มือปราบพ่อลูกอ่อน ตอนที่ 6
ภายในห้องฝ่ายปกครองของโรงเรียนเวลานั้น โจ๊กนั่งอยู่ในสภาพดูไม่จืด หน้าตามอมแมม หัวยุ่ง เสื้อดำเมี่ยม และกำลังโดนครูพงษ์พัฒน์อบรมอยู่...แต่หนักไปทางด่าทอต่อว่ามากกว่า
“นายโจ๊ก ทำผิดซ้ำซาก ตัวเล็กแล้วยังไม่เจียมตัว สม” ครูพงษ์พัฒน์เอ่ยขึ้น
“นายปาล์ม..ได้ข่าวว่าเธอพวกมากกว่า ตัวก็โตกว่า..เธอยังทำกับเพื่อนตัวเล็กๆ ได้ลงคอ เคยคิดบ้างไหม
ว่าเค้าน่าสงสารขนาดไหน” ครูฟ้าใสต่อว่าปาล์ม ไปคนละทางกับครูพงษ์พัฒน์
ปาล์มอยู่ในสภาพย่ำแย่เอามากๆ ตาเขียว ปากแตก แก้มช้ำ เลือดกำเดาไหล เนื้อตัวเป็นรอยจ้ำๆ เสื้อผ้าขาดและดำโทรมสุดๆ พวกลูกกระจ๊อกของปาล์มนั่งกองรวมกันอยู่ สภาพเละกว่าลูกพี่แบบเห็นได้ชัด
“วะ ฮะๆๆ ฮ่าๆๆ อูย โอย นี่ผมออมมือให้มันเยอะนะ” ปาล์มคุยโว
“พวกเขามายั่วผม ผมทนไม่ไหวจริงๆ ครับ” โจ๊กพยายามชี้แจง
จังหวะนั้นเอง กริสน์รีบเข้ามาด้วยท่าทีร้อนรน
“โจ๊ก!!..ต่อยกันอีกแล้วเหรอ โจ๊กก็รู้ใช่ไหม ว่ามันหมายความว่าอะไร” เบื้องแรกกริสน์ฮึดฮัดโมโหโจ๊ก
มากๆ แต่พอพวกปาล์มที่นั่งก้มหน้างุดอยู่ เงยหน้ามา กริสน์ดีใจจนลืมตัว ร้องขึ้นอย่างไม่เชื่อ “ฮ้า! นี่..ฝีมือโจ๊กคนเดียวล้วนๆ เลยหรอ”
“Yes...ค่ะ..1 ต่อทั้งหมดนี่เลย” ครูฟ้าใสปรายตาไปทางปาล์มและก๊วนแก๊ง
“เหรอ ว้าว..เจ๋งว่ะ มันต้องยังงี้เซ่” เป็นงั้นไป
“อ้าว นี่ ให้ท้ายกันเหรอ มิน่า..นายโจ๊กถึงก้าวร้าวรุนแรง ก็เพราะมีพี่เลี้ยงอันธพาล นักเลง กุ๊ย คอยถือ
หางให้นี่เอง..นี่แหละ เค้าถึงพูดว่า ผู้ใหญ่เป็นยังไง เด็กก็เป็นอย่างนั้น..คนพรรค์นี้ มีแต่ผู้หญิงตาบอดเท่านั้นแหละที่ชอบ” ครูพงษ์พัฒน์พูดขึ้นอย่างไม่พอใจ
“ชะอุ๋ย…” กริสน์นึกขึ้นได้ รีบเปลี่ยนคำ หน้าพิมมาดาลอยมาทันที “แต่ชั้นซวยแระ ชั้นเสร็จแน่ๆ ตอน
นายทำ นายไม่คิดถึงน้าพิมเลยหรือไง”
“คิดว่าน้าพิมจะเสียใจ..ใช่ไหมครับ” โจ๊กถามพาซื่อ
กริสน์รีบแถไปดึงตัวโจ๊กมากระซิบ “ไม่ใช่! ไม่คิดหรือไง..ว่าถ้านายโดนพักการเรียน เค้าจะเล่นงานชั้น
ยังไงบ้าง..โธ่”
จังหวะนั้นปาล์มโผล่หน้าออกมาจากการแอบฟังสองคนคุยกัน แล้วแค่นหัวเราะออกมา
“วะ ฮ่ะๆๆๆ คุ้มเว้ย พวกเรา การหลั่งเลือดครั้งนี้ หมายถึง...ไอ้กระจอก ต้องโดนพักการเรียน พวกเราทุก
คน จงภูมิใจ...ในการเสียสละครั้งนี้ เพื่อนๆ จะเป็นวีรชนหาญกล้า ในจิตใจปาล์มมี่ตลอดไป” ปาล์มตบบ่าเพื่อนๆ เพื่อนบางคนร้องโอ้ก โดนแผลเก่า ทรุดลงไปกองกับพื้น
ครูฟ้าใสถามขึ้นอย่างเก็บอาการ “เอ่อ..ยังไงนะๆๆ ตกลง ถึงขนาดพักการเรียนกันเลยเหรอ”
“ใช่ครับ(ยื่นเอกสาร)นี่ไง ที่ผมทำทัณฑ์บนไว้ตั้งแต่การวิวาทครั้งก่อน ทุกคนได้เซ็นชื่อรับรู้แล้ว โดยเฉพาะ..คุณกริสน์!!! และครูฟ้าใสด้วย” ครูพงษ์พัฒน์บอก
“โอ มาย ก๊อด” ครูฟ้าใสรำพัน
อยู่ๆ เมทินีโผล่เข้ามาสมทบอีกคน
“แล้วถ้าชั้นไม่เอาเรื่องล่ะ” เมทินีว่า
“หา..แม่..ไม่ได้นะแม่ ปาล์มทนไม่ได้” ปาล์มโวยวายลั่น
“หยุด!!” เมทินีล็อคคอลูกน้องปาล์มไว้ขู่ทันที “ถ้าไม่อยากอดข้าว! ขอบคุณคุณกริสน์นะคะ ที่สอนให้น้องคนนี้มาสั่งสอนให้บทเรียนกับลูกปาล์ม..ขอบคุณค่ะ” พลางกดหัวปาล์มให้ขอบคุณด้วย “เอาละ จบเรื่องแล้ว..เราไปหาอะไรดื่มกันเถอะค่ะคุณกริสน์
ทุกคนช็อก งงกันไปเป็นแถบๆ
เมทินีจะพากริสน์ออกไป ครูพงษ์พัฒน์รีบเข้ามาขวางไว้อย่างขัดเคืองใจ
“ไม่ได้!!..กฏย่อมเป็นกฏ” พร้อมกับหันแล้วไปชี้หน้าฟ้าใส “Shut up. อย่านะ ครูฟ้าใส เด็กๆ ในโรงเรียนนี้
ต้องอยู่ภายใต้กฎเดียวกัน ใครจะมาทำตัวสองมาตรฐานไม่ได้ ไม่ว่าเด็กที่มีผู้ปกครองหล่อ ขี้เหร่ รวย หรือจน โดยเฉพาะนายโจ๊กที่ทำผิดซ้ำแล้วซ้ำอีก เตือนก็แล้ว เชิญผู้ปกครองก็แล้ว ยังไม่มีอะไรดีขึ้น..ในกรณีนี้ นายโจ๊กต้องถูกพักการเรียน!”
ครูพงษ์พัฒน์ท่าทางเอาจริง
จนครูฟ้าใสหน้าซีด “Oh Dear!! Oh Lord!! My God!!”
“แหม..เอางี้ ถือว่าเป็นการประมาทร่วมทั้งสองฝ่าย ต่างคนต่างซ่อมแล้วกัน” เมทินีสรุปเอาดื้อๆ
“นี่เราไม่ได้เคลมประกันรถชนนะครับ ยังไงนายโจ๊กก็ต้องพักการเรียน พักการเรียนสถานเดียวเท่านั้น!”
ครูพงษ์พัฒน์พูดเสียงดังด้วยท่าทางขึงขัง
กริสน์กับโจ๊กเดินออกมาจากห้องปกครอง จีจ้ากับแจ๊สที่นั่งๆ เดินๆ รออยู่ รีบกระเด้งตัวเข้ามาจะสอบถาม แต่พอเห็นสีหน้าอาการของกริสน์และโจ๊กก็พอจะเดาออก
“ทุกอย่างพังหมดแล้ว..ใช่ปะ” แจ๊สพูดเชิงถาม
“น้ากริสน์..สรุปว่า...” จีจ้าถาม
“จบข่าว” กริสน์บอก
“โจ๊กมันไม่ดีเอง โจ๊กทำผิด…” โจ๊กจ๋อยๆ
จังหวะนั้นเมทินีก็ตามออกมา โดยมีปาล์มตามมาด้วย
“คุณกริสน์คะ..คือ นีขอโทษนะคะ นีเสียใจจริงๆ ที่...”
“เสียใจที่” กริสน์ทำทีเป็นตัดบทอย่างน้อยใจ “โจ๊กถูกพักการเรียน ในขณะที่ปาล์มโดนแค่ตักเตือน”
“คุณกริสน์...อย่าค่ะ อย่าเกลียดนี มองหน้านีสิคะคุณกริสน์ นีเสียใจนะ ถึงหน้าจะไม่แสดงอารมณ์
เพราะมันตึงไปหมด แต่นีเสียใจอยู่จริงๆ..เสียใจมากๆ ด้วย..เอางี้ คุณกริสน์อยากให้นีทำยังไง ว่ามาเลยค่ะ”
“สมน้ำหน้า โหะๆๆๆ แกไม่ได้ผุดได้เกิดแน่ ไอ้โง่โจ๊ก” ปาล์มรีบเยาะเย้ย
โจ๊กโมโหสุดๆ ถลาจะเข้าไปหาปาล์ม “ไหนๆก็ไม่มีอนาคตแล้ว แก..โดน”
กริสน์จับคอเสื้อไว้ทัน ลากโจ๊กออก “โจ๊ก..อย่า! กลับบ้าน เร็ว”
“เข้ามาสิ เข้ามา ไอ้ลูกพ่อแม่ตายหมด” ปาล์มยั่วอีกดอก
จีจ้ากับแจ๊สประสานเสียงโดยไม่ได้นัดหมาย “ไอ้ปาล์ม”
“โจ๊ก...มา เรามารุมตื้บไอ้ปาล์มกัน” แจ๊สว่าอย่างโมโห
“เย้ย..ทุกคน ตั้งสติหน่อย นี่คือคำสั่ง” กริสน์เอ็ดเอา
“โด่..นึกว่าจะแน่ ที่จริงก็ไม่กล้า กลัวไอ้พี่เลี้ยงกระจอกๆ” ปาล์มยังพ่นต่อ
“น้ากริสน์ ปล่อยๆๆ โจ๊กจะถอนฟันมันให้หมดปาก” โจ๊กสุดจะทนไหว
“ถอนฟันนายปาล์มให้หมดปากๆๆ” จีจ้ากับแจ๊สประสานเสียงอีก
เมทินีแอบหยิกลูกชาย ปาล์มร้องลั่น
“โอ๊ย..แม่”
“นีคงไปเปลี่ยนใจครูพงษ์พัฒน์ไม่ได้ แต่นีขอแก้ตัว..ด้วยการ..ขอยอมทำทุกอย่างที่คุณกริสน์ต้องการ”
“คุณเมทินี คุณจะไปไหนก็เชิญนะครับ แล้วกรุณาพาลูกคุณไปด้วยนะครับ! เดี๋ยวลูกคุณตายนะครับ!”
กริสน์รวบมือทั้งจีจ้า แจ๊ส แล้วลากคอโจ๊ก รีบพาหนีไป
ปาล์มจ้องจะตาม ตะโกนไล่หลังไป
“โธ่ เก่งจริง อย่าหนีสิวะ ไอ้พวกขี้ขลาด ขี้ขลาดกันทั้งบ้าน ขี้ขลาดทั้งแก๊ง..รวมทั้งไอ้พี่เลี้ยง..ผู้ชายอะไร
วะ มีอาชีพเลี้ยงเล็ก..เป็นตุ๊ดหรือป่าว”
เมทินีโกรธสุดจะทนไหว หันมาดึงหู เอามืออุดปากลูกชาย พร่ำเพ้อพรรณนาชีวิตตัวเองเป็นชุด
“ปาล์ม..แก..เพราะแกคนเดียว..คุณกริสน์ถึงได้ทิ้งแม่ไป..โธ่ ทำไมคนเป็นแม่ต้องเสียสละตลอดๆๆ..ทำไม
..แม่ต้องคอยตอบทุกๆคน..ว่าเพราะความเป็นแม่ ทำให้แม่ต้องสูญเสียผู้ชายไปคนแล้วคนเล่า เพราะเค้าเข้ากับลูกไม่ได้..แต่แม่ก็ต้องอดทน..เพราะแม่เลือกลูกน้อยของแม่..ไม่เลือกผู้ชาย..โอ..ไยหัวใจของแม่ผู้มีความรักอันยิ่งใหญ่ต่อสายโลหิต จึงต้องเจ็บปวดเช่นนี้..แต่เจ็บปวดเพียงไร..แม่ก็ร้องไห้ออกมาไม่ได้ เพราะ..เดี๋ยวถุงใต้ตาจะบวม..มันรักษายาก..อ้าว ปาล์มๆ”
เมทินียืนเพ้ออยู่คนเดียว ปาล์มเดินหลบไปนานแล้ว
กริสน์กึ่งดึงกึ่งลากเด็กๆ มาตามทาง ตั้งใจจะไปยังที่รถจอด โจ๊ก แจ๊ส จีจ้า ขืนตัวชะเง้อมองอยากกลับไปเล่นงานปาล์ม
“ไอ้ปาล์มมันสมควรโดนให้หนักว่านี้” แจ๊สคำราม
“เห็นป่าวละ ว่าโจ๊กทำดีที่สุดแล้ว” โจ๊กแจม
“อยากจะตุ๊ยท้องน้อย ต่อยหน้าขา แล้วก็…”
จีจ้าพูดไม่ทันจบคำ กริสน์ตะโกนอย่างเหลืออด “พอแล้ว”
“น้ากริสน์ มันดูถูกน้ากริสน์ด้วยนะ น้ากริสน์ป๊อดเหรอ” โจ๊กบิ้วท์กริสน์
“น้ากริสน์ไม่มีศักดิ์ศรี” จีจ้าต่อว่า
“ลูกผู้ชาย ฆ่าได้ หยามไม่ได้” แจ๊สผสมโรง
“พวกเธอผิดแล้ว!!!”
กริสน์ตะโกนดังขึ้นกว่าเดิม แล้วหยุดเดินโดยไม่บอกไม่กล่าว จนพวกเด็กๆ หัวทิ่ม กริสน์เดินมาชี้หน้าสั่งสอนแจ๊ส โจ๊ก และจีจ้า
“ลูกผู้ชาย ต้องอดทนต่อการถูกเหยียดหยาม เราต้องรักษาชีวิตไว้ แต่เราต้องอยู่รอด เพื่อรอจังหวะ และ
โอกาส รอวันที่เราจะกอบกู้ศักดิ์ศรีคืนมา วันที่เราจะได้ลุกขึ้นยืนหยัดอย่างสง่างาม”
“ว้าว..จีจ้าฟังไม่ค่อยเข้าใจ..แต่มันเท่มาก” จีจ้าถูกใจสุดๆ
“คนที่อดทนไม่ได้ เลือดร้อน ก็มีแต่จะตกเป็นเหยื่อ เหมือนแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ พวกเธอก็น่าจะเคยเห็นตัวอย่าง ของพวกเด็กบางพวก บางเหล่า ที่พากันนึกว่า..การรักษาศักดิ์ศรี คือการออกไปทำร้ายกัน ยกพวกตีกัน ใช้อาวุธทำร้ายกันแล้วศักดิ์ศรีมันอยู่ตรงไหน เปล่าเลย!! ทุกสถาบันสูญเสียกันหมด มีแต่คนเจ็บ คนตาย คนบริสุทธิ์โดนลูกหลง คนที่ทำก็กลายเป็นฆาตกร ต้องหลบหนี หรือติดคุก เสียอนาคตไป” กริสน์สำทับ
“เหมือนโจ๊ก เวลานี้ โจ๊กหมดอนาคตแล้ว” โจ๊กพูดจ๋อยๆ
“เดี๋ยวๆๆ การโดนพักการเรียน มันไม่ใช่สิ่งเลวร้ายที่สุดหรอก ยังมีอะไรที่ร้ายแรงกว่านั้น” กริสน์ปลอบฟังแปร่งๆ
“คือ…” แจ๊สรอคำอธิบาย
“น้าพิมของพวกเธอ…”
“เค้าไม่เอาน้ากริสน์ไว้แน่” จีจ้าเสริม
“ตบหน้า ตัดเงินเดือน ริบเมีย ไล่ออก” โจ๊กจัดหนักเกิ๊น
“เว้นริบเมีย..เพราะน้ายังไม่มี..นอกนั้น..ถูกทุกข้อ!!”
กริสน์พูดอย่างรู้ชะตากรรมของตัวเอง ที่รออยู่เบื้องหน้าแล้ว
เหตุการณ์ในตอนเย็นที่คฤหาสน์เสี่ยอธิป แฟ้มงานชื่อ “แผนการตลาด สวีทโอปอ” ถูกโยนลงบนโต๊ะดังปัง! เสี่ยอธิปนั่งอยู่ เดชยืนอยู่ข้างๆ จตุพลยืนก้มหน้าอยู่ตรงข้าม มีน้อมพงษ์ยืนเยื้องไปด้านหลัง อธิปตวาดเสียงดังลั่น
“นี่ ไอ้จตุพล ชั้นวางใจคนผิดรึเปล่า แกรู้มั้ยว่ากว่าจะได้ สวีท โอปอ ออกมา ฉันใช้เวลากับสูตรเป็นแรมปี ชิมรสชาดมาเป็นร้อยๆครั้ง สำรวจตลาดอีกเป็นพันหน แล้วแกยังจะมาปรับปรุงหาอะไรอีก! สวีท โอปอ ไม่ใช่แค่ธุรกิจขนมธรรมดา แต่มันเป็นขนมที่ฉันตั้งใจทำเพื่อลูกโอปอดวงใจของฉัน และถ้ามันต้องเจ๊งขึ้นด้วยน้ำมือของแกละก็...แกจะต้องพิจารณาตัวเอง”
จตุพลรับคำแบบกล้ำกลืน “ครับ อากู๋ ผม..ผมจะรีบเปิดร้านให้ทันกำหนดครับ”
อธิปพูดซ้ำคำเดิมออกมา แต่น้ำเสียงอ่อนลง
“นี่ ไอ้จตุพล สวีท โอปอ ไม่ใช่แค่ธุรกิจขนมธรรมดา แต่มันเป็นขนมที่ฉันตั้งใจทำเพื่อลูกโอปอดวงใจของฉัน และถ้ามันต้องเจ๊งขึ้นด้วยน้ำมือของแกละก็...แกจะต้องพิจารณาตัวเอง”
น้อมพงษ์หันมาสบตาจตุพลแว่บนึง “เอ่อ..คุณจตุพลครับ..ผมว่า…”
จตุพลก้มลงกระซิบกระซาบ “มันพูดซ้ำเหมือนเดิมเปี๊ยบ...ชั้นก็ควรจะพูดเหมือนเดิม ชิมิๆๆ” แล้วหันไป โค้ง “คร้าบ อากู๋ ผม..ผมจะรีบเปิดร้านให้ทันกำหนดคร้าบ...”
