญาต” พิมมาดาบอกแต่เด็กๆไม่สนใจฟัง
“เดี๋ยวเต๋า เต้ยอยู่ดูเป็นเพื่อนคุณพิมเองค่ะ ดูหนังผีมั้ยคะ” เต๋าเสนอ
“ดูทำไม ส่องกระจกสิ” เต้ยกัด
“อร๊าย แร๊ง”
พิมมาดามีท่าทางกระสับกระส่าย
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า ท่าทางแปลกๆ” กริสน์ถาม
“ชั้นเหรอ!!..นายมากกว่ามั้งที่แปลกๆ อยากจะกลับไปนอนแล้วสิ..เชิญๆ ไปพักให้เต็มที่เถอะ”
พิมมาดาพูดเหวี่ยงๆ แล้วกลับขึ้นไปนอน กริสน์มองตามอย่างงงๆ
“ยังไงกันเนี่ย ทำตัวไม่ถูกแล้ว” เต้ยงงไปด้วย
“พี่พิมปี๊ดกับทุกคนเลยอ่ะ” เต๋าก็งงไม่แพ้ใคร
โอปอล์กำลังนั่งกอดตุ๊กตาร้องไห้อยู่ภายในห้องนอนของเธอ จตุพลเปิดประตูเดินเข้ามา โอปอล์เห็นก็รีบคลุมโปงทันที
“โอปอล์...โกรธอาเหรอ อาขอโทษนะ” จตุพลพูดเหมือนง้อ
“ออกไป” โอปอล์ไล่
“อารู้ว่าโอปออยากให้ป๊าหายป่วย..อาก็เหมือนกัน..เราครอบครัวเดียวกัน มีเหรอที่อาจะปล่อยให้ญาติผู้มีพระคุณเป็นอะไรไป..โอปอ อารับปากนะว่าจะช่วยรักษาป๊าทุกทาง”
โอปอล์โผล่หน้าออกมาจากผ้าห่ม “อาพูดจริงๆนะ”
“อาสัญญา”
“ขอบคุณค่ะ” โอปอล์ดีใจ
จตุพลอมยิ้มเพราะเข้าแผนของเขา “เอ้อ อาเอาขนมสวีทโอปอสูตรใหม่มาให้ชิม..โอปอลองชิมดูสิ อร่อยมากเลยนะสูตรนี้ อ้ะ”
“อืม ค่ะ” โอปอล์รับคแล้วยื่นไปรับขนมมา เธอมีทีท่าลังเลแล้วทำท่าเหมือนจะกิน แต่ก็ชะงักไว้
“อืม โอปอยังไม่อยากกินตอนนี้ เอาไว้ตอนดูการ์ตูนดีกว่า”
“ลองชิมดูก่อนสักชิ้น จะติดใจ..กินกับน้องตุ๊กตาไง” จตุพลแนะ
“อืม ก็ได้ค่ะ” โอปอล์ฉีกซองขนม “เรากินด้วยกันนะน้องตุ๊กตา” โอปอล์พูดแล้วก็คลุมโปงกับตุ๊กตาและห่อขนม
“หึๆๆ กินขนมให้อร่อยนะ” จตุพลพูดยิ้มๆ อย่างสมใจแล้วเดินออกไป
โอปอโผล่หน้าออกมาจากผ้าห่ม “แหวะ ขนมของอาจตุพล..ใครจะอยากไปกินเนอะ” โอปอล์เอาขนมไปทิ้งลงชักโครก “ถึงมันจะน่ากิน แต่เราต้องไม่กินขนมของอาใจร้าย”
โอปอล์พูดแล้วกดชักโครกทันที
เค้กค่อยๆเปิดประตูห้องนอนของกริสน์เข้ามา เธอใช้ไฟฉายส่องหาทางในความมืด
“อิอิ หลบตรงไหนดีๆ”
เค้กเลือกมุมที่ซ่อน ตอนแรกเธอจะไปซ่อนในตู้เสื้อผ้า แล้วก็คิดถึงหลังม่านและที่อื่นๆ อีก เวลาผ่านไปเค้กก็ยังเลือกไม่ได้สักที สักพัก มีเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านนอก
“คุณกริสน์มาแล้ว” เค้กตัดสินใจกะทันหัน “เอาๆๆ เอาบนเตียงนี่แหละ” เค้กกระโดดขึ้นไปบนเตียง แล้วเอาผ้าห่มมาคลุมไว้จากนั้นก็นอนนิ่งเหมือนเป็นหมอนข้าง
ประตูห้องเปิดออก ใครบางคนก้าวเข้ามาในห้อง เค้กนอนยิ้มพยายามระงับอาการอยู่ใต้ผ้าห่ม แล้วเธอก็พูดกับตัวเอง “เด็กๆผู้หญิงอย่าเอาอย่างนะคะ นี่มันคือละครตลกเท่านั้น ไม่ใช่ความจริง..ไม่มีเด็กผู้หญิงสาวๆคนไหนทำตัวแบบนี้ในชีวิตจริงหรอค่า..แต่ช้านมันแก่แร้ว..รถไฟขบวนสุดท้ายจริงๆโฮะๆ”
พิมมาดาอยู่ในห้องนอน เธอเดินไปมาอย่างกระวนกระวายแล้วไปหยุดมองที่ระเบียง สักพักพิมมาดาก็ถอยออกจากระเบียง “ไม่ๆๆ เราต้องไม่สนใจ..เรื่องของเค้า ไม่เกี่ยวกับเรา..แต่ยัยเค้กเป็นเพื่อนเรา..ใช่ๆๆ เราแค่เป็นห่วงยัยเค้ก” พิมมาดาเดินไปมองที่ระเบียงอีก “เรามอง เพราะเราห่วงยัยเค้ก”
อยู่ๆ มือถือของเธอก็ดังขึ้น
“ว้าย!! โธ่ ใครโทรมา” พิมมาดารีบไปรับสาย “ฮัลโหล”
สุขสันต์กำลังพูดโทรศัพท์อยู่ที่บ้านของเขา
“คุณพิมนอนหรือยังครับ..พอดีว่าผมนอนไม่หลับ เพราะอะไรรู้มั้ยครับ..เพราะผมคิดถึงคุณพิม..วันนี้คุณพิมไม่โทรหาผมเลยนะครับ..ยุ่งเหรอครับ”
พิมมาดาฟังเสียงสุขสันต์แต่สายตามองออกไปนอกระเบียง
“คะ..อะไรนะคะ ...อ๋อ ค่ะ”
คนที่เดินเข้ามาในห้องนอนของกริสน์เปิดไฟให้ห้องสว่างขึ้น แล้วเขาก็กระโดดลงมานอนบนเตียง เค้กนอนเอามือปิดปากเพื่อให้เงียบที่สุด เธอพยายามระงับอาการแล้วก็นับหนึ่งถึงสามเพื่อให้สัญญาณตัวเอง
“หนึ่ง สอง ซั่ม!!..เซอร์ไพร้ส์!”
เค้กโผล่ออกมาจากผ้าห่ม แล้วเธอก็เห็นภัทรดนัยนอนอยู่ข้างๆ ในสภาพถอดเสื้อสวมแค่บ็อกเซอร์ตัวเดียว
“กรี๊ด!” เค้กร้องลั่น
“อ๊าก!” ภัทรดนัยร้องตาม
เสียงร้องดังมาจากห้องกริสน์ พิมมาดารีบวิ่งไปดูที่ระเบียง
“ถึงกับร้องลั่นเลยเหรอ!!! ทุเรศที่สุด หน้าไม่อาย ทำลามกในบ้านชั้นได้ยังไง กินบนเรือน ขี้รดหลังคาชัดๆ” พิมมาดาด่าเป็นชุด
สุขสันต์ได้ยินเสียงด่าของพิมมาดาก็งงๆ
“คุณพิมพูดอะไรนะครับ..ผมทำอะไรบนหลังคา”
“พิมไม่ได้พูดกับคุณค่ะ”
“แล้วพูดกับใครครับ แล้วคุณพิมฟังผมอยู่หรือเปล่า..ฮัลโหล คุณพิมครับ ฟังผมอยู่หรือเปล่าครับ คุณพิม”
“คะ..อ๋อ ฟังค่ะ..เอ่อ ถือสายรอสักครู่นะคะ คือ..มีแมว..มันมาขโมยปลาย่างน่ะค่ะ” พิมมาดาบอก
พิมมาดาวางมือถือไว้แล้วเดินออกจากห้องไป
สุขสันต์หงุดหงิด “เป็นบ้าอะไรวะ!”
เค้กเอาหมอนข้างไล่ตีภัทรดนัยอยู่ในห้องของกริสน์
“ไอ้โรคจิต..วิปริต วิตถาร แกคิดจะทำอะไรชั้น ออกไปๆๆ”
ภัทรดนัยพยายามจะใส่กางเกงยีนส์ แต่เขาก็ต้องกระโดดเหยงๆ เพื่อหลบเค้ก
“เฮ้ยๆๆ ขอเวลาผมใส่เสื้อผ้าก่อนได้มั้ย”
“ออกไปเดี๋ยวนี้ ไปๆ” เค้กร้องไล่
“เฮ้ย!! ถ้าไม่หยุดตี ผมจะไม่ใส่แล้วนะ จะถอดออกเดี๋ยวนี้แหละ..อยากดูใช่มั้ย”
“ว้ายๆ” เค้กร้องลั่น
ภัทรดนัยใส่กางเกงจนเสร็จ “คุณนั่นแหละ มาทำอะไรในห้องนอนเพื่อนผม!”
“นายนั่นแหละมาทำอะไร นี่ห้องนอนคุณกริสน์” เค้กถามกลับ
“ก็ไอ้กริสน์มันเพื่อนผม แล้วผมก็มานอนกับมันอยู่บ่อยๆ..คุณนั่นแหละ มาจากไหน มาทำอะไร..แล้วดูชุดสิ โหย นี่ใส่มาล่อวินมอเตอร์ไซค์เหรอไงค้าบบบ..เอ๊ะ เดี๋ยว แล้วตะกี้นอนอยู่บนเตียงเพื่อนผมด้วย..เฮ้ย นี่คุณกะจะรวบหัวรวบหางเพื่อนผมเหรอ!”
“ชั้น..ชั้นแค่จะเซอร์ไพร้ส์” เค้กอ้อมแอ้ม
“เซอร์ไพร้ส์อะไร นี่คุณคิดจะปล้ำเพื่อนผมเหรอ..โหว ผู้หญิงสมัยนี้ แรงกันขนาดนี้เลยเหรอ หู ผู้ปกครองโปรดแนะนำ ว่านี่คือพฤติกรรมสะท้อนสังคมเสื่อมๆ”
“ชั้นไม่ได้คิดจะทำอะไรสักหน่อย อร๊ายๆๆ” เค้กรู้สึกขัดใจ เธอโวยวายแล้วรีบเดินหนี ภัทรดนัยเดินตาม
พิมมาดาเดินออกมาจากในบ้าน จังหวะเดียวกับที่เค้กเดินกึ่งวิ่งหนีออกไปจากห้องนอนของกริสน์ โดยมีภัทรดนัยวิ่งตามไป
“จะหนีไปไหน” ภัทรดนัยเข้ามาคว้าแขนไว้ “คุณเห็นผมเปลือยแล้ว คิดว่าจะหนีได้ง่ายๆเหรอ..คุณต้องชดใช้”
“จะให้ชดใช้อะไร” เค้กถาม
“ก็แบบว่า..ต้องรับผิดชอบในตัวผม”
“ไอ้ทุเรศ!”
