xs
xsm
sm
md
lg

มือปราบพ่อลูกอ่อน ตอนที่ 1

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


มือปราบพ่อลูกอ่อน ตอนที่ 1

ตอนเช้าตรู่ของวันนี้ที่บ้านของพิมมาดา สาวสวยวัยเฉียด 30 ปีรอมร่อ ไม่ต่างจากเช้าวันอื่นๆนัก พอฟ้าเริ่มสาง ไฟในบ้านถูกเปิดสว่างพรึ่บขึ้นมา ขณะที่นาฬิกาดิจิตัลบนโต๊ะหัวเตียง บอกเวลา ตี 5 กับ 58 กับอีกไม่กี่วิ

พิมมาดา สวมเสื้อคลุมลายวาฟเฟิลสีนวลตา กำลังแต่งหน้าอยู่ที่หน้ากระจก มือไม้สั่น ดูออกว่าอยู่ในอาการรีบเร่ง
พอเวลา 6.00 น. เสียงนาฬิกาปลุกดังแหวกบรรกาศอันเงียบสงบของยามเช้าขึ้นมา
“กริ๊ง..........”
พิมมาดาสะดุ้ง มือที่สั่นๆอยู่นั้นเขียนคิ้วผิด เฉขึ้นไปที่หน้าผาก พิมมาดาโกรธตัวเอง ร้องกรี๊ด “อ๊าย...” เขวี้ยงดินสอเขียนคิ้วทิ้งไป ดึงสำลีมาเช็ดๆๆ

วิทยุในห้องแจ๊สตั้งเวลาเปิดเอง เสียงเพลงดังกระหึ่มขึ้นมา เป็นเพลงจังหวะเร่งเร้าอารมณ์กระตุ้นให้ตื่น แจ๊สโผล่หัวออกมาจากผ้าห่ม เอามือกดปิดวิทยุ พอเพลงเงียบเสียง แจ๊สมุดกลับเข้าโปง ทันใด เพลงดังขึ้นมาอีก แจ๊สโผล่ออกมาจากผ้าห่มอีกกำลังจะเอามือไปปิดอีก
“โอย...เปิดเองได้ยังไงเนี่ย” แจ๊สบ่นงึมงำ
มือแจ๊สหมายจะปิดสวิทช์อีก แต่จับไปโดนมือพิมมาดาแทน พร้อมกันนั้นพิมมาดารีบดึงตัวแจ๊สขึ้นจากเตียง แจ๊สเป็นเด็กสาวผมสั้นติ่งหู ม้าเต่อ ดูเชยมากๆ
“แจ๊ส” พิมมาดาเรียกหลานสาวพร้อมกับดึงตัวขึ้นมา หยิบผ้าขนหนูมายัดใส่มือ “ไป
อาบน้ำ” แจ๊สจะล้มตัวนอนอีก พิมรีบคว้าเอาไว้ “แจ๊ส จะลุกหรือไม่ลุก! ถ้าไม่ลุก คืนนี้ก็ไม่ต้องดูเรียลลิตี้ประกวดร้องเพลง! แล้วน้าก็จะไม่ให้ยืมโทรศัพท์ไปโหวตพี่บลู วี1ด้วย”
พิมมาดางัดไม้เด็ดออกมา ซึ่งได้ผลชะงัดนัก แจ๊สลุกดึ๋งทันที พร้อมกับตะโกนขึ้นอย่างสุดเสียง
“น้าพิมลำเอียง สามมาตรฐาน”
แจ๊สบ่นๆ เดินตาหยีไปคว้าแว่นตา ขอบหนาเตอะมาสวม หยิบผ้าขนหนู วิ่งกระแทกเท้าตึงๆๆ เข้าห้องน้ำ ปิดประตูดังโครม!
พิมมาดากัดฟัน อยากกรี๊ด เอามือถูคิ้วที่เบี้ยวเพื่อลบที่เขียนไปพลางตะโกนตามหลังไป
“ใครเป็นพี่คนโต คนนั้นต้องโดนปลุกคนแรก มีปัญหาไรมั้ย”

ภารกิจต่อมาพิมมาดาพาตัวเองมาอยู่ในห้องโจ๊ก พิมมาดายืนอยู่ใช้มือข้างนึงเช็ดลบคิ้ว อีกมือนึงไพล่หลังซ่อนบางอย่างไว้ พลางกวาดตามองหาไปรอบๆ และไปหยุดอยู่บนเตียงไม่มีร่างโจ๊ก
“นายโจ๊ก นายนึกว่าชั้นเป็นเพื่อนเล่นนายเหรอ” พิมเดินตรงไป กระชากบานตู้เสื้อผ้าออก
ผัวะ
จริงอย่างที่พิมมาดานึกไม่มีผิด โจ๊กใส่กางเกงมวยไทย เสื้อกล้ามและสวมหน้ากากยอดมนุษย์คนโปรด นอนขดตัวหลับอยู่ในตู้เสื้อผ้า
โจ๊กรู้ตัวหรี่ตาขึ้นมาต่อรอง “ขออีกสิบนาที”
พิมมาดากอดอก เงียบไม่ยอมตอบ
“ห้านาที” โจ๊กโพล่งขึ้นมาเอง
พิมมาดาเผยสิ่งที่ซ่อนเอาไว้ที่ในมือข้างหลัง มันคือหนังสือพิมพ์ที่ม้วนแน่น จนแข็งเหมือนท่อนไม้
“สามนาที” โจ๊กหดเวลาลงมาอีก
พิมมาดาฟาดม้วนหนังสือพิมพ์นั้นกับฝ่ามือตัวเอง เสียงดังปั๊กๆๆ ฟังดูน่ากลัว
คราวนี้โจ๊กโดดเด้งดึ๋ง ถอดหน้ากากออกมาร้องโวยลั่น
“อ๊าก..น้าพิมใจยักษ์ น้าพิมพ์เป็นนางยักษ์ขมูขี ชอบตีเด็ก คอยดู โจ๊กจะไปแจ้งมูลนิธิป
วีณา”
ว่าพลางโจ๊กวิ่งจู๊ดไปคว้าผ้าขนหนู วิ่งตึงๆๆออกไป
แม้ร่างของหลานชายจะไม่อยู่แล้ว พิมมาดายังคงฟาดม้วนหนังสือพิมพ์นั้นไปมาใน
อากาศ
“ต่อให้เธอไปบอกลีน่า จัง ชั้นก็ไม่กลัว...” หญิงสาววัยเฉียดเลขสาม หันกลับมา แววตา
มุ่งมั่นหน้าโหดเหนือจริง “ต่อไป..คนสุดท้าย”

พิมมาดาอยู่ที่ห้องของจีจ้าที่เวลานี้หัวฟูยุ่งเหยิง จีจ้าดีดตัวเด้งขึ้นมานั่งทันทีราวกับอัตโนมัติ รายงานตัวเสียงแจ๋ว
“จีจ้าตื่นแล้วค่า”
พิมมาดาแปลกใจ แต่ก็รู้สึกดี “ดี งั้นก็ไปอาบน้ำ”
“ค่า..”
พอพิมมาดาหันหลังให้ จีจ้ากลับล้มตัวลงนอนอีก พิมมาดาชะงัก หันกลับมา จีจ้าเด้งตัวขึ้นอีก
“จีจ้า” พิมมาดาเสียงดัง
“ตื่นแล้วค่า”
“ตื่นแล้วก็ลุกสิ ไปอาบน้ำ”
“ค่า..”
พิมมาดาหันหลังจะเดินออกไป จีจ้าก็ล้มลงนอนอีก พิมมาดาหันขวับกลับมา
“จีจ้า” พิมมาดาเสียงขุ่น
จีจ้าเด้งตัวขึ้นมานั่งอีก “ตื่นแล้วค่า”
พิมมาดาเหลืออด เข้าไปอุ้มจีจ้าออกมาจากเตียง จีจ้าฟุบหน้าหลับตลอด จังหวะหนึ่งจีจ้าเด้งตัวมานั่งบนแขนพิมมาดาขณะที่เธออุ้มอยู่
“ตื่นแล้วค่า”
“ยังไม่ได้เรียกเลย”
“อ้าว...” จีจ้าอย่างเซ็งฟุบตัวนอนต่อ
ระหว่างที่พิมมาดาอุ้มจีจ้าออกไป แต่ต้องชะงักตรงใกล้ๆ ประตู เพราะเจ้าป๊อปคอร์น น้องหมาพันธุ์ชิววาก็ยังนอนหงายสี่เท้าหลับอยู่
“ป๊อปคอร์น ตื่น”
พิมมาดาออกไป
ป๊อปคอร์นโงหัวขึ้นมาหาว “ฮ้าว” แล้วหลับต่อ
เสียงพิมมาดาตะโกนดังเข้ามา “ป๊อปคอร์น มีคนซื้อขนมมาให้แน่ะ”
คราวนี้ป๊อปคอร์นสะดุ้งโหยง ตาโตรีบตื่น วิ่งออกไปทันที


ปลุกตื่นแล้วใช่ว่าภารกิจของสาวสวยจะจบและได้กลับไปบรรจงแต่หน้า อย่าหวัง!! เพราะในเวลาต่อมาโจ๊กกำลังบีบยาสีฟันเล่น บีบใส่จีจ้า เล่นกันวุ่นวายอยู่ในห้องน้ำ โดยเจ้าป๊อปคอร์นกระโดดเหยงๆ เห่าเล่นด้วยอีกตัว
พิมมาดาโผล่เข้ามาดุใส่ “เลิกเล่น แปรงฟันเร็วๆ”
ทุกคนรีบแปรงฟันต่อ
จีจ้าสำลักอยู่โพล่งบอก “น้าพิมแปรงฟันให้หน่อยจิๆๆๆ”
“โจ๊ก ช่วยแปรงฟันให้น้องหน่อยสิ” พิมมาดาหันไปบอกหลานชาย
“ไม่” โจ๊กเซย์โน
พิมมาดาเห็นจีจ้าสำลักอีก “มาๆๆ” เลยต้องจำใจยอมแปรงให้
“ถ้าน้าพิมแปรงฟันให้จีจ้า ก็ต้องแปรงให้โจ๊กด้วย” โจ๊กขอมั่ง
“นายโตแล้วนะโจ๊ก ชายชาตรี ต้องแปรงฟันเอง”
“โจ๊กไม่ใช่ชายชาตรี โจ๊กเป็นเด็ก เป็นเด็กมีปัญหามากๆ ด้วย” โจ๊กบอกพิมมาดา
“จีจ้าก็มีปัญหาๆๆๆ”
หลังจากนั้นโจ๊กกับจีจ้าก็กรี๊ดใส่กัน โจ๊กเอายาสีฟันบีบใส่หน้าจีจ้า พิมมาดาแย่ง ยาสีฟันปลิ้นออกมาหมดหลอด จีจ้าเปิดก๊อกน้ำสุดแรง แล้วเอามือไปอุดรู ให้น้ำฉีดใส่ทุกคน น้ำฉีดเต็มหน้าพิมมาดาเต็มๆ
แจ๊สซึ่งเดินผ่านห้องน้ำมาพอดี มองเข้าไปทำหน้าเอือมระอา แล้วเดินเลยไปอย่างไม่สนใจ

เวลาเดียวกันนั้นที่บริเวณโกดังสินค้าท่าเรือแห่งหนึ่ง แหงนหน้ามองขึ้นไปเห็นบิลบอร์ดโฆษณาสส.สุขสันต์ที่กำลังยืนยิ้มอยู่ท่ามกลางเด็กๆ โดยมีข้อความโฆษณาโครงการหรา “เยาวชนสุขสันต์ห่างไกลยาเสพติด” มองต่ำลงมาเห็นรถยนต์ 3 คัน แล่นมาเป็นขบวน ฝ่าเปลวแดดมาตามทาง
ในรถคันแรก มีชายฉกรรจ์ 5 คน รวมคนขับ รถคันที่ 2 มีคนขับหน้าตาแปลกๆ ท่าทีตลกๆเขาคือ เดช คนขับรถของ เสี่ยอธิป มาเฟียใหญ่
และคนนั่งเคียงคือกริสน์ นายตำรวจนอกเครื่องแบบซึ่งทำผมยาวเด้ดร็อค มีหนวดมีเครา รุ่มร่าม ใส่ตุ้มหู เอาแว่นดำคาดผมแทนที่คาดผม สีหน้าเคร่งขรึม กริสน์แฝงตัวมา โดยใช้ชื่อกรด
ผู้ที่นั่งอยู่ที่นั่งตอนหลังคนเดียวคืออธิป ที่วันนี้ใส่เสื้อหมีพูห์ ในมือถือโทรศัพท์ไอโฟน 4 โดยที่หน้าจอโทรศัพท์เป็นรูป โอปอล์ ลูกสาววัย 16 ที่อธิปรักปานดวงใจ เวลานั้นอธิป นั่งเลื่อนดูรูปโอปอล์ ไล่เรียงวัยตั้งแต่ทารก อนุบาล จนปัจจุบันในวัย 16 ปี รูปชุดนี้ มีถึง 4-5 เวอร์ชั่น
“ถึงเวลาที่ชั้นจะต้องล้างมือซะทีแล้ว..” อธิปรำพึงเบาๆ
กริสน์เปิดกระเป๋า หยิบเจลล้างมืออนามัยมาส่งให้ “นี่ครับ เสี่ย”
“อะไร?” อธิปมองอย่างงงๆ
“เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ แบบไม่ต้องใช้น้ำ เสี่ยควรล้างมือครับ เพราะเค้าว่ากันว่า ไวรัส
2009 มันพัฒนามาเป็น ไวรัส 2011 แล้ว คำขวัญนั้นยังไม่เชยครับ กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ” กริสน์ในคราบกรดพูดเป็นต่อยหอย
อธิปเอาเจลเขวี้ยงใส่กริสน์ แต่พอดีเป็นจังหวะรถตกหลุมเลยพลาดไปโดนเดชเข้า...เต็มๆ
“โอ๊ย...เจ็บครับเสี่ย ผมทำอะไรผิดเนี่ย”
อธิปไม่สนใจฟังเดชหันมาใส่กริสน์
“ไอ้กรด..แกเคยได้ยินคำเปรียบเทียบว่า..ฉลาดเป็นกรดไหม..แต่มันใช้ไม่ได้กะแกจริงๆ
เพราะแกมันโง่สุดๆ ไอ้เดช...บอกไอ้กรดมันซิ ว่าที่ชั้นพูดว่า..ล้างมือ..มันหมายความว่ายังไง”
“ล้างมือ..ย่อมาจากคำว่า ล้างมือในอ่างทองคำ..มีที่มาจากคัมภีร์ไบเบิ้ล..เมื่อพวกยิวจับ
พระเยซูตรึงกางเขน..ทางจักรวรรดิโรมัน..ต้องการจะแสดงออก ว่าพวกตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง..” เดชผู้รอบรู้ร่ายยาว
“เดช..ขอสั้นๆ..” อธิปบอกเสียงขุ่น
“แปลว่าเลิก..วางมือ..หรือลาออกจากวงการ เช่น..สำหรับนักมวย จะเรียกว่า..แขวนนวม
และสำหรับนางแบบถ่ายนู้ด..เราจะเรียกว่า..แขวนเต้า สำหรับนัก..”
เดชพูดอวดภูมิยังไม่จบดี กริสน์ในคราบกรดก็สวนขึ้น
“เข้าใจแล้วๆๆ พอแล้วครับพี่เดช ผมเข้าใจแระ..” หันมาหาอธิป “แต่..นายครับ นายจะ
ลาออกจากวงการอะไรล่ะครับ”
อธิปถอนหายใจยาวอย่างระอา
“วงการเกษตรกรสวนผสมมั้ง..ไอ้กรด ดูนี่ ดูๆๆ” ยืนโทรศัพท์ให้ดูรูปลูกสาว “น้องโอปอล์..
ลูกชั้นก็โตขึ้นทุกวันๆ แกดูดิ นางฟ้าชัดๆ” ดึงเอาโทรศัพท์กลับมาจูบ “โอปอล์ควรจะมีชีวิตอยู่ในสังคมที่ดีงาม อุดมด้วยปัญญา และปราศจากพิษภัย เพราะฉะนั้น ธุรกิจเลวร้ายทั้งหมด ที่ชั้นเคยทำมา ไม่ว่าค้าอาวุธ ค้าคน หรือค้ายาเสพติด..ชั้นจะเลิกให้เกลี้ยง”
“อ่ะจิงดี้!” กริสน์โพล่งขึ้นมา
เดชเบรกรถเอี๊ยด กริสน์หน้าคว่ำ ตกเก้าอี้นั่ง เพราะมัวแต่หันหน้ามาคุยกะอธิปที่ด้านหลัง

