อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว ตอนที่ 2
ครั้นพอแนนนี่เห็นยายทำท่าตกอกตกใจกับคำพูดของตัวเอง ก็เอียงคอมองทาฮิร่าตาแป๋ว และยังแกล้งอำต่อ
“ทำไมยายต้องทำท่าตกใจขนาดนั้นล่ะคะ” คลำหัวตัวเอง “หรือแนนนี่มีเขางอก! ว้าย! มีจริงด้วย”
“ฮ๊า!” ทาฮิร่าหลงกลรีบจับแนนนี่มาดูหัวอย่างเป็นห่วง
แนนนี่หัวเราะร่วน ทาฮิร่าละมือจากแนนนี่ จ้องเป๋งดุ ๆ
“ล้อยายเล่นใช่มั้ย หืมมันน่าหยิกนักนะเรา มานี่”
ทาฮิร่าจะหยิกแขนแนนนี่ แต่แนนนี่เอี้ยวตัวหนี ปัดป้องพัลวัน
“เล่นเอาซะยายตกใจ ทีหลังอย่าล้อเล่นอย่างนี้อีกนะ โดยเฉพาะคำนั้นน่ะ อย่าพูดให้ยายได้ยินอีก”
“คำว่าอสูรน่ะเหรอคะ”
“..ใช่ เย้ย! พูดทำไมอี๊ก…”
“ก็...แนนนี่เป็นอสูร”
แนนนี่ย้ำหน้าซื่อ สีหน้าทาฮิร่าเจื่อนสนิท
“ตกลง..เมื่อกี้..ไม่ได้ล้อเล่น” แม่มดแห่งเมืองเวทมนตร์หน้าเสียใจเสีย
แนนนี่พยักหน้าซื่อๆ “ยายจ๋า นี่ยายแก่ลงมากเลยนะคะเนี่ย แนนนี่เป็นอสูร ยายก็รู้ดีอยู่ อย่าบอกนะว่ายายจำไม่ได้”
“แนนนี่ โอ...หลานยาย...”
ทาฮิร่าครางพลางปัดป่ายมือสะเปะสะปะไปทางชิกเก้น ชิกเก้นวางมือใส่ฝ่ามือทาฮิร่า ทาฮิร่าคว้ามาดมฟี้ดๆ ทีละรูจมูก พอรู้ว่าเป็นมือชิกเก้นก็รีบสะบัดทิ้ง
“จะบ้าเหรอเจ้าชิกเก้น เอามือมาให้ข้าดมทำไม! ยาดม ข้าจะเป็นลม เอายาดมมา”
“อ้าวเห็นยื่นมือมา จะรู้มั้ยล่ะ”
ชิกเก้นเสกยาดมใส่มือทาฮิร่า ทาฮิร่าคว้ามาดมหมับ
“เป็นไรมากเปล่าคะยาย” แนนนี่ถาม
ทาฮิร่าสูดยาดมยาวพรืดก่อนจะตอนหลานจอมแก่น “ทำไมจู่ ๆเจ้าถึงนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ยายเคยบอกเจ้าแล้วไม่ใช่ เหรอว่าเจ้าแค่ถูกสงสัยว่า...”
“เป็นอสูร” แนนนี่ชิงตอบหน้าตาเฉย
“โฮ้ยแนนนี่ ยายบอกแล้วไงว่าอย่าพูด ยังไม่มีอะไรพิสูจน์ได้ว่าเจ้าเป็นอสูร แต่ที่แน่ๆ เจ้าคือแม่มดนะแนนนี่ ...แม่มดที่พิเศษ” ทาฮิร่าว่า
“แล้วถ้าวันนึง แนนนี่เกิดมีเขางอก มีหางแหลมเป็นหัวลูกธนู ตัวโตเท่าตึก” แนนนี่ยังเจื้อยแจ้วต่อ
“ให้มันถึงวันนั้นก่อนเหอะ เอ้ยไม่ใช่! มันจะไม่มีวันนั้น เพราะยายจะเลี้ยงเจ้าให้เป็นแม่มดที่ดี เจ้าจะต้องเป็นแม่มดที่ดีเท่านั้น ไม่มีทางเป็นอย่างอื่น จำไว้นะแนนนี่
แนนนี่จะอ้าปากเถียงแต่ทาฮิร่ายกนิ้วชี้ขึ้นปิดปาก ชิงพูดก่อน
“อยากได้ของขวัญใช่ไหม?”
แนนนี่ตาลุกวาว ยิ้มแย้มอย่างดีใจ พยักหน้าหงึกหงัก ลืมสิ่งที่คุยค้างเมื่อครู่เป็นปลิดทิ้ง
“เจ้าอยากได้อะไรล่ะ”
แนนนี่ยิ้มกว้าง ดึงมือทาฮิร่าออกจากปาก
“ยายจะให้แนนนี่จริงๆ นะ ถ้าแนนนี่ขอ...ไม่ว่าจะเป็นอะไรยายก็จะให้ใช่ไหมจ๊ะ?”
“ถ้าให้ได้ ยายก็จะให้”
“แนนนี่อยากได้ตะเกียงแก้ว! ที่แนนนี่เคยเข้าไปตอนเล็กๆ มันสบาย แนนนี่รู้สึกว่ามันเป็นบ้านของแนนนี่
ทาฮิร่ากับชิกเก้นมองหน้ากันเศร้าๆ แนนนี่มองสองคนอย่างสงสัย
“เกิดอะไรขึ้นกับตะเกียงแก้วเหรอคะ”
“ตะเกียงแก้วมันแตกแล้ว” ชิกเก้นตอบแทน
“หา?”
ทาฮิร่าพยักหน้ารับในสิ่งที่ชิกเก้นพูด ทอดถอนหายใจพลางย้อนนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตในค่ำคืนนั้น
เหตุเกิดภายในบ้านของทาฮิร่าในเมืองเวทมนตร์
คืนนั้นทาฮิร่าอยู่ในชุดนอน กำลังลุกจากเตียงท่ามกลางความมืด แล้วควานหาแว่นตา
“ทำไมคอแห้งอย่างนี้นะ อ้าว แว่นหายไปไหนอีก ...เจ้าชิกเก้น เห็นแว่นตาฉันรึเปล่า เจ้าชิกเก้น”
ทาฮิร่าหันหาชิกเก้นที่ข้างๆ พลางคลำไปเจอชิกเก้นหลับกรนไม่รู้เรื่องอยู่ ทาฮิร่าส่ายหัวแล้วคลำมือไปยกกาน้ำบนถาดที่โต๊ะหัวเตียง ปรากฏว่าน้ำชาในนั้นหมดเกลี้ยง
“อ้าว ชาหมดตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย”
ทาฮิร่าลุกขึ้นนั่งหย่อนขา แล้วคว้าเอาตะเกียงแก้วไปแทนที่จะเป็นกาน้ำชา เหตุที่มีรูปร่างใกล้เคียงกัน ในมือทาฮิร่าเวลานี้ถือตะเกียงแก้ว ขณะลุกจากเตียงไป
เสียงทาฮิร่าเล่าเรื่องให้แนนนี่ฟังอย่างเศร้าสร้อย
“ยายหยิบตะเกียงแก้วไปโดยไม่รู้ว่านั่นคือตะเกียงแก้ว ไม่ใช่กาน้ำชา”
แนนนี่ตาลุก ตกใจ
“ห๊า อย่า..อย่าบอกนะคะว่า”
ทาฮิร่าพยักหน้า รู้สึกผิด
“ยายเอามันไปตั้งเตาไฟ เพราะไม่ได้ใส่แว่นตาจ้ะ”
“โธ่...น่าสงสารจังเลย เจ้าตะเกียงแก้ว”
ทาฮิร่าเล่าต่อ...เวลานั้นเตาหุงต้มในครัวมีตะเกียงแก้วตั้งอยู่ ควันน้ำเดือดฉุย ทาฮิร่าเดินเข้ามา สีหน้ายิ้มกริ่ม หลังจากสวมแว่นสายตาแล้ว
“ค่อยมองเห็นชัดหน่อย”
ทาฮิร่าตรงไปที่เตา มองตะเกียงแก้วอย่างพอใจ
“เดือดแล้วสินะ” จนเมื่อสังเกตว่าเป็นตะเกียงแก้วไม่ใช่กาน้ำชาก็ตกใจ “เฮ้ย! ใครเอาตะเกียงแก้วมาต้มน้ำ แย่แล้ว ทำไงดี! ทำไงดี!” ทาฮิร่าหมุนซ้ายหมุนขวา
ทาฮิร่าคว้าตะเกียงแก้ว แล้วร้อนมาก จึงปล่อยมือตะเกียงแก้วตกลงพื้น
“อ๊าย”
จังหวะนั้นชิกเก้นก็ตะกุยตะกายเข้ามา
“เกิดอะไรขึ้นเจ้านาย ห๊า นั่นมัน...”
ทาฮิร่าทรุดตัวฮวบลงบนพื้น มองดูตะเกียงแก้วที่แตกเป็นเสี่ยง น้ำเสียงละห้อย
“ตะเกียงแก้ว”
ทาฮิร่าเล่าเรื่องในอดีตสีหน้าเศร้า
“ยายพยายามจะต่อตะเกียงแก้วให้กลับมาดังเดิม ร่องรอยการแตกหายไปก็จริง...”
“แต่ตะเกียงแก้วเปลี่ยนไป” ชิกเก้นต่อให้
“กลายเป็นตะเกียงขี้โมโห หงุดหงิดง่าย พูดมาก อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน” ทาฮิร่าว่า
แนนนี่เป่าปากโล่งอก
“แต่สรุปว่าตะเกียงแก้วก็ยังอยู่ใช่มั้ยคะ”
“แบบพิการ” ทาฮิร่าบอก
“งั้นยิ่งต้องส่งมาให้แนนนี่เลยค่ะ แนนนี่จะดูแลตะเกียงแก้วเอง รับรองว่าตะเกียงแก้วต้องกลับไปเป็นตะเกียงแก้วที่แสนดีพูดน้อย เรียบร้อยน่ารักเหมือนเดิม
ชิกเก้นมองหน้าทาฮิร่า ส่ายหน้าห้าม
แนนนี่มองหน้าทาฮิร่าตาปริบๆ อ้อนสุดชีวิต ทาฮิร่าทอดถอนหายใจอีก
โป่งหัดเล่นมายากล เสกของหาย โดยมีถาดใส่จานชาม แก้วน้ำ เป็นอุปกรณ์ ใช้กับผ้าดำผืนใหญ่คลุมลงไปบนถาดนั้น แล้วทำมือร่ายมนตร์เลียนแบบแนนนี่ที่เคยหลอกโป่งไว้
“จงหาย...จงหาย วึ๊บ!” โป่งกระตุกผ้าออกเร็ว ๆ
ทว่าจานชาม แก้วน้ำยังอยู่เหมือนเดิม โป่งก้มลงมองดูใต้โต๊ะที่วาง ครุ่นคิดสีหน้าจริงจัง
“ด้านล่างต้องมีลิ้นชัก แล้วตรงนี้มีประตูกล กดปุ่มปุ๊บ ของก็จะหล่นลงในนั้นปั๊บ ใช่แน่ๆ คุณแนนนี่ต้องทำอย่างนี้แน่ ๆ วะฮะฮ่า”
พรเข้ามาเท้าสะเอวมองด้วยความรำคาญ
“อีกแล้วนะไอ้โป่ง ซ้อมเล่นกลบ้า ๆบอ ๆอะไรของแก ฉันรอจะล้างจานอยู่ รีบยกไปซี” พรเอ็ด
“บ้าบอที่ไหน ฉันกำลังจะทำตามอาจารย์ต่างหากล่ะ”
“อาจารย์? คุณแนนนี่ของแกน่ะนะ”
“ก็เออสิ ถ้าฉันทำได้ครึ่งของอาจารย์นะ ฉันจะเลิกเป็นคนใช้ ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ คุณแนนนี่เคยเสกต้นไม้ใหญ่ๆ” โป่งทำมือเลียนแบบแนนนี่ “หายไปทั้งต้นเลยนะ” โป่งสาธยาย
“นั่นมันแม่มดแล้ว ไอ้ปัญญานิ่มเอ้ย กลอะไรมันจะทำได้ขนาดนั้น จ้างให้ฉันก็ไม่เชื่อ ยกจานไปล้างได้แล้ว เดี๋ยวเจอป้าผาดเล่นกลจานลอยลงกบาลเข้าให้บ้างหรอก” พรว่าเป็นชุด
โป่งหน้างุด ยกถาดออกไป
“วันนึงโป่งเล่นกลดังขึ้นมาแล้วอย่ามาเรียกพี่ลูกโป่งคะพี่ลูกโป่งขาละกัน” โป่งบ่นอุบ
“เออว่าแต่อาจารย์แกน่ะไปไหนซะล่ะ คุณๆ ข้างในเค้าถามถึงแน่ะ” พรถามขึ้น
“คุณแนนนี่เหรอ โน่นไง ขี่ไม้กวาดอยู่”
โป่งแกล้งชี้นิ้วไปบนท้องฟ้า พรหันมองตาม
“ไหนวะไม่เห็นมี” พรนึกขึ้นได้ “ขี่ไม้กวาด...มันก็แม่มดสิวะ หืม! หลอกฉันนะไอ้โป่ง ไอ้ปัญญาอ่อน”
พอพรหันมาโป่งหายไปแล้ว แต่กลายเป็นผาดแทน
“เอ่อ...แหะ...ป้าผาด”
“แกว่าใครปัญญาอ่อน”
“ว..ว่าตัวฉันเองจ้ะ”
ผาดปราดตามองพรแบบถ้าจับหักคอได้จับหักไปแล้ว
“รีบเข้าไปช่วยในครัวโน่น”
ทุกคนยังรวมอยู่ในห้องนั่นเล่น ภวัตกับธานีเล่นเกมอยู่ที่ทีวี เป็นเกมยอดฮิตที่ผู้ชายชอบเล่นกัน โดยมีรัดเกล้ากับดารกานั่งเป็นผู้ชมคอยเชียร์
จังหวะที่ภวัตเป็นต่อธานี รัดเกล้ากับดารกาปรบมือเชียร์
“ตาเกล้าแล้ว”
รัดเกล้าแบมือขอจอยและแจมด้วย แต่ธานีแกล้งทำเหมือนไม่เห็น เล่นเกมต่อหน้าตาเฉย
“เอาจริงแล้วนะ นี่แน่ะ อ้าวเฮ้ย”
“แกแพ้อีกแล้วธานี” ภวัตย้ำ
รัดเกล้ายิ้มแต้ แบมือใส่ธานีอีกที ธานีไม่สน กดเล่นใหม่อีก รัดเกล้าโวยลั่น
“หืม อย่างนี้อยากมีเรื่องนี่ ไหนบอกใครแพ้ออกไง”
“ผู้ชายเค้าจะเล่นกัน เราน่ะนั่งเชียร์กับน้องดาแหละดีแล้ว