อธิปเสียงแผ่วลง อ่อนล้าโรยแรง เหมือนนาฬิกาลานจะขาด
“นี่ ไอ้จตุพล ชั้นวางใจคนผิดรึเปล่านี่ แกรู้มั้ยว่ากว่าจะได้ สวีท โอปอ ออกมา ฉันใช้เวลากับสูตรเป็นแรมปี ชิมรสชาติมาเป็นร้อยๆๆๆๆๆๆครั้ง ทำสำรวจตลาดอีกเป็นพันๆๆๆๆๆหน แล้วแกยังจะมาปรับปรุงหาๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆอะไรอีก! สวีท โอปอ ไม่ใช่แค่ธุรกิจขนมธรรมดา แต่มันเป็นขนมที่ฉันตั้งใจทำเพื่อลูกโอปอดวงใจของฉัน และถ้ามันต้องเจ๊งขึ้นด้วยน้ำมือของแกละก็...แกจะต้องพิจารณาๆๆๆๆๆๆๆๆ”
เดชตกใจเห็นท่าไม่ดีรีบเข้าไปประคองตัวอธิปไว้ “นายครับๆๆ”
อธิปนั่งนิ่งค้างไป
“ผมว่า..คุณจตุพล กับคุณน้อมพงษ์ กรุณาออกไปก่อนเถอะครับ” เดชขอร้อง
จตุพลแอบหัวเราะคิกคัก แล้วแกล้งตีหน้าเศร้า เดินออกไปพร้อมกับน้อมพงษ์ อธิปถอนหายใจพิงเก้าอี้อย่างหมดแรง
“ใจเย็นๆครับนาย หายใจเข้าลึกๆ ผ่อนคลายครับผ่อนคลาย อย่าเครียดมาก”
เสี่ยอธิปอามือลูบหน้าตัวเอง “ฉัน..ฉันเป็นอะไรไปหรือเดช”
เดชอยากร้องไห้ “ไม่มีอะไร..แต่..ผมว่านายควร..เปลี่ยนหมอ เราไปโรงพยาบาลกันเถอะครับ
เสี่ยอธิปฉัน..ไม่ชอบไอ้2คนนั่นเลย..มันเป็นสมุนใหม่เหรอ นี่ถ้า..ถ้า..ไอ้กรดยังอยู่!!!
“เสี่ยคิดถึงไอ้กรดอีกแล้ว” เดชถาม
“ฉันไม่มีวันลืมมันหรอก”
อธิปเสียงอ่อยๆ มองออกไปนอกหน้าต่าง ดวงตาเหม่อลอย
ส่วนจตุพลกลับเข้าห้องทำงานตัวเอง มีลูกน้องอีก 3 คน ยืนเรียงหน้ากระดานอมยิ้มกันอยู่ และน้อมพงษ์ยืนอยู่ท้ายแถว
จตุพลเดินทำสีหน้าดุดันไปมา 3 รอบ แล้วหันมาพูดทำเสียงล้อเลียนอธิป
“เยสๆๆๆ ทุกคน สำเร็จๆๆ อีกไม่นาน ไอ้อธิปต้องกายเป็นคนเสื่อมสมรรถภาพ แล้วศาลต้องแต่งตั้งชั้นเป็นทายาทคนเดียวของมัน เพราะนังโอปอล์ก็อีกนานนัก กว่าจะบรรลุนิติภาวะ ดีไม่ดี ชั้นจะให้มันเสพสวีตโอปอล์ของมันเอง...จนมันก็ต้องหมดสภาพไปตั้งแต่ยังเป็นเยาวชน ฮ่าๆๆๆ แบบนี้ต้องฉลอง..”
“เอาเพลงอะไรดีครับ” น้องพงษ์ถามยิ้มๆ
จตุพลระเบิดอารมณ์ “บอดี้สแลม”
น้อมพงษ์เปิดเพลงฮิตโครตๆ ของบอดี้สแลมทันทีทุกคนเริ่มเต้นกัน ต่างโชว์สเต็ปขั้นเทพ แบบไม่มีใครยอมใคร
พิมมาดากำลังจัดดอกไม้ ในอาการซึมเศร้า มีเค้กมาช่วยจัดอีกช่อ
“เฮ้อ..เบื่อ…”
“เค้กไม่เข้าใจพิม” พิมมาดาบ่นออกมา
“เค้กเข้าใจ ว่าพิมเบื่อที่คนสั่งดอกไม้พร้อมกันมากมายทำไม่ทัน นายกริสน์ก็หายหัว เต๋าเต้ยก็ต้องเอาพวงหรีดไปส่ง 2 วัด สองศาลา แต่นี่เค้กก็มาช่วยแล้วไง น่า...รับรอง ว่าเสร็จทัน 6 โมงเย็นแน่ๆ” เค้กคิดผิด
“พิมเบื่อผู้ชายตะหาก พิมนึกไม่ออก.. ว่าเค้าคิดอะไร ถ้าเค้าคิดจะปั่นหัวผู้หญิงให้หลงรักเค้าเล่นๆซักคน..ทำไมเค้าไม่ไปหาพวกดารา คนดัง เซเลบเค้ามาหว่านเสน่ห์ใส่เราเพื่ออะไร ในเมื่อแฟนเค้าก็สวย รวย เลิศ มีอำนาจทุกอย่าง เทียบกะเราไม่ได้เลย”
“ถ้าเค้ามา..เพราะเค้ารักจริงล่ะ พิม ใครบอกพิม ว่าเทียบกะแฟนเค้าแล้วพิมต่ำต้อยด้อยค่า ไอ้เงิน ทอง ความเลิศเลอเพอร์เฟ็คท์ใดๆ มันก็ไม่เกี่ยวกับหัวใจคนนะ พิม ถ้าเราจะรักใครซักคน เราก็จะไม่มีเหตุผลอะไรทั้งนั้น” เค้กพูดเป็นทางการ
ทันใดนั้นเอง ประตูร้านถูกเปิดเข้ามาโดยตัวการ์ตูน ซึ่งใส่ชุดมาสคอตเป็นสัตว์น่ารักสุดๆ ขยับเต้นเข้ามา ในร้าน พร้อมมีเสียงเพลงร้องคลอ เป็นเพลง “รักนะคะคนดีของฉัน” ของบี้ เดอะสตาร์
สองสาวงง ตกใจ ตะลึง
มาสค็อตเต้นจนมาถึงหน้าพิมมาดา แล้วพอจบท่อน ก็นั่งคุกเข่า ยื่นของในมือส่งให้ เป็นกล่องเล็กๆ ห่ออย่างสวยงาม สีแวววาววิบวับ
พิมมาดายังงงแกมอึ้งจึงไม่กล้ารับ “อะไร..ของใครน่ะ”
มาสค็อตค่อยๆ เปิดกระเป๋าหน้าท้อง ยื่นแผ่นป้ายให้อ่านทีละใบ เขียนตัวใหญ่ชัดๆว่า ”สุขสันต์”
เค้กกรี๊ดก่อนจะอ่าน “กรี๊ด..คุณสุขสันต์!!”
มาสค็อตยื่นใบต่อมา
เค้กอ่านต่อ “ขอโทษจากใจ” เค้กรำพึง “หวาย..น่าร้าก...”
มาสค็อตยกแผ่นป้ายอีกใบ คราวนี้พิมมาดาอ่านเอง
“หวังว่าจะได้รับความเมตตา” อ่านอย่างเขินๆ “ว้าย..บ้า เมตตงเมตตาอะไรกัน”
มาสค็อตยกป้ายต่อ พิมมาดาอ่านเองอีก
“พิมมาดาของผม..ตายล่ะ..แหมๆๆ”
“งั้นก็รับไว้ได้แล้วนะ..ของขวัญกล่องนี้น่ะ…” เค้กบอก
มาสค็อตยกกล้องขึ้นพยายามทูนหัวให้
พิมมาดารับมา ทั้งอาย ทั้งตื่นเต้นมากมาย
เวลาเดียวกันนั้นแพรวพิลาศก้าวเดินฉับๆ บนรองเท้าส้นสูงแหลมปรี๊ด มาตามทางเดินในออฟฟิศสุขสันต์ ลีลามาดมั่น มั่นใจ ยิ่งกว่าโฆษณาเนเจ้อร์กิฟท์ก็ไม่ปาน
เลขาฯหน้าห้องรีบลุกมาไหว้ ต้อนรับ “อ้าว คุณแพรว..สวัสดีค่...”
แพรวพิลาศไม่ใส่ใจฟังจบ เดินดิ่งไปที่ห้องสุขสันต์ เปิดประตูเข้าไป แต่ไม่พบอะไร ไม่มีใครอยู่ เลขาฯตามมา
“คุณสุขสันต์ ท่านไปดูงานมูลนิธิที่...”
“ดูงานอะไร!! เมื่อวานชั้นเช็คในตารางงานคุณสุขสันต์ไม่เห็นจะมี” แพรวพิลาศแว้ดใส่
“มันเป็นงานฉุกเฉิน..กะทันหันค่ะ” เลขาฯว่า
“งานกะทันหันเหรอ เดี๋ยวนี้มีงานด่วนที่ชั้นไม่รู้ไม่เห็นเยอะจังเลยนะ…”
แพรวพิลาศแขวะ แล้วจะออกไป แต่ชะงักกึก เพราะเห็นแจกันดอกไม้ ใบที่กริสน์ถือมาวางอยู่ แพรวพิลาศฉุกคิด เข้าไปมองทันทีหยิบการ์ดขึ้นมาอ่าน
“ดอกไม้จากร้านพริมโรส..ท่าทางจะฉุกเฉินมาก ดี ชั้นจะได้จองห้องฉุกเฉินให้!!”
หน้าตาแพรวหน้าตายามนี้กลายเป็นปิศาจร้าย ดูน่ากลัวสุดๆ
กริสน์พาเด็กๆ ย่องเข้ามาตามทางในบ้านพิมมาดา เหลียวซ้ายแลขวา เข้ามาหลบอยู่มุมหนึ่ง กริสน์เอ่ยขึ้นเสียงซีเรียส
“แจ๊ส โจ๊ก จีจ้า..เรื่องที่โจ๊กถูกพักการเรียนจะต้องเป็นความลับ บอกน้าพิมไม่ได้เด็ดขาด! เข้าใจมั้ย”
เด็กๆรับคำพร้อมกัน “ครับ/ค่ะ”
“ตอนนี้เราต้องช่วยกัน พาโจ๊กเข้าบ้านให้ได้ อย่าให้น้าพิมเห็นโจ๊กใจสภาพนี้ เข้าใจมั้ย” กริสน์สำทับ
เด็กๆ“เข้าใจ”
กริสน์ทำท่าจะย่องออกจากที่ซ่อน จีจ้าสะกิดไว้ กริสน์ชะงัก หันกลับมา
“อะไร”
“น้ากริสน์สอนเด็กๆ ให้โกหกหรือคะ” จีจ้าถาม
กริสน์เอือมๆ อึ้งไป แล้วพาเด็กย่องไปหลบอีกมุม
“นี่ไม่ใช่การโกหก แต่เป็นการรอจังหวะบอกความจริงเมื่อถึงเวลา เพื่อผ่อนหนักเป็นเบา..เข้าใจไหม”
“เข้าใจยาก” จีจ้าบ่น
“เข้าใจยาก..แต่ต้องรับหลักการไปก่อน เดินตามผู้ใหญ่ หมาไม่กัด จำไว้”
ป๊อปคอร์นโผล่มาเห็นเลยเห่าใส่
“แต่หมาเห่า” แจ๊สว่า
“ชู่ว์....” กริสน์บอกป๊อปคอร์น พลางชะโงกหน้าไปมอง เห็นทางสะดวก “ไป ทางสะดวกแล้ว รีบเข้าบ้านไปเปลี่ยนชุดเร็วๆ”
เด็กๆ รีบแอบเข้าบ้านไป
กริสน์เหลียวซ้ายแลขวา พึมพำคนเดียว
“เงียบสนิทจนผิดปกติ แต่ทางสะดวก ค่อยยังชั่วหน่อย”
กริสน์ไม่รู้ว่าสาเหตุที่บ้านเงียบ เพราะเวลานั้นพิมมาดากำลังบรรจงเปิดกล่องของขวัญ โดยมีเค้กมองลุ้นข้างๆ แล้วทั้งคู่ต่างกลั้นใจเฮือกๆ ลุ้นระทึก
กล่องเปิดออก ภายในนั้น คือสร้อยทองคำขาว มีล็อกเก็ตเป็นเพชร รูปหัวใจเล็กๆ น้ำงามเริ่ด
“หา…” พิมมาดานิ่งอึ้ง พูดไม่ออก
“เพชรๆๆๆ มันคือเพชร..กรี๊ดดด เพ้ด... เพ้ด...จริงๆ ด้วย”
เต๋า กับเต้ย เพิ่งกลับจากส่งดอกไม้มาถึงร้าน โผล่มาเห็นพอดีต่างกรี๊ดตาม
“ว้าย เพ้ดๆๆๆๆ”
พิมมาดาอุดหู “พอแล้ว”
ทุกคนเงียบ
“ชั้น..ชั้น..คงรับเอาไว้ไม่ได้” พิมมาดาเขินต่อ
“อะไรนะ” ทุกคนประสานเสียง
“ผู้ชายให้ของมีค่าแบบนี้..ถ้าเรารับไว้..ก็แปลว่า..เรายอมเป็นเบี้ยล่างเค้านะ”
“เป็นเบี้ยอะไรก็รับๆ ไว้เถอะน่ะ” เค้กเสนอ
“ไม่ได้..ถ้าเขาให้ของแพงๆเรา แล้วเราเอา..ต่อไปนี้..เค้าจะบอกให้เราทำอะไร เราก็ต้องยอม ถ้าไม่ยอม ก็เหมือนเราหลอกเอาของเค้า ชั้นไม่อยากเป็นผู้หญิงแบบนั้น” พิมมาดายืนกราน
“โห..เราก็เอาทั้งของ แล้วก็ยอมๆ เขาไปด้วยไงคะ” เต๋าว่า
“ช่าย..คิดดูสิคะ ได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง ไม่มีเสียเลย ได้อย่างเดียว” เต้ยบอก
พิมมาดาเจอรุมจนอึ้งๆ เป๋ไป “จริงเหรอ..ทุกคนคิดอย่างนั้น..จริงๆอ่ะเหรอ…”
พิมมาดาพิจารณาจี้เพชรเส้นนั้น อย่างใช้ความคิดหนัก
ขณะเดียวกันนั้น แจ๊ส กับจีจ้าช่วยกันทำแผลให้โจ๊ก กริสน์เดินเลี่ยงๆ ออกมา กดโทร.หาภัทรดนัย
“ภัทรดนัยๆ ด่วนๆๆ แกอยู่ไหน ชั้นต้องการความช่วยเหลือ”
ภัทรดนัยอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล กำลังนั่งอั้มเค้กเต็มปากที่ร้านเบเกอรี่ของเค้กนั่นเอง
“อยู่ร้านยัยแบ๊วขายหนมเค้ก รอแกอยู่ มีไร”
กริสน์ทำเป็นปิดปากเล่าแบบไม่อยากให้เด็กๆ ได้ยิน “แกช่วยบอกหน่วยเหนือที่ไหนซักหน่วย ที่มีอิทธิพลต่อกระทรวงศึกษา ให้ช่วยแก้ปัญหาให้หลานยัยเจ๊โหดหน่อยดิวะ”
ภัทรดนัยถามทั้งที่กินเค้กจนครีมเลอะปากไปหมด “เด็กนรกคนไหนล่ะ”
“โจ๊กโดนพักการเรียน มีใครใหญ่ๆ..ที่จะสั่งครู ให้เปลี่ยนใจได้ไหม ไม่งั้น ยัยเจ๊โหดไล่ชั้นออก โปรเจ็คท์ตามล่าสุขสันต์ของเราพังนะเว่ย” กริสน์ยกงานมาอ้าง
ภัทรดนัยคิดพลางมองไปนอกร้าน แล้วร้องจ๊าก
เมื่อเห็นแพรวิลาศจอดรถสปอร์ต แล้วก้าวฉับลงมาอย่างรวดเร็ว ในมือ ถือแจกันดอกไม้ที่กริสน์เอาไปทิ้งไว้ในออฟฟิศสุขสันต์มาด้วย
“กรรมแล้ว ไอ้เบื๊อก แผนเราพังแล้ว พังๆๆๆๆ”
“ก็ใช่น่ะสิ พังเละเลย ถ้าเราช่วยโจ๊กไม่ได้” กริสน์คิดว่าเป็นเรื่องเดียวกัน
“ไม่ใช่แค่เรื่องไอ้เด็กโจ๊กแล้วแก..แต่ยัยเจ๊โหดของแก กำลังจะเจอนางเสือร้าย แฟนนายสุขสันต์บุกมาที่นี่แล้ว..แล้วถ้ายัยเจ๊พ่ายแพ้ ต้องเลิกกะนายสุขสันต์..เราก็ต้องเริ่มต้นภารกิจใหม่หมดเหมือนกัน แกมานี่เดี๋ยวนี้ แก้ปัญหาเฉพาะหน้าก่อนเลย ย๊าก...ไม่ทันแร้ว”
“อะไรนะ” กริสน์ตกใจ
แพรวพิลาศเดินจ้ำดิ่งตรงมาถึงที่หน้าร้านพริมโรส ภัทรดนัยวิ่งข้ามถนนหัวทิ่ม รีบเข้าไป กางแขนกันแพรวพิลาศเอาไว้ “เข้าไม่ได้ครับๆ”
“หลบไปๆๆๆ” แพรวพิลาศเอาแจกันดอกไม้ฟาด พร้อมกับผลักภัทรดนัยออก แล้วแหวกเข้าไปยืนก๋าในร้าน ถามแทบเป็นตวาดออกมา
“คุณสุขสันต์!! อยู่ไหน”
เค้กรู้ทันสถานการณ์ รีบคว้ากล่องเพชรแอบใต้เค้าน์เตอร์c5,kiy[sohk
“อะไรกันคะคุณ เข้ามาโวยวายอะไรในร้านนี้”
เต๋าเข้ามากันพิมมาดาไว้ “อะไรกันเนี่ย..คะ คุณคะ..ที่นี่ไม่ใช่สถานีตำรวจนะคะ ที่ใครๆ จะได้มาแจ้งความ เวลาแฟนหายน่ะ”
เต้ยเข้าช่วยบังอีกคนแอบกัด “เจ๊คนนี้มาบ่อยนะ สงสัยติดใจร้านเรา”
“สุขสันต์ต้องอยู่ที่นี่..แต่หนีไปไหนแล้ว..พวกแกอย่ามาปกปิดนะ” แพรวพิลาศไม่เชื่อ
“อ๋อ นี่สินะ แฟนคุณสุขสันต์ ต๊าย หน้าตาสวยๆ ไม่น่าทำตัวเป็นผีเสื้อสมุทรตั้งแต่ยังสาวๆ” เค้กกัดเลือดซิบๆ
“เค้ก..หยุด” พิมมาดารีบแหวกทุกคน ออกมาปรามเค้ก
“นังหน้าด้าน นี่แน่ะ”
แพรวพิลาศโกรธจัดเขวี้ยงดอกไม้ใส่พิมมาดาทันที
“นี่คุณ..ทำแบบนี้ได้ยังไง ทำร้ายร่างกายคนอื่น ชั้นจะแจ้งความ” เค้กโกรธแทน
“เพื่อนหล่อนสิอยากมีเรื่อง..คุณสุขสันต์เค้าเป็นของชั้น ใครๆ ก็รู้ ยังมีหน้าส่งดอกไม้ไปให้ท่าเขาถึงที่ทำงานอีก”
“ดอกไม้..อะไรกัน..ชั้นไม่เคยส่งดอกไม้ให้คุณสุขสันต์เลย”
“แล้วไอ้ช่อนั่น มีการ์ดร้านเธอ มันมีขาเดินไปเองได้หรือไง”
“ชั้นไม่ได้ส่งไปจริงๆ”
“หน็อย ยังมีหน้ามาสะตออีก ชั้นจะสั่งสอนให้สะตอแตก”
เค้กถือมือถือยกขึ้นมาขู่ “อย่านะ ถ้าคุณทำอะไรเพื่อนชั้น ชั้นถ่ายคลิปคุณ แล้วเอาไปประจานแน่..เอาสิ แน่จริงเอาเลย”
“คิดว่าชั้นจะกลัวเหรอ..พวกหล่อนรู้มั้ย ชั้นลูกใคร..ห๊า” แพรวพิลาศแว้ดใส่เค้ก
“ไม่รู้ค่ะ ลูกใครคะๆๆ” เต๋าเย้ย
“ต๊าย ตัวเองเป็นลูกใคร ตัวเองก็ยังไม่รู้ ต้องเที่ยวถามชาวบ้าน กิ๊วๆๆๆ” เต้ยผสมโรงด่า
“ตกลงจะแย่งคุณสุขสันต์ให้ได้ใช่ไหม”
แพรวพิลาศจะเข้าไปตบพิมมาดา อยู่ๆ กริสน์เข้ามาคว้าแขนแพรวพิลาศหมับ ภัทรดนัยตามเข้ามาสมทบ
“ทีนี้ไม่ใช่บ้านคุณนะ คุณจะใหญ่มาจากไหน พวกเราไม่ทราบ แต่ในร้านนี้ เจ้าของร้านใหญ่ที่สุด แล้วเค้าคงไม่ต้องไปแย่งแฟนใคร เพราะ..”