เวลาต่อมารถเริ่มทยอยเข้าจอดเทียบบริเวณท่าเรือแห่งนั้น แล้วก็ไปจอดเรียงต่อๆ กันแบบพรึ่บๆๆ ตรงลานกว้างหน้าโกดัง
รถคันแรกสุดเปิดประตู พวกลูกน้องกลุ่มไลอ้อนคิงก้าวลงมา กระจายตัวไปทั่ว 4 ทิศ หันไปมองรอบๆ อย่างระแวดระวัง
พอรถคันที่สองจอด กริสน์ปีนขึ้นมา นั่งในท่าสง่า ในมาดบอดี้การ์ด ก่อนจะจัดเสื้อผ้าให้ดูดี ดึงแว่นกันแดดจากหัว ลงมาที่ตาเปิดประตู ลงจากรถมา แล้วรีบไปเปิดประตูรถด้านผู้โดยสาร
อธิปลงจากรถ แต่ยังคงง่วนกับมือถืออยู่ จังหวะหนึ่งอธิปทำเสียงเล็กเสียงน้อยจ๊ะจ๋ากับลูกสาว
“โอปอล์จ๋า ป๊าเตรียมการแสดงพิเศษสุดเพื่อวันเกิดหนูแล้วน๊า”
จตุพลลงจากรถคันสุดท้าย พร้อมกับสมุนอีก 2 คน ทุกคนใส่เสื้อการ์ตูน ยกเว้นจตุพล ที่ใส่สูทสีเบจ เดินมาประกบมองอธิปด้วยสายตาสมเพช
“อยากรู้มั้ย..ป๊าไม่บอกหรอก” อธิปจ๊ะจ๋ากับโอปอล์อยู่ ก่อนจะหันมาวางมาดขรึมกับลูกน้อง “พวกมันยังไม่มาใช่มั้ย”
“ยังครับ” เดชตอบ
อธิปหันมาเห็นจตุพล ที่รีบเปลี่ยนสีหน้าเป็นสงบ เทิดทูน บูชาทันควัน
“เอ้อ จตุพล หลานรักของอา..หลานมีอะไรจะฝากถึงน้องมั้ย” อธิปถามยิ้มๆ
จตุพลฉีกยิ้ม อย่างเอาใจ ประจบตามนิสัยสอพลอโปรโมชั่นในสันดาน
“บอกว่า..รักนะ เด็กโง่..เอ๊ย..เด็กฉลาดของคุณพี่..จุ๊บส์ๆ” จตุพลเล่นด้วย
อธิปยิ้มแฉ่ง ดีใจ
จังหวะนั้นกริสน์ขยับแว่น แล้วมองไปที่มุมด้านหนึ่งสูงเหนือโกดังขึ้นไป

บนโกดังสูงแห่งนั้น จ่าเม้งตำรวจกำลังส่องกล้องซุ่มจับตาดูกลุ่มของอธิปอยู่ หันไปรายงานผู้บังคับบัญชาทีม หมวดภัทรดนัย
“หัวหน้าครับ เสี่ยอธิปมาถึงแล้วครับ” จ่าเม้งรายงาน
ภัทรดนัยไม่สนใจฟังกำลังง่วนกับการตรวจล็อตเตอร์รี่อยู่
“หัวหน้าครับ..”
“จะเรียกทำไม คนยิ่งเสียๆอยู่..พวกแกจับตาไว้ให้ดี ถ้าสายสืบของเราได้หลักฐานที่แน่ชัด
เมื่อไหร่ว่าเสี่ยอธิปไม่ได้วางมือจากธุรกิจผิดกฎหมายจริงๆ อย่างที่ประกาศ สายของเราจะส่งสัญญาณมา แล้วเราถึงบุกเข้าจับกุมทันที..เข้าใจมั้ย” ภัทรดนัยวางมาดเข้มหันไปง่วนกับการตรวจล็อตเตอรี่ต่อ
“ทราบครับ..เอ่อ หัวหน้าครับ”
“อะไรอีก”
“ขอยืมตรวจบ้างได้มั้ยครับ”
ภัทรดนัยทำมะเหงกใส่ แล้วตรวจล็อตเตอร์รี่ต่อ พวกลูกน้องออกอาการเซ็งไปตามๆ กัน

กริสน์หันมองไปอีกด้าน พบว่ามีเรือสปีดโบ๊ทกำลังแล่นฝ่าน้ำมาจอดเทียบท่า เดชรีบเข้าไปรายงานอธิป
“เสี่ยอธิปครับ..พวกมิสเตอร์ทาเคชิมาแล้วครับ..”
ทาเคชิ นักธุรกิจชาวญี่ปุ่น เดินออกมาพบกับอธิปโดยมีบอดี้การ์ดเดินตามประกบ ทั้งหมดเข้ามาเผชิญหน้ากัน อธิปให้ลูกน้องเอากระเป๋าเงินมาเปิดให้ดู ข้างในมีเงินเต็มกระเป๋า
ทาเคชิให้ลูกน้องเข็นลังไม้ที่ใส่ของออกมาเปิด อธิปอาสาจะเข้าไปตรวจเอง
“ผมไปตรวจให้เองครับ”
อธิปหันมามองกริสน์ด้วยสายตาเป็นเชิงถามประมาณว่ามึงจะไหวไหม?
“คือ เสี่ยไม่น่าจะต้องไปเสี่ยง ถ้าเกิดมีอะไรขึ้นมา” กริสน์ว่า
“พวกนั้นไม่กล้าตุกติกกะชั้นหรอก” ในที่สุดอธิปเข้าไปตรวจของด้วยตัวเอง แล้วก็มีท่าทาง
ถูกใจมากๆ “เยี่ยม..เยี่ยมมาก..ของเกรดเอทั้งนั้น..เอาเงินให้เค้าไป”
กริสน์พยายามมอง แต่ไม่เห็นว่าเป็นอะไร

ภาพจากระยะไกล มองเห็นอธิปกับทาเคชิจับมือตกลงธุรกิจกันอยู่
“หัวหน้า พวกมันตกลงซื้อขายกันเสร็จแล้ว จะเอายังไงดีครับ” เม้งรายงาน
“ทำไมมันยังไม่ส่งสัญญาณอีก” ภัทรดนัยดึงกล้องมาส่องเอง มองไปที่กริสน์ “ไอ้กริสน์ ไอ้
เร้กเก้สกาเอ๊ย..ยืนทำหล่ออะไรอยู่วะ ทำไมยังไม่ถอดแว่นอีก..ถอดแว่นออกสิเว้ย พวกชั้นจะได้บุก”
ที่แท้กริสน์กับภัทรดนัยตกลงกันว่า หากกริสน์ถอดแว่น ให้ภัทรดนัยบุกเข้าไปทันที!!!

ทาเคชิจับมือกับอธิปเสร็จ กำลังจะแยกย้ายกลับไป แต่พอดีหันมาเห็นกริสน์เข้าก่อน ทาเคชิเดินอาดๆ เข้ามาหากริสน์ ทุกคนเล็งว่าจะเกิดอะไรขึ้น
“โอ้ว เรย์แบนด์ คลาสสิคเวอร์ชั่น ใช่มั้ยๆ..ว้าว ขอดูหน่อยสิ ถอดให้ดูหน่อย พลีส”
“เอ่อ..คือ..” กริสน์อึกอัก
“ยกให้เค้าไป เดี๋ยวชั้นซื้ออันใหม่ให้”
อธิปสั่ง กริสน์อึกอัก เหลือบมองไปด้านบน
“นายสั่ง..ให้แกถอด..ไอ้โง่ ไอ้ทึ่ง ไอ้กรด มองไปทางนั้นทำไม” จตุพลผสมโรงเอาหน้า
“ผม..ผมกลัว..รังสียูวีเอและยูวีบี” กริสน์เอ่ยออกมา
“ระหว่างรังสียูวีเอ ยูวีบี กับรังสีรองเท้าหนังเบอร์43 ของชั้น แกจะเอาอะไรว่ามา” อธิปว่า
กริสน์อึ้ง จำใจถอดแว่นดำออกมา ส่งให้ทาเคชิไป ทาเคชิดีใจมากๆ
กริสน์เหล่ๆ หรี่ตา มองดูทางที่พวกตร.อยู่ หมุบหมิบปากภาวนา
“เป็นเรื่องแล้ว...”

ภัทรดนัยส่องกล้อง เห็นกริสน์ถอดแว่นกันแดดออกส่งให้ทาเคชิ ก็เข้าใจผิดคิดไปเองว่าเป็นสัญญาณจากกริสน์
“เฮ้ย ถอดแว่นแล้ว ฮั่นแน่! มีการมองเหล่มาหลิ่วตาให้ชั้นด้วยเว้ย..ไอ้กริสน์นี่มันชิลล์จริงๆ
เพื่อนชั้น ทุกคนลุย”
ภัทรดนัยเก็บล็อตเตอรี่และนำทีมตำรวจบุกเข้าทันที

กลุ่มตำรวจจู่โจมออกมาพร้อมกันทุกด้าน โดยมีหน่วยหนึ่งโรยตัวลงมาสมทบด้วย และทั้งหมดเข้ามารุมล้อมพวกอธิปและทาเคชิเอาไว้หมด
จตุพลและบรรดาบอดี้การ์ดของอธิปยกปืนพร้อมสู้ พรึ่บพรั่บ
กริสน์ตบกะบาลตัวเอง นึกในใจ ซวยแล้วงานนี้
อธิปยกมือเป็นเชิงสั่งห้ามลูกน้องยิง
“นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ พวกเราล้อมไว้หมดแล้ว อย่าขัดขืน!! ยกมือขึ้น” ภัรดนัยตะโกนบอก
“นายครับ...โบราณไปมั้ยครับนาย” จ่าเม้งบอก
“เฮ้ย” ภัทรดนัยหันมาพูดกับจ่าเม้ง “อย่างงี้แหละคลาสสิก...” แล้วหันไปทางเสี่ยอธิป
“วันนี้เสี่ยไม่รอดแน่” หันไปสั่งลูกน้องน้ำสียงหมายมาด “เปิดลังเดี๋ยวนี้”
จ่าเม้งและพวกเข้าไปเปิดลังสินค้าออก ภัทรดนัยเดินเข้าไปดู พบว่าในลังมีแต่ส้มยูสุ ซึ่งเป็นส้มญี่ปุ่น สีเหลือง ผิวหนา ขรุขระ
“ส้มหรือ” ภัทรดนัยอึ้งไป
“ก็ส้มน่ะสิครับ แล้วทำไม..ตำรวจต้องมาจับพวกผมด้วย พวกผมขนส่งอย่างถูกต้อง เสีย
ภาษีทุกอย่าง” จตุพลว่า
“ใช่ครับ..นอกจากนั้นพวกเรายังได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงเกษตรญี่ปุ่นด้วย เพราะ
นี่คือส้มยูสุ จากหมู่บ้านอุมะจิ ซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของเกาะชิโกกุ เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามันซี และฟลาโวนอย ที่สำคัญ..มีกลิ่นหอมเป็นพิเศษ” เดชผู้รอบรู้อธิบาย
ภัทรดนัยหยิบส้มมาดม “
กลิ่นหอมพิเศษรึ..มันต้องยัดไส้เอาไว้แน่ๆ ตรวจให้ละเอียด!! คิดจะใช้กลิ่นหอมมากลบ
กลิ่นยาเสพติดเหรอ หึๆ ฉลาดมาก แต่ชั้นฉลาดกว่า”
ภัทรดนัยควักมีดสั้นออกมา ยื่นให้จ่าเม้งพิสูจน์ จ่าเม้งรับมีดมารีบกรีดส้มแบะออกเป็น 2
ซีก
“ไม่มีอะไรเลยครับ”
“ลังนี้ก็ไม่มีอะไรเลยครับ” ตำรวจอีกคนบอก
“ไม่จริง!!” ภัทรดนัยหันไปถลึงตาใส่กริสน์ พูดแดกดันขึ้นมา “สายของผมไม่เคยมั่ว ไม่
เคยซี้ซั้ว ไม่เคยผิดพลาด”
กริสน์รีบเมินหน้าหนีแทบไม่ทัน
“งั้นคุณก็ไล่สายของคุณออกได้แล้ว ส้มพวกนี้ ผมจะทำเยลลี่ผลไม้ เพื่อนำมาเป็นสินค้าตัว
แรก ของโรงงานขนมดีมีประโยชน์ ยี่ห้อ สวีทโอปอล์ แปลกตรงไหน” อธิป บอก
“แล้วทำไมไม่นัดกันแบบคนปกติ ทำไมต้องทำยังกับนัดส่งยาบ้า” ภัทรดนัยซัก
“อ้าว ก็ผมชิน เคยแต่นัดส่งของแบบนี้ มาสามสิบกว่าปี จะให้ผมไปนัดแบบอื่น ผมทำใจ
ไม่ได้หรอก..ผมบอกว่าผมจะล้างมือจากวงการมาเฟียแล้ว ทำไมตำรวจไม่เชื่อใจผมเลย”
ภัทรดนัยอึ้ง หันไปมองกริสน์ กริสน์ยกปืนและส่ายหน้าถี่ๆ
ตำรวจหันปืนเล็งมาที่กริสน์พร้อมกันพรึ่บพับ ทันใดนั้นทั้งจตุพลทั้งลูกน้องอธิปก็หันปืนไปจ่อตำรวจเช่นกัน เหมือนจะเริ่มยิงกัน ทุกคนตกอยู่ในความเครียด
“เอ่อ...” กริสน์เอามือที่ถือปืนบังแดดที่ตา “ผมแสบตาจากรังสียูวีเอน่ะ...”
จตุพลหันมา มองหน้าสมุนทีละคน
“ตำรวจรู้กำหนดการนี้ได้ แสดงว่า..ต้องมีหนอนตำรวจแทรกซึมอยู่ในพวกของเราแน่ๆ
ใคร!!”
จตุพลคาดคั้นสมุนทุกคน
ทันใดนั้นเอง บริเวณห่างออกไปมีกลุ่มคนขี่มอเตอร์ไซค์ ใส่ชุดวอร์มสีส้ม เหลือง และชมพู มาจอด 5-6 คัน เว้นระยะห่างกันแบบรอบด้าน ครบทั่วทุกมุม
“เสี่ยสั่งคนมาล้อมตำรวจอีกทีนึงเหรอครับ โหว เสี่ยมองการณ์ไกลสุดเลยครับ”
“ไม่ใช่พวกชั้น ชั้นไม่รู้เรื่อง” อธิปปฏิเสธลั่น
“ไม่ใช่พวกเรา ไม่ใช่พวกตำรวจ แล้วมันพวกไหน” จตุพลเองก็สงสัย
กลุ่มคนพวกนั้นควักปืนอูซี่ออกมา ขึ้นลำอย่างพร้อมเพรียง แล้วก็กราดยิงมาเป็นชุดราวกับห่าฝน
“ปังๆๆๆๆ”

ทุกคนกระโดดหาที่กำบัง กลุ่มตำรวจพยายามจะยิงตอบโต้ แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้มาก เพราะคนร้ายระดมยิงแบบไม่เว้นจังหวะให้โงหัวได้

กริสน์มาหลบอยู่ที่เดียวกับภัทรดนัย
“ไอ้กริสน์ ไอ้สายสืบห่วยแตก ไม่มีหลักฐานแล้วถอดแว่นให้สัญญาณหาสวรรค์อะไรวะ”
ภัทรดนัยโวยใส่
“ก็อาเฮียทาเกชิแกอยากได้แว่นชั้น แล้วไอ้อธิปให้ชั้นถอดให้เว้ย..ก็บอกแล้วไง ว่า
สัญญาณแบบนี้มันง่ายไป อาจเกิดความผิดพลาดได้ แกก็ไม่เชื่อชั้น! แล้วไอ้พวกที่มาดักยิงอยู่นี่ พวกไหนวะ” กริสน์สงสัยไม่หาย
“ไม่รู้เว้ย..ไปๆ เดี๋ยวพวกมันเห็น สถานะแกจะถูกเปิดเผย” ภัทรดนัยบอก
“ใช่” กริสน์ชกไปเต็มๆ ที่ใบหน้าภัทรดนัย...ตุ๊บ “เฮ้ย...แก...ไอ้ตำรวจ”
แล้วกริสน์วิ่งออกไป ภัทรดนัยร้องโอดยโอย
“โอย...ไอ้นี่ทีเผลอ...สมจริงไปรึเปล่าวะ”
แต่พอภัทรดนัยจะออกไปบ้าง กลับมีกระสุนรับขวัญสลอน ยิงมาดักหน้าเอาไว้
“ปังๆๆๆ”
ภัทรดนัยโดดหลบเหยงๆ บ่นงึมงำ

“ทีเวลาไอ้กริสน์ไป พวกมึงไม่ยิง ทีพอกูจะไป ยิงเป็นห่าฝนเลยนะ”

จตุพลแอบหลบอยู่อีกมุมหนึ่ง
“ไอ้กู๋อธิปเอ๊ย ไอ้แก่หวงสมบัติ ชั้นเป็นหลานแท้ๆ แต่แกไม่เคยเห็นหัว งั้นแกก็ตายๆ ไปซะ
เถอะ”
จตุพลหันไปเห็นหัวหน้าการ์ดกำลังปกป้องอธิปอยู่ จตุพลมองไปอีกด้านไกลๆ เห็นทีมสังหารสไนเปอร์ซุ่มอยู่ จตุพลตาวาว คิดจัดการอธิป
จตุพลตะโกนสั่ง “ไอ้เดช!! พากู๋ไปที่รถ..ฝ่าไปเลย เดี๋ยวชั้นยิงกันให้ ไป”
“เสี่ยครับ นับหนึ่งถึงสาม วิ่งเลยนะครับ..โอเค สาม” เดชว่า
“ฮะ แล้ว 1 กับ 2 ล่ะ อธิปยังมีเวลายิงมุก
เดชวิ่งพาอธิปออกไปทันที จะพาไปที่รถ
จตุพลแอบผุดยิ้มร้ายออกมา ด้วยความสาสมใจ