“พี่ธานี!” รักเกล้าหันมาหาภวัต “พี่ภวัตช่วยเกล้าด้วยสิคะ”
“ไม่รู้ เคลียร์กันเอง ฮ่ะๆ” ภวัตออกตัวขอไม่เอี่ยว
รัดเกล้าหันมาหาดารกาเป็นแนวร่วม
“น้องดา จัดการพี่ชายตัวเองหน่อยสิ”
“จัดการยังไงดีล่ะคะ พี่ธานีก็แปลก ทีกับน้องดากับแนนนี่ไม่เห็นเป็นอย่างนี้ ทำไมชอบแกล้งพี่เกล้าจังคะ" ดารกายิ้ม
“ก็แกล้งแล้วสนุกไง ชอบดูทอมกรี้ด” ธานีว่า
รัดเกล้าโดนจี้ใจดำ ตาลุกพอง
“พี่ธานีว่าใครทอมคะ ว่าใคร”
ธานี ดารกา ภวัตหัวเราะขำกับท่าทีของรัดเกล้า
ระหว่างนั้นปัทมนเทน้ำชาเติมให้จักรวาล และอิงอร
“ของคุณอิงอรต้องดื่มชาในความฝันแล้วละครับ”
ปัทมนทำหน้างง หันมองอิงอรแล้วประหลาดใจ เพราะอิงอรหลับไปกับหมอนอิง อ้าปากแบบหลับสนิท
ปัทมนขยับถ้วยชาออกห่างอิงอร
“พี่อิงแกมักจะอดนอนอยู่กับอินเตอร์เน็ตน่ะค่ะ นี่เห็นว่าทำวิจัยเรื่องจักรวาลอยู่”
“วิจัยเรื่องผมน่ะเหรอฮะ” จักรวาลหัวเราะ
ปัทมนยิ้ม “ไม่ใช่ค่า...คุณจักรนี่ก็จริงๆ เลย ไปล้อพี่เค้า”
“อย่างนั้นผมว่าเดี๋ยวเราแยกย้ายเลยดีมั้ยครับ” จักรวาลหัวเราะอีก
ปัทมนมองไปทางเด็กๆ แล้วปรารภขึ้น “แล้วเราจะบอกพวกเด็กๆ เลยมั้ยคะ”
“เรื่องนั้นใช่มั้ยครับ”
พอพูดจบ จักรวาลก็มองไปที่เด็กๆ อย่างครุ่นคิด
ส่วนภายในห้องนอนของแนนนี่ เวลานั้นทาฮิร่าวางมือบนหลังมือแนนนี่เป็นมั่นเป็นเหมาะ
“เอาละ ยายสัญญาว่าจะเอาตะเกียงแก้วมาให้”
“เย้ แนนนี่รักยายที่สุดเลย” แนนนี่รีบประจบ เข้าไปจุ๊บแก้มซ้ายขวาไม่หยุด
“พอแล้วๆ แต่วันนี้เราต้องลงไปช่วยทุกคนเก็บงานก่อน ทิ้งทุกคนมาอย่างนี้มันใช้ได้ที่ไหน วันเกิดเราแท้ๆ นะ”
แนนนี่ลุกพรึบ ทำท่าตะเบ๊ะแบบทหาร
“ครับผม! ไปเดี๋ยวนี้ค่า”
แนนนี่ทำท่าจะออกไป ทาฮิร่ารั้งแขนไว้
“เดี๋ยวก่อน ยายยังมีอีกเรื่องนึงต้องคุยกับเรา”
“จ๋าจ้ะ”
ทาฮิร่าเหล่ที่ชิกเก้นแล้วเอ่ยขึ้น “ต่อไปนี้ชิกเก้นจะอยู่กับเจ้า”
ทั้งแนนนี่กับชิกเก้นร้องเสียงหลงพร้อมๆ กัน
“ห๊า ไม่เอา”
“จะฟังต่อได้รึยัง เลิกโวยวายซะที” ทาฮิร่าตัดบท
แนนนี่กับชิกเก้นเงียบเสียงลง มองทาฮิร่าหน้าม่อย
“หลานโตขึ้นทุกวันๆ และการที่หลานเป็นเด็กพิเศษไม่เหมือนใคร ถ้าไม่มีผู้ช่วยที่รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับหลาน หลานอาจจะอยู่ในเมืองมนุษย์อย่างมีปัญหาได้ ยายเองก็ไม่สามารถมาอยู่เป็นเพื่อนเจ้าได้ จะมีก็แต่เจ้าชิกเก้นนี่ละที่คอยดูแลหลาน เป็นหูเป็นตาแทนยายได้”
“แต่ชิกเก้น...” ชิกเก้นแย้ง
“ทำไม! เจ้าจะขัดคำสั่งข้าเรอะ เจ้าเองก็เห็นแนนนี่มาแต่อ้อนแต่ออก ดูแลกันแค่นี้ไม่ได้ใช่มั้ย ถ้าไม่ได้ข้าจะได้รู้ไว้ ว่าเจ้ามันเป็นแมวแล้งน้ำใจ เจ้ามัน...” ทาฮิร่าตัดพ้อต่อว่าชิกเก้นเป็นชุด จนชิกเก้นไม่กล้าขัดใจ แต่มีข้อแม้
“พอแล้วๆ ก็ได้ๆ แต่ต้องให้ชิกเก้นกลับเมืองเวทมนตร์บ้างนะ”
ทาฮิร่ายิ้มแต้ หันหาแนนนี่ “หลานล่ะว่าไง
“ถ้าเป็นแมวเปอร์เซียร์ ดูคุณหนูๆ เข้ากับแนนนี่ก็โอเคอ่ะนะ ...แต่นี่...” แนนนี่ทำท่าเหล่มองชิกเก้นอาการหน่ายๆ
“หืมพูดงี้ไม่อยู่ด้วยแล้ว คิดว่าง้อเหรอ ชิ!” ชิกเก้นงอน
แนนนี่หัวเราะชอบใจขึ้นมา “ล้อเล่น” พร้อมกับคว้าชิกเก้นมากอดรัด “ดีใจจัง ต่อไปนี้แนนนี่ไม่เหงาแล้ว แนนนี่รักชิกเก้น! มาจุ๊บที” แนนนี่ทำปากจู๋จะจุ๊บชิกเก้น
ขณะที่ชิกเก้นหันหน้าหนีสุดฤทธิ์ “อี๋..ป..ปล๊อยย...หายใจไม่ออก อี๊...”
ชิกเก้นดิ้นพล่านตาเหลือก ในขณะที่ทาฮิร่าหัวเราะขำชิกเก้น
พอแนนนี่อุ้มชิกเก้นลงมาหา ทุกคนดูหน้าเครียดไปหมด ยกเว้นอิงอรที่ยังหลับไม่เลิก
“ทำอะไรกันอยู่ค้าทุกคน แนนนี่มีอะไรจะเซอร์ไพรส์ค่า ทาดา! นี่คือชิกเก้น แมวที่แนนนี่ให้เป็นของขวัญวันเกิดตัวเอง”
ภวัตยิ้มเอ็นดูแนนนี่
“น่ารักดี ชื่ออะไรนะจ๊ะ”
แนนนี่ชักเริ่มผิดสังเกตสีหน้าของดารกา
“ชิกเก้นค่ะ...พี่ดาเป็นอะไรอ่ะคะ”
ดารกาเบือนหน้าหนีไปเช็ดน้ำตาปัทมนมองดารกากับแนนนี่อย่างเป็นกังวล
“นั่งลงก่อนสิจ๊ะแนนนี่”
แนนนี่ทำตามนั่งลงพร้อมอุ้มเจ้าชิกเก้นบนตัก
“มีเรื่องอะไรกันเหรอคะ หรือว่าแนนนี่ทำอะไรไม่ดีให้พี่ดามาฟ้องคุณแม่อีกแล้ว” แนนนี่หน้างอ เผลอขยุ้มคอชิกเก้น
ชิกเก้นตาลุก เจ็บ ส่งเสียงในความคิดแนนนี่
“โอ้ย! มาลงอะไรที่ชิกเก้นล่ะเจ็บนะ”
แนนนี่เหล่มองดารกาที่ก้มหน้านิ่ง ปัทมนหันมองจักรวาลกับภวัต
“ให้เจ้าตัวเค้าบอกกันเองดีกว่ามังคะ” ปัทมนบอก
จักรวาลหันพยักหน้าให้ภวัต
“คืออย่างนี้จ้ะแนนนี่ อาทิตย์หน้า พี่จะต้องไปเรียนต่อที่อเมริกาน่ะจ้ะ”
แนนนี่ค่อยๆ หันหาภวัตอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
“อเมริกา”
“จ้ะ พี่คงคิดถึงเรานะ” ภวัตยิ้มให้
“ไปซัมเมอร์แป๊บเดียวอย่างที่พี่ภวัตกับพี่เกล้าเคยไปใช่มั้ยคะ” แนนนี่ฝืนยิ้ม
“ไม่จ้ะ พี่ภวัตไปนานเลยละ จบปริญญาโทถึงจะกลับเมืองไทย”
ดารกาน้ำตาคลอขึ้นมาอีก
“เจ็ดปีได้มั้ยวะภวัต” ธานีถาม
“ประมาณนั้น” ภวัตบอก
แนนนี่ลุกขึ้นพรึ่บ ปล่อยตัวชิกเก้นไหลลงบนโซฟา
“นี่ถ้าแนนนี่ไม่ลงมา ก็คงไม่มีใครบอกแนนนี่เรื่องนี้ใช่มั้ยคะ พี่ภวัตใจร้าย ไม่เห็นแนนนี่สำคัญ แนนนี่รู้คนสุดท้ายเลย” แนนี่น้ำตาคลอ “ใจร้ายที่สุด”
แนนนี่วิ่งออกไปทันที
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะแนนนี่”
แนนนี่วิ่งพรวดพราดกลับเข้ามาคว้าชิกเก้น แล้ววิ่งขึ้นข้างบนไป ปัทมนมองหน้าจักรวาลเครียด ๆ
“ปล่อยแกไปก่อน ผมว่าอย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้เลย” จักรวาลแนะนำ
ดารกาฝืนยิ้มปลอบภวัต
“น้องดาจะช่วยพูดกับแนนนี่ให้ด้วยค่ะ”
รัดเกล้ากับธานีพยักหน้าพอใจ แต่แล้วหันสบตากันโดยบังเอิญ ต่างคนต่างเชิดใส่กัน
ทุกคนกังวลใจ ในขณะที่อิงอรยังคงหลับไม่รู้เรื่อง พร้อมกรนเสียงคร่อกออกมา
วันเดินทางไปเรียนต่อที่อเมริกาของภวัตมาถึง จักรวาลมองดูกระเป๋าเดินทางของภวัตที่โป่งยกเข้ามา มีอิงอรยืนอยู่ด้วย พลางทวนเวลาเครื่องบินออก
“ไทม์ฟลาย เวลาผ่านไปไวจริงๆ เลยนะคะคุณจักร ได้เห็นเด็กๆ เติบโตจนไปเรียนเมืองนอกเมืองนาอย่างนี้แล้วก็ชื่นใจนะคะ”
อิงอรพูดพลางมั่วนิ่มคล้องแขนจักรวาล ยิ้มเยื้อนมองสัมภาระของภวัตราวกับเป็นคุณแม่ จักรวาลยิ้มเก้อๆ อึดอัด
“เอ่อ..ครับ” จักรวาลก้าวหาตัวช่วยอย่างโป่ง อิงอรมือตก สีหน้าตุ่ยๆ
“แล้วกระเป๋าสีดำอีกใบล่ะไอ้โป่ง คุณภวัตลืมรึเปล่า”
“ไม่เห็นเลยนี่ครับ” โป่งว่า
ภวัตยกกระเป๋าสีดำลงมาอีกใบ
“อยู่นี่ครับพ่อ”
รัดเกล้ายกถาดแก้วน้ำส้มเข้ามาพอดี
“แพ็คของเหนื่อยๆ ดื่มน้ำส้มคั้นทิ้งทวนฝีมือน้องสาวหน่อยค่า”
รัดเกล้าไล่เสิร์ฟน้ำส้มคั้นให้ ภวัต จักรวาล ไปจนถึงอิงอร ซึ่งอิงอรคล้อยหน้าไปมาขณะมองภวัตอย่างตื้นตัน
“โถพ่อคู๊ณ เห็นมาแต่อ้อนแต่ออก วันนี้จะไปใช้ชีวิตตัวคนเดียวที่เมืองนอกซะแล้ว ยังไงก็ใจเย็น ๆอย่ารีบคว้าสะใภ้มาฝากคุณพ่อล่ะจ๊ะ”
จักรวาลสำลักน้ำส้ม รัดเกล้ารีบเข้าลูบหลังพ่อ
“เป็นอะไรรึเปล่าคะคุณพ่อ” รัดเกล้าถามพร้อมกับแอบค้อนอิงอร
ปัทมนเข้ามาพร้อมดารกา และธานี ทั้งหมดแต่งตัว เตรียมพร้อมไปส่งภวัตที่สนามบิน
“พร้อมกันรึยังคะ อามีของขวัญเล็ก ๆน้อย ๆมาให้ภวัตจ้ะ”
ปัทมนยื่นกล่องปากกาให้ภวัต ภวัตไหว้ขอบคุณและรับไว้
“ขอบคุณครับอาปัท”
“ของน้องดาก็มีนะ” ปัทมนว่า
ดารกายิ้มสุภาพให้ภวัต ก่อนจะยื่นพวงกุญแจตุ๊กตาหมีถักให้ภวัต
“น้องดาทำเองค่ะ อาจจะไม่สวยนะคะ”
“ใครบอก น่ารักดีออกจ้ะ”
“นี่ละน้า ปากหวานเป็นพระเอกอย่างนี้สิน้องๆ ฉันถึงพากันเศร้า” ธานีเย้า
ภวัตหัวเราะก่อนจะถามออกมาถึงอีกคน “อืม..แล้วแนนนี่ล่ะ”
ธานียักไหล่ สั่นหัว หันหาปัทมนให้ตอบแทน
“น่าจะยังงอนอยู่น่ะจ้ะ คงไม่ได้ไปส่งภวัตนะ”
“พี่ภวัตอย่าถือโทษแนนนี่เลยนะคะ ที่น้องเป็นอย่างนี้ก็เพราะเค้ารักพี่ภวัตนะคะ” ดารกาบอก
ภวัตยิ้มอ่อนโยน
“พี่เข้าใจจ้ะ”
ภวัตพูดเหมือนจะเข้าใจ แต่สีหน้ามีแววเสียดายฉายขึ้นมาแวบหนึ่ง อีกทั้งนึกเป็นห่วงแนนนี่
จักรวาลตัดบท
“ปาย ออกเดินทาง มีเวลาล่ำลากันอีกเยอะที่สนามบิน”
ชิกเก้นเดินป้วนเปี้ยน แหงนคอคุยกับแนนนี่บนต้นไม้
“นี่ใจคอจะอยู่บนต้นไม้นี่จนมืดเลยใช่มั้ย”
แนนนี่นั่งแกว่งขา กอดอก หน้างุด
“ช่าย!”