เค้กด่าแล้วเตะเข้าที่หว่างขาของภัทรดนัย จนสายลับจอมกวนถึงกับจุก
“สมน้ำหน้า” เค้กสะใจ
“ยัย..ยัยเค้กเน่า...อูย”
พิมมาดาที่แอบมองอยู่รู้สึกแปลกใจ
“ยัยเค้ก..อ้าว..ทำไมถึงเป็นนายภัทรดนัย..แล้วนายกริสน์ล่ะ”
พิมมาดางง พอเธอหันหลังกลับก็พบกริสน์ที่กำลังยืนอยู่ในระยะประชิด
“มองหาผมเหรอ” กริสน์ถาม
“นาย..” พิมมาอึกอัก “ชั้นจะมองหานายทำไมไม่ทราบ..ชั้นก็แค่..ได้ยินเสียงร้องก็เลยมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น”
“จริงเหรอ” กริสน์ทำเสียงกวน
“ชั้นก็แค่เป็นห่วงเพื่อนชั้น ไม่อยากให้ถูกนายทำมิดีมิร้าย”
“อ้อ แสดงว่ารู้แต่แรกแล้วว่าคุณเค้กจะแอบเข้าห้องผม..มิน่า วันนี้คุณถึงทำตัวแปลกๆ..เพราะกลัวเพื่อนคุณจะมากินตับผม ใช่มั้ย”
“พูดบ้าอะไรของนาย..ชั้นทำตัวแปลกๆตรงไหน ชั้นก็ปกติ นายนั่นแหละแปลก”
“กลัวผมถูกกินตับใช่มั้ย หึๆ”
“ทำไมชั้นต้องกลัวด้วย”
กริสน์จ้องด้วยสายตารู้ทันแล้วยิ้มด้วยแววตา พิมมาดาจะเดินไป แต่กริสน์ดึงตัวเธอเอาไว้
“ผมจับโกหกเก่งนะ” กริสน์บอก
“ชั้นไม่ได้โกหก”
“แต่แววตาหลุกหลิก หลบตา ไม่กล้าจ้อง.” กริสน์พูด พิมมาดาพยายามจ้องตา “พอจ้อง ก็พยายามจะอวดดีเกินจริง เพื่อกลบเกลื่อนความกลัวเอาไว้..กลัวว่าจะถูกจับความรู้สึกได้..ว่าเป็นห่วงตับของผม..ผมพูดถูกใช่มั้ย”
พิมมาดาผลักกริสน์ออกแล้วเดินหนีไป กริสน์เดินตาม
พิมมาดาเดินหนีมาที่สนามหน้าบ้าน กริสน์รีบวิ่งมาขวางหน้าพิมมาดาเอาไว้
“คุณห่วงผม..ชิมิๆ”
“ถ้าชั้นจะเป็นห่วง ชั้นก็ห่วงเพื่อนชั้นมากกว่า ที่ดันไป..คิดอะไรกับคนอย่างนาย”
“ใช่สิ ผมมันต่ำต้อย ผมมันจน ผมมันไม่มีดี จะไปสู้พ่อสุดหล่อนักการเมืองใหญ่ได้ไง”
“ไม่ต้องไปพาลแขวะคุณแฮปปี้เค้าหรอก”
“ผู้หญิงก็แบบนี้ ชอบคนรวยๆ มีอำนาจบารมี สามารถดลบันดาลทุกอย่างให้ได้ตามปรารถนา หารู้ไม่ว่า...เบื้องหน้ากับเบื้องหลังต่างกันราวฟ้ากับเหว!
พิมมาดาคาดคั้น “ทำไมนายพูดแบบนั้น”
“เปล่า ผมก็แค่..เพ้อเจ้อเรื่อยเปื่อย คุณไม่ต้องมาสนใจหรอก”
“นายนี่ประหลาด เดี๋ยวก็บอกว่าคุณสุขสันต์ดี เดี๋ยวก็พูดเหมือนเค้าไม่ดี..หลายครั้งแล้ว.. นายไปรู้อะไรมา หรือว่า..นายสับสนชีวิต”
กริสน์มองหน้า “ใช่..ผมสับสนชีวิต ผมรู้สึกขัดแย้ง..ระหว่างหน้าที่..กับ..ความรู้สึกส่วนตัว ผมมีความจำเป็นบางอย่าง..ที่ต้องผลักดันคุณ..ทำให้คุณต้องเล่นกับไฟ ..คุณต้องเสี่ยงอันตราย เหมือนวันแรกที่เราเจอกัน.. แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ผมจะรับผิดชอบคุณด้วยชีวิตของผม”
พิมมาดาอึ้งและเหวอ
“เชื่อผมนะคุณพิม”
“นายพูดอะไร ฟังไม่รู้เรื่อง”
กริสน์ดึงมือพิมมาดาขึ้นมากุม เขามองหน้าเธออย่างจริงจัง “แต่ผมจริงจัง..อย่างที่พูดจริงๆ”
พิมมาดาพยายามมองตาเพื่อค้นหาความหมายในคำพูดของกริสน์ กริสน์มองตอบเหมือนพยายามสื่อสิ่งที่บอกออกมาไม่ได้ด้วยปาก
ทั้งคู่มองไปมองมา แววตาทั้งสองต่างค่อยๆอ่อนลงเหมือนตกอยู่ในภวังค์ กริสน์เคลิ้มเหมือนถูกดึงดูดให้ค่อยๆเคลื่อนหน้าเข้าไปใกล้กัน พิมมาดาเหมือนจะถอยหน้าออกแต่ก็ชะงักไว้ อยู่ๆ สายตาของกริสน์ค่อยๆ เลื่อนไปจับที่ปากพิมมาดา
พิมมาดามองตากริสน์ เห็นตากริสน์ต่ำลงที่ปากตน ตาของพิมมาดาจึงลดลงมามองที่ปากกริสน์บ้าง ทั้งสองเหมือนถูกดึงดูดให้ปากเลื่อนเข้าไปสัมผัสเพื่อจูบกัน
ทั้งสองตกในภวังค์ของการจูบชั่วระยะหนึ่ง อยู่ๆกริสน์ก็ได้สติจึงผละออก
กริสน์ตกใจตัวเอง “คุณพิมมาดา..ผม..ผมขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจ” พิมมาดายืนมึนงง กระพริบตาถี่ๆ เพื่อรวบรวมสติ
“พิมมาดา..คุณ..เป็นอะไรหรือเปล่า” กริสน์ถาม
“คุณ..ไม่ได้ตั้งใจ?” พิมมาดาถาม
“ใช่..ผม..ผม..ไม่น่าเลย..ผมไม่ควร..ผม..ไม่ดีเอง”
ทันใดนั้นพิมมาดาก็ตบเข้าที่หน้ากริสน์ดังเพี๊ยะ!
“อุ๊ย ขอโทษ..ชั้นก็ไม่ได้ตั้งใจเหมือนกัน สงสัยอะไรเข้าสิง” พิมมาดาประชดแล้วสะบัดหน้า เดินจ้ำพรวดหนีเข้าบ้านไป กริสน์ได้แต่ยืนอึ้ง
พิมมาดาเดินกลับเข้ามาในห้องนอนของตัวเอง ปิดประตูอย่างแรงแล้วยืนอึ้งพิงประตู
ส่วนที่ด้านล่าง กริสน์ยังยืนช็อกอยู่ที่เดิม เขาเงยหน้ามองขึ้นไปมองที่ระเบียงห้องนอนของพิมมาดาก็เห็นแต่ความว่างเปล่า
พิมมาดารีบเช็ดปากตัวเอง เธอเช็ดซ้ำหลายครั้ง
“ไม่ได้ตั้งใจเหรอ ไอ้ทุเรศ! บ้าๆๆ”
กริสน์ค่อยๆ ทรุดลงไปนั่งอยู่ตรงที่เดิมเขาทั้งอึ้งและงงกับตัวเอง
“เอ็งทำบ้าอะไรลงไปวะไอ้กริสน์ ภารกิจต้องมาก่อนสิวะ ไอ้บ้าเอ๊ย”
กริสน์ตบหน้าตัวเองทั้งซ้ายและขวา เพี้ยะๆๆ
กริสน์นั่งอย่างหมดแรงเงยขึ้นมองระเบียงห้องพิมมาดา ในขณะพิมมาดาก็ทรุดลงนั่งอย่างสับสนอยู่ที่หน้าประตูห้องนั้นเอง
อ่านต่อหน้า 3
มือปราบพ่อลูกอ่อน ตอนที่ 9 (ต่อ)
บรรยากาศในร้านดอกไม้พริมโรสวุ่นวายสับสน เต้ยกำลังส่งมอบดอกไม้ให้ลูกค้าคนนึง หลังรับเงินมาก็นำเงินเข้าเครื่องแคชเชียร์แล้วทอนเงินให้ กริสน์กำลังขนแจกันจำนวนมากไปเก็บ
ด้านพิมมาดากำลังยกกำกุหลาบจากหลังร้าน ออกมาใส่ตู้แช่ เต๋ากำลังจัดดอกไม้มือระวิง พลางพูดโทรศัพท์ไปด้วย
จังหวะหนึ่ง กริสน์ถือแจกันไปจากหลังร้านเพื่อจะไปวางที่ชั้น ส่วนพิมมาดาหลังจากที่เอาดอกไม้ใส่ตู้แล้ว กำลังจะเดินไปเอาดอกไม้จากหลังร้านมาเพิ่มอีก ทั้งสองเดินสวนกันและมาจ๊ะเอ๋กันกลางร้าน ต่างคนต่างชะงัก มองหน้ากันแล้วต่างเมิน เชิด เชอะหลบคนละทาง ขยับก้าวคนละก้าว แต่ดันก้าวไปทางเดียวกัน พอมองหน้ากันแล้ว พิมมาดาค้อน กริสน์ก้มหน้า แล้วก้าวหลบไปอีกทาง แต่ก็ดันก้าวไปทางเดียวกันอีก เหมือนเล่นดักกันไปกันมา
“ค่ะๆๆ เสร็จทันค่ะ อีกครึ่งชั่วโมงจะให้เด็กไปส่งนะคะ “ เต๋าพูดผ่านโทรศัพท์