กริสน์วิ่งผ่านมาหลบใกล้ๆ กัน กำลังมองหาทางหนี แต่อยู่ๆ มีแสงสะท้อนมากระทบตา กริสน์หันไปมองที่แสงนั้น เห็นร่างคนซุ่มอยู่ไกลออกไป นอนอยู่ในท่าซุ่มยิงแบบสไนเปอร์ กริสน์ มองเป้าหมายที่สไนเปอร์เล็ง พบว่าเป็นอธิปที่กำลังออกมาจากกำบังพอดี
สไนเปอร์เหนี่ยวไก ยิง
“ระวัง”
กริสน์ตะโกน พร้อมกับกระโจนไปผลักอธิปออก เอาตัวเองบังแทน กริสน์ถูกยิงเข้าอย่างจัง ล้มฟุบลงไปแล้วหมดสติทันที
“ไอ้กริสน์”
ภัทรดนัยตกใจจะเข้าไปช่วย แต่กลับถูกยิงกันเอาไว้ จนต้องถอยหลบออกมา

ปล่อยให้กริสน์นอนจมกองเลือดอยู่ตรงนั้น

อ่านต่อหน้า 2





มือปราบพ่อลูกอ่อน ตอนที่ 1 (ต่อ) 

บ้านของพิมมาดา ใช้พื้นที่บริเวณด้านหลังบ้านเปิดเป็นร้านดอกไม้ ชื่อร้านพิมโรส
ระหว่างนั้นพิมมาดาเดินสวมรองเท้าไป กดมือถือไปอย่างรีบเร่ง พอมาถึงประตูหน้าบ้าน ที่อยู่ข้างๆ ร้านดอกไม้ พิมมาดาก็ใส่รองเท้าเสร็จพอดี จังหวะนั้นเธอใช้มือข้างหนึ่งเปิดประตูหน้าบ้านออกจนกว้าง ในขณะที่มืออีกข้างถือโทรศัพท์มือถือแนบหู หน้านิ่ว ที่อีกฝ่ายไม่ยอมรับสายซะที
พอดีกับที่มีแท็กซี่คันนึง เลี้ยวเข้ามาจอดเทียบหน้าร้าน โดยสองเกย์สาวเต๋ากับเต้ย ผู้ช่วยของพิมมาดาลนลานลงมา เต๋ารีบชูมือถือพลางตะโกนบอก
“คุณพิม..เต๋ามาแล้วค่า..ไม่ต้องโทแล้ว”
เต๋ากับเต้ยไปเปิดท้ายรถแท็กซี่ ช่วยกันยกถุงใส่ใบไม้ประดับสำหรับจัดช่อดอกไม้ลงมา
“เดี๋ยวสวนกล้วยไม้นครปฐมจะเอากล้วยไม้มาส่ง” พิมมาดาบอกพลางดูนาฬิกา “จะมาถึง
8 โมง เธอจัดการดูแลให้เรียบร้อยล่ะ เต๋า เต้ย”
“ค่ะ คุณพิม พวกหนูจะจัดการให้เป๊ะๆๆ เลยค่า” เต้ยเปิดประตูร้านดอกไม้ ที่อยู่ในบริเวณ
บ้านพิมมาดา
เต๋า เต้ย และพิมมาดา ช่วยกันขนใบไม้ประดับเข้าไปในร้าน
“อ้าว..คุณพิมฮะ มาช่วยเราทำไมล่ะ สายแล้ว แล้วเด็กๆ ล่ะพี่” เต้ยเตือนขึ้น
พิมมาดานึกขึ้นได้
“ว้าย..จริงด้วย เด็กๆ เด็กๆ ล่ะ”
พิมมาดารีบวิ่งกลับออกทางเดิม แต่ครั้นหันไป ก็ชะงัก ยืนอึ้ง เมื่อเห็นมาวิน อดีตคนรักยืน
เท่อยู่ในชุดนายตำรวจแบบเต็มยศ
“มาวิน”
“พิมยังสวยเหมือนเดิมเลยนะฮะ นี่ฮะ”
มาวินยื่นช่อดอกไม้ให้ ในอาการอวดกึ่งเย้ยอยู่ในที
“วินแวะมาบอกว่าวิน เรียนจบหลักสูตรFBI จากเมกาเรียบร้อยแล้วนะฮะ วินจะมาประจำหน่วยสืบสวนพิเศษที่นี่ จะไม่หนีหายไปไหนอีกแล้วฮะ แต่..แต่..สิ่งที่วินค้นพบ..ในเบื้องลึกของหัวใจตัวเอง ก็คือ..วินไม่มีตาที่จะมองผู้หญิงคนไหนอีกแล้ว ผู้หญิงที่วินรัก..คือ..พิมเท่านั้น วินคิดดูแล้ว ว่าพวกเด็กๆ พวกนั้น”
ทว่าพิมมาดาไม่แยแสใดๆ เดินไปที่รถกะบะสเปซแคบขนาดใหญ่ที่จอดอยู่ เอารีโมทมากดเปิด
“เด็กๆ ออกมาได้แล้ว”
“พิมฮะ.. ถ้าผมจะขอรักพิม อีกครั้งผมก็จะพยายาม..รักหลานๆ ของพิมด้วย” มาวินอ้อน
ทันใดเอง ประตูบ้านเปิดผัวะออกมา พร้อมกับที่เป้ใส่หนังสือลอยมาโดนหน้ามาวินเต็มๆ
“อ๊าก....” มาวินร้องพร้อมกับเอามือกุมจมูก
เต๋า เต้ย เห็นถึงกับเอามือปิดหูปิดตาไม่กล้าดู
พวกเด็กๆ อยู่ในเครื่องแบบนักเรียนเรียบร้อย ต่างแย่งกันจะรีบไปขึ้นรถ ผลักและชนมาวินที่ยืนขวางอยู่แทบกระเด็น เล่นเอาจุก โจ๊ก แจ๊ส ไปประจำที่ในรถอย่างพร้อมเพรียง
มาวินหันกลับมา พบว่าจีจ้ายืนอยู่ตรงหน้า
“ช้างหนูอยู่ไหน”
จีจ้าทำท่าเลียนแบบจาพนม นักบู๊คนโปรดแล้วก้มหน้าเอาหัวไปโขกมาวินเต็มๆ
“จ๊าก”
พิมมาดาเหลือบมองมาวินที่เจอฤทธิ์เด็กๆ จนจุก แต่กลับไม่แยแส ก้าวไปขึ้นรถ สตาร์ทและออกรถไป พวกเด็กๆ โผล่หน้าออกจากกระจกรถ ส่งเสียงเฮฮาเจี๊ยวจ๊าว
มาวินได้แต่มองตามอย่างเซ็ง ป๊อปคอร์นหันมาเห่าจากด้านหลัง
“เฮ้ย” มาวินสะดุ้งโหยง
“ปอปคอร์นมันเกลียดตำรวจน่ะค่ะ” เต้ยว่า
“พวกเราก็เหมือนกัน แบบว่า..ถึงพวกเราจะชอบชาย..แต่พวกเราก็เลือกนะยะ” เต๋าเชิดใส่
มาวินมึนงง น้องหมาป๊อปคอร์นยังเห่าและแฮ่ใส่ไม่ยอมหยุด

กริสน์ค่อยๆ ลืมตาตื่นเริ่มได้สติ พบว่าอธิปยืนอยู่ด้วยในห้องภายในคฤหาสน์ของอธิปนั่นเอง
“เป็นยังไงบ้าง ไอ้กรด” อธิปถาม
“เสี่ย..” กริสน์พยายามยันกายจะลุกขึ้น “โอ๊ย..” กริสน์เจ็บที่แผล
“ไม่ต้องลุกๆ ชั้นแค่แวะมาขอบใจที่แกปกป้องชั้นไว้..ขอบใจนะ” อธิปเปลี่ยนเรื่อง “...นี่แก
อยู่กะชั้นมานานแค่ไหนแล้ว”
“2 ปีครับ..” กริสน์ยกมือไหว้ท่วมหัว “ผมกราบขอบพระคุณเสี่ยมากนะครับที่เมตตาให้ผม
ทำงานด้วย ไม่งั้นป่านนี้ผมอาจจะเสียคนไปแล้วก็ได้” กริสน์ซาบซึ้งจนน้ำตาซึม “แต่ก่อน..ผม..ผมคุมที่จอดรถร้านคาราโอเกะ..อยู่ที่สุทธิสาร แล้วพี่เดช ไปพบเข้า”
“เฮ้ย ถึงขั้นน้ำตาซึมเลยเหรอ” อธิปส่งทิชชู่ยื่นให้ “เอ้าๆ ทิชชู่”
“เสี่ยหยิบทิชชู่ให้ผม..โฮ..เสี่ยช่างให้เกียรติไอ้กรด คนต้อยต่ำ..ชีวิตของผม..ผมไม่เคยมีใคร
เมตตาเลย ผมไม่เคยเห็นหน้าพ่อ แล้วแม่ก็มาทิ้งไป เพราะแม่รับไม่ได้ที่ผมไปทำงานผิดกฏหมาย..กินบ่อน นอนซ่อง ก็ตอนนั้น แม่ป่วยหนักมาก”
อธิปสงสารจับจิตรีบเข้าไปประคองกอดกริสน์ไว้ พลางปลอบ
“เออ...พอแล้ว ชั้นอยู่นี่..ชั้นเข้าใจดี..เข้าใจทุกอย่างเลย..แม่ชั้นก็ทิ้งชั้นไป เพราะรับไม่ได้ที่
ชั้นเปิดบ่อน ค้าของเถื่อน อาม่าหาว่าชั้นชั่ว เลว ไม่มีศักดิ์ศรี และทำลายความมั่นคงประเทศชาติ”
อธิปดึงกริสน์มากอดแน่น กริสน์อึ้งๆ งงๆ
“อากรด แกจะว่าอะไรมั้ย ถ้าชั้นจะรับแกเป็นลูกบุญธรรม เรามีชีวิตที่คล้ายๆ กัน บางที..
เราอาจจะเกิดมาเพื่อกันและกัน แกขาดพ่อ ชั้นก็มีแต่ลูกสาว..ทุกอย่างมันลงตัวพอดี ลงตัวสุดๆ นะกรด นะๆๆๆ”
“หา” กริสน์งง
เดชตบมือดีใจแทนกริสน์

ด้านภัทรดนัยนอนพาดอยู่บนม้านั่งที่ป้ายรถเมล์แห่งหนึ่ง มีหมวกแบบวณิพกปิดหน้ากันแสงอยู่ ทันใดนั้นเสียงมือถือดังขึ้น ภัทรดนัยล้วงมารับสาย
“เป็นยังไง วิธีที่ชั้นบอกแก..เวิร์คมั้ยวะ”
กริสน์พูดมือถืออยู่ที่ระเบียงห้อง
“ยิ่งกว่าเวิร์คอีก เสี่ยอธิปงี้แทบร้องไห้..แกโคตรเลวเลย เอาปมด้อยของคนมาล้อเล่นแบบ
นี้..ใจร้าย” กริสน์ด่า
“อ้าว ไอ้นี่ ทำเป็นใจอ่อนไปได้ เรากำลังทำงานนะเว้ย..มันอาจจะใจร้ายหน่อย แต่มันก็ทำ
ให้เสี่ยอธิปรักแก..ต่อไป แกจะได้สืบข้อมูลของมันได้ง่ายขึ้น”
“เออ จะให้ทำอะไรต่อไป แกว่ามาเลย”

ภายในคฤหาสน์ของอธิป มีบอดี้การ์ดเฝ้ายามภายนอกอาคารอยู่ตามมุมต่างๆ อย่างแข็งขัน
จตุพลเดินพุ่งเข้าไปหาอธิปที่กำลังเลือกแบบชุดพนักงานร้านขายขนมสวีทโอปอล์
“อากู๋ทำแบบนี้ไม่ได้..ธุรกิจผับในเครือทั้งหมด ผมเป็นคนดูแลอยู่” จตุพลโวยวาย
“ชั้นจะเปลี่ยนผับ..ให้เป็นร้านขนมสวีทโอปอล์” อธิปบอกเสียงเรียบ
“จากผับทั้งหมด มาเป็นร้านขนม กู๋บ้าป่าว..กู๋อยากเปิดร้านขนม กู๋ก็หาที่ใหม่สิ มายุ่งอะไร
กะผับ”
“จตุพล..ชั้นไม่ต้องการเห็นเยาวชนกินเหล้าเมามาย แล้วก็ตบด้วยยาอีกต่อไป แกไม่ชอบ
ขายขนม ก็ไม่ต้องดูแลร้านพวกนั้น แต่มาช่วยชั้นที่โรงงานทำขนมแทนดิ”
“ให้ผมไปอยู่โรงงานกะกู๋..แบบนี้แปลว่า กู๋ตัดมือตัดตีนผม แปลว่ากู๋ไม่ไว้ใจผมแล้วใช่ไหม”
จตุพลว่าไปโน่น
“ทำไมคิดอย่างนั้น.. ชั้นไว้ใจแกมาก จนนึกไม่ออกเลยว่าถ้าแกเกิดหักหลังชั้นขึ้นมา จะ
รู้สึกยังไง”
“แล้วถ้าผมไม่ดูร้านขนมของกู๋แล้วกู๋จะให้ใครมาดูแลร้านขนม”
จังหวะนั้นกริสน์ก็เปิดประตูเข้ามาพอดี เนื้อตัวกริสน์ยังมีผ้าพันแผลจากที่ถูกยิงอยู่
“เสี่ยเรียกผมมามีอะไรให้ผมรับใช้ครับ”
อธิปยิ้มแต้ มองกริสน์
จตุพลอึ้งๆ งงเป็นไก่ตาแตก กรอกตามองอธิปที กริสน์ที

จตุพลเดินหน้าตาเครียดคุยโทรศัพท์เข้ามา มีลูกน้องเดินตามมา2คน
“เพราะแกคนเดียว ไอ้น้อมพงษ์..ถ้าแกใช้พวกมือสไนเปอร์ที่ดีกว่าไอ้ชุดนั้น ยิงหัวไอ้แก่
อธิปให้ตายซะเมื่อเช้า มันก็คงไม่เป็นแบบนี้”
จตุพลเดินเตะกระถางต้นไม้แตกโพล๊ะแล้วร้อง “โอ๊ย...” ออกมาเพราะเจ็บเท้า
“แทนที่ชั้นจะได้ทุกอย่างของไอ้อธิป กลับต้องมาถูกมันตัดท่อน้ำเลี้ยงอีก..โธ่เว้ย”
จตุพลจะเตะเก้าอี้ระบายอารมณ์ แต่อยู่ๆ ลูกน้องคนหนึ่งรีบยกเก้าอี้หลบ ร่างจตุพลเสีย
หลักไถลวืดหงายหลังล้มลงไป
“โอ๊ย”
ลูกน้องคนนั้นลนลานเข้ามาพยุง
“คุณจตุพล..” เข้ามาพยุง “ผมไม่ได้ตั้งใจครับ..ผมแค่กลัวมีอะไรเสียหาย”
“เออ” จตพลลุกขึ้นมาคุยโทร.ต่อ “มันคงคิดจะลดถอนอำนาจของชั้นมากกว่า หนอย ไอ้แก่
ขี้โรค..แก่จะเข้าโลงอยู่แล้ว ยังจะหวงสมบัติอีก..แกจะมีอำนาจกดขี่ชั้นได้อีกไม่นานหรอก..อีกไม่นาน”
จังหวะที่จตุพลกำลังจะเขวี้ยงโทรศัพท์ พอดีกับที่ลูกน้องอีกคนหนึ่งกำลังก้มตัวเก็บของ จึงกระแทกจตุพลเต็มๆ ไปแบบไม่ตั้งใจ ร่างจตุพลถลาไปกระแทกกำแพงอีกเสียงดังอั้ก
“โอย”

พิมมาดา เต๋าและเต้ยกำลังช่วยกันจัดซุ้มดอกไม้งานวันเกิดลูกค้าคนสำคัญอยู่ในโรงแรมแห่งหนึ่ง ที่บริเวณทางเข้างานวันเกิดในสวน มีป้ายเขียนกำกับไว้ว่า
“สวนสนุกสำหรับโอปอล์ผู้น่ารักของป๊า”
จังหวะนั้นพิมมาดาเหลือบดูนาฬิกา
“สามโมงกว่าแล้ว.. เต๋า เต้ยพวกเธอกลับไปที่ร้านก่อน เพราะเดี๋ยวสี่โมง จะมีลูกค้าจะมา
รับดอกไม้ที่ร้าน..เดี๋ยวชั้นทำต่อเองได้ ไปๆ”
ทั้งสองสาวหุ่นยักษ์วางมือแล้วจะออกไป แต่พอหันไปอีกด้าน ต้องผงะ ตาโต
“นั่น..นั่นมัน..สส.สุขสันต์ สุดหล่อนี่นา” เต้ยเนื้อเต้น ร้องออกมา
“ไหนๆ ว้าว จริงด้วย ตัวจริงหล่อยังกับพระเอกหนังเลย..พี่พิมดูสิคะ” เต๋าบอกโบ้ยให้พิมมาดาดู
พิมมาดาหันมองไปตามเต๋าและเต้ย
พิมมาดา เห็น สุขสันต์ นักการเมืองหนุ่มที่คุ้นตาในภาพข่าวทางจอทีวีมาก่อน วันนี้สุขสันต์อยู่ในชุดสูทสีขาวสะอาดเกาหลี รวมถึงพวกบอดี้การ์ดด้วย สุขสันต์กำลังยิ้มแย้มทักทายอยู่กับพนักงานและแขกโรงแรมอย่างกันเองสุดๆ
แต่แล้วอยู่ๆก็มีเด็กผู้ชาย 6-7 ขวบที่วิ่งจะเข้ามาหาแม่ แต่ดันหกล้มเสียก่อน เด็กนั้นร้องไห้จ้า สุขสันต์ผละจากกลุ่มคน เข้าไปหาเด็กคนนั้น พูดสองสามคำ แล้วเด็กคนนั้นก็หยุดร้อง ลุกขึ้นยืนด้วยตัวเองได้ สุขสันต์ลูบหัวแล้วก็ทำท่าปะมือกับเด็กคนนั้น เด็กยิ้มได้ สุขสันต์อุ้มเด็กคนนั้นขึ้นมาขี่คอ แล้วพาไปส่งคืนแม่ ภาพทั้งหมดนี้ดูเป็นแฟมิลี่แมนสุดๆ
เต๋าและเต้ยเคลิ้มสุดๆ
“ทั้งหล่อ รวย แล้วยังรักเด็ก..มีเลือกตั้งอีกร้อยที เต๋าเต้ยก็จะลงคะแนนให้ร้อยที” เต๋าดี๊ด๊า
“อยากชวนมาเป็นพ่อของลูกจัง” เต้ยระรื่นฝันไปไกลกว่า
“เต๋าเต้ยไปได้แล้ว” เสียงพิมมาดาร้องเตือน
เต๋ากับเต้ยออกอาการเสียดายสุด แต่ก็ต้องรีบออกจากโรงแรมไป