ชิกเก้นส่ายหน้าหน่าย แล้วกระโดดขึ้นไปนั่งข้างแนนนี่
“คิดว่ามีใครเค้าสนด้วยเหรอว่าเธอหายไปไหนน่ะ” ชิกเก้นจี้ใจจำอย่างได้ผล
แนนนี่ตาลุกวาวด้วยความโกรธ
“นี่ฉันคิดผิดรึคิดถูกเนี่ยที่ให้เธออยู่ด้วยกันห้ะ ชิกเก้น ไม่ช่วยอะไรแล้วยังมา ตอกย้ำกันอีก ใจร้ายทั้งคนทั้งแมวเลย”
“เอาเข้าไป อยากว่าอะไรเชิญว่าไป แต่ที่แน่ๆนั่งอยู่อย่างนี้มันไม่ได้ช่วยให้อะไรๆ มันดีขึ้นหรอกนะ”
“เรื่องของฉัน” แนนนี่เชิดหน้าหนี
“งั้นก็ตามใจ เอ๊ะ เสียงรถนี่ ฉันแอบขึ้นรถไปส่งภวัตที่สนามบินดีก่า”
ชิกเก้นกระโดดแผลวลงพื้นไป แนนนี่เลิ่กลั่ก
“เดี๋ยวสิ ชิกเก้น! ฉันไปด้วย! ชิกเก้น!”
แนนนี่รีบลงจากต้นไม้ ตกแอ้กลงกับพื้น ชิกเก้นหันมองกลับมา ส่ายหน้าหน่ายขึ้นมาอีก
“ให้มันได้อย่างนี้สิแม่คุณเอ๊ย ขี้โมโห ขี้งอน แถมยังซุ่มซ่ามโก๊ะกังได้อีก”
“มัวแต่พูดมากอยู่นั่นละ มาช่วยฉันหน่อยซี อูย... ก้นฉัน”
แนนนี่ลุกขึ้นในท่าเก้กัง ก้นเอียงไปข้าง ชิกเก้นหัวเราะขำ
“เอ้อ หมดฤทธิ์อย่างนี้ก็ดีนะ”
ทุกคนนอกจากภวัตกับโป่งนั่งอยู่ในรถตู้ พร้อมออกเดินทางไปส่งภวัตที่สนามบิน ภวัตขึ้นรถเป็นคนหลังสุด โป่งเตรียมปิดประตูเลื่อน แต่ภวัตเหลียวมองหาแนนนี่เป็นครั้งสุดท้าย
“ลืมอะไรเหรอครับคุณภวัต”
“เปล่า ไม่มีอะไร”
ภวัตเข้าในรถ โป่งเลื่อนประตูปิด
ขณะที่ในอีกมุมหนึ่งไกลๆ แนนนี่เดินเก้ๆ กังๆ มือกุมสะโพกก้าวอย่างช้าๆ มาพร้อมชิกเก้น
“เร็วหน่อยสิยาย เดินอย่างนี้จะทันเค้ามั้ยล่ะนั่นน่ะ” ชิกเก้นบ่น
“หยุดพูดมากซะทีได้มั้ย เก่งนักนะเรื่องซ้ำเติมฉันเนี่ย” พลันเห็นโป่งขึ้นรถ แนนนี่รู้สึกตกใจขึ้นมา
แนนนี่เห็นโป่งเปิดประตูรถตู้ ขึ้นนั่งตำแหน่งคนขับ แนนนี่โวยวายเอะอะ จะวิ่งก็เจ็บสะโพก
“นายโป่ง! รอฉันด้วย” แนนนี่โบกมือหยอยๆ เรียก โป่งหันเจอแนนนี่ก็โบกมือให้ ยิ้มแฉ่ง
แนนนี่ยิ้มออก
“นายโป่งเห็นฉันแล้ว!” แนนนี่โบกมือต่อ
โป่งโบกมือตอบอีก แล้วขึ้นรถ ขับออกไป แนนนี่อ้าปากค้าง
“ฉันไม่ได้บ๊ายบาย ฉันบอกให้รอฉันด้วย! โธ่...นายโป่ง ตามไปเร็วชิกเก้น”
ประตูรั้วปิดลงช้าๆ ด้วยรีโหมทอัตโนมัติ ชิกเก้นวิ่งเข้ามาเบรกเอี๊ยด แนนนี่นิ่งงัน ค่อยๆ ทิ้งตัวลงนั่งแปะกับพื้น ร้องไห้ เงียบงัน ต่างไปจากแนนนี่จอมโวยวาย
“พี่ภวัตไปแล้ว...”
ชิกเก้นเกยคางกับขาแนนนี่อย่างปลอบใจ
“อย่าร้องเลย ภวัตไปเดี๋ยวก็กลับ” ชิกเก้นบอก
“เจ็ดปีเนี่ยนะ...” แนนนี่ปาดน้ำตาป้อยๆ อย่างน่าสงสาร
ชิกเก้นปลอบต่อไม่ออก ได้แต่มองแนนนี่ด้วยความสงสาร
“พอจะมีวิธีนะ”
แต่แนนนี่มัวแต่ร้องไห้ ไม่สนใจฟังชิกเก้น
“ฉันจะทำให้เธอได้เจอภวัตอีกครั้ง สนใจมั้ย” ชิกเก้นเสียงดังกว่าเดิม
“ว่าไงนะ!” แนนนี่หูผึ่ง ตาลุกวาว
“แต่แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว และที่สำคัญ ทาฮิร่าจะรู้ไม่ได้เด็ดขาด” ชิกเก้นขอคำสัญญา
แนนนี่ยิ้มทั้งน้ำตา “ฉันจะได้เจอพี่ภวัตจริงๆ นะ!”
ชิกเก้นพยักหน้าอย่างมาดมั่น
แนนนี่ชูไม้กวาดในมือ มองอย่างฉงน
“เราจะไปเจอพี่ภวัตด้วยไม้กวาดเนี่ยนะ”
ชิกเก้นนั่งไขว่ห้างกอดอก วางท่ากุนซืออยู่บนเตียง
“ถูกต้อง เธอต้องหัดขี่ให้เป็น ณ บัดนาวเลย”
“มันจะเป็นไปได้ยังไง เผลอ ๆจะไม่ทันพี่ภวัตขึ้นเครื่องบินเอาซะด้วย ฉันยอมถูกคุณแม่ทำโทษเพราะนั่งแท็กซี่ไปสนามบินยังจะดีซะกว่า”
“งั้นก็ตามใจ เชิญไปเรียกแท็กซี่เลย ไม่ยุ่งด้วยแล้ว” แมวที่คิดว่าตัวเองเป็นไก่เดินเชิดหนี
“ฮื้อ เดี๋ยวสิ โอเคๆ หัดก็หัด มันต้องเริ่มยังไงล่ะชิกเก้นนน” แนนนี่หันมาอ้อน
ชิกเก้นค้อนให้แนนนี่ แล้วเริ่มสอนการขี่ไม้กวาด
“เริ่มต้นด้วย...”
ครู่ต่อมามีเสียงหวีดร้องของแนนนี่ดังนำมาก่อน ภาพแนนนี่สวมหมวกกันน็อคขี่ไม้กวาด มีชิกเก้นซ้อนท้าย บินฉวัดเฉวียน เดี๋ยวจะตก เดี๋ยวทะยานขึ้นฟ้า สีหน้าแนนนี่ตื่นตาตื่นใจ สนุกสุด ๆ
“วู้วไม่ยากเลยนี่นา ขี่ไม้กวาดสนุกกว่าที่คิด วู้ว”
ชิกเก้นตาลายเป็นวง กอดเอวแนนนี่ สลับกับเกาะไม้กวาดแน่น
“ขี่อยู่กับที่อย่างนี้ ปีนึงคงไปไม่ถึงไหน ฉันบอกให้ขี่ตรงไป”
แนนนี่ได้ฟังก็หยุดไม้กวาดกึกไม่บอกไม่กล่าว จนชิกเก้นหน้าทิ่มหัวคะมำไปข้างหน้า
“อ้าวเหรอ แล้วตรงไปมันต้องทำยังไงล่ะ”
“เฮ้ย แล้วหยุดทำไม อย่างนี้ก็ตกน่ะซี อ๊าย...” ชิกเก้นร้องตาเหลือก
แนนนี่ตาเบิกโพลง มองพื้นเบื้องล่าง กรีดร้องลั่น ก่อนจะบังคับไม้กวาดให้เชิดหัวขึ้นบนฟ้า
พนักงานต้อนรับเดินดูความเรียบร้อย ของผู้โดยสารที่นั่งประจำที่ก่อนเครื่องขึ้น มีเสียงประกาศต้อนรับผู้โดยสาร
“...ซึ่งจะเดินทางไปสนามบินจอห์นเอฟเคเนดี้ โดยจะใช้เวลาบิน17 ชั่วโมงโดยประมาณ กรุณาศึกษาคู่มือความปลอดภัยซึ่งอยู่ในกระเป๋าหน้าที่นั่งด้านหน้าของท่าน เพื่อความปลอดภัยของท่าน...”
ภวัตนั่งอยู่ถัดไปจากที่นั่งริมหน้าต่าง ซึ่งผู้โดยสารเป็นชายหนุ่มกำลังอ่านหนังสือ ภวัตรัดเข็มขัด แล้วพิงศีรษะกับพนักพิง เมื่อหลับตาลงก็เห็นหน้าแนนนี่ในท่าทางอ้อนๆ น่ารัก หัวเราะให้
ครู่ต่อมาภวัตลืมตาขึ้น ใบหน้ามีรอยยิ้มเศร้า เมื่อนึกถึงแนนนี่ เสียงประกาศดังต่อเนื่อง
“ประกาศ...และโปรดปิดเครื่องมือกรุณาปิดอุปกรณ์อิเล็คโทรนิกส์จนกว่าสัญญาณแจ้งรัดเข็มขัดจะดับลง”
ภวัตหยิบโทรศัพท์มือถือมากดปิดเครื่อง เห็นเป็นรูปแนนนี่เป็นวอลล์เปเปอร์ที่หน้าจอ ภวัตกำลังกดดูรูปแนนนี่หลากหลายอิริยาบถ
ผ่านเวลาไป เครื่องบินแล่นอยู่บนท้องฟ้า
ผู้โดยสารชายที่นั่งข้างหน้าต่างยังคงอ่านหนังสือเช่นเดิม ภวัตมองเหม่อออกนอกหน้าต่างก่อนจะหลับตาลง
โดยไม่รู้ว่าที่นอกหน้าต่างนั้น แนนนี่ขี่ไม้กวาด พยายามโบกไม้โบกมือเรียกภวัต และโชคดีที่ชายหนุ่มริมหน้าต่างไม่เห็นแนนนี่
ภวัตรู้สึกประหลาดใจ ขมวดคิ้ว ก่อนจะลืมตาขึ้นแล้วหันไปที่หน้าต่าง อ้าปากค้าง ภวัตเห็นแนนนี่ยิ้มร่า โบกมือให้หยอยๆ
แนนนี่ขี่ไม้กวาด มีชิกเก้นเกาะท้าย แนนนี่ตื่นเต้น ดีใจมากๆ ที่เห็นภวัต
“พี่ภวัต แนนนี่เองค่ะ แนนนี่เอง” จู่ๆ แนนนี่ก็น้ำตาไหลออกมา “แนนนี่มาส่งพี่ภวัตค่ะ”
แนนนี่พูดพลางมองผ่านหน้าต่างเครื่องบิน เห็นภวัตงง ตาตั้ง อ้าปากค้าง พูดไม่ออก แนนนี่ตัดสินใจขี่ไม้กวาดขยับเข้าไปใกล้หน้าต่าง ภวัตยังไม่เชื่อสายตาตัวเอง มองหน้าแนนนี่พลางขยี้ตา
“แนนนี่”
ชายหนุ่มริมหน้าต่างเหลือบมองภวัต สีหน้ามีคำถาม
“คุณเห็นมั้ย” ภวัตถามออกมา
“อะไรครับ” ชายคนนั้นถามกลับ
“ที่หน้าต่าง” ภวัตบอกพลางชี้ไปที่หน้าต่าง
แนนนี่เอาหน้าแนบกระจกหน้าต่าง จนหน้ายู่ น่าเกลียดน่าชัง และใกล้ชายหนุ่มคนนั้นเอามาก ๆ ชายคนดังกล่าวสั่นหัว แล้วทำเอียงอาย เข้าใจว่าภวัตหาเรื่องคุยด้วย
“สวัสดีครับ”
“...มายังไงเนี่ย” ภวัตพึมพำ ขณะเพ่งมองอย่างตาค้างจับจ้องอยู่ที่แนนนี่
“คุณแม่มาส่งครับ” หนุ่มคนข้างๆ ตอบ
ภวัตไม่ได้สนใจฟังชายหนุ่ม สายตานิ่งงันอยู่ที่แนนนี่ เห็นแนนนี่โบกมือลาร้องไห้
“แนนนี่จริงๆ ใช่มั้ย”
แนนนี่พยักหน้ารับ
“แนนนี่เองค่ะ” แนนนี่ยังร้องไห้อยู่
ภวัตโยกตัวไปใกล้หน้าต่าง ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ถึงกับเหวอ ทำตัวไม่ถูก
“...อย่าร้องไห้”
ชายหนุ่มมองภวัตตาปริบ ๆ
“หงะ...ว่าไงนะครับ”
ภวัตพูดอยู่กับแนนนี่ “พี่จะคิดถึงแนนนี่นะ”
ชายหนุ่มได้ยินนึกว่าภวัตพูดกับตัวเองถึงกับหลุดออกสาว“ว้าย...พูดอย่างนี้เขินนะครับ”
ระหว่างนั้นภาพของแนนนี่เริ่มจะแล่นห่างออกจากหน้าต่าง
“แนนนี่ก็จะคิดถึงพี่ภวัตค่ะ ...พี่ภวัต!”
เครื่องบินลอยลำทิ้งตัวห่างแนนนี่ออกไป
“รีบกลับมานะคะ!”
แนนนี่พยายามบังคับไม้กวาดตามเครื่องบินไปอีก แต่เครื่องบินก็ยิ่งห่างออกไป ห่างออกไป
“พอได้แล้วแนนนี่ เราต้องกลับแล้ว” ชิกเก้นร้องเตือน
แนนนี่ร้องไห้โฮ ปาดน้ำตาอย่างน่าสงสาร
อ่านต่อหน้า 2
อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว ตอนที่ 2 (ต่อ)
ร่างของภวัตในขณะนี้แทบจะนั่งทับร่างชายหนุ่มคนนั้น เขาเกาะหน้าต่าง พยายามมองหาแนนนี่ที่บัดนี้ห่างออกไปแล้ว
“แนนนี่!”
ชายหนุ่มซึ่งเนื้อเต้นจนหลุดออกสาวเผยตัวว่าเป็นเกย์ ถึงหน้าแดง เขินสุดๆ
ภวัตผละจากชายหนุ่ม กลับที่นั่งตัวเอง ครุ่นคิด งุนงง หันไปถามชายหนุ่มเพื่อให้แน่ใจ
“คุณไม่เห็นอะไรแปลกประหลาดเลยเหรอ”
ชายหนุ่มอ้อมแอ้มตอบออกมา พลางกัดปาก “เห็น...ครับ” ยิ้มเขินออกมา
ภวัตครุ่นคิด งุนงง สงสัย ขณะที่อีกฝ่ายคิดไปคนละอย่าง
พอกลับมาถึงบ้านแนนนี่ยังรู้สึกเศร้า รีบกลับเข้ามาในห้องพร้อมกับชิกเก้น และเห็นทาฮิร่านั่งคอยอยู่แล้ว
ชิกเก้นตกใจหน้าเหวอส่อแววพิรุธ ขณะที่แนนนี่ทักยาย สีหน้าซึม
“ยาย...”