“เพราะอะไร?” แพรวพิลาศถาม
“เพราะเค้าเป็นแฟนพิมมาดา” ภัทรดนัยบอก
“อะไรนะ” แพรวพิลาศถามซ้ำ
กริสน์โอบพิมมาดายิ้มเผล่ ยักคิ้ว หงึกๆ
ทุกคนอ้าปากค้าง
“บ้าแล้ว” แพรวพิลาศจ้องหน้ากริสน์
“ใช่ บ้าแล้ว” เต๋ากับเต้ยกระซิบพร้อมกัน
“คุณสิบ้า ..แล้วคุณรู้ไหม ว่าผมเป็นลูกใคร”
“หา..” แพรวพิลาศมองเท้าจรดหัว “แก..ลูกใคร”
“ใหญ่กว่าพ่อคุณก็แล้วกัน” กริสน์ว่า
“บ้า..ไม่มีใครใหญ่กว่าพ่อชั้นหรอก”
“ไม่จริง..พ่อผมเคยวัดขนาดแล้ว ท่านบอกว่า..พ่อคุณเล็กมาก..หมายถึง..สมองอ่ะนะ มันมีแต่ตด ถึงอบรมลูกเต้าไม่เป็นไง” กริสน์หลอกด่าแพรวพิลาศ
“ไอ้เลว” แพรวพิลาศด่า
ทุกคนหัวเราะเยาะแพรวพิลาศ ยกเว้นพิมมาดา
แพรวพิลาศเงื้อมือจะตีกริสน์ แต่กริสน์ปัดป้อง แล้วจัดการช้อนตัวแพรวพิลาศอุ้มขึ้นมาทั้งตัว แล้วพาออกไปจากร้าน แพรวพิลาศดีดพล่าน โวยวาย เสียงแหลมดังตลอด
“แกจะทำอะไร ปล่อยชั้น ปล่อยๆๆๆ”
กริสน์อุ้มแพรวพิลาศออกจากร้านดอกไม้ เดินมาตามถนน แล้วตรงไปที่รถของแพรวพิลาศซึ่งจอดอยู่หน้าร้านดอกไม้ แพรวพิลาศโวยวาย แถมดีดดิ้นไม่ยอมหยุด
ทุกคนวิ่งมาส่องดูผ่านกระจกร้าน
“ปล่อยชั้นนะ ไอ้บ้าๆๆๆ”
“โอ๊ย แสบหูไปหมดแล้ว” แพรวพิลาศยิ่งร้องดังขึ้น กริสน์พามาถึงที่รถจนได้ “อยากให้ปล่อยใช่มั้ย..ได้” กริสน์ปล่อยตัวทันที แพรวแทบหล่น
“ว้าย!! นี่ แกจะฆ่าชั้นหรือไง ชั้นจะให้พ่อมายิงแก”
“โว้ย พ่อหล่อนยิงคนเป็นคนเดียวหรือไงยะ นังชะนี เงียบ!! หยุดพูด แล้วก็ขึ้นรถ กลับไปได้แล้ว! ไป!” กริสน์แกล้งโวยวายออกสาวใส่
“อ๊าย..แกก็ไอ้กะเทยจัดดอกไม้คนนึงในร้าน อย่านึกนะ ว่าชั้นจะรู้ไม่เท่าทัน ทำเป็นมาอำว่าเป็นแฟนยัยนั่น”
“อ๋อ หาว่าผมเป็นกะเทยหรา อยากลองของใช่มั้ย ได้” กริสน์ถลาตัวเข้าไปจะแนบชิด แพรวพิลาศขยะแขยงรีบผลักออก กริสน์จะเข้าชิดอีก “จะกลับไม่กลับ”
แพรวพิลาศขัดใจ แต่จำต้องยอมหนีขึ้นรถไป ปิดประตู มองผ่านกระจก เห็นกริสน์ทำท่าไล่ให้ขับออกไปได้แล้ว แพรวพิลาศยิ่งแค้นเคืองใจ
“ชั้นจะถล่มร้านนี้ให้ราบ ไม่เชื่อคอยดู”
แพรวพิลาศคำรามในลำคออย่างอาฆาต แล้วขับรถออกไปอย่างเร็วและแรง
อ่านต่อหน้า 2
มือปราบพ่อลูกอ่อน ตอนที่ 6 (ต่อ)
เห็นแพรวพิลาศขับรถออกไปจนลับตาแล้ว พอกริสน์หันกลับมาเห็นภัทรดนัยยืนเบิ่งตาโพลง แถมทุกคนในร้านมองกันตรึม ก็เลยเดินยืดเข้ามา
“ไงครับ..เจ๋งปะล่ะ”
พิมมาดาก้าวออกมาแล้วพูดขึ้น
“เจ๋งมาก..แต่ว่า..เรามีเรื่องต้องคุยกันแล้วล่ะ..ชั้นว่า”
กริสน์และภัทรดนัยมองหน้ากันด้วยความอึ้ง
ระหว่างนั้น ในอีกด้านหนึ่งของถนนหน้าร้านดอกไม้ มาวินโผล่หน้าออกมาจากพุ่มไม้ เริ่มตั้งสมมติฐานประสานักสืบนอก
“ไอ้ภัทรดนัย ไอ้สายสืบตัวยุ่ง นี่ต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ..มันกำลังสืบอะไรกันแน่ มันไปด้อมๆ มองๆ ไอ้สุขสันต์ แล้วนี่มันมาด้อมๆ มองๆ บ้านพิมมาดา มันกำลังทำภารกิจอะไร..มันทำงานให้ใคร ทำเรื่องอะไร”
มาวินรีบถ่ายรูปเก็บไว้
เต๋ากับเต้ยกำลังพิจารณาช่อดอกไม้ที่แพรวเขวี้ยงใส่พิมมาดาอยู่
“ทุกคน ช่วยวิเคราะห์หน่อยซิ ว่านี่..ฝีมือใคร” พิมมาดาพูดพลางปรายตาอาฆาตมายังกริสน์
“ฝีมือและรสนิยมในการจัดดอกไม้ แย่มาก..เต้ยว่าเต้ยเริดกว่านี้เยอะค่ะ” เต้ยเหยียดปากว่า
“ถ้าเต๋าจัดดอกไม้ได้เสร่ออย่างนี้ เต๋าไปชกมวยดีกว่าค่ะ”
“ถ้าไม่ใช่พวกเธอ แล้วใครส่งไปให้คุณสุขสันต์” พิมมาดาถามแทบเป็นตวาด
“โอ้ว...เด็กๆได้เวลาทำการบ้าน ตามโปรแกรมที่ผมวางไว้แล้ว ขอตัวก่อนนะครับ” กริสน์ร้องเสียงดังเปลี่ยนเรื่องเบนความสนใจ
“เดี๋ยว..ดอกไม้ช่อนี้ ฝีมือนายชัดๆ”
“ผมจะจัดดอกไม้ไปให้คุณสุขสันต์เพื่ออะไร” กริสน์ถาม
“ก็ส่งไปจีบคุณสุขสันต์ไง..ใช่มั้ย” เค้กโพล่งขึ้น
“ส่งไปจีบคุณสุขสันต์ ผมส่งไปจีบคุณเค้กดีกว่า” กริสน์บอก
“อร๊าย บ้า เซี้ยว”
พิมมาดามองค้อน อยากทุบกริสน์ซักอั้ก
ระหว่างนั้น เสียงโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่มุมหนึ่งดังขึ้น เต๋ารีบวิ่งไปรับ
“ร้านพิมโรสค่ะ..อ๋อ ค่ะๆ สักครู่นะคะ..... คุณพิมคะ โทรศัพท์ค่ะ จาก..คุณครูพงษ์พัฒน์ค่ะ”
“ครูพงษ์พัฒน์” กริสน์อุทานโพล่งขึ้น
“มีเรื่องอะไรอีก” พิมมาดากำลังจะเดินไปรับสาย
“เดี๋ยวครับ คือ ผมขออนุญาตรับสายเองครับ ในฐานะเป็นพี่เลี้ยงผู้ดูแลเด็ก” กริสน์เสนอตัว
“แต่ครูพงษ์พัฒน์บอกว่าจะขอพูดกับคุณพิมเท่านั้นค่ะ” เต๋าว่า
“หลบไป” พิมมาดาเดินไปรับสาย
ภัทรดนัยเห็นท่าไม่ได้การรีบสร้างสถานการณ์ขึ้นทันที
“กรี๊ด อร๊ายยย เมย์เดย์ๆ ขอความช่วยเหลือด่วนๆ”
ภัทรดนัยรีบอุ้มป๊อปคอร์นขึ้นมา
“นี่หมาใครครับ หมาคุณรึเปล่า”
พิมมาดาที่กำลังเดินไปเพื่อจะรับโทรศัพท์หันกลับมาทันที
“ใช่คะ ป๊อปคอร์น มันเป็นอะไรคะ”
“มันกัดผม” ภัทรดนัยบอก
“อีตาบ้า ปกติป๊อบคอร์นมันกัดใครที่ไหน” เค้กบอก
“โอ้ว..ดนัย..ดนัยเพื่อนรัก..หมาตัวนี้มันกัดแกเหรอ แบบนี้มันต้องตี ตีแรงๆ ตีให้ตาย” กริสน์ช่วยเล่นละคร
“อย่าอวดดีมาตีหมาชั้นนะ คุณด้วย วางป๊อบคอร์นลงเดี๋ยวนี้” พิมมาดาสั่ง
“ได้เลย”
ทันทีที่ภัทรดนัยวางลง จู่ๆ ป๊อปคอร์นก็วิ่งมากระแทกถังใส่ดอกไม้ จนหกล้มระเนระนาด น้ำหกเกลื่อน แล้ว ป๊อปคอร์นตั้งหน้าตั้งตาวิ่งๆๆๆ ชนนั่นชนนี่ ทุกคนตกใจ
“ว้ายๆๆ ป๊อปคอร์นเป็นอะไร หยุดนะๆๆ จับไว้เร็วๆ” เต๋าร้องลั่น
“ป๊อปคอร์น หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
พิมมาดาวางโทรศัพท์ลงกับโต๊ะ แล้วหันไปจัดการกับป๊อปคอร์นก่อน
“แกทำไรกะป๊อปคอร์นน่ะ” กริสน์กระซิบถามภัทรดนัย
“จับมันปั่นจิ้งหรีด”
“ฉลาดมาก”
กริสน์อาศัยช่วงชุลมุน คว้าโทรศัพท์แล้วรีบเดินแยกหนีออกไปทันที
กริสน์เดินแยกออกมาที่หลังร้านในบริเวณบ้าน กริสน์ดัดเสียงรับสายทันที
“ฮัล.. แฮ่มๆๆ สวัสดีค่ะครูพงษ์พัฒน์ พิมพูดสายค่ะ”
พงษ์พัฒน์กำลังถือข้าวของเดินออกมาที่ข้างสนามบอลเพื่อจะกลับบ้าน
“สวัสดีครับคุณพิม..ไม่ทราบคุณพิมมาดาได้รับจดหมายเชิญที่ทางโรงเรียนฝากเด็กชายโจ๊กไปให้หรือยังครับ..จดหมายเชิญให้มาเซ็นรับทราบว่าเด็กชายโจ๊กต้องถูกพักการเรียนน่ะครับ”
“เอ่อ อ๋อ ได้รับแล้ว มีอะไรอีกมั้ยคะ”
“หลานถูกพักการเรียน คุณพิมดูไม่ตกใจเลยนะครับ”
“อ่อ ค่ะ ตกใจค่ะ ตายแล้วๆ แย่จังเลยๆ..มีอะไรอีกมั้ยคะ”
“เอ่อ ไม่มีครับ วันนี้เสียงคุณพิมดูแหบๆ ใหญ่ๆ จังเลยครับ”
“พิมป่วยบ้างไม่ได้เหรอคะ..ทำไมครูพงษ์พัฒน์ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านจังคะ มีปมด้อยเหรอ ทีหลังมีเรื่องอะไรก็คุยกับพี่เลี้ยงเด็กก็ได้ เข้าใจมั้ย”
กริสน์กดตัดสายทิ้งทันที พงษ์พัฒน์รู้สึกแปลกๆ กับพิมมาดาและ ไม่ค่อยไว้ใจ
“ทำอะไร” เสียงพิมมาดาดังขึ้นเมื่อกริสน์กดสายพงษ์พัฒน์ไปแล้ว
“เปล่า”
“นายคุยกับครูพงษ์พัฒน์เหรอ ทำไม มีเรื่องอะไร”
“เอ่อ อ๋อ ครูพงษ์พัฒน์โทรมาย้ำให้เราช่วยกำชับให้โจ๊กทำการบ้านส่งด้วย”
“ทำการบ้าน แต่ครูพงษ์พัฒน์สอนพละนะ”
“อ๋อ นั่นแหละ เค้าบอกว่าโจ๊ก ยืดหยุ่นไม่ค่อยดี ม้วนหน้าม้วนหลังไม่สวยงาม ต้องช่วยกำชับให้ฝึกบ่อยๆ”
จู่ๆ เสียงมือถือของพิมมาดาดังขึ้นอีกครั้ง
“สวัสดีค่ะ..อ้าว ครูพงษ์พัฒน์..ค่ะ เมื่อกี้นี้..ไม่ค่ะ ไม่ใช่พิม..คะ..คะๆ..พักการเรียน”
สีหน้าของพิมมาดาเปลี่ยนเป็นบูดบึ้งอย่างเห็นได้ชัด กริสน์หน้าซีดลงทันที
พิมมาดาลากแขนโจ๊กลงบันไดบ้านมาชั้นล่าง
“แค่ทำตัวดีๆ ตั้งใจเรียนหนังสือ แบบเด็กคนอื่นๆเค้า แค่นี้ทำไม่ได้เหรอโจ๊ก ทำไมต้องเป็นเด็กแบบนี้..ไม่อยากเรียนหนังสือแล้วใช่มั้ย อยากไปเป็นกุ๊ยใช่มั้ย ห๊า”
“โจ๊กไม่ได้ทำอะไรผิด พวกมันแกล้งโจ๊กก่อน”
“ยังจะแก้ตัวอีก”
พิมมาดาคว้าหนังสือพิมพ์ขึ้นมาม้วนๆ
“น้าพิม อย่าตีพี่โจ๊กนะ” จี้จ้าร้องขึ้น
“ถ้าน้าพิมจะตี น้าพิมก็ต้องฟังเหตุผลของโจ๊กก่อน” แจ๊สว่า
“เหตุผลอะไร มีแต่ข้ออ้าง คำแก้ตัว....จีจ้า แจ๊ส หลบไป ไม่อย่างนั้นน้าจะตีให้หมดทั้งสามคน”
เด็กๆ ไม่มีใครยอมหลบ
“จะลองดีใช่มั้ย ได้”
พิมมาดาตีเด็กๆทุกคน แต่ตัวเองช้ำใจเสียเอง
“คุณจะตีไปให้ได้อะไรขึ้นมา..หยุดตี แล้วก็ฟังพวกเด็กๆก่อนดีกว่า” กริสน์ว่า
“ นาย” พิมมาดาหันมาตีกริสน์แทน
“เพราะนายคนเดียว.. นายรับปากว่าจะอบรมทำให้หลานชั้นดีขึ้น..แล้วนี่อะไร โจ๊กถูกพักการเรียน ดีขึ้นยังไง!! หลานชั้นเสียคนก็เพราะนายคนเดียว” พิมมาดาพูดพลางหันมาตีกริสน์แทน
“อ้าว โอ๊ยๆๆ อย่าใช้กำลังสิคุณ คุยกันดีๆ แบบคนดีๆ เป็นมั้ย”
“น้าพิมไม่มีเหตุผล โจ๊กเกลียดน้าพิม โจ๊กจะไม่เรียน จะเป็นนักเลง จะเสียคนให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย” โจ๊กพูดขึ้นอย่างเหลืออดและวิ่งออกไป
“น้องโจ๊ก” เต๋ากับเต้ยร้องเรียก
“เออ เกลียดน้าก็ดี..เพราะน้าก็เบื่อเต็มทีแล้ว น้าจะส่งพวกเธอไปโรงเรียนดัดนิสัยที่อินเดีย”
แจ๊สกับจีจ้าอึ้ง ผิดหวังกับพิมมาดา
“ส่วนนาย ออกไปจากบ้านชั้นเดี๋ยวนี้”
“หา” กริสน์อึ้ง ตะลึงงัน
“ไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปเดี๋ยวนี้ ไป”
พิมมาดาเดินกลับเข้ามาในห้องนั่งเล่น ทิ้งหนังสือพิมพ์ ทรุดตัวนั่งกับพื้น ร้องไห้ เค้กตามเข้ามา
“พิม”
“ชั้นไม่ไหวแล้วเค้ก ชั้น..ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว”
“พิม ชั้นเข้าใจเธอนะ ค่อยๆตั้งสตินะพิม..อย่าใช้อารมณ์ เพราะไม่อย่างนั้น เธอจะแก้ปัญหาอะไรไม่ได้เลย”
พิมมาดาค่อยๆ ตั้งสติ จนคุมตัวเองให้สงบได้ พิมมาดาหายใจเข้าอย่างลึกและแรง
“โอเค..ชั้นโอเคแล้ว..ตั้งสติได้แล้ว”
“ชั้นว่าเธอปล่อยเรื่องเด็กๆ ให้คุณกริสน์เป็นคนจัดการเถอะ เค้าเป็นผู้เชี่ยวชาญจิตวิทยาเด็กนะพิม เธอก็เห็นประวัติของเค้าแล้ว..ส่วนเธอ..เอาเวลามากังวลเรื่องคุณสุขสันต์อย่างอื่นดีกว่า”
“ไม่..เรื่องหลานชั้นสำคัญที่สุด นายกริสน์ต้องไปสถานเดียว”
พิมมาดาพูดหนักแน่นจนเค้กถึงกับเซ็ง
โจ๊กกำลังเดินทอดน่องอย่างอ่อนล้า ท้อถอยอยู่ขอบฟุตบาทข้างทาง กริสน์โผล่มา และรีบเข้าไปหา พอโจ๊กหันมาเห็นกริสน์กลับรีบเร่งฝีเท้าเดินหนี
“โจ๊ก เดี๋ยวๆ นายจะไปไหน”
“เรื่องของผม”
“เป็นลูกผู้ชายเสียเปล่า แต่เจอปัญหานิดหน่อย ดันสะบัดก้นเดินตูดบิดหนีซะงั้น”
“ผมไม่ได้เดินตูดบิด”
กริสน์เดินไปขวางโจ๊กไว้
“โจ๊ก ชั้นอยู่ข้างนายนะ ปัญหาตอนนี้คือ น้าพิมหูหนวก ไม่ยอมรับฟังอะไรทั้งนั้น ..ถ้าเค้าไม่รับฟัง งั้นเราก็อย่าพูด แต่ทำให้เค้าเห็นสิ..ชั้นว่าน้าพิมคงไม่ได้ตาบอดด้วยหรอก จริงมั้ย”
“น้าพิมไม่เคยเข้าใจอะไรทั้งนั้น ทำให้ตายก็ไม่เห็นหรอก เสียเวลาเปล่า”