กริสน์ พิมมาดาจำใจจ้องมองหน้าและสบตากัน ขณะนั้นกริสน์เกิดเผลอสะดุดแจกันจนเกือบหลุดมือ แต่กอดไว้ทัน พิมมาดาร้อง “ว้าย!!” ลืมตัว ผวาเข้าไปช่วยจับแจกัน
ทั้งสองอยู่ในท่าที่แนบชิดกันอย่างยิ่ง กริสน์สูดลมหายใจลึก รวบรวมสติ จับแจกันแน่น รีบผละออกห่าง พิมมาดาอึ้ง รีบสะบัด หันไปอีกทาง
“ฝากบอกเขาด้วยนะว่าให้ระวังหน่อย แจกันเซ็ทนี้แพงมาก แตกไปจะมาบอกว่าไม่ได้ตั้งใจอีก” พิมมาดาบอกให้เต๋าช่วยสื่อสาร
เต๋ากำลังจะอ้าปากบอก กริสน์ก็แทรกขึ้นมาซะก่อน
“เต้ย ฝากบอกคุณพิมด้วยนะ ว่าถ้ามันเกิดแตกเพราะมือผมละก็ ผมยินดีจะรับผิดชอบ”
เต้ยกำลังจะอ้าปากบอก พิมมาดาก็ขัดขึ้น
“เต๋า ฝากบอกเขาด้วยว่าไม่จำเป็น เพราะคนเงินเดือนต่ำ และวุฒิภาวะระดับนี้..คงไม่มีปัญญารับผิดชอบอะไรทั้งนั้น”
เต๋า กำลังจะอ้าปาก กริสน์ก็แทรกอีก
“เต้ย ฝากบอกคุณพิมด้วยนะ ว่า..บางที สิ่งที่มองเห็น อาจเป็นเพียงภาพลวงตา สิ่งที่นึกว่าก้อนหิน ที่แท้..อาจเป็นโคตรเพชรบะลึ่มหึ้ม”
เต้าเต้ยทนไม่ไหว โวยวาย
“โอ้ย! สองคนคุยกันเองตรงๆเลยดีมั้ยคะ ฝากกันไปฝากกันมางี้ ตัวกลางงงค่ะ”
“จริงด้วย อยู่ใกล้กันแค่นี้ฝากถามกันอยู่ได้ หรือกลัวว่าจะสปาร์คจึ๊ดๆๆ” เต้ยบอก
พิมมาดาหน้าตึง คว้ากระเป๋า หยิบโทรศัพท์ แล้วจ้ำอ้าวออกจากร้านไป กริสน์เผลอตัวคว้าแขนพิมมาดาเอาไว้
“คุณจะไปไหน”
“ไปชวนคุณแฮบปี้ไปทานข้าวเย็น สองต่อสอง ในสถานที่เงียบๆ คุณสุขสันต์เป็นคนมีสติยับยั้งชั่งใจ จะไม่ทำอะไรชุ่ยๆ ทุกอย่างที่เค้าทำ เกิดจากความตั้งใจจริง และมีมารยาทที่สง่างาม เต็มไปด้วยความจริงใจ ไม่เหมือนพวกผู้ชายมักง่ายอื่นๆ ใครไม่เกี่ยว..ห้ามแส่” พิมมาดาพูดประชด
“น่านไง” เต๋ากับเต้ยว่าขึ้นพร้อมกัน
กริสน์อึ้งสบตาพิมมาดา พิมมาดาสะบัดแขนออก แล้วออกไปทันที กริสน์เจื่อน ก้มหน้าซีด จัดวางแจกันไปให้เป็นระเบียบ
รถสุขสันต์แล่นเข้ามาจอดที่ริมน้ำของถนนสวยแห่งหนึ่ง พิมมาดานั่งอยู่เบาะหน้า สีหน้าเคร่งขรึม
“คุณพิมรับประทานน้อยจัง”
“พิมกลัวอ้วนน่ะค่ะ”
“ถ้าเป็นไปได้ การไปเที่ยวต่างจังหวัดที่กำลังจะเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกของเรา..ผมไม่ต้องการให้มีคนอื่นไปด้วยเลย..แม้แต่คนเดียว” สุขสันต์ค่อยๆเลื้อยมือมาโอบพาดบ่าพิมกลายๆ
พิมมาดามัวแต่จริงจังกับความคิดของตัวเองจึงไม่ทันรู้ตัว
“แต่มันคือการทำให้..เด็กๆกะคุณเข้ากันได้..เพื่อวันข้างหน้าของเรานะคะ”
สุขสันต์ยิ้มกรุ้มกริ่ม แล้วค่อยเอื้อมมืออีกข้างมาจับมือพิมมาดาที่วางอยู่ข้างตัวของเธอ
“ผมเข้าใจครับ..มันเป็นวิธีที่ไอ้เจ้ากริสน์..คนเลี้ยงเด็กมืออาชีพแนะนำ..เพื่อความราบรื่นของครอบครัว เรา..แต่..ความจริงแล้ว..ผมอยากอยู่กับคุณ..ตามลำพังสองต่อสองใจแทบขาด”
พิมมาดาหันมองสุขสันต์ต่างมองหน้ากัน สุขสันต์บีบมือพิมมาดาอย่างมีความหมาย พิมมาดาอึ้ง สุขสันต์ค่อยๆโน้มตัวมาใกล้ๆ จะจูบพิมมาดา พิมมาดานิ่งไป สุขสันต์หลับตาพริ้มเข้ามาใกล้ จนเกือบจะโดนริมฝีปากของพิมมาดา พิมมาดาสยึมกึ๋ยๆ รู้สึกรับไม่ได้ ขนลุก รีบผลักสุขสันต์ออกไปอย่างแรง สุขสันต์เซหงาย ไป ที่กระจกข้างคนขับ หัวโขกกระจกดัง โป๊ก!
“โอ้ย! คุณพิมนี่คุณเป็นอะไรของคุณน่ะ” สุขสันต์เริ่มยั๊วะ
“เอ้อ..เปล่าๆๆค่ะ ขอโทษคะ พิมไม่ได้ตั้งใจ คือ..คือพิม..พิมบ้าจี้น่ะค่ะ”
“พิมไม่ได้อยากให้ผมทำอย่างนี้หรอกเหรอ” สุขสันต์งงๆ
“ทำไมคุณแฮปปี้พูดอย่างนี้คะ”
“พิม เราสองคนไม่ใช่เด็กๆแล้วนะคะ หญิงสาวสวย..ชายหนุ่มหล่อ..อยู่ใกล้ๆกันแบบนี้ เราควรทำอะไรล่ะคะ”
“เราควร..ควร..ควร” พิมมาดาอึกอัก
สุขสันต์ลุ้นๆ
“เราควรกลับบ้านคะ”
พิมมาดาเปิดประตูรถแล้วลงไปทันที สุขสันต์เปิดประตูตามลงมา พิมมาดากึ่งเดินกึ่งวิ่งไปโบก แท๊กซี่ สุขสันต์ยืนหน้าเหวี่ยงหงุดหงิดอยู่ที่หน้ารถ
“คุณพิมครับ คุณพิม” สุขสันต์ตะโกนเรียกพิมาดาและหันมาพูดกับตัวเอง
“เป็นไรไปวะ เพราะเป็นเจ้าสาวที่กลัวฝนแบบนี้ไง ผู้ชายเจอเข้าไปถึงได้เผ่นหมด รออีกไม่กี่วันเถอะ เดี๋ยวไปเขาใหญ่จะจัดซะให้ติดใจเลย..หึๆ”
กริสน์กำลังกล่อมพวกเด็กๆให้เข้านอน แจ๊สนั่งกอดหมอนนิ่งๆหน้าตาเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ ตลอดเวลา จีจ้าชะเง้อมองไปที่หน้าต่าง
“ป่านนี้ทำไมน้าพิมยังไม่กลับอีก เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า” จีจ้าพูดขึ้น
“ปากเสียน่ะจีจ้า” โจ๊กเตือน
“ปล่อยให้น้าพิมไปกะไอ้นั่นตามลำพังได้ไง ใครนะ โง่จัง” แจ๊สบอก
กริสน์หน้าเครียดขึ้นมาทันทีเพราะเป็นห่วงพิมมาดา ป๊อบคอร์นที่นั่งอยู่ขอบหน้าต่างเห่า โฮ่งๆ! พวกเด็กๆรีบกรูไปที่หน้าต่าง พิมมาดาเดินเปิดประตูเข้ามาอย่างอ่อนแรง
“นั่นไงน้าพิมกลับมาแล้ว” โจ๊กบอก
“งั้นก็เข้านอนได้แล้ว พรุ่งนี้ต้องออกเดินทางกันแต่เช้า” กริสน์บอก
“ใช่ พวกเราจะมุ่งหน้าไปทวงมรดกให้ทายาทตัวจริงคนนี้ ใช่มั้ยพี่โจ๊กพี่แจ๊ส” จีจ้าบอก
จีจ้าผายมือไปที่กริสน์ กริสน์อมยิ้มขำๆ แจ๊สนิ่งไม่ได้ยินสิ่งที่จีจ้าพูด จีจ้าเขย่าแขนแจ๊ส
“พี่แจ๊สๆๆ”
แจ๊สผุดลุกขึ้นยืนเหมือนคิดอะไรออก
“ใช่แล้ว” แจ๊สพูดกับตัวเองแล้วเดินดุ่ยๆออกไปจากห้องเลย ทุกคนงง
“ยัยแจ๊สเป็นอะไร”
“สงสัยยังกลุ้มใจเรื่องที่เถียงกับน้าพิมไม่หายแน่ๆเลยเพี้ยนแบบนี้” จีจ้าพูด
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปเที่ยวก็คงหายเองแหละ เนอะลูกพี่” โจ๊กพูดกับกริสน์
กริสน์พยักหน้ารับ
พิมมาดาคุยโทรศัพท์อยู่กับเค้ก
“แต่ฉันรู้สึกไม่ดีจริงๆ ฉันไม่อยากไปเที่ยวแล้วอ่ะเค้ก” พิมมาดายอมรับกับเค้ก
“ใจเย็นๆก่อนเพื่อน คุณสุขสันต์เขาไม่ได้ตั้งใจหรอก” เค้กปลอบ
พิมมาดาบ่นงึมงำๆ
“ฉันเกลียดคำว่าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ”
เค้กได้ยินไม่ชัด
“ฮะ...พูดอะไรอ่ะ”