พิมมาดาทำงานต่อ กำลังเอื้อมมือสุดแขนเพื่อเอาลวดมัดช่อดอกไม้ให้ติดเข้ากับมุมบนของซุ้มดอกไม้ อยู่ๆ โทรศัพท์มือถือดังขึ้น พิมมาดาจะผละมือไปรับ แต่ไปไม่ได้ เพราะดอกไม้จะหล่นเสียหาย ต้องจับเอาไว้
“ใครโทรมาล่ะเนี่ย”
พิมมาดาพยายามจะดูเบอร์ในหน้าจอ แต่ชะเง้อยังไงก็มองไม่เห็น อยู่ๆ ก็มีคนมาช่วยหยิบมือถือขึ้นมา กดรับให้ แล้วยื่นมาตรงหน้า พิมมาดาหันไปมอง พบว่าเป็นสุขสันต์ พิมมาดาถึงกับอึ้ง
สุขสันต์ยื่นโทรศัพท์มาแนบหูให้พิมมาดา ยิ้มแล้วพยักหน้าให้พิมมาดาคุย
พิมมาดาอึ้งๆ เขินๆ แต่ก็คุยมือถือ
“ฮัลโหล” น้ำเสียงแปลกใจ “จีจ้า.. โทรมาได้ยังไง นี่เวลาเรียนไม่ใช่เหรอ..ยาแก้หอบหมด..
จ้ะ น้ารู้แล้ว ไม่ลืมหรอก เดี๋ยวน้าทำงานตรงนี้เสร็จ น้าจะไปซื้อแน่ๆ..จ้ะ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ก็รีบกลับไปเรียนได้แล้ว” จีจ้าที่ปลายสายวางหูไปแล้ว “เอ่อ จบแล้วค่ะ..ขอบคุณนะคะ” พิมมาดาหันมายิ้มขอบคุณสุขสันต์
“ไม่เป็นไรครับ” ยื่นมือถือคืนให้ “คุยกับ..หลาน..หรือครับ” สุขสันต์ถาม
“ค่ะ หลาน.. เรียนชั้นป.1” พิมมาดาพูดถึงหลานอาการเคลิ้มๆ “ชื่อจีจ้า”
“ชื่อน่ารักจัง..แกต้องเป็นเด็กที่น่ารักเหมือนคุณแน่เลย ผมรักเด็กๆ มาก..เพราะเด็กๆ คือ
อนาคตของชาติ” สุขสันต์มองหน้า แล้วยิ้มให้พิมมาดา แบบถูกชะตา “เอ่อ งั้น ผมขอตัวก่อนนะครับ” ว่าพลางจะก้าวออกไป แล้วหันมาบอก “อ้อ คุณจัดดอกไม้สวยมากครับ”
“ขอบคุณค่ะ...”
สุขสันต์ขอแยกออกไป พิมมาดามองตามไป ด้วยความประทับใจ

สุขสันต์เดินเข้ามา มีฉัตรชัยบอดี้การ์ดเดินตามมาประกบ ถือหนังสือแมกกาซีนเล่มหนึ่งแล้วชูให้สุขสันต์ดูภาพพิมมาดาขึ้นปก
“ชื่อพิมมาดา นักจัดดอกไม้หน้าใหม่ของเมืองไทย นำเข้าดอกไม้เองและยังมีร้านดอกไม้
ของตัวเองด้วย ที่สำคัญยังโสดอยู่ครับ”
“เยี่ยม!! ดูฉลาดและน่ารัก”
ที่แท้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่สุขสันต์เข้ามาตีสนิท ทำความรู้จักกับพิมมาดาในวันนี้!!!

สุขสันต์เดินแยกมาเข้าห้องน้ำ จะผลักประตูเปิดเข้าไป แต่มีเด็กชายวัย 5-6 ขวบ ดูซนๆไฮเปอร์ๆ น่ารักๆ อยู่ด้านในดันประตูเอาไว้ ไม่ให้สุขสันต์เปิดเข้ามา
พอสุขสันต์จะเปลี่ยนมาดึงประตู เด็กก็เปลี่ยนมาผลักประตู
เด็กชายอารมณ์ดียิ้มแย้มแจ่มใส หัวเราะตลอดเวลา ไม่ได้มีเจตนาแกล้งสุขสันต์ เด็กชายดูน่ารักมากจนไม่อยากเชื่อว่าจะทำร้ายได้ลง
สุขสันต์ฉุนจ้องหน้าเด็กจริงจัง แต่เด็กก็ยังเล่นอยู่อย่างนั้น
สุขสันต์เหลียวมองซ้ายมองขวา มองด้านในห้องน้ำ เห็นว่าปลอดคน เลยยิ้มๆ แล้วก็จัดการเปิดประตูแรงๆ กระแทกหน้าเด็ก ปัง!
เด็กคนนนั้นหงายหลัง ลงไปนั่งกับพื้น ร้องไห้ทันที สุขสันต์เดินเข้าไปนห้องน้ำ หยุดมองหน้าเด็กคนนั้น
เด็กน้อยรีบวิ่งออกนอกห้องน้ำทันทีด้วยความตกใจ
ขณะที่สุขสันต์ผุดยิ้มมุมปากออกมาอย่างสะใจ

เวลานั้นกริสน์เดินเข้ามาจากอีกด้านนึงของสวน หน้าตาตื่นตระหนกสุดๆ กับภาพที่เห็นตรงหน้า คือ ภาพเด็กๆ ในงานกว่า 20-30 คน วิ่งเล่น และเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวมากๆ
กริสน์เกิดภาพหลอนสุดๆ ในหัวยามนี้ เพราะไม่ค่อยถูกกับเด็กๆ เห็นด็กคนหนึ่งวิ่งเข้ามาใกล้ๆ จนหน้าเด็กใหญ่ กริสน์เห็นเด็กอีกคนวิ่งมาหัวเราะโชว์ปากที่เต็มไปด้วยเค้กสีแดงๆ เละๆแหวะๆ น่าขยะแขยง
“เด็ก เด็กจริงๆ ด้วย! ที่นี่มัน..นรกชัดๆ โอ๊ย แค่เห็นก็ปวดหัวแล้ว..อย่าเข้ามา ออกไป๊ ..ไม่
ไหวแล้วเว้ย”
กริสน์จะชิ่งหนีออกไปจากห้องนี้ แต่แล้วต้องชะงัก เพราะได้ยินเสียงกลุ่มเด็กชายวัย 8-10 ขวบ จับกลุ่มแซวหญิงอยู่
“ปิ๊ดปิ้ว... น้องสาว ยืมมือถือหน่อยดิ จะโทรไปบอกแม่ว่าเจอเนื้อคู่ ฮะๆๆๆ” เด็กชายว่า
เด็กอีกคนหันมาเห็นกริสน์ยืนมองอยู่ ก็ถามอย่างยียวน “มองไรเพ่ ไม่เคยเห็นแก๊งคนหล่อเหรอ”
กริสน์ระอา เซ็ง ขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงกับเด็ก แต่ยังไม่ทันทำอะไร อยู่ๆ มีเด็ก 6 ขวบ ท่าทางเฮี้ยวๆ 3-4 คน มาวิ่งเล่นต่อสู้กันรอบๆ ตัวกริสน์ แถมยังมีลูกหลงโดนกริสน์อีกหลายที
กริสน์สุดจะทนหยิบมือถือออกมากดโทรออก แล้วเดินหนี แต่เด็กกลุ่มนี้ก็ตามไม่ลดละ ประมาณว่าใช้กริสน์เป็นเกราะกำบังในการเล่นต่อสู้กัน
กริสน์พูดโทรศัพท์กับภัทรดนัยเพื่อยกเลิกภารกิจ
“ไอ้ภัทรดนัยเหรอ ชั้นขอถอนตัว แกได้ยินมั้ย..ว่าไง..” กริสน์หันไปตะคอกเด็ก “เงียบ! ไป
ห่างๆ ไป๊”
พวกเด็กอึ้ง เงียบ นิ่งไป
“ชั้นไม่ทำภารกิจนี้แล้ว..ไม่อย่างนั้นวันนี้มีเด็กถูกฆ่าแน่
พอกริสน์เริ่มหันหลังให้ พวกเด็กๆ ก็เล่นซนอีก และพอกริสน์หันกลับมาจ้องทีนึงพวกเด็กๆก็ทำเป็นนิ่งแข็งที แต่พอกริสน์หันไป พวกเด็กก็ซน สลับไปมา
“ไอ้ภัทรดนัย แกยังอยู่ป่าวว่ะ”
ภัทรดนัยที่แต่งชุดเป็นโบโซ่ที่กำลังบิดลูกโป่งแจกเด็กๆ เดินเข้ามาด้านหลังกริสน์
“ยังอยู่เว้ย”
“เฮ้ย แก...”
“ชู่ว์....ชั้นมาสังเกตการณ์ ช่วยแกอีกแรง..แกจะถอนตัวไม่ได้นะเว้ย...”
“แต่...”
ภัทรดนัยตัดบท ไม่ให้เถียง
“งานที่แล้ว แกก็ทำพลาด งานนี้แกต้องแก้มือ..สายเราบอกว่าเสี่ยอธิปมันเอางานวันเกิด
ลูกสาวมาบังหน้าเพื่อนัดพบคู่ค้าคนสำคัญวันนี้ แกต้องไปสืบมาให้ได้ว่าเสี่ยอธิปมันติดต่อกับใคร”
ในระหว่างที่คุยกันอยู่นั้น พวกเด็กๆ ก็พากันมาปีนป่ายเกาะหลัง เกาะขาทั้งภัทรดนัยและกริสน์อีรุงตุงนังไปหมด
“เอ้า คนนะไม่ใช่แพนด้า กอดอยู่นั่นแหละ ไปเล่นที่อื่น” กริสน์ไล่
พวกเด็กๆ วิ่งหนีกริสน์ไปหลบหลังภัทรดนัย
จังหวะนั้นเดชก็วิ่งเข้ามาหากริสน์ หน้าตาตื่นเต้นดีใจสุดชีวิต
“โอ้ว ไอ้กรดๆๆๆ น้องรัก นายมาได้จังหวะพอดีเลย เสี่ยอธิปตามหานายอยู่ เห็นว่าทีมงาน
ป่วยกะทันหันคนนึง เสี่ยอยากให้นายไปช่วยงานเค้าหน่อย ไปๆๆๆ”
“ช่วยอะไร..พี่เดช”
กริสน์ทำท่าอิดออดไม่อยากไป

อธิปยืนหน้าเวที ตบมือสุดแรง เสียงดนตรีดัง เป็นเพลงไทย แนวแดนซ์กระจาย เด็กๆที่กำลังกินขนม น้ำหวาน โอปอล์ปรบมือ กระโดดๆ อย่างชอบใจมาก
ลูกน้องของอธิป เดช กริสน์ เต้นอยู่บนเวที ทั้งหมดเต้นคัฟเวอร์เพลงนั้น พวกเด็กๆคนอื่นก็ชอบใจ
ภัทรดนัยก็ชอบใจเป่าแตรสำหรับงานปาร์ตี้ เชียร์เต็มที่
กริสน์หน้าตาอมทุกข์สุดขีด อยากจะตายให้รู้แล้วรู้รอด
“ทำกันขนาดนี้ ไม่ฆ่ากันให้ตายไปเลยล่ะ..เกลียดเด็กเว้ย เกลียดเด็ก!”
ระหว่างที่กริสน์เต้นคัฟเวอร์อยู่นั้น กริสน์หันไปเห็นว่ามีบอดี้การ์ดคนนึงเข้ามากระซิบข้างหูอธิป แล้วอธิปก็รีบขอตัวกับโอปอ แล้วเดินตามบอดี้การ์ดนั้นออกไปจากห้องจัดงาน

กริสน์แปลกใจ หันมามองหน้าเดช
“เต้นต่อสิ เต้นต่อ เจ้านายให้เราเอ็นเตอร์เทนคุณหนูนะ กรด ไม่ต้องห่วงเสี่ยหรอกน่า”

พิมมาดากำลังเอาดอกไม้ ใบไม้ มาเรียงรอบๆ เค้กที่ตั้งบนแท่นหน้าซุ้มดอกไม้นั้น
“เรียบร้อยแล้ว ซุ้มดอกไม้สำหรับถ่ายภาพหมู่กับแท่นเค้กตอนตัดเค้ก ทันเวลาแบบเฉียด
ฉิว..” หันมาทางพูดกับพนักงาน “เดี๋ยวพี่ขอตัวกลับก่อนนะคะ ต้องรีบกลับร้าน”
“สวยมากเลยค่ะ” พนักงานเอ่ยชม
“ขอบคุณนะคะ คุณพิม หวังว่าจะได้ร่วมงานกันอีกนะคะ” อีกคนบอกพร้อมรอยยิ้ม
พิมมาดาจะเดินออกไป เป็นจังหวะเดียวกับที่กริสน์วิ่งเข้ามา ต่างคนต่างไม่ทันระวัง เลยชนกันจังๆ พิมมาดาเซเสียหลักจะล้มของในมือกระจาย
กริสน์ผวาไปรับพิมมาดาเอาไว้ได้ทัน สองคนมองหน้ากัน เหมือนจะซึ้งๆ
ทันใดนั้นกริสน์หันมองไปทางบอดี้การ์ดของอธิป ปล่อยพิมมาดาลงพื้น เสียงดับตุ๊บ
“โอ๊ย...อีตาบ้า” พิมมาดาร้องอย่างเจ็บ
กริสน์กำลังมุ่งต่อไปบังเอิญเท้าเหยียบเข้ากับของ ของพิมมาดาที่หล่นอยู่เสียศูนย์ซวนเซถอยๆๆ จนไปกวาดเอาซุ้มดอกไม้และเค้กตรงนั้นล้มคว่ำระเนระนาดหมด
พิมมาดาหันมาเห็นซุ้มเละอ้าปากค้าง “ซุ้มดอกไม้......”
พิมมาดามองสภาพซุ้มดอกไม้ที่ล้มคว่ำไปต่อหน้า แล้วมองไปจนเห็นเท้าของกริสน์ที่กำลังเหยียบช่อดอกไม้ช่อใหญ่ที่เป็นช่อประธานของซุ้มซะจนเละคาบาทา พิมมาดายิ่งช็อก
กริสน์เห็นหลังบอดี้การ์ดของอธิปเดินเข้าไปในประตูโรงแรม จะรีบตามไป
พิมมาดาคว้าคอเสื้อจากด้านหลังเอาไว้
“เดี๋ยวๆๆๆๆ นายทำซุ้มดอกไม้ชั้นพังขนาดนี้ จะไม่ขอโทษสักคำเลยเหรอ”
กริสน์ไม่สนใจ จะรีบตามอธิปไป พิมมาดาดึงแขนเอาไว้
“นี่!! ขอโทษชั้นเดี๋ยวนี้”
“เออๆๆ ขอโทษๆๆ ..ปล่อยๆ” กริสน์ขอโทษไปส่งๆ
พิมมาดายังไม่ยอมปล่อย
“ไม่! นายต้องไปยกซุ้มดอกไม้ขึ้นมาทำให้เป็นเหมือนเดิมด้วย”
“ผมไม่มีเวลาขนาดนั้น ปล่อย”
“แต่นายเป็นคนทำพัง นายก็ต้องรับผิดชอบ”
“คุณจะมาโทษผมคนเดียวได้ไง ก็คุณเล่นล้มถลามาใส่ผมทั้งตัวแบบนั้น” กริสน์โวยกลับ
“นายเป็นลูกน้องเสี่ยอธิปใช่มั้ย..ถ้านายไม่ไปทำซุ้มให้เป็นเหมือนเดิม ชั้นจะบอกเสี่ยอธิป
แน่ ว่านายเป็นคนทำลายซุ้มดอกไม้งานวันเกิดหนูโอปอลูกสาวของเสี่ยพัง”
“กลัวตายล่ะ” กริสน์ล้อทำท่ากลัวเอามากๆ
ครั้นพอกริสน์พูดเสร็จก็วิ่งไปเลย พิมมาดาขัดใจมาก
“เฮ้ย..ไอ้บ้า โว้ย”

สีหน้าพิมมาดาเวลานี้อยู่ในอาการโมโหสุดๆ

อ่านต่อหน้า 3





มือปราบพ่อลูกอ่อน ตอนที่ 1 (ต่อ)