“ชั้นบอกว่าชั้นไว้ใจได้ๆก็เชื่อหน่อยเซ่!! กลับบ้าน”
โจ๊กทำท่าจะเดินไปอีก กริสน์คว้าตัวโจ๊กขึ้นแบกทันที โจ๊กดิ้นพราดๆ
“เฮ้ย..ปล่อยผม ปล่อย”
พิมมาดากำลังให้เต๋ากับเต้ยเก็บข้าวของ ของกริสน์ออกจากห้อง และติดป้าย ห้ามเข้า
“น้าพิมทำอะไรน่ะ” จีจ้าถาม
“เต๋าเต้ยเอาของพวกนี้ไปทิ้งให้หมด” พิมมาดาออกคำสั่ง
“หา ฮ้า ทิ้ง..ทิ้งเหรอ..ยังดีๆ อยู่เลย” เต๋าว่า
“ไม่สกปรกนะ กลิ่นหอม” เต้ยสำทับ
“ทิ้งไปเดี๋ยวนี้!!อี๋ ขยะแขยง” พิมมาดาว่า
ทันใดนั้น เสียงกริสน์ดังขึ้น
“คุณพิม เราตกลงกันว่าผมมีเวลาหนึ่งเดือน คุณจะมาขับไล่ผมกะทันหันแบบนี้ไม่ได้ ผมไม่ยอม”
พิมหันไปเห็นกริสน์ยืนท่าเก๋าอยู่ โจ๊กยืนข้างๆกอดอกหน้าหงิก
“ทำไมชั้นจะทำไม่ได้ ชั้นมีสัญญา ระบุชัดเจน ถ้านายทำให้หลานชั้นแย่ลงกว่าเดิม ชั้นมีสิทธิ์ให้นายออกทุกเวลา และชั้นยังจะเรียกตำรวจมาจับนายได้ด้วย”
เต๋ากับเต้ยพาเด็กๆ มารวมกลุ่มแล้วกอดๆกันเพราะผู้ใหญ่สองคนกำลังทะเลาะกันอยู่
ทำไมคุณต้องกดขี่ บังคับ ข่มขู่ทุกๆคนที่อยู่รอบๆตัว..ไม่เคยคิดจะทำความเข้าใจ ไม่เคยคิดจะรับฟัง ดีแต่ วีน เหวี่ยง อาละวาด ยังกะพวกเมายา..ผมจะบอกให้นะว่า ถ้าจะมีใครควรถูกดัดนิสัยคนแรก ก็ต้องเป็นคุณ”
กริสน์คว้าเอกสารสัญญามาชูพลางฉีกต่อหน้า
“สัญญาใช่มั้ย ไง ผมฉีกสัญญาแล้ว จะขู่อะไรผมได้อีก..ขู่มาเลย ถ้าไม่ขู่..ผมขู่เอง..ถ้าคุณไล่ผมออก ผมก็จะไป แต่เด็กๆก็จะไปด้วย..ผมไม่ได้บังคับนะ เพราะเด็กๆ เต็มใจจะไปกับผมมากกว่าถูกคุณจับส่งไปอินเดีย ใช่มั้ย พวกเรา”
“ใช่ค่ะ” จีจ้ารับขึ้นเป็นคนแรก
“แจ๊ส โจ๊ก..ใช่มั้ย...นะ” กริสน์ส่งเสียงอ้อนไปทางโจ๊กและแจ๊ส
“อื้อ ก็ได้” แจ๊สขานรับ
“น้ากริสน์จะไปหรือไม่ไป ผมก็จะไปของผมอยู่แล้ว” โจ๊กบอก
“โจ๊ก..ไม่เอา” เต๋ารีบปิดปากโจ๊ก
“หึๆๆ..ได้ยินชัดแล้วใช่มั้ย”
“นายจะลักพาตัวหลานๆ ชั้นเหรอ นายมันไอ้โจรห้าร้อย”
เต๋ากับเต้ย รีบปิดหูเด็กๆ ไม่ให้ฟัง
“คุณพิม..คุณจะมีความกดดันจากอะไร ผมไม่สน แต่คุณต้องรับรู้ความต้องการของหลานด้วย ไม่ใช่เรียกร้องให้หลานๆ หรือใครๆ มารับรู้แต่ความต้องการของคุณคนเดียว คุณน่าจะรู้นะ ว่าที่โรงเรียน โจ๊กต้องเจออะไรบ้าง ถามโจ๊กหน่อยไหม ถามผม..หรือแจ๊ส หรือจีจ้าก็ได้ ไม่ใช่ฟังแค่ครูพละคนเดียวที่ลำเอียงเข้าข้างลูกเศรษฐี ..แล้วที่สำคัญ ถ้าจะให้ผมช่วยอบรมเด็ก ก็ต้องเคารพกระบวนการทำงานของผมด้วย..อีกไม่กี่อาทิตย์ถ้าไม่มีอะไรดีขึ้น ผมลาออกเองแน่ เข้าใจมั้ย” กริสน์วางมาดเป็นงานเป็นการ
“ลองดูก็ดีนะคะคุณพิม” เต๋าเห็นด้วย
“ให้โอกาสพวกเด็กๆนะคุณพิมนะ” เต้ยขอร้อง
พิมมาดาอึ้ง พูดไม่ออก สะบัดหน้าเดินกลับเข้าบ้านไป กริสน์มองตามพิมมาดาไปด้วยสายตากังวล
ภายในห้องทำงานของภัทรดนัย ที่สำนักงานตำรวจ มาวินกำลังใช้ไฟฉาย ค้นไปตามโต๊ะของภัทรดนัยในความมืด พลางคิดว่า
“ภารกิจไรวะ ที่ไอ้ภัทรดนัยทำอยู่ ที่เกียวกะสุขสันต์..กะแฟนเรา”
หลังจากที่คิดแล้ว มาวินตัดสินใจเปิดคอมฯ ที่หน้าจอ เป็นรูปนักเรียนนายร้อยรุ่นภัทรดนัยทั้งรุ่น มาวินตาลุก ยื่นหน้าไปดูหน้าแต่ละคน
“ไหนวะ ไอ้ภัทรดนัย ไหนวะๆ”
มาวินมองๆ เอานิ้วจิ้มๆ ไปทีละหน้า แล้วชะงัก เมื่อพบใบหน้าหน้าของกริสน์ ตอนเด็กๆ อายุสัก18 ผมเกรียน
“เฮ้ย..คนนี้ใครวะ..หน้าตาคุ้นมาก”
จู่ๆ มีเสียงฝีเท้า และไฟทางเดินสว่างขึ้น มาวินรีบกดปิดคอมพ์ แอบอยู่ที่ใต้โต๊ะ ภัทรดนัยเข้ามา คอมฯยังไม่ปิดสนิท
“อ้าว..เรานี่ ป้ำเป๋อจริง ออกจากห้องไป ไม่ปิดคอมฯหรือเนี่ย”
คอมพ์ฯชัตดาวน์ลงพอดี
“เย้ย ไรเนี่ย ผีหลอกปะวะ” ภัทรดนัยพึมพำพร้อมกับผวานิดๆ
ภัทรดนัยเดินไปหยิบสร้อยพระที่หลังตู้มาไหว้ปะหลกๆ แล้วเอาคล้องคอ ระหว่างนั้น มาวินคลานแล้วกลิ้งตัว หลบออกไปจากห้องอย่างไวและเงียบกริบ มาวินย่องอยู่ที่หน้าห้อง แล้วก็ชะงัก ตาลุก นึกขึ้นได้
“ฮ้า! นึกได้แร้ว..ไอ้คนในรูปนักเรียนนายร้อยรุ่นของนายภัทรดนัย..มันคือ” มาสินนึกถึงกริสน์ขึ้นมาได้
“ไอ้สายสืบคนนั้น..เป็นเพื่อนไอ้ภัทรดนัย อืมๆ เอๆ..มันมีอะไรตงิดๆ อยู่วะ..ฮื้อ..นึกไม่ออกๆๆ”
มาวินพลางเคาะหัวตัวเองไปมา
พิมมาดาในชุดนอนผ้าไหมพริ้วไหว กำลังนั่งมองดูรูปพี่สาวอยู่ในห้องนอน
“พี่พลอย..พิม..พิมควรทำยังไงดี พิมไม่รู้แล้ว”
เสียงที่ประตูระเบียงถูกเปิดขึ้น พิมาดาตกใจ กริสน์ทำสีหน้าเว้าวอนขอความเห็นใจสุดชีวิต
“ว้าย!! นาย..เป็นบ้าอะไรเนี่ย..อย่าเข้ามานะ”
พิมมาดาถอยห่างอย่างตกใจ รีบใส่ชุดนอนให้รัดกุม แล้วรีบคว้าแจกันใกล้ตัวมาถือ
“ใจเย็นๆ ผมไม่ปล้ำคุณหรอกน่า ไม่ต้องทำท่ากลัวขนาดนั้น ผมแค่จะมา”
กริสน์เผลอมองนอนชุดของพิมมาดา
“มองอะไร!! ฮ้า นี่ นายแอบปีนขึ้นมาอย่างนี้ เจตนาจะมาทำมิดีมิร้ายชั้นใช่มั้ย ไอ้โจรชั่ว ออกไปจากห้องชั้นเดี๋ยวนี้นะ”
“ไม่ใช่ๆๆ ผมแค่จะมาขอโทษคุณ เท่านั้นเอง”
ทั้งกริสน์และพิมมาดามองกันไปมา พิมมาดามีท่าทางสลด ท้อใจ
“ที่นายพูดมันก็มีส่วนถูก..ชั้นควรจะฟังความให้ครบทุกมุมก่อนที่จะตัดสินอะไร ชั้นมักจะมองว่าคนอื่นถูก แล้วหลานตัวเองผิดไว้ก่อนเสมอ..ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน”
“อาจจะเป็น..เพราะคุณดูถูกตัวเอง ว่าตัวเองไม่ดีพอที่จะสอนเด็กๆ คุณคิดตลอดเวลา ว่าคุณสู้พ่อแม่คนอื่นๆ ไม่ได้”
“ฉันเหรอ..ดูถูกตัวเอง”
“ก็เหมือนที่คุณชอบนึกว่า..ตัวเองไม่ดีพอสำหรับ..ที่จะเป็นแฟนนายสุขสันต์ ในสายตาผมนะยัยแพรวคนนั้นต้องสติไม่ดีแน่ๆ แล้วสุขสันต์เค้าไม่อยากจะคบแล้ว แต่เค้าอาจจะทำอะไรไม่ได้ เพราะยัยนั่นเป็นถึงลูกสาว”
“นี่! พอๆ นายคุยแค่เรื่องหลานของชั้นได้ไหม ชั้นไม่ต้องการพูดถึงคนอื่น”
กริสน์รีบเอามือปิดปากทันที
“แล้วนายจะอบรมโจ๊กยังไงต่อ”
“ผมจะจัดหลักสูตรเร่งรัดให้โจ๊กเอง รับรองว่าช่วงที่ถูกพักการเรียนนี้ โจ๊กจะต้องดีขึ้นจนคุณตะลึง”
“ทำให้ได้อย่างปากพูดแล้วกัน”
“แน่นอน” กริสน์เผลอมองชุดพิมมาดาอีกครั้ง
“มองอะไร!! มองหน้าชั้น มองหน้า ห้ามมองอย่างอื่น”
“มองหน้าๆๆ อือผมไปดีกว่า” กริสน์กำลังจะเดินไปที่ประตู
“เดี๋ยว มาทางไหน ออกไปทางนั้น” พิมมาดาบอก
“เฮ้ย ประตูก็มี จะให้ปีนออกไปทำไม”
“ช่วยไม่ได้..ไป”
พิมมาดาปิดประตูระเบียง กริสน์นลงไป พิมมาดาชะโงกมองตาม พลางค้อนๆ
“อีตาติงต๊องเอ๊ย..”
กริสน์โดดลงถึงพื้นพอดี เสียงพิมมาดาเรียกเสียงขึ้น
“นี่คุณๆ คุณกริสน์”
กริสน์เงยหน้าขึ้นไปมอง พิมมาดามายืนที่ริมระเบียง
“อะไร”
พิมมาดาชูสร้อยเพชรให้ดู
“ดูนี่สิ”
“อะไรอ่ะ แว้บๆ”
“เพชร..คุณสุขสันต์เค้าให้ชั้น เพชรรูปหัวใจ”
กริสน์ถึงกับอึ้งทันที
“โห..แรง..มันเล่นแจกเพชรเลยเหรอนี่ ไอ้..ไอ้..ไอ้รวย” กริสน์ฮึดฮัดอย่างขัดใจ
“มันหมายความว่ายังไง เค้าจริงจังกับชั้น..ใช่มั้ย” พิมมาดาขอความเห็น
“ไอ้กร๊วก..นี่มันเล่นเอาเงินฟาดหัวกันเลยเหรอ พระเจ้าไม่ยุติธรรม” คราวนี้กริสน์โทษพระเจ้าไปโน่น
“อะไรนะ เธอว่าเค้าหลอกลวงชั้นอยู่ใช่มั้ย..ชั้นควรเอาไปคืนเค้าหรือเปล่า ตอบตามที่นายคิดและรู้สึกเลยนะ เอาตรงๆเลย ห้ามตอบอ้อมค้อม ห้ามถนอมน้ำใจ..ว่ามา”
กริสน์ หมุนตัวไปมาด้วยความสับสนและกัดฟันกรอด
“เอ่อ..เพชรรูปหัวใจ..มันหมายถึง..ความจริงใจ”
“นายพูดจริงๆ เหรอ ไม่ได้โกหกชั้นแน่นะ”
“ครับ..ถ้าผมเป็นคุณ ผมจะคบคุณสุขสันต์ต่อไป ถ้าเค้าจริงใจขนาดนี้ แล้วผมรักเค้า ต่อให้มีอุปสรรคอะไร ผมก็ไม่กลัว และจะไม่มีวันยอมแพ้ยัยผีเสื้อสมุทรอย่างเด็ดขาด”
กริสน์ใส่อารมณ์เตะกอไม้ แล้วเงยหน้ามองที่ระเบียงอีกที พิมมาดาเดินหายนเข้าห้องไปแล้ว กริสน์ได้แต่ยืนเงยหน้ามองระเบียงที่ว่างเปล่า
กริสน์วิ่งไปชกและเตะต้นไม้ที่สนามทันที สักพัก ก็มีเสียงชกแบบเดียวกัน ดังมาจากข้างๆ กริสน์หันไปมอง เห็นโจ๊กกำลังชกต้นไม้ระบายอารมณ์เหมือนกัน กริสหยุดชก มองโจ๊กแล้วถาม
“โจ๊ก..ชกต้นไม้ทำไม”
“เห็นน้าชกก็ชกบ้าง”
กริสน์เสียหน้าเพราะรู้สึกเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี
“ยอมๆ ชั้นเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี ขอโทษๆ”
โจ๊กกอดอกยืนดูอย่างเซ็งๆ กริสน์นึกขึ้นได้
“เออ..โจ๊กไหนลองชกให้ดูอีกทีดิ”
“อ้าว ..เอาไงน้า”
“ชกลมๆ ไม่ใช่ชกต้นไม้”
โจ๊กเริ่มชกอากาศ กริสน์ มองรูปมวยของโจ๊กแล้วคิด
“ใครสอนนายให้ชกแบบนั้น”
“ไม่เห็นต้องมีใครสอน ก็แค่ชก..ชกไปมั่วๆเหมือนที่เคยเห็นเค้าชกกันในทีวีนั่นแหละ”
“ไม่เลวนี่ งั้นมาเลย เข้ามา ขอชั้นได้ลองชมลีลาหมัดเด็ดนายหน่อยสิ ว่าระดับไหน”
“ฮ่าๆๆ..เตรียมจองโรงบาลได้เลยน๊า”
โจ๊กเข้าชกกริสน์ กริสน์ปัดป้องตั้งรับได้หมด ชกกันไป สอนกันไป หัวร่องอหาย ทั้งสองมีความสุข เหมือนได้ระบายอารมณ์ทั้งคู่
ด้านจตุพลกำลังคุมคนงานจัดร้านขนมอยู่ โดยเอาขนมที่มีโลโก้เรียงซ้อนกันเป็นดิสเพลย์สวยงาม น้อมพงษ์รีบเดินจ้ำๆเข้ามาจตุพล
“คุณจตุพลครับ เสี่ย..เสี่ยอธิปมา”
เดชเข็นรถเข็นที่มีเสี่ยอธิปเข้ามาด้วยกัน
“อากู๋..มาทำไมครับ..ดึกป่านนี้ เอ่อ เชิญไปด้านนอกดีกว่าครับ ตรงนี้ฝุ่นเยอะ” จตุพลถาม
“แกจะเปิดร้านอยู่พรุ่งนี้แล้ว คิดจะบอกให้ชั้นรู้สักคำมั้ย..ขนมสวีทโอปอหน้าตา รสชาติยังไง ชั้นก็ไม่เคยเห็นไม่เคยรู้..มันชื่อลูกสาวชั้นนะเว้ย..อย่าคิดว่าชั้นดูไม่ออกนะว่าแกคิดจะทำอะไร..แกคิดจะฮุบธุรกิจของชั้นใช่มั้ย”
“ไม่ใช่เลยนะครับๆ ผมไม่เคยอยากได้อะไรของอากู๋เลย” จตุพลว่า
“คุณจตุพลแกเห็นว่าเสี่ยกำลังป่วยอยู่ เลยไม่อยากเอาเรื่องวุ่นวายของร้านไปทำให้เสี่ยหนักใจน่ะครับ” น้อมพงษ์พูดแทรกขึ้น
เสี่ยอธิปลุกขึ้น โซเซเล็กน้อย พลางพูดและตบหัวของจตุพลและน้อมพงษ์
“ใครป่วย ชั้นแข็งแรง เห็นมั้ย ชั้นแข็งแรง และยังตบหัวแกได้ ตบแกได้ด้วย ชั้นดูเหมือนคนป่วยตรงไหน”
เสี่ยอธิปเซจนเดชต้องประคอง
“เสี่ยดูแข็งแรงมากจริงๆครับ..ยังกับนักกีฬา..แต่นั่งก่อนนะครับๆ” เดชพูดและประคองให้เสี่ยอธิปนั่งลง
“เอาอย่างนี้ดีกว่าครับอากู๋ ในฐานะที่กู๋เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่..ผมว่าเราน่าจะไปเอาขนมสวีทโอปอมาให้กู๋ลองชิมดูนะครับ”
“ใช่..ไปเอาขนมมาให้ชั้นชิมเดี๋ยวนี้ ไป..ขนมสวีทโอปอ ต้องผ่านการอนุมัติจากชั้นเท่านั้น..ถ้าชั้นไม่อนุมัติ ร้านนี้ก็เปิดไม่ได้”
“ผมจะไปเอาขนมมาให้เสี่ยนะครับ เอาแบบพิเศษเลยครับ” น้อมพงษ์พูดพลางหันไปพยักหน้าสั่งคนงาน จตุพลยิ้มร้าย
น้อมพงษ์ถือถาดที่มีขนมสวีทโอปอหลากสีมาที่มุมรับรองของร้านขนม เสี่ยอธิปหยิบมาชิม รู้สึกถึงรสกร่อยแล้วหยิบชิมอีกชิ้นเพื่อความแน่ใจ