“ไม่มีอะไรหรอก เอาเป็นว่าฉันจะโทรไปยกเลิกทริปวันพรุ่งนี้กับคุณแฮปปี้เดี๋ยวนี้แหละ”
กริสน์เดินลงมาจากบันไดพอดี ได้ยินชื่อ แฮบปี้ กริสน์หึงขึ้นมาทันที พิมมาดากดวางสาย แล้วพิมมาดาก็กดโทรศัพท์หาสุขสันต์ กริสน์จงใจเข้ามาแทรก
“หายใจเข้าก็แฮปปี้ หายใจออกก็แฮปปี้ ไปด้วยกันมาทั้งวันจนเกือบจะทั้งคืนยังไม่พออีกเหรอ ต้องโทรหากันอีกเหรอพรุ่งนี้ก็จะได้ไปเที่ยวด้วยกันแล้ว อดใจอีกหน่อยไม่ได้เลย”
พิมมาดาฝืนใจ
“ใช่ เพราะฉันกับคุณแฮปปี้เป็นแฟนกัน ก็ต้องคิดถึงกัน อยากอยู่ด้วยกัน อยากได้ยินเสียงกันมากเป็นธรรมดา”
กริสน์อึ้ง พิมมาดาประชดต่อ
“แต่ก็จริงนะ พรุ่งนี้ฉันกับคุณแฮปปี้ก็จะได้ไปเที่ยวด้วยกันแล้ว คืนนี้ไม่คุยโทรศัพท์กันสักคืนดีกว่า จะได้คิดถึงกันมากขึ้น เนอะ”
พิมมาดากดวางโทรศัพท์ทิ้งแล้วสะบัดหน้าเดินขึ้นไปข้างบน กริสน์มองตามอย่างขัดใจ
กริสน์ยืนรออยู่ที่รถในโรงจอดรถบ้านพิมมาดา พิมมาดาลากกระเป๋าเดินทางลงมาจากบ้าน กริสน์สบตากับพิมมาดาจนต้องหลบตา กริสน์เดินมาจะหิ้วกระเป๋าพิมมาดาไปเก็บและเผลอจับโดนมือพิมมาดา พิมมาดารีบชักมือออก กริสน์เดินเอากระเป๋าไปเก็บท้ายรถ พิมมาดาแอบเหลือบมองกริสน์ เป็นจังหวะที่กริสน์แอบมองพิมมาดาพอดี ทั้งสองมองตากันอย่างอึดอัดเหมือนอยากจะพูดอะไร
“จ้องกันไปจ้องกันมาทำไมคะ” จีจ้าเสียงดัง
พิมมาดากับกริสน์สะดุ้ง โจ๊กกับจีจ้าหิ้วกระเป๋าเดินทางมาคนละใบในชุดพร้อมไปภูเขา จีจ้าอุ้มป๊อบคอร์นอยู่ พิมมาดารีบกลบเกลื่อน
“มากันแล้วเหรอ น้ากำลังจะขึ้นไปตามอยู่พอดี”
“พวกเราเป็นเด็กมีวินัยครับ ตรงเวลาอยู่แล้ว” โจ๊กบอก
“เหรอ...แล้วแจ๊สละ” พิมมาดาถาม
โจ๊กมองหาไม่เห็นแจ๊ส
“เอ้า! ยัยแจ๊สอยู่ไหนเนี่ย ทำไมยังไม่ลงมาอีก”
“แจ๊สอยู่นี่คะ”
แจ๊สเดินเข้ามาพร้อมเต๋าเต้ย แจ๊สอยู่ในชุดพร้อมทำงานที่สวมผ้ากันเปื้อนด้วย พิมมาดางงพลลางถาม
“แจ๊ส ทำไมแต่งตัวแบบนี้ แล้วกระเป๋าเสื้อผ้าละ อย่าบอกน้านะว่ายังไม่ได้จัด”
“คะ ไม่ได้จัด”
พิมมาดาเริ่มฉุน
“หมายความว่าไง ไม่ได้จัด”
“ก็หมายความว่า แจ๊สจะไม่ไปเที่ยวกับน้าพิมไงคะ”
พิมมาดามองดุทันที
“ว่าไงนะ”
ทุกคนมองหน้ากัน สถานการณ์ตึงเครียด
แจ๊สถูกพิมมาดาจับนั่งลงบนเก้าอี้ พิมมาดาหน้าเครียด กริสน์ โจ๊ก จีจ้า เต๋า เต้ย ยืนกอดเสาดูอยู่ห่างๆอย่างห่วงๆ
“ขอร้องละแจ๊ส หยุดสร้างเรื่องซะทีได้มั้ย”
“การที่แจ๊สจะไม่ไปเที่ยว แล้วทำงานพิเศษเพื่อให้ได้เงินค่าขนมเพิ่มนี่ถือเป็นการสร้างเรื่องเหรอคะ”
“นั่นซิ พี่พิมก็พูดแรงไปเนอะ” เต๋ากระซิบเต้ย
“แล้วทำไมถึงต้องอยากได้เงินเพิ่มนักหนา จะเอาไปทำอะไรทำไมไม่ยอมบอกน้า”
แจ๊สอึกอัก
“เอ่อ...เอาเป็นว่าแจ๊สไม่ได้เอาไปทำสิ่งเลวร้ายอย่างที่น้าพิมคิดก็แล้วกัน ตกลงน้าพิมจะยอมให้แจ๊สทำงานพิเศษที่ร้านดอกไม้หรือเปล่าคะ ถ้าไม่แจ๊สจะได้ไปหางานพิเศษที่อื่น เพราะยังไงแจ๊สก็จะไม่ไปเที่ยวกับน้าพิมอยู่ดี”
“แจ๊ส” พิมมาดาสียงดัง
กริสน์เห็นท่าไม่ดี รีบเดินเข้ามา
“อนุญาตให้แจ๊สทำงานพิเศษที่ร้านเถอะครับคุณพิม อย่างน้อยก็นับว่าเป็นการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์”
“ถูกคะๆ ให้น้องแจ๊สได้ฝึกทำงาน ได้เรียนรู้ โตขึ้นจะได้รู้ค่าของเงินด้วยจริงมั้ยเต๋า” เต้ยรีบสำทับ
“จริงที่สุด ณ จุดนี้” เต๋าบอกแล้วหันไปพูดกับป๊อบคอร์น
“ป๊อบคอร์น”
ป๊อบคอร์นเห่า โฮ่ง! เต๋าหันกลับมาพูดทันที
“คอนเฟิร์มคะ”
พิมมาดามองหน้าทุกคน แล้วกลับมามองหน้าแจ๊ส แจ๊สมีสีหน้าจริงจังมุ่งมั่น พิมมาดาพูดไม่ออก
“เอาเลย อยากทำอะไรก็ทำเลย น้ามันบังคับอะไรพวกเธอไม่ได้อยู่แล้วนี่ โจ๊ก จีจ้า ป๊อบคอร์นขึ้นรถ”
พิมมาดาสะบัดหน้าเดินไปเปิดประตูขึ้นไปนั่งที่รถแล้วปิดประตูดัง ปั้ง! โจ๊กกับจีจ้าอุ้มป๊อบคอร์นตามไป กริสน์หันไปบอกแจ๊ส
“ตั้งใจทำงานละ ดูแลแจ๊สด้วยนะ” กริสน์พูดกับแจ๊สและเต๋ากับเต้ย
“ไม่ต้องห่วงคะคุณกริสน์” เต๋ากับเต้ยบอก
กริสน์เดินตามไปขึ้นรถแล้วขับออกไป แจ๊สกับเต๋าเต้ยมองตาม
บริเวณบ้านพักตากอากาศของสุขสันต์ ที่กว้างขวาง โอบล้อมด้วยภูเขาและต้นไม้ รถของพิมมาดาแล่นเข้ามาจอด สุขสันต์ทำทียิ้มแย้มออกมาต้อนรับพร้อมกับฉัตรชัยและฮิม
กริสน์ เปิดประตูรถให้พิมมาดาและพวกเด็กๆลงมา โจ๊กกับจีจ้าที่อุ้มป๊อบคอร์นอยู่ในมือมองความกว้างขวางของบ้านสุขสันต์อย่างตกตะลึง
“เดินทางเหนื่อยมั้ยครับคุณพิม” สุขสันต์ถาม
พิมมาดายังรู้สึกไม่สนิทใจกับสุขสันต์
“ไม่เหนื่อยหรอกคะ”
“โอ้โห้! นี่มันบ้านส่วนตัวหรือรีสอร์ทบวกสนามกอล์ฟบวกฟาร์ม บวกศาลากลางจังหวัดกันแน่เนี่ย” โจ๊กพูดขึ้น
สุขสันต์พูดตอบเหมือนจะไม่อวดแต่อวด
“ที่เท่าแมวดิ้นตายเท่านั้นเอง ไม่เท่าไหร่หรอก”
“แบบนี้ไม่ใช่แมวดิ้นตาย..แต่เป็นไดโนเสาร์ดิ้นตายมากกว่าพี่โจ๊ก..หวังว่าคุณสุขสันต์ได้สมบัติทั้งหมดนี่มา โดยไม่ได้โกงสมบัติของวงศ์ตระกูลมาจากพี่น้องตัวเองนะค่ะ” จีจ้าพูด
สุขสันต์ทำหน้างง
“จีจ้า พูดอะไรน่ะ” พิมมาดาส่งเสียงปราม
“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ถือ”
กริสน์รีบเข้ามา เปิดร่มคันใหญ่ กางให้สุขสันต์
“จะคุยกันกลางแดดอีกนานไหมนะครับ มันร้อนเดี๋ยวผิวท่านสุขสันต์จะมีฝ้าขึ้นเปล่าๆ”
ฉัตรฃัยกับฮิมมองหน้ากันด้วยความไม่พอใจ สุขสันต์คล้อยตามทันที
“ใช่ นายกริสน์พูดถูก แกสองคนทำไมไม่เตือนฉันให้โปะซันบลอกชนิดโททั่ลอิคลิป กันแดดร้อยเปอร์เซ็นต์มาตั้งแต่เมื่อเช้าวะ ไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ” สุขสันต์หันไปด่าฮิมกับฉัตรชัย
สุขสันต์หันมาหวานใส่พิม
“เชิญข้างในก่อนนะครับคุณพิม”
แล้วเสียงดังใส่ฮิมกับฉัตรชัยอีก
“ยังอีก...ยังไม่รีบช่วยนายกริสน์หิ้วกระเป๋าของคุณพิมกับเด็กๆไปเก็บที่ห้องพักอีก เดี๋ยวเจอ...”