กริสน์ค่อยๆ โผล่หน้าเข้ามาแอบมองไปบริเวณทางเดินหน้าห้องสูทสุดหรู พบว่ามีบอดี้การ์ดยืนยามอยู่เป็นระยะๆ ตลอดทั้งฟลอร์

“เฝ้าแน่นหนาขนาดนี้ นัดใครเอาไว้” กริสน์พึมพำ
ทันใดนั้น พนักงานโรงแรมคนหนึ่งเดินถือช่อดอกไม้ จะเอาเข้าไปประดับในห้องสูท กริสน์รีบเข้าไปขวางเอาไว้ บอกจะจัดการเอง
“หยุดๆๆๆ เอามา ชั้นจัดการเอง ไปๆ”
พนักงานโรงแรมกลับออกไป
“นัดใคร ทำไมต้องสั่งช่อดอกไม้ด้วย” กริสน์เดินออกไปที่หน้าห้องสูท เจอบอดี้การ์ดของ
อธิป “เสี่ยสั่งให้เอาดอกไม้มาส่ง”
“เอามา” บอดี้การ์ดสั่งเสียงเข้ม
“ไม่ต้อง เสี่ยให้ชั้นรับผิดชอบงานนี้อย่างดี...” กริสน์ชี้ที่ตัวเอง “ชั้นลูกเสี่ยนะโว๊ย...”
บอดี้การ์ดรีบเปิดประตูห้องให้ทันที
กริสน์เดินเข้ามาในห้องสูท พยายามสอดส่ายสายตามองหาข้อมูลทุกชนิด เสียงอธิปดังลอดออกมา
“ผมบอกแล้วว่าผมไม่ทำ ผมล้างมือแล้ว”
กริสน์พยายามจะเดินเข้าไปด้านใน เพื่อมองหน้าคู่ค้า แต่ดันมีพาทิชั่น และชั้นวางของบางอย่างบังเอาไว้ไม่ให้กริสน์เห็นหน้า กริสน์มองเห็นแต่มือ ที่วางอย่างสบายๆ บนพนักที่วางแขน
กริสน์จ้องที่มือนั้นเขม็ง เห็นชัดว่าที่นิ้วนางของใครคนนั้นสวมแหวนทองคำขาว เพชรเม็ดเบ้อเริ่มสะดุดตา
กริสน์มองอย่างสังเกต และจดจำ
“วางช่อดอกไม้ไว้ตรงนั้น แล้วออกไปก่อน” อธิปหันมาเห็นร้องบอกออกมา
“เอ่อ ครับ”
กริสน์รับคำจำใจต้องวางช่อดอกไม้ตรงแถวๆนั้น แล้วจำใจต้องออกไป
กริสน์ปิดประตู อย่างเสียดายที่ไม่เห็นหน้าคู่ค้าคนสำคัญ กำลังคิดหาวิธีต่อไป แต่อยู่ๆ มีเสียงหน้าต่างแตกดังเพล้งๆๆๆ ออกมาจากภายในห้อง ไฟทั้งห้องดับพรึ่บ
กริสน์กำลังจะเปิดเข้าไปอีกที แต่ประตูกลับถูกผลักออกมาเสียก่อน กระแทกใส่กริสน์เต็มๆ กริสน์ล้มคว่ำคะมำไป
ทุกคนกรูกันออกมา อธิปถือช่อดอกไม้มาด้วย
“ทางนี้ครับ..ท่าน ทางนี้..ระวังครับ ไม่อยากจะเชื่อ ว่าแค่ที่ผมจะล้างมือ ก็มีมารมาขัดขวางซะแล้ว”
กริสน์ได้ยินน้ำเสียงอธิปที่พูดกับคู่ค้าฟังดูพินอบพิเทาเป็นพิเศษ
ครั้นพอเงยหน้ามาอีกที กริสน์ก็เห็นหลังไวๆ ของอธิปและคู่ค้าวิ่งผ่านออกไปแล้ว มีหลังของพวกบอดี้การ์ดบังสายตากริสน์ไว้
“เกิดอะไรขึ้น” กริสน์ถาม
“มีคนลอบยิงท่าน!” บอดี้การ์ดคนนึงหันมาตอบ
“ลอบยิง! อีกแล้วเหรอ”
กริสน์รีบลุกจะตามไป แต่อยู่ๆ มาวินและพวกก็โดดมาขวางกริสน์ไว้
“จะไปไหน”!!
มาวินกระโดดเข้าพะบู๊กับกริสน์ทันที ระหว่างบู๊ไปก็ถามกันไป
“พวกแกเป็นใคร” กริสน์ถามขึ้นมาก่อน
“ถามโง่ๆ ยูเป็นผู้ร้าย ไอก็ต้องเป็นตำรวจสิเว้ย” มาวินคุยโอ่ออกมา
“ตำรวจเหรอ หน่วยไหน ใครใช้ให้บุกเข้ามา แล้วแกเห็นหน้าไอ้ท่านชุดขาวคนนั้นหรือเปล่า
ว่าเป็นใคร” กริสน์ซัก
“ถามยังกะตำรวจเลยเว้ย” จังหวะนั้นมาวินก็จับกริสน์เอามือไพล่หลังไว้ได้สำเร็จ “ไป ไปนอนคุก!!!”
“แกทำชั้นเสียเรื่องแล้ว”
กริสน์สะบัดหัวหงายเงิบไปกระแทกหน้ามาวินเต็มๆ จังๆ กริสน์หลุดจากการจับกุม แล้วรีบวิ่งตามอธิปไป
“อูย โอย..หน็อย ไป ตามไป”
แต่พอมาวินหันมาอีกที พบว่าคนที่มายืนล้อมตนนั้นล้วนเป็นพวกสมุนของอธิปทั้งหมด
มาวินหน้าซีดเผือด

กริสน์วิ่งหน้าตั้งตามมาจนถึงด้านหลังโรงแรมในมุมลับตาคน พบว่าอธิปกำลังส่งนายทุนคู่ค้าขึ้นขบวนรถไปพอดี
“เสี่ยครับ..” กริสน์ร้องเรียก
“กรด..” อธิปโผกอด “แกเป็นห่วงชั้นใช่มั้ย ขอบใจมากๆ ทางนี้ไม่มีอะไรแล้ว แกรีบไปดูแล
โอปอล์ดีกว่า ไปๆๆ”
“ผมว่าเสี่ยน่าจะหลบไปก่อนด้วยเลยนะครับ เพื่อความปลอดภัย” กริสน์เตือนจากใจ
“ชั้นไว้ใจคนไม่ผิดจริงๆ ขอบใจมากๆ แต่ชั้นไม่เป็นไรจริงๆ ไป”
อธิปเดินนำกลับออกไป
กริสน์จะเข้าไปดูหน้านายทุน แต่ยังไม่ทันแล้ว เห็นแต่ปลายรองเท้า มันวาบ เป็นรองเท้าสีดำมีดีไซน์ก้าวขึ้นรถไป ขบวนรถรีบแล่นออกไป กริสน์มองตามด้วยความเจ็บใจที่พลาดอีกจนได้
ทันใด มือถือกริสน์ดังขึ้น กริสน์เห็นเบอร์ภัทรดนัย กดรับแล้วใส่ทันที
“แกส่งใครมาวะไอ้บ้าเอ๊ย”
ภัทรดนัยซึ่งยังอยู่ในชุด BOSO กำลังเดินพูดบลูทูธเข้ามาในห้องน้ำ โดยมีพวกเด็กไล่ตาม จะเล่นด้วยเป็นโขลง บางคนจะเอาลูกโป่ง ภัทรดนัยพยายามเดินหนี เด็กๆ ตามพันแข้งพันขาตลอด
“เบาๆ ใจเย็นๆ ชั้นก็เพิ่งจะรู้เรื่องนี่แหละ..คือ ภารกิจที่ชั้นกับแกทำเนี่ย มันเป็นภารกิจลับ
สุดยอด..สำนักงานตำรวจเค้าไม่รู้เรื่องภารกิจนี้ด้วย..เค้าเลยส่งหน่วยพิเศษมาให้มาตามสืบเรื่องเสี่ยอธิปโดยเฉพาะน่ะ”
“สืบบ้าอะไร บุกทลายเข้ามาขนาดนั้น ชั้นกำลังจะได้เรื่องอยู่แล้วเชียว ถ้าไอ้ตำรวจขี้เก๊ก
คนนั้นไม่เข้ามาขัด..” กริสน์หยุดฟัง “ตอนนี้เหรอ ไอ้หมอนั่นมันก็โดนลูกน้องเสี่ยอธิปจับตัวไว้แล้วน่ะสิ”
ภัทรดนัยหลบเด็กเข้าไปในห้องส้วม ปิดประตูกันเด็กไม่ให้ตามมากวน
“อะไรนะ มาวินโดนจับตัว? ไม่ได้นะเว้ย ไอ้กริสน์ แกต้องรีบไปช่วยไอ้มาวินออกมาเดี๋ยวนี้”
“ทำไมต้องชั้นด้วยวะ” กริสน์ยังโมโหมาวินไม่หาย
“ถ้าแกไม่อยากถูกแฉว่าเป็นหนอนบ่อนไส้..ไปช่วยมาวินออกมา ไม่งั้นปฏิบัติการนี้พังไม่
เป็นท่าแน่ เข้าใจมั้ย”
ภัทรดนัยวางสาย พบว่าพวกเด็กๆปีนยื่นหน้าโผล่หัวข้ามผนังมา บางคนมุดหน้าลอดใต้ผนังกั้นห้องเข้ามา
“พวกเธอเป็นเด็กหรือเป็นผีวะ”
กริสน์หัวเสียที่ปฏิเสธอะไรไม่ได้เลย
“ไอ้ภัทรดนัย..ฮัลโหลๆ..โธ่เว้ย”

มาวินถูกพวกสมุนของอธิปล้อมไว้
“ไอเป็นตำรวจนะเฟร้ย ฆ่าตำรวจหรือทำร้ายเจ้าหน้าที่มีความผิดร้ายแรงนะ ถ้าแตะต้อง
ไอแม้แต่ปลายเล็บ พวกยูติดคุกยาวแน่”
พูดไม่ทันจบคำ มาวินก็ถูกถีบกระเด็นคว่ำไป จตุพลคือคนถีบ
“แกกล้ามากที่มาลองดีกับพวกชั้น คนกล้าๆ อย่างนี้มักอายุสั้น” จตุพลควักปืนจ่อมาวิน
“อย่าๆๆๆๆ” มาวินร้องเสียงหลง
จตุพลเล็งค้างไว้ กำลังจะเหนี่ยวไก
กริสน์เข้ามาพอดี
“เดี๋ยวก่อน”
จตุพลชะงัก มาวินหลับตาปี๋
“ผมว่า..คุณจตุพลอย่าเปลืองแรงตัวเองเลย ผมจัดการให้ดีกว่า”
“ถ้าแกไม่อยากตายด้วย หลบไป”
“ผมจัดการให้ดีกว่าครับ เรื่องแบบนี้ควรจัดการแบบลับๆ ในที่ๆ ไม่ให้มีใครรู้เห็น มากกว่า
ในโรงแรมกลางเมืองแบบนี้นะครับ” กริสน์หว่านล้อม
“ไอ้กรดพูดถูกนะครับคุณจตุพล จะทำอะไรต้องอย่าให้เหลือหลักฐานนะครับ” เดชเห็นดี
ด้วย
กริสน์เข้าไปดึงตัวมาวินขึ้นมา พอดีกับอธิปตามเข้ามา
“ไหน ตำรวจที่เราจับได้อยู่ไหน”
ทุกคนหันไปสนใจอธิป จังหวะนั้นกริสน์ดึงมือมาวินมาหยิบปืนที่เอว แล้วจับมืออีกข้างมาล็อกคอตัวเอง กริสน์ทำเสมือนว่าตัวเองพลาดท่าถูกมาวินพลิกเกมจับเป็นตัวประกัน ทั้งๆ ที่ กริสน์ทำเองหมด
“เอ๊ย แกปล่อยนะ”
มาวินงง แต่ก็ตั้งสติได้
“ถอยออกไป ไม่งั้นไอยิงแน่”
“คิดว่าแกจะขู่พวกชั้นได้เหรอ ยิงเลย” จตพลตั้งท่าจะยิงทั้งกริสน์ทั้งมาวิน
“จตุพล อย่า!! เอาปืนลง” อธิปสั่ง แต่จตุพลไม่ยอมฟัง “อั๊วบอกให้เอาปืนลง”
“ทำไม..อากู๋ไม่เคยปรานีใครมาก่อน อากู๋เคยแต่สั่งยิงทิ้งให้หมดไม่ใช่เหรอ”
“นั่นมันเมื่อก่อน แต่อั๊วเป็นคนใหม่แล้ว อั๊วจะไม่ฆ่าใครซี้ซั้วอีก แล้วอากรดก็เคยช่วยชีวิต
อั๊วไว้ อีเป็นเหมือนลูกชายอั๊ว ห้ามใครทำอะไรทั้งนั้น..เอาปืนลงๆ”
จตุพลจำต้องเอาปืนลงอย่างขัดใจมากๆ
มาวินพากริสน์ฝ่าออกไป ไปตามทางเดิน แล้วหลบเข้าไปในลิฟท์ พวกสมุนรีบกระจายตัววิ่งตามไปทางบันได

มาวินพากริสน์เข้ามาในลิฟท์
“ไอ้บ้าเอ๊ย แกทำเสียแผนหมดเลย”
“เงียบๆ เดี๋ยวไอยิงไส้ทะลักเลย”
“แกคิดว่าชั้นจะเอาปืนมีกระสุนส่งให้แกเหรอ..ถ้าแกไม่อยากตายอยู่ที่นี่ ก็หุบปากแล้วฟัง
คำสั่งชั้นดีกว่า”
“ยูไม่ต้องมาออกคำสั่ง ไอเป็นตำรวจ เพิ่งจบซีไอเอจากเมกาหมาดๆ ไอรู้ว่าสถานการณ์
แบบนี้ต้องทำยังไง”
กริสน์จับมาวินพลิกแขนกดหน้าแนบกับผนังลิฟท์
“ไหน สถานการณ์แบบนี้แกจะทำยังไง ว่ามาสิ” มาวินดิ้นยังไงก็ไม่หลุด “จะให้ชั้นจับแกส่ง
ให้พวกมันยิง หรือแกจะฟังชั้น เลือกมา”
สุดท้ายมาวินชูสองนิ้วสู้ตาย แต่จริงๆ แปลว่าเอาช้อยส์ที่สอง

มาวินพากริสน์เดินเข้ามาในงาน ที่ทุกอย่างยังคงดำเนินไปตามปกติ ภัทรดนัยอยู่ในงานเห็กริสน์พอดี
“ไอ้กริสน์”
ภัทรดนัยกำลังจะเข้าไปหากริสน์ แต่พอดีเห็นพวกสมุนของอธิปวิ่งตามเข้ามาก่อน ภัทรดนัยเลยชะงักไว้
พวกเด็กๆ ในงานเห็นสมุน ต่างพากันชะงักนิ่งหมด อธิปเดินเข้ามากำชับพวกสมุน
“เฮ้ยๆๆ อย่าทำลายความสุขของลูกสาวชั้น เก็บปืนๆๆๆๆ ยิ้มๆๆๆ ห้ามเครียดๆ”
อธิปหันมาพูดกับเด็กๆ “ไม่มีอะไรนะคะลูกโอปอล์ สนุกต่อเลยๆ”
พวกสมุนคนอื่นๆ ทำตาม ยกเว้นจตุพลที่เดินบุกตามเข้าไป
“พวกมันไม่กล้าทำอะไรรุนแรงต่อหน้าลูกสาวเสี่ยแน่..ไปหลังเวที”
กริสน์สั่ง จังหวะนั้นมีเด็กชายวิ่งถือปืนออกมา ชี้ปืนไปที่หน้ามาวิน แล้วยิงทันที
“ปั้ง!!”
มาวินตกใจร้องลั่น แต่ดันเป็นปืนฉีดน้ำ เปียกเต็มหน้ามาวิน
“โอ๊ย.ไอ้เด็กบ้า”
เด็กแสบคนนั้นรีบวิ่งหนีไป
“พวกมันไม่ทำ..ไอทำเอง...” มาวินโมโหไม่หายทำท่าทางจะตามไปเอาเรื่องเด็ก
“ไปเร็ว...”
กริส์นรีบดึงมาวินไป