“เป็นไงครับเสี่ย” น้อมพงษ์ถาม
“อื้ม อร่อยๆ อร่อยมากจริงๆ”
“ผมขอชิมบ้างนะครับ” เดชว่า
เสี่ยอธิปรีบตีมือเดชบอก
“ไม่ได้!! ของชั้นคนเดียว”
“ถ้าอย่างนั้น อากู๋คงไม่ติดใจอะไรเรื่องวันเปิดร้านพรุ่งนี้แล้วนะครับ” จตุพลว่า
“โอเค ชั้นอนุมัติ เปิดร้านได้..แต่ชั้นกับโอปอจะมาตัดริบบิ้นเปิดร้านด้วยตัวเอง” เสี่ยอธิปบอกพลางกินขนมต่ออย่างเอร็ดอร่อย
“เอ่อ อากู๋ครับ คือ พรุ่งนี้ ผมเชิญให้ท่านสุขสันต์มาเป็นประธานแล้วครับ ผมว่าอากู๋ อย่าลำบากเลยครับ พักผ่อนที่บ้านให้แข็งแรงดีกว่า” จตุพลบอก
“ชั้นแข็งแรงอยู่แล้ว ชั้นยังตบกบาลแกได้ นี่ไง” เสี่ยอธิปตบที่หัวของจตุพล
“แล้วก็แกด้วย” เสี่ยอธิปเอื้อมมือจะไปตบน้อมพงษ์เป็นรายต่อไป แต่น้อมพงษ์รู้ทัน รีบกัน)ตัวเอง
“พรุ่งนี้ชั้นจะเป็นคนเปิดร้านของชั้นเอง เข้าใจมั้ย” เสี่ยอธิปบอก
“ไปดีกว่าครับเสี่ย” เดชพูดแล้วเข็นเสี่ยออกไป
เมื่อเสี่ยอธิปกับเดชคล้อยหลังไปแล้ว จตุพลพูดขึ้นมาลอยๆ
“โธ่..ไอ้แก่..ได้..อยากเปิดร้านใช่มั้ย ..ได้”
จตุลพโทร.หาสุขสันต์ทันที สุขสันต์พูดโทรศัพท์อยู่ในบ้าน โดยมีฉัตรชัยเป็นคนถือโทรศัพท์แนบหูสุขสันต์ให้
“เข้าใจแล้ว..ไม่มีปัญหา..ถ้าเสี่ยอธิปอยากเปิดร้านเองก็ตามใจเค้าเถอะ ยังไงคืนนี้ก็ให้ยาบำรุงพิเศษกับเสี่ยเยอะๆหน่อยแล้วกัน พรุ่งนี้เสี่ยจะได้มีแรงเยอะๆ ทำอะไรได้มากๆ คนจะได้รู้กันว่าเสี่ยอธิปสบาย...แค่ไหน อ้อ..ที่สำคัญ..เวลาเสี่ยอธิปขี้นกล่าวเปิดงานให้นักข่าวธุรกิจของทีวีทุกช่อง..ถ่าย แล้วนำไปออกข่าวด้วย เอาการกล่าวเปิดงานของมันออกอกากาศแบบจัดเต็ม เข้าใจ๋” สุขสันต์บอกแผนฉีกหน้าอธิป
จตุพลหัวเราะก๊ากทันที
“ว้าว..น่าสนุกจริงๆ ไม่ต้องห่วงครับ พรุ่งนี้ จะเป็นการปิดบัญชีเสี่ยอธิปแน่นอน”
สุขสันต์วางสายแล้วสุขสันต์ก็ต้องผงะ เพราะแพรวพิลาศเดินเข้ามา พร้อมช่อดอกไม้
“แพรว”
สุขสันต์ส่งสัญญาณให้ฉัตรชัยออกไป
“แพรวมีของที่คุณชอบ..มาฝากค่ะ” แพรวพูดพลางยื่นดอกไม้ให้สุขสันต์
“เนื่องในโอกาสอะไรจ๊ะ”
“ตั้งแต่วันนี้ไป แพรวจะส่งช่อดอกไม้ให้คุณทุกวันนะคะ พอเห็นดอกไม้ของแพรว จะได้หายเหนื่อย..ดอกไม้สวยๆมีรสนิยมของแพรว น่าจะช่วยให้คุณรู้สึกผ่อนคลายมากกว่าช่อดอกไม้ห่วยๆไร้รสนิยมที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานคุณนะคะ..เอ้าๆๆ ลองดมสิคะ ว่าหอมกว่ามั้ย..ดมสิคะ..ดมสิ”
สุขสันต์จำใจต้องดมอย่างเสียไม่ได้
“หอมมั้ยคะ แยกแยะออกมั้ยคะว่าดอกไม้ดีๆ กับดอกหญ้าข้างทาง กลิ่นต่างกันยังไง”
พูดจบ แพรวก็เดินเชิดและหยิ่งผยองออกไป สุขสันต์ถึงกับอึ้ง
ฉัตรชัยเดินกลับเข้ามาที่สุขสันต์อีกครั้ง
“คุณแพรวเปิดฉากสงครามเย็นแล้วนะครับ คุณสุขสันต์จะรับมือไหวไหม”
“แกก็รู้จักชั้นดีไม่ใช่หรือฉัตรชัย” สุขสันต์เชิดหน้าอย่างมั่นใจ
เช้าวันใหม่ที่บ้านพิมมาดากริสน์เข้ามาในห้องนอนโจ๊ก เป่านกหวีด ปรี๊ด
“โอ๊ย เงียบๆๆหน่อย”
“ตื่น” ปรี๊ด “ตื่น” ปรี๊ด “ตื่น” กริสน์สั่งพลางเป่านกหวีด
“โจ๊กถูกพักการเรียนแล้ว ไม่ต้องตื่นเช้าแล้ว” โจ๊กพูดอู้อี้พลางมุดหัวเข้าใต้ผ้าห่ม
“พักการเรียนในโรงเรียน แต่ยังมีหลักสูตรเร่งรัดนอกโรงเรียนอีก..เพราะฉะนั้น ตื่นเดี๋ยวนี้” เจออีกปรี๊ด “ไม่ยอมตื่นเหรอ ขอกำลังเสริม”
เต๋ากับเต้ยวิ่งเข้ามา เป่านกหวีดด้วยจนเสียงระงมไปหมดทั้งห้อง
“โว้ยยย ตื่นแล้วๆ” โจ๊กตื่นด้วยความรำคาญ
“หูแตกแล้ว” จีจ้าร้องโวยอีกคน
กริสน์กำลังอบรมโจ๊กอยู่ที่สนาม มีแจ๊ส จีจ้า และป๊อปคอร์นอยู่ด้วย
“ถึงจะไม่ได้ไปโรงเรียน แต่ตั้งแต่วันนี้ไป โจ๊ก..นายจะต้องฝึกเร่งรัดกับชั้นทุกวัน เข้าใจมั้ย..ชั้นจะสอนนายให้เป็นนักมวยเอง”
พิมมาดาตามออกมา
“ทำอะไรกันอยู่..นี่ได้เวลาต้องไปโรงเรียนแล้วนะ”
“คุณกริสน์กำลังปฐมนิเทศน์นักเรียนอยู่ครับ..พิมมาดายังจ้องเอาเรื่องไม่เลิก” เต้ยว่า
“โอเคๆ เอาล่ะๆ วันนี้วันแรก เราเริ่มด้วยอะไรซอฟท์ๆก็แล้วกัน “ กริสน์พูดพลางหยิบนวมนักมวยออกมา
“นั่น..นวมของผม” โจ๊กบอก
“เหรอ”
กริสน์โยนนวมมวยของโจ๊กให้ป๊อปคอร์นที่รีบโดดคาบเอาไว้ได้อย่างสวยงาม
“วันนี้ ท่านอาจารย์ป๊อปคอร์นจะเป็นผู้สอน..วิชาเคลื่อนไหวอย่างไรให้ไวกว่าหมา..ถ้าไม่อยากให้นวมของนายเละตุ้มเป๊ะ ก็รีบๆแย่งมาให้ได้ซะนะ”
“ป๊อปคอร์น เอาคืนมานะ” โจ๊กร้องและวิ่งไล่ ป๊อปคอร์นวิ่งหนีทันที
กริสน์ตะโกนสั่ง
“วิ่งไปรอบๆ บ้าน เร็วสุดชีวิตเลยนะ ป๊อปคอร์น”
กริสน์ชัยหันไปพูดกับพิมมาดา
“หวังว่าคุณจะไม่แทรกแซงกระบวนการของผมนะครับ..เอาล่ะสาวๆ ได้เวลาไปโรงเรียนแล้ว”
“ค่ะ” เต๋า เต้ยรับคำ
เต้ยกับเต๋ารีบวิ่งไปหน้าประตู กริสน์ร้องขึ้น
“ไม่ใช่ หมายถึง แจ๊สกับจีจ้า”
“อ้าว” เต๋ากับเต้ยเบรกตัวโก่งอย่างเซ็งๆ
อ่านต่อหน้า 3
มือปราบพ่อลูกอ่อน ตอนที่ 6 (ต่อ)
ครูฟ้าใสกำลังยืนต้อนรับนักเรียนที่ประตูหน้าโรงเรียน สักพักกริสน์ก็พาแจ๊สกับจีจ้าเดินเข้ามา ครูฟ้าใสระรื่นยิ้มทักทายทันที่เห็นกริสน์
“โอ้ว คุณกริสน์!!! ฟ้าใสดีใจ แฮปปี้ เวรี่มัชเลยค่ะ นึกว่าคุณกริสน์จะเคืองโรงเรียนที่สั่งพักการเรียนเด็กชายโจ๊ก จนไม่มาที่นี่อีก..and how is Joke ka? แล้วตอนนี้เด็กชายโจ๊กเป็นยังไงบ้างคะ How is he”
“ตอนนี้โจ๊กกำลังหัดเรียนมวยอยู่ที่บ้านครับ”
“ใครสอนคะ”
“ก็..ต้องช่วยๆ สอนๆ กันเองน่ะครับ”
พงษ์พัฒน์เดินหัวเราะเยาะเข้ามาร่วมวงสนทนาโดยไม่ได้รับเชิญ
“วะ ฮะๆๆ คงจะสอนมวยวัดสินะ..ไม่เหมือนผม มีเกียรติบัตรรับรอง”
พงษ์พัฒน์ยกขึ้นกล้ามขึ้นมาเบ่งโชว์อย่างในละครตลก
“มีมาตรฐาน มีความน่าเชื่อถือ และมีคุณภาพ เอางี้ ผมจะสอนเทคนิคให้ประดับความรู้นะครับ..ดูนะ..แย็บๆชก..โยกๆ..แย็บๆชก” พงษ์พัฒน์พูดพลางเบ่งกล้ามโชว์ข่มสุดฤทธิ์
“เด็กๆเข้าโรงเรียนไปก่อนไป อย่าอยู่แถวนี้เลย เหม็นแมงโม้” กริสน์ว่าเด็กๆพากันวิ่งเข้าโรงเรียน
“อ้าว ..ไงเนี่ย” พงษ์พัฒน์ว่า
“ผมว่าผมกลับก่อนดีกว่าครับ” กริสน์หันหลังจะไป พงษ์พัฒน์ว่าแดกอีกดอก
“อ้าว ป๊อดเหรอ คุณครูมวยวัด ฮ่าๆๆ”
กริสน์หันกลับมาพร้อมกับสวนหมัดเข้าตรงแสกหน้าชองพงษ์พัฒน์ แต่ชะงักไว้ทันก่อนที่หมัดจะถูกหน้า
“จ๊าก” พงษ์พัฒน์ถึงกับผงะหน้าซีดทันที
จู่ๆมีเสียงกรี๊ดของเมทินีและปาล์มดังเข้ามาด้วย
“กรี๊ดๆ คุณกริสน์ชกมวย..อร๊ายๆ เท่ห์มากๆ” เมทินีว่า
“แม่จ๋า เก็บอาการหน่อย..รักษาหน้าลูกบ้าง” ปาล์มเตือน
“คุณเมทินี..เอ่อ ผมไปก่อนดีกว่าครับ” กริสน์รีบลาฟ้าใส แล้วเดินหนีออกไปทันที
“คุณกริสน์ๆ รอนีก่อนค่ะ นีไปด้วย” เมทินีดี๊ด๊าวิ่งตามกริสน์ไป
กริสน์วิ่งแอบหลบที่มุมตึก เมทินีวิ่งเลยไป
“I don't like her, don't like her. ไม่ชอบ ไม่ชอบ ขัดจังหวะทุกที” ฟ้าใสโวยวายไทยคำอังกฤษคำตามคอนเส็ปท์แล้วเดินไป ทิ้งภาพปาล์มยืนอยู่กับพงษ์พัฒน์สองคนหน้าเหวอๆ
โจ๊ก นอนแผ่ อย่างหมดสภาพ ไร้เรี่ยวแรง พิมมาดาถือจานข้าวเข้ามา
“โจ๊ก..กินข้าวเช้าได้แล้ว”
“ครับ” โจ๊กยิ้มร่า
กริสน์เดินเข้ามาดึงจานข้าวออก
“ยังกินไม่ได้!!..ตามตารางการฝึกซ้อม ต้องวอร์มให้เสร็จก่อน เมื่อกี้เป็นแค่วอร์มร่างกายอย่างเดียว..ลุกๆๆๆ ไปชกลมพันครั้ง”
“ชกลม?..นี่นายสอนให้โจ๊กชกมวยเหรอ!!!” พิมมาดาปรี๊ดโวยใส่
“อย่าก้าวก่ายกระบวนการของผม”
“ก็นายจะสอนให้หลานชั้นชกต่อย มันใช้ได้ที่ไหน” พิมมาดาโวยอีก
“มันคือการฝึกควบคุมอารมณ์ และการใช้กำลังผนวกกับใช้สมองผ่านกีฬาชกมวย..ในเมื่อโจ๊กชอบทางนี้ เราก็ต้องสนับสนุน..เชื่อผมสิว่าระเบียบวินัยแบบนักกีฬา จะทำให้โจ๊กดีขึ้นได้..(หันมาเห็นโจ๊กนอนแผ่อีก) เฮ้ย บอกให้ชกลมไง ลุกขึ้นมา” กริสน์บิ้วท์อย่างหนัก
“ไม่ ผมไม่ฝึก ผมยังเป็นเด็กอยู่” โจ๊กอิดออด
กริสน์ตะโกน “อินเดีย” แล้วก้มลงกระซิบข้างหูโจ๊ก “สุขสันต์”
ได้ผลชะงัดนัก โจ๊กเด้งตัวขึ้นมาชกลมทันควัน
“ดีมาก..นับดังๆ ด้วย” กริสสั่งแล้วจะนั่งกินข้าว แต่อยู่ๆ พิมมาดาก็ดึงจานออก
“ถ้าโจ๊กยังไม่ได้กิน นายก็ไม่ต้องกิน” พิมมาดายื่นคำขาด
“เฮ้ย..คุณอย่ามาข่มผมต่อหน้าเด็กสิ มันจะทำให้เสียการปกครอง”
“เรื่องของนาย”
พิมมาดาหันกลับไป เจอป๊อปคอร์นยืนอ้อนขวางหน้าอยู่
“ไม่ต้องมาอ้อน”
พิมมาดาเดินเชิดออกไป ป๊อปคอร์นทำท่าเซ็ง ล้มนอนหงายหลัง ชักกระแด่วๆ ทำทีเป็นตาย
โจ๊ก ฝึกชกมวยอย่างจริงจังอยู่ในสวนหลังบ้านพิมมาดา จังหวะหนึ่งชกออกหมัดตรงใส่อุ้งมือกริสน์ที่รอรับอยู่ กริสน์ตีหมัดสวนกลับโจ๊ก กริสน์สอนท่าให้ใหม่ จับช่วงแขนบอกให้โจ๊กเกร็งแขน ออกหมัดให้แรง แน่วแน่ และแม่นยำกว่านี้ โจ๊กเต้นฟุตเวิร์คตั้งท่าชกใหม่อีก ซ้ำไปซ้ำมา
เวลาเดียวกันจตุพล และน้อมพงษ์ กำลังคุมคนงานแขวน ติดตั้งป้ายร้านสวีทโอปอล์ ทั้งสองยิ้มอย่างมีเลศนัย
โจ๊กกำลังเตะ กริสน์รับเท้าไว้ บอกให้เตะแรงอีก สูงอีก โจ๊กเตะซ้ำๆๆๆ อยู่ๆ เค้กวิ่งเข้ามาเรียกกริสน์ กริสน์เผลอหันไป โจ๊กเตะเข้าซอกคอกริสน์เต็มๆ กริสน์ลงไปกองที่พื้นอย่างจุก
อีกหนึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลานั้น ที่บริเวณท่าเรือ ขบวนการขนยาเสพติดโดยมีดอกไม้บังหน้า มีการแยกยาเสพติดไปยังรถคันหนึ่ง แยกดอกไม้ไปรถอีกคันหนึ่ง โดยมีน้อมพงษ์ควบคุมอยู่
โจ๊กยืนบนยางรถยนต์ ย่ำๆสลับซ้ายขวา กริสน์นั่งอีกมุม เผลอหลับ โจ๊กเลยอู้ หยุดย่ำ แต่จู่ๆ ป๊อปคอร์นเข้ามาโดดเห่าใส่เสียงดัง
อธิปนั่งอยู่บนรถเข็นวีลแชร์ มีเดชยืนอยู่เป็นเพื่อน คนของจตุพลนำยาพิษมาให้กิน
กริสน์สอนหนังสือโจ๊กอยู่อีกมุมหนึ่งของบ้าน พิมมาดาแอบมองอยู่
ร้านขนมสวีทโอปอล์ มีจตุพล น้อมพงษ์ คอยสั่งพนักงานยกขนมสวีทโอปอล์แบบพิเศษมาวางในตู้ขาย
กริสน์จัดดอกไม้กับเต๋าและเต้ย โดยมีโจ๊กยืนแย๊บซ้าย แย็บขวา อยู่ข้างๆ ไม่นานนักรถขนดอกไม้ของสุขสันต์มาส่งดอกไม้ที่หน้าร้านพิมมาดา เต๋ากับเต้ยออกมารับของ
ครู่ต่อมา ภัทรดนัยยื่นไอแพดให้กริสน์ดู เป็นข่าวงานเปิดตัวร้านขนม
“ร้านขนมสวีทโอปอล์ของเสี่ยอธิป กำลังจะเปิดตัววันนี้ พร้อมกันทุกมุมเมือง..แถมเสี่ยอธิปยังเชิญสส.สุขสันต์ไปร่วมงานเปิดอีกด้วย” ภัทรดนัยเอ่ยขึ้น
เค้กกำลังเช็ดโต๊ะอยู่ด้านในร้าน มองออกไปนอกร้าน เห็นกริสน์อยู่กับภัทรดนัยพอดี
“นั่น คุณกริสน์...กับ..กับ..คู่ขา”
กริสน์ส่งไอแพดคืนภัทรดนัย
“แล้ว ร้านขนมทุกร้าน คือ ผับบาร์เก่าทั้งหมดของเสี่ยอธิป คิดดูดิ ลงทุนปิดผับบาร์ที่ทำเงินมหาศาล มาเปิดร้านขนมแทน ที่ดูยังไงร้านขนมก็ไม่มีทางทำเงินสู้ได้เลย..แกว่างานนี้มันมีอะไรน่าสงสัยมั้ย”
“เปิดร้านขนมบังหน้า ปกปิดอำพรางธุรกิจผิดกฎหมาย” กริสน์คิด