สุขสันต์เชิญพิมมาดากับเด็กๆเข้าไปในบ้าน ฉัตรชัยกับฮิมเข้ามาคว้ากระเป๋าไปจากกริสน์อย่างขัดใจ
“หิ้วเบาๆหน่อย เกิดกระเป๋ามีรอย ฉันต้องลำบากไปฟ้องท่านสุขสันต์ให้มาลงโทษพวกนายอีกนะ” กริสน์พูดกวนๆพร้อมยักคิ้วใส่ แล้วเดินเข้าบ้านไป ฉัตรชัยกับฮิมเลือดขึ้นหน้า ฉัตรชัยเดินตามไป
“อ้าว...ไม่ช่วยยกกระเป๋าเหรอ”
“แกนั้นล่ะยกไป” ฉัตรชัยพูด
ฉัตรชัยพูดเสร็จแล้วเดินไปเลย ฮิมต้องหิ้วกระเป๋าทั้งหมดตามไปอย่างกระฟัดกระเฟียด
ภายในบ้านพักตากอากาศ สุขสันต์เปิดประตูห้องห้องหนึ่งเข้ามา เห็นห้องสวยงาม เตียงนอนมีเสา วิวด้านนอกติดภูเขาสวยงามมาก สุขสันต์หันมาคุยกับพิมมาดา
“ห้องนี้เป็นห้องพักของคุณพิม อยู่ติดกับห้องของผม คุณพิมชอบมั้ยครับ”
โจ๊กกับจีจ้า และป๊อบคอร์นโผล่เข้ามาพอดี กริสน์เดินตามมาข้างหลัง
“ชอบครับ/ชอบค่ะ” เสียงโจ๊กกับจีจ้าขานรับทันที
สุขสันต์แสร้งยิ้ม
“เด็กๆนอนที่ห้องสุดท้าย..ห้องเด็ก ทางสุดมุมนั้นนะจ๊ะ ไม่ใช่ห้องนี้” สุขสันต์บอก
“น้าพิมครับ โจ๊กอยากนอนห้องนี้ เราแลกห้องกันได้มั้ยครับ” โจ๊กบอก
“ไม่ได้” สุขสันต์เผลอหลุดไม่รู้ตัว
ทุกคนอึ้ง มองไปที่สุขสันต์ซึ่งรู้ตัวและรีบตีสีหน้ายิ้มแย้ม
“น้าหมายถึง อยู่ไม่ได้หรอกห้องนี้มันเล็กไป เธอสองคนพักกับป๊อบคอร์นแถมยังมีนาย กริสน์อีกมันจะเบียดเกินไปนะจ๊ะ”
“ไม่เบียดหรอกค่ะ จีจ้าว่าอบอุ่นดีออก”
“นะครับน้าพิม สลับห้องกันนะครับ นะๆ”
“ที่นี่ไม่ใช่บ้านเรานะจ๊ะเด็กๆ ต้องแล้วแต่คุณแฮบปี้นะ”
พิมมาดาสบตาสุขสันต์ สุขสันต์ก้มลงไปสบตาเด็กๆที่จ้องกันตาแป๋ว ทั้งที่ในใจของสุขสันต์กลับแสดงภาพที่สุขสันต์กำลังบีบคอเด็กๆทั้งคู่ เด็กๆร้องโวยวายดิ้นๆหายใจไม่ออก สุขสันต์สะดุ้งออกจากภวังค์ เมื่อเด็กๆจ้องมองตาแป๋วใส่สุขสันต์ เขาหันไปสบตากริสน์ กริสน์ส่งซิกท์ให้สุขสันต์ตามใจเด็กๆ สุขสันต์จำใจยอมทำตามอย่างเลี่ยงไม่ได้
“ตามใจพวกแกละกันครับ พวกแกอยากนอนห้องไหนก็ได้ ตามสบายเลย หึๆๆ” สุขสันต์พูดพลางกัดฟันกรอด
“เย้” โจ๊กและจีจ้าร้องขึ้น
“ลูกพี่บอกพี่สองคนนั้นให้เอากระเป๋าพวกเราเข้ามาเลย” โจ๊กร้องบอก
กริสน์หันไปหาฉัตรชัยกับฮิม ฉัตรชัยยืนคุมอยู่ที่หน้าห้อง ฮิมจำต้องขนกระเป๋าของเด็กๆเข้าไปในห้อง เด็กๆกับ ป๊อบคอร์น กระโดดโลดเต้นไปทั่วห้อง
“ขอบคุณคุณแฮปปี้มากนะคะ คุณใจดีกับเด็กๆเสมอ” พิมมาดาบอก
“มันเป็นนิสัยของผมอยู่แล้วครับ”
สุขสันต์ยิ้มกว้างแล้วหันหลังเดินออกมาจากห้องไป รอยยิ้มค่อยๆหุบแล้วแอบด่าเบาๆ
“ไอ้เด็กเวร”
ขณะที่บรรดาเด็กส่วนใหญ่กำลังมีความสุขและสนุกสนานในบ้านพักตากอากาศ แต่ที่ร้านพริมโรส เต๋ากำลังจัดดอกไม้อยู่ด้วยการปักลงในดอกไม้สีสวยลงบนโอเอซิสสีเขียว แจ๊สยกถังใบไม้ออกมาจากหลังร้าน
“น่าเสียดาย น้องแจ๊สน่าจะไปกับเขานะคะ” เต๋าบอก
“จริงด้วยๆ” เต้ยสนับสนุน
แจ๊สวางถังลงแล้วบอก
“ไม่เห็นน่าเสียดายตรงไหนเลย”
เต๋าเต้ยก้มหน้าก้มตาจัดดอกไม้ต่อ แจ๊สหันรีหันขวางแล้วหันมองเต๋าเต้ยเขม็งจนเต๋าเต้ยรู้ตัวว่าถูกมองก็เงยหน้าขึ้นมามองหน้าแจ๊ส
“น้องแจ๊สมีอะไรหรือเปล่าคะ” เต้ยถาม
“ เอ่อ...คือ” แจ๊สอึกอักแล้วตัดสินใจเอ่ยขึ้น
“ แจ๊สจะขอเบิกค่าแรงล่วงหน้าอ่ะคะ”
“เบิกค่าแรงล่วงหน้า” เต๋ากับเต้ยพูดขึ้นพร้อมกัน
“อะไรกันคะน้องแจ๊ส ทำงานยังไม่ถึงครึ่งวันจะเบิกค่าแรงล่วงหน้าซะแล้ว มีที่ไหนกันคะ” เต๋าถาม
“ก็มีที่นี่เป็นที่แรกก็ได้นี่คะ” แจ๊สพูดหน้าตาเฉย
“ไม่ได้หรอกคะ พี่สองคนให้น้องแจ๊สเบิกไม่ได้จริงๆ มันผิดกฏกติกาและมารยาท อีกอย่างก็ต้องรอพี่พิมกลับมาเป็นคนอนุมัติและจ่ายสตางค์คะตอนนี้ยังไงก็เบิกไม่ได้” เต้ยอธิบาย
แจ๊สเม้มปาก นิ่งงัน เดินหงุดหงิดกลับไปหลังร้าน เต๋าเต้ยมองตามอย่างไม่เข้าใจ
แจ๊สกำลังคุยโทรศัพท์หน้าตาเคร่งเครียดอยู่ที่มุมหนึ่งของบ้าน
“ค่ะ ต้องขอโทษจริงๆค่ะ แต่หนูขอไม่มัดจำได้มั้ยคะ อ้อ พอดีหนู...เอ่อ...หนู...หนูออกจากบ้านไม่ได้น่ะค่ะ.เอาเป็นว่าพรุ่งนี้หนูจะจ่ายทีเดียวตอนของมาส่งเลยได้มั้ยคะ .รับรองค่ะ ได้คะ...ขอบคุณมากนะคะ”
แจ๊สวางสายด้วยสีหน้าเครียด พร้อมกับพึมพำ
“แล้วจะไปเอาเงินที่ไหนมาจ่ายละ”
โจ๊กกับจีจ้าและป๊อบคอร์นวิ่งออกมาสู่ลานกว้างหน้าบ้านตากอากาศของสุขสันต์ พิมมาดาวิ่งตามมา สุขสันต์ กริสน์ ฉัตรชัย ฮิม เดินตามมาสมทบ
“น้าพิมไม่ต้องไปหรอกครับ อยู่กับคุณสุขสันต์ดีกว่า” โจ๊กบอก
“ว่าไงนะ” พิมมาดาไม่เชื่อหูตัวเอง
“ใช่คะ ไหนๆก็มาเที่ยวแล้วน้าพิมควรจะมีเวลาอยู่กับคุณสุขสันต์จริงมั้ยคะ” จีจ้าบอก
สุขสันต์กรุ่มกริ่ม
“จีจ้ามีเหตุผลดีนะครับคุณพิม”
พิมมาดาตาโตไม่อยากเชื่อ เช่นเดียวกับทุกคนที่ยืนอึ้งไปเช่นกัน
“งั้นนายกริสน์ นายตามไปดูแลเด็กๆนะ” พิมมาดาพูดกับกริสน์
ทันใดนั้น แพรวพิลาศก็ก้าวเข้ามา
“ให้แพรวรับหน้าที่ดูแลเด็กๆเองดีมั้ยคะ” แพรวพิลาศแสดงความใจดีสุดๆ
แพรวพิลาศแต่งตัวในชุดเหมือนสโนว์ไวท์ใจดี ถือตระกร้าสานใบใหญ่ ทุกคนเห็นแล้วอึ้งไป ทว่าสุขสันต์สีหน้าตึงขึ้นมาทันที
“แพรวคุณมาทำอะไรที่นี่ คุณตามผมมาเหรอ” สุขสันต์เสียงแข็งใส่
แพรวพิลาศสบตากับฉัตรชัย แล้วตีหน้าสลด
“อย่าเพิ่งโกรธแพรวนะคะ คือ...เอ่อ...คือแพรว แพรว ฮือ.. “ แพรวพิลาศพูดเหมือนจะร้องไห้
“คือ..คุณแพรวคิดถึงคุณสุขสันต์ เพราะเธอยังตัดใจไม่ได้..ผมเลยเชิญคุณแพรวให้มาที่นี่ เพื่อคอยดูคุณสุขสันต์มีความสุขอยู่เงียบๆอย่างห่างๆ เท่านั้นเองครับผม” ฉัตรชัยอธิบาย
กริสน์มองอย่างไม่อยากจะเชื่อ ขณะที่พิมมาดารู้สึกงง
“ให้นายกริสน์อยู่ดูแลคุณกับคุณพิมเถอะนะคะ ส่วนแพรวจะดูแลเด็กๆเอง จะได้ไม่ขวางหูขวางตาคุณด้วย” แพรวพิลาศบอก
โจ๊กดึงกริสน์มากระซิบที่หู
“ลูกพี่คอยกันท่าน้าพิมกับนายสุขสันต์ ส่วนพวกเราจะไปสืบหาหลักฐานเรื่องมรดกของลูกพี่”
กริสน์ลืมที่โกหกไปแล้ว
“มรดกอะไรนะ”
เค้กส่งกล้องถ่ายวีดีโอให้แจ๊ส แจ๊สยกมือไหว้ขอบคุณ
“ขอบคุณน้าเค้กมากนะคะ”
“พี่น้าเค้กคะ ถ้าแจ๊สเรียกน้าเค้กเฉยๆพี่น้าเค้กจะยึดกล้องคืนนะคะ” เค้กบอก
แจ๊สรีบเอาใจ
“คะ พี่น้าเค้กสุดสวย”
“แบบนี้ให้ยืมยาวถึงปีหน้าเลยจ้ะ” เค้กพูดแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
เต๋าเต้ยที่ขนดอกไม้อยู่มองสงสัย
“แจ๊สยืมกล้องวีดีโอพี่น้าเค้กไปทำอะไรเหรอ” เต้ยถาม
แจ๊สอึกอัก
“เอ่อ...อ้อ! คือแจ๊สจะเอาไปทำรายงานส่งอาจารย์น่ะค่ะ”
“พี่เค้กคะ พี่เค้กจะอยู่อีกนานมั้ยคะ พอดีมีออเดอร์ลูกค้าด่วนซ้อนกันสองเจ้า เต๋ากับเต้ยเลยต้องรีบไปส่ง กลัวว่าจะไม่มีใครอยู่เฝ้าร้านอ่ะ” เต๋าถาม
“แจ๊สอยู่เฝ้าร้านเองค่ะ” แจ๊สรีบอาสาทันที
“จะดีเหรอคะ น้องแจ๊สเป็นเด็กจะเฝ้าร้านอยู่คนเดียวได้ยังไงกัน” เต้ยบอก
“ได้ซิคะ แจ๊สโตแล้ว” แจ๊สพูดแล้วยิ้มรับ
โจ๊กจูงมือจีจ้าวิ่งมาพร้อมๆกับป๊อบคอร์น โดยมีแพรวพิลาศ ฉัตรชัย กับฮิม กึ่งวิ่งกึ่งเดินตามมาทางด้านหลัง
“ไอ้พวกเด็กนรก มันเดินไม่เป็นกันหรือไง” แพรวพิลาศพูดพลางหายใจหอบด้วยความเหนื่อย
จีจ้าหยุดวิ่งเอายาหอบขึ้นมาพ่น 2 ที
“ฝุ่นเยอะจัง เราจะหาพินัยกรรมของเจ้าคุณปู่ของคุณชายน้ากริสน์เจอมั้ยอ่ะ”
“พินัยกรรมตัวจริงมักจะถูกเก็บไว้ในบ้านร้าง ใต้ตู้ หลังกรอบรูป ไม่ก็ถูกฝังไว้ในบ่อน้ำร้าง” โต๊กว่า
“เท่าที่พูดมาเรายังไม่เจอของพวกนี้เลยนะ” จีจ้าบอก
โจ๊กชี้มือไปข้างหน้า หน้าตาดีใจสุดๆ
“นั่นไง”
“บ่อน้ำร้าง” จีจ้าร้องขึ้น
“รถแข่ง” โจ๊กบอก
โจ๊กวิ่งเข้าไปหารถที่จอดอยู่ทันที จีจ้าส่ายหน้าเซ็งๆ
แพรวพิลาศหยุดยืนมองยิ้มเหี้ยมไปเห็นพวกเด็กๆที่กำลังพุ่งตรงไปที่รถแข่งไฟฟ้า แพรวพิลาศ ฉัตรชัยกับฮิมหยุดมองตาม
“ตามแผนเปี๊ยบ” แพรวพิลาศพูดขึ้นด้วยความดีใจ
ฉัตรชัยล้วงมือเข้าไปในตระกร้า แล้วหยิบคีมตัดสายไฟ กับสายไฟสองเส้นที่ถูกตัดขึ้นมา
“ไม่มีเด็กที่ไหนไม่อยากขี่รถพุ่งลงเนินเขาหรอกครับโฮะๆๆ” ฉัตรชัยพูด
“สุดยอดเลยครับคุณแพรว ฉัตรชัย นายมันฮีโร่ตัวจริง” ฮิมบอก
แพรวพิลาศภูมิใจ หัวเราะเสียงประหนึ่งแม่มดใจร้าย
“ฮิๆๆ ในเมื่อทำอะไรน้ามันไม่ได้ ทำหลานมันก็เหมือนกันแหละ ฮิๆๆ”
ทันใดนั้นก็มีเสียงป๊อบคอร์นเห่าดังโฮ่งๆ ขึ้น แพรวพิลาศและลูกสมุนสะดุ้ง เห็นป๊อบคอร์นยืนแยกเขี้ยวขู่อยู่ ต่างก็มองป๊อบคอร์นเป็นตาเดียว
อ่านต่อหน้า 4 พรุ่งนี้ (พุธ 26 ม.ค.) เวลา 9.30 น.