ชิกเก้นแก้ตัวพัลวัน
“นายทาฮิร่า! โอ...ชิกเก้นผิดไปแล้ว แต่ที่ชิกเก้นทำไปชิกเก้นจำใจนะ แนนนี่น่าสงสาร ถ้านายจะลงโทษ ก็ลงโทษชิกเก้นตัวเดียวเถอะ แนนนี่ไม่เกี่ยวเลย
“แนนนี่เองละจ้ะ ที่เป็นคนขอให้ชิกเก้นพาขี่ไม้กวาดไปส่งพี่ภวัต” แนนนี่ออกรับแทน
ทาฮิร่าพูดตัดบทขึ้น
“พูดจบกันรึยัง ฉันบอกเมื่อไหร่เหรอว่าพวกเธอต้องถูกลงโทษ จริงอยู่ สิ่งที่พวกเจ้าทำน่ะมันไม่ถูกต้อง ดีที่แนนนี่กลับมาอย่างปลอดภัย ครั้งนี้ฉันจะยกโทษให้ แต่อย่าให้เกิดเหตุการณ์อย่างนี้อีก”
“แนนนี่ขอโทษนะจ๊ะยาย” แนนนี่ว่า
“ยายเตือนเจ้าแล้วนะว่าถ้าขืนเจ้ายังใช้พลังมากเกินตัว เจ้าจะเกิดอันตรายถึงชีวิตได้ เรื่องแบบนี้เราเป็นแม่มดรู้กันดีอยู่” จังหวะนั้นทาฮิร่าปรายตาไปที่เจ้าชิกเก้น “รึว่าไม่ใช่เจ้าชิกเก้น!”
ชิกเก้นสะดุ้งเฮือก ยิ้มแห้ง
“จริงจ้า”
ทาฮิร่าค้อนชิกเก้น ทั้งสองโต้ตอบกันไปมาขณะที่แนนนี่นั่งซึม พอทาฮิร่าละสายตาจากชิกเก้นก็สังเกตเห็นอาการแนนนี่
“แนนนี่... ยายเข้าใจนะว่าเจ้ารู้สึกยังไง ภวัตเป็นพี่ชายที่เจ้าสนิทมาก จากกันแบบนี้ก็ต้องคิดถึงกันเป็นธรรมดา”
“กลัวว่ามันจะไม่ธรรมดาน่ะซี้” ชิกเก้นเปรย
“หุบปากน่ะเจ้าชิกเก้น หลานข้ายังเป็นเด็กเป็นเล็ก พูดอะไรเหลวไหล” ทาฮิร่าเอ็ดเสียงเขียว
“พี่ภวัตทำให้แนนนี่อยากอยู่เมืองมนุษย์ พี่ภวัตเป็นคนเดียวที่สื่อสารกับแนนนี่ได้” แนนนี่พูดถึงภวัตน้ำตาคลอ
“โธ่ หลานยาย...”
ทาฮิร่าจับตัวแนนนี่เข้ามากอดไว้
“บอกแล้ว ธรรมดาซะที่ไหน” ชิกเก้นยังไม่เลิกเม้าท์
ทาฮิร่านึกถึงตะเกียงแก้วขึ้นมาได้
“จริงสิ วันนี้ยายมีอะไรมาให้เจ้านี่!”
ทาฮิร่าจับมือทั้งสองของแนนนี่ไว้
“แบมือของเจ้าสิ”
แนนนี่ทำตามที่ทาฮิร่าบอก แบมือทั้งสอง ชิดติดกัน
“แล้วหลับตา...”
ทาฮิร่าบอกพลางมองดูแนนนี่หลับตาลง จากนั้นจึงกวาดมือ ร่ายมนตร์
“ราซันนายายา ยายานาซันรา เรมเซ ...ราซันนายายา ยายานาซันรา เรมเซ...”
เวลาเดียวกันนั้น พรตากผ้าไปพลางคุยกับผาดที่เอาเครื่องแก้วออกมาเช็ด
“คุณภวัตไปไกลอย่างนี้คุณหนูๆ บ้านเราคงหงอย” ผาดเอ่ยขึ้น
“โดยเฉพาะคุณแนนนี่ เด็กหน๊อเด็ก ตัวแค่นี้รู้จักรักผู้ชายซะแล้ว” พรว่า
“เอ็งนี่มันน่าเอาสบู่ล้างปากนะ นังปากสกปรก! คุณแนนนี่น่ะเค้าแค่ติดคุณภวัตตามประสาพี่ๆ น้องๆ”
“อ้ะ แล้วคุณดาของป้าล่ะ รายนั้นก็ติดคุณภวัตหนึบ” พรยังไม่ยอมหยุดอีก
“เอ๊ะนังนี่หนิ ลามปามใหญ่แล้ว คุณ ๆเค้าเพิ่งอายุเท่าไหร่กันเชียว” ผาดเสียงเขียว
“อ้าวจะไปรู้เรอะ แถวบ้านฉันอายุไม่เท่าไหร่ก็ออกเรือนมีลูกมีผัวกันแล้ว”
“นั่นมันบ้านเอ็ง บ้านข้าไม่เห็นเป็นอย่างเอ็งว่า”
“นิยมขึ้นคานเหมือนป้าใช่มั้ยล่ะ ฮ่ะๆๆ” พรได้โอกาส
“ใช่ เอ้ย! ไม่ใช่ หนอยนังนี่” คว้าของเงื้อง่าจะขว้าง
พรตาตั้ง ตกใจ ชี้ไปข้างหลังผาด
“ฮ..เฮ้ย”
“ตกใจอะไรขนาดนั้น ข้าแค่ขู่เอง ไม่ปาให้เสียเครื่องแก้วเจ้านายหรอก”
พรยังคงเอาแต่สั่นหัว และชี้ไปข้างหลังผาด
เป็นอิงอรที่ผมชี้โด่เด่โผล่แค่หัวที่ฝั่งรั้วบ้านของตัวเอง อยู่ข้างหลังผาดแบบใกล้มาก ผาดทำหน้ารำคาญ
“ข้างหลังข้า?”
พรผงกหัวหงึกหงัก พอผาดหันมองแล้วร้องลั่น
“เฮ้ย” ผาดเพ่งมองถึงรู้ว่าเป็นอิงอร “...คุณอิงอร!”
“ชิกเก้น...แมวผี ...อย่าเลี้ยงมันไว้ ...แมวผี” อิงอรพึมพำอยู่คนเดียว
พรกับผาดมองหน้ากัน
“ชิกเก้นแมวคุณแนนนี่น่ะนะ...เป็นแมวผี!”
ส่วนภายในห้องแนนนี่ ชิกเก้นผู้ถูกอิงอรนินทากำลังนอนอยู่บนเตียง อ้าปากหาว เอาคางเกยมือทั้งสองของตัวเองบ่นพึมพำ
“นายทาฮิร่า...ยังไง๊ยังไงก็ยังเป็นเหมือนเดิม
ทาฮิร่าร่ายมนตร์อยู่ต่อหน้าแนนนี่
“...เรมเซ” ทาฮิร่าเหลือบมาค้อนชิกเก้น “นินทาอะไรข้าเจ้าชิกเก้น เห็นมั้ยว่าข้าร่ายมนตร์ไม่สำเร็จ”
ชิกเก้นเถียงฉอดๆ ทั้งที่ยังนอนหลับตา
“โฮ๊ะ โยนความผิดกันเห็นๆ เจ้านายอ่ะร่ายมนตร์เสกของไม่สำเร็จอยู่แล้วต่างหากล่ะ ไม่เกี่ยวที่ชิกเก้นพูดสักกะหน่อย”
ด้านแนนนี่รอนานจึงหรี่ตามองบนมือตัวเอง พอไม่เห็นอะไรก็ลืมตาขึ้น
“หน๊อยไอ้ลูกน้องเนรคุณ บังอาจดูถูกเจ้านายแกเรอะ ฉันร่ายมนตร์ถูกต้องทุกอย่างย่ะ แต่เป็นเพราะตะเกียงแก้วที่ทั้งเพี้ยนทั้งหยิ่งน่ะสิ เสกเท่าไหร่ก็ไม่ยอมปรากฏตัว”
แนนนี่ได้ยินก็ยิ้มดีใจบางๆ
“ยายจะให้ตะเกียงแก้วแนนนี่เหรอจ๊ะ”
ทาฮิร่ายิ้มเซ็งๆ “จ้ะ กะว่าจะเซอร์ไพรส์เจ้าซะหน่อย อดเลย เจ้าตะเกียงแก้วนะฮึ่ม กลับไปจะเล่นงานให้หายหยิ่งเลย”
“แนนนี่ขอลองเรียกตะเกียงแก้วดูได้มั้ยจ๊ะ” สาวน้อยแนนนี่ร้องขอ
“ขนาดยายเรียกมันยังไม่มาเลย นับประสาอะไรกับเจ้าที่เจอตะเกียงแก้วแค่ครั้งเดียว แถมนานแสนนานมาแล้วซะด้วย”
แนนนี่ดีดนิ้วเปาะแล้วเป่ามนตร์ลงบนฝ่ามือ พลันปรากฏกลุ่มควันหลากสี มีประกายวิบวับเกิดขึ้น เมื่อกลุ่มควันจางไปก็เห็นตะเกียงแก้วอยู่บนผ่ามือแนนนี่
“แนนนี่ทำได้ด้วย” แนนนี่ยิ้มอย่างตื่นเต้น
ทาฮิร่ามองตะเกียงแก้วค้อนๆ ในขณะที่ชิกเก้นหัวเราะ
“หัวเราะอะไรเจ้าชิกเก้น”
แนนนี่ประคองตะเกียงแก้วอย่างทะนุถนอม หอมแก้มทาฮิร่า
“ขอบคุณนะจ๊ะยาย”
“ขอบคุณยายทำไม เจ้าเป็นคนเสกให้ตัวเองแท้ ๆ” ทาฮิร่าออกอาการงอนๆ
“ท่าทางตะเกียงแก้วจะชอบแนนนี่ด้วยแหละ” แนนนี่ยิ้มปลื้ม
ชิกเก้นกระโดดลงจากเตียงมาสมทบ
“ยังไม่รู้ฤทธิ์เดชเจ้าตะเกียงแก้วซะแล้ว”
แนนนี่ไม่ใส่ใจ มองตะเกียงแก้วอย่างหมายมาด
บรรยากาศภายในตะเกียงแก้วสภาพเก่า และทรุดโทรมมาก ข้าวของเต็มไปด้วยฝุ่น ซอมซ่อขาดการดูแล
แนนนี่เดินสำรวจอยู่เดียงลำพัง
“ทำไมเปลี่ยนไปอย่างนี้ล่ะ ...ตะเกียงแก้ว ..น่าสงสารจริงๆ”
แนนนี่ลงมาหยุดที่ตั่งรูปวงกลม มีหมอนอิงสีซีดเก่าหลายสิบใบ แนนนี่ยื่นมือไปหยิบหมอนนั้น
“ฉันจำได้ว่าแต่ก่อนเธอมีสีสันสดใส”
ทันทีที่มือแนนนี่สัมผัสหมอนนั้น มือแนนนี่ถูกหมอนใบนั้นดีดกลับจนผงะถอยหลัง
“ว้าย!อะไรเนี่ย”
เสียงตะเกียงแก้ว ดังขึ้น
“อย่าแตะต้องของในนี้!”
แนนนี่สะดุ้งเฮือก เหลียวมองไปรอบๆ ห้อง แต่สีหน้าไม่มีแววหวาดกลัว
“นั่นเสียงใคร?”
ด้านสองนายบ่าว ที่รออยู่นอกตะเกียงแก้ว อาการต่างกันไป ทาฮิร่าเดินวนไปมา ปล่อยให้ชิกเก้นมองตามซ้ายทีขวาที บ่นออกมา
“แนนนี่ไม่ได้ไปตายนะนาย ให้แล้วก็เป็นห่วงอย่างนี้ แล้วจะให้ทำไม๊”
“สัญญาก็ต้องเป็นสัญญาสิ ถ้าจะผิดมันต้องผิดตั้งแต่เผลอไปรับปากแนนนี่ว่าจะให้ตะเกียงแก้ว เฮ้อ..แต่ยังไงฉันก็เชื่อว่าหลานฉันกำหราบตะเกียงแก้วได้”
“ถูก...ตะเกียงแก้วต่างหากที่ต้องกลัวแนนนี่ ฮ่าๆๆ”
ทาฮิร่าเหล่ชิกเก้นอย่างสงสัย
“ไหนแกรายงานฉันว่าแนนนี่เรียบร้อยน่ารัก หมดพิษสงแล้วไง บอกมานะว่านอกจากเรื่องแอบขี่ไม้กวาดแล้วยังมีเรื่องอะไรอีก”
ชิกเก้นเฉไฉ ทำทีเป็นอ้าปากหาวหวอดๆ
“โอ๊ะ ไม่รู้ทำไมจู่ๆ ถึงง่วงจังแฮะ”
ชิกเก้นชิงหลับหนีทาฮิร่า ทาฮิร่าค้อนขวับ ก่อนจะมองที่ตะเกียงแก้ว สีหน้าหวาดหวั่นใจ
“จะเข้าไปด้วยก็ไม่ยอมอีก” บีบเสียงเล็กเสียงน้อยเลียนแบบแนนนี่ “ยายยกตะเกียงแก้วให้แนนนี่แล้ว ขืนให้ยายเข้าไปด้วย ตะเกียงแก้วจะเชื่อเหรอคะว่าแนนนี่เป็นเจ้าของตะเกียงแก้ว”
ทาฮิร่าส่ายหน้า
“ก็คงจะเอาอยู่ละนะ เพราะในนั้น.. เป็นที่เดียวที่แนนนี่จะใช้เวทมนตร์ได้เต็มที่”
ชิกเก้นเผลอตอบ ลืมไปว่าแกล้งหลับอยู่
“ถูกต้อง ในตะเกียงแก้ว แนนนี่จะเสกอะไรยังไงก็ได้ ไม่มีสูญเสียพลัง”
“หลับอยู่ไม่ใช่เหรอ” ทาฮิร่าแขวะ
“โอ๊ะ ง่วงกะทันหัน”
ชิกเก้นหลับต่อ ทาฮิร่ายิ้มหน่ายชิกเก้น
ภายในตะเกียงแก้ว ระหว่างนั้นแนนนี่แหงนคอมองเพดานตะเกียงอย่างฉงน และสงสัย ซึ่งที่เพดาน ปรากฏรูปตา จมูก ปาก ขยับได้ พูดเป็นวรรคเป็นเวร เสียงแหลมแปร๋น น่าหมั่นไส้
“อย่าคิดว่าเข้ามาในนี้ได้แล้วฉันจะยอมให้ครอบครองตัวฉันนะยะ ...เชอะฉันน่ะ...ชั้นสูง” เสียงตะเกียงแก้วบอก
แนนนี่กวาดตามองไปรอบ งึมงำกับตัวเอง
“...ชั้นสูงมากเลย...”