“เยี่ยมมาก คิดได้ดั่งใจ สมแล้วที่เป็นคู่หูกัน ไอเลิฟยู” ภัทรดนัยโผกอดกริสน์อย่างลืมตัว แล้วค่อยๆ ผละออกมา ฟอร์มๆ “เราต้องรีบเข้าไปสืบเดี๋ยวนี้เลย”
“กอดกันด้วย..ฮือ” เค้กคร่ำครวญ เพราะคิดเตลิดไป...จนไกลลิบ
บรรยากาศงานเปิดร้าน มีซุ้มของต่างๆ แจกขนม แจกลูกโป่ง กิจกรรมสำหรับเด็ก
จตุพลกับน้อมพงษ์กำลังทักทายต้อนรับแขกอยู่
“คุณสุขสันต์มาแล้ว ขอตัวก่อนนะครับ”
สุขสันต์เดินเข้ามา มีบอดี้การ์ดห้อมล้อม มีเด็กๆ มายื่นดอกไม้ส่งให้ มากมาย ฉัตรชัยและบอดี้การ์ดคอยกันเอาไว้
“สวัสดีครับท่านสุขสันต์ ขอบพระคุณที่ให้เกียรติมาร่วมงานเปิดร้านนะครับ” จตุพลยิ้มทักทาย
“โครงการดีมากๆ ขนาดนี้ ผมสิครับเป็นเกียรติมากที่ได้มาร่วมงาน..เปลี่ยนผับให้เป็นร้านขนม ส่งเสริมการดื่มนม ไม่ดื่มเหล้า..เยาวชนเราจะได้เจริญ จริงมั้ยครับ”
“เพื่อความเจริญของเยาวชน รบกวนท่านให้สื่อถ่ายรูปด้วยครับ” น้อมพงษ์บอก
ทั้งหมดยิ้มแย้ม มีความสุขให้นักข่าวถ่ายรูป
ในหมู่นักข่าวที่ถ่ายรูปกันอย่างพรึ่บพรั่บๆ ภัทรดนัยถือกล้องถ่ายอยู่ด้วย หันมาสบตากับกริสน์ พยักพเยิด แล้วถ่ายรูปต่อไป
อีกด้านนึง มาวินโผล่มา ปลอมตัว ถือกล้องเช่นกัน แล้วซูมๆ ถ่ายสุขสันต์ แล้วหันกล้องไป เจอภัทรดนัย ชะงัก ชูมเข้าไปอีก
พอดีกริสน์เดินแยกแทรกตัวไปอีกทาง มาวินจึงเห็นแต่ภัทรดนัย
“ไอ้บ้านี่..มาอีกแล้ว..ชั้นต้องรู้ให้ได้ ว่าแกตามกลิ่นสุขสันต์อยู่หรือไม่ เพราะอะไร”
บรรยากาศงานเปิดร้านสวีทโอปอล์เป็นไปอย่างคึกคัก คนมาร่วมงานคับคั่ง หนึ่งในนั้นสุขสันต์มาร่วมงานในฐานะแขกวีไอพี และกำลังให้สัมภาษณ์กับบรรดานักข่าว รวมถึงกริสน์กับภัทรดนัยที่ปลอมตัวมาด้วย จตุพลกับน้อมพงษ์กำลังรับแขกหน้าระรื่น
“สำหรับโครงการเยาวชนสุขสันต์พ้นภัย ห่างไกลยาเสพติดในระดับของภูมิภาค ก็กำลังดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง” สุขสันต์เปิดใจไมค์รวมของสื่อมวลชน
ฮิมเป็นคนนำตบมือขึ้น ทุกคนงงๆ แม้แต่สุขสันต์ ฉัตรชัยรีบตบมือตามอย่างแรง คราวนี้ทุกคน พากันตบมือตามเสียงดังสนั่นงาน
สุขสันต์ยิ้มแย้ม จำต้องผายมือออก รับการตบมืออย่างภาคภูมิใจ
ทันใดนั้น มาวินก็เดินกร่างนำหน้าตำรวจเข้ามา 5 คน พูดเสียงดังสั่งการ โชว์พาวตามนิสัย
“เดี๋ยวพวกยูไปเช็คให้ละเอียด ว่าขนมนี่ผ่าน อย. หรือยัง?” เงี่ยหูฟังเพลงที่เปิดในงาน “แล้วเพลงที่เปิดในร้านนี่ จ่ายค่าลิขสิทธิ์ถูกต้องหรือเปล่า? ความสะอาดได้มาตรฐานมั้ย? จ่ายภาษีแล้วก็จดทะเบียนเรียบร้อยหรือยัง? แล้วมารายงานไอด้วย”
ตำรวจลูกน้องมาวินแยกย้ายกันไป จตุพลกับน้อมพงษ์ปรี่เข้ามาหามาวิน
“นี่นายมากไปแล้วนะ” จตุพลเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงฉุนๆ
มาวินชูบัตรเจ้าหน้าที่ตำรวจหรา “ไอมีหน้าที่ที่จะมาตรวจความเรียบร้อยทุกที่ที่ไอคิดว่า” พูดใส่หน้าจตุพล “ไม่เรียบร้อย”
“ลักษณะจะอยากหาเรื่องใส่ตัวเหมือนคราวที่แล้ว” น้อมพงษ์หยัน
“คราวไหนวะ คราวที่แล้วอะไร” มาวินตีหน้ากวนๆ ใส่ เอานิ้วจุ๊ปาก “จุ๊ๆ อย่านะ อย่าคิดจะมาขู่ตำรวจใจซื่อ มือสะอาดอย่างไอ ไอไม่กลัวพวกยูหรอก พวกยูนะซิต้องกลัวไอ เพราะไอ” มาวินทำท่าไปด้วยพูดไปด้วยราวกับท่าประจำตัวของพิธีกรทางจอทีวี “กำลัง จับ ตา ดู พวกยูอยู่”
“นี่คุณตำรวจ! คุณคงไม่ทราบกระมัง ว่าที่นี่ใครคุม” จตุพลหมั่นไส้จนเผลอหลุดปาก
สุขสันต์ฟังอยู่รู้สึกตกใจ รีบให้สัญญาณฮิมให้ไปปรามจตุพล ฮิมให้สัญญาณฉัตรชัย
ฉัตรชัยรีบปราดไปล็อคคอ กระซิบจตุพล “ท่านสุขสันต์ให้ปล่อยมันไปก่อน เดี๋ยวจะเสียงาน”
จตุพลหันไปสบตาสุขสันต์เป็นเชิงถาม สุขสันต์พยักหน้า จตุพลชี้หน้ามาวินหนึ่งที แล้วสะบัดหน้าเดินหนีไป
“เชิญ” น้อมพงษ์ประชด
“ให้มันรู้ซะบ้าง ว่าใครเป็นใคร?”
มาวินพูดแล้วเดินกร่าง ผ่านหน้าภัทรดนัยกับกริสน์เข้าไป
“ไอ้สารวัตรกวนโอ้ย นี่มาอีกแล้ว! มันจะมาทำงานเราพังอีกป่าววะเนี่ย?”
“มันมาทีไรก็พังแหงอยู่แล้ว...” กริสน์ชะเง้อ มองหา ในใจรู้สึกห่วงใย “เอ..ยังไม่เห็นเสี่ยอธิปเลยอ่ะ”
อธิปนอกจากย้ำคิดย้ำทำ พูดซ้ำคำเดิม เวลานี้ยังนั่งรถวีลแชร์ แล้วกดปุ่มให้รถหมุนเป็นวงๆๆ
“ป๊าอย่าทำแบบนี้สิคะ” โอปอล์กลุ้มใจมากๆ “โธ่..อาเดช..ทำไงดีล่ะคะ”
“เสี่ยครับ..อย่าทำแบบนี้เลยครับ เด๋วเมานะ” เดชบอก
“อั๊วะไม่เมาเว้ย อั๊วะคอแข็ง” อธิปโวยวายใส่
จตุพล กับน้อมพงษ์เดินเข้ามา
จตุพลรีบฉีกยิ้มทักทาย “โอ๊ววว..กำลังเล่นสนุกกันอยู่เลย..ได้เวลาแล้ว..ขึ้นเวทีไปกล่าวกันแล้วครับ..อากู๋”
เดชงงรีบถามออกมา “กล่าว..กล่าวอะไรครับ”
“อ๊าว..ก็..ท่านเป็นท่านประธาน กิจการร้านสวีทโอปอล์ ท่านก็ต้องเป็นคนกล่าวเปิดร้านสาขาแรกของเรา..บนเวทีสิครับ” น้อมพงษ์บอกยิ้มๆ
โอปอล์รีบมากระชากให้พ่อหยุด เอาตัวขวางจตุพลไว้
“ไม่ค่ะ โอปอล์ไม่อยากให้ป๊าขึ้นเวที”
“ก็เฮียบอกแล้วไง ว่าอากู๋ต้องขึ้นไปกล่าวเปิดงาน” จตุพลยืนกราน
“แต่ป๊าไม่ค่อยสบาย เฮียจตุพลพูดแทนก็เหมือนกันแหละ จริงมั้ยอาเดช?”
“เอาแบบเป็นกลางเลยนะครับคุณจตุพล คุณหนูโอปอล์พูดถูกครับ” เดชว่า
น้อมพงษ์แทรกขึ้นมา “นี่ก็เลยเวลามามากแล้ว ข้างนอกมีทั้งแขกผู้ใหญ่ ทั้งนักข่าวรอท่านประธานอธิปอยู่” น้อมพงษ์พูดน้ำเสียงเป็นเชิงขู่โอปอล์อยู่ในที
“โอปอล์คงไม่อยากให้ทุกคนเสียความรู้สึกกับอากู๋ใช่มั้ยจ๊ะ...โอปอล์?” จตุพลสำทับ
โอปอล์นิ่งสับสน
จตุพลฉวยโอกาส “น้อมพงษ์รีบเข็นอากู๋ออกไปซิ!”
น้อมพงษ์จะเข้าไปเข็น เดชรีบขวาง
“ไม่ต้อง นี่ไม่ใช่งานของแก”
“งั้นก็เร็วซิ” จตุพลเร่ง
เดชเข็นเสี่ยอธิปออกไป โอปอล์รีบเดินตาม จตุพลแสยะยิ้มร้ายๆ แล้วเดินออกไปพร้อมกับฉัตรชัยและน้อมพงษ์
“ใช่สิไอ้เดช...งานเอ็งมันก็แค่เข็นรถคนพิการ”
ทั้งสองหัวเราะร่วน อย่างชอบอกชอบใจ
เวลาต่อมาสุขสันต์ และแขกนั่งลงที่เก้าอี้หันหน้าไปทางหนึ่งที่ถูกเซ็ตเป็นเวที มาวินยืนดูอยู่ใกล้ๆ รู้สึกเขม่นสุขสันต์ ส่วนสุขสันต์ตีมาดนิ่ง มาวินเข้าไปทักอย่างกวนๆ
“สวัสดีครับ ท่านสส.รักเด็ก ไม่ทราบว่าเด็กแบบไหนที่ท่านรักเป็นพิเศษเหรอครับ?”
สุขสันต์ตีหน้าซื่อใสสะอาดรักษาภาพสุดๆ
“ผมรักมนุษยชาติ และเด็กทุกคนคืออนาคตของโลกนี้ แต่ที่เป็นพิเศษ คือพวกหลานๆ ของคุณพิมมาดา..เด็กๆ ฉลาด น่ารัก แล้วก็รักผมทุกคน แล้วคุณล่ะ...รักเด็กหรือเปล่าครับ?”
มาวินหน้าเสียทันที สุขสันต์ยิ้มเยาะ แล้วทำเหมือนไม่ใส่ใจมาวิน ทำให้มาวินยิ่งแค้นเคืองใจ
กริสน์แอบส่องกล้องดูปฏิกิริยาของมาวินกับสุขสันต์
“ทำไมมันไปเจ๊าะแจ๊ะอะไรคุณสุขสันต์ หรือมันรู้อะไรที่เราไม่รู้” กริสน์พึมพำกับตัวเอง
ภัทรดนัยเข้ามาสะกิดกริสน์ “เฮ้ย..มาแล้ว เสี่ยของแก”
กริสน์เอากล้องลง หันไปดู
เดชเข็นเสี่ยอธิปที่นั่งหน้าเบลอๆ เอ๋อๆ ออกมาจากมุมหนึ่งพร้อมกับโอปอล์ กริสน์กับภัทรดนัยเห็นสภาพเสี่ยอธิปแล้วก็อึ้ง อุทานขึ้นมาพร้อมกัน
“เสี่ย”
จตุพลเดินขึ้นไปบนเวที ทุกคนปรบมือ
จตุพลสวัสดีครับ ผมจตุพล หลานชายคนเดียวของเสี่ยอธิป..ที่ผมรักเหมือนพ่อบังเกิดเกล้า ขอบพระคุณทุกท่านที่ให้เกียรติมาร่วมงานเปิดร้านขนม สวีทโอปอล์ ผมขอเชิญทุกท่านพบกับท่านประธานบริษัทของเรา..อากู๋ อธิปครับ!
เสี่ยอธิปลุกขึ้นจากรถเข็นเดินขึ้นบนเวทีอย่างโงนเงนนิดๆ โดยมีเดชคอยประคอง แขกในงานพากันลุ้น นักข่าวมองหน้ากันงงๆ ช่างกล้องทีวี และภาพนิ่งต่างก็ถ่ายอยู่ สุขสันต์นั่งนิ่งแต่ยิ้มในตาอย่างสะใจ
“นี่มันป่วย หรือเมาวะ?” มาวินงง
อธิปเคาะไมค์เทสต์เสียง
“ฮัลโหลๆ สวัสดีๆ แขกผู้มีเกียรติทุกท่าน ผมอธิป ยินดีที่ได้รู้จัก ทุกคนสบายดีมั้ย..ผม..สบายดี”
แขกเหรื่อกับบรรดานักข่าวทุกคนพากันงง มีเพียงสุขสันต์ จตุพล และน้อมพงษ์ ที่แอบขำ
“โอปอล์..โอปอล์คือลูกสาวที่น่ารักคนเดียวของผม ผมรักโอปอล์มาก ผมอยากให้ลูกเติบโตขึ้นมาในโลกอันดีงาม ผมจึงพัฒนาขนมสวีทโอปอล์ขึ้นมา”
อธิปพูดต่อเป็นงานเป็นการ ในขณะที่โอปอล์ กับเดชลุ้นจัด มองหน้ากัน โดยเฉพาะโอปอล์รู้สึกดีใจ คิดในใจว่าพ่อก็ไม่ได้เป็นไรมากนี่นา
กริสน์มองภาพบนเวทีอย่างสังเกต ซูมภาพเข้าไปใกล้
“ทำไมต้องเป็นขนมเหรอครับ เพราะขนม เป็นสิ่งที่กินแล้วมีความสุข ไม่มีใครมาตีกันในร้านขนม ดังนั้น จึงเหมาะมาก สำหรับที่จะให้พวกท่านสส.นักการเมืองกินกัน ตอนอภิปรายในสภา วะฮะๆๆ” จู่ๆ อธิปก็ระเบิดหัวเราะออกมา
ผู้คนพากันหัวเราะตาม บ้างตบมือ เฮ รวมทั้งกริสน์ด้วย นึกว่าอธิปปล่อยมุกเพื่อสร้างบรรยากาศ
“ไหนว่า..เค้าติงต๊องไปแล้วไงล่ะ มุกมันพราวแพรวขนาดนี้เนี่ยนะ
ฮิมไม่พอแอบกระซิบสุขสันต์ “โห แบบนี้นายจตุพลมันอำท่านนี่ครับผม”
“จุ๊ๆๆๆๆ” ฉัตรชัยจุ๊ปาก
อธิปพูดต่อ
“อ่าล้อเล่นครับ ล้อเล่น เข้าเรื่องซีเรียสจริงจังดีกว่า ความปรารถนาลึกๆของผมคือ ผมชอบที่จะได้แปลงร่าง แล้วออกไปปราบเหล่าร้าย..มันคือขบวนการที่เป็นอันตรายกับโลกมาก..และผมขอเฉลยความจริงต่อทุกคน..ว่า..พวกมัน..อยู่แถวนี้นี่เอง”
“ได้การแล้ว มันจะแฉใช่ไหม” มาวินเนื้อเต้น
“เฮ้ย” สุขสันต์ตกใจนึกว่าโดนแน่
“ท่าจะไม่ดีแล้ว นาย” น้อมพงษ์กระซิบจตุพล
“อธิปเจ๋งว่ะ” ภัทรดนัยชมยิ้มๆ
“และ..พวกมันคือ...” ชี้ไปที่สุขสันต์ แล้วชี้จตุพล แล้วหันมา ชี้มาวิน แล้วชี้กราด ทำมือหมุนๆ “ทีวี..360 องศา”
“เย้ย!” กริสน์ตกใจ
ทุกคนสะดุ้ง เดช โอปอล์มองหน้ากัน พวกนักข่าวถ่ายรูปกันยกใหญ่
“ชักยังไงแล้ว คุณหนู” เดชหันมาทางโอปอล์
ไวเท่าความคิดโอปอล์รีบวิ่งขึ้นไป “ป๊าคะ”
อธิปวางมาดเท่สุดๆ ดึงไมค์มาใกล้ ร้องเพลงอย่างจริงจังและตั้งใจ
“เอ้า..ฝนเอย ทำไมจึงตก ตึกๆ ฝนเอย ทำไมจึงตก ตึกๆ จำเป็นต้องตก เพราะว่าก๊บ มันร้อง..กบเอย ทำไมจึงร้อง ตึกๆ กบเอย..ทำไมจึงร้อง...”
โอปอล์ กับเดช พยายามพาอธิปลงจากเวที กริสน์ และภัทรดนัยอึ้งพอกันกับภาพที่ได้เห็น จตุพลกำลังขำสะใจ นักข่าวรุมถ่ายรูปอธิป บรรดาแขกในงานต่างขำกลิ้ง
มาวินหันมาบ่นๆ กับลูกน้อง “ไอ้เสี่ยนี่มันบ้าไปแล้วหรือวะ”
“ป๊าลงมาเถอะค่ะ!” โอปอล์เข้าดึงมือพ่ออย่างเป็นห่วง
จตุพลรีบเข้ามาปลดมือโอปอล์ ลากออกมา “โอปอล์ นี่ไม่ใช่เรื่องของเด็ก อากู๋กำลังเอนเตอร์เทนแขกอยู่นะ”
โอปอล์ไม่ฟังหันมาทางเดช “อาเดชๆ ช่วยด้วย”
“อากู๋..ต่อเลยครับ เอาให้เต็มที่” จตุพลพูดขึ้นเสียงดัง
พวกตากล้องถ่ายกันใหญ่ แสงแฟลชเข้าตาอธิปพึ่บพับ จนอธิปเอามือขึ้นอังหน้าบังไว้
“แสบตาเว้ย นี่ นี่มันเป็น..กัมมันตภาพรังสีชัดๆ แกจะปล่อยรังสีร้ายแรงใส่ขนมสวีทโอปอล์ของข้ารึ แบบนี้ ต้องเจอกับ...”