มือปราบพ่อลูกอ่อน ตอนที่ 9 (ต่อ)
โจ๊กกับจีจ้าสวมชุดและหมวกกันน๊อคพร้อมออกตัว ทั้งสองสตาร์ทเครื่อง แพรวพิลาศ และฮิมยืนยิ้มอยู่ข้างๆ รถ
แพรวพิลาศแอ๊บใจดีสุดๆ
“ขับรถกันให้สนุกนะคะ หมดรอบแล้วจะได้มากินแซนวิชที่น้าแพรวเตรียมไว้ให้”
โจ๊กยิ้มกว้าง อารมณ์ดี
“แซนด์วิชอาบยาพิษหรือเปล่าค้าฟ”
แพรวพิลาศกัดฟันแน่นพยายามระงับอารมณ์สุดๆ จีจ้ามองหาป๊อบคอร์น
“พี่โจ๊กๆ ป๊อบคอร์นมันหายไปไหนอ่ะ” จีจ้าพูดขึ้น
โจ๊กนึกได้
“เออ จริงด้วย เมื่อกี้มันยังวิ่งมาพร้อมเราเลยนี่นา”
“เมื่อกี้พี่เห็นมันวิ่งเล่น วนไปวนมาอยู่แถวโน้น น่ะ” ฮิมชี้มือไปมั่วๆ
แต่ความจริง ป๊อบคอร์นกำลังถูกฉัตรชัยเอาผ้ามัดปาก แล้วเอาเชือกผูกมันไว้หลังต้นไม้ ป๊อบคอร์นดิ้นขลุกขลักๆ
“หมาแสนรู้อย่างป๊อบคอร์นไม่หลงทางหรอกจ๊ะ รีบๆเล่นเข้าเถอะ มีอย่างอื่นอีกตั้งเยอะเดี๋ยวเล่นไม่หมดนะ” แพรวพิลาศพูดขึ้น
โจ๊กกับจีจ้ามองหน้าสบตากัน โจ๊กพยักหน้า
“พร้อมจะซิ่งหรือยังจีจ้า”
“พร้อมแล้วพี่โจ๊ก”
“งั้นไปหาพินัยกรรมกันเล้ย”
โจ๊กกับจีจ้าขับรถออกไป ส่งเสียงดังอย่างสนุกสนาน
แพรวพิลาศมองตามแล้วยกมือขึ้นโบกมือบ๊ายบายส่งจูบ พร้อมกับตะโกนไล่หลัง
“เจอกันชาติหน้านะจ๊ะเด็กๆ”
ในเวลาเดียวกัน แจ๊สตั้งกล้องวีดีโอในห้องตัวเองเสร็จแล้ว เล็งๆจะถ่ายตัวเอง แจ๊สรีบวิ่งไปที่หน้ากล้อง ระยะห่างพอประมาณ มองไปที่กล้องเห็นภาพยืนเต็มตัว มองแล้วยิ้มด้วยใบหน้ามาดมั่น
โจ๊กกับจีจ้าขี่รถ ATV กันอย่างน่าหวาดเสียว แพรวพิลาศ ฉัตรชัย และฮิม ยืนลุ้นรอพวกเด็กๆเบรกแตกอยู่ เด็กๆมีจังหวะหนึ่งที่เหมือนจะพุ่งเข้าหาข้างทาง รับแพรวพิลาศหันหลังอุดหู ยิ้มอย่างดีใจ หวังได้ยินเสียงโครมคราม
แพรวพิลาศทำเสียงแบบมอเตอร์ไซค์เบิ้ลเครื่องเป็นเสียง
“ต๊ายๆๆ”
เสียงโจ๊กกับจีจ้าหัวเราะคิกคักตามด้วยเสียงเครื่องยนต์ดังมาจากทางด้านหลังของแพรวพิลาส โจ๊กกับจีจ้าขี่รถเข้ามาจอดอย่างปลอดภัย แพรวพิลาศอึ้ง
“สนุกมั้ยจีจ้า” โจ๊กถาม
จีจ้าพ่นยา 2 ทีแล้วบอก
“ซิ่งกว่าขี่จักรยานตั้งเยอะเลยพี่โจ๊ก”
“ทำไมพวกแกไม่เป็นอะไรเลยละ” แพรวพิลาศแสดงอาการหลุดอย่างไม่พอใจ
โจ๊กแปลกใจแล้วถาม
“แล้วทำไมเราต้องเป็นอะไรด้วย”
ฉัตรชัยรีบแก้ตัวแทน
“เอ่อ...คุณแพรวเธอชมน่ะจ๊ะ ว่าน้องโจ๊กกับน้องจีจ้าเก่ง ไม่เหมือนเด็กคนอื่นๆ”
“โธ่เอ้ย เรื่องแค่นี้จิ๊บๆ” จีจ้าตอบแพรวพิลาส ก่อนจะ หันไปถามโจ๊ก
“พี่โจ๊กจีจ้าอยากโดดหออ่ะ”
“จัดไป”
โจ๊กบอกจูงมือจีจ้าวิ่งออกไป แพรวพิลาศมองตามจนเด็กสองคนลับตาแล้วหันมาอาละวาดทั้งหยิกทั้งข่วนฉัตรชัย
“นี่แหนะๆๆ ไอ้บ้า ตัดสายเบรกประสาอะไร ทำไมพวกมันไม่เห็นเป็นอะไรเลย! ไม่ได้เรื่อง”
“นั่นซิ แกตัดผิดเส้นหรือเปล่า” ฮิมถาม
“หุบปากไปเลยแกอ่ะ มันเป็นไปได้ยังไงวะ” ฉัตรชัยตวาดฮิมแล้วหันมาบ่นกับตัวเอง
ฉัตรชัยเดินไปขี่รถเอทีวีคันหนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็คิดออก
“ผมรู้แล้วครับคุณแพรว เพราะไอ้เด็กสองคนนั่นมันไม่ได้ขี่เร็วมาก เพราะถ้ามันเร่งเครื่องให้เร็วมากจริงๆ มันไม่มีทางเบรกได้ ยังไงก็เบรกแตกแน่นอน แบบนี้”
ฉัตรชัยสาธิตให้แพรวพิลาศกับฮิมดู ด้วยการออกตัวแล้วเร่งเครื่องให้เร็วสุดๆทันที แพรวพิลาศตาโตด้วยความตกใจ
“ไอ้บ้าเอ้ย! ทำอะไรน่ะลงมา”
ฉัตรชัยขี่รถอย่างรวดเร็วจนรถเสียหลักพุ่งจะชนต้นไม้ เพราะเบรกไม่อยู่
“ตะ...ตะ..ต้น....ต้นไม้ ช่วยด้วย” ฉัตรชัยร้องโวยวาย
โจ๊กกับจีจ้าที่เดินกำลังจะถึงเครื่องเล่นโดดหอ เด็กทั้งสองชะงักเพราะเสียง โครมคราม ตามมาด้วยเสียงระเบิดดัง ตู้ม โจ๊กกับจีจ้าหันไปมองที่มาของเสียงเห็นควันจากแรงระเบิดคละคลุ้งไปทั่ว โจ๊กกับจีจ้ามองหน้ากันงงๆ
ฉัตรชัยหน้าดำปี๋ ไอค่อกแค่กค่อยๆ คลานออกมาจากซากรถที่พังเละเทะ แพรวพิลาศกับฮิมวิ่งตามมาหยุดยืนดูฉัตรชัยมองตาปริบๆ
“คุณแพรวเห็นแล้วใช่มั้ยครับว่ามันเบรกไม่อยู่จริงๆ”
สุขสันต์กำลังนั่งดื่มน้ำชายามบ่ายกับพิมมาดาภายในบ้านพักตากอากาศ กริสน์ยืนอยู่ห่างๆ
“บ้านนี้เป็นบ้านฤดูหนาวครับ เรามักมา เพื่อบรรยากาศแบบยุโรป” สุขสันต์พูดขึ้น
พิมมาดา เหลือบมองกริสน์ตลอดๆ
“เหรอคะ ดีค่ะ”
“สำหรับฤดูร้อน..ผมมีชาโต้แบบโมร็อคคั่นบนภูเขาที่สมุย”
สุขสันต์จับมือพิมมาดาเพื่อสร้างความเชื่อมั่น
“ไว้เราพาเด็กๆไปเล่นน้ำทะเลกันนะครับ”
พิมมาดาหันไปทางกริสน์ขณะที่สุขสันต์ยังกุมมืออยู่ กริสน์มองตาขวาง พิมมาดาตัดสินใจดึงมือออก สุขสันต์ทำหน้าเจื่อน
“ดีค่ะ เอ้อ..คือไม่มีอะไรนะคะ พิมแค่...ไม่สบายใจนิดหน่อย เรื่องยัยแจ๊ส”
“ชีวิตจิตใจของพิมนี่อยู่ที่หลานๆจริงๆนะครับ ดูเหมือนความสุข ความทุกข์ของคุณ..จะขึ้นอยู่ที่เด็กๆพวกนี้อย่างเดียว..อย่างอื่น..หรือคนอื่น..ไม่เคยมีความหมายกับคุณเลย” สุขสันต์พูดอย่างงอนๆ
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ คุณสุขสันต์ก็เป็นความแฮปปี้ของพิมออกจะตายไป เอ่อ แล้วกิจการร้านขนมที่คุณแฮปปี้ร่วมหุ้นกับเพื่อนไปถึงไหนแล้วคะ ดีมั้ย” พิมมาดาบอก
กริสน์ได้ยินเข้าก็หูผึ่ง รีบปรี่เข้ามาทันทีจนสุขสันต์กับพิมมาดางง
“ว้าวๆๆร้านขนม ขนมอะไร ที่ไหน ยังไงครับ”
“นายจะอยากรู้ไปทำไม” พิมมาดาถาม
กริสน์เริ่มแถ
“ก็ผมชอบกินขนมนี่นา พวกเด็กๆก็ชอบกินขนม ทำไมคุณสุขสันต์ไม่เอาขนมมาให้พวกเราชิมกันบ้างเลย ...ท่านเป็นคนเก่งมากความสามารถจริงๆเลยนะครับ ท่านอย่าลืมผมนะครับ ว่าผม..พร้อมจะรับใช้ท่านเสมอ เพราะ..ผมอาจจะตกงานจากหน้าที่เลี้ยงเด็ก..เมื่อไหร่ก็ได้”