“เชิญเธอออกไปได้แล้ว สวยเริดเชิดอย่างฉันไม่ต้อนรับใครทั้งนั้น”
“แต่สวยเริ่ดอย่างพี่ตะเกียง ถ้าได้โซฟาแบบนี้เพิ่มอีกนิดก็แจ๋วเลยนะ”
ว่าแล้วแนนนี่ก็ดีดนิ้ว ชี้ไปที่ตรงจุดหนึ่ง ปรากฏโซฟาหรูเป็นเซ็ต สีสันจัดจ้าน ตะเกียงแก้วทำหน้าตื่นแต่ยังวางฟอร์ม ส่งเสียงเอ็ดแนนนี่เอา
“นี่ ใครอนุญาตให้เธอทำอย่างนี้”
แนนนี่ไม่สน เสกพรมแดงปูตรงทางเข้า ยาวไปถึงเตียงนอน
“ทางเดินก็ต้องแบบนี้! แล้วก็มีดอกไม้ด้วย!”
ขาดคำดอกไม้ก็บานสะพรั่ง เต็มไปทั่ว ตะเกียงแก้วเผลอยิ้มออกมา อุทานอย่างดีใจ
“สวยจัง”
“พี่ตะเกียงเวลายิ้มก็สวยจัง” แนนนี่เริ่มปะเหลาะ
ตะเกียงแก้วหุบยิ้มทันที
“เชอะ ไม่ต้องมาชม ออกไปได้แล้ว”
แนนนี่อมยิ้ม เริ่มรู้แกวว่าจะเอาใจตะเกียงยังไง
“ไปเดี๋ยวนี้ละจ้ะ”
แนนนี่ทำทีเป็นจะเดินออกไป แต่ก้าวผ่านตรงไหนก็เนรมิตให้ตรงนั้นสวยปิ๊งอย่างง่ายดาย ด้วยเฟอร์นิเจอร์หรู หราดอกไม้สวยถูกเนรมิตรมาประดับตรงมุมต่างๆ
จนสุดท้ายสภาพภายในตะเกียงเปลี่ยนไป ไม่เหลือเค้าเดิม
แนนนี่เหลียวมองบรรยากาศภายในตะเกียงแก้วที่สวยหรู ตกแต่งงดงาม เต็มไปด้วยดอกไม้ เฟอร์นิเจอร์ไหมสีสันจัดจ้าน ราวกับเป็นพระราชวังแนวอาหรับ แล้วยกมือบ๊ายบายให้ใบหน้าตะเกียงแก้ว
“ฉันไปนะ”
ในที่สุดผลงานของแนนนี่ก็ทำให้ตะเกียงแก้วใจอ่อน
“อันที่จริง ก็ไม่มีใครสนใจฉันมานานแล้วนะ เพราะฉันเองแหละที่น้อยใจทาฮิร่า”
“เรื่องที่ยายเอาเธอไปต้มน้ำชา?” แนนนี่ปรารภเป็นเชิงถาม
“มันน่าโกรธมั้ยล่ะ”
“ยายไม่ได้ตั้งใจ แล้วยายเองก็เสียใจมาตลอด อยากจะเข้ามาหาเธอจะตาย” แนนนี่อธิบาย แก้ต่างให้ทาฮิร่า
“แต่ฉันก็ไล่ทาฮิร่าออกไปทุกครั้ง เหมือนอย่างที่ไล่เธอเมื่อกี้”
“คุณแม่เคยสอนฉันว่าเวลาเราทำอะไรด้วยอารมณ์โกรธมักจะไม่รู้ตัว”
“...ฉันนี่แย่จังเลยนะ ทาฮิร่าคงเสียใจ” ตะเกียงแก้วรู้สึกผิดขึ้นมา
“ไม่หรอก ยายเข้าใจเธอ เอาเป็นว่าแล้วฉันจะบอกยายให้นะ ฉันไปละ” แนนนี่นึกถึงทาฮิร่าขึ้นมา
“เอ่อ...เธอจะไม่นั่งเล่นก่อนเหรอ อุตส่าห์แต่งฉันซะสวยเลย” ตะเกียงแก้วเชิญชวน
แนนนี่แหงนหน้ายิ้มดีใจ
“เธอยอมให้ฉันอยู่ในนี้แล้วเหรอ”
“พอตัวฉันสวย ฉันอารมณ์ดีขึ้นทันทีเลยละ แปลกจังเลย” ตะเกียงแก้วเอ่ยขึ้น
“ไม่แปลกหรอก เวลาฉันแต่งตัวสวยๆ ฉันก็อารมณ์ดีเหมือนเธอนั่นแหละ” สาวน้อยแนนนี่ว่า
“อย่างนั้นถ้าเธออยากเป็นเจ้านายฉัน เธอสัญญาได้มั้ยว่าจะทำให้ฉันสวยอย่างนี้ทุกวัน” ตะเกียงแก้วบอก
“โฮ้ย ง่ายมาก แต่ตอนนี้ขอฉันพักหน่อยได้มั้ย เหนื่อยนะ กว่าจะจัดให้ทั้งหมดเนี่ย” แนนนี่ทิ้งตัวลงเตียง “ว้าว นุ่มสบายจังเล๊ย”
ตะเกียงแก้วหัวเราะชอบใจแนนนี่
แนนนี่หลับสบาย พลิกตัวนอนคุดคู้ กอดหมอนอิง
เวลาผ่านไป ใบหน้าตะเกียง ส่งเสียงเรียกแนนนี่
“แนนนี่...แนนนี่ ตื่นเถอะ”
แนนนี่นอนหลับอยู่บนเตียง ตะแคงหันหลังให้ แล้วค่อยๆ พลิกตัวมาลุกขึ้นบิดขี้เกียจ แนนนี่กลายเป็นหญิงสาว สวมใส่ชุดอาหรับ รวบผมตึง ดูสวย แปลกตา
“ได้เวลาไปมหา’ลัยแล้วเหรอพี่ตะเกียง ห๊าววว” แนนนี่หาวเสร็จกลอกตาไปมาอย่างจะคำนวณเวลา แล้วพลันตกใจ “สายแล้วนี่! ทำไมไม่ปลุกฉันล่ะ! วันนี้มีสอบด้วย ตายๆๆๆ”
แนนนี่ลุกพรวดพราดขึ้น ตะเกียงค้อนแนนนี่
“เธอมันปลุกง่ายนักนี่ เป็นอย่างนี้ประจำยังไม่รู้ตัวอีก”
แนนนี่ยืนขึ้นหลับตาร่ายมนตร์ แล้วหมุนตัว
“แล้วนั่นจะไปอย่างนั้นน่ะเหรอ ไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนล่ะ” ตะเกียงแก้วร้องถาม
แนนนี่ชะงักกึก
“ไม่ทันแล้วละ เดี๋ยวไปเปลี่ยนเอาข้างนอก”
แนนนี่หมุนตัว เกิดประกายวิบวับเป็นสายวนอยู่รอบตัวแนนนี่
ประตูห้องแนนนี่เปิดออก เห็นดารกาโตเป็นสาวสวย อยู่ในชุดนักศึกษา ก้าวเข้ามา
“สายมากแล้วนะ คุณแม่ให้มาตามจ้ะแนนนี่”
ดารกาหันหาแนนนี่ไปทั่วห้อง
“อ้าว ไม่อยู่หรอกเหรอ” ดารกาหันไปทางห้องน้ำ “รึว่าอยู่ในห้องน้ะ”
จู่ๆ แนนนี่ ก็ปรากฏตัวขึ้นที่ใกล้ๆ ตะเกียงในชุดอาหรับ แล้วเห็นดารกา แนนนี่เลิกลั่ก หันรีหันขวาง หาทางหลบ
“มาได้ไงเนี่ย”
แนนนี่ซุกตัวลงใต้โต๊ะเครื่องแป้ง ก้มหน้างุดลงบนเข่า ลุ้นให้ดารกาไม่เห็น
“ออกไปๆๆๆๆ”
ดารกาก้าวช้ามาหาแนนนี่ จนใกล้
“แนนนี่”
แนนนี่หันมาเจอดารกา ในระยะใกล้มาก ร้องตกใจขึ้นมา
“ว้าย...”
แนนนี่ดีดตัวลุกขึ้น ทำทีเป็นโกรธดารกา
“พี่ดาทำแนนนี่ตกใจนะคะ”
“พี่ดาน่าจะตกใจแนนนี่มากกว่านะ เพราะเมื่อกี้พี่ดาเข้ามา พี่ดาไม่เห็นแนนนี่เลย แต่นี่...”
แนนนี่หลบตา ดูมีพิรุธ รีบหาข้อแก้ต่าง
“ของหาย ก็ก้มลงหา แปลกตรงไหน ตาไม่ดีเองแล้ว มาสงสัยชาวบ้าน ออกไปได้แล้ว”
แนนนี่ตีสีหน้าเย็นชา หวังว่าดารกาคงยอมออกไป แต่แล้วดารกามองดูชุดแนนนี่ นิ่งงัน แนนนี่หาทางแก้ตัวสีหน้าวุ่น
“...วันนี้มีแสดงละครเหรอจ๊ะ”
ผ่านเวลาไปแนนนี่ปิดประตูใส่หลังดารกาปึง
“ละครบ้านเธอสิ...ยัยพี่สาวจอมจุ้น”
ธานีในมาดนักธุรกิจหนุ่ม เดินเข้ามาก้มลงหอมแก้มปัทมนซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร
“มอร์นิ่งครับคุณแม่”
“ตกใจหมด คิดว่าหนุ่มที่ไหน” ปัทมนเย้าลูกชาย
“ทั้งบ้านก็มีหนุ่มคนนี้คนเดียวนั่นแหละฮะ เอ..หรือว่าคุณแม่นึกถึงหนุ่มที่ไหนอีกหน๊อ” ธานีเหล่ตาไปทางบ้านจักรวาล
พรซึ่งกำลังช่วยผาดยกจานอาหารลงวางที่โต๊ะหัวเราะกิ๊กออกมา
“พูดอะไรฟังไม่รู้เรื่อง” ปัทมนค้อนลูกชาย
“คุณธานีหมายถึงคุณด็อกเตอร์ไงคะ”
ฟังพรว่าผาดถึงกับเผลอหลุดยิ้มๆ ตามไปอย่างอารมณ์ดี แต่อยู่ๆ นึกได้ก็ตาเหลือก ฟาดมือที่แขนพร
“นังพร”
ธานีหัวเราะขำผาดกับพร ปัทมนค้อนธานีอีกวง
“เพราะเรานั่นละ พูดให้พรกับผาดสับสน”
จังหวะนั้นดารกาก็เดินเข้ามาบริเวณโต๊ะอาหารพร้อมกระเป๋าสะพาย หนังสือเรียน ฯลฯ
“วันนี้พี่ชายน้องดาหล่อเชียวค่ะ”
ดารกาชมธานีพลางขยับตัวนั่งลงข้างธานี ที่ประจำของตัวเอง
“เราก็สวยเหมือนกัน คุณนักศึกษาแพทย์” ธานีชมกลับ
ปัทมนมองธานีกับดารกา สีหน้าสงบดูสบายใจ
“จะว่าไปแม่ก็ยังเสียดายไม่หายนะ ที่ลูกดาไม่ได้เรียนต่อบริหาร จะได้มาช่วยงานครอบครัวเรา เหมือนอย่างพี่ธานี”
“ผมคนเดียวเอาอยู่ครับคุณแม่” ธานีหันไปพูดกับดา “เรียนหมอแหละดีแล้ว พี่อยากมีน้องสาวเป็นหมอ”
“แต่น้องดาว่าไม่ใช่มังคะ เห็นชอบไปป้วนเปี้ยนที่คณะน้องดาอยู่เรื่อย”
“จะหาสะใภ้เป็นหมอให้แม่เหรอลูก” ปัทมนเย้าอย่างอารมณ์ดี
“คุณแม่ก็ไปฟังน้องดา ผมไปรับน้องดาต่างหากล่ะครับ” ธานีแก้ตัวพัลวัน
“แม่ล้อเล่นจ้ะ”
“น้องดาก็ล้อเล่น แต่เอ..ทำไมพี่ธานีต้องหน้าแดงด้วยล่ะคะ”
ทั้งหมดหัวเราะกันมีความสุข
แนนนี่อยู่ในชุดนักศึกษา เข้ามาพร้อมกับชิกเก้น แนนนี่มองทั้งสามงอนๆ ขณะลงนั่งข้างปัทมน ชิกเก้นกระโดดขึ้นนั่งที่เก้าอี้ข้างแนนนี่
“มีความสุขกันจังเลยนะคะ”
“แต่จะมีความสุขเต็มร้อยถ้ามีคนนี้นะจ๊ะ”
ปัทมนโยกหัวแนนนี่ดึงโน้มมาจูบอย่างแสนรัก ดารกาลอบมอง รอยยิ้มบนใบหน้าเจื่อนลงทันที
“แล้วเย็นนี้ก็จะเอาAมาฝากแม่ด้วยละ ..ใช่มั้ย”
แนนนี่ส่อพิรุธมีอาการหลุกหลิก
“แม่จำได้ด้วยเหรอคะว่าวันนี้แนนนี่มีสอบย่อย”
“ทุกอย่างที่เกี่ยวกับลูกสาวแม่ แม่จำได้ทั้งนั้นละจ้ะ”
ดารกาเหลือบมองสีหน้าเจื่อนๆ อีกหน ก่อนจะรวบช้อน แล้วยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม
“อ้าว ทำไมอิ่มเร็วนักล่ะจ๊ะ ลูกดา” ปัทมนแปลกใจ
“ดาปวดท้องน่ะค่ะ รู้สึกอาหารไม่ย่อยยังไงก็ไม่รู้”
ปัทมนกังวลลุกมาหาดารกาทันที
“ไหนแม่ดูซิ”
ปัทมนจับท้องดารกา
“ท้องแข็ง มีแต่ลม อย่างนี้จะเรียนรู้เรื่องเหรอลูก” ปัทมนหันหาผาด “ป้าผาดจัดยาให้คุณดาที”
ผาดรีบเข้าจับเนื้อตัวดารกาอีกคนถามอย่างห่วงใย “ท้องอืดใช่มั้ยคะ”
แนนนี่เหล่มองดารกา เบ้ปาก ดารกาเหลือบหันมามองที่แนนนี่พอดี ประสานสายตากับแนนนี่อย่างไม่ตั้งใจ
แนนนี่ตาลุกวาว ดารกาหลบตาแนนนี่ เงยหน้าพูดกับผาด น้ำเสียงสุภาพมาก
“ขอบคุณนะจ๊ะป้าผาด”
แนนนี่ยกน้ำดื่มอักๆ ในอาการหงุดหงิด
ปีเตอร์ในชุดนักศึกษา ยืนพิงรถสปอร์ตหรู ที่เปิดประตูค้างไว้ เสียงเพลงกระหึ่ม แนนนี่ออกจากประตูรั้วมาหน้าหงิกใส่ปีเตอร์
“ใครเค้าขอให้เปิดเผื่อเหรอเพลงน่ะ”
“ว่าไงนะ” ปีเตอร์ถามกลับ
“ฉันบอกว่าเพลงรถเธอน่ะ เปิดให้มันเบาๆ หน่อยได้มั้ย”
“เย็นนี้แนนนี่จะไปดินเนอร์กับปีเตอร์? เย้ๆๆๆ” ปีเตอร์แกล้งแนนนี่
“อีตาบ้าเอ๊ย”
ปีเตอร์รีบอ้อมไปเปิดประตูให้แนนนี่
“เชิญคร้าบเจ้าหญิง”
แต่กลับเป็นชิกเก้นที่โผล่มากระโดดขึ้นมานั่งที่นั่งตรงข้างคนขับนั้น ส่วนแนนนี่เปิดประตูขึ้นนั่งที่ด้านหลัง
ปีเตอร์มองแนนนี่สลับกับชิกเก้น หน้าเซ่อๆ เหวอไปเลย
ธานีกับดารกาตรงไปที่รถพร้อมกัน
“ยัยแนนนี่เคยตัวขึ้นทุกวัน นึกอยากจะลุกจากโต๊ะอาหารก็ลุกไปดื้อๆ แถมมีใครไม่รู้มารับทุกเช้า”
ดารกาตั้งท่าจะพูด ธานีชี้นิ้วห้ามไว้เพราะรู้ว่าดรกาจะเอ่ยอะไรออกมา
“น้องยังเด็ก ไม่ต้องพูดเลย” ธานีดัดเลียนเสียงดารกาพร้อมกับเปิดประตูรถ
ดารกายิ้มๆ เหลียวไปทางบ้านจักรวาล
“อ้าวขึ้นรถสิ มองหาใคร”
“เมื่อเช้าลุงจักรมาบอกว่าวันนี้จะขอฝากพี่เกล้าติดรถเราไปด้วย รถพี่เกล้าเสียน่ะค่ะ” ดารกาตอบ
“รถกระป๋องของยัยเกล้าน่ะเหรอ ก็สมควรเสียละ เดี๋ยวๆ ชนเดี๋ยวๆ ชน ขับรถไม่ได้เรื่อง”
รัดเกล้าในมาดสถาปนิกสาว หอบงานที่เป็นม้วนกระดาษใหญ่ๆ กระเป๋าใส่แบบ เข้ามายืนข้างๆ โดยธานีไม่รู้ตัว
“งั้นเหรอคะ”
“ก็แหงสิ” ธานีหันมาเจอ เหวอไป “อ้าว...”