ที่ด้านหลังเวที เด็กผู้หญิงคนหนึ่งกำลังแต่งหน้าทาปากตัวเองอยู่ เพื่อเตรียมขึ้นร้องคาราโอเกะ ทีมงานเอาไมโครโฟนมาให้
“น้องเอพริลขา บอกแล้วไงคะว่าไม่ต้องแต่งหน้า..เพลงต่อไปของหนูนะคะ อ้ะ ไมโครโฟน
พี่วางไว้บนโต๊ะตรงนี้นะ” วางไมค์ แล้วไปทันที
น้องเอพริลแอบเข้าไปแต่งหน้าใต้โต๊ะ มาวินลากกริสน์เข้ามาใกล้โต๊ะที่วางไมค์พอดิบพอดี ไมค์เปิดเสียงไว้แล้ว โดยที่ทั้งคู่ไม่รู้ตัว
“ไปที่ประตูลานจอดรถข้างสวน”
“เดี๋ยว ...แล้วถ้าเกิด พวกมันมาดักข้างนอก เราก็แย่น่ะสิ”
“เชื่อชั้นเถอะน่า ไปเร็ว”
เสียงคุยของกริสน์กับมาวินเข้าไมโครโฟน เสียงดังออกลำโพงไปทั่วสนาม พวกอธิปและทุกคนในงาน ชะงักนิ่งฟังรวมถึงภัทรดนัย
“ไม่ไป..ไอจะไปทางเข้าออกพนักงาน”
“ชั้นสั่งให้ไปทางนี้”
“ชัทอัพ!! หยุดออกคำสั่งได้แล้ว ยูก็แค่สมุนโจรกระจอกๆ ไอเป็นตำรวจ จบนอก ไอเหนือ
ชั้นกว่ายูเยอะ”
“ถ้าแกเก่งนัก ทำไมถึงถูกพวกมันจับได้ ห๊า..โธ่เอ๊ย แกตำรวจ ชั้นก็ตำรวจเว้ย!!”
กริสน์โพล่งออกมาอย่างเหลืออด
ภัทรดนัยกุมหัว
“ความแตกละทีนี้”
“หน้าอย่างแกเหรอตำรวจ ไปเป็นยามเถอะไป๊” มาวินปากดีใส่
“ชั้นเป็นตำรวจสายสืบ ชื่อกริสน์ ชั้นปลอมตัวเข้ามาเพื่อสืบเรื่องธุรกิจมืดของเสี่ยอธิป..ถ้า
ชั้นไม่ได้รับคำสั่งให้มาช่วยแก ป่านนี้แกตายไปแล้วไอ้ขี้เต๊ะ..หยุดพูดแล้วทำตามคำสั่งชั้น”
อธิปได้ฟังแบบชัดๆ ถึงกับช็อก อึ้งไปทันที
“ตำรวจ” ไวเท่าความคิด อธิปพุ่งไปที่เวที ดึงเอาไมโครโฟนอีกตัวมาพูดประกาศ “ไอ้กรด..
แกเป็นสายตำรวจเหรอ”
กริสน์ผงะ โผล่ออกมาเห็นว่าทุกคนรู้แล้ว
“เฮ้ย..ทำไม”
“ใครเอาไมค์มาวางไว้ตรงนี้” มาวินหันมาหยิบไมค์มาพูดเทสต์ “โหลเทสต์ๆๆ กระหึ่มเลย”
“อากู๋ตาสว่างแล้วสิ มันเข้ามาตีสนิทให้อากู๋ไว้ใจ เพราะมันต้องการหาหลักฐานเพื่อจับ
อากู๋เข้าคุก” จตุพลได้ที
อธิปยังพูดไมค์อย่างตัดพ้อรำพัน
“ไอ้กรด..แกทำยังงี้กะชั้นได้ไง เป็นสายตำรวจ แล้วยังใช้ชื่อปลอมมาหลอกชั้น แกชื่อกริสน์
ไม่ได้ชื่อกรด..นี่ แกหลอกชั้นมาตลอดเลย..แกทำชั้นเจ็บ..ชั้นเฮิร์ทมาก”
“ชั้นอุตส่าห์รักแก คิดว่าแกเป็นน้องรัก..เป็นเพื่อนตายคนเดียวในวงการนักเลง แกหลอก
ชั้นได้ลงคอ..ไอ้เพื่อนทรยศ” เดชพูดผสมโรงผ่านไมค์
มาวินพูดผ่านไมค์ “แล้วทีนี้ ตกลงว่ายูจะหนีไปทางไหน”
“ทางใครทางมันแล้วกันเว้ย”
ภัทรดนัยโผล่มา“ชั้นด้วย” แล้วรีบวิ่งออกไป
ว่าแล้วกริสน์ก็ผละจากมาวิน แล้ววิ่งหนีไปทันที มาวินงง รีบหนีด้วยอีกคน
“ไปจับตัวมันมา ไป” จตุพลสั่งลั่น
บรรดาสมุนและเด็กๆ วิ่งกันพล่านไปทั่ว เด็กๆ ร้องวี๊ดว้ายกระตู้วู๊กันลั่นสวน

กริสน์วิ่งหนีทะลุเข้ามาในครัว พ่อครัวงงๆ ชนพนักงานของกระจาย จตุพลตามมาพร้อมพวก เห็นมีดจตุพลหยิบมีดพ่อครัวมาปาใส่กริสน์
กริสน์เอาถาดเสิร์ฟแก้วมารับ มีดทะลุถาดเกือบโดนหน้ากริสน์
“ใจเย็นๆก่อนสิ” กริสน์บอก
“นั่นคนร้าย ใครจับได้ชั้นให้รถคันนึง”
เท่านั้นแหละ ทั้งสมุน รวมทั้งกุ๊กรีบวิ่งกรูเข้าไปจับกริสน์ทันที
กริสน์ตกใจ วิ่งหนีสุดพลัง ก่อนจากฝากคิวบู๊อัดกับพนักงงานเสิร์ฟคนสองคนจบอย่างรวดเร็วแล้ววิ่งหนีต่อ

ที่ลานจอดรถด้านหลังโรงแรม พวกคนงานขนของลงเสร็จแล้ว กำลังจะออกรถ มองเห็นกริสน์วิ่งหนีมาแต่ไกล วิ่งอย่างสุดฝีเท้า ตะโกนเรียก
“รอด้วยๆๆๆ”
แต่พวกคนงานออกรถไป ไม่ได้ยิน
“โธ่เว้ย..” กริสน์เอามือถือมากด “รับสิเว้ย ไอ้ภัทรดนัย ทีแบบนี้ล่ะไม่รับสาย ทำบ้าอะไร
อยู่วะ”
อยู่ๆ ก็มีมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งแล่นมา ปรากฎว่าเป็นมาวิน
“เฮ้ย พวกมันแห่กันมาแล้วนะเว้ย”
“เออ ขอบใจ”
กริสน์จะโดดขึ้นซ้อน แต่มาวินเร่งเครื่องหนี
“อ้อ พวกมันมากันสิบกว่าคนเลยนะเว้ย ถือปืนครบคนด้วยเว้ย” มาวินร้องออกมา
“เออ งั้นก็หยุดพูด แล้วรีบหนีสิเว้ย”
กริสน์จะขึ้นอีก มาวินเร่งเครื่องหนีอีก
“ใช่ ต้องรีบหนี งั้นไอไปล่ะนะ บ๊ายบาย”
มาวินขี่รถออกไปคนเดียว
“เฮ้ย กลับมาก่อน ตำรวจเหมือนกัน ทำกันแบบนี้ได้ไงวะ อย่าให้เจอหน้าที่ไหนนะ ชั้นอัด
แกแน่”
“มันอยู่นั่น” สมุนวิ่งกรูเข้ามา
เดชนำทีมพวกสมุน และบรรดาพนักงานโรงแรมที่นึกว่ากริสน์เป็นคนร้ายแห่กันมา ยิงปืน
ใส่ไม่ยั้งมือ
“ปังๆๆๆ”
กริสน์รีบโดดหลบ มุดตัดออกไปอีกด้านของโรงแรม

พิมมาดารีบเดินพูดมือถือมาที่รถ เปิดท้ายกระบะ แล้วโยนพวกอุปกรณ์ข้าวของที่หอบมาด้วยใส่ท้ายรถ
“พิมเพิ่งจะซ่อมซุ้มดอกไม้เสร็จเนี่ย กำลังจะกลับ..เต๋ารับหน้าลูกค้าก่อนเลยนะ”
พิมมาดาวางสาย รีบขึ้นรถ สตาร์ทเครื่อง แต่อยู่ๆ กริสน์ที่วิ่งหนีพวกสมุนมาแต่ไกล ก็โดดขึ้นมานั่งข้างคนขับทันที
“ออกรถๆๆๆๆๆๆ”
“นี่ นายขึ้นมาทำไม ลงไปเดี๋ยวนี้” พิมมาดาไม่รู้เรื่องร้องโวยวายออกมา
“บอกให้ออกรถไง เร็ว!!!”
“นาย..นายที่ชนซุ้มดอกไม้ชั้นพัง แล้วนี่นายยังจะมาอะไรกับชั้นอีก ลงไปจากรถชั้น
เดี๋ยวนี้”
ทันใด เดชและพวกสมุนอธิปก็วิ่งเข้ามาถือปืนยิง ปังๆๆๆ ไม่ยั้ง
“ว้ายๆๆๆ”
“ถ้าไม่อยากโดนยิงตาย ออกรถเดี๋ยวนี้” กริสน์เสียงเข้ม
สมุนยิงปืนอีก ปัง
พิมมาดากรี๊ด ตกใจเสียงปืน เผลอตัวกระทืบคันเร่งสุดเท้า แต่ปรากฎเข้าเกียร์ผิด รถกระชากถอยหลังพรวด จนเกือบชนพวกสมุนอธิป บรรดาลูกสมุนอธิปกระโดดหนีกันจ้าละหวั่น
“เข้าเกียร์เดินหน้าซิ...เร็ว”
“เกียร์อะไร อะไร....ว๊าย....” พิมมาดาตกใจ
กริสน์เข้าเกียร์ ให้แทน
“เหยียบ”
พิมมาดาเหยียบคันเร่งมิด รถกระชากออกเอี๊ยดไป จตุพลวิ่งตามมา
“ดูทะเบียนรถมันไว้”
แต่ทว่าป้ายทะเบียนรถถูกป้าย congratulations บังเอาไว้
“ปัทโธ่เว้ย”
จตุพลหัวเสีย แต่แล้วก็เหลือบไปเห็นที่พื้นว่ามีรอยเลือดสดๆ หยดเปื้อนอยู่ จตุพลตาวาว รู้ทันทีว่ายิงถูกใครสักคนแน่

พิมมาดาขับรถเลี้ยวตัดมาอีกทาง กริสน์มองไปด้านหลัง ไม่มีพวกสมุนตามมาแล้ว ค่อยโล่
งอกหน่อย แต่พิมมาดายังคงซิ่งอยู่ด้วยความตกใจ
กริสน์นั่งจับเบาะแน่นเพราะรถเหวี่ยงสุดๆ
“ขับดีๆ..ตั้งสติหน่อยสิคุณ เบาๆ ได้แล้วไม่มีใครตามมาแล้ว”
“มีคนไล่ยิงเป็นพรวนขนาดนี้ ใครจะไปตั้งสติได้ ห๊า! เพราะนายคนเดียว พวกนั้นจะฆ่า
นาย ไม่เกี่ยวกับชั้น ลงไปจากรถชั้น ลงไปๆๆๆๆ” พิมมาดาหันมาไล่ตี ผลักไสไล่ส่งกริสน์ให้ลงจากรถ
“เฮ้ย มองทางด้วย” กริสน์ร้องลั่น
พิมมาดาหันมาอีกที เกือบเจอรถสวน กรีดร้องกรี๊ดๆ ลั่นพร้อมกับกดแตรลั่นไม่ยอมหยุด
“เงียบๆๆ” เมื่อเห็นว่าพิมมาดาไม่ยอมหยุดร้องแน่ กริสน์เลยเอามือไปปิดปาก “เงียบ..มอง
ทางดีๆ แล้วหายใจเข้าลึกๆ ผมจะอ้วกแล้ว”
พิมมาดาขับต่อไปแบบสติแตกสุดๆ ทั้งกรี๊ดทั้งวี้ดว้ายตลอดเวลา
“นายจะเอาเงินหรือเอามือถือก็เอาไปเลย แล้วก็ลงไปจากรถชั้นซะที”
“ผมไม่เอาอะไรทั้งนั้นแหละ คุณจอดให้ผมข้างหน้าแล้วกัน”
“ชั้นไม่จอด”
“อ้าว ถ้าไม่จอดแล้วผมจะลงได้ไง”
“ถ้าชั้นจอด ชั้นจะแน่ใจได้ไงว่านายจะไม่ทำร้ายชั้น ชั้นจะชะลอให้ นายเปิดประตูแล้วโดด
ออกไปเลย”
“จะบ้าเหรอ”
“ชั้นไม่บ้า โดดออกไปเดี๋ยวนี้ ไป”
“เออๆๆๆ ก็ได้ โคตรโหดเลยคนอะไร..ชะลอสิ ช้าๆหน่อย ช้าอีกๆๆๆ”

รถกระบะของพิมมาดาแล่นส่ายฉวัดเฉวียนมาตามทาง จนกระทั่งมาจอดเอี๊ยดข้างทางด้านหนึ่ง ในรถเวลานั้น พิมมาดานั่งจับพวงมาลัยตัวนิ่ง แข็งทื่อ กริสน์นั่งหลังตรง ผวาตลอดทาง
“เรียนขับรถที่ไหนมาวะเนี่ย”
พิมมาดาได้สติ รีบลงจากรถ หยิบมือถือมากด อย่างระแวดระวังตัว
กริสน์ตามลงจากรถถามอย่างโรยแรง “คุณจะทำอะไร”
“อย่าเข้ามานะ นาย..นายเป็นโจรใช่มั้ย ถึงถูกเค้าตามล่าขนาดนี้ ชั้นจะโทรเรียกตำรวจ”
“ผมไม่ใช่โจร”
“ไม่ต้องโกหก..เดี๋ยวตำรวจมา ก็รู้เรื่องเองนั่นแหละ”
อยู่ๆ กริสน์ล้มฟุบลงไปกองกับพื้น
“เฮ้ย นาย..เป็นอะไร ล้มไปทำไม”
พิมมาดาใช้เท้าพลิกตัวกริสน์ขึ้นมาดู พบว่ากริสน์ถูกยิงเข้าที่ต้นแขน เลือดไหลเปื้อนเสื้อผ้า พิมมาดาตกใจ ผวาถอยกรูดออกมา
“นาย..นายถูกยิง” พิมมาดาลนลาน ทำอะไรไม่ถูก
ทันใดนั้น มือถือของพิมมาดาก็ดังขึ้น พิมมาดารีบกดรับสาย
“ฮัลโหล แจ๊ส มีอะไรด่วนหรือเปล่าน้าไม่ว่าง” พิมมาดากำลังจะวางสาย แต่ต้องชะงัก “อะไรนะ! อาการหอบของจีจ้ากำเริบ! ได้ๆๆ น้าจะรีบกลับไปเดี๋ยวนี้”
พิมมาดาวิ่งจะไปขึ้นรถ พอหันไปก็มองเห็นกริสน์นอนอยู่ข้างถนน มีเลือดไหลโทรมกาย พิมมาดาจะก้าวขึ้นรถ แต่แล้วก็ชะงัก สีหน้าลังเล

ไม่นานหลังจากนั้น รถกระบะจอดเอี๊ยด กริสน์ยังนอนอยู่ท้ายกระบะ พิมมาดารีบกระโดดลงจากรถทันที
“จีจ้า!!” รีบตะโกนเรียกเด็กๆ “แจ๊ส โจ๊ก น้องอยู่ไหน”
โจ๊กเข็นจีจ้าที่นอนดิ้นอยู่ในกะละมังใบใหญ่ๆ ออกมา แจ๊สเดินตามมาห่างๆ
“จีจ้า”
พิมมาดาถลาไปหาจีจ้า
“อาการของจีจ้ากำเริบเป็นเวลา สิบห้านาที ยี่สิบเจ็ดวินาทีแล้ว..น้าพิมหายไปไหนมา รีบ
พ่นยาให้จีจ้าเร็วๆ”
“ยา..น้าลืม..” พิมมาดารับสารภาพ
“น้าพิมลืมซื้อยาเหรอ..ทำไมน้าพิมสะเพร่ายังงี้ แล้วยังงี้จีจ้าจะ...จะรอดมั้ย” แจ๊สระล่ำระลัก
“ทำไมน้าพิมทำยังงี้ๆๆๆๆๆ” โจ๊กโวยใส่
โจ๊กกับแจ๊สกำลังโวยวายใส่พิมมาดา มีป๊อบคอร์นผสมโรงเห่าอีกด้วย
ทันใดนั้น จีจ้าที่กำลังดิ้นๆ หอบๆ อยู่ ก็แน่นิ่ง หมดสติ น็อกไป
“จีจ้า..จีจ้า ไม่นะ ไม่ๆๆๆๆ” พิมมาดาร้องลั่น
ป๊อบคอร์นกระโดดเข้ามาในรถด้านคนขับ เห่าเรียกกริสน์ที่นอนสลบอยู่เบาะคนนั่งข้าง
พิมมาดาสติแตก ทำอะไรไม่ถูก
อยู่ๆ กริสน์ก็เดินแหวกเข้ามา แบบโซเซๆ ตาแดงก่ำ กัดฟันกรอดอุ้มร่างจีจ้าขึ้น ทุกคนเงียบนิ่ง และอึ้ง
“นาย..นายจะทำอะไร” พิมมาดาตกใจ
“ไปเปิดประตูรถ...เร็ว” กริสน์ร้องสั่ง
ป๊อบคอร์นเห่าอีก พิมมาดาได้สติ แต่ยังรู้สึกตกใจ รีบไปเปิดรถ

กริสน์แบกจีจ้าไป ทั้งๆ ที่มีเลือดหยดติ๋งๆ ออกมาจากบาดแผลตัวเอง โจ๊กกับแจ๊สยืนมองกริสน์แบบทึ่งๆ ทั้งคู่ตะลึงอ้าปากค้าง

อ่านต่อหน้า 4





มือปราบพ่อลูกอ่อน ตอนที่ 1 (ต่อ)