กริสน์แอบกัด พิมมาดาแอบค้อน กริสน์ค้อนตอบ
ร้านสวีทโอปอลล์เวลากลางวัน มีลูกค้าหรือนักธุรกิจรายย่อยมานั่งรออยู่ ลูกค้าชายหญิงนั่งยกหนังสือและหนังสือพิมพ์ขึ้นสูงอ่านแบบไม่เห็นหน้าทั้ง 2-3 คน
จตุพลเดินออกมาจากห้องประชุมสีหน้าเคร่งเครียดพร้อมกับลูกค้าคนหนึ่งโดยมีน้อมพงษ์เดินตามมาห่างๆ
“ตกลงจะไม่รออีกหน่อยเหรอครับ” จตุพลถาม
“เห็นจะรอไม่ไหวหรอกครับ กว่าจะได้ใบอนุญาตมาผมคงจนก่อน คือ เงินมันต้องหมุนทุกวัน หวังว่าคุณจตุพลคงเข้าใจนะครับ” ลูกค้าบอก
“ครับผมเข้าใจ”
ลูกค้ายิ้มแล้วยกมือไหว้ลาจตุพล จตุพลตีหน้ายิ้มแย้มตอบ แต่พอลูกค้าลับตาก็หน้าเสียขึ้นมาทันที
“ขืนเป็นแบบนี้มีหวังรายได้ก้อนใหญ่ๆหายหมดแน่”
“เย็นไว้ครับคุณจตุพล ระบบราชการก็ซับซ้อนหลายขั้นหลายตอนอย่างนี้แหละ ต้องอดทนครับ” น้อมพงษ์บ
“อดทน อดทนรอให้เงินมาลอยหนีไปต่อหน้าต่อตาอย่างนี้น่ะเหรอ ทนไหวจังเลยนะ ไป...ไปเตรียมรถ” จตุพลบอก
จตุพล,น้อมพงษ์เดินออกไปอย่างรีบเร่ง
โจ๊กกับจีจ้ากำลังใส่ชุดสลิงก์อยู่บริเวณฐานโดดหอ ฮิมก้าวเข้ามาตีหน้าใจดี
“ยังไม่โดดกันอีกเหรอ นี่น้าต่อคิวอยู่นะเนี่ย” ฮิมบอก
“ถ้าน้าฮิมรีบก็โดดก่อนเลยมั้ยคะ” จีจ้าถาม
จีจ้ากับโจ๊กหลีกทาง ฮิมรีบส่ายหน้าทันที
“โอ๊ะๆๆ ไม่เป็นไรๆ คนไทยต้องรู้จักเข้าคิวครับ น้าฮิมรอได้ เดี๋ยวใส่ชุดรอเลย”
ฮิมรีบใส่เสื้อสลิงก์อีกชุด
โจ๊กบอกกับจีจ้า
“เรียบร้อยมั้ยจีจ้า”
จีจ้าทำมือโอเค โจ๊กกับจีจ้าจับมือกัน เจ้าหน้าที่ให้สัญญาณโดด โจ๊กมองหน้าจีจ้าแล้วร้อง กรี๊ดๆ ก่อนจะกระโดดลงไป ฮิมยิ้มชูกรรไกรตัดหญ้าอันใหญ่ขึ้นมาในมือ
“ลาก่อนนะ เด็กน้อย”
ฮิมตัดสายสลิงก์ขาดดัง ฉับ! แล้วมองมาข้างล่าง แพรวพิลาศยืนอยู่กับฉัตรชัยที่หน้ายังดำอยู่) แพรวพิลาศยกนิ้วโป้งบอกฮิมว่า ดีมาก ฮิมยิ้มภูมิใจสุดๆ
โจ๊กกับจีจ้าที่อยู่กลางสลิงก์รู้สึกแปลกๆ
“พี่โจ๊กทำไมสายสลิงก์มันหย่อนๆอ่ะ” จีจ้าพูดขึ้นอย่างสงสัย
“ไม่เป็นไรหรอกจะถึงพื้นแล้วเนี่ย” โจ๊กบอก
ทันใดนั้นเจ้าหน้าที่ประจำฐานก็เดินมาบอกฮิมเสียงดัง
“พร้อมแล้ว โดด”
ฮิมตกใจทำตามโดยไม่รู้ตัว
“ครับ โดดครับ”
ฮิมโดดลงจากหอทันที ที่กลางอากาศฮิมเห็นสายสลิงก์ที่ตัวเองตัดขาดห้อยต่องแต่งอยู่ แพรวพิลาศกับฉัตรชัยยืนอึ้งเมื่อเห็นฮิมโดดลงมา แพรวพิลาศปิดตาไม่กล้ามอง
“เฮ้ย!สลิงก์มันขาด!! ไม่ทันละ” ฮิมหยุดหนึ่งช่วงหายใจแล้วบอกตัวเอง
ฮิมร่วงลงไปทันที พร้อมๆกับที่โจ๊กกับจีจ้าเท้าแตะพื้นอย่างปลอดภัย
กริสน์จูงม้าตัวหนึ่งเดินตามมาห่างๆ แอบมองเหล่พิมมาดาอยู่ในบริเวณสนามแข่งม้า
สุขสันต์ประคองพิมมาดา ขึ้นม้าพร้อมกระซิบข้างหู
“อย่ากลัวนะ ถ้าม้ามันรู้ว่าเรากลัว มันจะท้าเรา แกล้งเรา เราต้องทำเป็นชิลด์ๆครับ แล้วเจ้าเพิร์ลเนี่ย..มันเชื่องที่สุด ใจดีที่สุดแล้ว”
“ได้ค่ะ”
สุขสันต์ขึ้นม้าของตนอย่างเท่ ราวพระเอกคาวบอย และ ขยับม้ามาใกล้ม้าพิมมาดา
“ดูผมนะครับ ถ้าคุณพิมจะให้ม้าวิ่ง ก็ใช้ด้านในขาของเรากระแทกลำตัวมันแบบนี้นะครับ”
สุขสันต์สั่งให้ม้าวิ่ง พิมทำตาม ม้าทั้งสองออกวิ่งเหยาะๆช้าๆอย่างอ่อนโยน สวยงาม พิมมาดายิ้มมีความสุข กริสน์มองตามอย่างหมั่นไส้
“แหม...ทำเป็นหัวเราะคิกคัก บ้านไม่มีม้าให้ขี่หรือไง เออ ไม่มีจริงด้วย” กริสน์พึมพำก่อนที่จะนึกได้ว่าที่บ้านไม่มีม้า
ลูกน้องสุขสันต์คนหนึ่งขับรถกอล์ฟเข้ามาจอด โดดลงมาจากรถ ถอดหมวก โบกให้สุขสันต์เป็นสัญญาณ สุขสันต์เหยาะม้าเข้าไปหาแล้วถาม
“มีอะไร”
ลูกน้องเข้าไปกระซิบข้างหู สุขสันต์คิ้วชนกันทันที กริสน์ชักสงสัย
“พิมครับ ตามสบายนะครับ ผมมีธุระด่วนนิดหน่อย ขอตัวไปจัดการสักครู่เดี๋ยวจะกลับมาครับ” สุขสันต์บสุขสันต์ลงจากหลังม้า แล้วส่งม้าให้ลูกน้อง
“เอาไอ้เรนไปเก็บ อย่าให้ใครแตะ ของแพง”
ลูกน้องจูงม้าสุขสันต์ไปคอก สุขสันต์กำลังจะออกไป กริสน์มองพิมมาดารู้สึกเสียดาย อยากอยู่ เป็นเพื่อนด้วยแต่ก็ต้องตัดใจรีบตามประกบสุขสันต์
“ให้ผมตามไปรับใช้ท่านนะครับ”
“นายอยู่เป็นเพื่อนคุณพิมดีกว่า”
สุขสันต์นั่งรถกอล์ฟออกไปอย่างรวดเร็ว กริสน์มองตามเสียดายโอกาส พิมมาดามองกริสน์แล้วรู้สึกน้อยใจ
“ถ้าไม่อยากอยู่ก็ไม่ต้องอยู่ ฉันอยู่คนเดียวได้” พิมมาดาพูดขึ้น
“ผมรู้ว่าคุณอยู่คนเดียวได้ แต่เผอิญผมต้องทำตามคำสั่งของแฟนคุณ”
“งั้นฉันก็ขอสั่งนายในฐานนะนายจ้าง ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน”
ว่าแล้วพิมมาดาก็บังคับม้าให้ออกวิ่งไป กริสน์มองตาม
“คิดว่าผมอยากยุ่งนักเหรอไง” กริสน์บ่น
พิมมาดาควบม้า ม้าวิ่งเร็วมาจนพิมมาดาเริ่มใจเสีย พิมมาดาร้องกรี๊ดเสียงดัง
“ช่วยด้วยๆๆ นายกริสน์ช่วยฉันด้วย”
“อะไรของคุณเนี่ย เมื่อกี้บอกไม่ให้ยุ่ง ตอนนี้บอกให้ช่วย” กริสน์ตะโกน
“ก็ม้ามันวิ่งเร็วมากฉันกลัว” พิมมาดาตะโกนบนหลังม้า
“กลัวก็บังคับให้มันหยุดซิ” กริสน์บอก
“บังคับไม่เป็น คุณแฮปปี้สอนแค่สั่งให้มันวิ่ง ยังไม่ได้สอนบังคับให้มันหยุด”
กริสน์เหงื่อตก เป็นห่วงทันที
“เอ้า! เพลียแล้วไงเรียนไม่ครบหลักสูตร”
กริสน์ตัดสินใจตะโกนบอก
“จับบังเหียนมันให้แน่นๆนะคุณอย่าปล่อยเด็ดขาด”
กริสน์รีบควบม้าที่ตัวเองจูงอยู่ไล่ตามม้าของพิมมาดาไปอย่างเร็ว พิมมาดาเริ่มสติแตก
“ช่วยด้วยๆๆ ว๊าย ช่วยด้วย”
ม้าของพิมมาดาวิ่งเร็วมากไม่มีทีท่าว่าจะหยุด กริสน์ควบม้าตามหลังมา
“ช่วยด้วย!! นายกริสน์....ช่วยทำให้มันหยุดที”
กริสน์ตะโกน