รัดเกล้าจ้องธานีเขม็ง ก่อนจะหันพูดกับดารกา
“พี่ไปแท็กซี่นะน้องดา” รัดเกล้าหันมาพูดกับดารกา
“ไม่ได้นะคะพี่เกล้า น้องดาถูกคุณลุงจักรดุตายเลย” ดารกา
ดารกาพูดจบก็เพ่งตาใส่ธานี บุ้ยใบ้หน้าให้พี่ชายง้อรัดเกล้า ธานีเบะปากเซ็งๆ รัดเกล้าทำท่าจะก้าวไป ดารกาเบิกตาใส่ธานีอีก ธานีคว้างานรัดเกล้าไว้หน้าตาเฉย
“นั่นมันงานเกล้านะ” รัดเกล้าโวยวาย
“อยากได้ก็ขึ้นรถ”
ไม่ว่าเปล่า ธานียังเข้าไปคว้างานทั้งหมดในมือรัดเกล้า จับโยนใส่รถ รัดเกล้าหน้าเหวอ ดารกายิ้มหน่ายทั้งธานีกับรัดเกล้า
“กินกันไม่ลงจริงๆ”
ธานีเลี้ยวรถเข้ามาจอดที่หน้าตึกหลังหนึ่ง ภายในมหาวิทยาลัยที่ดารกาเรียนอยู่ เห็นนักศึกษาเดินสวนไปมา ดารกาหันลารัดเกล้าที่นั่งหน้าตุ่ยอยู่ด้านหลัง
“น้องดาไปนะคะ”
รัดเกล้ายิ้มให้
“ตั้งใจเรียนนะจ๊ะ” รัดเกล้านึกบางอย่างขึ้นได้ “อ้อเดี๋ยวจ้ะน้องดา เย็นนี้ทานข้าวบ้านพี่นะ” เหล่ไปมองที่ธานี “พี่ธานีด้วยนะคะ” แต่ชวนแบบขอไปที
“เสียดายจัง เย็นนี้น้องดามีนัดทานไอติมวันเกิดเพื่อนน่ะค่ะ”
“ว้างั้นเหรอ แต่พี่มีข่าวดีนะ ข่าวดีมากๆ ด้วย ถ้าไปกับเพื่อนบอกได้เลยว่าน้องดาจะต้องเสียใจ”
“ข่าวดีอะไรอ่ะคะ ...น้องดางงไปหมดแล้ว” ดารกาตื่นเต้น
ธานีรำคาญ “ก็บอกๆ ไปซีว่าเย็นนี้เจ้าภวัตมันจะกลับมา”
“พี่ภวัตจะกลับมา จริงเหรอคะ” ดารกายิ้ม หน้าตื่น
รัดเกล้าค้อนธานี พลางตอบดารกา
“จ้ะ ...ยกเลิกเพื่อนไปก่อนเนอะ”
“ล้านเปอร์เซ็นต์เลยค่ะ น้องดาดีใจจัง”
เวลาผ่านไป ธานีขับรถออกจากมหาวิทยาลัย โดยมีรัดเกล้านั่งอยู่ข้างหลัง ทั้งคู่เปิดฉากทะเลาะกันอีกรอบ
“นี่ ใจคอจะให้พี่เป็นคนขับรถรึยังไง บอกให้มานั่งข้างหน้าก็ไม่มา”
“เกล้านั่งตรงนี้แหละดีแล้ว ถ้าพี่ธานีไม่สะดวกก็จอด เกล้าขึ้นแท็กซี่ได้”
“อ้อ..รู้แล้ว ไม่อยากมานั่งข้างๆ พี่เพราะกลัวเพื่อนๆ สถาปนิกของเธอเข้าใจผิดว่าเป็นแฟนพี่ละสิ”
“คิดได้อย่างนั้นก็ดีแล้วละค่ะ” รัดเกล้ายิ้มกริ่ม
“ขอบคุณนะจ๊ะ ที่รู้จักปกป้องศักดิ์ศรีลูกผู้ชายให้พี่ ไม่ให้ใครเค้าเข้าใจผิด คิดว่าพี่หันไปชอบทอมอย่างเธอ”
รัดเกล้าหุบยิ้ม โวยใส่บอกให้ธานีจอดรถทันที
“จอดเลยนะคะ จอด! เกล้าจะนั่งแท็กซี่”
ธานีหัวเราะขำอย่างอารมณ์ดี ที่ทำให้รัดเกล้าฉุนได้
ภายในห้องเรียนของแนนนี่ อาจารย์สาวหน้าดุคนหนึ่งกำลังเขียนไวท์บอร์ดคำว่าMarketing Mix หนึ่งในวิชาสาขาการตลาด
“มาร์เก็ตติ้งมิกซ์ เบสิคเลย พวกเธอเรียนกันแล้วตั้งแต่ปีหนึ่ง ใครตอบได้บ้างว่ามีอะไรบ้าง”
นศ.ช่วยกันตอบงึมงำ
“โฟร์ พี - Four P”
ที่นั่งของแนนนี่นั่งติดกับปีเตอร์ บนตักแนนนี่มีกระเป๋าสะพายใบใหญ่ข้างในใส่ชิกเก้นมาเรียนด้วย
“โฟร์พีครับ” ปีเตอร์ตอบ
“ตอบทำไม เดี๋ยวอาจารย์ก็หันมาทางนี้หรอก” แนนนี่เอ็ด
จังหวะนั้นแนนนี่กดหัวเจ้าชิกเก้นลงไปในกระเป๋า ชิกเก้นดิ้นร้องลั่น
“เจ็บนะ”
อาจารย์สาวได้ยินเสียง หันขวับมาที่โต๊ะเรียนแนนนี่ เห็นแนนนี่กำลังยุกยิกอยู่กับกระเป๋า เข้าใจว่าแนนนี่คงแช็ตมือถือแน่ อาจารย์สาวย่างสามขุมเข้ามาหาแนนนี่ทันที
“อาจารย์บอกแล้วใช่มั้ยว่าห้ามใช้โทรศัพท์มือถือในชั้นเรียน”
นักศึกษาทั้งห้องเหลียวมองมาที่แนนนี่กับปีเตอร์
ปีเตอร์กระทุ้งข้อศอกเรียกแนนนี่ แนนนี่เงยหน้าเจออาจารย์ตรงมาใกล้
“แนนนี่ไม่ได้แช็ตมือถือนะคะ” แนนนี่ปฏิเสธข้อกล่าวหา
“แล้วในกระเป๋านั่นอะไร ส่งมา” อาจารย์สาวแบมือเป็นเชิงบอก ส่งมาให้ฉันดูเดี๋ยวนี้
แนนนี่รวบสายกระเป๋าไว้ พอบังสายตาไม่ให้เห็นชิกเก้น
“อาจารย์ไม่อยากดูแน่ๆ ค่ะ” แนนนี่บอกตาใส
“อย่ารู้ใจอาจารย์ขนาดนั้นเลยจ้ะ ขอนะจ๊ะ”
อาจารย์คว้าสายกระเป๋า แนนนี่ปล่อยไปอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร อาจารย์สะพายกระเป๋าแนนนี่ไว้ สีหน้ายียวน
“ท้ายชั่วโมงเราคุยกัน”
อาจารย์ก้าวเดินออกไป ชิกเก้นดิ้นขลุกขลิกไปมาจนกระเป๋านูน อาจารย์นิ่งงัน เหล่ลงที่กระเป๋า
แนนนี่กับปีเตอร์ออกอาการลุ้นอย่างหนัก
อาจารย์สาวแง้มกระเป๋าออก ก้มลงดู เจ้าชิกเก้นแยกเขี้ยวใส่ ส่งเสียงร้องเงี้ยว อาจารย์สาวร้องกรี้ดลั่น ปล่อยกระเป๋าลงพื้นทันควัน แนนนี่ปราดเข้ามา ชิกเก้นกระโดดขึ้นมาในอ้อมแขนแนนนี่
บรรดาเพื่อนๆ นักศึกษาหันไปซุบซิบกันสนุกปาก มองแนนนี่เป็นเหมือนตัวประหลาด
อ่านต่อหน้า 3 พรุ่งนี้ 13 ม.ค. 55
อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว ตอนที่ 2 (ต่อ)
เวลาต่อมา ภายในหอประชุม นักศึกษาต่างพากันนั่งอยู่กับพื้นตามมุมต่างๆ เพื่อร่วมประชุมหารือเรื่องงานแสดงในงานประจำปีของมหาวิทยาลัย โดยมีรุ่นพี่คอยดูแลการประชุมอยู่
“การแสดงของคณะเราในงานประจำปีๆ นี้จะแตกต่างไปจากปีก่อนๆ ปีนี้เราจะส่งการแสดงเข้าประกวดสามรายการ” รุ่นพี่คนแรกกล่าวจบลง อีกคนกล่าวเสริมขึ้นแจกแจงรายละเอียด
“ให้น้องๆ แบ่งกลุ่มเป็นสาม แล้วเสนอรายการแสดงมาให้พี่”
“เจ้าของการแสดงที่ชนะการประกวด จะได้คะแนนช่วยเพิ่มอีก 20 หน่วย ..มีเวลาให้คิด 1 ชั่วโมง ลุยเลยค่ะ” รุ่นพี่คนแรกบอก
นักศึกษาต่างแยกย้าย รวมกันเป็นกลุ่มๆ ตามที่รุ่นพี่สั่ง ทุกคนส่งเสียงฮือ บรรยากาศคึกคักรื่นเริง
จังหวะนั้นที่บริเวณประตูทางเข้า ปีเตอร์ลากมือแนนนี่เข้ามาด้วยกัน แนนนี่อิดออดเพราะยังเป็นห่วงชิกเก้นอยู่
“ก็แค่ประชุมการแสดง เธอเข้าไปเหอะ ฉันเป็นห่วงชิกเก้น” แนนนี่โวยใส่ปีเตอร์
“ก็บอกแล้วไงว่าสตาร์ทรถ เครื่องเปิดแอร์ทิ้งไว้ให้แล้ว”
“นั่นน่ะอันตรายมากเลยรู้มั้ย ไม่เคยอ่านข่าวเด็กขาดอากาศหายใจ เพราะพ่อแม่ทิ้งไว้ในรถแบบนี้เหรอ แล้วที่สำคัญ เธอไม่กลัวใครมาขับรถเธอไปรึไง” แนนนี่โวยต่อ
“ไม่กลัว อยากได้ก็เอาไปดิ ปีเตอร์มีหลายคัน” ปีเตอร์คุยโว
ระหว่างนั้นก็มีรุ่นพี่หัวหน้าการประชุมก็หันมาเจอแนนนี่กับปีเตอร์
“อ้าวสองคนนั่นน่ะ มานี่เลย”
เวลาผ่านไปไม่นาน บรรดาเพื่อนๆ นักศึกษาพากันออกอาการหน้าเหวอ ต่างก็รีบหันหลังให้แนนนี่กับปีเตอร์ เหมือนไม่มีใครอยากได้ทั้งคู่ไปเข้ากลุ่มด้วย
“กลัวชนะ ฮิๆ” นักศึกษาคนหนึ่งพูดแซวออกมา
รุ่นพี่ทั้งสองคนหันไปมองหน้ากัน พยายามจัดกลุ่มให้ลงตัว
“อ้ะ งั้นกลุ่มเธอยัยเจี๊ยบคนน้อยสุด เอาแนนนี่ปีเตอร์เข้าไปด้วย”
“คือ..กลุ่มเจี๊ยบสรุปการแสดงแล้วอ่ะค่ะ” เพื่อนนักศึกษษชื่อเจี๊ยบปฏิเสธ
แนนนี่รู้สึกเอือมเค็มที เพราะรู้ว่าถูกเพื่อนๆ ตั้งข้อรังเกียจ แนนนี่ประกาศกร้าวฉุน ๆ
“แนนนี่กับปีเตอร์จะแสดงกันสองคนค่ะ”
เพื่อนๆ นักศึกษาได้ฟังก็ฮือฮา หันไปเมาท์กันงึมงำ
“เพิ่มการแสดงเป็นสี่ก็ดีเหมือนกันนะ” รุ่นพี่คนแรกว่า
“ส่งมากมีสิทธิ์มาก ฮ่ะๆๆๆ” รุ่นพี่อีกคนเห็นด้วย
ปีเตอร์บ่นอุบ หันมาถามแนนนี่หน้าเหวอ
“แสดงอะไรแนนนี่ จะให้ปีเตอร์เต้นละก็ไม่เอานะ”
แนนนี่ประกาศต่อ
“แนนนี่กับปีเตอร์จะแสดงเวทมนตร์”
เพื่อนๆ ได้ฟังก็หัวเราะขำกลิ้ง รุ่นพี่ทั้งสองยังพลอยกลั้นหัวเราะไม่อยู่ ปล่อยเสียงหัวเราะออกมาด้วย
แนนนี่เม้งแตก มองทั้งห้องอย่างคาดโทษ แล้วร่ายมนตร์ ล้วงมือในกระเป๋าเสื้อปีเตอร์ แบมือออกมาอีกที เป็นกระต่ายตัวโต เพื่อนๆ นักศึกษา ตะลึง ตาค้าง
แนนนี่เล่นกลอีก คราวนี้ดึงผ้ายาวไม่รู้จบออกจากกระเป๋าเสื้อปีเตอร์ เพื่อนคนหนึ่งเผลอปรบมือให้ คนอื่น ๆปรบตาม
“เนียนแบบนี้ชนะประกวดชัวร์เลย”
“คะแนนช่วยตั้งยี่สิบ!” อีกคนบอก
พร้อมกันนั้น บรรดาเพื่อนๆ ก็ลุกกรูเข้าไปหา มาดึงแนนนี่กับปีเตอร์ให้เข้ากลุ่ม พัลวัน ต่างจากเมื่อครู่นี้ลิบลับ