กริสน์อยู่ในสภาพบาดเจ็บแต่ยังกัดฟันอุ้มจีจ้า เดินฝ่าเข้ามาในโรงพยาบาล โดยมีพิมมาดา แจ๊ส โจ๊กตามหลังมา พวกบุรุษพยาบาลเห็นเข้ารีบเข็นเตียงเข้ามารับ

“เตียงไม่ต้อง จะให้พาเข้าห้องไหน บอกมา” กริสน์บอกและถามออกมาทั้งที่ใกล้จะหมดแรง
“วางจีจ้าลงเดี๋ยวนี้” พิมมาดาเข้ามายื้อให้วางจีจ้าบนเตียง แล้วผลักกริสน์ออก “นายไม่ต้องมายุ่งกับ
เด็กบ้านนี้นะ ออกไป!”
“โอ๊ย!” กริสน์ร้องเพราะเจ็บแผล “นี่ผมช่วยคุณนะ ขอบคุณสักคำก็ไม่มี”
หมอเดินมาหันไปสั่งพยาบาล “เช็คความดัน เตรียมฉีด Terbutaline ไปๆๆ” หมอสั่งยาฉีดแก้อาการ
หอบเมื่อเห็นอาการจีจ้า
พิมมาดาไม่สนใจต่อปากต่อคำกับกริสน์ รีบหันไปทางห้องฉุกเฉินที่พวกพยาบาลพาจีจ้าเข้าไป
“จีจ้า อย่าเป็นอะไรนะๆๆ” พิมมาดาระล่ำระลัก
“เจ้าของไข้กรอกเอกสารทางนี้ก่อนค่ะ” พยาบาลบอก
พิมมาดาละล้าละลังห่วงจีจ้า รับเอกสารมากรอกมือสั่น ชะเง้อมองเข้าไปในห้องฉุกเฉิน เห็น หมอ พยาบาลวิ่งวุ่นยิ่งใจเสีย โจ๊ก แจ๊สเดินเข้ามา เปิดฉากทะเลาะกันอีก
“โชคดี ที่จีจ้าตายก่อน จะได้ไปหาพ่อกะแม่ก่อนใคร” แจ๊สเริ่มบ่น
“เฮ้ย! ยัยโรคจิต ..ปากชิวาว่า..แค่นี้เรายังโชคร้ายไม่พออีกรึไง” โจ๊กโวยใส่
“นายขึ้นเสียงกะชั้นเหรอๆๆ” แจ๊สจับตัวโจ๊กเขย่าๆ
โจ๊กไม่ยอมหันมาต่อสู้ “เอาสิๆๆ ให้มันรู้กันไป ว่าบ้านนี้ ใครคุม”
พิมมาดาปรี้ดวี้ดออกมา “โจ๊ก แจ๊ส อย่าเพิ่งทะเลาะกันตอนนี้ได้มั้ย”
“ผู้ใหญ่ไม่ต้องยุ่ง ผู้ใหญ่ไม่ต้องมาสนใจพวกเรา” โจ๊กว่า
“ผู้ใหญ่ไม่เข้าใจ ผู้ใหญ่ไม่เคยรู้อะไรทั้งนั้น” แจ๊สเผลอเข้ามาผลักพิมมาดา
พิมมาดาไม่ทันตั้งตัว เอกสารหล่นกระจาย พิมมาดาเครียดจนสุดจะทนไหว จู่ๆ ก็ปล่อยโฮลั่นออกมา
“ฮือ...ฮือๆๆ”
กริสน์และทุกคนในบริเวณนั้นงงๆ มองพิมมาดาอย่างตกใจ
โจ๊กอึ้งหันไปโวยใส่แจ๊ส “เพราะเธอ เธอคนเดียวเลย..ยัยแจ๊ส”
“เพราะนายต่างหาก” แจ๊สเถียง
“เพราะแจ๊ส เธอมันเป็นเด็กไม่ดี” โจ๊กว่า
“นายอ่ะแหละ นายโจ๊ก เด็กไม่ดีๆๆๆ”
โจ๊กกับแจ๊สใช้มืออุดหูตัวเอง แต่แผดเสียงใส่กันลั่น

พิมมาดาทรุดตัวลง นั่งสะอึกสะอื้นอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน กริสน์เอาเสื้อมาปิดแผลตัวเองไว้ เข้ามายื่นทิชชู่ให้ แล้วทิ้งตัวนั่งพัก พยายามข่มความเจ็บปวดของบาดแผลไว้
กริสน์ไม่รู้จะปลอบยังไงดี
“นี่คุณ หยุดร้องเถอะ” กริสน์หันมองซ้าย ขวา “เกรงใจคนอื่นบ้าง”
พิมมาดาไม่สนใจรับทิชชู่มาสั่งน้ำมูกเสียงดังแล้วร้องต่อ “ฮือๆๆ”
“คุณ..นี่..มีอาชีพมอญร้องไห้ รับจ้างร้องหน้าศพรึเปล่าเนี่ย..ช่วยหยุดเถอะ คนอื่นเค้าปวดหัวเพราะ
คุณหมดแล้ว..ลูกๆคุณไม่เป็นอะไรหรอกน่า”
พิมมาดาหันมาแว้ดใส่อย่างโมโหเปิดฉากทะเลาะกันขึ้นที่หน้าห้องฉุกเฉินนั่นแหละ
“ทั้งหมดเป็นเพราะนายคนเดียว”
“เกี่ยวอะไรกับผม”
“ถ้าคุณไม่มาขึ้นรถชั้น แล้วชั้นต้องขับหนีไอ้พวกนั้น ชั้นก็คงไปซื้อยาแล้วก็เอากลับมาให้จีจ้าได้ทัน
ไม่ต้องเกิดเรื่องยังงี้..ถ้าจีจ้าเป็นอะไรไปนะ นายต้องชดใช้”
“อ้าว คุณ..ก็คุณมาจอดรถขวางเส้นทางผม ผมก็ต้องขึ้นรถคุณ มันก็ถูกต้องแล้ว”
“นี่ชั้นผิดเหรอ ตกลงเป็นความผิดของชั้นเหรอ โปรดสัตว์ได้บาปจริงๆ ไอ้โจรห้าร้อย”
“ผมสิโปรดสัตว์ได้บาป ถ้าไม่มีผม ใครจะพาลูกคุณมาโรงบาล..อย่าบอกนะว่าคุณ..เพราะที่ผมเห็น
คุณเอาแต่สติแตกจนทำอะไรไม่ถูก..ลูกดิ้นจะขาดใจตายอยู่ตรงหน้าแล้ว ยังกลัวตัวสั่นอยู่ได้ ไม่รู้แม่ประสาอะไร”
“ชั้นไม่ใช่แม่ จีจ้าไม่ใช่ลูกชั้น!”
“หึหึหึ แหม พวกเด็กสาวๆใจแตกมีลูกก่อนวัยอันควร ผมเห็นมาเยอะ...อย่างคุณ น่าจะมีลูกคนแรก
ตั้งแต่สิบหกสิบเจ็ดแล้วสินะ ดีนะที่ไม่ไปทำแท้ง” เหมือนจะชม แต่กริสน์แอบด่า
“นี่..ไอ้โจรปากเสีย คอยดู ชั้นจะแจ้งตำรวจจับนาย..หลบไป”
พิมมาดาผลักกริสน์ แต่ไปโดนแผลที่ถูกยิงเข้าพอดี
“โอ๊ย”
“นาย..นายเลือดออก ฮึ สมน้ำหน้า” พิมมาดาเห็นพยาบาลผ่านมาพอดี “คุณพยาบาลคะ นายคนนี้
ไม่รู้ไปถูกใครที่ไหนยิงมา จับไปทำแผลและแจ้งให้ตำรวจทราบด้วยเลยค่ะ”
“ไม่ต้อง..ไม่เป็นไร”
กริสน์จะปลีกตัวหลบ แต่บุรุษพยาบาลอีกสองคนเข้ามาด้านหลัง ล็อกตัวไว้ ลากไป พิมมาดามองตามอย่างสะใจ
พิมมาดาเพิ่งนึกได้ว่าแจ๊สกับโจ๊กหายตัวไป
“แจ๊ส โจ๊ก..ไปไหนแล้ว” พิมมาดาวิตกขึ้นอีกว่าจะต้องเกิดเรื่องแน่ๆ “แจ๊ส โจ๊ก”

ที่แผนกทันตกรรมของโรงพยาบาล ทันตแพทย์กำลังทำการรักษาคนไข้ที่นอนอยู่บนเก้าอี้ตรวจ โดยมีผ้าปิดหน้าปิดตา โผล่แต่ปาก สักพัก โทรศัพท์ของหมอดังถี่ๆๆๆ หมอหยุดมือพัก
“สักครู่นะคะคุณ”
ทันตแพทย์ลุกออกไปรับสาย อยู่ๆ โจ๊กวิ่งหนีเข้ามาบริเวณนั้น ตั้งใจมาซ่อนแจ๊ส แล้วพอเห็นเข้าไปหยิบเครื่องไม้เครื่องมือเล่น เอาผ้าคาดปากมาใส่ ทำตัวเหมือนเป็นหมอ
คนไข้ได้ยินเสียงกุกกัก นึกว่าหมอกลับมาแล้ว
“คุณหมอครับ น้ำลายจะไหลครับ ดูดออกให้ที”
“ดูดออกเหรอ” โจ๊กปีนไปมองดูในปาก “อี๋...”
พอดีกับที่แจ๊สวิ่งตามมา โจ๊กหันไปเห็นรีบทำสัญญาณจุ๊ปากให้เงียบ แจ๊สเห็นรถใส่อุปกรณ์แพทย์ เลยย่องไป ใช้คีมคีบสำลีขึ้นมาจากกระปุก แล้วยัดสำลีนั้นเข้าไปในปากคนไข้ ซับๆๆๆ
“คุณหมอ..ทำไมสำลีมีน้ำด้วย น้ำอะไร” คนไข้ถามเสียงอู้อี้ๆ
“พี่แจ๊ส” โจ๊กตกใจ รีบหยิบสำลีจากกระปุกนั้นออกมา บีบให้ดู มีแอลกอฮอล์หยดติ๋งๆ “สำลีชุบแอลกอฮอล์”
“แผลในปากจะได้ไม่ติดเชื้อไง..” แจ๊สพูดแล้วหัวเราะแบบพวกโรคจิต “หุๆๆๆ”
“พี่แจ๊สมั่วแล้ว เดี๋ยวเค้าก็ตายพอดีหรอก” โจ๊กบ่นว่า
พร้อมกันนั้นโจ๊กชะโงกหน้าเข้าไปดูคนไข้ แต่โจ๊กดันเผลอไปกดถูกปุ่มที่เก้าอี้ ทำให้เก้าอี้พับหลังขึ้นมา โจ๊กกับแจ๊สหน้าตาตื่น ตกใจ พยายามกดปุ่มให้มันกลับคืนที่ กดปุ่มนั้นปุ่มนี้ จนเก้าอี้เคลื่อนขึ้น เคลื่อนลง พับขึ้น แล้วถึงขั้นหมุนคว้างไปมาไม่หยุด
โจ๊กกับแจ๊สเริ่มสนุก แอบหัวเราะคิกๆ
“คุณหมอครับ ผมมึน” คนไข้บอก
“มึนๆ ดีแล้วค่ะ เวลาถอนฟัน จะได้ไม่เจ็บไงคะ” แจ๊สบอกเผลอขำคิกคักออกมา
โจ๊กกับแจ๊สสนุกมากๆ กับการสวมบทหมอฟันกำมะลอ
อยู่ๆ พิมมาดาวิ่งพรวดเข้ามา
“แจ๊ส โจ๊ก!!” เห็นสภาพที่เกิดขึ้น พิมมาดา ช็อก! ตกใจ ช็อก “ตายแล้ว นี่พวกเธอ...ขอโทษด้วยนะคะ
คุณ ขอโทษค่ะๆ” รีบคว้าตัวเด็กทั้งคู่ “เลิกก่อความวุ่นวายได้แล้ว ทั้งคู่เลย”
พิมมาดาบังคับลากทั้งโจ๊กและแจ๊สออกไปในสภาพถูลู่ถูกกัง
ในขณะที่คนไข้ยังหมุนคว้างอยู่บนเก้าอี้
“คุณหมอ ช่วยผม..ด้วย...”
ทันตแพทย์ตัวจริงกลับเข้ามา เห็นสภาพคนไข้แล้วตกใจ ร้องลั่น
“ว้าย นี่มันอะไรกัน!!..พยาบาลๆ”

เวลาเดียวกันนั้น อธิปกำลังเดินงุ่นง่านอยู่ในห้องทำงานตัวเอง เดินไปเปิดลิ้นชัก เผยให้เห็นว่าข้างในนั้นมีปืนอยู่ อธิปค่อยๆ หยิบปืนนั้นออกมา
อธิปผุดสีหน้าเหี้ยมออกมา พูดอย่างคั่งแค้น
“ชั้นล้างมือ เป็นคนดีแล้ว ทำไมพระเจ้าต้องทำให้ชั้นเฮิร์ทเพราะรักคนผิด ไว้ใจคนผิดด้วย”
ทันใดนั้น ก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น อธิปกำลังเฮิร์ทอยู่ตกใจปืนแทบหลุดมือ
“เฮ้ยๆๆๆ ปัทโธ่ ใครโทรมาว่ะ..ไอ้จตุพล” กดรับสาย ถามเสียงขุ่น “ว่าไง เจอตัวไอ้คนทรยศแล้วใช่มั้ย”
จตุพลยืนพูดมือถืออยู่ตรงรถกระบะของพิมมาดาที่โรงพยาบาล
“ยังไม่เจอครับแต่ต่อให้มันเป็นมนุษย์ล่องหนก็ไม่มีทางรอด อากู๋เตรียมบทลงโทษไว้ได้เลย” จตุพล
ตอบ
“ยังไม่เจอแล้วจะโทรมาทำไมวะ..ให้ได้ตัวมันก่อน แล้วค่อยมาปากดี” อธิปวางสายอย่างอารมณ์เสีย
“อากู๋..อากู๋ โธ่เว้ย ทำกับหลานยังงี้ได้ไงวะ” จตุพลอารมณ์เสียหันไปตวาดสมุน “ไป๊ เข้าไปเอาตัวมันมาสิเว้ย ไป๊”
อธิปกำลังหงุดหงิด เดชถือแผ่นรูปภาพชาร์ทที่ทำกราฟฟิคอย่างดีเข้ามา
“เสี่ยครับ..ผมคิดวิธีทรมานอย่างเหี้ยมโหดที่สุดสำหรับไอ้กริสน์คนทรยศให้แล้วครับ..”
เดชชูชาร์ทหราเข้ามาตรงหน้าอธิป ในชาร์ทนั้น มีรูปโถน้ำผึ้ง ขดเชือก มดคันไฟ และรูปมะนาว
“อะไรของแก..น้ำผึ้ง..ผสมมะนาว” อธิปยิ่งกว่างง
“ไม่ใช่ครับ แต่ถ้าเราจับไอ้กรดได้ ขั้นแรก ผมจะจับมันแก้ผ้า มัดทาด้วยน้ำผึ้ง จากนั้นก็โยนรังมดคัน
ไฟใส่ เมื่อมดคันไฟได้กลิ่นน้ำผึ้ง ก็จะรุมกัดกินตัวมันจนพรุน เจ็บปวด ทรมานที่สุด และเมื่อตัวมันเป็นแผลไปทั่ว ผมก็จะค่อยๆ บีบมะนาว..ซึ่งน้ำมะนาว.มีคุณสมบัติเป็นกรด เรียกว่า AHA” เดชสาธยายวิธีที่คิดมาอย่างดี
“ลื้อเก็บไว้ใช้กะเมียลื้อเองเถอะ..อั๊วมีวิธีของอั๊ว”
อธิปหยิบปืนขึ้นมา เล็งปืนออกไปนอกหน้าต่าง
อยู่ๆ โอปอล์เปิดประตูพรวดเข้ามา
“ป่าป๊า”
อธิปตกใจ “เฮ้ยๆ” ทำปืนหล่นออกไปนอกหน้าต่าง เสียงปืนลั่น เปรี้ยง ทุกคนยืนนิ่ง “หนูโอปอล์”
“เสียงอะไรอ่ะคะป่าป๊า” โอปอล์ถาม
“เสียง..เสียงประทัดมั้งคะ สงสัยพวกลูกน้องป่าป๊ามันเล่นกันน่ะ”
อธิปขยับตัวไปที่หน้าต่าง กำลังจะแกล้งแอคติ้งไล่คน แต่ต้องผงะ เพราะเห็นสมุนคนนึงนอนดิ้นพล่านๆ ร้องโอดโอยเพราะโดนลูกปืนลั่นใส่ที่ขา พวกสมุนคนอื่นกรูกันมาพยาบาลดูแล
“เฮ้ย..ไปๆๆ ไปเล่นกันที่อื่น ไป”
พวกสมุนรีบลากกันออกไป
“ป่าป๊าจัดการให้แล้ว อย่าไปสนใจเลยนะคะ มีอะไรคะ นางฟ้าตัวน้อยของป๊า นางฟ้าของป่าป๊าไปนอนดีกว่านะคะ มืดแล้ว..เดี๋ยวป๊าร้องเพลงกล่อมให้ฟังนะๆๆ”
อธิปอุ้มโอปอล์ แล้วเดินร้องเพลงหน่อมแน้มแนวเกาหลีออกไป เดชเก็บชาร์ท อย่าง...เซ็งเป็ด