“นี่คุณหยุดกรี๊ดกร๊าดโวยวายได้มั้ย ทำแบบนี้ม้ามันจะยิ่งตกใจนะ”
“นายลองมาเป็นฉันดูซิ นายจะรู้ว่าหยุดร้องไม่ได้หรอก กรี๊ด”
กริสน์ส่ายหน้าเซ็งๆ แล้วเร่งควบม้าขึ้นไป ม้าพิมมาดาวิ่งไปอย่างเร็ว ห่างออกไป 300 เมตร เป็นเนินสูงซึ่งอันตรายมาก แต่พิมมาดายังไม่เห็น กริสน์ขี่ม้าขึ้นมาตีคู่กับม้าพิมมาดา กริสน์เล็งบังเหียนของม้าที่พิมมาดาอยู่ ทันทีที่ได้จังหวะ กริสน์ก็คว้าบังเหียนไว้แน่น แล้วกระโดดข้ามมานั่งคร่อมม้าตัวที่พิมมาดาขี่อยู่ กริสน์บังคับม้าไว้ได้ ม้าพิมมาดาหยุดก่อนจะตกเนินนั้นแค่ไม่กี่เมตร พิมมาดาอยู่ในอ้อมแขนของกริสน์
“รอดแล้วคุณ” กริสน์พูดแล้วถอนใจเฮือกใหญ่
เป็นครั้งแรกที่พิมมาดามองกริสน์อยู่ใกล้กันขนาดนี้ ทำเอาพิมมาดาเขิน กริสน์ทำเฉย แต่แอบสุขใจอยู่ลึกๆ
ทางด้านแพรวพิลาศเดินจ้ำอ้าวนำหน้าฉัตรชัยกับฮิมในสภาพที่แย่สุดๆ แพรวพิลาศหยุดเดินกะทันหันแล้วหันมาด่า
“เด็กมันดวงแข็ง หรือแกมันโง่กันแน่ แกสองคนนี่มันโง่ยังกะร้านสะดวกซื้อ โง่งี่เง่าได้ตลอด 24 ชั่วโมง”
ฉัตรชัยกับฮิมถึงกับหน้าจ๋อย
“สงสัยฉันจะต้องลงมือเองซะแล้ว” แพรวพิลาศ
แพรวพิลาศมองไปข้างหน้า เห็นโจ๊กกับจีจ้ากำลังอยู่ที่ริมน้ำมองหาป๊อบคอร์น
“ป๊อบคอร์นๆๆ อยู่ไหน ออกมาเดี๋ยวนี้นะ” จีจ้าตะโกนเรียก
“ถ้ายังไม่ออกมาอีก กลับถึงบ้านจะโดนทำโทษนะ” โจ๊กบอก
แพรวพิลาศเดินเข้ามาหาเด็กๆ
“ไม่ต้องตะโกนแล้วจ๊ะ ป๊อบคอร์นกินขนมอยู่ตรงศาลาแล้ว”
“จริงเหรอคะ ทำไมพวกเราไม่เห็นได้ยินเสียงมันเลย” จีจ้าถาม
“แหมๆ ก็ป๊อบคอร์นกินขนมอยู่เต็มปาก จะเอาช่องว่างที่ไหนมาเห่าได้ละจ๊ะ เราไปเล่นเรือบั๊มในสระกันดีกว่า ฐานสุดท้ายแล้วจะได้กลับที่พักกันเนอะ” แพรวพิลาศบอก
“จีจ้าเคยเล่นแต่รถบั๊มยังไม่เคยเล่นเรือบั๊มเลยค่ะ” จีจ้าบอก
“สนุกกว่ารถบั๊มร้อยเท่า นี่น้าแพรวกับฉัตรชัยแล้วก็ฮิมจะลงเล่นด้วยนะ” แพรวพิลาศโม้ชักชวน
ฮิมได้ยินก็ส่ายหน้า ทำหน้าแหยทันที
“ไม่ไหวละครับ ผมตกวิชาว่ายน้ำ”
ฉัตรชัยกระซิบฮิม
“สระน้ำนี้มันลึกสำหรับผู้ใหญ่อย่างเราที่ไหนกันเล่า แต่ถ้าเป็นไอ้เปี๊ยกสองคนนั่นน่ะลึกแน่”
“ค่อยสบายใจหน่อย”
ฮิมตัดสินใจตะโกนบอกแพรวพิลาศ
“ผมเล่นด้วยครับ”
“โอเค งานนี้จัดเต็มนะจ๊ะ” แพรวพิลาศพูดอย่างมีเลศนัย
ป๊อบคอร์นที่ยังถูกผูกติดกับต้นไม้กำลังมองเด็กๆกับกลุ่มแพรวพิลาศ ด้วยความกระวนกระวายใจ แล้วพยายามเอาผ้าที่ผูกอยู่ที่ปากไปเกี่ยวกับกิ่งไม้จนผ้าที่ผูกปากป๊อบคอร์นค่อยเลื่อนออกจนหลุด
ในร้านพริมโรส ในช่วงเวลาเดียวกัน แจ๊สหยิบเงินจากเป๋าตังค์ตัวเองออกมานับ
“มีอยู่ห้าร้อย ขาดอีกตั้งสองพัน” แจ๊สพึมพำ
แจ๊สเก็บกระเป๋าสตางค์ใส่เป้ แล้วยกมือไหว้ตู้เก็บตังค์
“น้าพิมพ์คะ ขอแจ๊สยืมก่อน..แล้วแจ๊สสัญญา ว่าจะเอามาใช้คืนให้ครบทุกบาททุกสตางค์ค่ะ” ว่าแล้วก็หยิบกุญแจแคชเชียร์มาไขตู้เครื่องเก็บเงิน เมิ่อตู้เปิดออก ลิ้นชักเงินเด้งออกมา ในนั้น มีตังค์มากมาย แจ๊สมอง หน้าตาไม่สบายใจ ตัดสินใจไม่ได้ เอาไงดีหรือไม่
โจ๊กกับจีจ้านั่งอยู่บนเรือบั๊มลอยอยู่ในสระน้ำ แพรวพิลาศ ฉัตรชัย และฮิมอยู่บนเรือบั๊มคนละลำ ล้อมรอบโจ๊กกับจีจ้าอยู่ ทั้งสามช่วยกันขับเรือบั๊มเข้าชนเรือของโจ๊กกับจีจ้าอย่างแรง
“อย่าชนแรงนักซิ เรือมันจะล่มเอาง่ายๆนะครับ” โจ๊กโวยวาย
“ไม่ชนแรงๆก็ไม่สนุกซิคะ อย่ากลัวนะคะเด็กๆเรือไม่ล่มง่ายๆหรอกคะ” แพรวพิลาศบอก
“ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน น้าพิมสอนว่าคนเราต้องตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท เพราะฉะนั้นต้องปลอดภัยไว้ก่อนคะ” จีจ้าพูดด้วยความไร้เดียงสา
“เหรอจ๊ะ ฉันเกลียดชื่อนังพิมมาดา ตายซะเถอะหลานนังพิม” พิมมาดาพูดกับตัวเอง
แพรวพิลาศพุ่งเรือเข้าชนเรือของเด็กๆอย่างแรง โจ๊กกับจีจ้าเซเหมือนจะตกจากเรือ ฉัตรชัยกับฮิมเร่งเรือเข้ามาชนซ้ำ โจ๊กกับจีจ้าเซร้องโวยวาย แพรวพิลาศดีใจ
“ดีมาก ต้องอย่างนั้น ชนเข้าไปเอาให้เละ”
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงลมฟู่ออกมาจากเรือของแพรวพิลาศ แพรวพิลาศหันลงมองเห็นป๊อบคอร์นกำลังกัดเรือบั๊มของเธออยู่ ลมเรือเริ่มรั่วออก เรือแพรวพิลาศเริ่มเซจะล่ม
“กรี๊ด...รือรั่ว ช่วยด้วย” แพรวพิลาศร้องด้วยความตกใจ
แพรวพิลาศร้องโวยวายแล้วตะเกียตะกายหาที่เกาะด้วยการคว้าเอาฮิมไว้ทำให้ฮิมเซไปด้วยจนต้องคว้าฉัตรชัยเพื่อหาหลังยึด
“เฮ้ย! คว้าฉันทำไมวะ” ฉัตรชัยร้องลั่น
“ฉันถือคติ รวมกันเราอยู่ ตายหมู่เรายอมเว้ย” ฮิมบอก
และแล้วแพรวพิลาศ ฉัตรชัย และฮิมก็เสียหลักตกน้ำไปพร้อมๆกัน โจ๊กกับจีจ้ามองอย่างอ่อนใจ
“บอกแล้วให้ตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท” จีจ้าบอก
กริสน์ประคองพิมลงจากหลังม้าในบริเวณทุ่งหญ้า ทั้งที่อยากอ้อยอิ่งกอดพิมมาดาต่อนานๆ
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า”
พิมมาดารีบผละตัวออก ถอยจนไกลไปหลายก้าว
“ไม่”
“ถ้ารู้ว่าบังคับม้าไม่เป็น ก็อย่าสั่งให้มันวิ่งอีกละ”
“ขอบใจ...ที่ตามมาช่วยฉัน”
พิมมาดาสะบัดหน้า รีบเดินหนี
“จะรีบไปไหน ระวังนะ..ตรงนั้นมันเป็น”
กริสน์พูดยังไม่ทันขาดคำ พิมมาดาผลุบหายไป
“พิมมาดา” กริสน์ร้องเรียก
พิมมาดาตกลงไปจากขอบเนิน กลิ้งลื่นลงไปจนถึงก้นเนินที่ลึกและลาดชัน กริสน์วิ่งตามลงไป
“โอ๊ย..โอ๊ย”
“เป็นอะไร เจ็บตรงไหน”
“เท้า..ข้อเท้า..โอย”
กริสน์จับเท้ามาดู หน้าเครียดขึ้นทันที
ติดตามอ่านต่อตอนที่ 10