แนนนี่เหยียดยิ้ม พลางล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อปีเตอร์เป็นครั้งสุดท้าย แววตาพิฆาต ก่อนจะชูงูตัวหนึ่งขึ้น แล้วโยนใส่เพื่อนๆ จนวงแตก วิ่งหนีกันกระเจิง ปีเตอร์เองก็ผวาตกใจ กอดแขนแนนนี่
“งูปลอมน่ะ”
แนนนี่ ยิ้มอย่างสะใจ
ปัทมนยกหม้อเคลือบใบใหญ่ ข้างในมีอาหารเข้ามา จักรวาลสวมผ้ากันเปื้อน รีบออกมารับ
“ไม่เห็นต้องยกมาเองเลย มานี่ครับๆ” จักรวาลรีบอาสา
“มัสมั่นเนื้อน่ะค่ะ ตาภวัตไปซะหลายปี คงคิดถึงอาหารแบบนี้ ไก่ห่อใบเตยของคุณเป็นยังไงบ้างคะ”
จักรวาลหน้าม่อย สั่นหัว
“ไหม้ไปสองกะทะแล้วครับ”
ปัทมนหลุดหัวเราะออกมา
“งั้นเอามานี่ เดี๋ยวปัทจัดการเอง คุณไปเตรียมโต๊ะที่สวนดีกว่าค่ะ”
ปัทมนแย่งหม้อมัสมั่นคืนแล้วเดินเข้าครัวไปอย่างคุ้นเคย จักรวาลมองตามอย่างมีความสุข ก่อนจะตรงไปอีกทาง
เวลานั้นอิงอรก็เดินเข้ามาหน้าตาตื่น
“ตาภวัตกลับมาแล้วเหรอคะ”
“อ๋อกลับวันนี้ละฮะ” จักรวาลตอบ
อิงอรตัดพ้อต่อว่า “นี่ถ้าอิงไม่ได้คุยกับนังผาดนังพร อิงก็คงไม่ทราบสินะคะ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ ผมตั้งใจว่าจะไปเชิญคุณอิงอรมาทานมื้อเย็นด้วยกันตอนที่ตาภวัตมาถึงแล้วน่ะครับ” จักรวาลว่า
“อ๋อมีดินเนอร์ปาร์ตี้กันงั้นเหรอคะ ดีเลย เดี๋ยวอิงช่วยเตรียมอาหาร” อิงอรอาสา
พลันก็มีเสียงปัทมนดังมาจากในครัว
“คุณจักรคะ ยังอยู่ตรงนั้นใช่มั้ย ช่วยตัดใบเตยเพิ่มให้ปัทด้วยค่ะ”
อิงอรหันขวับไปตามเสียง
“ดูเหมือนจะมีคนทำหน้าที่นั้นอยู่แล้วนะคะ”
ปัทมนเดินออกมาจากในครัว มีผ้ากันเปื้อนคาดตัว หันมายิ้มทักทายอิงอร
“อ้าว พี่อิง”
อิงอรค้อนขวับออกอาการงอนใส่ จักรวาลทำหน้าไม่ถูก ในขณะที่ปัทมนงง
ชิกเก้นโผล่หัวจากกระเป๋าสะพายของแนนนี่ซึ่งเดินเอื่อยๆอยู่ในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งกับปีเตอร์ ในมือปีเตอร์มีถุงช็อปปิ้งเกือบสิบ
“ฉันกลับบ้านได้ยัง” แนนนี่เหล่มองถุง “นี่ถ้าใครมาเห็นเข้าต้องคิดว่าเธอถือถุงช็อปให้ฉันนะเนี่ย เสียชื่อแนนนี่หมด” แน่นนี่บ่น
“ก็ได้นี่ แนนนี่อยากซื้ออะไรซื้อเลย ปีเตอร์จัดให้ได้อยู่แล้วแนนนี่ก็รู้”
“ทำไมฉันต้องให้เธอจัดให้ด้วย หยุดความคิดบ้าๆ นั่นเลยนะ” แนนนี่โวยใส่
“โอเค ไม่ซื้อก็ไม่ซื้อ แต่แนนนี่ต้องเดินช็อปเป็นเพื่อนปีเตอร์ก่อน กลับบ้านไปตอนนี้ที่บ้านก็ไม่มีใคร นะ..นะ”
ปีเตอร์ดึงมือแนนนี่ แนนนี่ก้าวตามไปอย่างจำใจ
“นี่ถามจริงเหอะ ก่อนหน้าที่เธอจะรู้จักฉันเธอโตมาไงอ่ะ แล้วเพื่อนๆ อ่ะไปไหนหมด”
ไม่มี” ปีเตอร์ตอบหน้าตาเฉย หันมาชี้ชวนแนนนี่ดูข้าวของ “ว้าย ดูโน่นๆๆๆ อยากได้ๆ”
“กางเกงสีเหลืองเนี่ยนะ สาบานได้ว่าฉันเลิกคบเธอแน่ ถ้าเธอใส่กางเกงตัวนั้น”
ปีเตอร์ลากแนนนี่เข้าออกร้านนี้โน้นเป็นว่าเล่น
“ปีเตอร์รู้แนนนี่ไม่ทิ้งปีเตอร์หรอก ถ้าทิ้งก็ทิ้งไปนานแล้ว ไม่ต้องรอให้ใส่กางเกงเหลือง ฮ่ะๆ” ปีเตอร์หัวเราะชอบใจ
หลังเลิกเรียนดารกาดิ่งกลับบ้าน พรวดพราดกลับเข้ามาในชุดนักศึกษา เมื่อวางข้าวของกระเป๋าฯลฯเสร็จก็ลิ่วไปที่ตู้เสื้อผ้า
เวลาผ่านไปดารกาเปลี่ยนชุดอยู่หลายชุด ก็ยังไม่เป็นที่พอใจ จนมาหยุดอยู่ที่ชุดสีชมพูหวาน หญิงสาวจึงยิ้มกับตัวเองที่หน้ากระจก พลางดึงลิ้นชักเปิดออก หยิบกล่องกำมะหยี่กล่องหนึ่งมาเปิดออก หยิบผ้าพันคอสีชมพูสวยที่ภวัตเคยให้เป็นของขวัญตอนอายุ 12 ขวบ ขึ้นมา นึกถึงเหตุการณืวันนั้นขึ้นมา
ดารกาชูผ้าพันคอสีชมพูสวยขึ้นดูอย่างดีใจ
“สวยจังค่ะ น้องดาชอบมากเลย ขอบคุณนะคะพี่ภวัต”
พอนึกถึงตรงนี้แล้วดารกาก็บรรจงผูกผ้าพันคอนั้นอย่างนุ่มนวล มองตัวเองในกระจกอย่างพอใจ พร้อมกับพึมพำออกมา
“สวัสดีค่ะพี่ภวัต”
ในขณะที่ที่บริเวณหน้าบ้านเวลานั้น รถตู้ที่โป่งเป็นคนขับแล่นเข้ามาจากประตูรั้ว ปัทมน จักรวาล และอิงอรเดินออกมาคอยต้อนรับด้วยกัน
“มาแล้วค่ะคุณจักร...” น้ำเสียงอิงอรตื่นเต้น
“ไม่รู้ตาภวัตจะหนุ่มขึ้นขนาดไหนนะคะ” ปัทมนพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“เจ้าลูกคนนี้มันก็เหลือเกินนะครับ จะไปรับที่สนามบินมันก็ไม่ยอม บอกให้เจ้าโป่งไปคนเดียวพอ” จักรวาลยิ้มหน้าบาน
“ไม่ใช่ว่าแอบพาแฟนแหม่มมาด้วยนะคะ”
คำพูดสัพยอกของอิงอร ทำเอาจักรวาลหุบยิ้มทันที เป็นเวลาเดียวกับที่รถตู้แล่นเข้ามาจอด โป่งวิ่งลงมาเปิดท้ายรถ ยกกระเป๋าสัมภาระ ขณะที่ประตูรถอัตโนมัติเปิดออก เผยให้เห็นภวัตในวัย 25 ปี หล่อ เท่ และดูภูมิฐานในชุดสูทพอดีตัว
ดารกาก้าวเร็วๆ เข้ามาถึงมุมหนึ่งส่วนที่เป็นสวน หยุดเท้ากึกทันทีที่เห็นภวัต
“พี่ภวัต” ดารกาตื้นตันจนน้ำตาคลอหน่วย
ภวัตกราบลงที่อกจักรวาล อิงอรกรีดน้ำตาปลื้มเช่นเคย ปัทมนยิ้มต้อนรับด้วยความยินดีเต็มเปี่ยม
“เป็นหนุ่มขึ้นมากจริง ๆด้วย อเมริกาไกลเหลือเกิน ขอโทษที่อาไม่ได้ไปเยี่ยมหลานเลยนะจ๊ะ”
“ไม่เป็นไรเลยครับ แล้วนี่น้องๆ ยังไม่กลับกันเหรอครับ”
ดารกาก้าวเข้ามาช้าๆ ในอาการประหม่าอย่างชัดเจน ภวัตหันมองมาทางดารกาพอดี
“นั่นน้องดาเหรอครับ”
ดารกายิ้มบางๆ ให้ เอ่ยขึ้นน้ำเสียงเครือ “ค่ะ ...น้องดาเอง”
ภวัตก้าวเข้าไปจับหัวดารกาอย่างเบามือ ด้วยความเอ็นดู
“เป็นสาวสวยเลยเรา นี่ถ้าพี่เจอข้างนอกจำไม่ได้จริงๆ นะนี่”
“พี่ภวัตก็เหมือนกันค่ะ ตัวสูงขึ้นเยอะเลย” ดารกาเอ่ยตอบ
“แก่ลงด้วยนะลุงว่า” จักรวาลเย้าลูกชาย
ทุกคนหัวเราะ ขณะที่รถเก๋งของธานีแล่นเข้ามาจอด รัดเกล้าวิ่งถลาเข้ามาโถมตัวกอดภวัต อย่างดีใจ
“โอยคิดถึงจังค่าพี่ชาย”
“เหมือนเดิมเลยนะเรา ฮ่ะๆ”
ธานีลงจากรถมาสมทบ สองหนุ่มตบไหล่กัน
“มา หอมแก้มที” ธานีแหย่ภวัต
“เฮ้ย ไอ้บ้าธานี ฮ่ะๆ แกนี่กวนเหมื๊อนเดิม” ภวัตยิ้มขำ
“ยิ่งกว่าเดิมด้วยค่ะ” รัดเกล้าพูดด้วยความหมั่นไส้
ปัทมนหันมาพูดกับจักรวาล และอิงอร
“ปัทเข้าไปเตรียมของต่อก่อนนะคะ”
“ผมช่วย” จักรวาลหันไปพูดกับลูกๆ “เด็ก ๆคุยกันไปก่อนนะ”
“อิงช่วยด้วยคนค่ะ” อิงอรอาสา
ปัทมนเดินนำจักรวาล และอิงอร เข้าไปภายในบ้านแล้ว ภวัตส่ายตามองหา แล้วถามถึงแนนนี่ขึ้นมา
“แนนนี่ล่ะ”
รัดเกล้าหันมาหาดารกาถามขึ้น “น้องดาได้โทรบอกแนนนี่รึเปล่าคะ”
“เปล่าค่ะ เห็นพี่เกล้าว่าจะให้แนนนี่เซอร์ไพรส์” ดารกาหน้าเสีย
“โอ..แนนนี่คงเซอร์ไพรส์แย่เลย แนนนี่ไม่รู้อยู่คนเดียวว่าแกกลับมา” ธานีรู้ทันทีว่าอะไรจะเกิดตามมา
“น้องดาขอโทษ”
ดารกาหน้าเจื่อนอย่างรู้สึกผิดจริงๆ ภวัตจับมือดารกาขึ้นมาพลางปลอบ
“ไม่เห็นต้องขอโทษเลย ไม่เอา พี่เพิ่งกลับมา ไม่ทำหน้าอย่างนั้นจ้ะ”
ดารกายิ้มออก เหลือบตาลงมองที่มือภวัตซึ่งกุมมือตัวเองอยู่ หัวใจเต้นตึ้กตั้ก
ทันใดนั้นเองมีรถเก๋งหรูคันหนึ่งแล่นเข้ามาจอด ภวัตปล่อยมือดารกาหันไปมองรถคันนั้น ดารกามองตามภวัตอย่างเสียดาย
รถยนต์คันนั้นจอด พร้อมกับร่างสาวสวยบุษบาเปิดประตูลงมา ส่งเสียงหวานเรียกภวัตอย่างคุ้นเคย
“ภวัตขา...”
ดารกางงงัน มองบุษบาที่ตรงมาคล้องแขนภวัต ด้วยท่าทีสนิทสนมมาก
เวลาเดียวกันนั้น ปีเตอร์กำลังนั่งอยู่ที่ชุดรับแขกวีไอพี ภายในร้านขายเพชรสุดหรู มีพนักงานเปิดกล่องเครื่องเพชร วางให้เลือกบนผ้ากำมะหยี่หรู แนนนี่ชูนิ้วทั้งสิบซึ่งสวมแหวนครบทุกนิ้วด้วยอาการเซ็งๆ
“นี่พ่อคุณถ้าเธอเลือกไม่ได้ซะที ฉันหนีจริง ๆนะ ฉันอยากกลับบ้าน” แนนนี่ออกอาการเซ็งจริงอะไรจริง
“แป๊บเดียว เอางี้ แนนนี่ชี้เลยว่าปีเตอร์ควรซื้อวงไหนให้คุณแม่ดี”
“วงนี้” แนนนี่ชี้แบบสุ่มๆ
“อย่ามั่วสิ เอาที่แนนนี่ชอบน่ะ ถ้าเป็นแนนนี่ๆ จะเลือกวงไหน” ปีเตอร์รู้ทัน
แนนนี่ชี้เลือกวงหนึ่ง “วงนี้ละกัน”
“แล้วสร้อยข้อมือล่ะ”
แนนนี่เอานิ้วจึ้ปากคิดนิดนึง
“เรื่องเยอะจริง เส้นนี้!”