พูดแค่นั้นเสี่ยอธิปก็หมดแรงล้มลงกลางเวที นักข่าวแตกฮือ แขกผู้มีเกียรติลุกขึ้นยืนพรึ่บอย่างตกใจ
เดชรีบพยุงเสี่ยอธิปลงมาจากเวที สุขสันต์ที่ยืนขำอยู่กระโดดสะใจขึ้นไปยืนบนเก้าอี้ น้อมพงษ์กับลูกน้องอีกคนมาขวางเดชกัยเสี่ยอธิปไว้
“ปล่อยป๊านะ บอกให้ปล่อย” โอปอล์ร้องลั่น
น้อมพงษ์ไม่ฟังหันไปสบตาจตุพลที่ให้สัญญาณให้ลากเสี่ยอธิปขึ้นไปบนเวทีอีก จตุพลขึ้นกล่าว
“ไม่ต้องตกใจนะครับทุกท่าน นี่เป็นเซอร์ไพร้ส์นิดหน่อยจากอากู๋ พิธีเปิดจะดำเนินต่อไป”
ฉัตรชัยหันไปกระซิบบอกสุขสันต์ที่ยังคงยืนอยู่บนเก้าอี้
“ลงมาได้แล้วครับท่าน เสียภาพครับ..”
สุขสันต์รู้ตัวรีบลงจากเก้าอี้ ฮิมรีบเข้าไปจัดแต่งสูท แต่งผม ปัดเก้าอี้
“ลืม...ดีใจไปหน่อยว่ะ”
กริสน์ทนดูต่อไม่ได้ “ผมว่าพอเถอะครับ เสี่ยอธิปไม่สบาย..”
ภัทรดนัยดึงกริสน์ไว้ “เฮ้ย อย่าลืมตัวสิ...”
นักข่าวคนหนึ่งหันมากระซิบบอกกริสน์ “จะให้แกเข้าไปทำไมพี่? ไม่อยากได้ข่าวเหรอ”
นักข่าวอีกคนเห็นด้วยอย่างสะใจ
“ข่าวเสี่ยอธิปเจ้าพ่อใหญ่ ออกอาการบ้า ได้ลงหน้าหนึ่งชัวร์”
กริสน์โมโหหันมาเอาเรื่องสองนักข่าว
“เอาความเดือดร้อนของคนอื่นมาหากินเนี่ยนะ มีจรรยาบรรณหรือเปล่า”
ภัทรดนัยรีบคว้ากริสน์ไว้พลางกระซิบ “ไอ้กริสน์! อยากพังทั้งภารกิจหรือวะ”
จตุพลสังเกตเห็นเริ่มไม่พอใจ “น้องนักข่าวคนนี้ดูเหมือนจะมีปัญหา” หันไปพูดสั่งน้อมพงษ์ “น้อมพงษ์ เชิญน้องเขาออกไปเคลียร์ข้างนอกทีซิ”
มีนักข่าวอีกคนกล่าวขึ้น “จริงๆ น่าพาเสี่ยไปโรงพยาบาลนะคะ อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย เสี่ทำงานหนักเกินไปหรือเปล่า ให้หมอเช็คระบบประสาทแกซะหน่อย…”
“เห็นมั้ย? พวกเราเป็นแค่นักข่าวยังห่วงเสี่ย แล้วคุณเป็นถึงหลานแท้ๆ ของเขาทำไมไม่ห่วง” กริสน์แขวะจตุพลเต็มๆ
“นี่แก!” จตุพลของขึ้นที่ถูกด่ากระทบ ตั้งท่าจะก้าวลงไปเอาเรื่องกริสน์
มาวินรีบสั่งลูกน้อง “ไปเคลียร์เร็ว...ห้ามมีเรื่องขณะที่พวกชั้นยังอยู่ ระเบียบต้องเป็นระเบียบ”
ลูกน้องมาวินตั้งท่าจะเข้าไปห้าม ในขณะที่สุขสันต์เห็นท่าไม่ดีรีบลุกขึ้นแล้วพูดแทรก
“เอาละๆ ผมว่า ผมในฐานะเพื่อนรักเก่าแก่ของเสี่ยอธิปจะเป็นคนดำเนินการต่อเอง ดีมั้ยจตุพล”
จตุพลพยายามระงับอารมณ์ แล้วพยักหน้ารับคำ
“ครับท่าน”
มาวินให้สัญญาณลูกน้องรอดูสถานการณ์ไปก่อน
เดชรีบประคองเสี่ยอธิปนั่งลงบนรถเข็น เดชกับโอปอล์รีบพากลับเข้าไป กริสน์มองตามอธิปอย่างเป็นห่วง
อ่านต่อหน้า 4
มือปราบพ่อลูกอ่อนตอนที่ 6 (ต่อ)
กริสน์กับภัทรดนัยคุยกันอยู่ในมุมลับตาคน ภัทรดนัยเฉ่งกริสน์ที่ห่วงอธิปจนออกนอกหน้า และเก็บอารมณ์ไม่อยู่
“แกเป็นไรของแก..หลุดออกไปได้ไงขนาดนั้น..เกือบแล้วไหมล่ะ” ภัทรดนัยว่า
“อย่างน้อยเขาก็เคยดีกับฉันนะ” กริสน์ว่า
“โธ่ ไอ้ชวนป๋วยปี่แปะกอ กตัญญูแม้กระทั่งกับไอ้มหาโจร”
“ฉันไม่แน่ใจแล้วว่ะ ว่าเสี่ยจะมีส่วนรู้เห็นกับเรื่องนั้น”
ภัทรดนัยมองกริสน์งงๆ จังหวะนั้นโอปอล์กับเดชเดินออกมาจากห้องหลังจากเอาเสี่ยอธิปเข้าไปพัก
“พี่เดชรีบไปเอารถมารอข้างหน้าเลยนะ เดี๋ยวโอปอล์เข้าห้องน้ำเสร็จ จะพาป๊ากลับบ้านเลย”
“ครับคุณหนู”
โอปอล์กับเดชแยกกันไปคนละทาง
เป็นเวลาเดียวกับที่ในอีกมุมหนึ่งภัทรดนัยกับกริสน์โผล่หน้าออกมา
“ปลอดคนแล้ว แกดูต้นทางไว้นะเว้ย”
ภัทรดนัยดึงกริสน์ไว้ “แกจะทำอะไร อย่านะ ..อย่าแม้แต่จะคิด”
กริสน์ไม่สนใจคำห้าม มองซ้ายมองขวา แล้วเปิดประตูเข้าไปในห้องหนึ่ง
“จัดงานมาให้อีกแล้ว เพื่อนกรู....” ภัทรดนัยกุมขมับบ่นอย่างเซ็งๆ
อธิปนั่งอยู่บนรถเข็นคนเดียว มีผ้ามัดตัวติดเก้าอี้เอาไว้ให้อยู่เฉยๆ เวลานี้กำลังดิ้นขลุกขลัก ในขณะที่ปากมีผ้าเช็ดหน้าของโอปอล์ผูกอยู่ จังหวะนั้นประตูด้านหลังอธิปเปิดออก เป็นกริสน์ที่ก้าวเข้ามา นั่งคุกเข่าตรงหน้า
“เสี่ยอธิปครับ..นี่..เฮียเดช กะคุณหนู..คงจับเสี่ยมัดไว้ เพราะไม่อยากให้เสี่ยต้องกลายเป็นเหยื่อของไอ้พวกนั้นมั้งครับ”
อธิปจำได้ พยายามมองกริสน์ แล้วก็ดิ้นๆๆ
“ผมจะแก้ผ้าผูกปากออกก่อนนะครับ แต่เสี่ยห้ามส่งเสียงดังนะครับ”
อธิปพยักหน้ารับคำ
“สัญญานะครับ”
อธิปพยักหน้า
“ใครผิดสัญญา..ออกลูกเป็นลิง หางเป็นหมา”
อธิปพยักหน้า
แต่พอกริสน์แก้ผ้าเช็ดหน้าห้ อธิปก็แหกปากหัวเราะก๊ากๆๆ แล้วก็ชี้หน้ากริสน์
“ฮ่าๆๆ ตกใจใหญ่เลย ไอ้กรดๆ”
กริสน์ตกใจตาเหลือก “ไม่ใช่นะครับ ใครคือกรด เสี่ยจำคนผิดแล้ว”
“ไม่ผิด นายคือกรด เป็นตำรวจลับปลอมตัวมา” อธิปยืนกราน
“อะจ๊าก ไม่ใช่นะครับเสี่ย เสี่ยพูดแบบนี้ ผมผูกปากเสี่ยตามเดิมดีกว่า” คว้าผ้ามาเตรียมจะผูกปาก
“อย่านะ ไอ้ทรยศ ไอ้ตำรวจลับ ชั้นรู้นะ ที่แท้..ที่แท้..แกคือ..ระหัสดับเบิ้ลโอ-เซ้เว่น จู๋น จู๋น เจ็ด...ปลอมตัวมา..ชิมิๆๆ ความจริง..นายคือ..บอนด์..เจมส์ บอนด์” อธิปพูดพลางวางมาดเข้ม
กริสน์ถือผ้าค้าง เกาหัวแกรกๆ “ตกลงยังไงกันแน่เนี่ย…”
“แกได้รับใบอนุญาตให้ฆ่าได้..ทั่วราชอาณาจักร จากสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบ็ธ..แห่งสหราชอาณาจักร..เกรต บริเตน..โอ..แต่..เอลิซาเบ็ธ เทเล่อร์..ตายซะแล้ว..ตายเพราะอะไร..แกทายซิ..” หันมาจ้องหน้ากริสน์ “ผิด!” อธิปถามเองตอบเองเสร็จสรรพ
“ยัง!! ผมยังไม่ได้ทายเลย”
“เฉลย..เพราะไมเคิล แจ็คสันมารับ..ไง..เค้าเป็นเพื่อนรักกัน” อธิปหัวเราะคิกๆ “เอาไมเคิล แจ็คสันคืนไป เอาเมืองไทยที่มีแต่สันติสุขคืนมา” อธิปร้องเพลง กำมือชูขึ้นแบบนักร้องเพื่อชีวิต
กริสน์อึ้ง หน้าซีดเผือด มองอธิปอย่างสะเทือนใจ
เวลาเดียวกันนั้น ภัทรดนัยเดินงุ่นง่านดูต้นทางอยู่หน้าห้องที่กริสน์เข้าไปหาอธิป
“คุยให้มันไวๆหน่อยได้มั้ยวะไอ้กริสน์? เดี๋ยวป๊ะแกก็มารับกลับบ้านหรอก....”
ภัทรดนัยพูดไม่ทันขาดคำ ก็เห็นมาวินเดินเข้ามาแต่ไกล
“นั่นไงพูดไม่ทันขาดคำ”
มาวินเดินเข้ามาจะเข้าห้อง ภัทรดนัยเข้ามาขวาง มาวินเดินเลี่ยงไปอีกทาง ภัทรดนัยก็ก้าวเข้าไปขวางอีกทาง มาวินฉีกหนีมาอีกทาง ภัทรดนัยก็เข้ามาขวางอีก จนมาวินเริ่มฉุน ขณะที่ภัทรดนัยยิ้ม
“มาขวางไอทำไม? ไอจะเข้าไปหาเสี่ยอธิปตำรวจคิวทองอย่างไอไม่มีเวลามาล้อเล่นกับยูนะ”
ภัทรดนัยฟังแล้วหมั่นไส้สุดๆ แต่แอ๊บยิ้มให้
“คือ ไอ เอ้ย! ผมอยากจะขอสัมภาษณ์ตำรวจเลือดใหม่ไฟแรงอย่างคุณมาวินลงคอลัมน์ นี่หรือมนุษย์?! ของหนังสือผมหน่อยครับ”
“คอลัมน์ยูชื่อแปลกๆ นะ แต่เห็นแก่ความตาถึงของยู ไอจะเสียสละเวลาให้ยูสัมภาษณ์สักเล็กน้อยละกันนะ”
ภัทรดนัยกัดฟันกรอดๆ “แหม เมื่อกี้ยังรีบอยู่เลยนะ...”
มาวินจัดสูทตัวเองให้ดูหล่อสุดๆ เตรียมให้สัมภาษณ์ ทันใดนั้นก็มีเสียงดัง โครม! ดังลอดมาจากในห้อง มาวินหันขวับมาทันที ภัทรดนัยตบหน้าผากตัวเองอย่างปวดตับ
“เกิดอะไรขึ้นข้างใน? เสี่ยอธิปอยู่ในนั้นใช่ไหม”
“ไม่มีอะไรหรอกครับ สัมภาษณ์กันดีกว่า”
“ไม่ๆๆๆ เซนส์ตำรวจของไอบอกว่า ต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลข้างในแน่ๆ หลีกไป”
มาวินตั้งท่าอย่างเท่ แล้ววิ่งเข้าไปกระแทกประตูอย่างแรง แต่ประตูไม่เปิด ร่างมาวินกระเด็นออกมา
“โอ้ย”
ภัทรดนัยแอบขำ โอปอล์กับเดชได้ยินเสียงโวยวายก็วิ่งสวนเข้ามา พร้อมกับจตุพลน้อมพงษ์และบอร์ดี้การ์ด
“เกิดอะไรขึ้น” เดชถาม
“ป๊าเป็นอะไร” โอปอเป็นห่วงอธิป
เดชเปิดประตูเข้าห้องไปอย่างง่ายดาย ทุกคนกรูเข้าไปในห้อง มาวินยังกองอยู่ที่พื้น
“ทำไมกระแทกตั้งแรกไม่เปิ๊ด...ไอไม่เข้าใจ”
พอทุกคนกรูเข้ามาในห้อง เห็นกริสน์กำลังแก้ผ้าที่มัดเสี่ยอธิป พยุงเสี่ยลุกขึ้น
“ไอ้นี่มันมาช่วยชั้นจากพวกเหล่าร้าย ดีมากๆ” อธิปพูดแก้สถานการณ์
“ป๊า”
“ไอ้นักข่าว แกทำอะไรเสี่ย?”
กริสน์ตกใจหันมามองเดช อึกอักๆ
กริสน์กำลังจะตอบ “อ้อ คือ ... ผม”
จตุพลเห็นกริสน์ก็จำได้ อารมณ์ขึ้นทันที
“ไอ้นักข่าวคนนี้อีกแล้ว แก! แกหวังจะล้วงความลับอะไรของร้านเรา”
“จับมัน” น้อมพงษ์สั่งสมุน
สมุนของจตุพลเข้าไปเล่นงานกริสน์ทันที
“งานเข้าจริงๆ ด้วย” ภัทรดนัยบ่น
เดชกับโอปอล์เข้าไปพยุงอธิปด้วยความเป็นห่วง
“ทำไมมันแก้มัดให้เสี่ยครับ มันจะทำอะไรกันแน่” เดชสงสัย
“ป๊าคะ พวกเรามัดป๊า ก็แค่กลัวป๊าจะโดนพวกนั้นยุให้ป๊าทำอะไรเป็นตัวตลก”
“ดูโน่น...ไอ้นั่นมันสายลับนะ” อธิปชี้ แล้วตบมืออย่างสนุกสนาน “น้าน...ต้องอย่างนั้น เอาเข้าไป”ทำท่าเหมือนกำลังเชียร์มวย
กริสน์จัดการสมุนจตุพลไปสองสามคน มาวินตะกายเข้ามาดูเหตุการณ์
มาวินหันมาพูดกับจตุพล
“อา..ที่แท้ ไอ้นักข่าวคนนี้เป็นใครกันแน่ มันต้องเป็นฝ่ายตรงข้ามของบริษัทนี้ หวังมาลักพาเสี่ยอธิป หรือจะมีเรื่องขัดผลประโยชน์ หรือหักหลังกัน”
น้อมพงษ์โมโหเดินเข้าไปคว้าตัวมาวิน
“คุณตำรวจครับ คุณตำรวจ.. นี่ไม่ใช่กิจของตำรวจนะครับ ไม่มีใครไปแจ้งความคุณเลย คุณกลับโรงพักไปได้แล้วครับ”
“เฮ้ย..ลามปาม” มาวินบิดมือน้อมพงษ์ไขว้หลัง เอากุญแจมือออกมา จะล็อก “ขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่เรอะ”
“เฮ้ย...ปล่อยไอ้คุณตำรวจ เดี๋ยวมีปัญหาหรอก” น้อมพงษ์สั่งลูกน้อง
“คุณตำรวจ จับเลขาผมทำไม ผู้ร้ายอยู่นี่! มันตื้บเด็กผมเจ็บ ไม่เห็นเหรอเว้ย” จตุพลโวยลั่น
น้อมพงษ์บิดตัวจนหลุดแล้วโยนมาวินไปทางที่กริสน์บู๊อยู่ มาวินจะเข้าไปจับกริสน์ ภัทรดนัยทำทีเข้ามากอดรวบตัวมาวินไว้
“นี่มันเรื่องอะไรกันครับเนี่ย สารวัตร? ผมขอทำข่าวหน่อย..สารวัตรช่วยเล่าให้ผมฟังที ผมจะเอาขึ้นหน้าหนึ่งเลยค้าบ” ภัทรดนัยบอก
“เฮ้ย ยูมากอดไอทำไม ปล่อย”
จังหวะนั้นกริสน์กระโดดขึ้นไปบนโต๊ะจะข้ามห้องหนีไปที่ประตู แต่น้อมพงษ์มาคว้าข้อเท้าไว้ กริสน์เสียหลัก ล้มคว่ำบนโต๊ะ...โครม!! โอปอล์กรี๊ดสุดเสียง! แล้วถีบน้อมพงษ์ดังพลั่ก...จากนั้นจึงม้วนตัว 1 รอบ เข้าไปกอดหลังเดช สมุนตามมาจะชก กริสน์เอาเดชเป็นกำบัง สมุนชะงัก...เดชหลับตาปี๋ กริสน์กระซิบเดช
“คุณพี่รีบพาเจ้านายกลับไปสิครับผม..จะยืนเซ่อกันอยู่ทำไม”
น้อมพงษ์กระโดดขึ้นโต๊ะ เพื่อจะข้ามตามไปจับกริสน์ แต่กริสน์ม้วนตัวเดชหันมาแล้วจับข้อมือเดชทั้ง 2 ข้าง ลอดขาเดชลงไปใต้โต๊ะ จับขาโต๊ะเขย่าๆๆ จน น้อมพงษ์เซหล่น มีลูกน้องเข้ามาช่วยรับ จึงล้มไปกองกันระนาว จตุพลเข้ามาอัดกริสน์ แต่กริสน์กระโดดกลับไปบนโต๊ะอีก โชว์บู๊บนโต๊ะกับจตุพล เก่งพอกันท่วงท่าสวยงามระดับเทพทั้งสองคน
ภัทรดนัยยังกอดมาวินอยู่ คิดแผนขึ้นมาได้
“สารวัตร สารวัตรทำไมบึกจัง โดนใจผมอย่างแรงเลยนะครับ”
“แหวะ อ้วก ไอ้บ้า ปล่อยกู” มาวินร้องอย่างขยะแขยง
“ได้ครับสารวัตร
ว่าแล้วภัทรดนัยก็เหวี่ยงมาวินไปชนกับพวกน้อมพงษ์ที่ลุกขึ้นมาล้มกันไปอีกรอบ ภัทรดนัยหันไปทางเดช รีบร้องเตือน “อ้าวงงๆ...รีบไปซิครับ”
เดชได้สติ รีบประคองอธิปออกไป อีกมือจูงโอปอล์
สุขสันต์ ฉัตรชัย และฮิม สวนทางกับเดช อธิปและโอปอล์ที่หน้าห้อง เห็นเหตุการตะลุมบอนเข้าพอดี
“เฮ้ย..อะไรกันเนี่ย”
“เค้าสู้กันใหญ่เลยครับ” ฮิมบอก
“รู้แล้ว ชั้นมีตา แต่มันเกิดไรขึ้น” สุขสันต์ถามอีก
“ผมจะไปรู้เหรอ ก็เข้ามาพร้อมกัน” ฮิมพูดพาซื่อ
“หุบปากไปเลยไอ้ฮิม” ฉัตรชัยบอก
กริสน์กระโดดลงมา เดี่ยวกับจตุพล น้อมพงษ์เข้ามารุม เพราะพวกสมุนล้มกลิ้งนอนไม่ลุกมาอีก ทั้งกริสน์ น้อมพงษ์ จตุพล โชว์บู๊สามคนอย่างสูสี เผยให้เห็นว่า ที่จริงจตุพลกับน้อมพงษ์เป็นนักบู๊ฝีมือดี
กริสน์เริ่มเสียท่า ภัทรดนัยกำลังจะเข้าไปช่วยพอดี ก็มีปืนจ่อข้างหน้า
“ไอ้หมีควาย..มึงเป็นใครกันแน่” มาวินตะคอก
ภัทรดนัยยกมือสูง “เป็นนักข่าวไง...แฮ่...”