ด้านพิมมาดารับตัวจีจ้าที่อาการดีขึ้นแล้ว หมอกำลังให้คำแนะนำกับพิมมาดา โดยข้างหลังของหมอ เห็นโจ๊กกำลังทำท่าเลียนแบบหมออยู่
“หมอให้ยาพ่นแก้หอบหืดสองขวดนะครับ ขวดนึงใช้ อีกขวดสำรองไว้” หมออธิบาย
“ค่ะคุณหมอ ขอบคุณนะคะ”
“ย้ำไปก็เท่านั้น เดี๋ยวน้าพิมก็ลืม” โจ๊กว่า
“นายโจ๊ก” พิมมาดาเอ็ด
“โจ๊กพูดจริง”
แจ๊สสะบัดหน้าเดินหนีไป โจ๊กเดินตาม
“ขอตัวก่อนนะคะคุณหมอ..แจ๊ส โจ๊ก หยุดๆๆ หยุดเดี๋ยวนี้”
พิมมาดาช้อนอุ้มจีจ้าตามแจ๊ส โจ๊กไป

เวลานั้นกริสน์นั่งให้พยาบาลทำแผลที่ถูกยิงที่ต้นแขน พยาบาลพันแผลให้เสร็จ กริสน์จะรีบออกไปทันที แต่บุรุษพยาบาลมากันเอาไว้
“คุณยังไปไม่ได้ครับ ต้องอยู่รอให้ปากคำตำรวจก่อน”
“ผมบอกแล้วไงว่าผมเป็นตำรวจ ไม่ใช่ผู้ร้าย”
“งั้นก็อยู่รอพบเพื่อนๆ ตำรวจก่อนสิครับ” บุรุษพยาบาลไม่เชื่อกริสน์
กริสน์เซ็ง แต่พอดีกริสน์มองผ่านหลังบุรุษพยาบาลออกไปด้านนอกประตู เห็นพวกสมุนของจตุพลเดินผ่านหน้าห้องไป กำลังทำทีคุยกับพยาบาลอยู่
กริสน์อึ้ง ครุ่นคิดในใจ ไม่ได้การแล้ว พอดีกับที่พวกสมุนเดินตรงมา กริสน์รีบหลบเข้าไปที่เตียง ดึงม่านบังตามาปิดล้อมเตียงเอาไว้จนรอบ
“คนไข้ที่ถูกยิงมาอยู่ไหน”
“เอ่อ อยู่หลังม่านครับ..คุณเป็นตำรวจเหรอครับ”
สมุนไม่ตอบ บุรุษพยาบาลงง สมุนเดินจะไปเปิดม่านดู ทันทีที่เปิดม่าน กริสน์ก็หายไปแล้ว

กริสน์วิ่งหลบออกมาตามทาง กำลังจะไปอีกด้าน แต่ต้องผงะ เพราะเห็นพวกสมุนโผล่มาพอดี กริสน์เลยเดินหลบไปอีกทาง แล้วอยู่ๆ ก็มีมือโผล่มาจากห้องๆ หนึ่ง กระชากกริสน์เข้าไป
กริสน์ตกใจ หันไปชกอัตโนมัติหนึ่งเปรี้ยง หันไปเห็นว่าคนๆ นั้นคือภัทรดนัย
“อ้าว ไอ้ภัทรดนัย”
“แกชกชั้นทำไม ชั้นจะมาช่วย..โอย...โดนอีกแล้ว” ภัทรดนัยบ่นอุบ
“ใครใช้ให้แกโผล่มาเงียบๆ เล่า เออๆๆ อย่าเพิ่งบ่น สมุนไอ้จตุพลอยู่เต็มโรงบาลเลย เอาตัวรอดก่อน
เหอะ” กริสน์ทำท่าจะย่องหลบออกไป
“จะไปไหน ทางนี้..” ภัทรดนัยคว้าไว้ ชี้ไปที่เตียงคนไข้ “ไปขึ้นเตียง”
“ขึ้นเตียง”

ในขณะนั้นบรรดาสมุนจตุพลเดินกระจายกำลังออกหา ตามทางเดินในโรงพยาบาล สักพักมีลิฟท์ตัวหนึ่งเปิดออก โดยมีภัทรดนัยที่ปลอมเป็นบุรุษพยาบาลเข็นรถเข็นที่มีคนนอนอยู่ มีผ้าคลุมมิดเหมือนคนตาย
ภัทรดนัยพยายามจะเข็นผ่านไป แต่อยู่ๆ สมุนคนนึงเรียกไว้
“เดี๋ยว..นั่นใคร”
“เพิ่งตายสดๆ เลยครับ ผมกำลังจะเอาไปห้องดับจิต ขอตัวนะครับ” ภัทรดนัยพูดจบทำท่าจะเข็นไป
แต่สมุนคว้ารถเข็นไว้ ทำท่าจะเปิดผ้าดู ภัทรดนัยร้องห้าม “อย่าครับ อย่าเปิดเลย..คือ เค้าถูกรถชน แล้วไปติดล้อรถ ถูกลากไปสองสามร้อยเมตร หน้าเค้าครูดไปกับถนน จนเละตุ้มเป๊ะ น่าสยองมาก เมื่อกี้พยาบาลเห็นปุ๊บ สลบไปเลยครับ”
“เอามือออกไป”
สมุนไม่สนเอามือภัทรดนัยออก จะเปิดดูหน้าให้ได้
พอสมุนเปิดผ้าคลุมออก พบว่าเป็นผู้ชายนอนอยู่ โดยมีถาดเครื่องมือแพทย์โปะปิดใบหน้าเอาไว้
“หน้าเค้าเละมากจริงๆ เลือด น้ำเหลืองยังสดๆอยู่ ต้องปิดไว้ เดี๋ยวมันเปื้อน..ขอตัวก่อนนะครับ” ภัทร
ดนัยบิวท์สุดๆ พร้อมตั้งท่าจะชิ่งหนี
“เดี๋ยว!! เอาถาดออก ชั้นจะดูหน้ามัน” สมุนยืนกราน
“แต่..ผมเกรงว่าคุณจะเป็นลม”
“บอกให้เปิดไง”
สมุนพูดไม่ทันจบ ภัทรดนัยเปิดถาดออก แล้วฟาดหน้าสมุนอย่างจัง จนสมุนน็อก สลบไป
“เตือนแล้วไม่ฟัง เป็นลมเลยเห็นมั้ย”
ทันใดนั้น เสียงกรี๊ดของพิมมาดากับเด็กๆ ก็ดังแหวกอากาศขึ้นมา
“เสียงยัยนั่นกะเด็กพวกนั้นนี่หว่า!! เฮ้ย แย่แล้ว” กริสน์ผุดลุกด้วยความเป็นห่วง
กริสน์จะโดดลงจากเตียง แต่ภัทรดนัยเข็นเตียงไปด้วย จนกริสน์เกือบล้ม
“นอนเฉยๆ แกตายอยู่นะเว้ย ชั้นพาไปเอง”

เป็นจตุพลและสมุนที่กำลังจับตัวพิมมาดาและพวกเด็กๆไว้ เป็นแค่การจับตัว ไม่ได้ใช้ปืนจี้
“ชั้นคิดไว้ไม่ผิด แค่ดักรอที่รถ เดี๋ยวหนูจะมาติดกับเอง..บอกมา ไอ้กริสน์อยู่ที่ไหน” จตุพลขู่
“กริสน์ไหน ชั้นไม่รู้จัก” พิมมาดาปฏิเสธ
“ไม่บอกเหรอ” จตุพลหันไปสั่งสมุน “เฮ้ย จัดการ”
สมุนชายหน้าโหด 2-3 คนช่วยกันจับจีจ้า จั๊กกะจี๋จีจ้าทันที จีจ้าบ้าจี้ถึงกับหัวเราะไม่ยอมหยุด
“กรี๊ด ปล่อยจีจ้านะ อย่าทำอะไรเด็กๆ จีจ้าเป็นหอบหืดอยู่” พิมมาดาโวยลั่น
“บอกมาว่าไอ้กริสน์อยู่ไหน ..แล้วชั้นจะไม่ทำอะไรพวกเด็กๆ ไม่อย่างนั้น..ลูกเธออาจจะหัวเราะจน
ขาดใจตาย”
พวกสมุนจับจีจ้าจี้เอวกับรักแร้
“น้าพิมอย่าบอกพวกมันนะ..ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ”
จีจ้าหัวเราะเพราะบ้าจี้ จนเริ่มหน้าแดง
กริสน์วิ่งออกมา จะบุ่มบ่ามเข้าไปช่วย แต่ภัทรดนัยคว้าตัวเอาไว้ก่อน ดึงตัวกริสน์ให้นอนลงไป
“จะออกไปตายหรือไง นอนๆ” ภัทรดนัยบอก
“ไอ้พวกนั้นมันต้องการตัวชั้น ยัยนั่นกับเด็กๆ บริสุทธิ์ ไม่เกี่ยวอะไรด้วย เราต้องช่วยเค้า” กริสน์ว่า
“รู้แล้ว แต่เราต้องมีแผน ชั้นขอสองนาทีใช้หมองก่อน”
ภัทรดนัยคิด พอนึกได้ลืมตาอีกที
“คิดออกแล้ว ไอ้กริสน์ คือ..อ้าว เฮ้ย” ภัทรดนัยพูดกับลมกับแล้ง เพราะกริสน์หายไปแล้ว “ไปไหน
แล้ววะ”
ภัทรดนัยมองหา เห็นกริสน์เข็นเตียงคนไข้พุ่งเข้าใส่กลางวง ตะโกนเสียงดังขู่ขวัญ
“ว้ากๆๆๆๆ”
พวกจตุพลผวาหลบ พิมมาดาหนีไปปกป้องแจ๊สกับจีจ้า
พวกสมุนที่จั๊กกะจี๋จีจ้าอยู่ กระจายหลบ กริสน์บู๊กันพวกสมุนเอาไว้ จังหวะนั้นกริสน์กำลังจะเตะสมุน อยู่ๆ ยกขาไม่ขึ้น หันไปมองเห็นจีจ้ากอดขาตนอยู่อย่างกับปลิง!
“ปล่อยก่อนจีจ้า”
กริสน์พูด พอเงยหน้าขึ้นมา เจอสมุนชกหน้าเต็มๆ เสียงดัง พลั่ก!
“โอย...เห็นดาวเลย”
กริสน์รีบเอี้ยวตัวหลบหมัด พร้อมกันนั้นยกขาข้างที่มีจีจ้าขึ้นพาดเตียงคนไข้แล้วยกจีจ้าออกจากขาวางบนเตียงอย่าเท่โครต
กริสน์เร่งเร้าพิมมาดากับหลานๆ “ขึ้นไปเร็วๆๆๆๆ”
กริสน์หันไปบู๊ต่อ พิมมาดา แจ๊ส โจ๊ก โดดขึ้นไปนั่งบนเตียงร่วมกับจีจ้า
กริสน์หันมาเห็น ก็ตกใจ “หมายถึงให้ขึ้นรถ”
“อ้าว” พิมมาดากับเด็กๆ ร้องพร้อมกัน
ทุกคนจะลงจากเตียง แต่สมุนเข้ามาพอดี กริสน์กระโดดถีบสมุนจนร่างกระเด็นไป แล้วจำต้องเข็นเตียงวิ่งหนีไปเพราะไม่ทันการณ์แล้ว
จตุพลควักปืนออกมา
“เขตโรงพยาบาลห้ามทำเสียงดังครับ” สมุนโจรพ่อพระเอ่ยขึ้น
จตุพลถีบสมุนปากดีจนเซออกไป
“ไปล่าตัวมันมาให้ได้ ไป”

กริสน์เข็นเตียงคนไข้ที่มีพิมมาดากับหลานๆ ผ่านมา พอมองแล้วไม่เห็นพวกสมุนตามมา กริสน์ก็หยุดเข็น
“หยุดทำไม เดี๋ยวพวกมันก็ตามมาทันหรอก” พิมมาดาโวย
“จะให้เข็นไปถึงไหน ลงมา!!..” กริสน์บ่น “บอกให้ขึ้นรถ ดันโดดขึ้นเตียง ใช้อะไรคิด”
“ใครใช้ให้นายตะคอกล่ะ คนตกใจก็ทำอะไรผิดอะไรถูกแบบนี้แหละ” พิมมาดาโบ้ยโทษว่าเป็น
เพราะกริสน์ พอหันไปเห็นจีจ้าเดินกลับไปทางเดิม “จีจ้าจะไปไหน”
“จีจ้า ราชินีนักบู๊ จะกลับไปสั่งสอนพวกอันธพาลค่ะ”
“หยุดเลย ไม่ใช่เรื่องของเด็ก” พิมมาดาดุหลานจอมแก่น
“คนพวกนั้นตามล่านายคนเดียว..นายมาทางไหน ไปทางนั้นเลย” แจ๊สบอกกริสน์
“ชั้นต้องพาพวกเธอหนีให้รอดก่อน แล้วชั้นไปแน่” กริสน์บอกพลางมองหาทางหนี จังหวะนั้นกริสน์
เห็นรถพยาบาลจอดเปิดท้ายอยู่ จึงนึกบางอย่างออก “ไปๆๆ ไปขึ้นรถพยาบาล เร็ว!”
กริสน์พยายามต้อนเด็กๆ ให้ขึ้นไป โจ๊กโวยลั่น
“ไม่ไป” โจ๊กขู่ “ถ้าพี่ไม่ออกไป อย่าหาว่าโจ๊กไม่ปรานีนะ ไป!” โจ๊กเอาจริง
ระหว่างนั้น อยู่ๆ มีเสียงปืนดังขึ้นมา
“เปรี้ยง”
กริสน์โดดเหยง กระสุนพลาดเป้าไป
“ขึ้นรถไป เร็...”
พอกริสน์หันไป พบว่าพวกเด็กๆ พากันกระโดดเข้าไปในรถพยาบาลโดยอัตโนมัติ...เรียบร้อยแล้ว
ส่วนพิมมาดายืนทื่อเหวออยู่ ยังไม่ได้เข้าไปหลบ

สมุนจตุพลที่ตามเข้ามาถือปืนค้างอยู่ และกำลังจะยิงอีกครั้งไปที่พิมมาดา
“คุณ ระวัง” กริสน์ตะโกนเตือน
แต่ไม่ทันแล้ว สมุนยิงออกมาทันที
“..ปัง”
ไวเท่าความคิดกริสน์กระโดดอย่างเท่ๆ มาคว้าเอาตัวพิมมาดาพาเบี่ยงหลบวิถีกระสุน และเอาตัวเองเข้ากัน เลยโดนกระสุนที่ต้นแขนข้างเดิมอย่างจัง กริสน์ล้มอยู่ข้างรถพยาบาล
“โอ๊ย”
“กรี๊ด...อ๊าย...” พิมมาดากรี๊ด
กริสน์กัดฟันกรอดเอ่ยขึ้นเสียงรอดไรฟัน
“ข้างเดิมอีกแล้ว ไป หนีไป”
สมุนจะยิงซ้ำ แต่อยู่ๆ พวกเด็กๆ ก็คว้าข้าวของอุปกรณ์แพทย์ที่อยู่ในรถพยาบาล เขวี้ยงใส่สมุนแบบไม่ยั้ง
“ไอ้พวกคนชั่ว ออกไปๆๆๆๆๆ”
พวกเด็กๆ เขวี้ยงเข็มฉีดยามาปักเข้าที่ต้นแขนสมุนคนหนึ่งเต็มๆ
สมุนคนนั้นดึงเข็มออก “ห๊า...เข็มฉีดยา...” ร่างโงนเงน และสลบล้มตึงลงไปกองกับพื้น
พวกเด็กๆ อึ้งกับความฟลุคของตัวเอง ต่างดีใจกันยกใหญ่
“เย้ๆๆๆๆๆๆ” เด็กๆ ร้องออกมาพร้อมกัน
“ตัวใหญ่ซะเปล่ากลัวเข็มฉีดยา” จีจ้าว่าสมุนจตุพล
“ไปๆ ทุกคนหนีก่อน” กริสน์รีบบอก
จตุพลและสมุนที่เหลือตามเข้ามา แต่อยู่ๆ ก็มีเสียงไซเรนดังมา พวกจตุพลตกใจ

ที่แท้เป็นภัทรดนัยแอบเปิดไซเรนรถพยาบาล 2-3 คันพร้อมกัน เพื่อสร้างความวุ่นวาย แล้วรีบวิ่งไป

“ไซเรน..ตำรวจมา” จคุพลสั่งลูกน้อง “เอาตัวพวกมันกลับไป”
พวกสมุนจะเข้าไปจับกลุ่มของกริสน์ แต่อยู่ๆ ก็มีรถกระบะร้านดอกไม้แล่นเข้ามาขวาง พวกจตุพลผวาหลบ ภัทรดนัยคือคนขับรถ ตั้งใจมาช่วยพวกกริสน์
“ทุกคน ขึ้นรถ” ภัทรดนัยร้องสั่ง
ทุกคนรีบโดดขึ้นรถกระบะ ภัทรดนัยขับรถทะยานพาทุกคนหนีไป
ด้านจตุพลประเมินสถานการณ์เห็นท่าไม่ดี กลัวตำรวจจะมาล้อม รีบถอยหนีก่อน
“บัดซบ” จตุพลสบถ และพาสมุนหนีไป

สักพัก บรรดาบุรุษพยาบาลแห่กันออกมาตรงรถพยาบาลที่จอดอยู่ ต่างบ่นกันอุบว่าใครพิเรนทร์มาเปิดไซเรนเล่นยังงี้ ตกใจกันไปหมด

อ่านต่อตอนที่ 2




กำลังโหลดความคิดเห็น