ปีเตอร์หันไปยิ้มให้พนักงาน
“เอาตามที่คุณผู้หญิงเลือกเลย”
ครู่ต่อมา แนนนี่จ้ำเท้าเดินนำหน้าปีเตอร์ออกมาที่ทางออก
“เกิดมาไม่เคยเห็นผู้ชายชอบช็อปปิ้งเหมือนเธอเลย ให้ตายเหอะปีเตอร์”
“ขนาดนั้นเลยเหรอ”
ปีเตอร์ดูมีพิรุธ ก้าวประชิดตัวแนนนี่ หย่อนกล่องเครื่องเพชรลงในกระเป๋าแนนนี่
แนนนี่ตรงออกนอกร้านไป ไม่รู้ตัวว่าปีเตอร์หย่อนกล่องเครื่องเพชรลงในกระเป๋าตัวเอง
โป่งยกกระเป๋าเดินทางขนาดเล็กเข้ามาวางลงใกล้ภวัตซึ่งนั่งอยู่กับบุษบา และนายแพทย์ไชยพี่ชายของบุษบา ภวัตมองกระเป๋านั้น รู้สึกไม่ดี
“กระเป๋าตั้งใบ ผมลืมได้ยังไงนี่”
“มันติดไปกับรถเข็นบุษน่ะค่ะ รถเข็นของภวัตเต็มไงคะ”
“ต้องขอโทษจริงๆ นะครับ ที่จริงโทรบอกให้ผมไปรับกระเป๋าเองก็ได้ ไม่น่าลำบากให้คุณหมอไชยขับอ้อมมาถึงนี่”
ภวัตเอ่ยขอโทษขอโพย ในขณะที่ดารกายกถาดผลไม้เดินผ่านไป บุษบาเหลือบเห็นดารกา จึงพูดขึ้นอย่างจงใจให้ได้ยิน
“ตอนเราแพ็คกระเป๋านี่ด้วยกัน บุษเห็นว่าเป็นของฝากทั้งนั้น ก็เลยคิดว่าน่าจะรีบเอามาคืนภวัตเองดีกว่า”
ได้ผล! ดารกาหยุดเท้าโดยอัตโนมัติ รู้สึกร้อนผ่าวไปกับคำพูดของบุษบา จังหวะนั้นบุษบาหันหาดารกา
“ไม่น่าเชื่อนะคะว่าน้องเค้าคือดารกา “น้องข้างบ้าน”ที่ภวัตเคยเอารูปให้บุษดู”
บุษบาเน้นตรงคำว่าน้องข้างบ้านอย่างจงใจ ไชยหันมองดารกาอย่างสนใจ
“อืม จริงสิ น้องดาเค้าเป็นนักศึกษาแพทย์ด้วยนะครับ” ภวัตเรียกดารกา “น้องดาจ๊ะ พี่เชิญทางนี้หน่อยได้มั้ยครับ”
เวลาผ่านไปหมอไชยคุยกับดารกา ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ยินดีที่ได้รู้จักว่าที่แพทย์หญิงครับ”
“คุณหมอไชยไม่ใช่เป็นเจ้าของโรงพยาบาลธรรมดานะจ๊ะน้องดา แต่ยังเป็นอาจารย์สอนนักศึกษาแพทย์ด้วย” ภวัตเอ่ยกับไชย “ถ้าจะรบกวนฝากฝังน้องสาวสักคนได้มั้ยครับ”
ดารกาหน้าเจื่อนสนิท รู้สึกเจ็บแปลบในใจ เมื่อได้ยินคำว่า...น้องสาว
“รบกวนอะไรกันครับ ด้วยความยินดีเลยละครับ” ไชยรับคำ
บุษบาเหล่มองสีหน้าดารกาอย่างพอใจ
บุษบานั่งอยู่ข้างไชยซึ่งเป็นคนขับ จังหวะหนึ่งไชยเอ่ยขึ้น
“เค้าสวยดีนะ ดารกาน่ะ”
“ก็งั้น ๆละ ยัยเด็กนั่นน่ะแอบชอบภวัต ทั้งแช๊ต ทั้งอีเมล์ จดหมาย สารพัดจะส่งหาภวัต เห็นทีไรบุษละหงุดหงิด ถ้าไม่ติดว่าต้องสร้าง ภาพนะ บุษด่าเปิงไปแล้ว วุ่นวายกับภวัตนักเชียว” บุษบาหงุดหงิด
“หน้าตาดีแถมเป็นนักเรียนแพทย์อย่างนี้ กำจัดออกห่างภวัตไม่ยากหรอก ผู้ชายที่ไหนก็ชอบ ช้อยส์เค้าคงไม่ได้มีภวัตคนเดียวหรอก” ไชยบอกน้องสาว
“ผิดคาดค่ะ แม่นี่น่ะ เท่าที่บุษสืบมา มันไม่เคยสนใครเลยนอกจากภวัต”
“อืม...อย่างนี้ยิ่งน่าสนใจ” ไชยหันมาสบตาบุษบาผุดสายตาเจ้าเล่ห์ออกมา “งานนี้ต้องพี่เอง”
“เริดค่ะ ถ้าสำเร็จ น้องยกหุ้นโรงพยาบาลส่วนของน้องให้ครึ่งนึงเลย”
“โอ๊ะๆ ไม่ต้องเลยจ้ะ เพิ่มหุ้นก็หมายถึงเพิ่มความรับผิดชอบ ไม่ต้องมาให้อะไรพี่ แค่เห็นบุษมีความสุขพี่ก็สบายใจแล้ว” ไชยว่า
บุษบาเอนตัวอิงศีรษะกับไหล่ไชย
“บุษก็มีแต่พี่ไชยนี่ละค่ะ ...คิดถึงคุณพ่อคุณแม่จังนะคะ
“โทรเลยมั้ย” ไชยล้อน้องสาวเล่น
“บ้าสิ โทรไปสวรรค์เหรอ” บุษบาตีเพี้ยะที่แขน
ไชยโยกหัวน้องสาวอย่างแสนรัก
“คิดถึงพ่อแม่ก็เป็นฝั่งเป็นฝากับเค้าซะที พวกท่านจะได้ตายตาหลับ” ไชยเย้าน้องสาว
“ใกล้แล้วละค่ะ”
น้ำเสียงบุษบามุ่งมั่นและหมายมาด นึกถึงภวัต อมยิ้มอย่างมีความสุข
รัดเกล้า ธานี จักรวาล ปัทมน และอิงอร รวมตัวทานอาหารร่วมกันอยู่ที่โต๊ะ มีโป่งกับพรคอยปิ้งย่างเสิร์ฟอาหาร
รัดเกล้าไล่สายตามองทุกคนแล้วพูดขึ้น
“อืม..ดูหน้าตาสมาชิกแล้ว เหมือนเราปาร์ตี้กันเองยังไงก็ไม่รู้นะคะ” รัดเกล้าว่า
“นั่นสิ เอากระเป๋ามาคืนอะไรกัน ทำไมนานนัก” ธานีตั้งข้อสังเกต
“ฮุ้ย หิมะจะตกกรุงเทพฯ ซะละมังคะเนี่ย พี่ธานีเห็นด้วยกับเกล้า” รัดเกล้ากัดเล็กๆ
“เรานี่ก็นะ พี่เค้าพูดดีด้วยก็แขวะเค้า” จักรวาลเอ็ดลูกสาว
“คู่กัดอย่างนี้แหละ เดี๊ยวก็กลายเป็นคู่รัก ทฤษฎีป้าอิงไม่เคยพลาดฮิๆ” อิงอรแทรกกลางวง พลางหันมาพูดกับปัทมน “คุณแม่ว่าไงคะ ฮิๆ”
ปัทมนยิ้มฝืนๆ เป็นพิธี ภวัตเข้ามาร่วมวง
“มีอะไรเหลือให้ผมทานบ้างครับเนี่ย”
อิงอรชิงพูดก่อนใคร
“ผิดที่ป้าอิงพูดซะเมื่อไหร่ ไม่ทันไรควงแฟนมาจากเมืองนอก ลูกเต้าเหล่าใครไม่เห็นพามาแนะนำให้ผู้ใหญ่รู้จักหืม”
“ต้องขอโทษด้วยครับ พอดีผมเกรงใจที่พี่ชายเค้าอุตส่าห์อ้อมรถเอากระเป๋ามาคืน ก็เลยไม่อยากรบกวนเวลาเค้านาน” ภวัตออกตัวแทนบุษบาและไชย
“ไม่ปฏิเสธนี่แสดงว่าเจ๊เค้าเป็นแฟนพี่ภวัตจริงๆ เหรอคะ” รัดเกล้าถามพี่ชาย ภวัตตกใจรีบอธิบาย
“เย้ย ไม่ใช่ พี่แค่ยังพูดไม่จบ ..บุษบาเค้าไม่ได้เป็นแฟนพี่” หันมาพูดกับจักรวาล “เราเรียนที่มหาวิทยาลัยเดียวกันน่ะฮะ แต่คนละคณะ”
จักรวาลเป่าปากอย่างโล่งอก ปัทมนหันไปเห็นพอดี ถึงกับยิ้มขำ
“นี่แค่วันแรกที่แตะเท้าถึงเมืองไทยนะคะ” ปัทมนเย้า
“ก็ถึงได้ถอนหายใจเฮือกๆ อยู่นี่ไงครับ”
“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับคุณพ่อ” ภวัตรีบหันมาพูดเชิงปลอบพ่อ
“เอ๊ะแล้วน้องดาล่ะจ๊ะ เห็นบอกว่าจะไปเชิญเพื่อนภวัตมาทานด้วยกัน”
“อ้าวเหรอครับ แต่ทำไมน้องดาบอกผมว่าปวดหัว ขอกลับไปทานยาที่บ้าน ผมจะหายาให้ก็ไม่เอา”
ภวัตงงๆ และเป็นห่วงดารกา
ในขณะนั้นดารกาเดินเอื่อยๆ มานั่งลงบนม้านั่งยาวในสวนบ้านปัทมน ครุ่นคิดถึงคำพูดบุษบาอย่างไม่สบายใจ
เมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้ ขณะที่ดารกาเดินลิ่วออกมาด้วยสีหน้าไม่สบายใจ พลันมีเสียงดังขึ้นตามหลังมา
“เดี๋ยวสิ”
ดารกาเหลียวกลับไป พอเห็นว่าเป็นบุษบาก็สีหน้าเจื่อนๆ
“ฉันจะไปห้องน้ำน่ะ”
“ในห้องรับแขกก็มีห้องน้ำนี่คะ” ดารกาบอก
“อ้อ งั้นเหรอ สงสัยฉันคงเดินหลงทาง”
บุษบามองรูปร่างหน้าตาดารกาอย่างพิจารณา
“...เธอนี่สวยไม่เบานะ ท่าทางหนุ่มๆ คงมาชอบเยอะละสิ อืม..แล้วทำไมถึงหมกมุ่นอยู่แต่กับภวัตล่ะ”
ดารกาหน้าร้อนวูบ ตั้งรับบุษบาไม่ทัน
“ตอนที่ฉันอยู่กับภวัตที่โน่นก็เห็นมีแต่เธอนี่ละที่ตามตอแยภวัตไม่เลิก ฉันจะบอกให้เอาบุญนะว่าภวัตน่ะเค้าไม่ได้คิดอะไรกับเธอเกินไปกว่าเด็กข้างบ้าน”
ดารกานิ่งฟังบุษบาราวกับถูกสะกด
“ภวัตบอกฉันอย่างนั้น ไม่อย่างนั้นฉันจะรู้ได้ยังไงว่าเธอเป็นใครหน้าตายังไง” บุษบาว่า
ดารกากำมือแน่น บุษบายิ้มอย่างเป็นต่อ
“ฉันหวังดีหรอกนะถึงพูดกับเธอตรง ๆ ...อย่าเสียเวลาเลยเด็กโง่”
ดารกาครุ่นคิดถึงคำพูดบุษบาแล้วทอดถอนใจอยู่ภายในสวยหน้าบ้าน พูดปลอบใจตัวเองออกมา
“ไม่จริง พี่ภวัตไม่มีทางชอบผู้หญิงใจร้ายแบบนั้น”
ดารกาน้ำตาเอ่อ ทอดสายตามองเรื่อยไปอย่างเศร้าสร้อย แล้วไปหยุดสายตาที่ประตูรั้วอย่างประหลาดใจ
ดารกามองไปที่ประตูรั้ว เห็นใครบางคนยืนอยู่ ดารกาปาดน้ำตา เพ่งมองที่รั้วอีกครั้ง
ดารกาก้าวมาหยุดยืนมองมาลีซึ่งอยู่ในสภาพมอมแมม แต่งตัวซอมซ่อ สีหน้าแววตาหลุกหลิกตลอดเวลา
“หนูจ๊ะหนู” มาลีร้องเรียก
“มาหาใครคะ” ดารกาถาม
“คุณหนูดารกาจ้ะ”
ดารกาโยกคอ เพ่งมองมาลีอย่างถนัดถนี่ และก็มั่นใจว่าไม่รู้จัก
“มีธุระอะไรกับเค้าเหรอคะ”
“คือ...ฉันเป็นแม่เค้าน่ะจ้ะ”
ดารกานิ่งงัน ทำอะไรไม่ถูก ตาค้างแข็งจ้องที่มาลีอยู่อย่างนั้น
“ฝากจดหมายนี่ให้เค้าหน่อยได้มั้ย”
ดารกายื่นมือสั่นระริกรับจดหมายนั้นมา
“หนูดารกาคงน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับหนูนี่ละ” มาลีจ้องดารกาแล้วเอะใจ “เอ๊ะหรือว่าหนูคือ...”
รถแท็กซี่ของแนนนี่แล่นเข้ามาจอดหน้าประตู แนนนี่เปิดประตูค้าง ขณะจ่ายเงินค่าแท็กซี่
ดารกาหันไปมองเห็นแนนนี่แล้วรีบโพล่งบอกมาลีขึ้นมา
“โน่นไงดารกา”
มาลีเหลียวมองไปตามดารกาบอก เห็นแนนนี่ในชุดนักศึกษากำลังเปิดประตูเล็กเข้ามา
มาลียิ้มดีใจ ทำท่าจะโผไปหาดารกาห้ามไว้พลัน
“อย่านะ คุณเข้าไปทักเค้าตอนนี้ไม่ได้”
มาลีมองดารกาฉงน
“...เอ่อ” ดารกาตกใจ
“ทำไมล่ะ เห็นคนแถวนี้ว่าคุณนายไม่ได้ปิดบังว่าหนูดารกาเป็นเด็กขอมาเลี้ยง” มาลีว่า
“แต่ยังไงคุณก็ไม่ควรจะโผล่พรวดพราดไปหาเค้าอย่างนี้ มีเวลาเป็นสิบยี่สิบปี ทำไมไม่เคยคิดจะมาหา”
“ฉันลำบากมาก...ฉัน...” มาลีฟังแล้วสะท้อนใจ ทำท่าอึกอัก
“พอเถอะ คุณกลับไปได้แล้ว” ดารกาตัดบท
“ฉันฝากจดหมายให้ลูกด้วยนะ”
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ มาลีออกไปแล้ว ดารกาทุรดตัวลงนั่งยองๆ ร้องไห้ออกมาอย่างเจ็บปวด น้อยใจ
โดยไม่รู้ว่าเวลานั้น แนนนี่ก้าวเข้ามาหยุดยืนมองดารกาอยู่
“พี่ดา...”
ดารกาแหงนหน้าขึ้นมาเห็นแนนนี่แล้วผงะอย่างตกใจ แนนนี่เองเห็นใบหน้าที่นองไปด้วยน้ำตาของดารกาแล้วรู้สึกตกใจมากเช่นกันถามขึ้น
“เป็นอะไร?”
อ่านต่อตอนที่ 3
โปรดติดตามอ่านเรื่องราวแสนสนุกสนานของ "อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว" สมบูรณ์ทีุ่สุด ตรงตามบทโทรทัศน์ช่อง 7 สี เป๊ะ! ละเอียดทุกลมหายใจตัวละคร โดยไม่มีการตัดทอน หรือรวบ รัด และย่นย่อเรื่องราว ทาง "ละครออนไลน์" ที่เดียวเท่านั้น!!!