จตุพล น้อมพงษ์ กริสน์ ยังสู้กันอยู่ ทันใดนั้น เสียงปืนก็ดังขึ้นดัง ปั้ง! ทุกคนชะงัก หันไปมอง
เห็นมาวินล็อคตัวภัทรดนัยไว้ ส่ายปืนกราดไปรอบๆ
“ทุกคน อยู่ในความสงบ ที่นี่ สารวัตรมาวินคุมไว้หมดแล้ว” มาวินถีบภัทรดนัยล้มลงหน้าทิ่ม “ไอ้นักข่าวสองคนนี้ มันไม่ใช่นักข่าวแน่ๆ พวกคุณๆ สุภาพบุรุษไม่ต้องตกใจ ความผิดซึ่งหน้าแบบนี้..ผมจัดการกะมันเอง”
กริสน์ กับภัทรดนัยเสียทีพลาดท่า โดนผลักให้เข้าไปในรถตู้
“อะไรเนี่ย..สารวัตรจะอุ้มผมไปนั่งยางโชว์เหรอ” กริสน์โวย
“ตำรวจรังแกประชาชนๆๆ เจ้าข้าเอ๊ย”ภัทรดนัยตะโกนออกมา
“หุบปาก!!” มาวินมายืนขวางประตูรถไว้ ถือปืนในมือไม่ยอมลดลง
ตำรวจคนอื่นๆ ยืนคุมเชิง อยู่รอบๆ
“แกเป็นใครกันแน่ ชั้นคุ้นๆหน้าพวกแกมากเลย เราเคยรู้จักกัน ใช่ไหม” มาวินถาม
“ไม่นะครับ เราไม่รู้จักกันเลย ผมเป็นเพียงคนรายงานความจริงต่อสาธารณชนก็เท่านั้นเอง” ภัทรดนัยบอก
“เฮ้ย” มาวินตบหน้าภัทรดนัย “เท่านี้ใช่มั้ย... ลีลามากนักไอ้นี่”
ภัทรดนัยกุมหน้า ตาลุกวาวอย่างแค้นใจ “โหย..ตำรวจอัดประชาชน ชั้นจะฟ้อง...”
“ฟ้องใคร..ฟ้องป๊ะแกเหรอ เอ..ผมแก..ผมแกนี่มัน..เหมือนจะเป็นผมปลอมนะ ไหน..ขอดูหน่อยซิ”มาวินขยุ้มผมเตรียมจะกระชาก
ภัทรดนัยรีบเอามือกดไว้ “โอ๊ย เจ็บๆๆ ผมจริงๆนะ เล่นจิกหัวกันแบบนี้ ผมจะรายงานว่า..ดูหมิ่นศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ละเมิดสิทธิมนุษยชน!”
มาวินหันมาทางกริสน์ “ส่วนแว่นตาแก..ชั้นว่ามันไม่รับกับใบหน้าเลย ชั้นเห็นแกคิวบู๊ซะอย่างกะเฉินหลงมันจะเป็นไปได้เหรอ ที่ไอ้นักข่าวใส่แว่นเนิร์ดๆขนาดนี้ จะพลิ้วขนาดนั้น ไหน ขอดูตาเปล่าๆหน่อยสิ” มาวินกระชากแว่นออก
กริสน์เอามือตะกายหน้ามาวินไม่ให้มองเห็นชัด “ผมมองเห็น...ขอแว่นคืน”
มาวินตบกบาลกริสน์ “ตลกนักนะ ไอ้นี่ ตลกมากใช่ไหม” มาวินกระชากคอสั่ง “เงยมา” มือกริสน์ยังวุ่นวายอยู่เต็มหน้า “..เอามือออก”
“ไม่! มองไม่เห็น” กริสน์เอามือมาปิดหน้าตัวเอง
มาวินพยายามแกะ “เอามือออก ชั้นบอกให้เอามือออก”
มาวินแกะนิ้วกริสน์ออก ทีละนิ้วๆๆ จนเกือบจะเห็นหน้าตาที่แท้จริง ภัทรดนัยพยายามขัดขวาง มาวินเอาปืนตบ ภัทรดนัยล้มกลิ้ง
“อ๊าก มากไปแล้วนะโว้ย” ภัทรดนัยโมโหสุดๆ
กริสน์ขยับจะเข้าโจมตี มาวินหันมาอย่างเร็ว พร้อมปืนในมือ
ทันใดนั้น ก็มีระเบิดควัน ถูกขว้างออกมา เสียงดังฟึ่บๆๆๆ
ตำรวจที่ล้อมรถตู้อยู่ กุมหน้า แล้วลงไปกลิ้ง
“เฮ้ย..แก๊สน้ำตา” ตำรวจตะโกนขึ้น
“ใครมาปราบม้อบแถวนี้วะ..อ๊าก..” ตำรวจปิดหน้า กลิ้งไปกลิ้งมา
มาวินโผล่มา
“อะไรกัน เฮ้ย..” มาวินสูดเขาไปเต็มๆ “อ๊าก...” เอามือกุมหน้า แล้วเสียหลักเซล้มไป
กริสน์ ภัทรดนัยมองหน้ากัน แล้วยกชายเสื้อปิดหน้า แล้วกริสน์พุ่งนำผ่าน ภัทรดนัยพุ่งตาม
ที่พื้นข้างรถ กริสน์ กับภัทรดนัยเอาเสื้อปิดหน้าตาจนมิด กลิ้งตัวลงมาได้ พยายามจะฝ่าควันไป
ทันใดนั้น เดชที่สวมหน้ากากกันแก๊ซ ก็เดินฝ่าควันออกมาอย่างสุดเท่ แต่ดันสะดุดขาตัวเองล้มคว่ำ แล้วรีบลุกขึ้นเหมือนไม่มีอะไร พลางดึงคอสองคนขึ้น ส่งหน้ากากให้คนละอัน ของภัทรดนัยเป็นหน้ากากนักดำน้ำ สองหนุ่มงง เดชทำเป็นชะงักแล้วยิ้ม “อ๊ะ...ล้อเล่น” หยิบของจริงให้
ทั้งสองคนต่างใส่หน้ากากให้ตัวเองอย่างเร็ว ขณะที่เดชรีบลาก 2 คนออกไป
กริสน์กับภัทรดนัยหยอดยาหยอดตากันคนละอัน น้ำตาไหลพรากๆๆร้องซี้ดซ้าดๆๆไม่หยุด
เดชส่งน้ำขวด ให้คนละขวด ทั้งสองน้ำใส่หน้าตัวเองกัน เดชส่งผ้าขนหนูให้
สองคนง่วนอยู่กับการเช็ดหน้า เช็ดสลับกับถอดพวกอุปกรณ์ปลอมตัวต่างๆ โยนทิ้งไปรอบตัว แล้วพอนึกได้ ต่างเงยขึ้น เอาผ้าขนหนูลง แล้วมองดูรอบๆ
เดช อธิปนั่งรถเข็นและ โอปอล์ ยืนดูกันตาเป๋ง
“อะจ๊าก” สองคู่หูตกใจ
“ยินดีต้อนรับ ผู้ปกครองของนายโจ๊ก และคนขายซาลาเปา หน้าโรงเรียน” เดชว่า
“ชะอุ๋ย” สองคู่หูสะดุ้งอีก
“นาย 2 คนเป็นอะไรกันแน่” เดชถาม
“เป็นตำรวจ...” อธิปที่ยังมึนยาอยู่ ตอบแทน
“เย้ย ไม่ช่ายๆๆๆ” กริสน์กับภัทรดนัยประสานเสียง
“ใช่สิ ก็ชั้นรู้นี่นา..ว่า 2 คนนี้คือ...” อธิปว่า
“คือ...” กริสน์กับภัทรดนัยถาม
“ตำรวจ” คราวนี้เดชตอบ
“ไม่ใช่” กริสน์กับภัทรดนัยประสานเสียงอีก
“ใช่” อธิปว่า
“ไม่ใช่...” กริสน์กับภัทรดนัยบอกพร้อมกัน
“ป๊าคะ น้ากริสน์กะน้าคนนี้จะเป็นตำรวจได้ไง ในเมื่อเค้าโดนตำรวจจับ จนอาเดชต้องไปช่วย แล้วทำไมน้ากริสน์กะน้าคนนี้ต้องปลอมตัวมาเป็นนักข่าวด้วยล่ะคะ” โอปอล์ถาม
“เออ...น่านดิ...ทำไม...บอกมาเร็ว!!” อธิปยกมือทำปืนขู่
กริสน์รีบคิดๆๆ แล้วรีบยกมือพลางบอก “ผมมีเหตุผลๆ”
“เหตุผลอะไรคะ
“โจ๊ก..เหตุผลคือโจ๊ก” กริสน์บอก
“อะไรนะ” โอปอล์งง
“ใช่ๆๆๆ โจ๊กเค้าอยาก..อยาก..อยากมางานนี้ แต่โอปอล์ไม่เชิญ” ภัทรดนัยอวย
“จริงเหรอ” เดชถาม
“จริ๊ง..เค้าเลยให้ผมทำตัวเป็นนักข่าวมาเก็บภาพในงานร้านโอปอล์ไปให้เค้าดูไง”
“แล้วนายลงทุนแบบนี้..เพื่อเด็ก” เดชถามอีก
“โจ๊กเป็นคนน่าสงสารนะ เค้าเป็นเด็กกำพร้า..ชีวิตเค้าไม่ค่อยมีความสุข” กริสน์แถต่อ
“ช่าย..แล้วน้าสาวก็ใจร้ายยังกะนางยักขมูขี” ภัทรดนัยผสมโรง
“น้อยๆหน่อย..เดี๋ยวๆๆๆ พวกคุณเอาแต่ซักถามพวกเราอยู่ข้างเดียวแบบนี้ มันหายุติธรรมไม่ คุณเดช ถามหน่อยสิ ทำไมคุณถึงช่วยผม” กริสน์สงสัย
“จริงด้วย คุณลงทุนขนาด..กล้าโจมตีพวกตำรวจ” ภัทรดนัยก็สงสัย
“ฮ่าๆๆ หนุกดี เราไม่ได้ทำอะไรสนุกๆ แบบนี้มานานแล้วใช่ไหมครับ เสี่ย” เดชว่า
“สนุกๆๆๆมากๆๆๆ ระเบิดตู้มๆๆๆ”
“หนูกะอาเดชเห็นตรงกัน ว่าพวกคุณพยายามปกป้องป๊า พวกคุณโดนพี่จตุพลเล่นงาน และตำรวจท่าทางเหมือนผู้ร้ายคนนั้น..เล่นงานคุณ”
“แสดงว่าพวกคุณ..ต้องเป็นคนดี” เดชบอก
“เราต่างก็มีศัตรูคนเดียวกัน” โอปอล์เสริม
“แสดงว่า..เราน่าจะมีเป้าหมายเดียวกัน” เดชบอก
“นั่นคือ..ปกป้องโลก..จากพวกวายร้าย วะฮ่ะๆๆๆๆๆ วะฮ่ะๆๆๆๆ วะฮ่ะๆๆๆๆ” อธิปตอบแทนซะงั้น
แพรวพิลาศกำลังถอดเครื่องประดับอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งในห้องนอนของสุขสันต์ ในขณะที่สุขสันต์เปิดประตู เดินเข้ามากอดเอวแพรวพิลาศ
“ประชุมเครียดเหรอจ๊ะวันนี้ ที่รักของผม”
“ก็ไม่เครียดนี่คะ ราบรื่นดีทุกหัวข้อ”
“ก็ดีซิ งั้นรายชื่อผู้ได้รับการคัดเลือกจากท่านหัวหน้าพรรค คุณพ่อคุณ...ให้ลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. ของพรรคเราก็ต้องออกแล้วซิจ๊ะ”
“ในซองน้ำตาล ที่หัวเตียงน่ะคะ”
สุขสันต์ผละจากแพรวพิลาศ เดินไปหยิบซองน้ำตาลที่หัวเตียง แพรวพิลาศเหลือบตามองสุขสันต์ผ่านกระจก สุขสันต์เปิดซองแล้วเอาเอกสารข้างในออกมาอ่าน
ทันใดนั้น สีหน้าของสุขสันต์ก็เปลี่ยนจากยิ้มเป็นเครียดทันที
แพรวพิลาศเข้ามานั่งลงที่ปลายเตียง สุขสันต์ยื่นกระดาษเอกสารมาตรงหน้า ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเครียดๆ
“ทำไมถึงไม่มีชื่อผม”
“ไม่รู้ซิคะ ไม่เห็นคุณพ่อกับพวกในที่ประชุมเขาทักทวง หรือว่าอะไรนี่...” แพรวพิลาศทำไก๋
“หมายความว่าไง?”
“ก็หมายความว่า คุณอาจต้องพักงานการเมืองไปสักหนึ่งสมัย รอให้คุณสมบัติพร้อมกว่านี้อีกหน่อยค่อยว่ากันใหม่”
“รอคุณสมบัติพร้อมงั้นเหรอ?” สุขสันต์พยายามพูดดีด้วย “คนอย่างผมยังขาดอะไรอีกจ๊ะ”
แพรวพิลาศลุกยืนขึ้นมองตาสุขสันต์ “ความจริงใจไงคะ ดาร์ลิ้ง”
แพรวพิลาศคว้าเสื้อคลุมแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป สุขสันต์มองตามอย่างแค้นเคือง
สุขสันต์แค่นยิ้มออกมา “ที่รักกล้าเล่นมุกนี้กะสุขสันต์เหรอ...” หันมาส่องกระจก “เธอกล้าท้าทายเทพบุตรอย่างชั้นเหรอ.. ได้...เธอได้น้ำตาเช็ดหัวเข่าแน่ยัยแพรวพิลาศ”
ที่สำนักงานตำรวจเช้าวันต่อมา ตำรวจลูกน้องมาวินทั้ง 3 คน ต่างอยู่ในสภาพเดียวกัน ตาแดง หน้าบวมเป่ง นั่งเรียงกันตามโต๊ะทำงาน แล้วมาจบที่โต๊ะมาวินที่ตาบวม หน้าแดงมากที่สุด ทั้ง 4 คน กำลังหารือเรื่องเหตุการณ์เมื่อคืน
ตำรวจรายแรกพูดขึ้นหลังจากคิดอย่างหนัก “มันต้องเป็นคนของเสี่ยอธิปนั่นแหละครับ”
“แต่มันไม่ถูกกะฝ่ายนายจตุพล” อีกคนว่า
“พวกมันต้องมีปัญหาภายในอะไรซักอย่าง” คนสุดท้ายเสริม
“มันหักหลังกันน่ะสิครับ” ตำรวจที่ออกความเห็นเป็นรายแรกสรุป
มาวินสุดจะแค้นใจกำมือแน่น “ใช่ ไอ้พวกนักค้ายาเสพติดข้ามชาติ..มันคงชิงกันเป็นใหญ่”
“แต่นายสุขสันต์ เค้าเกี่ยวอะไรครับ” ลูกน้องถามออกมา
“นึกไม่ออกเว้ย แต่ยังไงก็ตาม..ฉันขอตั้งสมมุติฐานว่า..ไอ้อธิป..มันแกล้งบ้า..แต่กล้าใช้แก๊สน้ำตามาเล่นงานตำรวจเหล็กอย่างชั้น..ชั้นไม่ยอมๆๆๆๆ ไอ้อธิป..แก..คอยดูฝีมือสารวัตรมาวินก็แล้วกัน ไอ้ชั่ว!! ชั้นเล่นแกไม่เลิกแน่”
จตุพล น้อมพงษ์ และสุขสันต์ นั่งจิบกาแฟกันอยู่อย่างสบายใจที่ออฟฟิศสุขสันต์ สองหนุ่มบอดี้การ์ดฉัตรชัยกับฮิมยืนเป็นวอลเปเปอร์ให้สุขสันต์
“เห็นมั้ย...พวกเราคนดีผีคุ้ม” จตุพลเอ่ยขึ้น
“ใช่..ขนาดไอ้นักข่าว 2 คน มาป่วนเรา มันก็ยังโดนตำรวจจับ ก๊าก แจ๋วจริงๆ เล้ย” น้อมพงษ์ว่า
“ฮ่าๆๆๆๆ ตำรวจพวกนั้น...พวกคุณจ่ายไปเท่าไหร่”
“อ้าว..ไม่ใช่ท่านสุขสันต์จ่ายหรือครับ” จตุพลงง
ระหว่างนั้นโทรศัพท์มือถือของสุขสันต์ที่วางอยู่บนโต๊ะสั่น มีสายเข้าหน้าจอขึ้นชื่อ และรูปของ แพรวพิลาศ สุขสันต์เอานิ้วมือกด Ignore แล้วยื่นโทรศัพท์ให้ฮิมอย่างไม่แยแส
ฮิมมองโทรศัพท์เห็นชื่อคนโทร.ก็รู้สึกหนักใจ จึงส่งต่อให้ฉัตรชัย เสียงโทร.ดังไม่ขาด ฉัตรชัยยื่นโทรศัพท์กลับมาให้สุขสันต์
“ท่านครับ คุณแพรวพิลาศเธอโทร.รัวไม่หยุดเลยครับ”
“โทรศัพท์สั่นจนผมสันนิบาตจะกินแล้วครับ” ฮิมว่า
สุขสันต์นั่งนิ่ง ขัดถูแหวนเล่น “ถ้างั้นก็ปิดเครื่องไปเลย รำคาญ
“ครับท่าน”
แพรวพิลาศไม่ละความพยายาม ยังคงกดโทร.หาสุขสันต์ไม่หยุด จนได้ยินเสียงแจ้ง
“ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียกคะ Sorry it is not possible...”
แพรวพิลาศกดทิ้งอย่างอารมณ์เสียสุดๆ
“ไม่รับโทรศัพท์ ตัดสาย แถมยังปิดเครื่องใส่แพรวอีก! คุณกล้าดีกับแพรวหรือ มาตรการลงโทษคราวนี้ มันไม่ทำให้แกสำนึกเลยใช่ไหม นึกว่าตัวเองเพอร์เฟ็คท์นักเหรอ..แบบนี้มันต้องจัดหนักกว่าเดิมซะแล้ว”
แพรวพิลาศกล่าวอย่างคั่งแค้น
อ่านต่อตอนที่ 7